วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1402

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  กุมภาพันธ์  2023

เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

ตอน 2 “ได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” นี่คือซีรี่ย์ที่เรากำลังเรียนรู้กันอยู่ ในขณะนี้  เราคุ้นกันบ่อย โดยเฉพาะคนไทยคุ้นมาก จริงๆ มนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ ก็คุ้นกับคำนี้มาตั้งนานแล้วว่า …

            “อย่าทำบาปทำกรรมนะ เดี๋ยวตกนรก อย่าทำชั่วนะ เดี๋ยวตกนรก”

            ถูกไหม? มันชินปากเลย  แล้วพูดอย่างเป็นธรรมชาติเลย  เวลาเราพูดว่า … “อย่าทำบาปทำกรรม เดี๋ยวตกนรก”

            อยากถามว่าคนที่พูดคิดว่ามนุษย์เรา ต้องทำบาปกี่ครั้งถึงจะตกนรก ที่พูดไปนั้น เราย้อนกลับมาคิดไหมว่าเราพูดไป “อย่าทำบาปนะ เดี๋ยวตกนรก” หมายถึงทำกี่ครั้งถึงตกนรก

            อยากถามว่า “คนตกนรก เขาตกนรก เพราะการกระทำของเขาใช่ไหม?”

            นี่คือความคิดของเรา โดยพื้นฐานของมนุษย์ทั่วๆ ไป ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน หรืออาจจะเป็นคริสเตียนแล้ว ก็มีบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้ว มนุษย์ทุกคนจะตอบคำถามนี้ว่าทำหลายๆ ครั้ง

            เราจะบอกว่า … “ทำบาปทำชั่วหลายครั้งไม่รู้จักกลับใจเสียที ไม่รู้จักเลิกละ การทำชั่ว ทำบาปเหล่านั้น  เดี๋ยวก็ตกนรกหรอก” จริงไหม?

            ก็แสดงว่าเรากำลังตอบว่าทำหลายๆ ครั้ง ไม่ยอมกลับใจใหม่ นั่นแหละ คือตกนรก ฟังให้ดีๆ นะ พอมาเป็นคริสเตียนแล้ว ก็จะตอบว่าทำครั้งเดียว ก็ตกนรกแล้ว  บางคนก็ตอบว่าทำบาปครั้งเดียว ไม่สารภาพ ก็ตกนรกแล้ว

            นี่คือคนที่เป็นคริสเตียน ซึ่งคำตอบเหล่านี้ เป็นการตัดสินจากการมองเห็น  การกระทำ และคิดตัดสินแบบมนุษย์ คือตามที่ตามองเห็น  แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว  พระองค์ตัดสิน ตามความจริงในโลกวิญญาณเท่านั้น ตามกฎที่พระองค์วางไว้ในโลกวิญญาณเท่านั้น  ดังนั้น เราต้องใช้ความเชื่อตามถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริงของพระเจ้า ที่บอกเรา  และคำตอบที่ถูกต้องของคำถามนี้ ตามพระเจ้า ตอบว่าอย่างไร? พระเจ้าตอบเราในโลกวิญญาณ เป็นความจริงตามกฎของพระองค์ว่า …

            “ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็บาปแล้ว”

            เพราะความจริง คือมนุษย์เรา เป็นคนบาป โดยกำเนิดเกิดมาเป็น เอเมน อันนี้เอเมนได้ มันเรื่องจริง ตกใจ ไม่กล้าเอเมน มนุษย์เราเป็นคนบาป เกิดมาเป็นคนบาป  ไม่ทำอะไรเลย ก็บาปอยู่แล้ว ถ้าในปัจจุบัน ก็จะบอกว่ามาจาก DNA ทางวิญญาณ สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ มนุษย์เรามีแนวโน้มที่จะตัดสินอะไรก็ตามที่เราเห็นตามการกระทำที่เห็นได้  เพราะเราตาบอดทางวิญญาณไง ตาบอดทางวิญญาณ ก็สื่อให้เห็นว่าเพราะเราเป็นคนบาป จึงไม่สามารถเข้าใจโลกฝ่ายวิญญาณได้นั่นเอง

            ความจริงในถ้อยคำพระเจ้าบอกเราว่าปัญหาของมนุษย์อยู่ที่วิญญาณภายใน ที่ตายจากความดีงามของพระเจ้า ไม่ใช่การกระทำภายนอกที่เราเห็น พระเจ้าจึงตรัสว่ามนุษย์นั้น มองที่ภายนอก ดูการกระทำ แต่พระเจ้าดูที่วิญญาณภายใน  และมนุษย์เกิดมาตายอยู่ เป็นบาปอยู่ ในโรม 3:20 บอกไว้ชัดเจนว่า …

        โรม 3:20 “ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้าโดยการรักษาบทบัญญัติ บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรา รู้ตัวว่ามีบาป”

            “เป็นผู้ชอบธรรม” หมายถึงเป็นผู้ดีงาม รู้ตัวว่าเป็นคนบาป รู้ตัวว่ามีบาป เราบอกผู้อื่นว่า … “อย่าทำชั่วนะ เดี๋ยวตกนรก” คือเรารู้อยู่แล้วว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป ต้องได้รับโทษ คือนรก มันจึงพูดอย่างนั้นออกมา ชัดเจนมาก

            เพราะตั้งแต่วันที่อาดัม บรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์มนุษย์ นำพาเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด ตกลงไปในความบาป สูญเสียพระสิริ และพระฉายของพระเจ้าไป ตาวิญญาณก็เริ่มบอด ไม่สามารถรับรู้และเห็นความจริงในโลกวิญญาณได้ มนุษย์บนโลกใบนี้ จึงดำเนินชีวิตด้วยตามองเห็น สัมผัสได้เท่านั้น ตัดสินจากการกระทำภายนอก  ไม่สามารถรับรู้เรื่องโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นอยู่จริงๆ มากกว่าโลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ด้วยซ้ำไป มนุษย์จึงสามารถยอมรับและยอมจำนนต่อพระเจ้าได้เท่ากันกับความจริงที่พระเจ้าบอก แล้วเขาใช้ความเชื่อศรัทธาว่านี่พระเจ้าบอก มันจริง เขายอมรับ เขาเอเมน มันจริง ทั้งๆ ที่ตาเขา หูเขาอาจจะได้ยินเสียงคนอื่น หรือความคิดเขาอาจจะคิดตามภาษามนุษย์แล้วว่ามันแย้งกัน แต่เขายังฝืนที่จะเชื่อ ยอมรับ ยอมจำนนในความจริงของพระเจ้าอยู่  เราเรียกกันว่าความเชื่อศรัทธา  นี่คือวิธีการที่จะทำให้มนุษย์สามารถรับรู้เรื่องโลกวิญญาณได้ ก็คือใช้ความเชื่อศรัทธาเท่านั้น

            พระเจ้าบอกว่ามนุษย์สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษอาดัมที่เป็นบาป จึงตกลงไปในความบาปด้วยกัน มนุษย์สืบเชื้อสายทางร่างกายและวิญญาณมาพร้อมๆ กัน

            อย่างที่บอกเมื่อตะกี้นี้ว่าเราเป็นคนบาป เราจึงไม่เห็นวิญญาณว่ามันสืบเชื้อสายมาอย่างไร? แต่ร่างกายเราสามารถที่จะเห็นและยอมรับความจริงตามถ้อยคำพระเจ้าได้ว่าสืบเชื้อสายมา ใช่ จริงๆ ถูกไหม? นี่แหละคือปัญหา

            ก่อนที่จะเกิดเป็นมนุษย์ เราอยู่ในไหนทางฝ่ายร่างกาย เราก็อยู่ในพ่อ ก่อนหน้านั้น เราก็อยู่ในปู่ อยู่ในทวด อยู่ในก๋งงงง ไล่เรื่อยไป จนบนสุด ก็คืออาดัม นี่คือเราเห็น เราสามารถรับรู้ได้ทางฝ่ายร่างกาย เราได้ลักษณะทางร่างกายที่มี DNA ทางกายภาพ เหมือนพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย DNA ที่ได้รับสืบทอดมา ก็จะทำให้เราเหมือนพ่อเรา พ่อเราก็เหมือนปู่ เราบางครั้ง ก็เหมือนปู่นิดหนึ่ง ได้รับจากย่าไปนิดหนึ่ง อะไรอย่างนี้ เราจะเห็นภาพชัดเจน นั่นคือลักษณะพันธุกรรม ทางร่างกายที่เรามองเห็น ในทางวิญญาณ DNA ทางวิญญาณ ก็ลักษณะเดียวกันเลย  เพียงแต่เรามองไม่เห็น  แต่พระเจ้าสามารถบอกความจริงเราได้  และถ้าเราใช้ความเชื่อศรัทธาในพระเจ้า เราก็สามารถเอเมนว่ามันเป็นจริงตามนั้นแหละ ทั้งๆ ที่เรามองไม่เห็น

            DNA ทางฝ่ายวิญญาณ เช่นอาดัม บรรพบุรุษของเรา เป็นคนบาป เป็นบาป เราก็เป็นบาปด้วย เห็นไหม? พระคัมภีร์บอกเราว่าอาดัมตายจากพระเจ้า เราก็ตายจากพระเจ้าด้วย อาดัมถูกพิพากษาลงโทษให้ถึงตาย  ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศอยู่ในนรก เราก็ถูกพิพากษาลงโทษด้วย นี่คือ DNA ทางวิญญาณ เหล่านี้ คือรากเหง้าของปัญหาทั้งปวงของมนุษยชาติ  คือบาปที่อยู่ในวิญญาณของเรา  คือกำเนิด เกิดมาด้วย DNA ทางวิญญาณ ที่เป็นบาป ที่ตายจากพระเจ้า อยู่ในอาดัม ตายอยู่ในบาป ตายอยู่ในความชั่วร้าย ไม่มีพระเจ้านั่นเอง คือรากเหง้าของมนุษย์ ตายอยู่ ทางวิญญาณ มนุษย์มองไม่เห็น แต่พระเจ้ากำลังบอกว่าปัญหาใหญ่ของมนุษย์อยู่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ที่การกระทำ ไม่ได้อยู่ที่คนทำบาป แต่อยู่ที่คนเป็นบาป คนที่ตายอยู่

            ผมยกตัวอย่างนี้ให้เห็นชัดเจนว่าคนกำลังตาย เขาต้องการอะไร? สมมติว่าคนกำลังหัวใจวายตาย  เพราะว่าพฤติกรรมการทานอาหารไม่ถูกต้อง การไม่ออกกำลังกาย แล้วเราก็รีบวิ่งไปเอาคู่มือการรับประทานอาหาร และการออกกำลังกายอย่างถูกต้อง วิ่งไปที่รถ แล้วก็เอาหนังสือนี้มาสอนเขา มาอ่านให้เขาฟัง ซึ่งช่วยได้ไหม? ช่วยไม่ได้ สอนเขาว่าอย่าทำอันนี้ อย่ากินอันนี้เยอะ ออกกำลังกายบ้าง เพราะเขาตายอยู่ สิ่งที่เขาจำเป็นต้องได้รับตอนนั้น ไม่ใช่การพัฒนาอุปนิสัยความประพฤติให้ดี ให้ถูกต้อง แต่เป็นชีวิต การเป็นขึ้นจากความตาย การบังเกิดใหม่ การช่วยเหลือให้เขามีชีวิตขึ้นมาใหม่ต่างหาก ที่เขาต้องการ ถูกไหม?

            หลักการของข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์ หรือคริสเตียนก็เช่นเดียวกัน ในพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ หลักการของข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์ไม่ได้ประกาศเน้นถึงการพัฒนาอุปนิสัยและความประพฤติให้ดีขึ้นก่อน แต่เน้นประกาศถึงการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่ได้เกิดขึ้นในพระเยซูคริสต์ นั่นก็คือการตายจากตัวเก่า ที่เป็นคนบาป การได้รับชีวิตใหม่ การเป็นขึ้นจากความตาย การเกิดใหม่ในวิญญาณนั่นเอง เอเมนไหม? นี่คือข่าวประเสริฐ นี่คือข่าวดี

            หลักการของข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์ของคริสเตียน นั่นก็คือการรักษาสิ่งที่เสียหาย สูญเสียไปในอดีต ในบรรพบุรุษอาดัม ให้กลับคืนสู่สภาพดี  จากอาดัมที่ตายอยู่ ให้กลับมามีชีวิตในพระเจ้า นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐ และข่าวดีที่สุด ก็คือพระเยซูคริสต์ได้กระทำสิ่งเหล่านี้สำเร็จ เรียบร้อยแล้ว 2,000 ปีมาแล้ว เพียงแค่ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับสิทธิของเขาตรงนี้ ในพระเยซูคริสต์ เขาก็จะได้รับสิ่งนี้ไปเลย คือชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า เอเมน นี่คือข่าวดีที่สุด  และการได้รับชีวิตนิรันดร์ ได้รับชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ ที่บอกให้เปิดใจ ไม่ใช่รอให้หมดลมหายใจก่อน แล้วถึงจะได้รับ ไม่ใช่ ได้รับทันทีเลย เพราะว่ามันตายอยู่ กำลังตายอยู่บนโลกใบนี้ ต้องการชีวิตเดี๋ยวนี้เลย ถ้ารอให้ตายก่อน หมดลมหายใจก่อน มันก็สายไปเสียแล้ว

            ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้เรื่องนี้ไป ในหัวข้ออัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ตอนที่ 1 วิญญาณเก่าที่ต้องคำสาปได้ตายไปแล้ว

            วันนี้ อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ตอนที่ 2 ชื่อเรื่องว่าได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณของพระเจ้า

            ขั้นตอนของการบังเกิดใหม่ คืออะไร? พระคัมภีร์บอกไว้ ขั้นตอนของอัศจรรย์การเกิดใหม่ ที่บอกว่าเมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วอัศจรรย์นี้เกิดขึ้น คือการบังเกิดใหม่ ย่อๆ คร่าวๆ ขั้นตอน อันดับแรก คือต้องยอมรับก่อน ยอมรับที่จะให้พระเจ้า เข้ามาช่วยเหลือ ให้เราบังเกิดใหม่  ถูกไหม? พระเจ้าไม่ใช่มาบีบบังคับเรา มาหักคอเรา ต้องเกิดใหม่นะเดี๋ยวนี้  ถ้าทำอย่างนั้นได้ ก็จะดีมากเลยนะ  แต่ไม่ได้ พระองค์เป็นผู้พิพากษาที่ยุติธรรม  ไม่บังคับสิ่งใดเลย แม้ว่าพระเจ้าจะสร้างสรรพสิ่งเหล่านั้น ก็ตาม  รวมทั้งมนุษย์ด้วย เพราะฉะนั้น มนุษย์ต้องยินยอม ให้พระเจ้าเข้ามาทำการอัศจรรย์นั้น ก็คือเปิดใจ ยอมรับสิทธิ ยอมรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            พอเปิดใจแล้ว ขั้นตอนต่อไป ก็เป็นหน้าที่ของพระเจ้าเองทั้งหมดแล้ว ไม่ใช่หน้าที่ของเราแล้ว  พอเปิดใจปุ๊บ พระวิญญาณของพระเจ้า ก็จะเข้ามาเริ่มต้นการอัศจรรย์ เราเรียกกันว่าผ่าตัดวิญญาณของเรา จากที่อยู่ใน DNA ของอาดัม นึกภาพออกแล้วนะ นึกไปถึงโลกวิญญาณ พระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เข้ามาในเรื่องโลกวิญญาณ เข้ามาที่วิญญาณของเรา วิญญาณเราอยู่ใน DNA ของอาดัม เข้ามาผ่าตัด เพื่อย้ายเรา ที่อยู่ใน DNA ของอาดัม มาอยู่ในพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน เข้าสู่ขบวนการของการตาย แล้วฝัง แล้วเป็นขึ้นจากความตาย คือบังเกิดใหม่นั่นเอง ซึ่งคือขบวนการของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ แค่นี้เองสั้นๆ คือการถูกตรึงที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับเรา  แล้วสิ้นพระชนม์ ตายที่ไม้กางเขน  เพื่อเรา แล้วถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 มีแค่นี้ข่าวดี

            ขบวนการ เมื่อเปิดใจปุ๊บ พระวิญญาณนำเราเข้าสู่ขบวนการนี้ทันที  บันทึกไว้อย่างชัดเจนในหนังสือโรม บทที่ 6 ผมจะเริ่มจากข้อ 3 ก่อนนะ

        โรม 6:3  “ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ (รับบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า) ถูกนำเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วม ในความตายของพระองค์ (ที่ไม้กางเขน) ในการบัพติศมานั้น”

            “ท่านไม่รู้หรือว่า …” ก็หมายถึงท่านควรจะรู้ เพราะนี่เรื่องจริงที่เกิดขึ้น

            “เราทั้งปวงที่เชื่อพระเยซู” ก็คือเปิดใจเมื่อสักครู่ที่บอกนะ “เราทั้งปวงที่ได้เชื่อพระเยซู ได้เปิดใจแล้ว ก็ได้รับบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า”

            ผมอธิบายให้ฟังก่อนหน้านี้แล้วว่าพอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาทันที เข้ามาทำอะไร? ผ่าตัดวิญญาณ ก็คือเข้ามาบัพติศมา … บัพติศมา ก็คือเหมือนกับการผ่าตัดวิญญาณ

            บัพติศมา แปลว่าใส่เข้าไป จุ่มเข้าไป ย้ายเข้าไป นำพาเข้าไป  บัพติศมาแปลว่าอย่างนี้ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เรานั้นได้รับบัพติศมา ก็คือได้ถูกนำเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ผ่าตัดวิญญาณ เอาวิญญาณเราย้ายออกมาจาก DNA ในอาดัมเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน เพราะในนี้บอกแล้วว่าเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ได้เข้าส่วนร่วมในการตายของพระองค์บนไม้กางเขน ในการบัพติศมานั้น ก็คือบัพติศมาเราเข้าไปในพระเยซู ตอนที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงอยู่ที่ไม้กางเขน และกำลังตายอยู่

            กำลังตาย คือกำลังเป็นบาป ตายจากพระเจ้า กลายเป็นคนบาป เหมือนกับเราทั้งหลายมนุษย์ทั่วๆ ไป ที่เป็นคนบาป พระเยซูคริสต์ถูกตรึงตายอยู่ที่ไม้กางเขนนั้น  เป็นคนบาป เป็นคนตายไปแล้ว วิญญาณของพระองค์ ชีวิตของพระองค์ จากพระเจ้า สว่างๆ เป็นแสงสว่างมาบนโลก บัดนี้ อยู่บนไม้กางเขน เป็นความมืด เหมือนอาดัม อาดัมตายอยู่ในบาป พวกมนุษย์ทั้งหลายตายอยู่ในบาป อยู่ในความมืด ถ้าเปรียบความมืดให้เห็นชัดๆ บอกความมืดอาจจะมองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ มนุษย์เราต้องยกตัวอย่างอะไรที่มองเห็น จับต้องได้ ถึงนึกภาพออกว่าอ๋อ!

            อาดัมอยู่ในบาป อยู่ในความตาย อยู่ในความมืด มนุษย์ทั้งหลายอยู่ในความบาป อยู่ในความตาย อยู่ในความมืด … ความมืดที่เห็นๆ ก็คือเป็นก้อนเฉาก๊วยก็แล้วกัน เหมือนเฉาก๊วย เฉาก๊วยสีดำ ท่านก็นึกถึงภาพ มนุษย์ทั้งปวง คือเผ่าพันธุ์เดียว ครอบครัวเดียว ก้อนเดียว เป็นก้อนสีดำ มนุษย์เป็นเฉาก๊วยสีดำ พระเยซูเป็นพระเจ้า เป็นสีขาว แต่มายอมตายที่บนไม้กางเขน แบกเอาบาปของมนุษย์ทั้งหลายไว้ ตายจากพระเจ้า มาเป็นเหมือนมนุษย์เลย คือตายเหมือนมนุษย์ เป็นเฉาก๊วยเหมือนมนุษย์เลย อยู่บนไม้กางเขน มันถึงเข้ากันได้ไง

            ถ้าพระเจ้า พระเยซูอยู่บนไม้กางเขนนั้น เป็นแสงสว่าง พระวิญญาณไม่สามารถเอาเราเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ เพราะพระเยซูคริสต์เป็นแสงสว่าง เข้ากันไม่ได้ ดำกับขาวเข้ากันไม่ได้ เพราะฉะนั้น พระเจ้าต้องทำให้พระเยซูเป็นเฉาก๊วย เพื่อว่ามนุษย์ที่เป็นเฉาก๊วยจะได้สามารถเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ได้ เฉาก๊วยก็เลยเข้าไปอยู่ในเฉาก๊วย เป็นหนึ่งเดียวกันกับเฉาก๊วย เป็นเฉาก๊วยก้อนใหญ่ๆ ก้อนหนึ่ง มีผู้นำ ก็คือพระเยซู มืดหมดเลย พอมองภาพเห็นไหม? นี่แหละ เรียกว่าบัพติศมา คือการเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันในความตายของพระองค์

            ความตายของพระองค์ คือความมืด เหมือนเฉาก๊วย เห็นภาพแล้วนะ พระองค์ยอมตาย ยอมเป็นเฉาก๊วย เพื่อมนุษย์จะได้สามารถเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ได้ เป็นเฉาก๊วยด้วยกัน ถ้าพระองค์เป็นเต้าฮวยอยู่ มันเข้ากับเฉาก๊วยไม่ได้

            ตอนนี้พระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขน เป็นเฉาก๊วยหรือเต้าฮวย? เฉาก๊วย ถูกต้อง  เพื่อว่าพระวิญญาณสามารถเอามนุษย์ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ได้ เพราะว่าแต่เดิมมา มนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ที่อยู่ในอาดัม ก็คือบัพติศมาอยู่ในอาดัม ก็คือบัพติศมาอยู่ในเฉาก๊วย อยู่ในความดำ อยู่ในความมืด ความบาป อาดัมเป็นอย่างไร? เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ ก็เป็นอย่างนั้น เหมือนกันหมด ซึ่งตอนที่เราย้ายมาจากอาดัม พระวิญญาณได้ย้ายเรามาบัพติศมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ มาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ถูกไหม? ย้ายเราออกมา

            เพราะฉะนั้น พระคริสต์เป็นอย่างไร? พระคริสต์ตายและเป็นบาปอยู่ตอนนี้  เป็นเฉาก๊วยอยู่ตอนนี้  เราก็เป็นอย่างนั้นด้วยเช่นเดียวกัน  เหมือนกันไม่มีผิด

            นี่คือภาพของพระเยซูคริสต์ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เป็นเฉาก๊วยที่พวกเราทั้งหลาย ได้ถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์บัพติศมาเรา  นำเราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ คือตายร่วมกับพระองค์ คือเป็นเฉาก๊วยด้วยกัน เห็นภาพแล้วนะ

            คราวนี้มาดูขั้นตอนต่อไปเกิดอะไร? แผนการของพระเจ้าวางไว้ โรม 6:4 …

        โรม 6:4  “ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเอง ก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา”

            “ดังนั้น เมื่อเราบัพติศมาเข้าส่วนร่วม” บัพติศมา แปลว่าเข้าส่วนร่วม เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นก้อนเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว “ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์” ก็คือพอพระองค์สิ้นพระชนม์ปุ๊บ  เขาก็ปลดร่างพระองค์ลงมา ฝังไว้ในอุโมงค์ เราอยู่ที่ไหนตอนนั้น?  เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ถูกไหม? เราบัพติศมาเข้าส่วนร่วมเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น เมื่อพระเยซูอยู่ในอุโมงค์ เราก็อยู่ในอุโมงค์ด้วย

            นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณจริงๆ เราก็อยู่ในอุโมงค์นั้นด้วย เป็นเฉาก๊วยเหมือนพระเยซู อยู่ในอุโมงค์เดียวกัน ในนี้บอกว่าอยู่เพื่ออะไร? เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ บังเกิดใหม่เช่นเดียวกันกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ พระเกียรติสิริของพระบิดา ก็คือเมื่อพระองค์ทรงถูกฝังไว้ในอุโมงค์ พระเจ้าได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่าด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ได้ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งเป็นฤทธิ์อำนาจของพระองค์ มาชุบพระเยซูที่อยู่ในอุโมงค์ ที่เป็นเฉาก๊วยนั้น ให้เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ แล้วเกิดอะไรขึ้น เมื่อเฉาก๊วยได้กลายเป็นเต้าฮวยแล้วคราวนี้  ข้อ 5 ต่อมาได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        โรม 6:5  “ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ด้วยเช่นกัน”

            ฉะนั้น ถ้าเรายอม จำได้ใช่ไหม ที่ผมบอกว่าเริ่มต้นจากการยอม จะได้บังเกิดใหม่ ยอมเข้าสู่ขบวนการนี้ตั้งแต่แรก คือยอมเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เข้าสู่ขบวนการ การผ่าตัดวิญญาณนี้ ในข้อที่ 5 บอกว่าฉะนั้น ถ้าเรามีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ก็คือยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ ย้ายเราเข้ามาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน เข้าไปอยู่ในร่างกายของพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นก้อนเดียวกันเมื่อไร? ในนี้บอกถ้าเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการตายที่ไม้กางเขน แน่นอนเราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ด้วยเช่นเดียวกัน ก็คือเมื่อพระองค์จากเฉาก๊วยแล้วตอนนี้ เป็นขึ้นจากความตาย กลายเป็นเต้าฮวย เราก็เลยกลายเป็นเต้าฮวยไปด้วยเลย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะยอมรับเชื่อ เราอยู่ในอาดัม เราเป็นเฉาก๊วย ดำปี๋เลย ตอนนี้กลายเป็นเต้าฮวย สะอาด ใส ขาวเลย

            เกิดขึ้นได้อย่างไร? พระคัมภีร์บันทึกว่าเกิดจากฤทธิ์เดชอำนาจ อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระองค์เป็นผู้ที่ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เอเฟซัส 1:20-23 ได้บันทึกถึงฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่นี้ว่าใหญ่ขนาดไหน? …

        เอเฟซัส 1:20-23  “20 ซึ่งเป็น ฤทธิ์เดชอำนาจ พลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลเดียวกันกับที่พระเจ้าได้กระทำ ในพระเยซู เมื่อตอนที่พระองค์ ได้ชุบพระเยซู ให้เป็นขึ้นจากความตาย และได้แต่งตั้ง ให้พระเยซู นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ ในย่านฟ้าอากาศ (สวรรค์) ต่างๆ  ในโลกฝ่ายวิญญาณ 21 ในตำแหน่งนี้ พระเยซูมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือเหล่าวิญญาณ ที่ปกครองอยู่ใน สถานที่ต่างๆ บนโลกนี้ เหนือเหล่าวิญญาณ ที่ใช้สิทธิอำนาจต่างๆ เหนือพลังอำนาจการครอบครอง ไม่ว่าจะผ่านทางทูตสวรรค์ต่างๆ หรือทางมนุษย์ก็ตาม เหนือทุกนาม หรือชื่อที่ตั้งขึ้น สิทธิอำนาจ และฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่สูงสุดของพระเยซูนี้ จะคงอยู่ตลอดไป ไม่ใช่แค่ในยุคปัจจุบัน บนโลกนี้เท่านั้น แต่รวมถึงยุคต่อๆ ไปในอนาคตด้วย 22 และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดทั้งในโลกวัตถุและโลกวิญญาณ อยู่ใต้เท้าของพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าได้แต่งตั้งพระเยซูคริสต์ ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด มีสิทธิอำนาจสูงสุด เหมือนเป็นศีรษะ อยู่เหนือทุกสิ่ง ในคริสตจักร (ผู้ที่เชื่อและใช้สิทธิ์ในการไถ่บาป ที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้) 23 ที่เหมือนร่างกายของพระองค์ ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ครบถ้วน ของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเติมเต็มความบริสุทธิ์ สมบูรณ์แบบ ให้กับเหล่าผู้ที่เชื่อ และใช้สิทธิ์ในการไถ่บาป ที่พระเยซูได้ทำให้”

            และพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดทั้งหมด ในโลกวัตถุและโลกวิญญาณ คือทั้งหมดเลย อยู่ใต้เท้าของพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าได้แต่งตั้งพระเยซูคริสต์ให้ยิ่งใหญ่สูงสุด มีสิทธิอำนาจสูงสุด เป็นเหมือนศีรษะอยู่เหนือทุกสิ่งในคริสตจักร ใครอยู่กับพระเยซูคริสต์ด้วย ก็คือเราผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ผู้ที่ยอมรับบัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ตั้งแต่อยู่ที่ไม้กางเขน ตายพร้อมพระองค์แล้ว นี่คือสถานะของเราด้วยเช่นเดียวกัน อัศจรรย์ ฤทธิ์เดชอำนาจอันยิ่งใหญ่นี้ อยู่ในตัวเราทั้งหลายผู้เชื่อ ซึ่งเปรียบเสมือนร่างกายของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นความสมบูรณ์ครบถ้วนของพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเติมเต็มความบริสุทธิ์ สมบูรณ์แบบให้กับเราผู้ที่เชื่อ  และใช้สิทธิในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ก็คือเราทั้งหลายที่ยอมเปิดใจนั้น ขบวนการนี้เป็นของเรา ฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่นี้ อยู่ในตัวพวกเราทั้งหลาย ผู้เชื่อศรัทธา หรือเรียกว่าคริสเตียนแล้ว  อยู่ในตัวเราแล้ว  และจะอยู่ตลอดไป เอเมน เอเฟซัส 2:6 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 2:6 “และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

            “พระเจ้าได้ให้เรานั่งอยู่ในสวรรคสถานกับพระคริสต์” พอเราเป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการของพระเจ้า ปกครองอยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ในโลกวิญญาณทั้งหมด ในสวรรค์ทั้งหมดเลย บนโลกก็ดี ทั้งหมดเลย  และเราอยู่ในพระคริสต์ มันหมายถึงอย่างนั้น

            และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ร่วมกับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้นั่งในสวรรคสถานกับพระองค์ทันที เดี๋ยวนี้เลย เมื่อเราเปิดใจรับ พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที ปุ๊บปั๊บ  กระพริบตาปั๊บ ก็เป็นอย่างนี้ พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไปกระทำการงานทั้งหมด ทั้งขบวนการนี้แล้ว ที่เรียกว่าข่าวดีนี้ มันจะเกิดขึ้นทันที ในการดำเนินชีวิตของคนๆ นั้น ไม่ว่าเขาจะรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม ไม่ว่าเขาจะเห็นหรือไม่เห็นก็ตาม ไม่ว่าเขาจะสัมผัสแตะต้องได้หรือไม่ก็ตาม แต่ความจริงในโลกวิญญาณ ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ แล้วเราจะต้องใช้อะไรถึงจะรู้ได้  ต้องใช้ความเชื่อศรัทธา  และมันเป็นจริงตามนั้น เราดำเนินชีวิตไปแล้วเราใช้ความเชื่อศรัทธา ก็จะเริ่มสัมผัสได้  โดยพิสูจน์ได้ทางวิญญาณของเรา คือเราจะรู้อยู่ข้างใน รู้อาจจะไม่หมด รู้อาจจะไม่ลึก  แต่เรารู้อยู่ อธิบายไม่ถูกว่าทำไมถึงรักพระเจ้า ทำไมถึงเข้าใจพระเจ้า ทำไมเดี๋ยวนี้ ตั้งแต่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เลิกแสวงหาอะไรต่างๆ ที่จะมาเป็นเรื่องเกี่ยวกับฤทธิ์อำนาจทางโลกวิญญาณที่จะมาช่วยให้เรารอดจากความบาป รอดจากความพินาศหลังความตาย รอดจากชีวิตความมืด หลังความตาย ไม่กลัวตายอีกแล้ว มันรู้อยู่ข้างในเอง โรม 6:6 จึงบันทึกอย่างนี้ว่า …

        โรม 6:6 “เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาปในอาดัม) ได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะได้ถูกขจัดไป (ตายจากบาป) เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

            “เพราะเรารู้ว่า …” มันเกิดขึ้นแล้ว เรารู้อยู่ในใจแล้วว่าตัวเก่าของเรา ก็คือทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย ที่เราได้เรียนไปครั้งที่แล้ว มันตายไปหมดแล้ว  และเราได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้วทั้งหมดนี้ คือทั้งวิญญาณ จิตใจและร่างกาย ได้บังเกิดใหม่แล้ว เอเมน รู้สึกไหม? ไม่รู้สึก เห็นไหม? ไม่เห็น เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ  แต่ถามว่าเชื่อศรัทธาไหม? ตอบว่า “เอเมน” เพราะถ้าเราไม่เชื่อ คงไม่มานั่งอยู่ตรงนี้ และถ้าไม่เชื่อ ก็คงจะแสวงหาฤทธิ์อำนาจทางวิญญาณ ความเชื่อต่างๆ ที่ช่วยเราให้รอดจากการพิพากษาลงโทษ หลังความตายใช่หรือไม่? แต่ตอนนี้เราเชื่อศรัทธา เรารู้ได้อย่างไร? เราหยุดแล้ว เราไม่ไปแสวงหาอะไรอีกแล้ว หยุดอยู่ที่พระเยซูคริสต์แล้ว 2 โครินธ์ 5:17 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ชัดเจนว่า …

        2 โครินธ์ 5:17 “ฉะนั้น  ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไป ได้ตายไปแล้ว จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์” เห็นหรือยัง?  ถ้าผู้ใดยอมรับบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เข้าสู่ขบวนการการผ่าตัดวิญญาณ  เข้าสู่ขบวนการการเป็นขึ้นจากความตาย ขบวนการข่าวประเสริฐของพระเจ้า ขบวนการที่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตาย เข้าสู่ขบวนการนี้ ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์เมื่อไร? เรียกว่าถูกบัพติศมาเมื่อไร? เขาคนนั้น ก็จะเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ ก็คือเกิดใหม่นั่นเอง เกิดใหม่ทั้งหมด วิญญาณ ร่างกาย จิตใจ สิ่งเก่าๆ ทั้งหมด ได้ล่วงไป

            ภาษาเดิมตรงนี้บอกว่าสิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป ได้สูญสิ้นไป ได้ตายไปแล้ว ตัวเก่าที่อยู่ในอาดัม ตัวเก่าที่เป็นเฉาก๊วย ตัวเก่าที่ต้องได้รับโทษหลังความตาย ต้องได้รับความพินาศ หลังความตายชั่วนิรันดร์นั้น มันตายไปแล้ว มันจบไปแล้ว เดี๋ยวนี้ได้บังเกิดใหม่ ทั้งหมดแล้ว วิญญาณ จิตใจและร่างกาย เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ใหม่เอี่ยมเลย มองเห็นไหม? ไม่เห็น ตามนุษย์มองเห็นไหม? ไม่เห็น เอามือสัมผัสแตะต้องได้ไหม? เกิดใหม่ ไม่เห็น ถูกไหม? มองในกระจกเห็นไหม? ไม่เห็น คิดได้ไหมตามเหตุผล? ไม่ได้ เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ

            เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงบอกว่าต้องใช้ความเชื่อศรัทธา จึงจะมองเห็น พระองค์จึงเขียนอย่างนี้ว่า … “เพราะฉะนั้น จงมองให้เห็นเถิด”  สิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน สัมผัสแตะต้องไม่ได้  คือสิ่งที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้กับมนุษย์ ผู้ที่เชื่อศรัทธาในพระองค์ “จงมองให้เห็นเถิด” ก็คือใช้ความเชื่อศรัทธามองให้เห็น ก็จะเห็น อย่างพวกเราทั้งหลายที่เชื่อแล้วก็จะเห็น  เพราะเรามีความเชื่อศรัทธาในใจของเราแล้ว

            จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น ไม่ว่าวิญญาณ จิตใจหรือว่าร่างกายเป็นใหม่ทั้งสิ้น  ไม่ได้บัพติศมาอยู่ในอาดัมอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้บัพติศมาอยู่ในพระคริสต์

            “ฉันไม่ได้บัพติศมาอยู่ในอาดัมแล้ว ฉันบัพติศมาอยู่ในพระคริสต์”

            บัพติศมา แปลว่าเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน อดีตฉันเป็นหนึ่งเดียวกันกับอาดัม โดย DNA ทางวิญญาณ  ปัจจุบันฉันเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ โดยมี DNA ชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ใหม่ทั้งหมด ทั้งวิญญาณ ความคิดจิตใจและร่างกาย  ซึ่งบันทึกไว้ในหนังสือ 1 ยอห์น 4:17 ชัดเจนว่าเดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างนี้จริงๆ  ฉันจึงมีความมั่นใจชีวิตหลังความตาย เราจึงไม่เรียกกันว่าคริสเตียน มีการตายได้ เมื่อคริสเตียนจากโลกนี้ไป เรียกว่า “ล่วงหลับ” หลับไป พอหลับไปปุ๊บ ตื่นขึ้นมา ก็คือได้รับร่างกายใหม่ เหมือนพระเยซูคริสต์ครบถ้วนบริบูรณ์ 1 ยอห์น 4:17 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 4:17  “ในการเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ (บังเกิดอีกครั้ง ทางฝ่ายวิญญาณ ในพระคริสต์) ความรัก (อากาเป้แบบพระเจ้า)  จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ในตัวเรา (วิญญาณเรา) เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา (มั่นใจว่าไม่ถูกพิพากษา ตัดสินลงโทษ ให้พินาศหลังความตาย) ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม  ก็เพราะชีวิต จิตวิญญาณ  ที่ได้บังเกิดใหม่ ที่เรามีขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณ ที่เหมือนกับชีวิตจิตวิญญาณของพระคริสต์”

            “ในการเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้” ก็คือในการบัพติศมาเข้าส่วนร่วม ก็คือบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ย้ายจากบัพติศมาในอาดัม ย้ายมาบัพติศมาในพระเยซูคริสต์นี้ เมื่อทำไปแล้ว จึงได้รับการบังเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง ทางวิญญาณในพระคริสต์ ความรักแบบอากาเป้ แบบพระเจ้า จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์  ก็คือพระเจ้าเป็นวิญญาณแห่งความรัก

            ความรักตรงนี้ไม่ได้หมายถึงเป็นกิริยาในการรัก แบบมนุษย์ แต่เป็นคุณภาพ เป็นลักษณะของวิญญาณของพระเจ้า  ตอนนี้เราเป็นวิญญาณที่เป็น DNA ของพระเจ้าอยู่ เราจึงมีความรักสมบูรณ์แบบของพระเจ้าอยู่ในวิญญาณของเรา มันหมายถึงอย่างนั้น

            เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา  มั่นใจว่าอะไร? มั่นใจว่าไม่ถูกพิพากษาตัดสินลงโทษให้พินาศ หลังความตาย หลังการล่วงหลับไปอย่างแน่นอน  เพราะเรารู้อยู่ในใจของเรา ในวิญญาณเราได้เกิดใหม่ ในใจเราได้เกิดใหม่ ในนี้บอกว่าที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมนั้น ก็เพราะอะไร เราจึงมีความมั่นใจ ไม่ไปแสวงหาอะไรอีกแล้ว ซึ่งในอดีตเราแสวงหาใหญ่เลย ไปโน่นไปนี่ ไปนั่นไปโน้น อันนี้ช่วยได้ ไป พอมาเจอพระเยซูช่วยได้ปุ๊บ เราจบอยู่ที่พระเยซู แล้วไม่ได้ไปไหนอีกเลย ทำไมเรามีความมั่นใจอย่างนั้น ก็เพราะชีวิต จิตใจ วิญญาณ ที่ได้บังเกิดใหม่ ที่เรามีขณะที่อยู่บนโลกนี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่เหมือนกับชีวิต จิตวิญญาณของพระเยซูคริสต์เลย คือเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ เราเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระเยซูคริสต์

            นี่พระคัมภีร์ยกตัวอย่างให้ฟัง พระเยซูคริสต์เป็นศีรษะ เราเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง  เราเป็นเซลๆ หนึ่งในร่างกาย สมมติเราเป็นนิ้วก้อย เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง พระเยซูคริสต์เป็นศีรษะ เมื่อเราเรียกพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะ นิ้วพระเยซูคริสต์ ก็เป็นพระเยซูคริสต์เช่นเดียวกัน  เหมือนตัวเราเอง ตัวเราเอง หมายถึงทั้งตัวใช่ไหม? ตาก็เป็นคุณนคร หัวแม่เท้าก็เป็นคุณนคร เหมือนกัน เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ เราเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เลย เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ เหมือนกันเลย ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ทันที คือขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ก็เป็นอย่างนี้แล้ว เพียงแต่เรามองไม่เห็น  เพราะมันเกี่ยวกับเกิดขึ้นในโลกวิญญาณนั่นเอง อัศจรรย์เหล่านี้ เกิดขึ้นทันที

            วิญญาณกับจิตใจ เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เป็นเหมือนพระเยซูทันที ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และท่านลองคิดดูว่าร่างกายล่ะ ที่เรายังเห็นอยู่ มันยังเหมือนเดิม ไม่เหมือนเดิม ลองอ่านนี่ดูโรม 8:11 ดูสิร่างกายเป็นอย่างไร? …

        โรม 8:11 “ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากตายสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย พระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากตายแล้วนั้น จะทรงทำให้กาย ซึ่งต้องตายของพวกท่านเป็นขึ้นมาใหม่ โดยพระวิญญาณของพระองค์ ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน

            “ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตายสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย” ก็คือวิญญาณที่อยู่ในเราแล้วตอนนี้ ที่เป็นผู้ที่เข้ามาตั้งแต่แรกเลย เป็นผู้เข้ามาผ่าตัดวิญญาณเรานั่นเอง “พระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากตาย” ก็หมายถึงพระบิดา พระเจ้าผู้ทรงสถิตในสวรรค์ “จะทรงทำให้กาย ซึ่งต้องตายของพวกท่านเป็นขึ้นมาใหม่ โดยพระวิญญาณของพระองค์ ซึ่งสถิตอยู่ในท่านนั่นแหละ” ก็คือวิญญาณเดียวกันกับที่ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  ที่ตอนนี้สถิตอยู่ในเราทั้งหลาย ที่ต้องตาย ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่ เป็นพี่เลี้ยงเรา พระคัมภีร์บอก  พระวิญญาณองค์เดียวกันนี่แหละจะเป็นผู้ชุบให้เราเป็นขึ้นจากความตาย เมื่อวันที่เราล่วงหลับ วันที่เราสิ้นสุดการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือร่างกายนี้สิ้นสุดลง ร่างกายนี้ดับสูญลง ร่างกายนี้ล่วงหลับไป  พระวิญญาณนี้ก็จะจัดเตรียมให้เราสวมทันที แค่พริบตา เราก็จะสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย  เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน

            นั่นหมายถึงอะไร? หมายถึงเราไม่ต้องเป็นห่วงอะไรอีกเลย แม้แต่นิดเดียว วิญญาณตอนนี้ใหม่เอี่ยม จิตใจใหม่เอี่ยม เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ร่างกายล่ะ กำลังเดินทาง โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเราด้วย คอยประคับประคองร่างกายนี้ค่อยๆ ไป จนกระทั่งถึงสิ้นอายุขัยของเรา แล้วก็เข้าไปสู่การเปลี่ยนแปลง สวมร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องปวด ไม่ต้องมีไข้ ตัวร้อน เจ็บป่วยด้วยโรคอะไรอีก ไม่มีความกลัว ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีความขาดแคลน  ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีความทุกข์ อีกต่อไป นิรันดร์ เห็นภาพอะไรไหม?

            นี่คืออัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้น เพียงแค่ใครก็ตาม มนุษย์คนไหนก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จากบาปของเขา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้าไปกระทำขบวนการเหล่านี้ เรียกว่าขบวนการการบังเกิดใหม่ และมันก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกเลย  เพราะบังเกิดใหม่แล้ว ก็จะอยู่ในพระหัตถ์ทรงฤทธิ์ของพระเจ้า พระวิญญาณก็เข้ามาปกป้องคุ้มครองดูแลเราตลอดเวลา วิญญาณได้เกิดใหม่แล้ว เกิดแล้วเกิดเลย  ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอะไรอีกแล้ว  ไม่ว่าจะใครก็ตาม ไม่มีใครสามารถที่จะเอาเราออกไปจากพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า หรือตำแหน่งของเราที่อยู่ในพระคริสต์ อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน ตรงนี้ได้เลย เราเป็นแล้ว เราเกิดแล้ว เราอยู่แล้ว และจะอยู่ตลอดไปชั่วนิรันดร์กาล นี่คืออัศจรรย์ยิ่งใหญ่สูงสุด  พระเจ้าอวยพรครับ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เมื่อไหร่จะหมดเวรหมดกรรมเสียทีนะ?

            คำตอบ : เมื่อพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน

            เราไม่สามารถชดใช้หนี้บาปเวรกรรม  โดยพึ่งการกระทำดี ตามกฎศีลธรรม  กฎแห่งการทำดีละชั่ว  ซึ่งพระเจ้าเขียนไว้อยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคน  เพราะพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ว่ามนุษย์เป็นคนบาป  ตั้งแต่กำเนิด  เป็นวิญญาณบาปที่ตายจากพระสิริของพระเจ้า  ตายจากชีวิตที่บริสุทธิ์ดีงามเหมือนพระเจ้า  จึงไม่สามารถทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์ตลอดรอดฝั่ง โดยไม่ละเมิดกฎแห่งศีลธรรมนี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว

            โรม 8:3 … “เพราะสิ่ง (ความบริสุทธิ์  ดีพร้อม) ที่กฎบัญญัติ (กฎศีลธรรม  กฎแห่งการทำดีละชั่ว ตามมาตรฐานของพระเจ้า) ทำไม่ได้  เนื่องจากวิสัยบาป  ทำให้อ่อนแอ (กฎบัญญัติไม่สามารถทำให้มนุษย์บริสุทธิ์  ดีพร้อม  พ้นจากบาปได้  เพราะมนุษย์อ่อนแอ  ไม่สามารถรักษากฎบัญญัติได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์  ไม่ละเมิดเลย แม้แต่ข้อเดียว  เนื่องจากวิญญาณเป็นบาป) พระเจ้าทรงกระทำแล้ว โดยส่งพระบุตรของพระองค์เองมาในสภาพเช่นเดียวกับมนุษย์  ที่เป็นคนบาป  เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป โดยการกระทำเช่นนี้ (ที่พระเยซูมาเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป  รับบาปแทนเราบนไม้กางเขน) พระองค์ได้ตัดสินลงโทษบาป ในมนุษย์ที่เป็นคนบาป (พระบิดาได้ตัดสินว่าบาปของมนุษย์ได้รับการชดใช้จบสิ้นแล้ว   โดยที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  ได้ชดใช้บาปแทนเรามวลมนุษยชาติเรียบร้อยไปแล้ว)”

            พระเจ้าอวยพรครับ