วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1401

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  มกราคม  2023

เรื่อง “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์”

ตอน 1 “วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            หัวข้อเรื่องในวันนี้ คือ “อัศจรรย์เกิดขึ้นทันที เมื่อฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์” ตอนที่ 1 “วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป ต้องคำสาป ได้ตายไปแล้ว” พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกความจริงกับเรา ในเรื่องโลกวิญญาณ ถึงความเป็นมาของมนุษยชาติ บนโลกใบนี้ ตั้งแต่โน้น ก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่จะบันทึกด้วยซ้ำไปว่ามนุษย์เราเกิดมา ประกอบไปด้วย 3 ส่วนของตัวตนของเรา มนุษย์ทุกคนมีวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกาย ซึ่งวิญญาณและความคิดจิตใจมองไม่เห็น เห็นแต่ร่างกาย แต่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้น และทั้ง 3 ส่วนนี้ เกิดจากเชื้อหรือเรียกว่าหน่อเชื้อ ที่ภาษาปัจจุบันเรียกว่า DNA ที่อยู่ในบรรพบุรุษ มนุษย์คู่แรก ที่เรียกว่าในอาดัม บรรพบุรุษของมนุษย์ทั้งปวง ก็คือใน DNA ของอาดัม ซึ่งในพระคัมภีร์จะใช้คำนี้ว่าในอาดัม เกิดในอาดัม หมายถึงอย่างนี้

            ซึ่งหน่อเชื้อนี้ ในอาดัม มีลักษณะของชีวิต แบบนี้ คือเป็นลักษณะของชีวิตที่เรียกว่าตกลงไปในความบาป  อยู่ในความบาป ต้องคำสาป  ก็คือถูกสาปแช่ง ตายจากพระเจ้า เป็นหนี้บาป ต้องชดใช้ ต้องรับโทษ ต้องถูกลงโทษให้พินาศตลอดไปนิรันดร์  เพราะว่าการเป็นหนี้บาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า  อยู่คนละขั้วกัน  ไม่สามารถที่จะเข้ากับพระเจ้า ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ดีพร้อม และเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล

            นี่คือความจริงในโลกวิญญาณที่พระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้  ก่อนประวัติศาสตร์ที่มนุษย์จะเขียนไว้ด้วยซ้ำ ที่บอกไว้ พระเจ้าเป็นผู้ให้กำเนิดมนุษย์ ตามพระฉาย ด้วยความรัก ดังแก้วตาดวงใจ  แต่ขณะเดียวกันนั้น นอกจากพระองค์จะเป็นพ่อที่รักมนุษย์ยิ่งนัก พระองค์ทรงเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาลด้วย พระองค์ต้องการช่วยเหลือมนุษย์ จึงวางแผนไว้ว่าจะชดใช้หนี้บาปแทนมนุษย์ อย่างถาวร ผ่านทางพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ นี่การวางแผนของพระองค์ที่จะช่วย พระเจ้าดูแลทุกสิ่งทุกอย่างอย่างยุติธรรม เพราะว่าเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาลและเป็นผู้ที่ปกครองสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้าง ด้วยความยุติธรรม ในพระคัมภีร์บอกอย่างนั้น  คือไม่ลำเอียง ปกครองด้วยวิธีใด?

            เมื่อมีคำว่า “ปกครอง” มันก็ต้องมีกฎ มีระเบียบ ซึ่งมนุษย์เรียกกันว่า “ธรรมชาติ” นั่นเอง  มันเป็นธรรมชาติ เป็นกฎระเบียบ ที่พระเจ้าวางเอาไว้ สำหรับปกครองสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้าง แม้กระทั่งลูก คือมนุษย์ทั้งหลายที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ  ทำผิดกฎ ผิดธรรมชาติ ก็ต้องได้รับโทษจากการกระทำผิดนั้น ไม่มีลำเอียง พอจะนึกภาพออกไหม? เหมือนที่ผมเคยยกตัวอย่าง เหมือนพลังงานไฟฟ้า ธรรมชาติของพลังงานไฟฟ้า มีอำนาจอยู่ข้างใน มีพลังอยู่ข้างใน ไม่ว่าคนชั่วหรือคนดี ละเมิดกฎของไฟฟ้านี้ มันมีพลังอยู่ ไม่เคารพกฎนี้ เอามือไปจับโดยไม่มีชนวนในสายไฟฟ้าแรงสูง ก็ถูกสายไฟฟ้าแรงสูง พิโรธ โกรธเกรี้ยว ลงโทษถึงตายใช่หรือไม่? ซึ่งทั้งหมดนี้ ใครเป็นคนดูแล ปกครองให้เป็นไปตามกฎ คือพระเจ้าผู้ยุติธรรมนั่นเอง  จะไปบอกว่า …

            “เขาเป็นคนดีนะ พระเจ้าอย่าไปทำเขา  มันไม่ได้ มันเป็นกฎระเบียบอย่างนั้น เนื่องจากไม่รู้ถึงไปทำ แต่พระเจ้าทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก พยายามหาทางแก้ไขให้กับมนุษย์ และในช่วงที่รอแผนการนั้น  คือรอช่วงที่จะส่งพระบุตร พระเยซูคริสต์มากระทำการช่วยเหลือมนุษย์ให้สำเร็จนั้น พระเจ้าในฐานะของผู้พิพากษาแล้วนะ ไม่ใช่ในฐานะพ่อ ไม่ใช่ในฐานะผู้ให้กำเนิด แต่ในฐานะของผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ยุติธรรม พระองค์ได้ประกาศเป็นพันธสัญญา

            นึกถึงภาพพันธสัญญา … พันธสัญญาก็เหมือนกับเราไปที่ธนาคาร แล้วมีการเซ็นสัญญาอะไรบางอย่าง นี่เขาเรียกว่าพันธะ … พันธะ คือสัญญาที่มีพันธะ มีการผูกพันกันระหว่าง 2 ฝ่าย

            พระองค์ได้ทรงประกาศพันธสัญญาที่เรียกว่าพันธสัญญาเดิม ถามว่าทำไมเรียกพันธสัญญาเดิม ก็เพราะว่าที่เรากำลังพูดอยู่นี้ เลยช่วงเวลานั้นมาหลายพันปี มีพันธสัญญามาแทนที่  เรียกว่าพันธสัญญาใหม่ เพราะฉะนั้น ตรงนี้จึงเป็นพันธสัญญาเดิม แต่ในตอนที่ประกาศตอนนั้น ไม่มีพันธสัญญาเดิมหรอก มีแต่ว่าประกาศพันธสัญญาในช่วงนั้น ก่อนที่จะมีพันธสัญญาใหม่ เป็นพันธสัญญาฉบับแรก ก่อนที่จะมีฉบับที่ 2 ประกาศให้กับมนุษย์ และสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้าง และได้เห็นชัดเจนเลยว่านี่กระทำผิดอย่างนี้ ต้องได้รับโทษอย่างนี้ๆ

            นี่เป็นการประกาศพันธสัญญาให้กับมนุษย์ว่าให้มนุษย์นำเลือดสัตว์บริสุทธิ์ ไร้ตำหนิ มลทินใดๆ มาถวายบูชา ชำระหนี้บาป ที่ได้กระทำไปนั้น ปีต่อปี เพื่อจะได้รับการอภัยโทษ พ้นจากคำพิพากษาลงโทษ และสามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ และอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ไม่ต้องตายต่อพระเจ้า คือไม่ต้องตายจากพระเจ้านิรันดร์ รวมไปถึงหลังความตาย ฝ่ายร่างกายด้วย คือพูดง่ายๆ ว่าไม่ต้องถูกพิพากษานิรันดร์ หลังจากประกาศพันธสัญญากับมวลมนุษย์ไปเรียบร้อยแล้ว

            หลายพันปีต่อมา เมื่อครบกำหนดเวลา ตามแผนการที่พระองค์ทรงวางไว้ วางไว้เพื่อจะช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นออกมาจากหนี้บาป ที่ได้กระทำผิดไปนั้น เมื่อครบกำหนดเวลา ตามแผนการที่วางไว้ พระเจ้าก็ได้ประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มากำเนิดในหญิงพรหมจรรย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ที่พระองค์ทรงรัก พระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนเลยว่าพระเยซูคริสต์มา เพื่อช่วย ไม่ได้มาเพื่อพิพากษาลงโทษ แต่มาเพื่อช่วยให้ผู้ที่ถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้วนั้น ได้รับการอภัยโทษ รอดพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษ

            พระเยซูคริสต์มาเกิดในหญิงพรหมจรรย์ เรารู้กันอยู่แล้ว บันทึกว่าชื่อแมรี่ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เพื่อเป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ หมายถึงว่าใครเป็นมนุษย์ พระเยซูคริสต์ก็เป็นตัวแทนของผู้นั้น

            “เพราะฉะนั้น พระเยซูเป็นตัวแทนของฉันด้วย”

            ถูกไหม? ถูก ฉันเป็นหนี้ พระเยซูคริสต์ก็มาเป็นตัวแทนชดใช้หนี้บาปทั้งหมดให้ฉัน พระองค์ไม่ได้เป็นหนี้กับเขาด้วยนะ พระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ จากหญิงพรหมจรรย์ ตัดขาดเชื้อสายการเป็นหนี้เป็นสิน เป็นมนุษย์เหมือนกับเรา แต่เป็นมนุษย์คนละพันธุ์กับเรา เพราะว่าหน่อเชื้อของพระองค์ไม่ได้มาจากอาดัม  แต่หน่อเชื้อของพระองค์มาจากพระเจ้า เอเมน เรียกกันว่าหน่อเชื้อของพระคริสต์ เรียกกันในภาษาพระคัมภีร์ว่าในพระคริสต์ จำได้ไหม ตะกี้นี้ของเก่า เราอยู่ในอาดัม ตอนนี้พระเยซูคริสต์มา กำลังจะมาบอกว่าพระองค์อยู่ในพระคริสต์ เป็นตัวแทนของมนุษย์ เพื่อจะชดใช้บาปให้กับมวลมนุษย์ทั้งปวง ด้วยเลือดและชีวิตของพระองค์เอง ซึ่งเป็นเลือดที่บริสุทธิ์ ไม่มีมลทิน ไม่มีตำหนิใดๆ  เพราะพระองค์เป็นพระเจ้า  ที่บังเกิดเป็นมนุษย์

            เห็นอะไรไหม? จากเลือดสัตว์ที่บริสุทธิ์ ไร้มลทิน ตอนนี้เป็นเลือดของมนุษย์ผู้หนึ่ง ที่มาเป็นตัวแทนของเรา เกิดจากพระเจ้า แต่ลงมาเกิดในร่างกายมนุษย์ เหมือนเรา ยอมสละโลหิตและชีวิตของพระองค์ ซึ่งไร้มลทิน คือไร้ความผิด  ไม่มีหนี้ ไม่เป็นหนี้ใครสักหน่อยเลย  เพื่อมาเป็นตัวแทนชดใช้หนี้ให้กับมวลมนุษย์ รวมทั้งเราด้วย ตัวฉันด้วยนั่นเอง

            พระเจ้าผู้พิพากษาของมหาจักรวาล จึงได้ประกาศ เมื่อหลายพันปีก่อน  ประกาศพันธสัญญาเดิมแล้ว ตอนนี้ หลังจากที่พระเยซูได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าผู้พิพากษาของมหาจักรวาล จึงได้ประกาศยกเลิกพันธสัญญาแรก พันธสัญญาเดิม ซึ่งมันอ่อนแอ ซึ่งมันไม่สมบูรณ์ เพราะใช้เลือดสัตว์เท่านั้น ผ่อนส่งปีต่อปี  โดยประกาศยกเลิก และหันมาใช้พันธสัญญาใหม่  ผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้วบนไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีก่อนนั้นนั่นเอง

            ใน 1 เปโตร 2:24 ได้บันทึกอย่างชัดเจนเลย ถึงเรื่องนี้ เมื่อ 2,000 ปีก่อน นี่เป็นการประกาศของพระเจ้าว่าพันธสัญญาใหม่ คืออย่างนี้ …

        1 เปโตร 2:24  “พระองค์เอง (พระเยซู) ทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกาย บนไม้กางเขนนั้น (ยอมมอบชีวิตพระองค์เองแด่พระเจ้า เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป เป็นแพะรับบาปให้มวลมนุษย์) เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป (เป็นอิสระจากหนี้บาปเวรกรรม) และสามารถกลายมาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ด้วยบาดแผล (การตายด้วยความทุกข์ทรมาน) ของพระองค์ พวกท่าน (ผู้ที่เชื่อ) ได้รับการรักษาให้หาย (จากบาป)”

            ผมมีภาพให้ท่านดู เพื่อท่านจะฟังไปด้วยและดูไปด้วย วิญญาณเป็นสีดำ ความคิดจิตใจเป็นสีดำ ร่างกายเป็นสีดำ

            ตายต่อบาป คือตายจากบาป ได้เกิดใหม่ เป็นลูกผู้ชอบธรรมของพระเจ้า

            อันนี้ คือรูปที่รักษาหายแล้ว

            ตายต่อบาป แปลว่าตายจากบาป  ภาษาเดิม สามารถแปลตรงนี้ได้ 2 อัน ก็คือตายต่อบาป หรือตายจากบาป เหมือนกัน  ให้ความหมายเดียวกัน คือตายจากความเป็นคนบาป ตายจากการเป็นคนบาป ตายต่อบาป หมายถึงอย่างนี้ ในอดีตที่มนุษย์เกิดมา  เราเป็นคนบาป เห็นไหมครับ จิตใจและวิญญาณของเราเป็นบาป ร่างกายเป็นบาป พระเยซูมาทำให้เรากลับคืนดี ตามข้อพระคัมภีร์เมื่อสักครู่นี้ คือทำให้เราตายต่อบาป พระองค์เอง คือพระเยซูทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ ที่พระกาย บนไม้กางเขน ก็คือยอมมอบชีวิตของพระองค์เอง แด่พระเจ้า ทั้งพระโลหิตของพระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชา ลบล้างบาป เป็นแพะรับบาปให้มวลมนุษย์ เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป ก็คือตายจากบาป ก็คือเราเป็นคนบาปอยู่ก่อน ตายจากบาป

            บาป คือเราเป็นหนี้เป็นสิน จำได้ใช่ไหมครับ ตายต่อบาป คือเป็นอิสระจากหนี้บาป เวรกรรมทั้งหมด ได้บันทึกไว้อย่างนี้ และได้สามารถกลายมาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า คืออีกภาพหนึ่ง  ภาพเมื่อสักครู่นี้

            ตายต่อบาป บาปหายไป กลายมาเป็นผู้ชอบธรรม มืดบอดหายไป กลายเป็นความคิดจิตใจที่เป็นผู้ชอบธรรม ร่างกายตายต่อบาป ก็คือไม่ได้เป็นบาปอีกต่อไป สะอาดบริสุทธิ์นั่นเอง

            อันนี้ คือตอนที่เราเกิดมาใหม่ๆ มนุษย์ทุกคนเกิดมาอยู่ในภาพนี้ ตามที่เราได้อ่านเมื่อสักครู่นี้ ที่พระเจ้าอธิบายให้เราตั้งแต่เริ่มต้นปฐมกาล มนุษย์ทุกผู้ทุกนามอยู่ในอาดัม อยู่ในบาป เกิดมาเป็นคนบาป เพราะว่าเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขจากอาดัม ซึ่งเป็นบาป

            คำว่า “เป็นบาป” ตรงนี้ ก็คือวิญญาณตายต่อพระเจ้า หรือตายจากพระเจ้า คือไม่มีพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ วิญญาณมืด พระเจ้าสว่าง วิญญาณชั่ว พระเจ้าดี  พอเห็นภาพไหมครับ เกิดมาอยู่ในวิญญาณที่ตายต่อพระเจ้า และจิตใจก็มืดบอดต่อพระเจ้า ดื้อต่อพระเจ้า มองเห็นพระเจ้าไม่ชัดเจน ร่างกายล่ะ ร่างกายก็ตายต่อพระเจ้า พุ่งตรงแต่จะทำอะไรก็ตามที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า พระเจ้าบอกดี ร่างกายก็พยายามจะแย้ง จะพยายามทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า เป็นธรรมชาติ  เพราะฉะนั้น ธรรมชาติของมนุษย์ที่เกิดมาบนโลกใบนี้ เกิดอยู่ในอาดัม ก็จะมีวิญญาณที่ตายต่อพระเจ้า ความคิดจิตใจที่มืดต่อพระเจ้า ร่างกายที่ตายต่อพระเจ้านั่นเอง ซึ่งพระเยซูมาทำการไถ่บาป เป็นตัวแทนให้กับมนุษย์ ช่วยเหลือมนุษย์ให้กลับมาเป็นลูก

            รูปที่ 2 เมื่อสักครู่นี้แหละ ก็คือกลายเป็นตายต่อบาป  คือตายจากบาป ได้เกิดใหม่ เป็นลูกผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ด้วยการกระทำของพระเยซูคริสต์ คือหลั่งพระโลหิตของพระองค์ มอบชีวิตของพระองค์ให้เป็นเครื่องไถ่บาปให้กับเรา พ้นจากการเป็นหนี้เป็นสิน พ้นจากการถูกลงโทษนั่นเอง ด้วยเลือดของพระองค์

            จำที่พระเยซูคริสต์สั่งได้ไหม? สั่งก่อนที่จะเสด็จเข้าสู่สวรรค์ อยู่ในสวรรค์แล้ว ยังสั่งต่อ ให้มนุษย์ทั้งหลาย โดยเฉพาะผู้ที่เชื่อแล้ว ให้ทำพิธีมหาสนิทบ่อยๆ จะได้ไม่ลืม เพื่อระลึกถึงโลหิตแห่งพันธสัญญาใหม่ ที่พระองค์ทรงกระทำ จะได้ไม่ลืมเลือดของพระองค์ที่บริสุทธิ์ ที่หลั่งลงมา เพื่อมนุษย์ทั้งปวง เพื่อจะได้รับการอภัยโทษ จากพระเจ้า ไม่ต้องถูกลงโทษนั่นเอง พอจะเห็นภาพนะ

            นอกจากพระเจ้าจะอภัยให้กับมนุษย์ อภัยในโทษความบาปผิดของมวลมนุษย์เรียบร้อยแล้วนั้น แค่นั้นไม่พอ ในข้อความเมื่อสักครู่นี้ พระองค์ยังทรงรักษาเขาให้หาย หายจากการเป็นคนบาป นึกภาพออกไหม? อภัยให้ไม่พอ รักษาให้หาย หายจากโรคที่เป็นคนบาป หายจากการเป็นคนบาป ด้วยวิธีเปลี่ยนร่าง ก็คือขจัดหรือกำจัดตัวเก่าที่เป็นบาปนั้นไปเลย ไม่ใช่ยกเครื่อง แต่เปลี่ยนเครื่องใหม่ คนที่ขับรถจะรู้ ไม่ใช่ยกเครื่องใหม่ แต่เปลี่ยนเครื่องใหม่ให้ แล้วเครื่องเก่าล่ะ เอาออกไปเลย พูดง่ายๆ ว่าพระเจ้ากระทำ โดยวิธีการฆ่าตัวเก่าเราให้ตายซะ

            “ฆ่าตัวเก่าฉันให้ตาย แล้วให้ตัวใหม่ คือบังเกิดใหม่ เปลี่ยนแปลงวิญญาณและใจใหม่”

            ก็คือเปลี่ยนแปลงเมื่อสักครู่นี้ เปลี่ยนแปลงวิญญาณและความคิดจิตใจ ในวงสีขาวกับวงสีเหลืองนั่นแหละ เปลี่ยนให้ใหม่เลย แล้ววงสีแดงล่ะ คือร่างกาย เปลี่ยนใหม่ด้วยครับ

            เพราะว่ามนุษย์ต้องประกอบไปด้วย 3 สิ่งนี้ คือวิญญาณ ความคิดจิตใจและร่างกาย วิญญาณเปลี่ยนแล้ว ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ และการเป็นขึ้นจากความตาย คือชีวิตของพระองค์ ที่ตายแล้ว และเป็นขึ้นจากความตายนั้น ทำให้วิญญาณได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ความคิดจิตใจได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่เลยทันที ส่วนร่างกายเปลี่ยนใหม่ เหมือนพระเจ้าเหมือนกัน เปลี่ยนใหม่เลย แต่อยู่ในขบวนการเปลี่ยนเมื่อไร? เริ่มต้นแล้ว เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด อัศจรรย์นี้เกิดขึ้นทันที คือวิญญาณเปลี่ยนใหม่ ความคิดจิตใจเปลี่ยนใหม่ 100% สะอาด บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ร่างกายเริ่มต้นเปลี่ยน โดยพระวิญญาณ เริ่มต้นเตรียมพร้อม และจะได้ครบถ้วนบริบูรณ์ เมื่อวันที่วิญญาณและความคิดจิตใจนั้นออกจากร่าง คือวันที่สิ้นสุดร่างกายเดิมนี้ พอหมดร่างกายเดิมนี้เมื่อไร? ร่างกายเดิมนี้สูญสิ้นเมื่อไร? หมดลมหายใจเมื่อไร? แค่พริบตาเดียวเท่านั้น จบแล้ว ได้แล้ว ร่างกายใหม่เป็นของท่านทันที เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

            นี่เป็นข่าว (ขอโทษนะ) ข่าวโคตรดีเลย ไม่ใช่ข่าวดีธรรมดา พระองค์ประกาศมา 2,000 ปี ก็คือข่าวดีนี่แหละ คืออัศจรรย์ของข่าวดีนี่แหละ มันเกิดขึ้นทันที คนสมัยนั้น เขาจึงไม่ได้คิดอะไรมากมาย มนุษย์เราเดี๋ยวนี้ฉลาดมาก ด้วยตนเอง จนกระทั่งความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด

            สมัย 2,000 ปีก่อน ที่ข่าวดีนี้ เพิ่งประกาศใหม่ๆ พันธสัญญาเพิ่งเริ่มต้น ตอนที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล้วบอกว่าสำเร็จแล้วนั้น ตั้งแต่นั้นมา ประกาศ มันไม่ได้ยากเย็นอะไรเหมือนทุกวันนี้เลย เขาเชื่อกันง่ายๆ แบบนี้แหละ  เขารู้กันง่ายๆ แบบนี้แหละ เขาบอกให้อดทน รอชั่วขณะหนึ่งนะ  อดทน แป๊บเดียวนะ แป๊บเดียว เรากำลังไปรับร่างกายใหม่ เรารับร่างกายใหม่อีกไม่กี่วันนี้ เรารับร่างกายใหม่ เขาถูกข่มเหงรังแก เขาก็บอกว่าอดทนนะ ชั่วขณะเดียวเอง เดี๋ยวเราก็รับร่างกายใหม่แล้ว เมื่อไร? เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ตายจากร่างกายนี้เมื่อไร วิญญาณและความคิดจิตใจนี้ ก็จะไปสวมร่างกาย ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เรียกว่าเข้าส่วนร่วมพระสิริกับพระคริสต์ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เรียกว่ามงกุฎแห่งชีวิตนิรันดร์ ที่พระองค์ทรงจัดเตรียม รอไว้ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งมรดกนิรันดร์หลังความตาย หลังสิ้นสุดร่างกายนี้เท่านั้นนั่นเอง นี่คือความหวังใจ

            เพราะฉะนั้น ขณะที่รอร่างกายใหม่ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นี้อยู่ วิญญาณใหม่ไหม? ใหม่ ความคิดจิตใจใหม่ไหม? ใหม่ ตัวเก่ายังอยู่ไหม? ตัวเก่าตายไปแล้ว ถูกไหม? ตัวเก่าที่เป็นคนบาป อยู่ในความพินาศ ต้องชดใช้หนี้กรรม เวรกรรมต่างๆ เหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน ที่เต็มไปด้วยความกลัวต่างๆ เหล่านั้น ยังอยู่ไหม? ไม่อยู่แล้ว ตายไปแล้ว ที่อยู่ทุกวันนี้ คือตัวใหม่เอี่ยมเลย เห็นไหม? ไม่เห็น สิ่งที่ตามองไม่เห็น และหูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้กับลูกๆ ของพระองค์  ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คือ …

            “จงมองเห็นเถิดลูกเอ๋ย พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับลูกนั้นจะเป็นผู้บอกลูก ให้ลูกรู้อยู่ในใจ ใช้ตาฝ่ายวิญญาณจะเห็นจากถ้อยคำของพระเจ้า ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์”

            “จะเห็นชัดเจนว่านี่คือถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้าว่าตัวเก่าฉันตายไปแล้ว ฉันจะมองในกระจกอย่างไร? ฉันก็เห็นตัวเก่าฉันตายไปแล้ว แม้ว่าฉันมองในกระจก แล้วเห็นตัวเองรูปร่างเหมือนเดิม แก่ไปเหมือนเดิม  แต่ถ้อยคำพระเจ้าบอกแล้วว่าวิญญาณฉันเกิดใหม่แล้ว ตัวเก่าถูกขจัดออกไปแล้ว ตัวที่อยู่ในอาดัมถูกจัดการฆ่าให้ตายแล้ว ตัวที่อยู่ในอาดัมถูกขจัดออกไปแล้ว”

            พระคัมภีร์จะพูดอย่างนี้เสมอ พระองค์ทรงกระทำอย่างนี้ เพื่อเราจะได้กลับคืนดี สู่สภาพดี เป็นลูกของพระเจ้า ที่มีสง่าราศี เหมือนตอนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ใหม่ๆ ก่อนที่อาดัมจะล้มลงไป ไม่เชื่อฟังต่อพระเจ้า นำพาพวกเราทั้งหลาย ลูก หลาน เหลน โหลน ตระกูลของมวลมนุษยชาติตกลงไปในความบาป คำสาปแช่งนั่นเอง พระองค์นำเรากลับคืนมาสู่สภาพดี เป็นลูกพระเจ้าที่เต็มด้วยสง่าราศีเหมือนเดิม และไม่ใช่เหมือนเดิมธรรมดา ดีกว่าเดิมตั้งเยอะเลย ดีกว่าเดิม กว่าตอนที่สร้างเราใหม่ๆ ด้วยซ้ำ ซึ่งทั้งหมดนี้ ได้กระทำสำเร็จแล้ว พันธสัญญาใหม่ได้เริ่มต้นแล้ว เมื่อไร? เมื่อเลือดได้หลั่งออกมา ถ้าไม่มีเลือด ก็ไม่มีการอภัยโทษ พระคัมภีร์บันทึกอย่างนั้น ทั้งหมดนี้ได้กระทำสำเร็จแล้วด้วยโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งออก และชีวิตของพระเยซูคริสต์ที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เพื่อเราจะได้บังเกิดใหม่ ซึ่งพระองค์หลั่งโลหิตและถวายชีวิตของพระองค์เอง  เพื่อถวายเป็นเครื่องบูชา แด่พระเจ้านั่นเอง

            เพราะฉะนั้น จากประวัติอันดึกดำบรรพ์ของมวลมนุษย์ ที่เล่ามาทั้งหมด ที่ไบเบิ้ลได้บอก เราจะสามารถเห็นได้ชัดว่าการถวายเลือด เป็นเรื่องจริง เราจะมาลองวิเคราะห์กันดูว่ามันเป็นเรื่องจริงอย่างไร? มันเป็นความจริงในเรื่องเกี่ยวกับการถวายสัตว์ ถวายเลือด ภาษาไทยเราเรียกกันว่าบูชายันต์ ฟังดูแล้วน่ากลัว ฟังดูแล้วโหดร้ายทารุณ แต่พอวิเคราะห์ตามประวัติศาสตร์ที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ถูกหรือไม่?

            การถวายเลือดสัตว์ที่บริสุทธิ์ บูชาแด่พระเจ้า ผู้ครอบครอง ผู้พิพากษาแห่งสวรรค์ของมหาจักรวาลนี้ ก็เพื่อชดใช้หนี้บาป เพื่อจะได้พ้นจากการถูกลงโทษ ถูกสาปแช่ง เป็นพิธีกรรมทางวิญญาณของมวลมนุษย์ ตั้งแต่ยุคเริ่มต้นมาแล้ว ทุกยุค ทุกสมัย ทุกเผ่า ทุกชาติ ทุกความเชื่อ มาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน และมันก็จะต่อๆ จนกระทั่งถึงสิ้นโลกนี้ เพราะมันยังคงวนเวียนอยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้นั่นเอง เพียงแต่เขาจะรู้ความจริงเรื่องพันธสัญญาใหม่หรือไม่? มันจะวนเวียนอยู่ตลอด  เพราะมันมีพื้นฐาน มูลเหตุมาจากความเป็นจริงนั่นเอง มันเรื่องจริงที่เราฟังมา พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้พูดให้เราฟัง ตั้งแต่เริ่มต้นอาดัม มันเรื่องจริง

            เผ่าพันธุ์มนุษย์รุ่นแรก หลังจากอาดัมตกลงไปในความบาป ชื่อคาอินกับอาแบล ก็รู้เรื่องนี้แล้ว  พระเจ้าบอกอาแบลว่าเขาดีแล้ว เขาเชื่อฟังเรา  เพราะว่าเขาถวายเลือดสัตว์ที่บริสุทธิ์  ส่วนพี่ชาย คือคาอิน พระเจ้าไม่รับ เขาทำชั่วอะไร? เขายังไม่ได้ทำชั่วอะไรเลย เขาเพียงแต่ไม่ได้ถวายเลือด  แต่เขาถวายผลทางการเกษตรที่ยอดเยี่ยมด้วยนะ  เขาคัดผลทางการเกษตรที่ดีเลิศ  ไม่มีที่ติเลย ยกตัวอย่าง สมมติว่าเป็นข้าวโพด เป็นข้าว เขาเอาข้าวและข้าวโพดอย่างดี ยอดเยี่ยมที่เป็นผลผลิตของเขามา ถวายแด่พระเจ้า  เพื่อลบบาป  พระเจ้าไม่รับ เขาไม่ได้ทำชั่วอะไรสักหน่อยเลยนะ

            พระเจ้าบอกว่า … “ถ้าเจ้าทำดีเราก็รับไม่ใช่หรือ?”

            เขาทำอะไรไม่ดี เขาถวายเหมือนกัน แต่เขาถวายไม่เชื่อฟัง พระองค์บอกให้ใช้เลือด เขาไม่ใช้ เขาอาจจะคิดก็ได้ว่าสงสารสัตว์ นี่คิดเอาเองนะ  เขาอาจจะบอกว่าทารุณมัน โอ๊ยไม่เอา ทำไมโหดร้ายอย่างนี้

            แต่อาแบล พระเจ้าบอกว่า … “เขาได้พร เพราะเขาเชื่อฟังเรา เรารับ ทำไมเจ้าไม่ยอมเชื่อฟัง เพราะเจ้าคิดของเจ้าเองใช่ไหมว่ามันอย่างนี้”

            “ฉันสงสารมัน เลี้ยงมันมา ฆ่ามันทำไม? อันโน้นอันนี้”

            มันเรื่องของพระเจ้า  หลายสิ่งหลายอย่างเราทำ เรานึกว่าเราไม่ควรทำหรอกอย่างนี้  เราคิดเอง  เราพึ่งพาตนเอง เราคิดว่าอย่างนี้ดี แต่พระเจ้าบอกว่าอย่างนี้ถูกต้องตามกฎทางวิญญาณ มันถึงเกิดผล แม้กระทั่งทุกวันนี้ เราก็ยังไม่รู้เลย  เหตุอะไร ทำไมถึงต้องใช้สัตว์ เราก็รู้เท่าที่พระคัมภีร์บันทึกไว้  แล้วพระวิญญาณอธิบายให้เราฟัง  เท่าที่ทำได้  เท่าที่สติปัญญามนุษย์ และโดยพระวิญญาณจะสามารถเปิดตาพอจะให้เราเข้าใจได้บ้าง เราไม่มีทางเข้าใจได้หมดหรอกว่าวิธีการของพระเจ้า จะทำวิธีใด อย่างไร?  ในชีวิตของเราเอง ในปัจจุบัน เอามาเทียบก็ได้  ไม่ว่าเราจะทำอะไร? ธุรกิจ ถ้าเราใช้เหตุผลของเราเข้าไปผสม จะเละเลย  นี่แหละเรียกว่าความเชื่อ  เพราะว่าเขาเชื่อในพันธสัญญาเดิมบอกว่าใช้โลหิต เขาก็ใช้โลหิต เขาก็คัดผลผลิตของเขา แกะตัวงามๆ ไร้ตำหนิ ไม่ขาเป๋ ดีที่สุด  เขาก็ฆ่าเอาเลือดถวายบูชาแด่พระเจ้า พระเจ้าถือว่าโอเค อภัยโทษบาป 1 ปี

            ส่วนพี่ชายคัดข้าว ข้าวโพดอย่างดีเยี่ยมเลย เอาฟักใหญ่ๆ เมล็ดใหญ่ๆ ถวายพระเจ้า พระเจ้าไม่รับ พอพระเจ้าไม่รับ งอนพระเจ้าอีก โกรธพระเจ้าอีก

            “ลำเอียงนี่”

            เป็นซะอย่างนั้นแหละ พระเจ้าเลยบอกว่า … “อย่าให้บาปครอบงำเจ้า เชื่อในเราสิ ทำตามซะ”

            สิ่งเหล่านี้ คือพื้นฐานความจริงทั้งสิ้น  เพราะฉะนั้น พิธีกรรมทางวิญญาณนี้ ในทุกวันนี้ ก็ยังมีผู้ที่พยายามที่จะมาบิดเบือนความจริง พยายามที่จะใส่ร้ายให้ความเท็จกับเรื่องนี้ พยายามต่อต้านบิดเบือนความจริงทั้งหมดนี้ คือเรื่องพิธีกรรมทางวิญญาณนี้ ผลทางวิญญาณนี้ โดยใช้เหตุผลของมนุษย์เข้ามา แทรกเข้ามา บ้างก็บอกว่าทารุณ ป่าเถื่อน ใช่ไหม? โบราณเหลือเกิน ใช่ไหม? ล้าสมัย  ไม่ศิวิไลท์เลย หนักถึงขนาดมีการโจมตีว่าศาสนาคริสต์ เป็นศาสนาที่ทารุณโหดร้ายมากเลย คือเชื่อในการบูชายันต์พระเยซูคริสต์ มีอย่างนี้จริงๆ เป็นศาสนาที่มีความเชื่อแบบป่าเถื่อน ทุกวันนี้เราป่าเถื่อนกันไหม? เฮกัน ทำมหาสนิท ทำกันบ่อยๆ พระเยซูบอกให้ทำกัน ทำอะไร? ระลึกถึงเลือดของพระองค์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน ท่านไม่เคยคิดเหรอว่าท่านเป็นคนน่าโหดร้ายขนาดนี้ เราไม่คิดเลย เพราะเราเชื่อแล้ว เรารู้ว่ามันคืออะไร? แต่สำหรับคนที่ไม่เชื่อ  และไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ ฟังดู แล้วไม่โหดร้ายเหรอ ประกาศมา 2,000 ปีแล้ว เลือดของพระเยซูคริสต์ ในพระคัมภีร์ใหม่เขียนถึงโลหิตพระเยซูคริสต์และชีวิตพระเยซูคริสต์ที่ถูกสังเวย ถูกบูชายันต์ นี่คือความจริงทั้งนั้นเลย

            เพราะว่าเขาต้องการ เขาหมายถึงมาร ต้องการปิดบังความจริงเรื่องนี้ มาตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว พยายามใส่ร้ายให้มนุษย์คิดตาม ก็บอกว่ามันไม่ศิวิไลท์ อย่างที่บอก พยายามขัดขวางข่าวประเสริฐนี้ เพราะฉะนั้น หัวใจข่าวประเสริฐของข่าวประเสริฐ คือพระโลหิตของพระเยซูคริสต์และชีวิตของพระองค์ ซึ่งถูกบูชายันต์ที่ไม้กางเขน เพื่อมวลมนุษย์ทั้งปวงจะได้หลุดพ้นออกจากความบาปและความตาย ความพินาศ ซึ่งอยู่ในอาดัมอยู่แล้ว นอกจากโจมตีอย่างนี้แล้ว ยังโจมตีอย่างไรอีก นี่ยิ่งหนักใหญ่เลย ตั้งแต่ 2,000 ปี หรือก่อนหน้า 2,000 ปีอีก พยายามที่จะทำให้เรื่องจริงในเรื่องนี้มันเสียหาย ไม่เป็นไปตามจุดประสงค์ที่พระเจ้าวางไว้ เพื่อจะลบความศักดิ์สิทธิ์ของพิธีกรรมการถวายโลหิต เพื่อชำระบาปให้กับมนุษย์ ซึ่งมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ทำมาตั้งนานแล้ว เขาเชื่อถูกแล้ว ก่อนมีพระเยซูเขาก็ถวายกันหมดแล้ว คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขาก็รู้ว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่เบื้องบนอยู่ในสวรรค์ เขาก็ถวายบูชายันต์เป็นหัวหมูบ้าง? เป็นอะไรต่างๆ ไป เป็นเป็ด เป็นไก่บ้าง? เรียกกันว่าบูชาพระเจ้า หรือเรียกกันว่าไหว้เจ้า ง่ายๆ คือบูชาแก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในโลกวิญญาณใครไม่รู้ ขออภัยโทษ เพื่อจะได้รับพระพรปีละ 1 ครั้ง ถวายหมู หัวหมู เป็ด ไก่ มีเลือดเข้ามาเกี่ยวข้อง คือพันธสัญญาเดิมนั่นเอง มาหลายพันปี ก่อนที่พระเยซูจะทำเสร็จด้วยซ้ำไป

            ท่านมองเห็นภาพไหมว่ามันมาอย่างนี้ พอพระเยซูมาทำให้สำเร็จ มันก็ปิดบังความจริงอีกว่าพระเยซูทำให้สำเร็จ มีพันธสัญญาใหม่แล้ว เปลี่ยนเป็นไม่ต้องถวายเลือดสัตว์แล้ว ใช้เลือดของมนุษย์แทนเลย ใช้ความเชื่อในพระเยซูคริสต์ที่เป็นตัวแทน ต่อไปนี้ไม่ต้องแล้ว พระเยซูถวายตัวเป็นเครื่องบูชายันต์ครั้งเดียวเองเป็นพอ ในพระคัมภีร์บอก รายละเอียดของพระคัมภีร์ใหม่ ก็คือครั้งเดียวเป็นพอ ไม่ต้องแล้ว ให้พระเยซูเป็นตัวแทนเลย เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ใช้สิทธิ์นี้ ให้พระเยซูเป็นตัวแทน ในการถวายเลือดที่บริสุทธิ์ ครั้งเดียวเป็นพอ เลือดใคร? เลือดตัวแทน ก็คือเลือดพระเยซูคริสต์ พอแล้ว มันก็ปิดบังเรื่องนี้อีกว่าไม่พอ ไม่ใช่ๆ ไม่ถูกหรอก ไม่จริงหรอก ต้องถวายสัตว์อยู่ พาเราไปอยู่พระคัมภีร์เดิม พันธสัญญาเดิมอยู่นั่นแหละ นั่นคือการพยายามจะทำให้ความจริงของพระเจ้าเสื่อมเสีย แล้วก็ไม่เกิดผล ก็คือพยายามปิดบังตามนุษย์นั่นเอง นอกจากวิธีนี้ ก็ยังปิดบังตาด้วยวิธีใดอีก

            ตะกี้นี้คือไม่เชื่อในพระโลหิต หาว่าป่าเถื่อน ตอนนี้ผลัก คือวิธีทำของมาร คือลบความจริงด้วยวิธีการทำให้ความจริงนั้น ด้อยค่าลงกับผลักให้ความจริงนั้น มันเว่อร์ไป คือไม่ให้เชื่อ หรือไม่ก็เชื่อแบบผิดๆ แบบเว่อร์ไปเลย คือไม่สมดุลนั่นเอง

            วิธีทำให้เว่อร์ คือ … “นี่พระเจ้าบอกแล้วใช่ไหม? บอกให้ถวายสัตว์”

            นี่ก่อนพระเยซูจะมา “ถวายสัตว์ใช่ไหม? ถวายเลย ดีแล้ว ถวายเยอะๆ เลย เป็นหมื่นตัว พระเจ้ายิ่งพอใจใหญ่เลย”

            พระเจ้าบอกตัวเดียวก็พอแล้ว แต่นี่ถวายหมื่นตัว

            “นี่ถ้าเธอถวายเลือดสัตว์นะ พระเจ้าพอใจมาก ให้รางวัลมาก”

            จริงๆ  ให้รางวัลเท่ากัน อภัยในโทษบาป 1 ปี ละเว้นโทษ 1 ปี

            “ถ้าเธอถวายเยอะๆ พระเจ้าจะพอใจมาก ฉะนั้น เธอต้องทำให้ดีขึ้น คือเครื่องถวายโลหิตนั้น เธอเอาคนสิ เอาคน ถ้าเอาคนนะ พระเจ้าพอใจใหญ่เลย”

            ก็แทนที่จะเลือกเอาสัตว์ที่บริสุทธิ์ที่สุด มาถวายแด่พระเจ้า ก็ถูกหลอกให้เอาคน ไปบูชายันต์ ซึ่งก็มีมาตลอด ทุกวันนี้ก็ยังมี เพื่อพิธีกรรมทางศาสนานี้ เพื่อพิธีกรรมทางวิญญาณนี้จะได้ เกิดผลมากๆ มันก็ถูกหลอกเข้าไปอีก  ทำให้ความจริงมันถูกบิดเบือน กลายเป็นเรื่องไร้สาระ เรื่องป่าเถื่อน เรื่องน่าหวาดเสียว หวาดกลัวไปเลย จริงๆ มันไม่มีอะไรเลย คือพระคัมภีร์เดิมใช้เลือดสัตว์ที่บริสุทธิ์ พระคัมภีร์ใหม่ใช้เลือดพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ที่บริสุทธิ์ แค่นี้เอง โดยฐานของการกระทำนี้ คือความรัก ความเมตตา การช่วยเหลือกฎหมาย ทางโลกวิญญาณนั่นเอง เห็นภาพไหม? จากของดีๆ ทำให้มันเสียหาย  และใครเป็นคนทำ ก็ศัตรูของพระเจ้านั่นเอง ก็คือมารและสมุนของมัน  ที่ปกคลุมทำการงานอยู่บนโลกใบนี้ ไม่มีอำนาจ ไม่มีฤทธิ์อะไร? ทำได้อย่างเดียว คือขัดขวางความจริง บิดเบือนความจริง  ปิดบังความจริง เพราะมันไม่มีอำนาจ มันถึงโกหกอย่างเดียว แล้วอะไรทำให้มนุษย์เป็นอิสระได้จากมัน ความจริงไง?

            พระเยซูจึงบอกว่าความจริงทำให้ท่านเป็นไท ความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ ไม่ใช่ฤทธิ์อำนาจทำให้ท่านเป็นอิสระ เพราะเป็นอิสระแล้ว พระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตเรียบร้อยแล้ว ชัยชนะเป็นของมวลมนุษย์แล้ว  ท่านต้องรู้ความจริง  ไม่ต้องทำอะไรแล้ว

            รับรู้ความจริง เสร็จแล้ว จากนั้นต้องทำอะไรต่อไป  ก็รับรู้ความจริงต่อไปอีกสิ รับรู้ความจริง แล้วทำอะไรอีก ต้องสู้กับมาร  ไม่ต้องสู้ ก็รับรู้ความจริงไปเรื่อยๆ  อย่าให้มันหลอก อย่าให้มันปิดบังตาก็แล้วกัน

            ความจริงที่พระเจ้าบอกในโลกวิญญาณ ในอดีต ก็คือมวลมนุษย์ตกอยู่ในคำสาปแช่ง ต้องโทษคำสาป  เนื่องจากความบาป ไม่เชื่อฟัง  ละเมิดกฎของพระเจ้า ผลออกมา ก็คือวิญญาณตายต่อพระเจ้า ความคิดจิตใจมืดบอดต่อพระเจ้า ร่างกายตายต่อพระเจ้า นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

            ในอดีตก่อนพระเยซูคริสต์จะมาเกิด มวลมนุษย์ต้องตกอยู่ในคำสาปแช่ง  นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ  คือมวลมนุษย์ทุกคนตกอยู่ในคำสาปแช่ง  ต้องโทษคำสาป เนื่องจากความบาป  ไม่เชื่อฟัง ละเมิดกฎของพระเจ้า วิญญาณตายต่อพระเจ้า ความคิดจิตใจมืดบอดต่อพระเจ้า ร่างกายตายต่อพระเจ้า อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ต้องพึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง ซึ่งถูกเรียกว่าเป็นคนบาปอยู่ นี่คือในอดีต ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดและกระทำให้สำเร็จ คือช่วยเหลือมนุษย์ 2,000 ปี จนกระทั่งถึงปัจจุบัน

            ปัจจุบัน พระคริสต์มาแก้ไขให้มวลมนุษยชาติเรียบร้อยแล้ว มวลมนุษย์ หมายถึงมนุษย์ทุกคน  ปัจจุบันพระคริสต์มาแก้ไขให้มนุษย์ทุกคน หรือมวลมนุษยชาติกลับคืนดี พ้นจากคำสาปแช่งแล้ว ก็คือวิญญาณตายต่อบาป ความคิดจิตใจมืดบอดต่อบาป ร่างกายตายต่อบาปแล้ว โดยผ่านทางพระโลหิต และการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนั่นเอง มวลมนุษย์ได้อยู่ภายใต้กฎของวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ตามพันธสัญญาใหม่ที่พระเจ้าได้ประทานให้ แทนพันธสัญญาเดิม หรือพันธสัญญาเก่าเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งพันธสัญญาเก่า ก็คือกฎของความบาปและความตาย กฎของคำสาปแช่ง มนุษย์ได้หลุดพ้นจากกฎเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว นี่คือความจริงในโลกวิญญาณที่เกิดขึ้นกับมวลมนุษย์ทุกคน พูดง่ายๆ ก็คือมนุษย์ทุกคนตอนนี้ อยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิตขององค์พระเยซูคริสต์แล้ว มนุษย์ทุกคนตอนนี้ วิญญาณเขาได้ตายต่อบาปแล้ว ไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไปแล้ว ความคิดจิตใจมืดบอดต่อบาป ไม่ได้คิดแต่ความชั่วตลอดเวลาอยู่แล้ว ร่างกายตายต่อบาป ร่างกายไม่ต้องการกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายอีกแล้ว โดยผ่านทางพระโลหิตพระเยซูคริสต์ที่หลั่งที่ไม้กางเขนเรียบร้อยไปแล้ว เพียงแต่เขารู้ความจริงหรือไม่เท่านั้นเองเขาอยู่ที่นี่แล้ว เขาแค่ยกมือว่า …

            “ใช่ ฉันรับด้วย”

            เขาก็ได้สิทธิของเขา พระเยซูทำให้เขาแล้ว ทำให้มนุษย์ทุกคน มวลมนุษย์ทั้งปวง  ไม่ใช่ผู้เชื่อเท่านั้น  ผู้เชื่อ คือผู้ที่เข้ามารับสิทธิ์ มวลมนุษย์ทั้งปวง คือผู้ที่พระเจ้าได้กระทำให้ เขาเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่เขาเข้ามารับสิทธิ์เท่านั้นเอง แต่ถ้าเขาไม่มารับสิทธิ์ มันก็เสียไปฟรีๆ พระเจ้าไม่ได้เลือกปฏิบัติ รักมนุษย์ทุกคน ช่วยเหลือมนุษย์ทุกคน และช่วยไปหรือยัง? ช่วยแล้ว แต่เราต้องรับสิทธิ์ของเรา รัฐบาลจ่ายให้คนละ 700 บาททุกคน จ่ายให้หรือยัง? จ่ายแล้ว แต่คนนั้นต้องเดินทางไปรับ

            พระเจ้าประกาศความจริงนี้มา 2,000 กว่าปีแล้ว มนุษย์ทุกคน เพียงแต่ใช้สิทธิของตนเอง มายอมรับความจริงนี้เท่านั้น พอได้ยินคำประกาศของพระเจ้าแล้ว แค่บอกว่า …

            “โอ้ พระเจ้า อัศจรรย์เหลือเกิน ขอบคุณพระเจ้า ลูกรับเอา ขอบคุณพระเจ้า ลูกไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไปแล้ว”

            นี่มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เริ่มต้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  ประกาศข่าวดีอย่างนี้ เขาเชื่อกันไม่ยากเลย  ไม่ต้องคิดมากเลย แต่ทุกวันนี้ พอประกาศข่าวดีนี้ …

            “มันเป็นไปได้อย่างไร? คนตายบนไม้กางเขน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรา”

            กาลาเทีย 3:13 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        กาลาเทีย 3:13 “พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราพ้นจากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ โดยทรง รับคำสาปแช่งแทนเรา เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า “ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ ก็ถูกแช่งสาปแล้ว”

            “ถูกแขวนบนต้นไม้” ก็คือถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขนนั่นเอง

            “ตัวเก่าของฉันเป็นอิสระจากคำสาปแช่ง ไม่ต้องคำสาปอีกต่อไปแล้ว อาเมน ฮาเลลูยา”

            มนุษย์มีเพียงแค่ เอเมนเท่านั้นเอง พระเจ้าจึงเป็นพระเจ้าของคริสเตียน ที่บอกว่าเอเมน พระเจ้าแห่งเอเมน ก็คือพระองค์ทรงกระทำทั้งหมดสำเร็จเรียบร้อยแล้ว  เอเมน แปลว่าใช่  ไม่ใช่ต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่ใช่  อ่านแล้ว ข่าวดีอยู่ในพระคัมภีร์ อ่านแล้วทำไม? เอเมน ใช่

            “ตัวเก่าของฉัน เป็นอิสระจากคำสาปแช่งแล้ว ตัวเก่าของฉันมันตายไปแล้ว ฉันเกิดใหม่ เป็นอิสระจากคำสาปแช่งแล้ว”

            ตอนนี้ รู้แล้วใช่ไหม ทำไมเวลามาชุมนุมรวมกันของคริสเตียนจึงได้ยินคำว่า “เอเมน” บ่อยๆ รู้แล้วใช่ไหม? เพราะรับด้วย เอาด้วย มันถูกต้อง ถูกไหม?

            ถ้าท่านได้ยินผมอธิษฐานว่า … “ข้าแต่พระเจ้า ลูกเป็นคนบาป ลูกไม่สมควรเป็นลูกของพระองค์เลย”

            ทุกคนพูดคำว่า … “เอเมน” ไหม? อย่าพูดเด็ดขาด

            “โอ้! ข้าแต่พระเจ้า ลูกเป็นคนบาป ลูกไม่สมควรเป็นลูกของพระองค์เลย”

            อันนั้นมันตอนก่อนจะเชื่อ ถ้าท่านเป็นคริสเตียนแล้ว ท่าน …

            “โอ้! ลูกเป็นคนบาป ลูกไม่สมควรเป็นลูกของพระองค์เลย”

            ไม่เอเมน … ไม่เอเมน เพราะท่านเป็นคริสเตียนแล้วไง แต่ถ้าท่านยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ท่านอาจจะเอเมน มันก็ผิดอีกแหละ เพราะว่าท่านสมควรไหม? ไม่สมควร เพราะว่าพระองค์ตายเพื่อท่านไปเรียบร้อยแล้ว พอเข้าใจไหม? ไม่มีโอกาสที่จะอธิษฐานแบบนี้ ที่ไหนเลย เพราะว่าจะไปให้คนที่เป็น คริสเตียนฟัง หรือไม่ใช่คริสเตียนฟัง ก็ไม่ถูกหมดแหละ ถึงแม้ไม่ใช่คริสเตียน ก็ไม่ใช่เป็นคนบาป  ที่พระเจ้าบอกว่าไม่สมควร เป็นคนบาปที่พระเจ้าบอกสมควรได้ช่วยเหลือเรียบร้อยแล้ว และเป็นคนดีไปเรียบร้อยแล้ว  เพียงแต่เจ้าไม่รู้เท่านั้นเอง ถูกปิดบังตา 2 โครินธ์ 5:21 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        2 โครินธ์ 5:21 “พระเจ้าทรงกระทำพระองค์ (พระเยซู) ผู้ปราศจากบาป ให้เป็นบาป เพื่อเรา เพื่อในพระองค์ เราจะกลายเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า”

            เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เอเมน เอเมนในใจไว้ก่อน เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป  โดยการตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์ บังเกิดใหม่มาเรียบร้อยแล้ว 2,000 ปีแล้ว เอเมน

            พระเจ้าบอกว่าเราในทางวิญญาณเราได้พ้นจากคำแช่งสาป ได้เกิดใหม่แล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ก่อนที่เราจะเกิดจากครรภ์มารดาด้วยซ้ำไป ถูกหรือไม่ถูก เพราะว่าพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อมนุษย์ทั้งปวง เพื่อตัวเราด้วย ถูกไหม? โลหิตนั้นหลั่งมา เพื่อตัวเราด้วย  ก็คือเราได้รับไปแล้วตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว เพราะฉะนั้น จงเชื่อและมั่นใจว่าขณะนี้เราไม่มีเชื้อบาปอยู่ในวิญญาณและในใจใหม่ของเราอีกแล้ว เพราะตัวเก่าเราได้ตายไปแล้ว เอเมน

            เพราะฉะนั้น จึงไม่มีการที่จะทำบาป ภายในตัวของเราได้อีกเลย เอเมนไหม? ชักจะยากขึ้นแล้วนะ …

            “ฉันยังอยากทำอยู่เลย”

            เดี๋ยวฟังต่อไป จึงไม่มีความต้องการที่จะทำบาป ภายในตัวตนของเราได้อีกเลย มีแต่ความดีงามบริสุทธิ์ดีพร้อมของพระเจ้าอยู่  ภายในเรา เอเมนไหม? ฟังไปเรื่อยๆ นะ ความดีพร้อมของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้จะกระตุ้นให้เรา ต้องการที่จะทำแต่ความดี ความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ดีพร้อม ตามลักษณะธรรมชาติของเราภายในที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเราแล้ว  ถูกหรือไม่ถูก? เอเมนไหม?

            เพราะว่าเราได้ตายจากการเป็นทาสบาปไปแล้ว เราได้ตายต่อการเป็นทาสบาป ต้องถูกบังคับให้เชื่อฟังมัน อยู่ภายใต้อิทธิพลของบาป คือการพึ่งพาตนเอง  ตัวเองเป็นใหญ่  เราได้ตายต่อสิ่งเหล่านี้ไปหมดแล้ว  เราได้ตายจากการเป็นศัตรูต่อต้าน ดื้อต่อพระเจ้าแล้ว  ตายจากการเป็นทาสบาปแล้ว ได้กลายมาเป็นบังเกิดใหม่ มาเป็นทาสของความชอบธรรม  เป็นลูกที่เชื่อฟังพ่อหรือพระเจ้า เป็นลูกที่เชื่อฟังต่อพระเจ้า  เหมือนดั่งทาส  ไม่ได้ถูกบังคับให้เป็นทาสนะ  แต่โดยพระคุณความรักเป็นดั่งทาส มันตรงกันข้ามกับที่เราเป็นคนบาป ตอนนี้เราเป็นผู้ชอบธรรม โดยธรรมชาติแล้ว เราเป็นเหมือนดั่งทาสเลย  อยากจะทำแต่สิ่งที่ดี

            เห็นภาพเลยนะว่า … “ในอดีตฉันตายต่อพระเจ้า  ดำเนินชีวิตอยู่ในบาป ในการพึ่งพาตนเอง  เดี๋ยวนี้ตายต่อบาป ตายจากการพึ่งพาบาป พึ่งพาตนเอง มาเกิดใหม่ ชีวิตอยู่ในพระคริสต์ พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ 100% เอเมน”

            นี่คืออัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ ที่เกิดขึ้นในพวกเราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ มันเกิดขึ้นทันที พิสูจน์ได้ภายในวิญญาณของเราทันทีเลย  เพราะเรารู้  เรารู้ เพราะอยู่ในใจของเรา

            เพราะฉะนั้น พี่น้องทั้งหลายที่ได้ฟังคำประกาศเรื่องราววันนี้ เปิดใจแค่นั้น  แล้วอัศจรรย์ยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นทันที ในขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ด้วย เพราะท่านจะรู้และรู้อยู่ในวิญญาณภายในของท่าน เพราะพระเจ้าจะเข้าไปสถิตอยู่กับท่าน และจะเริ่มต้นอธิบาย สอนท่านด้วยตัวตนของพระองค์เอง  พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เป็นอุปทาน หรือความเชื่อกันแน่?

            มีคำสอน มีทฤษฎีมากมาย บอกว่าถ้ามีความเชื่อมากพอ  จะสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ทุกอย่างได้ แต่ความจริง คือพระเจ้าไม่เคยสัญญาว่าจะเปลี่ยนสถานการณ์  แต่พระองค์สัญญาว่าจะประทานความคิดใหม่  ที่เหมือนพระคริสต์ตามพันธสัญญาใหม่  ท่ามกลางสถานการณ์เดิมๆ  ที่ทุกข์ยากลำบากอยู่บนโลกนี้

            สถานการณ์ต่างๆ อาจเปลี่ยน  หรืออาจไม่เปลี่ยน  แต่สิ่งที่ควรเปลี่ยน คือเราควรเปลี่ยนความคิด  เปลี่ยนความต้องการของเรา  ที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ ให้เป็นไปตามที่เราต้องการ แล้วมอบสถานการณ์เหล่านั้นให้พระเจ้า  เป็นผู้นำพาเรา  แล้วเราจะรับรู้และเข้าใจอย่างลึกซึ้ง  ถึงพระคุณและฤทธิ์อำนาจที่แท้จริงของพระเจ้า  ผู้ซึ่งอยู่ในเราตลอดเวลา  ไม่ว่าสถานการณ์รอบด้าน จะเป็นเช่นใดก็ตาม

            ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม  พระเจ้าต้องการเป็นที่พึ่ง  เป็นที่ปรึกษา  เป็นผู้นำทางของเรา  พระเจ้าต้องการให้เราซึมซับเอาพระประสงค์ของพระเจ้าตรงนี้  เข้ามาเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเดิมของเรา  ให้เข้าใจอย่างถ่องแท้  ถึงพระคุณความรักของพระเจ้า

            ไม่ว่าสถานการณ์รอบด้านที่เผชิญอยู่จะเป็นอย่างไร  วันนี้ หรือวันข้างหน้า  จะเกิดอะไรขึ้น  ให้ความคิดเหล่านี้  ฝังรากลึกลงไปในความคิดจิตใจของเราว่าพระเจ้า  คือที่พึ่ง  ที่ปรึกษา  และเป็นผู้ที่สามารถนำพาเราผ่านไปได้  ท่ามกลางทุกสถานการณ์

            เปาโลอธิษฐานขอพระเจ้าถึง 3 ครั้ง  ที่จะให้เอาหนามในเนื้อออกไป  แต่พระเจ้าบอกว่าให้หนามอยู่อย่างนั้นแหละ   แต่พระคุณและฤทธิ์อำนาจของเรา  จะเพียงพอที่จะนำพาเจ้าผ่านไปได้

            2 โครินธ์ 12:8-10 … “8 ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้า 3 ครั้ง ให้ทรงเอาหนามนี้ออกไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า  เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเรา  จะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ” ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตนด้วยความยินดี   เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้าอย่างเต็มบริบูรณ์ 10 ด้วยเหตุนี้แหละเพื่อพระคริสต์  ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ ในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก  เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ  เมื่อนั้นข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง”

            ความเชื่อของอาจารย์เปาโลไม่พออย่างนั้นหรือ? หรืออาจารย์เปาโลไม่มีอุปทานที่สร้างขึ้นด้วย กิเลสตัณหาฝ่ายเนื้อหนัง  ตามกระแสระบบของโลก  ที่ตรงกันข้ามและเป็นศัตรูกับทางของพระเจ้า และน้ำพระทัยของพระเจ้า

            พระเจ้าอวยพรครับ