คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2023
เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”
ตอน 3 “ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจแล้ว”
โดย นคร เวชสุภาพร
ซีรี่ย์ “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” ซึ่งมาจากถ้อยคำแห่งความจริงในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ที่ได้พูดถึงรากเหง้าของปัญหาของมนุษยชาติบนโลกใบนี้ คือเกิดเหตุที่วิญญาณนั้น ตกอยู่ในความบาป นี่คือรากเหง้าของปัญหาของมนุษย์ทั้งหมดเลย มันเกิดขึ้นที่ในวิญญาณของเขา ซึ่งมนุษย์มองไม่เห็น ไม่สามารถเข้าใจได้ พระเจ้าจึงได้บอกมนุษย์ แจ้งความจริงให้กับมนุษย์ทราบมาเป็นพันๆ ปีว่าปัญหา รากเหง้าของมนุษย์ มาจากวิญญาณข้างใน ที่ตกลงไปในความบาป เพราะฉะนั้น มนุษย์ไม่มีทางแก้ไขอะไรได้เลย โดยการกระทำของเขา เพราะมนุษย์ตกลงไปในความบาป ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ แต่มนุษย์ก็พยายามที่จะหาทาง แก้ไขตนเอง โดยวิธีทำอะไรต่างๆ เยอะแยะมากมายไปหมด ยกตัวอย่างเช่น ทำดีตามศีลธรรม ความดีงามอะไรต่างๆ ซึ่งเราเรียกกันว่าศาสนา เรียกกันว่าความเชื่อ กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำดี ซึ่งมันก็ช่วยได้บ้าง แต่มันเป็นการช่วยแค่บรรเทาอาการ แต่โรคมันไม่ได้หายขาด
เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงเป็นเหมือนเรา อย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ มีแต่ปัญหาวุ่นวาย อันโน้นอันนี้ เหมือนกับว่ามนุษย์ทำชั่วมากขึ้นทุกวันๆ จริงๆ มันชั่วเท่าเดิม มันไม่ได้มากขึ้นกว่านี้หรอก แต่ว่าคนมันเยอะขึ้น และการพัฒนาความคิด สติปัญญาของมนุษย์เอง มีมากขึ้น มีเทคโนโลยีมากขึ้น เราก็เลยมีความรู้สึกว่ามีความชั่วร้ายมากขึ้น แต่จริงๆ มันเท่าเดิม มาตั้งแต่อดีตแล้ว มาตั้งแต่สมัยโบราณ ปฐมกาลบันทึกเอาไว้แล้ว ถึงบางครั้ง พระเจ้าต้องใช้วิธีพิเศษ คือกำจัดออกไปบ้าง คือน้ำท่วมโลก อะไรอย่างนี้ ยกตัวอย่าง
เพราะมนุษย์พยายามที่จะแก้ไขตนเอง ด้วยวิธีการของตนเอง แต่มันทำไม่ได้ ก็คือการพึ่งในการกระทำดีของตนเอง แล้วก็นึกว่ามันจะช่วยได้ เพราะว่ามันได้ผลบ้าง อาการมันดีขึ้น
สมมติว่าเราเป็นเนื้องอกในสมอง ทำให้เราปวดหัวอย่างมาก เป็นไมเกรน เรากินยาแก้ปวด มันดีขึ้น เราก็นึกว่ายาแก้ปวด ก็ช่วยเราได้ เราก็กินไปเรื่อยๆ แล้วมันหายไหม? มันไม่หาย เพราะว่ามันเป็นเหตุมาจากเนื้องอกในสมอง วิธีรักษา คือต้องให้หมอผ่าตัดเอาเนื้องอกออกไป อย่างนี้เป็นต้น
นี่แหละ คือปัญหารากเหง้าของมนุษยชาติ ซึ่งถ้าไม่รู้ความจริงในข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์ ไม่มีทางหรอกที่มนุษย์จะแก้ได้ ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ว่าทำไมมนุษย์ทำชั่วขนาดนี้ ทำไมไม่ทำดี แล้วก็พยายามไปสอน ให้เขาพยายามทำดี สอนให้เขาพยายามให้เขาระลึกถึงสิ่งที่ดี ซึ่งมันช่วยได้ไหม? ได้ แต่ได้แค่บรรเทาอาการ ดูรู้สึกทำท่าดี เดี๋ยวมันก็เป็นขึ้นอีกแล้ว เหมือนเอาก้อนหินทับหญ้าไว้ เหมือนมันตายไปแล้ว อีกไม่กี่วัน มันก็แทรกก้อนหินนั้น ขึ้นมาข้างๆ รกเหมือนเดิม นี่คือรากเหง้าของปัญหา
เรารู้ได้อย่างไร พระเจ้าบอกเราตั้งแต่เริ่มต้น หนังสือพระคัมภีร์เดิมจนมาถึงพระคัมภีร์ใหม่ ตั้งแต่ปฐมกาลจนจบวิวรณ์ พูดถึงเรื่องนี้แหละ รากเหง้าของปัญหามนุษย์ทั้งปวง
นี่คือจุดที่มา ที่ผมเริ่มซีรี่ย์นี้ว่าอัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับรากเหง้าของปัญหาของมนุษย์ทั้งปวง โดยที่พระเจ้าเป็นผู้แนะนำให้เรา และทำสำเร็จแล้ว ที่พระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขนนั่นเอง ฮาเลลูยา ขอบคุณพระเจ้า
ทบทวน “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”
ตอนที่ 1 “วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว” นี่คือหัวข้อเรื่องตอน 1
ตอนที่ 2 “ได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า” นี่คือตอนที่ 2
และวันนี้ “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” เกิดขึ้นเมื่อไร? ทันที วันนี้ตอนที่ 3 ชื่อเรื่อง “ได้เป็นลูกของพระเจ้า ดังแก้วตาดวงใจแล้วทันที”
อยากให้เน้นคำว่า “ทันที” เพราะว่าซีรี่ย์นี้ คืออัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเปิดใจปั๊บ ได้เป็นลูกของพระเจ้าทันที ที่พระเจ้ารักดังแก้วตาดวงใจแล้ว ทันที ยอห์น 1:12-13 พระเจ้าบอกความจริงเราอย่างนี้ว่า …
ยอห์น 1:12-13 “ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานสิทธิ (ฤทธิ์เดช) ให้เป็นบุตรของพระเจ้า คือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ หรือจาก การตัดสินใจของมนุษย์ หรือจากเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า”
ส่วนคนที่ยอมรับ ยอมเปิดใจ คนทั้งปวง คือมนุษย์ทั้งปวง ใครก็ได้นั่นเอง ที่ยอมรับ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูก็ทรงประทานสิทธิ ฤทธิ์เดชให้ สิทธิ ฤทธิ์เดชนี้คืออะไร? ภาษามนุษย์ ก็คือปาฏิหาริย์ ก็คืออัศจรรย์ พระองค์ก็ทรงประทานการอัศจรรย์ให้ ให้เป็นบุตรของพระเจ้าอย่างอัศจรรย์ เมื่อไร? ทันที แล้วก็เปรียบเทียบให้เราจากข้อนี้ว่าเป็นบุตร หรือเป็นลูกที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายแบบธรรมชาติ หรือการตัดสินใจของมนุษย์ หรือเจตจำนงของสามี แต่เกิดขึ้นจากพระเจ้า ต้องการเปรียบเทียบให้เราว่าเกิดแบบนี้แหละ แบบเหมือนมนุษย์เกิด แต่นี่เกิดจากวิญญาณ ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ จริงๆ จากพระเจ้า ซึ่งเป็นวิญญาณ แต่กลัวว่าเราจะไม่เข้าใจ ก็เลยอธิบายเปรียบเทียบให้เห็นว่าเวลาเราเกิดเป็นมนุษย์ หรือเรามีลูกที่เป็นมนุษย์ เป็นลักษณะเช่นใด? เรารักเขาขนาดไหน?
นึกภาพเวลาเรามีลูกเล็กๆ เราดูแลเขาอย่างไร? เราให้ความรักเขาขนาดไหน? ภาพนั้นแหละ ที่พระเจ้าต้องการให้เราเห็นว่าเมื่อเราเกิดในฝ่ายวิญญาณ ก็เช่นเดียวกัน เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ทันทีปุ๊บ อัศจรรย์เกิดขึ้น เราได้เป็นลูกของพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็ดูแล เหมือนเรามีลูกเพิ่งคลอดออกจากครรภ์ ประคบประหงมอย่างดีมากเลย
เมื่อเราได้บังเกิดเป็นลูกแล้ว โดยความรัก โดยพระคุณของพระเจ้า อย่างที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นแบบอากาเป้ของพระเจ้า เราจึงไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพื่อจะให้พระเจ้ารักเรามากขึ้น เพราะรักเรามากที่สุดแล้ว เหมือนตอนที่เรามีลูกไหม? เพิ่งคลอดออกจากครรภ์ไหม? ดูอะไรก็น่ารักไปหมดทุกอย่างเลย นั่นแหละ รักแบบอากาเป้
เพราะฉะนั้น เราทำอะไร พอเราคลอดออกมาทางวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเพียงแค่รับรู้ ด้วยความเชื่อศรัทธา ที่มั่นคงแข็งแกร่งตามถ้อยคำพระเจ้า และจงมองให้เห็นเถิด เพราะมันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มองไม่เห็น
พระเจ้าจึงบอกว่าจงมองให้เห็นเถิดว่าลูกได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว จงมองให้เห็นเถิดว่าอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ ได้บังเกิดขึ้นในชีวิตของลูกแล้ว ในโลกวิญญาณ ได้บังเกิดอุแว้ออกมาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว และเป็นลูกคนที่พิเศษ ที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร? มีบุคลิกลักษณะ เอกลักษณ์ เฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยม ไม่ต้องเลียนแบบใครอีกแล้ว ต้องมองให้เห็นตรงนี้ให้ได้ว่ามันเป็นอย่างนั้น ไม่ต้องเลียนแบบใคร ให้รู้ตัวเองว่าเราเป็นคนพิเศษสำหรับพระเจ้าแล้ว เพราะว่าในพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงพึงพอใจมาก พึงพอใจใคร? เราผู้ที่เพิ่งบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ เป็นลูกที่พ่อยืนอยู่เคียงข้างตลอดเวลา คอยดูแลเอาใจใส่ ทะนุถนอม ไม่ละสายตาเลย ปกป้องด้วยความหวงแหนอย่างใกล้ชิด เหมือนไหม มันเหมือนจริงๆ เลยนะ ยิ่งตอนนี้มีหลานยิ่งเห็นชัดใหญ่เลย ตอนมีลูกยังไม่ค่อยเห็น เพราะทำงานเยอะ ตอนนี้เกษียณแล้ว เห็นหลาน พ่อแม่เขาดูแล เราเป็นปู่เรายังเข้าไปช่วยดูแล เห็นพ่อแม่เขา เป็นอย่างนี้จริงๆ พระเยซูยกตัวอย่าง ท่านทั้งหลายเป็นมนุษย์ ยังทำอย่างนี้เลย แล้วพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พ่อแห่งฟ้าสวรรค์จะทำมากกว่านั้นอีกสักเท่าใด? ผมทุกเส้นยังนับไว้เลย ผมยังไม่กล้านับผมของหลานเลยนะ นับไม่ถ้วน รู้เพียงแต่ว่าสั้นหรือยาว แต่พระเจ้านับผมทุกเส้นของเราเลย
สายตาของพ่อของเราในสวรรคสถาน พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเรา มองดูเราด้วยความชื่นชมยินดี ภูมิใจในความสมบูรณ์ดีพร้อม บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา ที่เราคุ้นกันว่าอินโนเซ้นท์ มันจริงนะ เราดูลูกของเรา คลอดมา ภูมิใจไหม? ภูมิใจ ลูกฉันน่ารัก พอมีรูปของเด็กทารกสัก 10 รูป เราจะดูรูปของใครก่อน? เราจะดูรูปของคนอื่นก่อนไหม? ไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล มีคนคลอดอยู่ 10 คน เราวิ่งไปที่ตู้ ที่เขาวางเด็กไว้ เรามองใคร? เราถามหาใคร? ถามหาลูกเรา พระเจ้ามากกว่านั้นอีกสักเท่าใด? มากขนาดไหน? ท่านอยากรู้ไหม? พระเจ้าทรงรักเรา แล้วทรงเขียนไว้ในพระคัมภีร์อย่างชัดเจน หลายแห่ง แต่ผมยกมาแห่งเดียว ชัดเจนเลย พระองค์พูดด้วยตัวพระองค์เอง พระองค์ทรงรักเราเท่าๆ กับที่พระองค์ทรงรักพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระบุตร ไม่ใช่บุตรของพระเจ้า เหมือนอย่างเรา พระเจ้าพระบุตร
สิ่งเหล่านี้มันเป็นอัศจรรย์ เกิดขึ้นทันที โดยที่เราซึ่งเป็นลูกนั้น ยังไม่ได้ทำอะไรดีสักอย่าง นอกจากอย่างเดียว คือรับสิทธิ ยอมรับเท่านั้นเองว่าพระองค์ทรงทำให้ ไม่ได้ทำอะไรเลย สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว ในยอห์น 17:23 บันทึกไว้อย่างนี้ชัดเจนว่า ..
ยอห์น 17:23 “ให้ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา และพระองค์อยู่ในข้าพระองค์ เพื่อพวกเขาจะได้ถูกทำให้ (บริสุทธิ์ดีพร้อม) สมบูรณ์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา และเพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา และทรงรักพวกเขา เหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์”
นี่พระเยซูอธิษฐานขอด้วยพระองค์เอง ขอกับพระบิดาว่าอย่างนี้ ท่านเห็นไหม? …
“ให้ข้าพระองค์อยู่ในพวกเขา” คือพระเยซูอยู่ในเรา “และข้าพระองค์อยู่ในพระองค์” พระบิดา พระเจ้าอยู่ในพระเยซูอยู่แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว “เพื่อเขา” คือพวกที่เชื่อในพระองค์ ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ “จะได้ถูกทำให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม สมบูรณ์” เห็นหรือยัง? ทำให้เกิดใหม่ และบริสุทธิ์ ดีพร้อม สมบูรณ์ “เพื่อจะได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา” หมายถึงพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู และพระวิญญาณ 3 พระภาค เราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันในนั้นแล้ว
ลองอ่านตรงนี้ด้วยกัน “เพื่อฉันจะได้ถูกทำให้บริสุทธิ์ ดีพร้อม สมบูรณ์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับ 3 พระภาค”
หยุดสักนิดหนึ่ง แล้วคิดถึงสิ่งที่พูดไปเมื่อสักครู่นี้ ตอนนี้มันเกิดขึ้นแล้ว เพราะว่าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยให้รอดแล้ว เราได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว
มาถึงตอนที่สำคัญ “และทรงรักพวกเขา เหมือนที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์” รักพวกเขา คือมนุษย์ที่เกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า รักเขาทั้งหลาย รักฉันที่ได้เกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว รักเท่าไร? รักเท่าข้าพระองค์ คือรักเท่าพระเยซูคริสต์
ที่ไม้กางเขน พระเจ้าได้สำแดงความรัก อันอัศจรรย์ของพระองค์ เป็นความรักแบบอากาเป้ ไม่มีเงื่อนไขให้แก่มวลมนุษยชาติ โดยการยกเลิกหนี้บาปเวรกรรมที่ชดใช้อย่างไรก็ไม่มีหมด ให้กับมนุษย์ทุกคน นอกจากที่พระองค์ได้สำแดงความรัก ต่อมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยการยกหนี้บาปแล้ว แค่นั้นยังไม่พอ ยังทรงรับเราทั้งหลาย เป็นลูกของพระองค์ด้วย ในหนังสือ 1 ยอห์น 3:1 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …
1 ยอห์น 3:1 “ดูสิ จงมองให้เห็นเถิด! ความรักที่พระบิดามีต่อพวกเรานั้น มันมากมายมหาศาลแค่ไหน ถึงขนาดได้เรียกเราว่าเป็นลูกของพระองค์ และเราก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ โลกนี้ ไม่รู้จักพระองค์ ซึ่งเป็นเหตุที่โลกไม่รู้จักเราเหมือนกัน”
“ดูสิ จงมองให้เห็นเถิด!” แปลว่ามันเกิดขึ้นแล้วในโลกวิญญาณ ต้องผ่านทางความเชื่อศรัทธา ในฝ่ายวิญญาณ จงคิดตามนั้น
“จงมองให้เห็นเถิด ความรักที่พระบิดามีต่อพวกเรานั้น มากมายมหาศาลแค่ไหน? ถึงขนาดเรียกเราว่าเป็นลูกของพระองค์ แล้วเราก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นการเน้นย้ำ เราเป็นอย่างนั้นจริงๆ อาจารย์ยอห์นเน้นย้ำว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็แสดงว่าหลายครั้ง บางทีเรามีความรู้สึกว่าเราเป็นลูกหรือ? เรายังสกปรก เรายังทำอันนั้นไม่ดี อันนี้ไม่ดีเลย แต่ในทางวิญญาณ เราเป็นลูกของพระองค์ มีสถานะอย่างนั้นจริงๆ จึงเน้นให้เราว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เราไม่ใช่ทาสของความบาปอีกต่อไป เราไม่ได้มาเป็นคนรับใช้ในบ้านของพระเจ้าในสวรรค์ แต่เป็นลูกของพระเจ้า
เราอาจจะบอกตัวเองว่าเราเป็นผู้รับใช้พระเจ้า แต่จริงๆ เราเป็นผู้รับใช้ที่เป็นในฐานะเป็นลูกของพระเจ้า กาลาเทีย 4:6 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
กาลาเทีย 4:6 “และเพราะท่านเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว พระองค์จึงทรงใช้พระวิญญาณแห่งพระบุตรของพระองค์ เข้ามาในใจของเรา ร้องว่า “อับบา” คือพระบิดา เหตุฉะนั้น โดยพระเจ้า ท่านจึงไม่ใช่ทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร และถ้าเป็นบุตรแล้ว ท่านก็เป็นทายาทด้วย”
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มองไม่เห็น แต่มันเป็นจริง พระคัมภีร์จึงบันทึกว่าจงมองให้เห็นเถิด และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พระเจ้าส่งเข้ามา ให้เข้ามาอยู่ภายในวิญญาณของเรา เป็นพี่เลี้ยงของเรา ก็จะช่วยยืนยันภายในใจของเรา ให้เรารับรู้ด้วยว่าเรื่องนี้มันเรื่องจริง คือเราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ และพระวิญญาณนี้จะเป็นพยานย้ำยืนยันในใจของเรา ตอนที่เราเกิดเป็นลูกแล้ว นอกจากเป็นพี่เลี้ยงเราแล้ว ยังคอยยืนยันว่าเราเป็นลูกและยืนยันว่าเราไม่ใช่เป็นลูกธรรมดานะ พระเจ้ารักเรามากนะ แล้วเราเป็นลูกที่เป็นทายาท คือมีมรดกตระเตรียมไว้ให้กับเราด้วย นอกจากอภัยในความบาปผิดของเราแล้ว โดยพระคุณของพระองค์ที่ไม่มีจำกัดแล้ว พระเจ้ายังได้ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ เป็นสมาชิก เป็นทายาทคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า มีทรัพย์สมบัติ มีมรดกของพระเจ้าตระเตรียมไว้ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้วในสวรรคสถาน ที่เรามองไม่เห็น แต่จงมองให้เห็นเถิด
“จงมองให้เห็นเถิด”
เมื่อเกิดเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ที่พระเจ้าทรงรักดังแก้วตาดวงใจ เกิดแล้วเกิดเลย ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปเป็นตายอีกต่อไป ไม่มีวันกลับไปที่เดิม เป็นไปไม่ได้ เราบังเกิดใหม่ด้วยเชื้อพันธุ์อมตะ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น คือเชื้อพันธุ์ของพระเจ้า คือชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า
ชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าคืออะไร? บางคนบอกว่าชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า คือไม่มีจุดจบเลย มีอยู่ตลอดไป นั่นไม่ใช่ชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า เพราะเราอาจจะอยู่ตลอดไป อยู่ในความตายตลอดไป อยู่ในความพินาศตลอดไป ก็ได้ แต่ชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า คือไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีที่เริ่มต้น เป็นโอเมก้าและอัลฟ่า ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีที่สิ้นสุด คือวิญญาณของพระเจ้าที่เป็นวิญญาณนิรันดร์ มาเป็นวิญญาณของเรา หน่อเชื้อ เลือดเนื้อเชื้อไขทางวิญญาณของพระเจ้า มาเป็นตัวของเรานั่นเอง ซึ่งเราเรียกกันว่าวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า life eternal หรือ Eternal life คือชีวิตที่เป็นแบบของพระเจ้า ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดจบ นั่นคือตัวตนของเรา ที่เราเรียกว่าเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ใน 1 เปโตร 1:23 ได้บันทึกอย่างชัดเจน ให้เราเห็นความเป็นจริงในโลกวิญญาณว่าเมื่อเราเกิดในโลกวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเกิดด้วยลักษณะอย่างไร จากอะไร? 1 เปโตร 1:23 …
1 เปโตร 1:23 “เพราะท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ใช่เกิดจากเมล็ดพันธุ์ (DNA ทางวิญญาณ) อันเสื่อมสลายได้ แต่จากเมล็ดพันธุ์ (DNA ทางวิญญาณ) อันไม่รู้เสื่อมสลาย เป็นอมตะนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง คือพระวจนะของพระเจ้า (คือพระเยซูคริสต์) อันทรงชีวิต และยืนยงถาวร (เป็นอมตะนิรันดร์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง)”
“ฉันเกิดแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นไปตลอดเลย ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ฉันเกิดแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว”
เมื่อไร? ทันที แสดงว่าเดี๋ยวนี้ ที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว
DNA ก็คือภาษายุคปัจจุบัน ภาษายุคในอดีต ใช้คำนี้ว่าเมล็ดพันธุ์ ก็คือหน่อเชื้อ ก็คือเลือดเนื้อเชื้อไข แต่ในยุคปัจจุบัน เทคโนโลยีเราสืบเสาะไป เราก็ใช้คำนี้ว่ามาจาก DNA ก็คือ DNA ทางฝ่ายวิญญาณ ที่ผมใช้คำนี้ ในนี้บอกว่าเป็น DNA ทางฝ่ายวิญญาณ อันไม่รู้เสื่อมสลาย เป็นอมตะนิรันดร์ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เกิดแล้วเกิดเลย ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เพราะ DNA มาจากพระเจ้า
หัวใจสำคัญของข่าวดี ข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์ ก็คือขบวนการ แห่งการทำให้มนุษย์บังเกิดใหม่นั่นเอง อย่างที่เราได้เรียนรู้จากความจริง ถ้อยคำพระเจ้า เมื่อสักครู่นี้ ทั้งหมดนั้น นั่นคือหัวใจสำคัญของข่าวดี ข่าวประเสริฐ ใครจะประกาศข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ต้องประกาศ หัวใจตรงนี้แหละ คือหัวใจการบังเกิดใหม่ โดยการบัพติศมา ซึ่งแปลว่าเข้าส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าได้สถาปนาขึ้นนั้น ทุกวันนี้ ยังคงกระทำการงานอย่างต่อเนื่อง ในโลกวิญญาณอยู่ คือกระบวนการการบังเกิดใหม่ ข่าวประเสริฐที่เราได้ไปประกาศ
ความหมายของการบังเกิดใหม่นี้ เป็นขบวนการ คือการตาย ถูกฝัง และการเป็นขึ้นจากความตาย ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ได้เป็นลูกของพระเจ้า นั่งที่เบื้องขวาของพระองค์ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในสวรรคสถาน นี่คือขบวนการของการบังเกิดใหม่ ขบวนการของข่าวดีของพระเจ้า ที่มาถึงมนุษย์ทุกคน ซึ่งทุกวันนี้ยังคงทำงานอยู่ ยังคงดำเนินต่อไป และมีผลอยู่เสมอ ในโลกวิญญาณ อยู่ถึงทุกวันนี้ เพราะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในมิติทางฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมิติทางฝ่ายวิญญาณนั้น ไม่มีกาลเวลามากำหนด มันยังคงเป็นอยู่วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิตย์ คือพระเยซูคริสต์ยังคงมีสภาพตายบนไม้กางเขน แล้วถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3
สิ่งเหล่านี้ ที่เกิดขึ้น เป็นปัจจุบันเสมอ ในมิติทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่แบบมนุษย์คิดว่ามันเป็นอดีต 2,000 ปีมาแล้ว เพราะว่ามนุษย์คำนวณเวลาตามระบบของโลกใบนี้ ตามที่พระเจ้าให้มีเวลาอยู่บนโลกใบนี้ ดวงอาทิตย์ขึ้น ดวงอาทิตย์ตก ดวงจันทร์ขึ้น ดวงจันทร์ตก หมุนรอบ อะไรต่างๆ เหล่านี้ นี่เป็นเวลา แต่พอเข้าไปในมิติวิญญาณ ไม่มีเวลา อะไรที่เกิดในโลกวิญญาณ ไม่มีเวลา คือมันเกิด คือเกิดเลย พระเจ้าเป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เป็นผู้ดูแลกฎเหล่านี้อยู่ ว่ามันมีกฎเหล่านี้อยู่ ใครก็ตามที่ทำตามกฎเหล่านี้ ถูกต้อง ได้รับไปเลย เพียงแต่รู้ไหมว่ามันมี
กฎเหล่านี้อยู่ในโลกวิญญาณ เหมือนกับกฎของแรงดึงดูดของโลก มันมีอยู่จริง แต่มีอยู่เฉพาะบนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าทรงสร้างให้กฎนี้อยู่ พอเลยไปถึงดวงจันทร์ ไม่มีแรงดึงดูดของโลกแล้ว หลุดพ้นออกจากแรงดึงดูดของโลกใช่ไหม? มันก็ไม่มีแรงดึงดูดของโลกบนดวงจันทร์ แต่ตราบใดที่ยังอยู่บนโลก และตราบใดที่โลกยังอยู่ ยังมีกฎแห่งแรงดึงดูดของโลกอยู่ และกฎนี้ พระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกเป็นผู้ครอบครอง และดูแลอยู่ ใครประพฤติตาม ถูกกฎ ก็ได้ตามกฎ ใครเชื่อฟัง ตามกฎนี้ เคารพกฎนี้ ยอมขึ้นเครื่องบิน ก็ได้ความสะดวกสบาย ใครไม่เคารพกฎนี้ เผลอไปทำ ไม่มีเซฟตี้ เดินขึ้นไปบนที่สูง ตัดต้นไม้ไม่ระวังตัว หล่นลงมา ก็เจ็บตัว ไม่ว่าเขาเป็นคนดีหรือไม่ดีก็ตาม พระเจ้าดูแลเป็นไปตามกฎ พระองค์ทรงเป็นผู้ควบคุมดูแลกฎเหล่านี้ทั้งหมด
เพราะฉะนั้น ขบวนการการบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ที่กำลังทำการงานอยู่ในโลกวิญญาณ ในขณะนี้ คือการตาย ฝัง เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า มันก็ยังคงเป็นอยู่ และพระเจ้าเป็นผู้ดูแลขบวนการนี้ ให้มันเกิดผลด้วยตัวของพระองค์เอง อย่างแน่นอน มันจึงต้องเกิดผลเสมอ ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้ เมื่อมนุษย์คนใดได้ฟังข่าวประเสริฐนี้ แล้วเชื่อว่ามีกฎนี้ เชื่อในกฎนี้ วางใจในพระเยซู แล้วเปิดใจยอมรับทันที ผลมันเกิดขึ้นทันที เขาได้ตาย ฝัง เป็นขึ้นจากความตาย เกิดเป็นลูกของพระเจ้า นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ทันที ที่เราได้เรียนรู้ไปแล้ว
จะเปรียบเทียบให้ท่านเห็น เช่นเดียวกับกฎของความบาปและความตาย ก็คือกฎแห่งการกระทำ กฎแห่งกรรม กฎแห่งคำสาปแช่งในโลกวิญญาณ ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่ามีกฎนี้อยู่ ซึ่งปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ กระทำการงานอยู่บนโลกนี้ และมนุษย์บนโลกใบนี้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎเหล่านี้ ทั้งสิ้น เรียกว่ากฎแห่งกรรม กฎแห่งการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กฎแห่งศีลธรรมนั่นเอง มนุษย์ก็รู้ว่ามีกฎเหล่านี้อยู่ เมื่อไรมันจะหมดเวรหมดกรรมสักที ลึกๆ ในใจมนุษย์ก็รู้แหละ ซึ่งกฎเหล่านี้ พระเจ้าผู้พิพากษามหาจักรวาล เป็นผู้ดูแลกฎเหล่านี้มีอยู่จริงๆ ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้อยู่ ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้? ยอมรับหรือไม่ยอมรับ? มันมีอยู่จริงๆ และมันจะกระทำการงานในมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ถ้าเผื่อเขาไม่ย้ายออกจากกฎนี้ เขาก็ยังอยู่ในกฎนี้ นี่คือความเป็นจริง นี่คือข่าวประเสริฐ และใครเป็นคนทำให้เขาอยู่ในกฎนี้? ก็คือพระเจ้า เป็นผู้ดูแลให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรมนี้เหมือนกัน
พอเข้าใจไหม? ผมพยายามอธิบายให้ท่านเห็น 2 แง่มุม ให้ชัดๆ พระองค์เป็นพระเจ้า ผู้ทรงดูแลทุกกฎ ให้เป็นไปตามกฎระเบียบ ที่พระองค์ทรงสร้าง เมื่อโลกอยู่ในคำสาปแช่ง อยู่ในความบาปและความตาย ถ้าไม่ย้ายออกมา ก็ยังอยู่ในที่เดิม กฎของความบาปและความตาย พระคัมภีร์บันทึกไว้ มันจะหมดไป จะสูญสิ้นเมื่อไร? เมื่อโลกสูญสิ้นไป จบ
เหมือนตะกี้นี้ผมยกตัวอย่างว่ากฎของแรงดึงดูดของโลกจะหมดไปเมื่อไร? สำหรับมนุษย์นะ นี่พูดตามภาษามนุษย์ปัจจุบัน หมดไปเมื่อเราขึ้นจรวด หลุดออกไปจากโลก แรงดึงดูดของโลก ทางวัตถุก็หายไป กลายเป็นไร้แรงดึงดูดของโลก เหมือนในดวงจันทร์
เพราะฉะนั้น ถ้ามนุษย์รู้อย่างนี้ เข้าใจถึงความจริงตามที่พระเจ้าบอกอย่างนี้ มนุษย์เพียงแค่ยอมเปิดใจให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าของพระคริสต์ เข้ามาในวิญญาณของตน เพื่อผ่าตัดวิญญาณ ย้ายวิญญาณนั้น เข้ามาอยู่ในมิติวิญญาณ เข้ามาสู่กระบวนการบัพติศมาเข้าเป็นส่วนหนึ่งของพระเยซูคริสต์ เข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า แค่นั้นเอง เห็นไหม? มันถึงเป็นข่าวดีมากไง ข่าวดีเหลือเกินเลย
และขบวนการการย้าย ทำงานอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้ สำหรับภาษามนุษย์ บอกว่าทำงานมา 2,000 ปีแล้ว แต่สำหรับพระเจ้า มันทำงานอยู่ เพราะในมิติวิญญาณ มันไม่มีวันเวลา มันเกิดอยู่แล้ว เหมือนพระเจ้าสร้างเครื่องๆ หนึ่งขึ้นมา นี่สมมติ เอาแบบที่จับต้องได้ มองเห็นได้ เพื่อเรามนุษย์พอจะมองเห็นภาพว่าขบวนการการบังเกิดใหม่ของพระเจ้า เหมือนขบวนการการสร้างรถ
ขบวนการการสร้างรถเขามี 1, 2, 3, 4 ก่อนสร้างรถ เขาจะออกแบบรถว่ามันเป็นแบบนี้ มีอย่างนี้ เครื่องอย่างนี้ ใช้ไฟฟ้าอย่างนี้ ใช้น้ำมันอย่างนี้ สมมตินะ ออกแบบก่อน จนได้ครบบริบูรณ์ เช็คดูแล้วโอเค ดีหมดเลย แล้วจึงเริ่มขบวนการผลิต เริ่มตั้งแต่ออกแบบตัวถัง คัดเลือกวัสดุที่ใช้ จนได้เป็นต้นแบบ เขาเรียกว่าโมเดล แล้วเริ่มขบวนการการผลิต ประกอบชิ้นส่วนต่างๆ จนได้เป็นตัวรถ แล้วก็เข้าสู่ขบวนการการทดสอบ เรื่องสมรรถนะของรถ และความปลอดภัย ต้องผ่านทุกขั้นตอนทั้งหมดนี้ เรียกว่าขบวนการ จึงจะนำรถออกมาจำหน่ายได้ ซึ่งรถที่ผลิตออกมาขายได้นั้น เป็นเหมือนรถต้นแบบแรกๆ ที่สร้างขึ้นมา ต้นแบบแรกๆ คือพระเยซูคริสต์ ต้นแบบ คือความสมบูรณ์ในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว
ท่านมองไม่เห็น ผมจะยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง ท่านจะได้เห็นชัดขึ้น เหมือนแก้วรีไซเคิล ไม่ว่าจะเป็นขวดแก้ว หรือแก้วแตกอะไรต่างๆ เขาสามารถเอาไปรีไซเคิลให้เป็นแก้วใสๆ สวยๆ ได้ โดยการเอาแก้วแตก แก้วสกปรกไปรวมๆ กัน แล้วคัดแยกทางด้านเคมี ให้เทคโนโลยีคัดแยกออกมา แล้วก็เอาไปหลอมใหม่ จนกระทั่งเป็นแก้ว เป็นกระจก เป็นอะไรต่างๆ ใหม่เอี่ยม เป็นรูปร่างตามที่เขาต้องการ ซึ่งเราเรียกกันว่ารีไซเคิล คล้ายๆ อย่างนั้น แต่ขบวนการของพระเจ้า ไม่ใช่รีไซเคิล คล้ายๆ กัน เอาวิญญาณของเรา เป็นวิญญาณที่ตายแล้ว สกปรกโสโครกโสมมเหลือเกิน เอาไปรวมกับพระเยซูคริสต์และเข้าไปสู่ขบวนการการผลิตขึ้นมาใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ วิญญาณเก่าตายไปแล้ว ตามที่เราเรียนตอนที่ 1 ตอนที่ 2 ตอนนี้ตอนที่ 3 เป็นวิญญาณใหม่เอี่ยม เหมือนต้นแบบ คือเหมือนพระเยซู
เพราะฉะนั้น คริสเตียน คือผู้ที่เปิดใจ ยอมให้ย้ายจากกฎเดิม มาอยู่กฎใหม่แล้ว ย้ายจากกฎของความบาปและความตายมาอยู่ในกฎของพระเยซูคริสต์ กฎแห่งชีวิตแล้ว คริสเตียนเมื่อถึงวันที่ตามภาษามนุษย์ว่าตาย คริสเตียนตายจากโลกนี้ จึงไม่ใช้คำว่าตาย แต่ใช้คำว่าล่วงหลับ หลับไป หรือไม่ก็ใช้คำว่าจากร่างกายนี้ ไม่ใช้คำว่าตาย ไม่มีคำว่าตายในพระคัมภีร์ใหม่ ตายในพระคัมภีร์ใหม่ ส่วนใหญ่จะพูดถึงเรื่องของการตายจากพระเจ้าทางวิญญาณ วิญญาณตายอยู่ แต่ตอนที่จะออกไปสู่มิติหนึ่ง จะใช้คำว่าจากร่างกายที่เป็นวัตถุนี้ ไปสู่พระเจ้า จากโลกนี้ไปสู่อีกมิติหนึ่ง หรือไม่ก็เรียกว่าล่วงหลับไป เพราะว่าวิญญาณของเขาอยู่ในสวรรค์ทันทีแล้ว ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ เขาเพียงแต่ล่วงหลับไป ก็คือจากมิติ โลกวัตถุนี้ปุ๊บ ตื่นขึ้นมาอีกที เข้าไปสู่มิติโลกฝ่ายวิญญาณ เห็นพระเจ้า อยู่กับพระเจ้าใกล้ๆ เห็นๆ ชัดๆ เลย โดยการได้สวมร่างกายใหม่ เรียกว่าร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตาฝ่ายวิญญาณในร่างกายใหม่นี้ สามารถเห็นมิติฝ่ายวิญญาณ อย่างชัดเจน เรียกว่าตาวิญญาณที่ถูกเปิดออก พอนึกภาพออก
นี่เป็นเรื่องจริงทั้งหมด จะเห็นความเป็นจริงทั้งหมดในมิติโลกฝ่ายวิญญาณของสิ่งที่เกิดขึ้น ตามความเป็นจริง ซึ่งไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากที่เป็นอยู่ ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนมิติไปสู่โลกวิญญาณ คือตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว จึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นอกจากได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ มาแทนที่ร่างกายที่เป็นความดันอยู่นี้ ร่างกายที่เป็นเบาหวานอยู่ ร่างกายที่เป็นมะเร็งอยู่ ร่างกายที่เป็นโรคโควิดอยู่ เป็นร่างกายที่เจ็บๆ ปวดๆ เป็นร่างกายที่ทุกข์อยู่ เขาได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซูแล้วคราวนี้ แต่ในโลกฝ่ายวิญญาณ เขาเป็นวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าให้ไว้ตั้งแต่ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็ยังอยู่ที่เดิม ทุกสิ่งยังคงเหมือนเดิม เหมือนกับตอนที่ยังอยู่ในร่างกายเดิมที่อยู่ในโลกใบนี้ ยังอยู่ในโลกวัตถุนี้ ก่อนที่จะล่วงหลับไป ก่อนที่จะจากไป
พระคัมภีร์บันทึกไว้ อาจารย์เปาโลจึงบอกว่า … “ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ชัดเจนมากเลย ข้าพเจ้ายังตัดสินใจยากมากเลย ถ้ายังอยู่ในร่างกายนี้อยู่ มันก็เป็นประโยชน์ เพราะคุยกันรู้เรื่องกับพี่น้อง มาเทศนา มาบรรยาย มาประกาศข่าวดีให้กับผู้ที่ยังไม่เชื่อ ได้ยิน ได้ฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้า มันก็เป็นประโยชน์อยู่ แต่ข้าพเจ้าเห็นแล้วว่าถ้าให้เปลี่ยนมิติไป ทิ้งร่างกายนี้ไป มันเจ็บปวด มันไม่สบาย มันทำอันนั้นก็ไม่คล่อง ทำอันนี้ก็ไม่ค่อยดี อันนี้ก็เจ็บออดๆ แอดๆ ถ้าไปได้ร่างกายใหม่ มันดีกว่าเยอะเลย ได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ทุกวันนี้ต้องใช้ความเชื่อ เห็นบ้าง ไม่เห็นบ้าง ความรู้สึกต่อต้าน แย้งบ้างอะไรต่างๆ เหล่านี้”
ตามภาษาของการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้า ไปอยู่ในมิติสวรรค์สบายกว่าเยอะเลย ตัดสินใจ ไม่ถูกเลย แล้วแต่พระเจ้าก็แล้วกัน
นี่คนที่มองเห็นความเป็นจริงอย่างนี้ เป็นผู้ที่มีอิสรภาพเรียบร้อยแล้วนั่นเอง เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นความจริงชัดตรงนี้ว่าเพียงแค่รับร่างกายใหม่ เปลี่ยนมิติไปอยู่ในโลกวิญญาณเท่านั้น สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ย้ายมาอยู่ในโลกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว วันหนึ่งข้างหน้า เพียงแค่ล่วงหลับไป ย้ายมิติ สวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซู เข้าสู่มิติโลกฝ่ายวิญญาณเท่านั้น ผมจะให้ท่านอ่านความจริงที่พระเจ้าบอกไว้ในพระคัมภีร์ เพื่อที่จะย้ำยืนยันให้ท่านว่าท่านสบายใจได้ ท่านมีความสุขได้ ท่านคิดเหมือนอาจารย์เปาโลได้ทันทีเลย 1 ยอห์น 3:2 เป็นอย่างนี้ …
1 ยอห์น 3:2 “ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ) เราเป็นลูกของพระเจ้าก็จริง เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจว่าเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ (ได้สวมร่างกายใหม่ ที่เป็นขึ้นจากตาย) เพราะว่าเราจะสามารถ เห็นพระองค์จริงๆ อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น”
“ท่านที่รักทั้งหลาย” ก็คือพี่น้องคริสเตียน “เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ แต่ในโลกวิญญาณ เราเป็นลูกของพระเจ้าก็จริง” หมายถึงในโลกวิญญาณ เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ แต่บนโลกนี้ ในเมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าในโลกวิญญาณด้วย เราก็ยังไม่สามารถ ที่จะเข้าใจว่าเป็นอย่างไร? การเป็นลูกของพระเจ้าในโลกวิญญาณด้วย มันเป็นอย่างไร? การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะปรากฏ หมายถึงเวลาที่ได้พบพระเยซู
การพบพระเยซูในที่นี้ มี 2 ทางที่ได้พบ อันดับแรก ส่วนใหญ่คนที่เป็นคริสเตียนจะรู้จักกันดี ก็คือวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมา ก็คือวันสิ้นโลก คือวันพิพากษา วันที่จบโลกใบนี้แล้ว ที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ วันนั้นพระเยซูจะกลับมา เราจะเห็นพระเยซูหน้าต่อหน้า แล้ววันที่จะเห็นพระเยซูหน้าต่อหน้า วันไหนอีก? หนึ่งในนั้น คือวันที่พระเยซูกลับมา แล้วถ้าพระเยซูยังไม่กลับมา เราหมดอายุขัยไป เราย้ายมิติ ที่ตะกี้นี้บอก เราล่วงหลับไป เราจากร่างกายเดิมนี้ไป เข้าสู่มิติโลกฝ่ายวิญญาณ เราก็ได้เห็นพระเยซูเหมือนกัน ปรากฏ คือมี 2ทาง คือปรากฏโดยที่พระเยซูมา หรือไม่เราก็ไปหาพระเยซู มี 2 ทาง ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง แต่วันนั้น วันที่เราเห็นพระเยซู ไม่ว่าจะทางใดทางหนึ่งก็ตาม ไม่ว่าพระเยซูจะกลับมา หรือว่าเราจะกลับไป ย้ายมิติเข้าไปสู่โลกวิญญาณ ครบถ้วน 100% เลยจริงๆ ในนี้บันทึกไว้ว่าเราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์
คือเมื่อตะกี้ที่ผมบอก เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ ก็คือขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณเรา จิตใจใหม่เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์อยู่แล้ว เราได้เรียนรู้เมื่อตอนที่ 2 แล้ว แต่วันที่เราล่วงหลับไป แค่พริบตา เรียกว่าล่วงหลับไป ลืมตามาอีกที วิญญาณ ที่เหมือนพระเยซู ใจใหม่ที่เหมือนพระเยซูอยู่แล้ว ออกจากร่างแค่พริบตา ได้สวมร่างใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นร่างที่พระคัมภีร์เรียกว่าร่างแบบสวรรค์ มีตาสวรรค์ มีตาแบบพระเยซูที่มองในโลกวิญญาณ ได้เห็นชัดเจน ไม่มีอะไรมาขวางกั้นแล้ว เราจะเห็นพระเยซูปรากฎหน้าต่อหน้าทันที และเห็นตัวเองด้วย คือเราจะปรากฏด้วย
ปรากฏ คือการแสดงออกมาให้เห็น ตอนนี้ไม่ปรากฏ เพราะว่าเห็นไม่ได้ เพราะเราอยู่ในโลกวัตถุ อยู่ในร่างกายซึ่งมันอ่อนแอนี้ ไม่สามารถเห็นเข้าไปสู่มิติของฝ่ายวิญญาณได้ แต่เมื่อวันนั้นมาถึง เราจะเห็น เพราะร่างกายเราเป็นร่างกายใหม่แล้ว เป็นร่างกายเหมือนพระเยซู ร่างกายสวรรค์แล้ว ตาวิญญาณเราจะเห็นความเป็นจริงในโลกวิญญาณ เราจะเห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า เห็นพระเจ้าพระบิดาหน้าต่อหน้า เห็นพระวิญญาณบริสุทธิ์หน้าต่อหน้า และจะเห็นตัวเราเองหน้าต่อหน้าตามความเป็นจริงด้วย เราเรียกว่าสิ่งเหล่านี้ จะปรากฏหมดเลย รวมทั้งพี่น้องของเรา ที่ได้จากไปก่อนหน้านี้แล้ว
สบายใจแล้วนะ สำหรับผู้ที่บังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องมาเป็นห่วงกังวลว่าตายแล้วจะเป็นอย่างไร? จะอย่างนี้อย่างนั้น เพราะว่าอยู่บนโลกนี้ ท่านก็เป็นตามที่พระคัมภีร์บอกแล้ว ไม่ต้องรอให้ตายก่อน ไม่ต้องรอให้จากโลกนี้ไปก่อน อยู่บนโลกใบนี้ทางวิญญาณ ท่านก็ได้เป็นตามนั้นแล้ว เอเมนไหม? นี่ยืนยันตามถ้อยคำพระเจ้าใน 1 ยอห์น 3:2 จึงเป็นข้อความที่เราควรจะสังเกต ควรจะอ่าน ควรจะจำให้ได้ เพราะว่าอยู่บนโลกใบนี้ เราก็เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว จากโลกนี้ไป ก็เพียงแต่เปลี่ยนร่างกายใหม่เท่านั้นเอง นอกนั้นมันยังคงเดิม ผมจึงย้ำอยู่เรื่อยๆ ว่าอัศจรรย์เหล่านี้ จากการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์นี้ มันเกิดขึ้นทันที เดี๋ยวนี้ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เปิดใจปุ๊บ ได้ทันที
คราวนี้สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เปิดใจยอมรับ เกิดอะไรขึ้น ก็ทันทีเหมือนกัน สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เปิดใจยอมรับ ก็คือไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลง ย้ายสถานที่ ไม่ยอมรับว่านี่คือความจริง ก็คือยังไม่ได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน ไม่ได้เข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ เห็นไหม? มันเป็นวิทยาศาสตร์เลยนะ เขาก็ยังคงอยู่ในอาดัม อยู่ในความมืด ที่เรียกว่าความพินาศ วิญญาณตายอยู่ ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า เมื่อตายจากร่างกายนี้ ไม่ใช่ล่วงหลับแล้วนะ เมื่อตายจากร่างกายนี้ ก็ยังอยู่ที่เดิม คือตายในโลกวิญญาณด้วยเช่นเดียวกัน เพราะวิญญาณตายอยู่ พอวิญญาณออกจากร่างทันที ก็ตายอยู่เหมือนกัน ไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าในสวรรค์ได้ พูดง่ายๆ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าไม่ได้นั่นเอง ยังคงอยู่ที่เดิม คืออยู่ในความบาป ถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากเป็นคนบาปเหมือนเดิมนั่นเอง พระเยซูเตือนเรื่องนี้แล้ว เราอ่านดูนิดหนึ่งว่าพระองค์ทรงเตือนว่าอย่างไร? ยอห์น 3:16-18 พระเยซูคริสต์เตือนและตรัสด้วยตัวพระองค์เองเลย อย่างนี้ว่า …
ยอห์น 3:16-18 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์ เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลก เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยโลกให้รอด โดยทางพระบุตรนั้น ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อในพระนามของพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”
นี่พระเยซูเตือนแล้ว “ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็ไม่ถูกพิพากษา แต่ผู้ใดปฏิเสธไม่ยอมรับความจริง ผู้ใดที่ไม่เชื่อ ก็ถูกพิพากษาอยู่แล้ว” ก็คือตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็อยู่ในการลงโทษอยู่ อยู่ในความตายอยู่แล้ว เพราะเขาไม่เชื่อ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ ก็คือเพราะเขาไม่ยอมรับความจริงเรื่องนี้
เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นชัดเจนว่าในมิติของวิญญาณ มีแค่ 2 สถานที่เท่านั้นบนโลกใบนี้ ที่มวลมนุษย์อาศัยอยู่ มวลมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ในโลกวิญญาณอยู่ที่ใดที่หนึ่งของ 2 ที่นี้ คือเขาอยู่ในอาดัม หรือไม่ก็ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์แล้ว ที่เราเห็นเดินเป็นมนุษย์อยู่บนโลกใบนี้ ในโลกวิญญาณ วิญญาณเขาอยู่ที่ไหน? อยู่ในอาดัมหรืออยู่ในพระคริสต์ ท่านลองคิดดูว่าท่านอยู่ที่ไหน? …
– ในอาดัม หรือในพระคริสต์
– ในความบาป หรือในความชอบธรรม
– อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย หรืออยู่ใต้กฎแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์
– เป็นลูกแห่งการกบฏไม่เชื่อฟังพระเจ้า หรือเป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระเจ้า
– เป็นศัตรูกับพระเจ้า หรือเป็นลูกที่รักของพระเจ้า
– พินาศอยู่ในความมืด หรืออยู่ในความสว่าง
– อยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า หรืออยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว
สิ่งเหล่านี้ มันเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ทันที ถ้าย้ายก็ทันที ถ้าไม่ย้ายก็เป็นอยู่อย่างนี้ เหมือนกัน 2 เปโตร 1:4 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่าข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้าเหล่านี้ ทำให้เกิดอะไรขึ้นตามพันธสัญญาที่พระเจ้าวางไว้ …
2 เปโตร 1:4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า (บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า) และพ้นจากความเสื่อมทราม (ความพินาศในวิญญาณ ) ในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาปในวิญญาณ)”
พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า คือได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเจ้าเลย และพ้นจากความเสื่อมทราม หมายถึงพ้นจากความพินาศในวิญญาณที่ผมบอกเมื่อตะกี้นี้พ้นจากการตายในอาดัม ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว หมายถึงเกิดจากการเป็นคนบาป ที่เกิดมาเป็นนั่นเอง ไม่ใช่เกิดจากการประพฤติชั่ว แต่เป็นวิญญาณที่ตายอยู่ ที่ชั่วอยู่ นี่เห็นไหมรากเหง้าของปัญหาของมนุษย์ คืออย่างนี้ คือเราถูกหลอก นึกว่าการตกนรกนั้น เพราะการประพฤติชั่ว ประพฤติไม่ดี อันนั้นมันอาการ มันไม่ได้ทำให้ตกนรกหรอก มันไม่ได้ทำให้ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศหรอก แต่มันถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เนื่องจากวิญญาณมันเป็นความชั่วร้าย เป็นความบาปนั่นเอง
เมื่อตะกี้เราได้บอกว่าเราได้เป็นลูก ที่มีลักษณะเหมือนกับพระเจ้า เข้าส่วนร่วมพระลักษณะของพระเจ้าในวิญญาณ แล้วจะไปอยู่ที่ไหน? เป็นลูกพระเจ้า ก็อยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถานนั่นเอง สำหรับผู้ที่ตอบรับข่าวดีของพระเจ้าแล้ว คือเป็นคริสเตียนแล้ว ฟังอย่างนี้ ก็สบายใจ และหน้าที่ของคริสเตียน ก็คือเพ่งมองไปที่พระเยซูคริสต์ ผู้เป็นความสำเร็จ สมบูรณ์ ครบถ้วนของความเชื่อของเรา เพ่งมองที่ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ บนไม้กางเขนแล้ว เพ่งมองว่าเราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราได้เข้าสู่ขบวนการการเปลี่ยนแปลงแล้ว การสร้างใหม่เรียบร้อยแล้ว เป็นลูกแล้วอย่างตะกี้นี้ที่บอก เราได้เข้าสู่ขบวนการตั้งแต่ตาย ถูกฝัง และเป็นขึ้นจากความตาย เป็นลูกของพระเจ้า นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้า มีอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด ร่วมกับพระเยซูคริสต์ทันทีแล้ว
“ฉันเป็นลูกของพระเจ้าที่สมบูรณ์ ครบถ้วนบริบูรณ์ทุกอย่างแล้ว ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ก็ตาม ไม่ว่าจะทำอะไรผิดพลาดมากขนาดไหนก็ตาม จงมองให้เห็นเถิดว่า “ฉันสำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์ โดยพระเยซูคริสต์แล้ว”
มองให้เห็นและด้วยความเชื่อที่เต็มล้นไปด้วยถ้อยคำของพระเจ้า ที่เป็นความจริงเหล่านี้ว่าความสำเร็จ อันสมบูรณ์ครบถ้วนของเรานั้น พระเยซูคริสต์เป็นผู้กระทำให้เรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ตัวฉันเองเป็นผู้ทำ แต่ฉันพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ อย่าให้ใครมาหลอกให้ฉันจดจ่อที่การประพฤติ การกระทำของตนเองว่าฉันทำดีอย่างนี้ๆ ขณะเดียวกันก็อย่าให้ใครมาหลอกให้เราจดจ่อว่าฉันกระทำผิดอย่างโน้นอย่างนี้ ฉันแย่อย่างนั้นอย่างนี้ อย่าให้ใครมาหลอกเราไปจดจ่อเหมือนเดิม เหมือนกับชีวิตเดิมของเราที่จดจ่ออยู่กับการพึ่งพา การกระทำของตนเอง ทำดี ละชั่ว แต่ให้มองไปที่พระเยซูคริสต์ ทุกสิ่งสมบูรณ์ครบถ้วนที่พระเยซูคริสต์บอก พระองค์บอกสำเร็จแล้วๆ เราเป็นลูกพระเจ้า แล้วพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา พระองค์จะทรงนำเราเองในทุกอย่าง พระองค์เชื่อมั่นในตัวเราว่าตัวเราเป็นคนดีพร้อม สะอาด บริสุทธิ์แล้ว แล้วเรายังจะไปเชื่อใครดี
คราวนี้ สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับข่าวดี วันนี้ก็อย่างที่พระเยซูบอก รีบตัดสินใจเถอะ พระเจ้า เชื้อเชิญ ขอร้อง วิงวอนให้ท่านกลับบ้าน พระองค์ได้เตรียมทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้กับท่านเรียบร้อยแล้ว ทั้งวิธีการที่จะทำให้ท่านบังเกิดใหม่ อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในพระเยซูคริสต์ ก็คือขบวนการการเป็นขึ้นจากความตาย มาเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม มาเป็นลูกของพระองค์ อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ชั่วนิรันดร์เถิด พระเจ้าอวยพรครับ
********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
คริสเตียนบังเกิดใหม่แล้ว จิตวิญญาณ 100% บริสุทธิ์ แต่กำลังเปลี่ยนแปลงซอฟต์แวร์ความคิดใหม่ ให้เป็นไปด้วยกันกับจิตวิญญาณใหม่ ที่บริสุทธิ์ 100% แล้วนั้น
2 โครินธ์ 5:17 … “เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไป ดูเถิด สิ่งสารพัดกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น”
เมื่อเราเกิดใหม่แล้ว ตัวตนจริงๆ ของเรา คือวิญญาณและจิตใจ เป็นใหม่ทั้งสิ้น และร่างกายของเราก็ได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ถูกแยกส่วนเป็นของใช้ส่วนตัวของพระเจ้า เพราะฉะนั้น ให้เรายอมมอบถวาย อวัยวะทุกส่วนในร่างกายใหม่นี้ คือตาหู จมูก ลิ้น กาย ความคิด สมองให้กับพระเจ้า ผู้สถิตอยู่กับเราในวิญญาณของเรา
อย่าเผลอยอมให้ศัตรู คือบาป มีอิทธิพลผ่านทางโปรแกรมซอฟต์แวร์ ความคิดและการกระทำที่เคยชินเก่าๆ มาครอบงำ กระตุ้น ให้เรายอมมอบอวัยวะในร่างกายนี้ กระทำตามกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง เหมือนเมื่อก่อนที่เคยเป็นทาสมันอยู่
ดังนั้น พระเยซูจึงขอร้องให้เรา ให้ความร่วมมือในการอัพเดตซอฟต์แวร์ใหม่อยู่เสมอ จะได้รับรู้ตัวตนแท้จริงของเราในโลกวิญญาณว่าเราเป็นใคร มีสถานะอย่างไรในพระเยซูคริสต์ พร้อมให้พระเจ้าใช้งานได้อย่างดี ทุกฟังก์ชั่นมีคุณสมบัติดีสมราคา ที่พระเจ้าทรงซื้อเรามาด้วยราคาแพงมาก
พระเจ้าจะได้ใช้เรา ให้สมกับเป็น มนุษย์พันธุ์ใหม่ล่าสุด สเปคครบ – สเปคแรง ฟังก์ชั่นครบ บริสุทธิ์ คุ้มราคา เพื่อสำแดงสง่าราศี ความยิ่งใหญ่และความรักอันไม่มีจำกัดของพระองค์ ให้กับมนุษย์ทั้งโลกได้เห็น
เพราะฉะนั้น ขอความร่วมมือ อัพเดตซอฟต์แวร์ใหม่ด้วยครับ! พระเยซูได้ทำให้เรา เป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ล่าสุด สเปคครบ – สเปคแรง ฟังก์ชั่นครบ บริสุทธิ์ คุ้มราคา
พระเจ้าอวยพรครับ