วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1404

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  กุมภาพันธ์  2023

เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

ตอน 4 “พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วยภายในร่างกาย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

            ตอนที่ 1 “วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว”

            ตอนที่ 2 “ได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า”

            ตอนที่ 3 “ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจแล้ว”

            สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เกิดขึ้นทันที เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราที่นี่ส่วนใหญ่ก็เปิดใจกันเรียบร้อยแล้ว  เพราะฉะนั้น สามารถพูดตามนี้ได้ ทบทวน 3 ตอน ก็สามารถพูดได้ว่า …

            “ฉันไม่ได้เป็นคนบาป ฉันตายแล้ว” คนบาปตายไปแล้ว

            “ฉันบังเกิดใหม่แล้ว และฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว”

            สรุป 3 ตอน เป็นแค่นี้ ง่ายนิดเดียว ตายแล้ว เกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อัศจรรย์ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่ 4 “พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกายของฉันทันที” เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            พื้นฐานของเรื่องพระเจ้าที่เราคุยกันทั้งหมด พื้นฐานของเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น และมิติโลกวิญญาณนี้ มีเพียงแค่ 2 อาณาจักร 2 สถานที่เท่านั้น เราได้เรียนรู้แล้ว พระคัมภีร์ได้บอกชัดเจน ตั้งแต่เริ่มต้น พระคัมภีร์เดิมจนพระคัมภีร์ใหม่ และมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิต ที่เป็นวิญญาณ มีจิตใจ และอาศัยอยู่ในร่างกายนี้เท่านั้น

            ต้องเรียนรู้ตรงนี้ให้ได้ว่านี่คือโลกวิญญาณ นี่คือความจริง ทางวิญญาณต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ใน 2 แห่งนี้เท่านั้น คือมีมิติวิญญาณที่เป็น 2 สถานที่นี้ ที่วิญญาณมนุษย์จะอาศัยอยู่เท่านั้น คือ …

            –  มีอาณาจักรแห่งความจริงของพระคริสต์  และอาณาจักรแห่งความเท็จ หลอกลวงของมาร

            –  มีอาณาจักรแห่งแสงสว่างและมีอาณาจักรแห่งความมืด

            –  มีอาณาจักรแห่งชีวิตนิรันดร์ และมีอาณาจักรแห่งความตายนิรันดร์

            นี่คือพื้นฐานของเรื่องพระเจ้าที่เราต้องใส่ใจ และจับเอาไว้ตลอด เพื่อจะเรียนรู้จักเรื่องถ้อยคำพระเจ้า ต้องเอาตรงนี้เป็นฐานอยู่ในความคิด อยู่ในสมองของเราเสมอ เราได้เรียนรู้จาก 3 ตอนที่แล้วมนุษย์เราเกิดมา ได้อาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด แห่งความตาย จึงจำเป็นต้องย้ายอาณาจักรในทางวิญญาณนี้  โดยผ่านขบวนการอัศจรรย์ทางข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือการบัพติศมาเข้าส่วนร่วมการตาย การถูกฝังไว้ในอุโมงค์ การเป็นขึ้นจากความตาย การบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ เรียกว่าขบวนการการบังเกิดใหม่ ถ้าผู้ที่ยังไม่ได้ติดตาม 3 ตอนที่แล้วมา อาจจะยังไม่เข้าใจ กลับไปทบทวนฟัง 3 ตอนที่แล้ว จะเข้าใจการบังเกิดใหม่นี้

            ขบวนการการบังเกิดใหม่ด้วยพระคุณนี้ “ด้วยพระคุณ” หมายถึงเราไม่สามารถทำเองได้ โดยความประพฤติของเรา เราได้รับพระคุณ ก็คือพระเจ้าทำให้เราฟรีๆ ในขบวนการการบังเกิดใหม่ด้วยพระคุณนี้  ทำให้ทั้งวิญญาณ จิตใจและร่างกายของเรามนุษย์นั้น บริสุทธิ์ ดีพร้อม ไร้ตำหนิ ไม่มีมลทินใดๆ เลย จริงๆ นี่พระเจ้าได้ประกาศความจริงนี้ให้เราได้ยินได้ฟังอย่างนี้จริงๆ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ บริสุทธิ์ ดีพร้อม  ทั้งตัวเลย ทั้งวิญญาณ จิตใจและร่างกายด้วย ทางวิญญาณและจิตใจ ถ้อยคำพระเจ้าที่ยกมา เราได้เรียนรู้แล้วว่านี่คือความจริงที่พระเจ้าบอกเราว่าทางวิญญาณและจิตใจ เมื่อผ่านขบวนการการบังเกิดใหม่ด้วยพระคุณนี้แล้ว เกิดอะไรขึ้น สะอาดบริสุทธิ์อย่างไร? 1 ยอห์น 4:17 ทบทวนอีกนิดหนึ่ง …

        1 ยอห์น 4:17  “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจใน​วัน​พิพากษา ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม ​ก็​เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา  ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจ ที่​เหมือน​กับวิญญาณและจิตใจของ​พระคริสต์”

            ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์ บริสุทธิ์แค่ไหน? ท่านคิดเอาเองก็แล้วกัน แล้วทางร่างกาย จะยกข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ออกมาให้เห็นชัดเจนว่าผ่านขบวนการการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าด้วยพระคุณนี้ ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจและวิญญาณของเราได้สะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้วจริงๆ โรม 12:1 …

        โรม12:1 “เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกายพร้อม (สมอง) ความคิดและสติปัญญาของท่าน ให้สมกับการที่พระเจ้าได้กระทำให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ บริสุทธิ์ สะอาดศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า ที่พระเจ้าสามารถรับได้) และเป็นที่โปรดปรานพอใจของพระเจ้าแล้วนั้น ซึ่งเป็นการกตัญญูต่อพระเจ้าที่สมควร ในวิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณพระเจ้า และเป็นการนมัสการพระเจ้า ด้วยวิญญาณและความจริง”

            พระเจ้าได้กระทำให้เรานั้น เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า ที่พระเจ้าสามารถรับได้แล้ว และเป็นที่โปรดปรานพอใจของพระเจ้าแล้ว

            “พระเจ้าได้กระทำให้ฉันเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมบัติส่วนพระองค์ ที่พระองค์สามารถรับได้แล้ว  และเป็นที่โปรดปรานพอใจของพระองค์แล้ว”

            ฉันไม่ได้ทำเองเลย ใช่ ใครทำให้ พระเจ้าเป็นผู้กระทำให้สำเร็จเรียบร้อยหรือยัง อ่านเมื่อตะกี้นี้ ทำให้แล้วหรือยัง? ทำให้แล้ว แล้วที่อ่านบทที่ 12 ข้อ 1 ที่บอกว่าให้ประพฤติ ให้มันสมกับที่พระองค์ทรงกระทำให้แล้ว เหมือนเรามีลูก ก็บอกทำให้มันเหมือนกับลูกพ่อหน่อย  เป็นลูกเราหรือยัง? เป็นเพราะประพฤติเหมือนเราหรือ? ไม่ใช่ เขาเกิดก่อนการประพฤติ

            พระองค์ทรงกระทำผ่านทางฤทธิ์เดชอำนาจของพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ และชีวิตของพระองค์บนไม้กางเขนนั่นแหละ

            นี่เรากำลังพูดถึงเรื่องอะไร? ความบริสุทธิ์ ส่วนไหน? ส่วนที่เป็นร่างกาย ที่เรามองเห็นอยู่นี้ ร่างกายที่เมื่อวานเพิ่งจะโกหก ร่างกายที่ตะกี้ยังคิดเกลียดเขา คิดอิจฉาริษยาเขาอยู่เลย นี่เหรอบริสุทธิ์ เรามาดูกันต่อไปว่าการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ในร่างกายเดิมนี้ ทำให้ร่างกายเดิม ที่เป็นบาปอยู่นั้น มันบริสุทธิ์สะอาด มีชีวิตเดินเหิน บริสุทธิ์ พระเจ้าบอกบริสุทธิ์  เราก็บอกบริสุทธิ์

            และคำว่าบริสุทธิ์ตรงนี้ พระองค์ทรงกระทำด้วยวิธีใด ผมพยายามอธิบายให้ท่านเห็นชัดเจนขึ้น คือคำว่า “ถูกชำระให้บริสุทธิ์” ที่ตะกี้เราอ่านเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ ที่บริสุทธิ์สะอาด คือการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ชำระตรงนี้มาจากคำว่า Sanctify แปลว่าแยกส่วนออกมา ให้เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ ตรงนี้แปลว่าชำระให้บริสุทธิ์ คือชำระเราให้เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ ส่วนตัวของพระเจ้าพระบิดา พระบิดาสามารถรับได้ ก็คือพระบิดาสามารถติดต่อกับเราได้  พอใจแล้ว  เพราะว่าพระองค์ทรงบริสุทธิ์สะอาด สิ่งของที่อยู่ในบ้านของพระองค์ อยู่ในพระนิเวศน์ของพระองค์ จะต้องสะอาดบริสุทธิ์เท่านั้น มีเชื้อบาปนิดหนึ่งก็ไม่ได้เลย นี่คือคำว่าชำระให้บริสุทธิ์ สะอาด ถูกแยกส่วนออกมาเป็นทรัพย์สมบัติของพระเจ้า เราได้ถูกชำระโดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ อย่างนั้นแหละ กำลังพูดถึงที่ไหน?  ไม่ใช่ที่วิญญาณ ไม่ใช่ที่ใจ เพราะ 2 อย่างนั้นเราได้เห็นแล้วตะกี้นี้ จากถ้อยคำพระเจ้าว่าเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว มันมองไม่เห็นทางด้านตาฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตาฝ่ายวิญญาณมันเห็น แต่ตอนนี้ ร่างกายมันเห็นๆ อยู่ ก็บริสุทธิ์สะอาดแล้วจริงๆ พระเจ้าจะได้สามารถเข้ามาอาศัยอยู่ได้ในร่างกายนี้ บางคนบอกว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ร่างกายฉันยังสกปรกอยู่เลย …

            “พระเจ้าเมตตาลูกด้วย ลูกเป็นคนสกปรก เป็นคนบาป”

            บาปที่ไหนเล่า? ตรงไหนบาป วิญญาณท่านบาปไหม? ไม่บาป เหมือนพระเยซู จิตใจท่านบาปไหม? ไม่บาป เหมือนพระเยซู ร่างกายบาปไหม? ไม่บาป เพราะถูกชำระด้วยพระโลหิตพระเยซูคริสต์แล้ว พระโลหิตพระเยซูคริสต์เต็มด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ อยู่ตลอดเวลา และอยู่ตลอดไป ทุกวินาที ท่านทำอะไรก็ตาม พระโลหิตชโลมอยู่ตลอดเวลา ที่ร่างกายของท่าน เอเมนไหม?  ไม่อย่างนั้นเราจะเรียกอัศจรรย์ ได้อย่างไร? นี่แหละคืออัศจรรย์  พระเจ้าได้เข้ามาอยู่อาศัยกับเราแล้ว อยู่ได้อย่างไรในร่างกายที่เต็มไปด้วยความบาป นั่นนะสิ มันอยู่ไม่ได้อยู่แล้ว แล้วฉันทำบาปล่ะ พระโลหิตของพระเยซูได้ชำระให้เรียบร้อยแล้ว ครั้งเดียวเป็นพอ  แปลว่าพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน ครั้งเดียวลบล้างบาปทั้งสิ้น บาปในอดีต บาปในปัจจุบัน บาปในอนาคต เมื่อไรก็ตามท่านทำ มันล้างออกตลอดเวลา เมื่อตะกี้คิดชั่ว ก็ล้างไปแล้ว เมื่อตะกี้ว่าเขา ก็ล้างไปแล้ว เอเมนไหม? พระเจ้าถึงอยู่ได้ไง ไม่อย่างนั้นอยู่อย่างไร?

            เวลาอธิษฐานก็บอกพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ขอบคุณพระเจ้า  เสร็จแล้วก็บอกว่าฉันยังเป็นคนบาป มันบาปที่ไหน?

            “ฉันทำบาป แต่ฉันไม่ได้เป็นคนบาป ฉันประพฤติสิ่งที่เป็นบาป  แต่ฉันไม่ได้เป็นบาป”

            เพราะบาป แปลว่าการพึ่งพาตนเอง การทำตามความคิดของตนเอง

            “ฉันทำตามความคิดของตนเอง แต่ในวิญญาณของฉัน ฉันเชื่อฟังพระเจ้า ฉันเป็นลูกที่เชื่อฟังพระเจ้า เอเมน”

            1 โครินธ์ 6:19-20 ให้เราเห็นชัดเจนว่าพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราได้แล้วจริงๆ  และในอดีตเปาโลก็มีคนถามอย่างนี้

            “เรายังทำบาปอยู่”

            เปาโลบอกว่า … “ไม่ ท่านไม่ได้เป็นคนทำบาปอะไรเลย พระเจ้าเข้าไปสถิตอยู่กับท่านแล้ว พระเจ้าชำระท่านจนสะอาดหมดจด โดยพระโลหิตของพระองค์แล้ว ไม่เชื่อหรือ? ท่านเชื่อเราเถอะ ท่านจงรับรู้เถิดว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน”

            1 โครินธ์ 6:19-20 จึงได้พูดอย่างนี้ว่า …

        1 โครินธ์ 6:19-20 “19 ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้สถิตในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า 20 ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น จงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด”

            “ท่านไม่รู้หรือว่า” ก็คือท่านควรจะรู้ว่าพระเจ้าชำระท่านด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ในชีวิตของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนแล้ว ท่านบริสุทธิ์สะอาดทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณ ร่างกายของท่านบริสุทธิ์ ถึงขนาดสามารถเป็นที่อาศัย วิหาร หรือว่าบ้าน วิหาร ก็คือบ้านของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ในทางโลกวิญญาณ เรียกว่าวิหาร ถ้าในทางวัตถุต่างๆ เราเรียกกันวิหาร ก็คือบ้าน บ้านทางวิญญาณนั่นเอง เป็นบ้านทางวิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ที่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ในมหาจักรวาล ผู้สูงสุด ที่มีเพียงพระองค์เดียวนั้น เข้ามาสถิตอยู่ได้แล้ว บริสุทธิ์ขนาดไหน? คิดดู ร่างกายของท่านเป็นวิหาร ก็คิดดู คือร่างกายของท่านเป็นอภิสุทธิสถาน ที่อยู่ที่แพรกษา ไม่ใช่อันนี้เป็นวัตถุ แต่ในโลกวิญญาณท่านเป็นอภิสุทธิสถานที่พระเจ้าสถิตอยู่แล้ว ร่างกายของผู้เชื่อ ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที  คือร่างกายเขา กลายเป็นอภิสุทธิสถานที่พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดเข้ามาสถิตอยู่ด้วยแล้ว สะอาดบริสุทธิ์เพียงใด ลองคิดดูสิ แล้วทำอย่างไรถึงเป็นอย่างนั้นได้

            ในนี้บอกว่าพระเจ้าได้จ่ายราคามหาศาลเลย  เพื่อจะสร้างบ้านหลังนี้ ให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม  เพื่อจะสามารถเข้ามาอาศัยอยู่ สถิตอยู่ได้ คือให้บริสุทธิ์ ดีพร้อมทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย ให้พร้อมกับการเป็นบ้านของพระองค์ด้วย เอเมนไหม? ทำเสร็จหรือยัง? เสร็จแล้ว จ่ายราคาหรือยัง? ในยอห์น 14:23 พระเยซูตรัสดังนี้ว่า …

        ยอห์น 14:23  “พระเยซูตรัสตอบว่า “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา (วางใจในพระองค์ว่าเป็นพระเมสิยาห์ พระคริสต์พระผู้ช่วยให้รอด) พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา”

            “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา”

            คำสอนของพระเยซูมีอันเดียว คือจงวางใจในเรา ผู้ที่พระเจ้าพระบิดาได้ส่งมา คือเราเป็นพระเมสิยาห์ มาช่วยเจ้าให้รอดจริงๆ ไม่ได้มาสอนเรื่องความประพฤติ  ไม่ได้มาสอนบอกให้ท่านทำดีนะ ทำอันโน้นอันนี้นะ ทำอย่างเดียวเอง คือจงวางใจในเรา  เพราะถ้าท่านพึ่งพาการกระทำของตนเอง จะทำดี เพื่อจะไปสวรรค์ มันเป็นไปไม่ได้ จงเชื่อฟังคำสอนของเรา  คือวางใจในพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ พระคริสต์  พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระบิดาเจ้าทรงส่งมาช่วยท่านทั้งหลาย

            ถ้าท่านทำอย่างนี้ ก็คือท่านวางใจในเรา คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสิยาห์  ท่านก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พอเปิดใจแล้วเกิดอะไรขึ้น? พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา

            ภาษาเดิมตรงนี้ แปลอย่างนี้ว่า “เรากับพระเจ้า พระบิดา จะมาสร้างบ้านอยู่ในเขา”

            นี่คือภาษาเดิม “เรากับพระบิดาจะมาทำบ้านของเรา ในเขา อยู่กับเขา” ก็คือมาสถิตอยู่กับเขา แล้วทำได้อย่างไร? โดยเรายอมตาย พระเจ้าจ่ายราคา คือชีวิตของพระเยซูคริสต์ เพื่อนำเราเข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์ ตามขบวนการ การบังเกิดใหม่นั้น ที่เราได้เรียนรู้แล้ว เมื่อเราเข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์แล้ว และเมื่อเราได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว  เราก็บริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์แล้วทั้งหมด ทั้งความคิด จิตใจ และวิญญาณ แล้วพระคริสต์ก็สามารถเข้ามาอยู่อาศัยในเราได้นั่นเอง  แผนการของพระองค์ชั้นเยี่ยมเลย ทำให้เรานั้น สามารถที่จะพูดได้ เรานั้นอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เกิดจากพระเจ้า เป็นวิญญาณนิรันดร์ แล้วพระคริสต์ก็สามารถเข้ามาสถิตอยู่ในฉัน เราจึงสามารถพูดว่า …

            “ฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์ และพระคริสต์อยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งพระเกียรติสิริ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน”

            “ฉันเป็นชีวิตนิรันดร์” คือฉันเป็นเชื้อสาย หน่อเชื้อ ที่เกิดจาก DNA ในวิญญาณของพระเจ้า พอสะอาดบริสุทธิ์ เป็น DNA จากวิญญาณของพระเจ้าปุ๊บ ก็เป็นวิหารของพระเจ้า เป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ก็เข้ามาสถิตอยู่ในฉันได้ ในพระคัมภีร์บอกว่าเข้ามาสถิตอยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งพระเกียรติสิริ คือเข้ามายืนยันให้ฉันได้รับรู้ในใจว่าฉันได้เป็นลูกของพระเจ้า สะอาดหมดจด บริสุทธิ์แล้ว แล้วอนาคตฉันจะไปอยู่ที่ไหน? ฉันอยู่ในสวรรค์แล้วนั่นเอง เพื่อยืนยัน คือความหวังแห่งพระสิริ คือความหวังที่จะได้อยู่ในสวรรค์ มันเกิดขึ้นทันที เพราะว่าพระองค์เข้ามาสถิตอยู่ในเรา มายืนยันในใจของเรา เพราะถ้าพระองค์ไม่เข้ามา เราก็ถูกหลอกไปเรื่อย ทั้งๆ ที่เกิดใหม่แล้ว เห็นไหม? พูดง่ายๆ ก็คือนึกถึงในโลกวิญญาณ  มิติวิญญาณ เราได้ย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์ ถูกไหมในโลกวิญญาณ ที่เรามองไม่เห็น เราได้ย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ในสวรรค์แล้ว ส่วนในโลกวัตถุ พระคริสต์ผู้เป็นพระเจ้า เข้ามาอาศัยอยู่ในเรา พอมองออกไหม?

            ในวิญญาณเกิดขึ้นจริงๆ คือวิญญาณ จิตใจและร่างกายเรา ทั้งหมดเลย เข้าไปอยู่ในมิติของโลกวิญญาณ อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์แล้วทันที ส่วนในโลกวัตถุที่เรามองเห็น ก็คือร่างกายเดิมที่เรายังมองเห็นอยู่ พระคริสต์ย้ายเข้ามาสถิตอยู่ภายในร่างกายของเรา มันมหาอัศจรรย์มาก เกิดขึ้นเมื่อไร?  เมื่อเราตัดสินใจเลือกที่จะเปิดใจ วางใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็คือเราต้องการที่จะย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ของพระคริสต์ ในโลกวิญญาณ ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทันที คือเราได้ถูกย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ที่แห่งใหม่ในโลกวิญญาณ เราได้มีที่พำนัก บ้านของเรา แห่งใหม่ในโลกวิญญาณ คือย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ก็คืออยู่ในสวรรค์แล้ว

            และพระเยซูคริสต์ก็ได้ย้ายมาอาศัยอยู่ในร่างกายของเรานี้ด้วยเช่นเดียวกัน  ทันทีเหมือนกัน เพื่อเป็นพยานยืนยัน ให้กับเราว่าเราเป็นลูกของพระองค์จริงๆ มันเกิดขึ้นจริงๆ ทั้งหมด ในโลกวิญญาณนี้  พระองค์เข้ามาสถิตในเรา เพื่อยืนยัน และปกป้อง ดูแล นำพาวิญญาณของเรา นี่คือถ้อยคำพระเจ้าที่บอกไว้

            พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในเรา จะเป็นผู้ยืนยันว่าเราได้อาศัยอยู่ที่นี่แล้ว ที่ในพระคริสต์ ที่ในสวรรค์แล้ว เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องพยายามกระเสือกกระสนทำอะไรต่างๆ อีกแล้ว เพื่อจะได้อาศัยอยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระคริสต์นี้มากขึ้น เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว มันเป็นแล้ว พระวิญญาณจะยืนยันกับเราข้างใน ถึงความจริงเหล่านี้ และเปิดเผยเป็นถ้อยคำของพระองค์ อยู่ในพระคัมภีร์เยอะแยะไปหมด ในพระคัมภีร์ใหม่ เพื่อไม่ให้เราถูกหลอกว่ามันยังไม่เกิดขึ้น  เพื่อให้เราไม่รู้ความจริง พระวิญญาณบอกว่าท่านไม่รู้หรือ? ท่านควรจะรู้ นั่นคือคำพูดของพระวิญญาณ ท่านไม่รู้หรือ? นี่คือความจริง

            เพราะฉะนั้น เราแค่ตอบว่าฉันควรจะรู้ ฉันคิดว่าที่แล้วมา ฉันเป็นคนบาปอยู่

            ท่านไม่รู้หรือว่า? เอ้อ! ฉันควรจะรู้ เพราะฉะนั้น ก็หมายความว่าพระวิญญาณกำลังบอกว่าให้เราแค่รับรู้ความจริงเหล่านี้ แล้วประพฤติตัวให้เหมาะกับ … ให้สมกับ … ให้สอดคล้องกับ … สถานที่ที่เราอยู่อาศัย  คือในสวรรค์นั้น  ในฝ่ายวิญญาณนั้น คือเราอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์แล้ว ในขณะนี้ ให้เราประพฤติตน ให้สมกับเป็นพลเมืองสวรรค์ เป็นพลเมืองของพระเจ้า  เป็นประชากรของพระองค์ ที่บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม เรียบร้อยแล้วนั้น ที่พระเจ้า พระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์ อยู่ในเราด้วย รักดังแก้วตาดวงใจ ตลอดไป ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พอใจในเราแล้ว ดูเราสะอาดหมดจดแล้ว ท่านไม่รู้หรือ! นี่เป็นความจริง ก็แสดงว่าท่านควรจะรับรู้ พระวิญญาณกำลังพูดกับเรา รับรู้ว่าอย่างไร? ว่าอดีตในโลกวิญญาณ เราเคยอาศัยอยู่ในอาดัม ในอาณาจักรของความมืด ในความพินาศ ไม่รู้จักพระเจ้า แต่ตอนนี้ท่านควรจะรับรู้ได้ว่าท่าน หรือเราได้ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ ในอาณาจักรสวรรค์แล้ว

            และพระคริสต์พระเจ้า ทั้ง 3 พระภาค ก็ได้มาอาศัยอยู่ในเราแล้วเช่นเดียวกัน  ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเป็นอื่น  ไม่มีการอยู่ตรงกลาง  อยู่ทั้งสองแห่ง ไม่มี อยู่ที่ไหน ก็ที่นั่นแหละ  หรือไม่มีการไปๆ มาๆ ชั่วโมงนี้อยู่ในพระคริสต์ ฮาเลลูยา สวรรค์เปิด ขอบคุณพระเจ้า นมัสการ น้ำหู น้ำตาไหล

            เดินออกไปข้างนอก ถูกรถเฉี่ยว โอ๊ย! เหมือนนรกเลย ด่าว่าเขาอะไรต่างๆ … “ลูกเป็นคนบาปๆ”

            ตะกี้นมัสการพระเจ้า บอกว่า … “ลูกบริสุทธิ์ๆ” ไปๆ มาๆ อยู่นั่นแหละ

            ท่านไม่รู้หรือว่าท่านบริสุทธิ์สะอาด  พระเจ้าอยู่ในท่านตลอดเวลาจริงๆ ท่านควรจะรับรู้ว่าท่านได้ย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเจ้า และพระเจ้าก็อยู่กับท่านเรียบร้อยแล้ว ไม่มีการย้ายไปย้ายมา พระเจ้าประกาศให้เราเช่นนั้น เราได้ถูกย้ายออกมาจากอาณาจักรแห่งความมืด อาณาจักรแห่งความพินาศ อาณาจักรแห่งการเป็นคนบาปเรียบร้อยแล้ว ย้ายแล้วย้ายเลย ย้ายด้วยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว อัศจรรย์เหล่านี้จะเกิดขึ้นกับท่านทันที โรม 8:38-39  ได้พูดอย่างชัดเจนว่าไม่มีใครที่จะเอาท่านออกไปจากตรงนี้ได้อีกแล้ว ตรงท่านอยู่ในสวรรค์แล้วกับพระเจ้า  พระเจ้าก็อยู่กับท่าน โอบกอดท่านอยู่ตลอดเวลา …

        โรม 8:38-39 “เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ  ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใด ในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง  ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

            ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ ในสวรรค์ ในพระคริสต์ที่ท่านได้ย้ายมาอยู่แล้วนั่นแหละ ใครพูด? พระเจ้าบอกอย่างนั้นแหละ ยืนยันอีก ท่านควรจะรับรู้ว่าท่านได้ย้ายเข้ามาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นครอบครัวของพระเจ้าแล้ว พระเจ้ารักท่านมาก พระเจ้าไม่ยอมให้ใครมาเอาเราออกไปจากครอบครัวของพระองค์ จากพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์แน่นอน เอเมนไหม? ท่านเชื่อไหมว่าพระเจ้าทำได้ ผู้พูดผู้นี้ คือพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  พระเจ้าองค์เดียว ที่เป็นพระเจ้าที่แท้จริง นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีกแล้ว พระองค์ประกอบกิจการงานใด ไม่มีใครขวางได้ พระองค์ประกาศเสมอ ตลอดเวลา ทั้งเล่มของพระคัมภีร์เดิมและพระคัมภีร์ใหม่ หนาขนาดนี้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าผู้เดียว  นอกจากพระองค์ ไม่มีพระเจ้าอื่นใดแล้ว พระองค์ทรงฤทธิ์อำนาจสูงสุด  แล้วพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา  ท่านควรจะรับรู้ ไม่อย่างนั้น แสดงว่าตอนนั้นยังไม่รู้ ลืมไป 1 ยอห์น 4:4 บันทึกอย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 4:4 “ลูกทั้งหลาย​เอ๋ย พวกท่าน​เป็น​ของ​พระเจ้า และได้​มี​ชัยชนะ​เหนือ​พวกเหล่านั้น ที่เป็น​ศัตรู​ต่อต้านพระคริสต์  เพราะ​พระเจ้า​ที่​อยู่​ใน​พวก​ท่านนั้น​ยิ่งใหญ่​กว่า​มาร ​ที่​อยู่​ใน​โลกนี้”

            “พระเจ้าที่อยู่ในฉันนั้น ยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลก”

            เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปกลัวผีสางนางไม้ วิญญาณที่ไหน? ใดๆ อีกแล้ว เอเมนไหม? มันหลอกเรา ให้เรากลัว  แต่พระเจ้าบอกว่าท่านไม่รู้หรือว่าใครอยู่ในตัวท่าน แล้วพระเจ้าผู้นี้หวงแหนลูกๆ ของพระองค์มาก  พระองค์ไม่มีทางยอม แบ่งปันบ้านหลังนี้ คือร่างกายนี้ให้กับใคร? ที่ไหนอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผีมารซาตานนางไม้ที่ไหน? แม้ว่าเทวดาที่ไหนก็ตาม ไม่แบ่งปัน เพราะรักเราดังแก้วตาดวงใจ  นี่คือบ้านของพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า เดินไปไหน ผีมันวิ่งหนีหมด นอกจากว่าท่านจะไม่รู้ความจริง  ถูกหลอก  และพระเจ้าก็ถามท่านว่าท่านไม่รู้หรือว่าความจริงคืออะไร?

            เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราควรจะทำ ก็คือรับรู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นอิสระจากการหลอกลวง ยอห์น 17:23 พระเยซูอธิษฐานกับพระบิดาว่า …

        ยอห์น 17:23  “ให้ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้ถูกทำให้ (บริสุทธิ์ดีพร้อม) สมบูรณ์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา และเพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา และทรงรักพวกเขาเหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”

            เพื่อพวกเขาจะได้ถูกทำให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม สมบูรณ์ เพื่อพวกเขา ก็คือพวกเขาที่เชื่อ และวางใจในพระเยซูคริสต์ ในเรานั้น จะได้ถูกทำให้บริสุทธิ์ ดีพร้อมและสมบูรณ์ เพื่อทั้ง 3 พระภาคจะได้เข้ามาอยู่อาศัยด้วยได้ เพราะว่าข้าพระองค์ คือพระเยซูอยู่ในพระองค์ อยู่ในพระบิดา และพระบิดาอยู่ในข้าพระองค์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน  และพระวิญญาณบริสุทธิ์  ผู้ที่พระบิดาทรงประทานให้  มาสถิตอยู่กับเรา เป็นพี่เลี้ยงเราในวิญญาณ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่อาศัย ทำบ้าน อยู่ในร่างกายของผู้เชื่อทั้งหมด ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ ได้ถูกทำให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม สมบูรณ์แล้วนั้น  เพื่อเป็นบ้านของพระเจ้าได้ สิ่งนี้เกิดขึ้นทันที อัศจรรย์ไหม? อัศจรรย์ ไม่รู้จะบอกว่าอัศจรรย์เท่าไรเลยนะ

            ทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ด้วยทันที เมื่อใครก็ตามเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แค่นั้น ไม่ได้ทำอะไร? ถึงเป็นเรื่องอัศจรรย์อย่างมาก  พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย ภายในร่างกาย  ที่เราคิดว่ามันสกปรก  ที่เราคิดว่าเราไม่ดีงาม ไม่สมบูรณ์เลย แต่พระเจ้าบอกสมบูรณ์แล้ว  เราพอใจแล้ว พอใจด้วยอะไร? ด้วยพระโลหิต  และชีวิตของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  จงมองตรงนั้น  จงมองให้เห็นเถิด  มันเป็นตรงนั้นจริงๆ

            ทั้ง 3 พระภาคทำอะไร? คอยยืนยันกับเราว่าเรื่องทั้งหมดนี้ เป็นเรื่องจริง  และคอยทำอะไรอีก คอยนำพาให้กำลังเรา ที่จะอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้สติปัญญากับเราในการตัดสินใจ ในการเผชิญกับทุกๆ ปัญหา ให้ความรัก ปลอบโยนจิตใจกับเราตลอดเวลา เป็นสันติสุข เป็นความหวัง เป็นความสงบของเราตลอดเวลา คอยนำพาชีวิตเราในทุกเสี้ยววินาที ไปจนถึงนิรันดร์

            นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้เยอะแยะว่าอย่างนั้น ดูแลเรา อยู่กับเรา ในร่างกายนี้ จนถึงเมื่อไร? จนวันที่เราจะออกจากร่างนี้ วันที่จากโลกนี้ เข้าสู่มิติวิญญาณ ถ้าพูดตามภาษามนุษย์  ตามตามองเห็น เรียกว่าตาย ในทางพระคัมภีร์  เราจะไม่ใช้คำนั้นกับคนที่เป็นคริสเตียน เราเรียกว่าล่วงหลับไป จนถึงวันนั้น วันที่เราจากร่างนี้ไป  พระองค์คอยอยู่ดูแลเราตลอดเวลา พระเจ้าผู้สถิตอยู่กับเราทั้ง 3 พระภาคในเรานี้ จะเป็นผู้ที่ชุบเราให้เป็นขึ้นจากความตาย เพื่อสวมร่างกายใหม่ เรียกว่าร่างกายสวรรค์ ในชั่วพริบตาเดียว  ในวันหรือวินาทีที่เราทิ้ง จากร่างกายเดิมนี้  เราจะได้เข้าไปสวมร่างกายใหม่ ซึ่งเป็นวิหารของพระเจ้า ที่แท้จริงเลย ใหม่เอี่ยมเหมือนพระเยซูคริสต์เลย คราวนี้เหมือน 100% ด้วยร่างกายใหม่ ไม่ใช่ถูกชำระเฉยๆ  และเป็นร่างกายเดิม  แต่ถูกชำระด้วย และเป็นร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าร่างกายฝ่ายวิญญาณ ร่างกายสวรรค์ โรม 8:11 บันทึกไว้อย่างชัดเจนเลย …

        โรม 8:11 “ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากตาย สถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย พระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูคริสต์ เป็นขึ้นมาจากตายแล้วนั้น จะทรงทำให้กาย ซึ่งต้องตายของพวกท่านเป็นขึ้นมาใหม่ โดยพระวิญญาณของพระองค์ ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน”

            เป็นขึ้นมาใหม่ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์  ที่สถิตอยู่ด้วยภายใน  ถูกไหม? โดยพระวิญญาณของพระองค์ ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน  พูดเมื่อไร? พูดเมื่อตอนที่เราอยู่บนโลกนี้  พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในท่านแล้วตอนนี้  พระเจ้าที่อยู่ในท่านแล้วตอนนี้  จะเป็นผู้ชุบให้ท่านเป็นขึ้นจากความตาย ก็คือไม่มีการตายแล้ว ชุบให้ท่านเป็นขึ้นจากความตาย เมื่อท่านล่วงหลับไปปั๊บ เปลี่ยนร่างกายใหม่เท่านั้นเอง พระคัมภีร์บอกว่าแค่พริบตาเดียว  วันที่ลมหายใจออกจากร่าง ท่านหลับตาปั๊บ  พริบตาเดียว ตื่นขึ้นมา ก็ได้ร่างกายใหม่ ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม เอเมนไหม?  ท่านก็จะได้อยู่ในสวรรค์ทั้งวิญญาณ ใจใหม่ที่เหมือนพระเยซู และร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูด้วย  คราวนี้ครบถ้วนบริบูรณ์เลย และได้ร่วมครอบครองกับพระเยซูในสวรรคสถาน  ทุกสิ่งที่เป็นของพระเยซูทั้งหมดที่พระเจ้าพระบิดาประทานให้ เรามีส่วนด้วยเช่นเดียวกัน เรียกว่ามรดก รวมไปถึงโลกใหม่ที่พระเจ้าจะสร้างขึ้นใหม่ในอนาคต โลกใหม่ สรรพสิ่งในโลกใหม่ๆ ทุกอย่างใหม่หมด ต้นไม้ใบหญ้า ภูเขา ลำธารใหม่เอี่ยมหมด สัตว์ก็ใหม่เอี่ยมหมด นกที่ท่านเลี้ยงไว้ นกที่ท่านชอบ สุนัขที่ท่านเลี้ยงไว้  แมวที่ท่านเลี้ยงไว้  ถูกสร้างใหม่เอี่ยมหมด ในพระคัมภีร์บอกเช่นนั้น และเราได้ร่วมครอบครองสิ่งเหล่านี้กับพระเยซู ในสวรรค์ ไม่ใช่พันปี  ไม่ใช่ร้อยปี  ไม่ใช่หมื่นปี  เพราะในมิติวิญญาณ  ไม่มีการนับจำนวนปี เป็นนิรันดร์  ก็คือครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์นิรันดร์

            เมื่อครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในพระคัมภีร์บอกพระเยซูคริสต์ เป็นทั้งอัลฟาและโอเมกา เป็นอยู่วานนี้ วันนี้และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ เราร่วมครอบครองกับพระเยซูคริสต์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ เอเมน และขณะที่อยู่บนโลกใบนี้  ท่านควรรับรู้ว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า วิญญาณของท่านเป็นเหมือนพระเยซู ใจของท่านเป็นเหมือนพระเยซู ทั้งสิ้นเป็นใหม่ทั้งหมด เมื่อท่านอยู่ในพระคริสต์  ท่านเป็นชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นใหม่แล้ว

            จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นใหม่ทั้งสิ้น ใหม่หมดเลย ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจ และวิญญาณ ใหม่เอี่ยมเลย เพียงแต่ร่างกายเป็นร่างกายเดิม  ที่ถูกชำระ ท่านเลยถูกหลอกได้ง่าย บางคนฟังไปแล้ว ก็อาจจะถามพระเจ้าว่าในเมื่อตัวเก่าที่เป็นบาป ต้องคำสาป เป็นทาสบาป ได้ตายไปแล้ว ถูกไหม? ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายบริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ใช่ไหมพระเจ้า  แล้วพระองค์ทั้ง 3 พระภาค ก็เข้ามาสถิตอยู่ด้วย  ยิ่งบริสุทธิ์สะอาดใหญ่เลย  แล้วทำไมลูกหรือคริสเตียนที่เป็นอย่างนี้แล้ว ที่บังเกิดใหม่แล้ว ยังประพฤติบาปอยู่เลย  ต้องมีคนถามแน่นอน

            อันดับแรก อธิบายให้นิดหนึ่ง คำว่าบาป คือการกระทำอะไรก็ตาม ที่ไม่ตรงกับความจริงของพระเจ้า เรียกว่าบาป คือไม่ตรงกับสิ่งที่พระเจ้าต้องการ  ไม่ตรงกับกฎระเบียบ ที่พระเจ้าวางไว้  เขาเรียกว่าบาปทั้งสิ้น บาปไม่ได้ หมายถึงการทำชั่วอย่างเดียว บาปตามสายตามนุษย์ว่าทำดี แต่ไม่ได้อยู่ในน้ำพระทัย ไม่ได้อยู่ในที่ของพระเจ้า  ก็เรียกว่าบาปเหมือนกัน บาป คือการพึ่งพาตนเอง  ในความคิด ความรอบรู้ของตนเอง

            เพราะฉะนั้น ยกตัวอย่างการไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า ก็เป็นบาปแล้วเพราะถ้อยคำพระเจ้า ความจริงของพระเจ้า คือพระเจ้ามีอยู่จริงๆ แล้วพระองค์บอกพระองค์ทรงพระชนม์อยู่  แล้วเราก็ใช้ความคิด ไม่มีพระเจ้า บนโลกนี้ นั่นก็คือบาปแล้ว แค่คิด แค่นั้น ก็บาปแล้ว บาป คือการผิดเป้าหมาย จากพระเจ้า พระเจ้าสร้างมนุษย์มา เพื่อมนุษย์จะได้ พึ่งพาในพระเจ้าเท่านั้น  แต่มนุษย์บอกว่าฉันจะพึ่งพาความคิด ความรอบรู้ของตนเอง นี่แหละ เรียกว่าบาป ต้นเหตุของบาป อยู่ตรงนี้

            เรามาดูกันว่าพระเจ้าจะตอบเราว่าอย่างไร? ทำไมคนที่บังเกิดใหม่แล้ว สะอาด บริสุทธิ์แล้ว ยังทำบาปอยู่ ก็เพราะเรายังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิม ที่มันต้องตายอยู่ อาศัยอยู่บนโลกใบนี้ด้วย คิดให้ดีๆ นะ ซึ่งโลกใบนี้ปกคลุมไปด้วยพลังอำนาจของความบาปและความตาย  เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย  กฎเหล่านี้มันยังอยู่ ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้

            กฎของความบาปและความตาย  พลังอำนาจของความบาปและความตาย  ก็คือกฎ กฎเหล่านี้ใครเป็นคนเอาเข้ามา คืออาดัมบรรพบุรุษของเรา ตัดสินใจที่จะอยู่ด้วยตัวเอง นี่แหละ คือกฎของความบาปและความตาย  คือกฎของการกระทำ พึ่งพาในตนเอง  ซึ่งกฎของความบาปและความตาย  พลังอำนาจของความบาปและความตาย บนโลกใบนี้ มีอิทธิพลต่อความคิด ต่อสมอง ต่อร่างกายเดิมของเรา ร่างกายของเรา มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้  ซึ่งพระคัมภีร์ใช้เรียกพลังอำนาจนี้ อิทธิพลนี้ว่ากิเลสตัณหา โลกียตัณหาของโลก หรือโลกียตัณหาของเนื้อหนังของโลกนี้ มันยังอยู่  มันมีอิทธิพล ส่งอิทธิพลเข้ามาที่ความคิดในสมองของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ รวมทั้งผู้ที่บังเกิดใหม่แล้วด้วย มันก็ยังอยู่ในอิทธิพลนั้นอยู่ หรือว่าผู้ที่บังเกิดใหม่แล้ว เดินไป ตายังมองเห็นอยู่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิด ยังคิดได้อยู่  ยังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่

            ซึ่งเจ้าตัวกิเลสตัณหา โลกียตัณหาของเนื้อหนังบนโลกนี้ มันจะคอยเป็นศัตรูกับพระเจ้า มันจะคอยผลักดันให้มนุษย์พึ่งพาตนเอง  อยู่ในกฎนี้แหละ มันจะคอยหลอกลวงและกระตุ้นให้เราทำตามมัน  “มัน” ในที่นี้ ก็คือพลังอำนาจของความบาปและความตาย ความเคยชินของเรา  ที่จะทำตามความคิดของตนเอง ก็คือความบาป  เหมือนที่เคยทำตอนที่เป็นทาสของมันอยู่ ก็คือตอนที่ยังอยู่ในโลกวิญญาณเดิม ก็คืออยู่ในอาดัม อยู่ในสถานที่ที่มนุษย์ไม่มีพระเจ้าอยู่ ตายอยู่ในบาป  มันก็ทำเหมือนเดิม มาคอยหลอกลวง กระตุ้นให้เราทำในสิ่งที่เคยทำมาก่อน  เคยพึ่งมาก่อน  ก่อนที่เราจะมาเป็นคริสเตียน มาบังเกิดใหม่  นึกภาพออกนะ

            ดังนั้น ด้วยความเคยชิน ที่เป็นข้อมูลที่บันทึกไว้ อยู่ในสมอง อยู่ในความคิดเก่าๆ ของเรา ร่างกายของเรา ยังเป็นร่างกายเดิมอยู่ ก่อนเชื่อพระเจ้า เป็นความดันอยู่ เป็นคนขี้หงุดหงิดอยู่ มาเชื่อพระเจ้า บังเกิดใหม่แล้ว อันนี้มันก็ยังอยู่นะ แต่ร่างกายได้ถูกชำระเรียบร้อยแล้ว  โดยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น เรายังอาจที่จะเผลอ ถูกหลอกล่อ ให้ทำตามมันได้  เพราะเราไม่รู้ความจริง เพราะเราถูกหลอกแล้ว หลอกเล่า ซึ่งผลออกมา ก็คือเราก็เป็นทุกข์ เสียใจ ไม่สบายใจ  เพราะมันขัดแย้งกับความต้องการจริงๆ ในวิญญาณของเราที่บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมแล้วนั้น ถูกไหม? วิญญาณเราเหมือนพระเยซู จิตใจเราเหมือนพระเยซู แต่ความคิดเก่า อิทธิพล การดำเนินบนโลกใบนี้ มันแย้งอยู่ พอเราพลาดเผลอไปทำตามความคิดเดิมปุ๊บ จิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซู มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ ก็กระตุ้นอย่างนี้ไม่ถูก เราก็ไม่สบายใจ

            สิ่งหนึ่งที่เราต้องเรียนรู้ เห็นชัดๆ เลย ก็คือความคิดไม่ใช่ตัวตนของเราที่แท้จริงๆ  เพราะเราสามารถคิดไปเรื่อยเปื่อย คิดไปตามตา หู จมูก ลิ้น กาย สมองคิดได้ตลอดเวลาว่าเป็นอย่างนี้ๆ มันสร้างความคิดขึ้นมาตลอดเวลา  เราเรียกว่าสร้างฝัน บางครั้ง เราคิด อาจไปตรงกันกับพระวิญญาณ เรื่องความจริงของพระเจ้าข้างใน

            ยกตัวอย่าง เช่น เราคิดว่ามีพระเจ้าจริงๆ เผอิญมันตรงพอดี สมัยเรายังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า ก็มีโอกาสคิดอย่างนี้เหมือนกันนะ ความคิดไม่ใช่ตัวตนของเรา ความคิด คือความคิด แล้วมันไม่ได้ติดตัวเราไปตลอด วันหนึ่งเรากลับไปอยู่ในสวรรค์ ความคิดก็ไม่ได้ตามตัวเรา ไป ความคิด คือความคิด

            ซึ่งความคิด อาจจะไม่ตรงกับความจริง และส่วนใหญ่ไม่ตรงความจริง เพราะมันเป็นความคิดเดิม และเป็นความคิดที่อยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งมีพลังอำนาจ อิทธิพลของความบาป และความตายปกคลุม ส่งกระแสมาตลอดเลย กระแสเหล่านั้น คือกระแสต่อต้านพระเจ้า กระแสให้เราพึ่งพาความคิด ความรอบรู้ของตนเอง พระคัมภีร์จึงบอกว่าอย่านึกว่าตัวเองฉลาด  แต่จงวางใจในพระเจ้า ในทุกหนทาง แต่ความคิดมันจะแย้งตลอดเวลา เพราะว่ามันดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันเป็นอย่างนั้น เป็นศัตรูกับพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น ความจริงของพระเจ้า คือวิญญาณ จิตใจที่เป็นตัวตนของเราจริงๆ  ไม่อยากจะทำตรงนั้นเลย  แต่ที่ทำไป เราถูกหลอกให้ทำตามความคิดของโลกใบนี้  อิทธิพลของโลกใบนี้ ซึ่งเป็นเหตุให้พระเจ้าทรงทราบแล้ว เตรียมรับมือไว้เรียบร้อยแล้ว  เหมือนที่ตะกี้เราเรียน ฤทธิ์อำนาจโลหิตพระเยซูคริสต์ได้ชำระเราให้สะอาดหมดจด ครั้งเดียวตลอดไป  อดีต ปัจจุบัน อนาคต คือแม้กระทั่งไม่เชื่อฟัง ในอนาคต ก็ถูกลบออกด้วยโลหิตพระเยซูคริสต์ตลอดไป เมื่อเราเผลอไปทำตามความคิดเดิม  ตามกิเลสตัณหา ทางฝ่ายเนื้อหนังเดิม เรียกว่าทำบาปปุ๊บ  พอทำปั๊บ อะไรเกิดขึ้น? สะอาดปุ๊บ ท่านไม่รู้หรือ? คือท่านรู้ไหมเมื่อตะกี้นี้เราเรียนมาตั้งแต่ต้นว่าเราบริสุทธิ์แล้วจริงๆ อย่างนั้น ถ้าท่านเชื่ออย่างนั้นจริงๆ ตามถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ ท่านก็ต้องยอมรับว่าอันนี้ก็เป็นจริงด้วย แต่ท่านอาจจะรับไม่ได้ เพราะว่าความคิดของท่าน สมองของท่านมันมีข้อมูลเดิมอยู่ และตามันก็เห็นอยู่

            “อ้าว! คนนี้เขาทำบาปชัดๆ เลย ยังบอกว่าถูกลบ อย่างนี้ก็สบายสิ ต่อไปนี้ก็ทำบาปได้สบายสิ มารู้จักพระเจ้า ทำบาปได้สบาย”

            ใครบอกเล่า ทำบาปได้สบาย ก็ธรรมชาติมันเปลี่ยนไปแล้ว วิญญาณ จิตใจและร่างกายเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ พระเจ้าก็มาสถิตอยู่ด้วย  แล้วคุณจะไปทำบาปอย่างมีความสุขหรือ? มันเป็นไปไม่ได้ เห็นอะไรบางอย่างหรือยัง?  เพราะฉะนั้น ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ความจริง ก็คือเราไม่ทำบาปแล้ว เราแพ้ด้วย  เราทำไม่ได้ด้วย เราทำไปแล้ว รู้สึกเสียใจมากกว่าเดิม มากกว่าสมัยก่อนอีก

            เหมือนเรากินอาหาร อะไรแพ้ เรายิ่งงด อันนี้เราแพ้นะ เพราะธรรมชาติเราไม่ได้เป็นตามนั้นแล้ว แล้วพระเจ้าผู้สถิตอยู่ด้วยกันกับเราก็จะทำอะไร? ปล่อยทิ้งไว้อย่างนี้หรือ? ไม่ใช่ พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ที่สถิตอยู่ในเรา ทั้ง 3 พระภาค ก็จะคอยฝึกสอน ให้เรารับรู้ความจริง รู้เท่าทันการหลอกลวง ล่อลวง และค่อยๆ พัฒนาชีวิตของเราให้สมบูรณ์แบบ สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ  ด้วยความรักและทำให้เรา มีความฉลาดมากขึ้น ระวังตัวมากขึ้น ในที่สุด ก็พึ่งพาความคิด ความรอบรู้ของตัวเองน้อยลง ก็คือทำบาปน้อยลง รู้เท่าทันความคิดว่าอันนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า  ไม่ได้มาจากตัวเรา

            เพราะฉะนั้น พระเยซูจึงบอกว่า … “ให้เรานมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณ และความจริง”

            นมัสการพระเจ้าด้วยความจริง คือสยบ ถ่อมใจ เชื่อฟังความจริง ถ้อยคำพระเจ้าว่าเราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ตลอดเวลาแล้วจริงๆ เป็นอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นทันที เดี๋ยวนี้และไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเด็ดขาด พูดกับตัวเอง จงเชื่อในพระเจ้าเถิดว่ามันเป็นอย่างนั้น นี่แหละ คือการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง คือนมัสการพระเจ้า นมัสการความจริง  นมัสการ คือยอมถ่อมตน เชื่อฟัง เหมือนดังเป็นทาส คือไม่รู้ ใครจะพูดอะไรต่างๆ ถ้อยคำพระเจ้าพูดไว้อย่างนี้ ฉันเชื่อตามนั้น เราก็จะไม่ถูกหลอก ให้เชื่อฟังคำของพระเจ้า  เชื่อฟังถ้อยคำของพระเจ้า ถ้าเราเชื่อฟังตัวเอง เราก็กลับมาพึ่งพาในตนเอง พึ่งพาในตนเองแล้วเกิดอะไรขึ้น? ตัวเราเองอาจจะถูกล่อลวง ให้หวั่นไหว แน่นอนเลย เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ร่างกายเราเป็นร่างกายเดิม เราถูกล่อลวงให้หวั่นไหว อ่อนแอแน่นอน แล้วก็ล้มลงไปในการทำตามความคิด ความรอบรู้ ความฉลาดของตนเอง ก็คือทำบาป แต่พระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ในเรานั้น พระองค์บอกพระองค์ยังคงเหมือนเดิม วันนี้ วานนี้และสืบๆ ไปเป็นนิตย์  พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลงในความรัก พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลงในสิ่งต่างๆ ที่ดำเนินชีวิตผ่านทางชีวิตของเรา

            ท่านลองคิดดูว่าความคิดและความรู้สึกของเรา มันขึ้นๆ ลงๆ ในขณะนาทีนี้ ที่เราฟังถ้อยคำพระเจ้าอยู่  เดี๋ยวออกไปที่รถ  แดดร้อน ลูกร้อง คนมาเฉี่ยวอีก ท่านก็หงุดหงิดแล้ว ใช่หรือไม่? ถ้าท่านพึ่งพาความคิดของตนเอง มันขึ้นๆ ลงๆ ในความไว้วางใจในความเชื่อฟังพระเจ้า เพราะว่ามันเกิดความสงสัย วิตกกังวล กลัวในสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัว ที่มองเห็นอยู่ ที่ร่างกายรับรู้อยู่ รู้สึกได้อยู่ มันเห็นๆ อยู่ มันกระตุ้น  มันก็อาจจะทำตามที่ถูกกระตุ้นนั้น แต่พระคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรานั้น เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจมั่นคง พระองค์มั่นใจ 1000% ในการช่วยเหลือเรา นำพาเราผ่านทุกๆ สถานการณ์เหล่านั้นได้ อย่างแน่นอน พระองค์ยืนยันว่าพระองค์พาผ่านได้อย่างแน่นอน ไม่ต้องกลัว พลาดไปก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวพระองค์ทรงกระทำได้ทุกอย่าง นำพาเราได้ เอเมนไหม? พระองค์ทรงเริ่มต้นการงานดีในเราแล้ว พระองค์จะทรงกระทำต่อไปจนกระทั่งสำเร็จ  ไม่ต้องพึ่งเราก็ได้ เอเมนไหม?

            เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะสงสัยหรือเราจะล้มลงในการสัตย์ซื่อ ไม่เชื่อฟัง ในการไว้วางใจในพระเจ้า หรือเชื่อฟังในพระเจ้า  ทำบาปสักกี่ครั้งก็ตาม พระองค์ยังคงสัตย์ซื่อ ไม่เปลี่ยนแปลงเลย แม้แต่นิดเดียว ยังคงยืนยันอยู่ในวิญญาณของเรา ในร่างกายของเรา อย่างนั้นตลอดเวลาด้วยว่า …

            “พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง ลูกเอ๋ย พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง โลหิตของเรายังคงฤทธิ์เดชอำนาจ อภัยให้เจ้าอยู่เสมอ”

            และเหล่านี้คืออัศจรรย์ยิ่งใหญ่ คือข่าวประเสริฐของพระเจ้า ข่าวประเสริฐแห่งพระคุณ เป็นความรักของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์  ที่มีมาถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ โรม 8:31 เราลองอ่านนิดหนึ่ง …

        โรม 8:31 “เรา​จะ​ว่า​อย่างไร​ดี ​เกี่ยวกับ​เรื่องนี้ ถ้า​พระเจ้า​อยู่​ฝ่าย​เรา ใคร​จะ​ต่อต้าน​เรา​ได้”

            จำคำนี้ไว้เลยนะ พระเจ้าบอกเราว่า … “เราจะว่าอย่างไรดี เกี่ยวกับเรื่องนี้ เราที่ตะกี้นี้ที่บอกว่ายังเป็นคริสเตียน แล้วยังคงทำบาปอยู่เลย อะไรอย่างนี้  ถ้าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา ใครจะต่อต้านเราได้”

            หมายถึงว่าถ้าพระเจ้าอยู่ข้างเรา อยู่ฝ่ายเรา แบบตะกี้นี้ที่บอกมา รักเราขนาดนี้ และทำให้เราเป็นอย่างที่ความจริงที่เราได้เรียนรู้มาทั้งหมดแล้ว ตัวเก่าตายไปแล้ว ตัวใหม่ก็เกิดขึ้นใหม่ เป็นลูกพระเจ้า สะอาดหมดจด พระองค์เข้ามาสถิตอยู่ทั้ง 3 พระภาคแล้ว บริสุทธิ์สะอาดแล้ว  ใครจะมาต่อต้านเราได้  พระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา อย่าให้ใครมาหลอกลวงเรา ก็คืออย่าให้มารใช้ใครก็ตามมาพูดกับเรา   ใช้ข้อมูลใดก็ตามมาใส่สมองเรา  แม้กระทั่งตัวเราเองพยายามคิดเองก็ตาม จากข้อมูลเดิมก็ตาม    ไม่มีทางหรอกเรื่องเหล่านี้    ไม่สามารถที่จะมาต่อต้าน  หรือมากล่าวหาเราได้ 1 ยอห์น 5:18 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 5:18  “เราทั้งหลายรู้ว่าคนที่เกิดจากพระเจ้า  ไม่มีธรรมชาติของการทำบาป แต่พระบุตรของพระเจ้า ได้ทรงคุ้มครองรักษาเขา (การทรงสถิตอยู่ของพระคริสต์ภายในเขา ปกปักษ์คุ้มครอง ดูแลเขา)  และมารร้าย  ไม่สามารถแตะต้องเขา”

            ชัดไหม? ยิ่งชัดใหญ่เลย … “เราทั้งหลายรู้ไหมคนที่เกิดจากพระเจ้า มาเกิดใหม่แล้ว ไม่มีธรรมชาติในวิญญาณของเขา ในร่างกายของเขา ในชีวิตของเขา ตัวตนแท้ๆ ของเขา ในการทำบาปเลยแม้แต่นิดเดียว แค่นั้นไม่พอ  แต่พระบุตรของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในเขา ได้ทรงคุ้มครองรักษาเขา ด้วยการทรงสถิตของพระเจ้า ของพระคริสต์ปกปักษ์ คุ้มครองดูแลเขา มารร้าย ไม่สามารถแตะต้องเขาได้ เพราะพระคริสต์จะปกป้องคุ้มครองดูแลเราจากมารร้าย ที่คอยกล่าวหาฟ้องร้องเรา พอเราทำผิด มันก็ฟ้องเรา พระคัมภีร์บอกว่ามารร้ายเหล่านี้ ไม่มีอำนาจเลย มันใช้กฎของความบาปและความตาย อิทธิพลเหล่านั้น  ที่เป็นธรรมชาติของการอยู่บนโลกใบนี้ เอามาหลอกเรา  มันจึงได้แค่คำราม หลอกลวง โกหก ด้วยวิธีการชกเรา 2 หมัด เอาคริสเตียนก่อนเลย ง่ายๆ หมัดแรก คือมันหลอกเรา ล่อลวงเรา ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้เราทำบาป ทำสิ่งที่ไม่ตรงกับถ้อยคำพระเจ้า

            ยกตัวอย่างเช่น  พระเจ้าบอกให้อภัย  เราบอกว่าแค้นนี้ต้องชำระ ไม่ได้หรอก มันกี่ครั้งแล้ว  มันอภัยไม่ได้แล้ว  ต้องทำอย่างนี้ๆ สมมติให้ฟัง แล้วเราก็ทำไป ทำไป แล้วเราก็ไม่สบายใจ แทนที่จะ …

            “โอ้! พระเจ้าขอทรงช่วยให้ลูกมีกำลังมากขึ้น ที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ได้มากขึ้น ลูกถูกหลอกไปอีกแล้ว”

            แทนที่จะเป็นอย่างนี้ มันชกหมัด 2 หมัดหนึ่งมันเป็นคนนำพาเราทำใช่ไหม? หมัดหนึ่ง คือมันให้ข้อมูลความคิด จากกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังที่อยู่ในโปรแกรมเก่า ในความคิดของเรา ให้เราตัดสินใจเอาร่างกายนี้ ชกตอบ พอชกตอบปุ๊บ กลับมาถึง แทนที่ตะกี้บอกว่าระลึกถึงความจริงว่าเราถูกหลอกไปแล้ว พลาดไปแล้ว ส่วนโลกใบนี้ที่ต้องชดใช้ ก็ว่าไป  แต่ในทางวิญญาณ มันชกหมัด 2 มา ให้เรารู้สึกเสียใจว่าเราเป็นคนบาป ทำไมเราชั่วอย่างนี้  ทำไมเราเลวอย่างนี้ เมื่อไรมันจะดีสักที  เราเลวที่ไหน?  เราควรจะกลับมาที่เดิม เราเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดหมดจด เพียงแต่เผลอไปทำบาป เพราะฉะนั้น  เดี๋ยวพระเจ้าจะนำพาเรา ที่จะมีกำลังขึ้น ต่อสู้กับการทดลองเหล่านี้มากขึ้น เห็นไหม? นี่แหละคือกลเม็ดเด็ดพรายของมาร พยายามโกหกหลอกลวง และใช้ 2 หมัดนี้  ทำร้ายเรา และใครปกป้องคุ้มครองดูแลเรา มันไม่มีทางเกิดในวิญญาณของเราได้เลย  เพราะในนี้บอกไว้ว่าพระคริสต์ผู้อยู่ภายในเรา  ปกปักษ์คุ้มครองดูแลเรา พระบุตรของพระเจ้าได้คุ้มครองรักษาเขา ก็คือพระเยซูคริสต์ยังคงสถิตอยู่ในเรา ปกป้องคุ้มครองดูแลเรา ให้อยู่ในความจริงของพระองค์นั่นเอง เอเมนไหม?

            ทั้งหมดในวันนี้ พระเจ้าได้ประกาศให้มนุษย์ทั้งหมดได้รู้ว่านี่คือปัญหาของมนุษย์  แก้ไขทางพระเจ้าได้ง่ายนิดเดียว คือมนุษย์เอ๋ย จงเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วอัศจรรย์เหล่านี้จะเกิดขึ้นทันทีในร่างกาย จิตใจ และวิญญาณของท่าน เอเมน  พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            มันเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นภาระที่คริสเตียน จะแบ่งปันความรัก ให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะท่านได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ พระคริสต์เป็นความรัก  ท่านก็เป็นความรักด้วยเช่นกัน

            1 ยอห์น 4:17 …  “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้  (คือการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ) ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา  ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น  เป็นวิญญาณและจิตใจที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์”

            พระเยซูคริสต์จึงตรัสไว้ในยอห์น 13:34​ ว่า … “เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย  คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน  เรารักเจ้าทั้งหลาย   (ด้วยวิญญาณและความจริงใจ) มาแล้วอย่างไร  เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น”

            เมื่อเราบังเกิดใหม่ ได้เป็นความรักเหมือนพระเจ้าแล้ว  เราจึงแบ่งปันความรักที่เหมือนพระเจ้านี้   โดยธรรมชาติของวิญญาณ​และจิตใจใหม่  ที่พระเจ้าประทานให้​  ตอนบังเกิดใหม่ให้แก่คนอื่นได้  อย่างเป็นธรรมชาติ​  ไม่รู้สึกเป็นภาระหนักเหมือนในอดีต​  ก่อนบังเกิดใหม่  ที่ต้องพยายามรักผู้อื่น​ ในขณะที่วิญญาณและจิตใจข้างในเป็นวิญญาณแห่งความเกลียดชัง  เป็นศัตรูกับพระเจ้าผู้เป็นความรัก

            1 ยอห์น 5:3​ … “เพราะนี่แหละ​ เป็นความรัก   (ด้วยวิญญาณและความจริงใจ) ต่อพระองค์  คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์  (ซึ่งใส่ไว้ในวิญญาณและจิตใจใหม่ของเราแล้ว) และพระบัญญัติของพระองค์นั้น (คือให้เรารักกันและกันด้วยวิญญาณและใจจริง)​ ไม่เป็นภาระ”

            ไม่เป็นภาระ  เพราะเป็นธรรมชาติใหม่ของตัวตน ที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในวิญญาณ  เป็นลูกของพระเจ้าเป็นความรักเหมือนพระเจ้า

            พระเจ้าอวยพรครับ