วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1400

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  มกราคม  2023

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 19

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาดูเอเฟซัส 3:8 คราวที่แล้วเราเรียนไป 1 ข้อ วันนี้เรามาต่อ …

        เอเฟซัส 3:8 “แม้ข้าพเจ้าต่ำต้อยกว่าผู้เล็กน้อยที่สุดในประชากรทั้งหมดของพระเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้รับพระคุณนี้ คือได้ประกาศแก่คนต่างชาติถึงความไพบูลย์อันสุดจะหยั่งได้ของพระคริสต์”

            คำพูดตรงนี้เป็นคำพูดของอาจารย์เปาโล จดหมายฉบับนี้ อาจารย์เปาโลเป็นผู้เขียนถึงคริสตจักรชาวเอเฟซัส  ที่เป็นคนต่างชาติเหมือนพวกเรา  ที่ไม่ใช่คนอิสราเอล แล้วเมื่อพวกเรามาเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ เราก็กลายเป็นอิสราเอลในวิญญาณ ตอนนี้เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับชนชาติอิสราเอลเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น อาจารย์เปาโล ถูกเลือกพิเศษให้ไปประกาศเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ถึงคนต่างชาติ คือคนที่ไม่ใช่ยิว

            ก่อนที่อาจารย์เปาโลจะถูกเรียกมาเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า อาจารย์เปาโลเป็นยิวอยู่ในกลุ่มพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ ที่เคร่งครัดบทบัญญัติมาก แล้ว ณ เวลานั้น ก่อนที่เขากลับใจใหม่ มาเชื่อพระเจ้า  เขามีความรักในพระเจ้า  ในพระยะโฮวาห์มากๆ แล้วเชื่อในกฎบัญญัติของโมเสสมากๆ ต้องถือกฎทุกระเบียดนิ้วเลย แล้วเมื่อตอนที่พระเยซูคริสต์ มาประกาศแผ่นดินสวรรค์ บอกว่า …

            “แผ่นดินสวรรค์มาแล้ว คือเราเอง เราคือผู้นั้น  เราคือพระมาซีฮาห์ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน”

            อาจารย์เปาโลเคือง พวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์เคืองมาก รับไม่ได้ คนนี้เป็นใคร ชื่อเยซู อยู่ดีๆ มาประกาศตัวเอง เทียบเท่าพระเจ้า  หมิ่นประมาทมากเลย  ไม่ได้ต้องจัดการ  แล้วหลังจากที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย อยู่กับผู้ที่ติดตามพระองค์ 40 วัน ขณะนั้น พระเยซูคริสต์ได้สำแดงตัวพระองค์เองให้คนที่ติดตามพระองค์ได้รับรู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ พระองค์ได้สิ้นพระชนม์จริงๆ และเป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ ด้วย ก็คือตอนที่พระองค์เป็นขึ้นมาใหม่ เป็นกายใหม่ที่เต็มด้วยสง่าราศี  แต่พระองค์ยังให้คนที่ติดตามพระองค์ได้เห็นภาพชัดเจนว่ามือของพระองค์มีรอยตะปูอยู่ สีข้างของพระองค์ก็มีรอยถูกแทง

            มีผู้ติดตามคนหนึ่งที่ชื่อโธมัสเขาไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย เขาบอกว่าไม่เชื่อหรอก ใครๆ ก็บอกว่าพระเจ้าของเราเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว  เขาไม่เชื่อ  เขาจะเชื่อต่อเมื่อเขาเอานิ้วแหย่ที่รอยตะปู ที่มือและที่เท้าของพระเยซูคริสต์ หรือเอานิ้วไปแหย่ที่สีข้างของพระเยซูที่ถูกหอก ถูกทวนแทง เขาถึงจะเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ

            แล้วตอนที่เขาพูดกับเพื่อนๆ พระเยซูไม่ได้อยู่ด้วย  แต่พอพระเยซูเสด็จมา ณ เวลานั้น พระเยซูมีกายทิพย์ กายทิพย์ตรงนี้เป็นกายเดียวกันกับในอนาคตข้างหน้าที่พวกเราผู้เชื่อจะได้ไปรับ หลังความตาย หลังจากวิญญาณเราออกจากร่างนี้ หลังจากที่ภารกิจบนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าบอกว่า …

            “พอแล้ว สำเร็จแล้ว ฉันให้เธอทำแค่นี้ กลับบ้านได้”

            วิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราจะไปรับกายใหม่ ที่เต็มด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์เลย  กายใหม่ของพวกเราทุกๆ คนถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยไปแล้ว  รอเวลา ที่เราไปสวมกายใหม่นั้น  นี่คือความหวังใจของผู้เชื่อทุกๆ คน ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อย่างที่อาจารย์เปาโลบอก …

            “ตายก็ดีกว่าอยู่”

            เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า  ทุกคนมีความคิดแบบนี้ ตายก็ดีกว่าอยู่ เพราะเราอยู่ก็เพื่อรับใช้ ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “อยู่เพื่อรับใช้” สมัยก่อนเราก็เข้าใจว่าอยู่เพื่อรับใช้ เราต้องพยายามทำโน่นทำนี่ ทำนั่นให้พระเจ้า ต้องไปรับใช้ ต้องไปประกาศ ต้องไปพาคนมารับเชื่อ ต้องๆๆๆๆ ต้องทุกอย่าง แบบเหนื่อยมาก

            แต่คำว่า “อยู่เพื่อรับใช้” ในถ้อยคำที่อาจารย์เปาโลพูดถึง คืออยู่เพื่อที่จะรับรู้ว่าเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อที่จะรับรู้ว่าทุกวินาที การดำเนินชีวิตของเรา ไม่ว่ายามหลับยามตื่น พระเจ้าอยู่ในเรา แล้วพระเจ้าเป็นผู้นำเรา ตามที่อาจารย์เปาโลบอก …

            “ข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ ณ เวลานี้ ชีวิตที่อยู่ในข้าพเจ้านั้น คือพระเยซูคริสต์ พระเจ้าอยู่ในเรา”

            ชีวิตเก่าที่เป็นความบาปของเราตายไปพร้อมๆ กับพระเยซูคริสต์แล้ว ฉะนั้น ผู้เชื่อทุกคนไม่มีบาปเลย ชีวิตเก่าที่เป็นคนบาปได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว อย่าให้ใครหลอกเราว่าเรายังเป็นคนบาปอยู่

            “เธอยังเป็นคนบาปอยู่ เธอต้องสารภาพบาปนะ เธอทำอันโน้นไม่ถูกต้อง เธอต้องรีบสารภาพบาปกับพระเจ้านะ ถ้าไม่สารภาพเดี๋ยวเธอตายไป เธอไม่ได้ขึ้นสวรรค์แน่ๆ เลย”

            เมื่อก่อนเราถูกสอนแบบนี้ พอถูกสอนแบบนี้ปุ๊บ เวลาเราทำไม่ดีปุ๊บ เรากลัว

            ดิฉันจะเป็นพยานให้เรื่องหนึ่ง คือจริงๆ แล้วดิฉันไม่มีของประทานในการประกาศ  แต่ตอนที่ดิฉันเชื่อใหม่ๆ ก็คือถูกสอนว่าต้องประกาศ  ต้องประกาศไม่พอนะ ไปเรียนเรื่องการประกาศว่าเราต้องออกไปหาคน เราต้องไปคุยเรื่องพระเจ้าให้เขาฟัง ซึ่งมันไม่ได้เป็นตัวตนที่พระเจ้าสร้างดิฉันมา  แล้วมันฝืนมาก ในพระคัมภีร์บอกว่าพวกเราทุกคนเป็นร่างกายของพระเยซูคริสต์ใช่ไหม? พระเยซูคริสต์จะสร้างอวัยวะทุกส่วนให้มันเหมาะสม ก็คือแล้วแต่น้ำพระทัย

            บางคนพระเจ้าสร้างมาให้เป็นปาก บางคนพระเจ้าสร้างให้เป็นตา เป็นจมูก เป็นหู เป็นมือ เป็นเท้า เป็นตับ ไต ไส้ พุง คือแต่ละคนถูกสร้างมาไม่เหมือนกัน แล้วอวัยวะในร่างกาย แต่ละชิ้นส่วน ก็ทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น เราจะไปทำหน้าที่เหมือนกันทุกคน เป็นไปไม่ได้  เราจะเอาขามามองแทนตาไม่ได้  เราจะเอามือมาเดินแทนขาไม่ได้ เราจะเอาจมูกมาทานข้าวแทนปากไม่ได้ ก็คือแต่ละชิ้นส่วนที่พระเจ้าสร้างมนุษย์มา  พระองค์มีจุดประสงค์ มีเป้าหมายของพระองค์ว่าให้อวัยวะแต่ละส่วนทำงานอะไร?  แล้วอวัยวะส่วนนั้น ถ้าทำงานของตัวเองได้ตามความเหมาะสม ร่างกายนั้น ก็จะสมบูรณ์ ไม่รวน แต่ถ้าอวัยวะส่วนไหนในร่างกายเรารวน ไม่ยอมทำหน้าที่ ร่างกายเราก็ป่วย นึกภาพออกใช่ไหม?

            อย่างหัวใจฟอกเลือด หัวใจวันนี้รวน ฉันไม่ฟอก ฉันจะอยู่เฉยๆ เลือดไม่ถูกการฟอก ร่างกายเราก็รวน เจ็บป่วย ดังนั้น การที่เราเจ็บป่วย เกิดจากอวัยวะในร่างกายเรา ไม่ทำงานตามหน้าที่ ที่ควรจะเป็น

            ฉะนั้น ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราชัดเจนว่าเราแต่ละคนถูกเรียกมาในจุดประสงค์ที่ต่างกัน แล้วให้เรารับรู้ว่าจุดประสงค์ที่พระเจ้าเรียกเราแต่ละคนเป็นแบบไหน? อย่างไร? แล้วทำตามนั้น

            มือมีหน้าที่ใช้หยิบจับของ ใช้ถือช้อน ตักข้าวเข้าปาก แค่นั้น  นั่นคือหน้าที่ของมือ

            ปากมีหน้าที่ คือทานข้าว แล้วก็พูดในเวลาที่เหมาะสม ที่พระเจ้านำให้เราพูด

            จมูกมีหน้าที่หายใจ ฉะนั้น บางครั้งเราคัดจมูกปุ๊บ เราก็ใช้ปากช่วยหายใจ ได้นะ ช่วยได้บ้างนิดหน่อย แต่ถ้าเราใช้ปากช่วยหายใจสักพักหนึ่ง คอเราจะแห้ง แล้วเราจะรู้สึกอึดอัด เพราะว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของปาก ที่จะทำแบบนั้น

            เหมือนกัน ลักษณะของผู้เชื่อ หลายคนเราเข้าใจว่ามาเชื่อพระเจ้า เราต้องรับใช้ ต้องๆๆๆๆ ทุกอย่างต้องทำโน่นต้องทำนี่ แล้วถูกสอนมา ดิฉันตอนเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ถูกสอนมาว่าต้องประกาศ เจอใครก็ได้ เราต้องฉวยทุกโอกาส ทั้งมีโอกาสและไม่มีโอกาส เจอปุ๊บ เราต้องเอาเรื่องพระเจ้าไปคุยให้เขาฟัง

            พี่น้องเชื่อไหม? ดิฉันเคยนั่งอยู่ที่ป้ายรถเมล์ แล้วดิฉันก็คอยจ้อง คนที่นั่งข้างๆ เรา เราอยากจะประกาศกับเขา เพราะถูกสอนมา จนแล้วจนรอด จนคนนั้นเขาลุกขึ้นรถเมล์ไป ดิฉันยังอ้าปากไม่ได้เลย มันไม่ได้ คือไม่ใช่ของประทานเรา หรือบางทีขึ้นแท็กซี่  เรียกแท็กซี่ นั่งไกล นั่งมาตั้งครึ่งชั่วโมง 45 นาที ตั้งแต่ขึ้นไปนั่ง คิดๆ …

            “เราจะประกาศกับแท็กซี่ได้อย่างไร? เราจะประกาศกับคนนี้ได้อย่างไร?  เราจะพาเขามารับเชื่อได้อย่างไร?”

            คือลุ้นจนเสร็จ จนถึงที่หมาย ลงจากรถแท็กซี่ ยังไม่มีคำพูดสักคำเดียวออกจากปากของดิฉัน เพราะว่ามันไปไม่ได้ ยังไงก็ไปไม่ได้ พูดได้คำเดียว คือลงจากรถ “ขอพระเจ้าอวยพรนะคะ” พูดได้แค่นั้นแหละ ให้เขารู้ว่าฉันเป็นคริสเตียนนะ แต่ฉันประกาศไม่เป็นอะไรประมาณนั้น

            ฉะนั้น แต่ละคน พระเจ้าไม่ได้มีเป้าหมายที่จะให้เราต้องทำโน่น ต้องทำนี่ แต่ว่าถ้าถึงเวลาที่พระเจ้าอนุญาตให้เราทำ มันจะออกมาเอง คือลักษณะอยู่ดีๆ ไปคุยกับเขาเรื่องพระเจ้าไม่เป็น แต่อย่าให้ใครมาถามเรื่องพระเจ้ากับดิฉัน ฟังหูชาเลยนะ นึกออกไหม? สามารถเล่าได้ ต้องมีคนเกริ่นนำ  มาถาม แล้วดิฉันเล่าได้ อยู่ดีๆ ให้ดิฉันไปนั่งเล่าเรื่องพระเจ้าให้เขาฟัง ดิฉันทำไม่ได้ คือมันไม่ใช่ไง

            ฉะนั้น เราก็ขอบคุณพระเจ้า ที่พอเรารู้ความจริงว่าพระเจ้าไม่ได้ต้องการให้เราทำอะไรเลย พระเยซูคริสต์บอกสิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการให้เราทำ คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าส่งมา แล้วพวกเราก็ได้เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว จากนั้น ชีวิตของพวกเรา พระองค์จะเป็นผู้นำเรา เมื่อถึงจังหวะที่พระเจ้าต้องการให้เราประกาศกับใคร? พระเจ้าก็ให้เรามีโอกาสนั่นแหละ เขาเกิดอยากจะถามขึ้นมา ดิฉันก็จะมีโอกาสคุยเรื่องพระเจ้าให้เขาฟัง

            หรือในอีกนัยหนึ่ง  ก็คือทุกโอกาสพระเจ้าสามารถทำได้ พระเจ้าสามารถที่จะให้เราไปอธิษฐาน วางมือให้คนเจ็บคนป่วย  แล้วคนเหล่านั้นหายโรค พระเจ้าก็ทำได้ แต่มันไม่ใช่ฝีมือเรา ไม่ใช่เพราะเราทำให้คนๆ นั้นหายป่วย ไม่ใช่ เพราะเราที่ไปประกาศเรื่องราวของพระเจ้า แล้วทำให้คนนั้นรับเชื่อ ไม่ใช่  เราเป็นเพียงเครื่องมือของพระเจ้า ที่พระเจ้าใช้ในแต่ละจังหวะเวลาของพระองค์  ที่พระเจ้าจะใช้เรา แล้วเกิดผล พอเกิดผล แล้วทำอย่างไร? ขอบคุณพระเจ้า จบไม่ต้องเอามาคิด เป็นพยานนะ …

            “เห็นไหม? วันนั้น พี่ไปวางมือให้คนนั้นหายโรคเลยนะ แล้วเราก็มาเป็นพยานทุกครั้งกับทุกคน”

            เท่ากับเรากำลังบอกกับทุกคนว่าอย่างไร? … “ฝีมือฉัน ฉันไปวางมือ แล้วเขาหายโรค”

            มันเป็นเรื่องเดียวกัน ฉะนั้น เรื่องนี้มันละเอียดอ่อนมาก เราต้องคอยระวัง คอยดูท่าทีในใจของเราว่าท่าทีของเราตอนนี้ เราเริ่มรู้สึกภาคภูมิใจ  ในสิ่งที่พระเจ้าให้เราทำแล้ว ไม่ใช่ฝีมือพระเจ้าแล้ว ตอนนี้เป็นฝีมือเรา อันนี้อันตราย

            ตรงนี้ อาจารย์เปาโลก็บอกกับผู้เชื่อในเอเฟซัสว่า … “ข้าพเจ้าต่ำต้อยกว่าผู้เล็กน้อยที่สุด”

            ทำไมอาจารย์เปาโลรู้สึกอย่างนั้น  เพราะว่าตอนที่อาจารย์เปาโลยังไม่กลับใจใหม่ อาจารย์เปาโลเป็นตัวเอ้เลยที่พยายามไล่ล่าผู้เชื่อ ใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระนามของพระเยซูคริสต์ปุ๊บ อาจารย์เปาโลรู้สึกไม่ได้ ฉันต้องจัดการ เพราะว่าเกลียดชังคนเหล่านั้น เปล่า เพราะว่าฉันกำลังรักษาเกียรติของพระเจ้า คนพวกนี้ลบหลู่เกียรติของพระเจ้า คนพวกนี้แทนที่จะมาเชื่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  คือพระบิดาที่เราเชื่อตั้งแต่ไหนแต่ไร อยู่ดีๆ มาเชื่อคนที่ชื่อว่าเยซู ซึ่งใครก็ไม่รู้ อยู่ดีๆ มาอ้างตัวเองเป็นพระเจ้า ไม่ได้ๆ ฉันต้องจัดการกับคนเหล่านี้

            ถึงขนาดอาจารย์เปาโลได้ยินข่าวว่าผู้เชื่ออยู่ที่ไหน? อาจารย์เปาโลก็จะขอทหารไปจัดการจับคนเหล่านี้มาทำโทษ จับมาติดคุก จับมาเฆี่ยนตี จับมา แล้วแต่ว่าจะทำอะไร แล้วตอนที่อาจารย์เปาโลเจอพระเจ้า อาจารย์เปาโลกำลังนำทหารไป เพื่อที่จะไปจับผู้เชื่อที่เมืองดามัสกัส  แล้วเป็นช่วงจังหวะ พี่น้องจะเห็นการต้อนรับพระเจ้าของแต่ละคน จังหวะไม่เท่ากัน บางคนพระเจ้าเรียกเขาตั้งแต่ตัวเล็กๆ บางคนพระเจ้าเรียกเขา อายุเยอะแล้ว กำลังใกล้ไป  อีกไม่กี่วันเขาจากไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว พระเจ้าก็ให้เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            อย่างโจรบนไม้กางเขน เขามาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าให้เขารับใช้แค่นั้น  ก็คือเขาอยู่ข้างๆ ถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์ แล้วเขาบอกพระเยซูคริสต์ว่า …

            “พระองค์เจ้าข้า ถ้าถึงแผ่นดินสวรรค์ ขอรับลูกด้วย”

            แปลว่าเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขายอมรับว่าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ แล้วพระเยซูคริสต์บอกกับเขาว่า …

            “วันนี้เราจะได้เจอกันที่แผ่นดินสวรรค์”

            เขารับใช้พระเจ้าแค่นี้เอง สั้นมาก ในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมง เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วเขาก็ได้ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรคสถาน โจรคนนี้  ทำหน้าที่แค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่เรื่องราวของโจรคนนี้ถูกประกาศตั้งแต่เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว  ใครที่อ่านพระคัมภีร์จะรู้จักโจรคนนี้ โจรคนนี้จะเป็นที่กล่าวขานถึงตลอด ช่วงเวลา 2,000 กว่าปีเขาได้รับใช้พระเจ้า เขาได้ประกาศพระนามของพระองค์ เขาได้ประกาศความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าว่าไม่เกี่ยวอะไรกับเวลา เกี่ยวกับตรงที่ว่าตามเงื่อนไขที่พระเจ้าบอกว่าถ้าใครก็ตามเชื่อวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาที่บนไม้กางเขน  โดยไม่พึ่งพาการกระทำของตนเอง  คนนั้นจะได้รับความรอด  แล้วคนนั้นจะได้ไปอยู่กับพระเจ้าในแผ่นดินสวรรค์ทันทีเลยนะ ถ้าโจรคนนั้นยังไม่ตาย เขาก็ได้อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ เหมือนพวกเราทุกวันนี้  เราได้อยู่กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  ในโลกวิญญาณที่เราสัมผัสไม่ได้  เราไม่สามารถรับรู้ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กายของเรา แต่เรารับรู้ด้วยวิญญาณของเรา …

                        “ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ”

            คือในใจยืนยันว่าเราเชื่อพระเจ้า ในใจยืนยันว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ในใจพระวิญญาณบริสุทธิ์บอกว่าเรารอดแล้ว ชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้ ให้พระเจ้านำเรา พระองค์บอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระองค์จะเริ่มต้นนำเรา ตามในหนังสือฟีลิปปีบอกเรา

            ฟีลิปปี 1:6 บอกว่า “พระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีไว้ในชีวิตของท่าน พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ จนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์”

            ก็คือวันแรกที่พี่น้องเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา ทันทีทันใด พระเจ้าเริ่มต้นการงานดีไว้ในชีวิตของคนๆ นั้นแล้ว แล้วพระองค์ก็นำพาเขา ประคับประคองเขา คอยช่วยเหลือเขา คอยแนะนำเขาคอยให้กำลังใจให้กับคนๆ นั้น อย่างที่บอก ยามที่เราทุกข์ พระเจ้าก็แบกเราเดิน ยามที่เราสุข พระเจ้าก็เกี่ยวก้อยเราเดิน  ไม่ว่าสุขหรือทุกข์ พระเจ้าไม่เคยทิ้งเราไปไหน? พระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา

            พี่น้องจำตรงนี้ให้ได้ว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน เป็นสง่า เป็นเกียรติ เป็นสิริ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด  ไม่มีใครสามารถที่จะนำเอาสิ่งนี้ ออกไปจากชีวิตของเราได้ เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  เป็นแล้วเป็นเลย  ไม่มีใคร หรือไม่มีมนุษย์หน้าไหนบนโลกใบนี้จะสามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้าได้ ไม่สามารถทำให้เราจากเป็นผู้ชอบธรรม กลายเป็นคนบาปได้  ไม่มีทาง แต่หลายครั้งเราก็ถูกหลอก ด้วยระบบของโลกใบนี้  พยายามหลอกเราว่า …

            “เธอทำอย่างนี้บาปแล้วๆ พระเจ้าไม่รักแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ทำไมถึงนิสัยแบบนี้”

            ไม่เกี่ยวอะไรเลย เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า วิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์หมดจด ไม่มีบาปเลย ตัวตนจริงๆ ของผู้เชื่อ เป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว

            นี่คือความจริง ทำไมถ้อยคำของพระเจ้า อาจารย์เปาโลถึงบอกว่าให้เราจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน แล้วรับรู้ความจริงว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ พระเยซูได้ทำอะไรให้กับเราเรียบร้อยแล้ว นี่เป็นเรื่องสำคัญ พอเรารับรู้ความจริงตรงนี้ รับรู้ความจริงมากเท่าไร เราก็ถูกหลอกน้อยลง นึกออกไหม? ถ้าเรารู้ความจริงน้อย  เราก็ถูกหลอกมาก แค่นั้นเอง …

                        “รู้ความจริงเยอะ ถูกหลอกน้อย  รู้ความจริงน้อย ถูกหลอกเยอะ”

            แล้วคริสเตียน ถ้าถูกหลอก วิญญาณเรากระทบกระเทือนไหม? ไม่กระทบ ถ้าเราถูกหลอกมาก โดยที่เราไม่รับรู้ความจริงเยอะ ไม่กระทบกระเทือนถึงวิญญาณของเรา เพราะว่าเรารอดแล้ว รอดเลย  แต่มันจะกระเทือนถึงการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แทนที่เราจะมีความสุขกับสิ่งที่พระเจ้าทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว สันติสุขที่อยู่ในใจ ที่เราจะสามารถสำแดงออกมาได้เต็มที่ มันก็สำแดงออกมาไม่เต็มที่ เพราะว่าเราถูกขวางด้วยความโกหกหลอกลวง ที่พยายามส่งเข้ามาในความคิดของเรา

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลจึงบอกว่าให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ เพื่อเราจะรับรู้ว่าอะไรดี อะไรดียอดเยี่ยม พอเรารับรู้เยอะๆ  เราสามารถ เรามีกำลัง เพราะ ณ เวลานี้ผู้เชื่อมีพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่ในเรา มีกำลังพอที่จะต่อต้าน ขัดขืนมัน “มัน” คือระบบของโลกใบนี้ การล่อลวงทุกรูปแบบที่จะพาเราหลงเจินออกนอกลู่ นอกทางของพระเจ้า เราสามารถขัดขืนมันได้  แต่ไม่ได้หมายความว่าพอเราสามารถขัดขืน เราจะขัดขืนได้ตลอด  บางทีร่างกายเรา ก็อ่อนแอ เราก็ล้ม แต่ล้มไม่เป็นไร ล้มก็ลุกขึ้นมาใหม่  ล้มแล้วก็ไม่ต้องมารู้สึกถูกฟ้องผิด  …

            “เธอแย่แล้ว เธอบาป เธอเป็นคนบาปอีกแล้ว”

            ไม่ใช่เลย พี่น้องต้องจำตรงนี้ให้ได้ ไม่ว่าเราจะล้มลงกี่ครั้ง เรายังเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ยังสะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงตรงนี้ ไปจากความจริงในชีวิตของเราได้

            ฉะนั้น ตรงนี้แหละ อาจารย์เปาโลรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้เล็กน้อย เพราะว่าไปทำพระเจ้าไว้เยอะ ไปทำกลุ่มของพระเยซูคริสต์ไว้เยอะ ไปต่อต้านพระเยซูคริสต์ไว้เยอะ ไปต่อต้านผู้เชื่อเยอะ แต่เราขอบคุณพระเจ้า ตรงนี้ อาจารย์เปาโลบอกว่า …

            “ข้าพเจ้าก็ได้รับพระคุณ”

            พระเจ้า พระเยซูคริสต์ไม่ได้มองสิ่งที่อาจารย์เปาโลทำก่อนหน้านั้นว่า …

            “ตาคนนี้ต่อต้านเราทุกรูปแบบ เอาทหารมาจับลูกๆ ของเราไปทรมาน ไปอะไร ตาคนนี้เราหมายหัวเอาไว้ ต่อให้มาเชื่อพระเจ้า ไม่ใช้เขาแน่นอน”

            พระเจ้าไม่ได้มีอุปนิสัยแบบนั้น  โดยพระคุณ พระเจ้าเลือกอาจารย์เปาโลไว้แล้ว โดยพระคุณ เมื่อถึงเวลาที่อาจารย์เปาโลจะบังเกิดใหม่  พระเจ้าก็มีวิธีการทำให้เขาบังเกิดใหม่  พอหลังจากที่เขาบังเกิดใหม่ปุ๊บ อาจารย์เปาโลจะรู้ความจริงทั้งหมดอย่างรวดเร็ว เพราะว่าอาจารย์เปาโลมีพื้นฐานของเรื่องราวของพระเจ้าชัดเจนมากๆ ก็คือรู้อยู่แล้ว  แค่คลิ๊กนิดเดียวว่าต่อให้เธอรู้ อย่าพึ่งพาความรู้ของตัวเอง  อย่าพึ่งพาการกระทำของตัวเอง ความชอบธรรมของตัวเอง มาพึ่งพาฉัน เธอพึ่งพาความชอบธรรมของตัวเอง  พึ่งพาอย่างไร เธอก็ทำไม่ได้  ครบถ้วนสมบูรณ์ 100% มาพึ่งพาฉัน  แค่นั้นเอง  พออาจารย์เปาโลเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ไปไกลเลย เพราะว่าบทบัญญัติแน่นอยู่ในตัวของอาจารย์เปาโล พระเจ้าแค่เปิดให้เห็นว่าเธอทำมาตั้งนาน เธอช่วยตัวเองไม่ได้หรอก เธอมาพึ่งฉัน ก็พอ  แล้วอาจารย์เปาโลพึ่งพระเยซูคริสต์ แล้วรับรู้ว่าเขาเป็นคนบาปจริงๆ

            จริงๆ อาจารย์เปาโลคิดว่าตัวเองชอบธรรมมากเลย กับพวกฟาริสีธรรมาจารย์ คิดว่าตัวเองชอบธรรมมาก  ทำเยอะกว่าคนอื่น  รักษากฎบัญญัติได้เยอะกว่าคนอื่น แต่พระเยซูคริสต์กำลังให้เขาเห็นว่ารักษากฎบัญญัติได้มากแค่ไหนเธอก็ยังเป็นคนบาปอยู่ดี

            เพราะว่าพื้นฐานในวิญญาณไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง มนุษย์จำเป็นจะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงในวิญญาณ จากวิญญาณที่เป็นคนบาป อยู่ในอาดัม  อยู่ในบรรพบุรุษเดิม อยู่ใน DNA บาป ต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง ผ่าตัดวิญญาณ ต้องถูกฆ่าให้ตาย เพื่อจะได้เกิดใหม่ เข้ามาใน DNA ใหม่ของพระเจ้า ฉะนั้น พวกเราทุกคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ขบวนการนี้มันได้เกิดขึ้นตั้งแต่วินาทีแรกที่เราอธิษฐานกับพระเจ้า ขบวนการนี้ เราไม่สามารถสัมผัสได้ด้วยมือ ไม่สามารถเห็นด้วยตา ได้ยินด้วยหู แต่ใจเรารับรู้ รับรู้ว่ามันมีการเปลี่ยนแปลง เริ่มต้นจากข้างในวิญญาณ เราเปลี่ยนแปลง เรารับรู้ ข้างในวิญญาณเราเป็นความรัก เมื่อก่อนเรารักพระเจ้าไม่ได้  แต่ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วิญญาณเราเป็นความรัก เรารักพระเจ้าเลย

            ถามว่าอยู่ดีๆ เรารักพระเจ้าได้อย่างไร?  มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อก่อนเราไม่เชื่อพระเจ้า เราต่อต้านพระเยซูคริสต์จะตาย ใครอย่ามาคุยเรื่องพระเยซูคริสต์ เราจะเถียงหัวชนฝาเลย อะไรประมาณนี้ แต่พอเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ข้างในวิญญาณเราถูกเปลี่ยนใหม่เป็นความรัก ความรักแบบพระเจ้าเลย แล้วเราก็รักพระองค์ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์เลย โดยเราไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ใช่ฝีมือเราเลย ไม่ได้เป็นความสามารถของเราเลย แต่พระเจ้าเป็นผู้เปลี่ยนเรา พระเจ้าใส่ความรักลงมาในวิญญาณใหม่ของเรา โดยที่เราไม่ต้องไปพยายามฝืนที่จะรักคนโน้น รักคนนี้ หรือพยายามฝืนที่จะรักพระเจ้า เรารักเลย  วิญญาณตรงนี้พระเจ้าให้มา

            ฉะนั้น มนุษย์ธรรมดาก่อนที่จะบังเกิดใหม่ เราไม่สามารถรักพระเจ้าได้เลยแน่นอน ต่อให้เรามีความรู้สึกว่าฉันรักพระเจ้ามาก มันเป็นไปไม่ได้ วิญญาณเราบาปอยู่ วิญญาณบาป มีแต่ความเกลียดชัง ไม่มีความรัก

            ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่พระเจ้าได้บอกเรา พระคัมภีร์ได้พยายามบอกเรา ให้เรารับรู้ความจริงตรงนั้น แล้วความจริงเหล่านี้จะทำให้เราเป็นไท คือเป็นอิสรภาพเลย ความจริงเหล่านี้จะทำให้เราไม่ถูกผูกมัด หรือไม่ถูกหลอกลวง  ไม่ถูกกระแทกด้วยเสียงอะไรไม่รู้ ที่อยู่รอบข้างเรา ที่พยายามบอกว่า …

            “เธอบาปๆ  เธอทำสิ่งนี้ เธอบาป พระเจ้าไม่รักเธอ เธอแย่แล้ว”

            สวนกลับไปเลย … “พระเจ้ารักฉันดังแก้วตาดวงใจ พระเจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลงความรักของพระองค์ ความรักของพระองค์อยู่ในฉัน และฉันเป็นความรักด้วย ฉันกับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ฉันกับพระเจ้าสนิทสนมกัน ฉันไม่ต้องทำอะไร เพื่อให้สนิทสนม”

            ทันทีที่เราวางใจในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเจ้าทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเรา เป็นก้อนเดียวกัน คือสนิทกว่านี้ ไม่มีอีกแล้ว ไม่ต้องพยายามไปทำตัวให้สนิทด้วย คือมันสนิทโดยอัตโนมัติในโลกวิญญาณ แต่ในโลกวัตถุเราก็พัฒนา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเรา จะค่อยๆ สอนเรา ให้เราสามารถที่จะทำตามธรรมชาติใหม่ ที่เราบังเกิดใหม่แล้ว ที่เหมือนพระเจ้าแล้วให้มากขึ้น ตรงนั้นเขาเรียกว่าผลของพระวิญญาณ มันจะค่อยๆ สำแดงออกมา บางคนก็สำแดงได้เยอะ บางคนก็สำแดงได้น้อย ก็แล้วแต่ว่าคนนั้น จะยอมให้พระเจ้าใช้เยอะหรือน้อย    แค่นั้นเอง   แต่ไม่มีผลกระทบกับความรอดของเราเลย  เรายังเป็นลูกพระเจ้า  ที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ   เรายังเป็นผู้ชอบธรรมอยู่   เรายังสะอาด   บริสุทธิ์   หมดจด   เหมือนพระเจ้าทุกกระเบียดนิ้ว  เรายังได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ณ เวลานี้ในโลกวิญญาณ  ก็คือไม่มีการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างเลย มันเป็นอย่างนั้น

            ฉะนั้น ความจริงเหล่านี้ ให้พี่น้องพยายามฝัง ฟังเรื่อยๆ ทำไมอาจารย์จะย้ำเราให้ไปฟัง อย่างฟังเทศน์ ฟังเที่ยวเดียวท่านจำไม่ได้หรอก ท่านฟังตอนนี้ จะใช่ๆ ออกไป ก็ลืมแล้ว อย่าว่าแต่ท่านลืมเลย ดิฉันพูดเอง ดิฉันยังลืมเลย ต้องไปทบทวน ไปเปิดฟัง ฟังๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะค่อยๆ เปิดเผยสำแดง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำเรา จะเปิดเผยให้เราเข้าใจมากขึ้น จะทำให้เรามีกำลังมากขึ้น จะทำให้เรารับรู้ความจริงมากขึ้น …

            “ใช่เลย ตอนนี้เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ลักษณะของพระเจ้าเป็นแบบนี้ วันนี้ฉันไปทำแบบนี้ แปลว่าฉันทำไม่ได้เหมือนกับตัวตนจริงๆ ของฉันนี่นา ไม่ใช่ ตัวตนจริงๆ ฉันไม่ได้เป็นแบบนี้”

            เราก็เอาใหม่ๆ แค่นั้นเอง เอาใหม่ๆ คราวหน้า พระเจ้าให้กำลังเราด้วย แล้วเราก็จะสามารถเอาชนะมันได้ ทีละเล็กทีละน้อย  เราสามารถที่จะทำตามพระวิญญาณได้มากขึ้น  เมื่อเรายอมจำนน ให้กับพระเจ้า เมื่อเรายอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกายเรา คือพระเจ้าไม่ได้บังคับเรานะ ต่อให้พระเจ้า ณ เวลานี้ จะเรียกว่าพระเจ้าเป็นเจ้าของชีวิตเราก็ได้ ก็คือพระเจ้าซื้อชีวิตของเราด้วยชีวิตของพระองค์เอง เราไม่ได้เป็นเจ้าของแล้วนะ แต่พระเจ้าก็ยังให้เกียรติเรา ที่จะตัดสินใจว่า …

            “ทุกวัน เธอเดินกับฉัน เธอจะตัดสินใจอย่างไร? อ้าว! เรื่องนี้เธอตัดสินใจอย่างไร? ถ้ามีเรื่องกับใคร เธอจะตัดสินใจอย่างไร? เธอจะตัดสินใจตามธรรมชาติใหม่ของเธอ เธอเป็นความรัก ให้อภัยเขา อดทนนาน”

            “โอเคนะคะ ไม่เป็นไร”

            หรือเธอจะไม่ยอมทำตามที่พระเจ้านำเรา ไม่ได้ๆ โปรแกรมเก่ายังมีอยู่ วนเวียนอยู่แถวนี้ พยายามที่จะจ่อเข้ามา เขาก็จะเสี้ยมเราว่า …

            “ไม่ได้ๆ เธอจะไปยอมเขาได้อย่างไร ไม่ได้มันต้องจัดการ ไม่งั้นเดี๋ยวเขาได้ใจ”

            เท่ากับเราตอนนี้ทำตามเนื้อหนัง ทำตามการนำของระบบโลกนี้ พอเราทำตาม เราก็รับผล ผลตรงนี้ คือผลของโลกใบนี้นั่นแหละ เหมือนเราไปตบหน้าเขา ถ้าเขาแรงมาก เขาก็ตบหน้าเรากลับ รับผลไหม? รับผล หรือว่าเราไปตีหัวใคร เขาไปแจ้งความ เราก็ถูกปรับ แค่นั้นเอง  คือรับผลตรงนั้น

            แต่ผลในด้านวิญญาณ เรายังคงเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย เพราะว่าพระเจ้าบอกว่าพระองค์รับเราเป็นลูกแล้ว  ต่อให้เราหัวหกก้นขวิดขนาดไหน? พระเจ้าก็ไม่ทิ้งเรา  พระองค์จะนำพาเรา พระองค์จะคอยแนะนำเรา ให้สติปัญญาเรา พระองค์มีเหตุผลเนอะ บางทีพระองค์บอกว่าให้ทำอย่างนี้เถอะลูก เราไม่ยอมๆ พระเจ้าก็จะโน้มน้าวจิตใจเรา หาเหตุผลมาให้เรา เห็นไหมอย่างโน้นอย่างนี้ดีกว่านะ

            พระเจ้าไม่ได้บีบคอ ไม่ได้เธอต้องเชื่อฉัน  ไม่ใช่ ทรงโน้มนำเรา ให้เรายอมทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ แล้วเมื่อเรายอม เราก็ได้รับกำลัง สันติสุขมีอยู่แล้ว มันก็จะเพิ่มพูนมากขึ้น สันติสุข พระเจ้าให้กับเรา พระองค์ไม่เรียกคืนนะ มันอยู่ข้างในเรา  เราก็จะมีเพิ่มขึ้น  พัฒนามากขึ้น ความดีงามชนิดแบบพระเจ้า มันก็จะเพิ่มมากขึ้น  ความอดทนนาน มันก็จะเพิ่มมากขึ้น ความรักที่มันมีอยู่แล้ว  เราก็จะสามารถสำแดงออกได้มากขึ้น นี่คือการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  แล้วพระเจ้าก็จะนำพาเราทุกย่างก้าวเลย พระเจ้าอวยพรค่ะ

***************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เมื่อเราเปิดใจต้อนรับ พระเยซูคริสต์  ชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มี​  ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณ  ที่​เหมือน​กับ​ชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์

            แม้ความจริงของพระเจ้าจะบอกเราว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์  เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากโทษของบาป  และได้บังเกิดใหม่  วิญญาณของเรา  ได้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย สะอาด  บริสุทธิ์  เต็มด้วยสง่าราศีของพระเจ้า พระเจ้าพระบิดา  พระบุตร  พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา  เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์แล้ว  สิ่งเหล่านี้เป็นความจริงในโลกวิญญาณ  ซึ่งเกิดขึ้นเรียบร้อยแล้วทันทีที่เราเชื่อ   แต่เนื่องจากตาเนื้อเรามองไม่เห็น  มือเราสัมผัสไม่ได้  แต่เรารับรู้ได้ในวิญญาณ  เราจึงต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ

            เชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา ในถ้อยคำของพระองค์ แน่นอน   เมื่อเรารู้ความจริงเหล่านี้  ถ้าเลือกได้  เราก็อยากกลับไปอยู่กับพระเจ้า  ซึ่งดีกว่าเยอะเลย แต่ที่พระเจ้ายังให้เราอยู่บนโลกนี้  ก็เพื่อรับใช้พระองค์  สำแดงความรักของพระองค์  ที่อยู่ภายในเราเรียบร้อยแล้วออกมา  ประกาศฤทธานุภาพแห่งข่าวดีของพระเยซู  ดำเนินชีวิตให้เป็นไปด้วยกันกับความจริงที่เราเป็นอยู่  มอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกายให้พระเจ้าใช้  เปลี่ยนโปรแกรม  ความคิดเดิมที่เราเคยชิน  มาเป็นโปรแกรมความคิดใหม่  ตามถ้อยคำพระเจ้า  แล้วบุคลิกลักษณะของเราก็จะถูกเปลี่ยนใหม่  เป็นเหมือนพระเจ้า พ่อของเรามากขึ้น  และประพฤติตัวสมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า  ผู้บริสุทธิ์ยิ่งใหญ่สูงสุดมากขึ้น

            1 ยอห์น 4:17-18 …  “17 ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา  เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา  ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม​  ก็​เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่​เรา​มี​ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น  เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่​เหมือน​กับ​ชีวิตจิตวิญญาณของ​พระคริสต์ 18 ไม่มีความกลัวในความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) แต่ความรัก ((อากาเป้ แบบพระเจ้า)) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน (ภายในเรา) ขจัดความกลัวออกไปจนหมดสิ้น  เพราะความกลัว (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง) ทำให้เกิดความคิดฟ้องผิด (ว่าถูกตัดสินลงโทษ) ดังนั้น ผู้ที่ยังกลัวอยู่ (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง กลัวการถูกลงโทษในวันพิพากษา) คือผู้ที่ยังไม่มีความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วนภายในเขา”

            พระเจ้าอวยพรครับ