วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1405

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  26  กุมภาพันธ์  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 21

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในเอเฟซัส 3:9-10 บอกไว้ว่า …

        เอเฟซัส 3:9-10 “9 และได้แสดงให้คนทั้งปวงเห็นถึงภารกิจแห่งข้อล้ำลึกนี้อย่างชัดเจน ซึ่งตลอดยุคที่ผ่านๆ มาได้ถูกปิดซ่อนไว้ในพระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง 10 เพื่อบัดนี้เหล่าเทพผู้ครองและเทพผู้ทรงอำนาจในสวรรคสถาน จะได้เห็นถึงพระปรีชาญาณอันลึกซึ้งของพระเจ้า ผ่านทางคริสตจักร”

            ในหนังสือเอเฟซัส เราจำได้ใช่ไหมค่ะ พื้นฐาน ก็คือเปาโลกำลังประกาศกับคนต่างชาติ  ก็คือคนที่ไม่ได้เป็นยิวโดยกำเนิด แล้วข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็ผ่านทางอาจารย์เปาโลไปประกาศกับคนต่างชาติว่า …

            “ตอนนี้พวกเธอมีสิทธิ์ที่จะเลือกแล้ว พวกเธอสามารถที่จะเข้ามารับพระคุณ จากพระเจ้าได้แล้ว”

            สมัยก่อนคนต่างชาติเขามีความรู้สึกว่าตัวเองด้อยมาก เพราะว่าคนยิว มีความภาคภูมิใจว่าเขาเป็นชนชาติของพระเจ้า  เขาก็จะดูถูกคนที่ไม่ใช่ยิว คือคนพวกนี้ไม่มีระดับ  ไม่สามารถที่จะเข้ามาหาพระเจ้าได้  แต่พอข่าวประเสริฐของพระองค์ ถูกประกาศออกไป เมื่อวันที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ แล้วพระองค์อยู่กับสาวกของพระองค์ 40 วัน แล้วเสด็จขึ้นสวรรค์ ให้ทุกคนได้เห็นจะๆ เลยว่าพระองค์ลอยขึ้นสวรรค์ แล้วอีก 10 วัน พระเจ้าได้ส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ในผู้เชื่อ เป็นครั้งแรก ตรงนั้นเขาเรียกว่าวันเพ็นเตคอส

            ดังนั้น การที่พระองค์เข้ามาสถิตอยู่กับผู้เชื่อ หมายถึงสิ่งที่พระเจ้าพระบิดาได้ทรงสัญญาไว้ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิมว่าเราจะๆ  เวลาเราอ่านพระคัมภีร์เดิมจะมีคำว่า “จะ” ตลอดเวลา ก็คือพระเจ้ากำลังบอกถึงสิ่งที่พระองค์จะทำในอนาคตข้างหน้า คืออะไร?  พระองค์ทรงเตรียมพระบุตรของพระองค์ พระมาซีฮาห์ เตรียมพระผู้ช่วยให้รอดให้กับมนุษยชาติ เมื่อถึงวันเวลาที่กำหนด พระองค์ก็ส่งพระเยซูคริสต์มา  แล้วเมื่อวันที่พระเยซูคริสต์เดินไปที่แดนประหาร ถูกโบยตี เฆี่ยนตี โลหิตหลั่งออก แล้วก็สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  ถูกฝังและเป็นขึ้นมาจากความตาย ทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ตั้งแต่ปฐมกาล ได้สำเร็จในตัวพระเยซูคริสต์ หมายความว่าพระเยซูคริสต์ได้มาชดใช้หนี้บาปให้กับมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว

            เราคุยกันบ่อย พี่น้องที่นี่ก็คงจะเข้าใจว่ามิติของโลกวิญญาณไม่สามารถนับเวลาได้ โลกวิญญาณ คือเดี๋ยวนี้ ปัจจุบันนี้ทันที แต่มนุษย์เราก็จะนับว่าเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ เพื่อเรา แต่มิติโลกวิญญาณ คือพระองค์ยังคงทำการงานของพระองค์อยู่ ใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ ได้ยิน ได้ฟังข่าวประเสริฐของพระองค์ แล้วเปิดใจยอมรับ วางใจ ให้พระเจ้าเข้ามาช่วยเหลือทันทีในโลกวิญญาณ พระเจ้าได้เอาวิญญาณเก่าของคนๆ นั้น วิญญาณเก่าที่อยู่ในความบาปและความตาย วิญญาณเก่าที่เป็นทาสของกฎบนโลกใบนี้ ก็คือกฎของการพึ่งพาตัวเอง ในการทำดี ละชั่ว

            หลายคนอาจจะคิดว่าเราทำบาป ทำสิ่งที่ไม่ดี เราถึงเรียกว่าบาป แต่ความหมายในถ้อยคำของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น พระเจ้าหมายถึงความบาป คืออะไรก็ตามที่เราทำผิดจากเป้าหมายของพระเจ้า พระบิดา พระเจ้าสร้างมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ให้มาพึ่งพาในพระองค์ มาเชื่อในพระองค์ แต่ถ้าผิดจากตรงนั้นปุ๊บ ต่อให้คนนั้นจะทำดีขนาดไหน ก็ไม่สามารถได้รับความรอดได้ เพราะว่าพื้นฐานเดิมของคนๆ นั้น ยังอยู่ใน DNA บาป คืออยู่ในอาดัมอยู่

            ดังนั้น ความจริงในโลกวิญญาณเหล่านี้ เราจำเป็นต้องเรียนรู้ เพื่อเราจะได้สามารถเข้าใจหลักการของพระเจ้าว่าวิธีการที่พระเจ้ามองมนุษย์ พระเจ้ามองอย่างไร? พระเจ้าไม่ได้มองดูมนุษย์ว่าเขาทำอะไร?  เพราะว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในความบาปอยู่แล้ว ต่อให้ทำดีขนาดไหน? ก็ไม่ได้ถึงมาตรฐานของพระเจ้า แต่พระเจ้ามองดูว่ามนุษย์คนนั้นอยู่ในไหน? อยู่ที่ไหน? ถ้ามนุษย์คนนั้น ทำดีได้ประมาณหนึ่ง  ไม่มีมนุษย์คนไหนทำดีได้ 100% แน่นอน ทำดีได้ประมาณหนึ่ง แล้วเขาอยู่ในพระเยซูคริสต์ด้วย คนนั้นฉลุเลย ก็คือวิญญาณเขาได้บังเกิดใหม่แล้ว เขาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าแล้ว เขาได้รู้จักพระเยซูคริสต์แล้ว ในขณะที่เขาดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ไม่ว่าเขาจะทำดี หรือบางครั้ง เขาเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ดีก็ตาม แต่พระเจ้าไม่ได้ดูการประพฤติของเขา เพราะว่าความรอดของมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่การประพฤติ แต่ขึ้นอยู่กับว่าวิญญาณเขาตั้งอยู่ที่ไหน? วิญญาณของคนๆ นี้อยู่ในพระเยซูคริสต์ แม้ว่าเขาเผลอไปทำผิด ทำบาป พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ก็ชำระเขา สะอาดหมดจด ในพระคัมภีร์บอกชัดเจนว่าพระเยซูหลั่งพระโลหิตครั้งเดียวเป็นพอ แปลว่าไม่ต้องหลั่งบ่อยๆ ทำทีเดียวจบสิ้นขบวนการ ที่พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว

            หมายความว่าพระโลหิตของพระเยซูคริสต์สามารถที่จะเกิดผลในทุกเวลา ทุกสถานการณ์ ก็คือใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาเป็นลูกของพระองค์ เขาได้รู้จักกับพระเยซูคริสต์แล้วอีกนัยหนึ่ง คือเขาได้รู้จักกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย ฉะนั้น คนๆ นั้น รู้จักพระองค์แล้ว  แล้วในโลกวิญญาณ คนๆ นั้น วิญญาณเก่าที่เป็นบาป ได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว แล้ว ณ ปัจจุบันที่เรามานั่งอยู่ที่นี่ ร่างกายเรายังเป็นตัวเดิมอยู่ ดำก็ดำเหมือนเดิม  ขาวก็ขาวเหมือนเดิม เตี้ยก็เตี้ยเหมือนเดิม สูงก็สูงเหมือนเดิม ไม่มีเปลี่ยน ไม่ใช่ว่าพอมาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ จากคนเตี้ยก็กลายเป็นคนสูง จากคนดำกลายเป็นคนขาว มันไม่ใช่นะ เพราะว่าลักษณะของมนุษย์ทุกคนยังคงเหมือนเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิม คือร่างกายนี้ที่ยังอยู่ในกฎของความบาปและความตาย พระเจ้าได้ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ สามารถที่จะเป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้

            เพลงที่ตะกี้ที่เราร้อง ที่ซึ่งพระวิญญาณทรงสถิต เรามีเสรี และที่นั่น ก็คือพวกเรา ร่างกายของพวกเราได้เป็นวิหารของพระเจ้า ได้เป็นที่อยู่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์เรียบร้อยไปแล้ว แล้วในขณะที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ ร่างกายเรายังเป็นร่างกายเก่า แต่ว่าถูกชำระให้สะอาด รอเวลา หมดอายุขัย พระเจ้าจะให้ใครอยู่นานขนาดไหน?  บางครั้งพระเจ้าก็ให้อยู่นิดเดียว มาเชื่อพระเจ้า อายุแค่ 10 กว่า พระเจ้าก็บอกว่าโอเค กลับบ้านได้  เขาก็กลับบ้านไป บางคนมาอยู่นานมากเลย 90 แล้ว พระเจ้ายังใช้เขาอยู่  พระเจ้าบอกยังไม่ถึงเวลา ยังไม่หมดอายุขัย ก็อยู่ไป แต่อยู่แบบเต็มล้นไปด้วยความชื่นชมยินดี อยู่แบบ ผู้ที่มีความหวังใจ  อยู่แบบผู้ที่มีชัยชนะ  เพราะเขารับรู้ความจริงไง ในเรื่องนี้ รับรู้ความจริงว่าร่างกายของเขา รอแป๊บเดียวเอง แป๊บเดียวจริงๆ อยู่บนโลกใบนี้ อาจจะเจ็บไข้ได้ป่วย  เดี๋ยวปวดโน่นปวดนี่  เป็นเรื่องธรรมดา ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่านี่เป็นเรื่องธรรมดามาก แต่ว่าความหวังใจของคริสเตียน ไม่ได้มองที่ร่างกายของเรา  แต่เรามองดูสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เราสำเร็จแล้ว ก็คือความหวังใจที่เรามองไปข้างหน้า รอที่จะไปรับรางวัล รับมรดกอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ที่พระเจ้าได้ให้กับพวกเราแล้ว

            จริงๆ แล้วในโลกวิญญาณตอนนี้เรารับรางวัลทุกอย่าง พระพรนานัปการ มรดกที่พระเจ้าให้กับเรา คือชีวิตนิรันดร์  อยู่บนโลกใบนี้ เราได้รับแล้วในโลกวิญญาณ แต่ว่าเรารอคอยอีกนิดหนึ่ง คือหลังจากที่เราทิ้งร่างกายนี้ ร่างกายที่มันต้องสูญสิ้นไป  เพราะมันยังอยู่ในกฎของความบาปและความตาย ยังไงก็ต้องตายนั่นแหละ  เราจะไปอยู่ค้ำฟ้า มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่ากฎที่พระเจ้าตั้งไว้ มันยังคงอยู่

            ฉะนั้น ต่อให้เราเชื่อพระเจ้า หรือไม่เชื่อพระเจ้า เราก็ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ แบบนี้แหละ เพราะว่าถูกสาปแช่งไปแล้ว เราอย่าให้ใครหลอก พอมาเป็นคริสเตียนปุ๊บ เราต้องแข็งแรงตลอดชีวิต ถ้าคริสเตียนคนไหนไปหาหมอ แปลว่าความเชื่อเขาไม่ถึง อย่าให้ใครหลอกเด็ดขาด คริสเตียนป่วยเป็นนะ คริสเตียนก็ยังคงต้องไปหาหมอ ถ้าป่วยจริงๆ อย่าดันทุรัง

            จะเล่าให้ฟัง ตอนที่โบสถ์เราใหม่ๆ ความเชื่อเราเป๋มากเลย  เราใช้ความเชื่อแบบสุดโด่งมาก

            “ในนามพระเยซู โดยรอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์ ทำให้เราหายโรค”

            แล้วเราก็เอาถ้อยคำตรงนี้มา ไม่ได้สิ เราเป็นคริสเตียน เราต้องป่วยไม่เป็น เราป่วยไม่ได้ รอยแผลเฆี่ยนของพระเยซูคริสต์จะทำให้หายโรค พอเราป่วยปุ๊บ เราก็เอาข้อพระคัมภีร์นี้มาท่องๆ คือบางทีบังเอิญ พระเจ้าจะรักษาเรา ท่องไปท่องมา เราหายจริงๆ ไม่ต้องไปหาหมอ แต่ไม่ใช่ทุกครั้งที่เราท่องปุ๊บ พระเจ้าจะรักษาเราหาย จริงหรือไม่จริง? คือถ้าไม่ไหว เราก็ต้องไปหาหมอ

            มีอยู่ครั้งหนึ่งเหงือกบวม บวมตุ่ยเลย เป็นลูกซาลาเปา แล้วก็กลับบ้านไป เจอพี่สาว พี่สาวบอกเป็นอย่างนี้ไปหาหมอ เราก็บอกไม่ ในนามพระเยซู พระเจ้ารักษาฉันหาย แล้วนึกออกไหม?

            คือพอเราหันกลับไปดู เราก็ขำตัวเอง  เราสามารถมีความเชื่อสุดโต่งขนาดนั้น  เราสามารถถูกหลอกได้ขนาดนั้น  แล้วพอเราถูกหลอกมากๆ เราก็คิดว่านี่คือความจริงนะ เรามาเชื่อพระเจ้า เราต้องแข็งแรงสิ ไม่อย่างนั้นเสียชื่อพระเจ้าแย่เลย บอกคริสเตียนป่วย อ้าว! คริสเตียนป่วยเป็นมะเร็งตายด้วย ยิ่งเสียชื่อพระเจ้าใหญ่เลย พระเจ้าเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐไง พระเจ้าปล่อยให้เราเป็นมะเร็งตายได้อย่างไร? นั่นแหละเรามองด้วยสายตาของเรา เราใช้ความคิด คิดแบบมนุษย์ แต่พระเจ้าบอกว่าอะไร?  พระเยซูคริสต์มาเพื่อรักษาโรคเดียวที่ไม่มีหมอคนไหน บนโลกใบนี้สามารถรักษาเราหายได้  ก็คือโรคบาป โรคบาปที่บรรพบุรุษของเราเอาเข้ามาในโลกนี้  แล้วก็เอาเชื้อบาปนี้  ส่งต่อ DNA มาให้มนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ทำให้เราติดเชื้อบาปหมดเลย มนุษย์ทุกคนเกิดมาไม่ต้องทำอะไร ก็บาปแล้ว หลายคนอาจจะคิดว่ารอให้เราไปทำอะไรบาป แล้วค่อยเรียกว่าเป็นคนบาป แต่ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า คือมนุษย์ทุกคนพอลืมตาดูโลกปุ๊บ ไม่ต้องทำอะไรเลย เขาบาปแล้ว เพราะว่าเขาติดเชื้อบาป

            เหมือนลูกที่พ่อแม่เป็นโรคเอดส์ เขาไม่ต้องทำอะไรเลยนะ คลอดออกมา เขาก็ติดเอดส์เลย ถามว่าเด็กคนนี้ไปทำอะไรไม่ดีไหม?  ทำไมถึงติดเอดส์ เขาไม่ได้ทำอะไรเลยนะ เขาอยู่เฉยๆ  เขาก็ติดเอดส์มาเลย  นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่ในถ้อยคำของพระเจ้าพยายามที่จะอธิบายให้เราเข้าใจถึงความจริงตรงนี้ ถ้าเราเข้าใจความจริงตรงนี้ปุ๊บ เราจะสามารถเข้าใจความจริงเรื่องความรอด  หรือเรื่องการไถ่ของพระเยซูคริสต์ได้ชัดเจนมากขึ้น พอมนุษย์ไม่ต้องทำอะไร เกิดมาปุ๊บ ก็บาปเลย

            อีกนัยหนึ่ง พอเรามาเชื่อพระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกว่าแค่เปิดใจ เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเราบนไม้กางเขน แค่นี้เรารอดแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน ไม่ต้องทำดีหรือทำชั่ว เราก็เป็นผู้ชอบธรรม พออย่างนี้ รับไม่ได้ พระเจ้าขอทำนิดหนึ่งได้ไหม? อย่างน้อยเป็นคนดีหน่อยเนอะ มันโอเค แต่ความเป็นจริง คือพระเจ้าบอกไม่ต้องทำอะไร? คือทำอยู่อย่างเดียว ก่อนที่เราเชื่อพระเจ้า คือเปิดใจ วางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน

            พอเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ทันทีในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็น เพราะเรามองไม่เห็น เราเลยต้องคุยกันบ่อยๆ  เพราะว่าเรามองไม่เห็น แล้วเราจะลืม พี่น้องโฮลี่ก็จะคุ้นชินกับคำว่า “บัพติศมาในวิญญาณมาก” เพราะว่าศิษยาภิบาลทุกคนขึ้นมา จะต้องมาตรงนี้แหละ ถ้าไม่มาตรงนี้ ไปไม่ถึงจริงๆ

            ฉะนั้น เราต้องรับรู้ความจริงว่าในโลกวิญญาณมี 2 อาณาจักร อาณาจักรของความมืด และอาณาจักรของความสว่าง ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์มาทำการงานของพระองค์สำเร็จ โลกใบนี้มีอาณาจักรเดียว คืออาณาจักรความมืด มนุษย์ไม่มีตัวเลือก มนุษย์ยังไงเกิดมา ก็อยู่ภายใต้อำนาจของกฎของความบาปและความตาย มนุษย์ทุกคนเกิดมา พยายามต้องการทำดี ไม่ใช่ต้องการทำบาปนะ พี่น้องอาจจะคิดว่าเขาเป็นคนบาป เขาพยายามต้องการทำบาป เปล่า มนุษย์ทุกคนไม่ได้ต้องการทำบาป เขาต้องการที่จะทำดี  ต้องการที่จะละสิ่งที่ชั่ว ด้วยกำลังของเขาเอง  แล้วพระเจ้าบอกว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้  ก่อนหน้าที่อาดัมจะล้มลงในความบาป  เขามีชีวิตของพระเจ้าอยู่ในตัวเขา พระสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่ที่ตัวเขา เขามีชีวิต เขามีความดีของพระเจ้า เป็นเหมือนพระเจ้าเลย เขาจึงสามารถที่จะทำดีได้ แต่เมื่อล้มลงในความบาป ความดีของพระเจ้าหายไป พอความดีของพระเจ้าหายไป เหลือแต่อะไร? ถ้าความดีไม่มี ก็เหลือแต่ความชั่ว ต่อให้มนุษย์คนนั้นดูเหมือนว่าจะทำสิ่งที่ดี ก็ยังอยู่ในธรรมชาติ หรืออยู่ใน DNA บาปของอาดัมเหมือนเดิมไม่มีผิดเลย ถ้าเรามอง สมัยก่อนไม่เข้าใจความจริงลึกๆ แบบนี้  เราก็คิดตามความคิดของเราเองว่า …

            “เพื่อนเราคนนี้เขาดีมากเลย  เขานิสัยดี เขาเป็นคนที่โอบอ้อมอารีย์ ทำทุกอย่างดีหมดเลย  ทำไมพระเจ้าไม่เลือกเขา เขาน่าจะมาเชื่อพระเจ้า”

            แต่ความเป็นจริงในโลกวิญญาณ ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าทรงรักโลกนี้ จนประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อผู้ที่วางใจ จะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ โลกนี้คือมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ พระเจ้าเลือกไว้แล้ว คือพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนครั้งเดียวเป็นพอ ในพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น หลั่งพระโลหิต ก็ครั้งเดียวเป็นพอ คือทำเสร็จ ครั้งเดียว พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว คือจบสิ้นทุกอย่าง แล้วตอนนี้ มนุษย์ทุกคนได้รับตรงนี้ไปเรียบร้อยแล้ว อยู่ที่ว่าเขารู้ไหม? เมื่อรู้แล้ว เขาจะยอมถ่อมใจมารับความช่วยเหลือจากพระเยซูมั๊ย?

            สมัยก่อนเรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราไม่รู้ใช่ไหม? เราก็ดำเนินชีวิตตามโลกใบนี้ ใครว่าอะไรดี เราก็ไป  เราอยากจะทำดี เราพยายามแล้ว พยายามอีก  แต่พยายามให้ขนาดไหน? ข้างในวิญญาณเรา ก็ยังรู้สึกว่าเราดีไม่พอ เราควรจะดีกว่านี้  แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราไม่ต้องพยายามแล้ว เพราะถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าเราดีพร้อม บริสุทธิ์ สะอาด ชอบธรรมเหมือนพระเจ้าเลย นี่คือความจริง

            แล้วมารก็จะพยายามส่งข้อมูล มาหลอกเรา … “เธอดีพร้อมตรงไหน? เมื่อกี้ฉันยังเห็นเธอทำอะไรไม่ดีเลย  เธอไปค้อนเขา”

            แอบค้อนเขา เขาไม่เห็นเนอะ แต่เรารู้ เราเกิดหมั่นไส้นิดหน่อย แอบค้อนนิดหนึ่ง หรือความคิดเราก็คิดสิ่งที่ไม่ดี ไปแล้ว

            มารก็จะส่งข้อมูล … “เห็นไหม? เธอยังทำอย่างนี้อยู่เลย เธอจะบอกว่าตัวเองเป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างไร? สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าได้อย่างไร?”

            แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกเราว่าอย่างไร?  ตรงนี้สำคัญกว่า เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า เราต้องยืนยัน ถ้อยคำของพระองค์ อย่างที่บอก การนมัสการพระเจ้า ก็คือการยอมรับความจริงที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นใคร? ตอนนี้เราได้รับอะไรแล้ว? ตอนนี้สถานะของเราเป็นอย่างไร?  พระเจ้าบอกชัดเจนมาก สถานะของเรา เราเป็นผู้ชอบธรรม เราเป็นคนดีพร้อม เราเป็นที่รักของพระเจ้า  พระเจ้ารักเราดังแก้วตาดวงใจ  นี่คือความจริงทั้งหมด เราต้องรับรู้ตรงนี้ แล้วก็ยึดตรงนี้เอาไว้ อย่าให้ระบบของโลกใบนี้ หรือการหลอกล่อ หลอกลวงทุกรูปแบบที่ส่งข้อมูลเข้ามาหลอกเรา ให้ไขว้เขว เรายังเป็นมนุษย์บนโลกใบนี้อยู่ เวลาเราทำผิด เรารู้สึกฟ้องผิดไหม? มารก็จะใส่ฟ้องผิดๆ แต่พระเจ้าบอกไม่ต้องฟ้องผิด ทันทีที่ผู้เชื่อทำผิดปุ๊บ พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ก็ชำระเราทันที ฉะนั้น ผู้ที่ทำไม่ถูกต้อง อย่างที่บอกไง ตรงนี้มันยากมาก พยายามขอพระคุณพระเจ้า ขอสติปัญญาของพระเจ้า ที่จะให้เราสามารถเข้าใจ และแยกตรงนี้ให้ชัดเจน มันยากมากสำหรับตาที่เรามองเห็นว่าเรากำลังทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่า …

            “ฉันยังสะอาด ชอบธรรม เป็นลูกที่พระเจ้าทรงรักอยู่”

            ฉะนั้น ข้อมูลบนโลกใบนี้ ก็พยายามใส่ๆ เข้ามา … “เธอสะอาดตรงไหน? ยังทำไม่ดี?”

            เราต้องยืนกราน เพราะว่าพระเจ้าบอกอย่างนั้น  เรายืนกรานอย่างนั้น  ที่เราทำสิ่งที่ไม่ดีออกไป  เพราะว่าร่างกายเราอ่อนแอ เราโดนหลอกด้วยระบบของโลกใบนี้ที่พยายามส่งข้อมูลให้เราต่อต้านพระเจ้า ให้เราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า  แล้วเราเผลอ เราก็ทำมันไป  พอทำไป แล้วทำอย่างไร? ทำไป แล้วไม่ใช่เรานั่งจุมปุ๊ก แล้วก็ร้องห่มร้องไห้ …

            “พระองค์เจ้าข้า ลูกเป็นคนบาป ลูกเสียใจ”

            ไม่มี เราไม่ใช่คนบาปอีกต่อไป เมื่อก่อนเป็นนะ เมื่อก่อนเรายังไม่รับรู้ความจริง ดิฉันก็เป็น พอทำผิดปุ๊บ …

            “พระองค์เจ้าข้า ยกโทษให้ลูกด้วย ลูกเป็นคนบาป”

            ณ เวลานี้ เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เรายังบอกว่าเราเป็นคนบาป  แปลว่าเรากำลังบอกพระเยซูว่าสิ่งที่พระเยซูทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน ยังทำไม่สำเร็จ  เรายังต้องช่วยตัวเอง ทำให้มันดี เพื่อที่จะไม่ได้เป็นคนบาป จริงหรือไม่จริง?  ถ้าเราเชื่อตามที่พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  แปลว่าพระเจ้าบอกทุกอย่าง ทำสำเร็จแล้ว …

            “ถ้าเธอทำผิดเมื่อไร? โลหิตของฉันชำระเธอทันที เธอไม่ได้เป็นคนบาป”

            ทำไมรู้ว่าไม่ได้เป็นคนบาป เพราะว่าวิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่เรียบร้อยไปแล้ว เปลี่ยนใหม่เลยนะ เปลี่ยนเป็นวิญญาณใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า บาปมาแตะต้องเราไม่ได้

            ความคิดจิตใจของเราก็ถูกเปลี่ยนใหม่ ก็เข้ามายุ่งกับเราไม่ได้ แล้วร่างกายเราในพระคัมภีร์ พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทรงปกปักษ์ พิทักษ์รักษาคุ้มครองป้องกันเราไว้ คือคลุมเราหมดเลย คลุมเราทั้ง 3 อย่าง ก็คือทั้งวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกาย ฉะนั้น มารมันมายุ่งกับเราไม่ได้เลย ความเป็นจริง คือมันยุ่งกับเราไม่ได้  แต่มันก็หลอกเราไง สามารถหลอกให้เราคิดตามมันได้ แต่เราต้องรับรู้ความจริงว่ามันยุ่งกับเราไม่ได้ เราก็จะถูกหลอกน้อยลง

            ดิฉันชอบประเทศไทย เวลาสงกรานต์ คนก็จะออกไปเล่นน้ำ บังเอิญเราเจอโควิดหลายปี การเล่นน้ำ ก็เลยซาไป เพราะว่ามันไม่ปลอดภัย แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อน  เราจะเห็นช่วงสงกรานต์ ถ้าเราขับรถออกไปข้างนอก เราก็จะเห็น 2 ข้างทาง เด็กๆ เอาถังมาตั้งไว้ คอยเลย รถมาปุ๊บ สาดเลย ดิฉันเคยอยู่บนรถเมล์ โดนถุงน้ำ รถเมล์ร้อน มันไม่ได้ปิดกระจก ถุงน้ำเหวี่ยงเข้ามา บางครั้ง เคยโดนแบบฟาดลงไปอย่างเต็ม แต่ว่าหลายครั้ง เราอยู่ในรถที่มีกระจกอย่างดี รถเมล์แอร์หรือรถส่วนตัว แต่ตาเรามองเห็น ดูวิวทิวทัศน์อย่างดี  เห็นเด็กเขากำลังทำท่าจะสาดน้ำเข้ามา ถามว่าเขาสาดโดนเราไหม? มันไม่โดนอยู่แล้ว เพราะว่ามีกระจกกั้น แต่พอเขาสาดมาปุ๊บ เราทำไง หลบ ทันที  มันเป็นอัตโนมัติ มันคือธรรมชาติ มันคือปกติของมนุษย์ ที่เราอยู่ในธรรมชาตินี้มานานแล้ว นานมาก เราก็เลยถูกหลอกไง ถูกหลอกว่าน้ำสามารถกระเด็นใส่เราได้ ความเป็นจริง คือมันไม่ได้

            ดังนั้น ในโลกความเป็นจริง ในโลกวิญญาณ พระเจ้าก็บอกเราอย่างนี้แหละ  มารมันทำอะไรเราไม่ได้ มันไม่มีอำนาจเลย มันแค่ใช้อิทธิพลของโลกใบนี้ อิทธิพลของความบาปและความตาย พยายามส่งเข้ามาในความคิดของเรา เพื่อให้ผู้เชื่อพยายามพึ่งพาการกระทำดีของตัวเอง พอพูดอย่างนี้ คนรับไม่ได้นะ อย่างนี้คริสเตียนไม่ต้องทำดีหรือ? ทำดีโดยธรรมชาติของเรา จากข้างในวิญญาณ

            คริสเตียนธรรมชาติ  ไม่ทำสิ่งที่ไม่ดีอยู่แล้ว แน่นอนเลย เพราะว่าพระเจ้าเราเป็นความดี พระเจ้าเราเป็นความรัก ธรรมชาติใหม่ของเรา คือเกลียดคนไม่เป็น  ถ้าวันไหนเราเกลียดใคร แปลว่านี่ไม่ใช่ฉันนะ  เราต้องรับรู้ว่าไม่ใช่ฉันนะ อันนี้ ฉันกำลังถูกหลอกให้เกลียดคนโน้นคนนี้ เราก็จะรู้ตัวไง …

            “ไม่เอาๆ ฉันไม่ทำตามเธอ ธรรมชาติใหม่ของฉัน คือเป็นความรัก  เกลียดคนไม่เป็น เป็นความดี เป็นผู้ชอบธรรม”

            นี่คือความจริงในโลกวิญญาณทั้งหมด

            เหตุผลที่พระเจ้าบอกให้เราจดจ่อสิ่งที่อยู่เบื้องบน จดจ่อว่า ณ เวลานี้ พระเจ้าได้ทำให้เราเป็นอะไรแล้ว จดจ่อว่าอะไรที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  จดจ่อว่า ณ เวลานี้ เรามีหน้าที่อย่างเดียว คือชื่นชมยินดี รับเอาผลสำเร็จ ซึ่งเราไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย พระเยซูคริสต์ทำให้เราสำเร็จแล้ว เราก็ฮาเลลูยา สรรเสริญพระเจ้า ขอบคุณพระองค์ นี่คือการนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ถ้าเราพยายามใช้ความคิด ไม่ได้ เราอยู่เฉยๆ ไม่ได้ เราต้องช่วยพระเจ้านิดหนึ่ง เดี๋ยวงานพระองค์ไม่เสร็จ เราต้องไปประกาศนะ เดี๋ยวงานพระองค์ไม่เสร็จ  จริงๆ พระเจ้าให้เราทำแบบธรรมชาติ คือถ้า ณ เวลาไหนที่พระเจ้าต้องการให้เราประกาศ พระองค์ก็พาเราไปเจอเอง แล้วมันออกมาแบบเนียนๆ พี่น้องนึกออกไหม? ก็คือไม่ได้ตั้งท่าว่าวันนี้ออกไป ฉันตั้งเป้าแล้วว่าฉันจะไปประกาศกับคนนี้ ฉันก็คอยจ้อง ใครๆๆ ขอชะแว๊บเข้าไปคุยเรื่องพระเจ้านิดหนึ่ง พอคุยเสร็จ สบายใจ นี่ได้รับใช้พระเจ้าแล้ว มันจริงหรือเท็จ เรากำลังถูกหลอก หลอกให้พึ่งพาความดีงามของตัวเอง เราภูมิใจไง วันนี้เราได้ทำความดีแล้ว ภูมิใจจริงๆ แต่พระเจ้าบอกว่านี่คือ Holy flesh มันเป็นเนื้อหนังที่มันเป็นโฮลี่ ไปประกาศเรื่องของพระเจ้าให้คนอื่น มัน Holy ไหม? เหมือนเราได้รับใช้พระเจ้าเลยนะ ภาคภูมิใจในการกระทำของเรา ณ เวลานั้น

            แต่ถ้าการประกาศของเราที่มาจากข้างในวิญญาณ ที่พระเจ้าให้เราทำ มันออกมาเนียนๆ เลย  เราก็พูดง่ายๆ เรื่องของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เป็นใคร? มาจากไหน? ทำอะไร? บังเอิญมีคนมาถาม เราก็เล่าให้เขาฟัง เล่าเสร็จ เราก็ขอบคุณพระเจ้า ฝากเขาไว้กับพระองค์ เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เราหมดหน้าที่แล้ว ไม่ใช่หน้าที่ของเรา ไปคอยจ้องว่าเขาจะเชื่อหรือเปล่า? พอเขาเชื่อ ภูมิใจ อันนั้นแหละ Holy flesh อีก นึกออกไหม? พอเชื่อ แล้วภูมิใจ ภูมิใจ เพราะอะไร?

            “ฝีมือฉัน เพราะฉันเป็นคนไปประกาศให้เขารู้เรื่องของพระเจ้า”

            มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก เล็กๆ  ซึ่งเราไม่ทันสังเกต แล้วเราก็เลยตกหลุมของมารที่พยายามทึ้งเรา …

            “พยายามให้พึ่งพาตัวเองเยอะๆ เราก็จะพึ่งพาพระเจ้าน้อยลง แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าต้องการให้เราพึ่งพาในพระองค์เท่านั้น  เท่านั้นจริงๆ  อย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตัวเราเอง แต่จงรับรู้พระเจ้าในทุกทาง ทุกเรื่องของพระองค์ ให้พระวิญญาณนำเรา ใช้ชีวิตแบบปกติ ถ้าวันนี้บังเอิญ เราไม่อธิษฐาน เราก็ไม่ฟ้องผิด

            มีพี่น้องคนไหนที่ไม่อธิษฐาน แล้วฟ้องผิดอยู่ มีไหม? สมัยก่อน ตอนเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ วันไหนที่ดิฉันไม่อธิษฐาน ดิฉันฟ้องผิดน่าดูเลย เศร้า วันนี้เราแย่เลย เราทำไมถึงเป็นอย่างนี้ วันไหนขี้เกียจอ่านพระคัมภีร์ ฟ้องผิดอีก กลายเป็นว่าเราไม่ได้เป็นอิสระ เราเป็นทาส ทาสของกฎ กฎที่มนุษย์ตั้งไว้ว่าเธอต้อง … ต้องอธิษฐาน ต้องอ่านพระคัมภีร์ ต้องมาโบสถ์ ต้องถวายทรัพย์ ต้องๆๆๆๆ นี่คือกฎ แต่พระเจ้าไม่ต้องการให้เราอยู่ใต้กฎ พระเจ้าต้องการให้เราอยู่ตามพระวิญญาณนำ แล้วเวลาพระวิญญาณนำเรา แบบสบายมาก เราอยากอ่านพระคัมภีร์ พระวิญญาณนำ เราก็อ่าน เราอยากอธิษฐาน พระวิญญาณนำเรา เราก็อธิษฐาน เราอยากถวายทรัพย์ พระวิญญาณนำเรา เราก็ถวายทรัพย์ มันเป็นอะไรที่ออกมาจากใจ พระวิญญาณบอกเราว่าเมื่อเราทำทุกอย่าง ให้เราทำออกจากใจ ที่พระวิญญาณข้างในนำเรา  แล้วพี่น้องไม่ต้องกลัวหรอกว่าพอเราไม่อธิษฐาน เดี๋ยวพระเจ้าจะตำหนิเรา

            พระเจ้าบอก … “ลูกคนนี้มันขี้เกียจ ไม่รักแล้ว”

            ไม่จริงนะ อย่าให้โดนหลอก เพราะว่าพระเจ้ารักเราสุดๆ แล้ว จบแล้ว พระเจ้า พระเยซูคริสต์ทำให้เราสะอาด ดีพร้อม ทุกอย่าง เรียบร้อยไปแล้ว ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ทำให้ท่านพ้นจากกฎของความบาปและความตาย  ถ้าเมื่อไรเรายังรู้สึกฟ้องผิด แปลว่าเราวิ่งเข้าไปอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย พระเจ้าอวยพรค่ะ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ท่านมั่นใจและพอใจมากกว่าหรือ? ที่จะไปจากร่างกายนี้ และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้า

            2 โครินธ์ 5:6-8 … “6 เพราะฉะนั้น เรามั่นใจอยู่เสมอ และรู้แล้วว่าขณะที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า 7 เพราะว่าเราดำเนินโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่มองเห็น 8 และเรามั่นใจและพอใจ ที่จะไปจากร่างกายนี้ และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่า”

            แม้ความจริงของพระเจ้าจะบอกเราว่าทันทีที่เราบังเกิดใหม่  วิญญาณของเราได้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย  สะอาด  บริสุทธิ์เต็มด้วยสง่าราศีของพระเจ้า พระเจ้าพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าแล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว ทันทีที่เราเชื่อ แต่เนื่องจากตาเนื้อเรามองไม่เห็น มือเราสัมผัสไม่ได้ แต่เรารับรู้ในวิญญาณ เราจึงต้องใช้ความเชื่อ

            เชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา ในถ้อยคำของพระองค์ แน่นอน เมื่อเรารู้ความจริงเหล่านี้ ถ้าเลือกได้ เราก็อยากกลับไปอยู่กับพระเจ้า ซึ่งดีกว่าเยอะเลย แต่ที่พระเจ้ายังให้เราอยู่บนโลกนี้ ก็เพื่อรับใช้พระองค์ สำแดงความรักของพระองค์ที่อยู่ภายในเราเรียบร้อยแล้วออกมา ประกาศฤทธานุภาพแห่งข่าวดีของพระเยซู ดำเนินชีวิตให้เป็นไปด้วยกันกับความจริงที่เราเป็นอยู่

            มอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกายให้พระเจ้าใช้ เปลี่ยนโปรมแกรมความคิดเดิมที่เราเคยชิน มาเป็นโปรแกรมความคิดใหม่ตามถ้อยคำพระเจ้า   แล้วบุคลิกลักษณะของเราก็จะถูกเปลี่ยนใหม่  เป็น เหมีอนพระเจ้า พ่อของเรามากขึ้น

            1 ยอห์น 4:17-18 … “17 ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา เราจึงมีความ มั่นใจ ในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะชีวิตจิตวิญญาณ ที่เรามีขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณ ที่เหมือนกับ ชีวิตจิตวิญญาณของพระคริสต์ 18 ไม่มีความกลัวในความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) แต่ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน (ภายในเรา) ขจัดความกลัวออกไปจนหมดสิ้น เพราะความกลัว (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง) ทำให้เกิดความคิดฟ้องผิด (ว่าถูกตัดสินลงโทษ) ดังนั้นผู้ที่ยังกลัวอยู่ (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง กลัวการถูกลงโทษในวันพิพากษา) คือผู้ที่ยังไม่มีความรัก (อากาเป้แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วนภายในเขา”

            พระเจ้าอวยพรครับ