คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม 2023
เรื่อง “เชื่อและวางใจในพระคริสต์ ผู้สถิตอยู่ในท่าน”
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้หัวข้อเรื่องในการบรรยาย ผมให้ชื่อเรื่องว่า “เชื่อและวางใจในพระคริสต์ ผู้สถิตอยู่ในท่าน” ลองถามตัวเอง ทำไมต้องเชื่อและวางใจในพระคริสต์ เพราะคำว่าเชื่อและวางใจ ส่วนใหญ่เราจะใช้กันตอนไหน? และวางใจตอนไหน? ตอนที่ขับรถหวาดเสียว แล้วเรานั่งอยู่ใกล้ๆ จะไปรอดไหมเนี้ย แล้วเพื่อนก็บอกไม่ต้องกลัว ตายแน่ พูดอย่างนี้นะ เพื่อนที่ขับอยู่ ก็บอกเชื่อฉันสิ วางใจสิ ไม่ต้องห่วง ปลอดภัยแน่ นี่หมายถึงผู้ขับรถนะ
แสดงว่าตอนที่เราต้องการคำว่า “เชื่อเถอะ วางใจในเราเถอะ” ก็คือตอนที่เราไม่ค่อยมั่นใจ เรากลัวไง ถ้านึกภาพตอนสมัยเราเด็ก ยิ่งชัดนะ พ่อจะฝึกเราในการขี่จักรยาน เริ่มต้นจาก 4 ล้อก่อน แล้วพอโตขึ้นหน่อยก็ค่อยมาฝึกเป็น 2 ล้อ ตอนใหม่ๆ กลัว ขึ้นไปนั่ง มี 2 ล้อต้องพยุงตัว แล้วพ่ออยู่ที่ไหน? พ่ออยู่ข้างหน้าได้ไหม? ไม่ได้ พ่อต้องอยู่ข้างหลัง จับอานหรือด้านหลังของจักรยานไว้ และให้เราขี่ ฝึกการทรงตัวไม่ให้ล้ม เราก็ร้อง ไม่เอาๆ เพราะเรากลัวล้ม กลัวเจ็บ พ่อเราก็จะบอกว่าไม่เป็นไร? วางใจพ่อที่อยู่ข้างหลัง พ่อกำลังจับอยู่ ไปเลย เพราะว่าลูกกลัว ลูกไม่กล้าขี่ พ่อเลยบอกว่าเชื่อเถอะ วางใจในพ่อ พ่ออยู่ข้างหลัง จับอยู่
พระคัมภีร์ย้ำและให้เราวางใจในพระเยซูคริสต์ ก็เพราะว่าถึงแม้เราจะเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้วก็ตาม พระเยซูสถิตอยู่ในเราแล้วก็ตาม แต่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องอยู่กับความไม่มั่นใจ ความกลัว ความวิตกกังวล อยู่ตลอดวันเวลาเสมอ ที่ยังมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ เป็นเรื่องธรรมดา พระเยซูบอกว่าท่านอยู่บนโลกใบนี้ ท่านต้องพบกับความทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดา พูดง่ายๆ ว่าท่านจะมาเชื่อพระเจ้า หรือไม่เชื่อ ท่านก็ต้องพบกับความทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดา ต้องพูดกับตัวเองอย่างนั้นนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลานี้ เราจะเห็นเลย ทุกข์จริงๆ และทุกช่วงเวลาของมนุษย์ บางทีเรามานึกถึงในปัจจุบัน มีแต่ความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้มากมายแล้วนะ มันไม่เหมือนแต่ก่อนนี้ ไม่จริงหรอกครับ ทุกช่วงของโลกใบนี้ เริ่มต้นอาดัมและเอวา บรรพบุรุษของมนุษยชาติที่ตกลงไปในความบาป ต้องการจะออกจากบ้านของพระเจ้า มาดำเนินชีวิตตามลำพัง เขาเรียกว่าตกลงไปในความบาป ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา โลกนี้ หล่นไปในความเสียหาย อยู่ในคำสาปแช่ง อยู่ในความทุกข์ยากลำบาก มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ รวมทั้งทุกสิ่งบนโลกใบนี้ ไม่ว่าสัตว์หรือสิ่งของ หรือต้นไม้ใบหญ้าทุกอย่าง อยู่ในความสูญสิ้น อยู่ในความทุกข์ยากลำบากทั้งนั้น เหมือนกัน เพียงแต่เราไม่รู้ เราก็มองย้อนกลับไป เพราะว่าเราไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น ตอนที่เรามีชีวิตอยู่ ณ ปัจจุบัน เราก็รู้สึกว่าปัจจุบันทุกข์กว่าแต่ก่อน
คนเมื่อ 100 ปีก่อนนี้ เขาก็ทุกข์ เขาก็บอกว่าเขาทุกข์มากกว่าคนที่ 200 ปีก่อนนั้นตั้งเยอะ เรามามีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน เราก็บอกเรามีทุกข์มากกว่าคนที่ 100 ปีก่อน ไม่จริง ทุกข์เท่ากันหมด ตราบใดที่ยังอยู่บนโลกใบนี้ ตราบนั้นมีความทุกข์ทั้งสิ้นนะ เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงย้ำบอกว่าให้เราเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ เพราะว่าเรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราเกิดความไม่มั่นใจ เกิดความวิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาขณะนี้ ที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อะไรที่น่ากลัวที่สุด โรคระบาด เห็นไหม? โควิดมาเกือบจะ 3 ปีแล้ว 2 ปีกว่าแล้ว แล้วก็ไม่รู้ว่ามันจะหายไปจริงๆ หรือเปล่า หรือจะมาอีก โรคระบาดมีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ก็เหมือนเดิม แต่เรารู้สึกว่าน่ากลัว พอโรคระบาดหายไป อะไรตามมา ข้าวยากหมากแพง การกินการอยู่ ลำบากทำมาหากินยาก นี่คือสิ่งที่ตามมา นี่คือปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้อง กลัวจะขาดรายได้ ทำงานแล้ว มีเงินไม่พอใช้จ่าย คนที่มีครอบครัวยิ่งกังวลมาก ยิ่งห่วง ผู้ที่ดูแลรับผิดชอบ อยู่ในครอบครัว ก็ยิ่งเป็นห่วงว่าจะเอาที่ไหนมาใช้จ่ายอะไรต่างๆ เหล่านี้ มันเครียดไปหมด ซึ่งจริงๆ แล้วความกลัว เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นในชีวิตบนโลกใบนี้ทั้งหมด พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น
โลกใบนี้เต็มไปด้วยความกลัว ตราบใดที่โลกใบนี้ ยังอยู่ในคำสาปแช่ง อยู่ในบาป อยู่ในการควบคุมของมารซาตาน จริงๆ แล้วมารไม่มีอำนาจนะ แต่เนื่องจากมนุษย์เป็นผู้มอบอำนาจให้มารเอง มอบโดยวิธีใด ก็มนุษย์เป็นเจ้าของโลกใบนี้ทั้งใบ เจ้าของทั้งหมดเลย พระเจ้าสร้างขึ้นมาสำหรับมนุษย์ครอบครอง แล้วมนุษย์ก็หนีออกจากบ้านของพระเจ้า ทิ้งพระเจ้ามาอยู่ตัวคนเดียว มาพึ่งพาตนเอง ไม่พึ่งพาพระเจ้า เอาทรัพย์สมบัติออกมาหมดเลย แล้วดูแลทรัพย์สมบัติด้วยตนเอง จริงๆ ดูไม่ได้ ไม่มีกำลังเพียงพอที่จะดูได้ เพราะพระเจ้าทรงเป็นชีวิต เป็นทุกสิ่ง เป็นกำลัง เป็นสติปัญญาของมนุษย์ เมื่อมนุษย์ไม่มีพระเจ้า ก็เลยไม่มีสติปัญญา ไม่มีอะไรต่างๆ ไม่มีความดีงาม ตรงกันข้ามกับความดีงาม ก็คือมีแต่ความชั่วร้าย นั่นแหละ มารจึงเข้ามาแทรกแซง ไม่ใช่มีอำนาจอยู่เหนือมนุษย์ แต่เนื่องจากมนุษย์ไม่มีสติปัญญาเพียงพอที่จะรู้เท่าทันกลเม็ดเด็ดพราย เขาเรียกว่ากลยุทธการโกหก หลอกลวง การขโมย ฆ่าและทำลายของมารได้ เพราะไม่มีพระเจ้าอยู่ ไม่มีพระสิริของพระเจ้าอยู่ เพราะฉะนั้น มารจึงหลอกลวง หลอกล่อมนุษย์ เจ๊งไปหมด ทรัพย์สมบัติที่มีอยู่นั้น ถูกหลอก ถูกขโมยเอาไปใช้หมด มนุษย์จึงตกลงไปในความลำบาก โลกใบนี้ทั้งใบ จึงตกอยู่ในคำสาปแช่ง โดยการนำอย่างไม่ซื่อ โดยการนำอย่างศัตรู โดยมารและสมุนของมัน นี่แหละ ทำให้โลกใบนี้ตกไปในความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา เป็นเรื่องธรรมดา
ในยอห์น 10:10 ได้บอกไว้ มารมาเพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย แสดงว่ามันไม่มี มันไม่ได้เป็นเจ้าของ มันไม่มีสิทธิอำนาจอะไรเลย เราไปยอมให้มันเอง เพราะเราไม่รู้ไง เพราะความรู้ความจริง อยู่ที่พระเยซูคริสต์ อยู่ที่พระเจ้า เมื่อไม่มีพระเจ้า ก็ไม่รู้ความจริง เมื่อไม่รู้ความจริง มันก็หลอกเราไปเรื่อยๆ ที่เราพูดกันตามภาษาไทย ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเลย ต่างประเทศเขาไม่ค่อยมีคำนี้นะ คือคำว่า “ผีหลอก” ผีหลอกมันเรื่องจริงๆ ผีหลอก ก็คือในโลกวิญญาณมีมารซาตาน ซึ่งเราเรียกว่าเป็นผี ซึ่งเป็นวิญญาณ มันคอยหลอกล่อเรา หลอกแสดงว่ามันไม่มีอำนาจบังคับเรา มันหลอกเรา หลอกให้เรากลัว หลอกให้เรายอมมอบให้กับมัน ทั้งๆ ที่เราไม่ยอมก็ได้ แต่ถ้าเราไม่มีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา เราไม่สามารถจะต่อต้าน การหลอกลวงของมันได้ ไม่มีทางเลย พระเยซูจึงมาบอกว่าพระองค์ทรงเป็นความจริง เป็นชีวิต ถ้าเรามีพระเยซูอยู่ เราก็มีความจริงอยู่ มารมันกลัวที่สุด ก็คือกลัวความจริง เพราะมันโกหกไง ง่ายๆ นิดเดียว
และเราสามารถที่จะเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร? ก็เพราะว่าพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา ก็คือความจริง เมื่อพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ได้เข้ามาสถิตอยู่ในตัวเรา ที่เป็นผู้เชื่อ เราก็จะมีอำนาจอยู่เหนือความกลัวใดๆ เพราะเรามีความจริงอยู่ในตัวเรา พระเยซูคริสต์อยู่ในตัวเรา เราก็สามารถมีกำลังต่อต้านกับความไม่จริง กับความกลัว ที่เป็นเรื่องปกติธรรมดาของโลกใบนี้ ที่ปกคลุมไปด้วยความบาป ความไม่จริง ความเท็จของมารซาตาน ซึ่งเราทั้งหลายในที่นี้ ที่มีพระคริสต์สถิตอยู่ด้วย ก็คือเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาอยู่ในชีวิตของเรา เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเยซูก็เข้ามาสถิตอยู่กับเรา พอพระเยซูเข้ามาสถิตอยู่กับเรา ความจริงก็อยู่ในตัวเรา เราก็สามารถที่จะชนะความไม่จริง ความเท็จนั้นได้ ชนะความกลัวได้ นี่เองเป็นเหตุและเป็นผลว่าความกลัวจะหายไปได้อย่างไร? จะชนะความกลัวที่เป็นปกติ นิสัยของมนุษย์บนโลกใบนี้ได้อย่างไร? ก็โดยที่มีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์สิ ในฮีบรู 13:5 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …
ฮีบรู 13:5 “จงให้อุปนิสัยและความประพฤติของท่าน ห่างไกลจากการรักเงินและความโลภทั้งสิ้น จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่ และเป็นอยู่ในขณะนี้ (ทั้งในโลกวิญญาณ และโลกวัตถุนี้ จงเชื่อและวางใจในพระเจ้า) เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า (เหมือนเป็นลูกกำพร้า) เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า (ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง) เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”
“จงให้อุปนิสัยและความประพฤติของท่าน ก็คือการดำเนินชีวิตของท่าน ห่างไกลจากการรักเงิน และความโลภทั้งสิ้น” ภาษาเดิมมันลึกซึ้งกว่านี้ จงให้อุปนิสัยการดำเนินชีวิตของท่าน ความประพฤติของท่านนั้น ห่างไกลจากระบบของโลกใบนี้นั่นเอง ที่เต็มไปด้วยคำสาปแช่ง เต็มไปด้วยความโกหกหลอกลวง ที่มนุษย์รู้จักกันในนามของคำว่าลาภ ยศ สรรเสริญ สิ่งเหล่านี้มันเป็นของชั่วคราวทั้งหมดของโลกใบนี้ มันเป็นของเท็จทั้งหมดเลย มันหลอกล่อ หลอกลวง ให้เราไปติดยึด ไปรักสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งเราเรียกว่าความโลภ
โลภ คือไม่พอ ยังไงก็ไม่พอ เมื่อไม่พอ ก็ยิ่งกลัวขึ้นๆ ใครเป็นคนชักจูง ก็คือมารและสมุนของมัน ที่มาพยายามโกหกหลอกลวงเราว่าสิ่งเหล่านี้ ที่เรารัก คือระบบของโลกใบนี้ มันเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตนะ มันก็เกิดความทุกข์ใหญ่เลย ลำบากใหญ่เลย
“จงพอใจในทุกสิ่ง ในทุกสถานการณ์ ที่มีอยู่ และเป็นอยู่ในขณะนี้” นี่กำลังพูดกับคนที่มีความจริงในชีวิต ก็คือมีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในตัวของเรา มีพระเยซูคริสต์ดำเนินชีวิตอยู่กับเราภายในนั้น เชื่อและวางใจในพระองค์ พระองค์บอกว่าเราอยู่กับนายนะ เราอยู่กับเจ้านะ ในทุกเมื่อ จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ที่กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไร? ระบบของโลกนี้จะบอกว่าเสื่อมลาภ เสื่อมยศ เสื่อมสรรเสริญ ในโลกนี้ เขาอาจจะชี้เราบอกอย่างนั้น แต่เรามีพระเยซูคริสต์อยู่ เราพอใจแล้ว ลาภแค่นี้ เราก็พอใจ ยศเท่านี้เราก็พอใจ สรรเสริญแค่นี้เราก็พอใจแล้ว เพราะว่าเรามีพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา แค่นี้เพียงพอแล้ว นี่มันหมายถึงอย่างนั้น ให้เรามีความพึงพอใจในทุกสถานการณ์ ที่มีอยู่ เป็นอยู่ในขณะนี้ ทั้งในโลกวิญญาณและโลกวัตถุ จงเชื่อและวางใจในพระเจ้า ทั้งในโลกวิญญาณและโลกวัตถุ ในโลกวัตถุจะเห็นชัดใช่ไหม?
ในโลกวิญญาณ คือพึงพอใจ …
“รู้ว่าฉันไปอยู่ในสวรรค์แน่ ตอนนี้ฉันก็อยู่ในสวรรค์แล้ว ขอบคุณพระเจ้าแล้ว ฉันไม่ได้พึ่งพาความดีงามของฉัน เพื่อจะไปสวรรค์ เพราะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ที่มนุษย์ทุกคนจะไม่มีใครทำบาปเลยแม้แต่ครั้งเดียว ฉันขอบคุณพระเจ้า ด้วยความรอด โดยพระคุณของพระเจ้า โดยการพึ่งพาในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ฉันรอดแล้ว ฉันอยู่ในสวรรค์แล้ว ตายจากโลกนี้ ก็อยู่ในสวรรค์”
อย่างนี้มันก็สงบแล้ว นี่เรียกว่าพึงพอใจ ทั้งโลกวิญญาณและโลกวัตถุ เพราะในนี้บอกว่าเพราะพระเจ้า เพราะพระเยซูคริสต์ได้พูดไว้ว่า … สัญญาไว้ว่า … “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า เหมือนลูกกำพร้า”
พระเยซูที่สถิตอยู่กับเรา ที่เรามองไม่เห็น แต่เป็นจริง อยู่ในโลกวิญญาณนั้น พระองค์พูดกับเราตลอดเวลา 24 ชั่วโมงเลย เราควรจะได้ยินนะ
พระองค์บอกว่า “เราจะไม่มีวันที่จะทอดทิ้งเจ้าเลย ไม่มีวันที่เจ้าจะเป็นเหมือนลูกกำพร้า”
ลูกกำพร้าก็ไม่มีพ่อแม่ นึกถึงลูกกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง วางอยู่บนฟุตบาต อุแว้ๆ มดกัด ยุงกัด
พระองค์บอกว่า … “เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้า เราจะอยู่กับเจ้า เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า”
ตะกี้บอกว่า … “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้าเหมือนเป็นลูกกำพร้า”
ตอนนี้ละเอียดกว่านั้น บอกว่า … “เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า ปล่อยให้เจ้าอยู่ลำพัง” คือไม่ทอดทิ้ง ให้เป็นลูกกำพร้าอย่างเดียว แต่ว่าบางช่วงขณะ ก็ออกไปทำธุระแล้วปล่อยเราอยู่ลำพัง แป๊บหนึ่งอะไรอย่างนี้ ไม่ใช่ จะอยู่กับเราตลอดเวลา 24 ชั่วโมงเลย
“อยู่กับเราตลอดเวลา สัญญาโดยคำนี้ว่า “เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า ปล่อยให้เจ้าอยู่ลำพังเลย” ไม่ปล่อยให้อยู่ลำพังเลย “เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”
ย้ำแล้วย้ำอีก พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะไม่ละเราให้อยู่ลำพัง ไม่ทอดทิ้งเราให้เป็นลูกกำพร้า แต่ก่อนนี้ ก่อนที่เราจะต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก่อนที่เราเป็นคริสเตียน เมื่อก่อนเราเป็นคนบาป เราไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา แต่ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระองค์จะไม่ทอดทิ้งเรา เป็นเหมือนลูกกำพร้า แล้วก็จะไม่ละเราให้อยู่ตามลำพัง พระองค์จะดูแลเอาใจใส่เรา ประคับประคองเราตลอดเวลา 24 ชั่วโมง เหมือนเด็กเล็กๆ คนหนึ่ง เด็กเล็กๆ ที่ยังไม่ถึงขวบ เห็นชัดเจนเลย มีใครไหมที่เขามีลูก แล้วเขารักลูก แล้วก็ทิ้งลูก
รักลูก ไม่ทอดทิ้งลูก ก็คือให้ลูกมาอยู่กับบ้าน อยู่กับพ่อแม่ อย่างนี้เรียกว่าไม่ทอดทิ้ง และไม่ละเขาอยู่ลำพัง คือเขายังเด็กอยู่ ไม่ละเลย ถ้าจะไปห้องน้ำ ก็ฝากใครไว้ดูแล ถ้าจะไปธุระข้างนอกบ้าน ก็ฝากญาติไว้ดูแล ไม่ละเลย ยิ่งถ้าอุ้มอยู่นะ ยิ่งเห็นชัดเลย อุ้มเด็ก ไม่ละเขาอยู่ลำพังเลย ถ้าจะปล่อยเขาคลาน ก็จะปล่อย แล้วมองดูว่าเขาไปไหนอย่างไร? คอยดูอยู่ อย่างนี้เรียกว่าไม่ปล่อยให้เขาอยู่ลำพังเลย พอเขาร้องไห้ ทำอะไร? อุ้มเขาขึ้นมา ภาพนี้ คือภาพที่พระเจ้ากำลังบอกเรา ไม่ละเราอยู่ลำพัง ดังนั้น จึงให้เรามีความพึงพอใจ
พอใจ แปลว่ามีความสุขได้ ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าพระเจ้าหรือพระคริสต์สถิตอยู่ในใจฉัน ในใจเรา ในใจของคนๆ นั้น คนๆ นั้น ก็มีความพึงพอใจ เพราะว่ามีพระคริสต์อยู่ มีพระเจ้าสถิตอยู่ ก็เท่ากับมีทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะพระเจ้ากระทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ วางใจในพระองค์ เหมือนเด็กเล็กๆ คนหนึ่งที่วางใจในพ่อแม่เขา พ่อแม่อุ้มเขาอยู่ เขาก็รู้สึกอุ่นใจ สบายใจ เพราะเขารู้ว่าถ้าเขาหิว เขาก็มีกิน ถ้ายุงกัดเขา พ่อแม่ก็จะช่วยปัดให้ อย่างนี้เป็นต้น
ดังนั้น ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ อาจจะพบกับความทุกข์ยากลำบากเป็นเรื่องธรรมดา แต่ให้มีความพึงพอใจในชีวิตว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา และเรารออีกแป๊บเดียวเอง ความทุกข์ยากลำบากที่เราเผชิญอยู่บนโลกใบนี้ มันแป๊บเดียวเอง พระเยซูคริสต์กำลังบอกเราในใจว่า …
“ลูกเอ๋ย รออีกแป๊บเดียวนะ”
อีกแป๊บเดียว คือมันอาจจะเหมือนกับยุงกัดอยู่ เดี๋ยวกำลังจะไปเอายามาทา เดี๋ยวก็หาย สำหรับเราที่มีพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว พระเยซูหรือพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา บอกว่า …
“รออีกแป๊บเดียวลูก อยู่บนโลกใบนี้อีกแป๊บเดียว ทุกข์บนโลกใบนี้แน่นอน แต่ชั่วขณะเดียวเท่านั้นเอง อดทนหน่อยนะลูก รอคอยที่จะได้รับเกียรติสิริ”
พระคัมภีร์บอกว่ารอคอยที่จะได้รับพระเกียรติสิริ ร่วมกับพระเยซูคริสต์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ หลังจากออกจากร่างนี้แล้วนั่นเอง คือหลังจากตายแล้วนั่นเอง รออีกแป๊บเดียวเอง ก็จะไปรับร่างกายใหม่ นี่พระคัมภีร์บอกชั่วขณะเดียวเท่านั้นเอง ในโรม 8:18 ได้บันทึกอย่างนี้ชัดเจนเลยว่าพระเจ้าให้เรารอแป๊บหนึ่ง เชื่อพระองค์เถิด วางใจในพระองค์เถิด พระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน ไม่ละท่านให้อยู่ตามลำพัง ไม่ละท่านให้เป็นเด็กกำพร้า กำลังนำพาท่านอยู่ เชื่อเถอะๆ แล้วก็ระบุไว้อย่างนี้ว่า …
โรม 8:18 “และด้วยความเชื่อ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าความทุกข์ยากลำบาก ที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบันนั้น ไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งได้ทรงสำแดงในเรา”
“และด้วยความเชื่อ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าความทุกข์ยากลำบาก ที่เราได้รับอยู่ในปัจจุบันนั้น มันไม่สามารถเปรียบเทียบได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งได้ทรงสำแดงให้เรา” ก็หมายถึงพระเกียรติสิริ ก็คือสง่าราศี ความยิ่งใหญ่ ความงดงามของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าที่สถิตอยู่ในเราแล้วนั้น ขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ขณะที่เราต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบาก ขณะเดียวกันนั้น วิญญาณของเราที่อยู่กับพระเจ้าภายในนั้น สะอาด บริสุทธิ์ เต็มด้วยพระสิริของพระเจ้า พระเจ้าดูแลเรา เป็นลูกของพระองค์ ที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์นั้น อยู่ในเราอยู่แล้ว และจะสำแดงออกไปเรื่อยๆ ก็คือจะแสดงตัวตนออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวันสุดท้าย ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือออกจากร่างเมื่อไร? เราก็จะได้รับร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ไม่มีผิดเลย และตาฝ่ายวิญญาณเราก็จะเปิดออก มองเห็นโลกฝ่ายวิญญาณ เห็นสวรรค์ชัดเจน
เพราะฉะนั้น ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ รออีกแป๊บเดียว ขณะที่รออีกแป๊บเดียว จงเชื่อและวางใจว่าข้างในเรา วิญญาณตัวตนแท้ๆ จริงๆ ของเรา เป็นเหมือนพระเยซูแล้ว และสำแดงต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงวันหนึ่งที่ร่างกายหมดอายุขัย เรามีร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูเช่นเดียวกับร่างกายพระเยซูที่เป็นขึ้นจากความตายนั้น เหมือนกันเลย พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเราเรียบร้อยแล้ว เมื่อเราทิ้งจากร่างกายนี้ เราก็ไปสวมร่างกายใหม่ ก็จะครบถ้วนบริบูรณ์ในพระสิริ พระเกียรติของพระเจ้าที่เราเป็นเหมือนพระเจ้าเลย ก็คือเป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเยซูไม่มีผิด เอเมนไหม? ถ้าเรามองเห็นอย่างนี้ เราเชื่ออย่างนี้ได้ เราก็ทุกข์น้อย ไม่ใช่ไม่ทุกข์ ทุกข์น้อย ทุกข์แป๊บเดียว เพราะเรามองเห็นชัดเจนว่านี่คือความจริงที่พระเจ้าบอกเรา เพราะฉะนั้น ขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เมื่อความจริงนี้ปรากฏ เมื่อเราจดจ่ออยู่ในความจริงนี้ เราก็จะรู้ด้วยความเชื่อในใจว่ามันเป็นอย่างนี้ รู้เพราะอะไร? รู้เพราะมันอยู่ในใจของเรา
ผู้ที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ยังไม่มีพระเยซูคริสต์ ไม่มีพระเจ้าสถิตอยู่ภายในเขา ไม่มีทางรู้หรอก แต่ในทางตรงกันข้าม เราทั้งหลาย ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูเข้ามาอยู่ในตัวเราจริงๆ ไม่ใช่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว มาเชื่อในพระเยซูแล้ว บอกว่าพระเยซูจะอยู่สวรรค์คอยช่วยเรา หรืออยู่ข้างๆ ตัวเรา คอยช่วยเรา เดินไปไหนกับเราด้วย ไม่ใช่ แต่พอเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเยซูเข้ามาอยู่ในร่างกายของเรา มาอยู่ในวิญญาณของเรา มาเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของเราเลยทันที เอเมน ขอบคุณพระเจ้า ตัวนี้แหละสำคัญมาก แล้วเราจะรู้ทันทีเลย รู้เพราะเห็นหรือ? ไม่ใช่ รู้เพราะสัมผัสได้หรือ? ไม่ใช่ รู้เพราะฝันถึงหรือ? ไม่ใช่ รู้เพราะพระคัมภีร์บันทึกหรือ? ก็ไม่ใช่อีก รู้เพราะว่ามันอยู่ในใจ มันรู้ คิดอย่างไรก็รู้ ขณะที่มีความทุกข์ พอคิดถึงในใจปุ๊บ พระเยซูอยู่กับเรา พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา แม้บางครั้ง มันจะบางๆ ก็ตาม แต่บางครั้งมันก็ชัดเจน เข้มๆ
ใน 2 โครินธ์ 4:16-18 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ ให้เราได้เห็นชัดเจนว่าในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราอาจจะพบกับความทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดา ชาวโลก มนุษย์ทุกคนก็พบอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ แต่เราแตกต่างจากเขาตรงไหน? …
2 โครินธ์ 4:16-18 “16 ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย (ผิดหวัง เสียใจ กลัว) แม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่ตัวตนภายใน (วิญญาณและจิตใจที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ในพระคริสต์) ของเรา กำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน 17 เพราะความทุกข์ยากลำบาก ที่เราได้รับอยู่ในขณะนี้นั้น เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว และเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อย ที่กำลังเสริมสร้าง หล่อหลอม และจัดเตรียมเรา เข้าไปสู่สง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์ ที่ไม่มีสิ่งใด สามารถเปรียบได้เลย 18 ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดู สิ่งที่มองเห็นอยู่ แต่จับตามองดู สิ่งที่มองไม่เห็น เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน (เหมือนเงา) แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น เป็นถาวรนิรันดร์”
“ฉะนั้น เราไม่ท้อถอย ผิดหวัง เสียใจ หรือกลัว แม้ว่ากายภายนอกของเรา ที่เรามองเห็นอยู่นี้ กำลังทรุดโทรมไป กายภายนอกเรากำลังแก่ เจ็บ ตาย มารโกหกเราบอกว่าเราไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันขโมยความจริง เราต้องยอมรับความจริง นี่คือความจริง หนีไม่พ้น แต่เราสามารถชนะความจริงที่เป็นความทุกข์เหล่านี้ได้ โดยพระเยซูคริสต์บอกความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณให้เรารับทราบ รับรู้ว่าเราชนะสิ่งเหล่านี้แล้ว ชนะความแก่ ความเจ็บ และความตาย ชนะด้วยระบบของโลกนี้หรือ? เปล่า ชนะด้วยระบบของโลกนี้ ก็คือเอายามาทาให้มันแก่ช้า เอายามากิน ดูแลสุขภาพร่างกายให้มันเจ็บน้อย พยายามทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ตาย มันทำได้ไหม? ไม่ได้ มันเพิ่มความทุกข์ด้วยซ้ำไป แต่ไม่ได้หมายถึงไม่ต้องดูแลร่างกาย ไม่ใช่อย่างนั้นนะว่ากันไปตามสมควร นี่กำลังพูดถึงเว่อร์ๆ เราต้องยอมรับความจริงว่าพระเจ้ากำลังบอกเราว่าร่างกายของเรากำลังทรุดโทรมไป ก็คือกำลังแก่ กำลังเจ็บ และกำลังเข้าสู่ความตาย เราต้องเตรียมพร้อมไว้สำหรับโลกฝ่ายวิญญาณว่าตายแล้ว เราจะไปไหน? ตายแล้วเราจะอยู่อย่างไร? ตายแล้วเราจะเป็นอย่างไร? ซึ่งเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เราจบแล้ว เราโอเคเลย จริงๆ แล้วในทัศนคติของคริสเตียน ตายดีกว่าอยู่ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นเลย อยู่ ก็อยู่ให้พระคริสต์นำพาในชีวิต ใช้เราในชีวิต ตายก็ได้กำไร คือตายดีกว่าอยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีพระเยซูคริสต์ ในชีวิตเดิม เราอาจจะกลัว … กลัวแก่ ใครไม่กลัวแก่ยกมือขึ้น ไม่มี แล้วก็กลัวเจ็บ กลัวเจ็บไข้ได้ป่วย ใครไม่กลัวเจ็บไข้ได้ป่วย ยกมือขึ้น ไม่มี โดยเฉพาะคนมีอายุ ทุกคนก็กลัวตาย พระคัมภีร์บอกไว้เลย ทุกคนกลัวตาย แต่เมื่อมาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระคริสต์สถิตอยู่ในเราแล้ว เราไม่ท้อแท้ ไม่ท้อถอย ไม่ผิดหวัง ไม่เสียใจ ไม่กลัวสิ่งเหล่านี้เลยว่า มันกำลังเสื่อมไป เสื่อมไปยิ่งดีใหญ่เลย ไม่ใช่ยิ่งดี ให้มันเจ็บปวดเยอะขึ้น ไม่ใช่ แต่ยิ่งดี เรากำลังใกล้สู่การพักผ่อนนิรันดร์ของเรา ในสวรรคสถาน ใกล้ที่เราจะได้รับร่างกายใหม่แล้ว
ในนี้จึงได้บันทึกไว้ว่าเราไม่กลัว ไม่ท้อแท้ ไม่เสียใจว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป อันที่ทรุดโทรมไป มันภายนอก มันแค่เสื้อผ้า ตัวตนของเราจริงๆ คือตัวตนภายใน คือวิญญาณและจิตใจของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์แล้วนั้น จงมองให้เห็นเถิด ถ้ามองไม่เห็น ไปมองในกระจก แล้วมองทะลุกระจกเข้าไปเลยว่าที่เราเห็นนั้น คือเสื้อผ้า แต่ตัวตนของเราที่อยู่ข้างใน คือวิญญาณของเรา และจิตใจของเรานั้นเหมือนพระเยซูเลย อุแว้ออกมา ตั้งแต่เราเริ่มต้นเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ และตัวตนของเราจริงๆ ตรงนี้ กำลังได้รับการเลี้ยงดู เสริมสร้างขึ้นใหม่ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวันๆ
ขณะที่ร่างกายภายนอก ที่เรามองดูกระจก ที่เห็นตัวเรานั้น สิวขึ้น ฝ้าขึ้น ผมขาวขึ้น เจ็บป่วยมากขึ้น แก่มากขึ้น หนังเหี่ยวขึ้น ใกล้ความตายเข้าไปมากขึ้น วิญญาณข้างในเจริญเติบโตใหม่ขึ้นทุกวัน พระคริสต์สถิตอยู่กับเรา คอยเลี้ยงดู ส่งเสริม ประคบประหงมตัววิญญาณของเราจริงๆ ที่จะอยู่กับพระองค์ไปนิรันดร์ ให้เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน ทุกวินาที พระคัมภีร์บอกทุกลมหายใจ เพราะว่าเราเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นวิญญาณที่เป็นหนึ่งเดียวกัน แยกกันไม่ออกเลย
ข้อ 17 จึงบันทึกว่า “เพราะความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เนื้อหนังร่างกายนี้จะได้รับความทุกข์ยากลำบากจากระบบของโลกใบนี้ เป็นเรื่องธรรมดานั้น เป็นสิ่งเล็กน้อย มันเป็นชั่วคราวเอง ขอบคุณพระเจ้าที่มีชีวิตอยู่แค่ 80 ปี 90 ปี 100 ปี ขอบคุณพระเจ้า ถ้าเกิดมนุษย์ทั่วๆ ไป เหมือนมนุษย์ในอดีต หลายพันปี อาดัมมีอายุ 900 กว่าปี
“ตายแน่ฉัน ชั่วขณะหนึ่งของฉันคงลำบาก ชั่วขณะหนึ่งในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้”
ในความทุกข์ยากลำบาก 900 ปีเอาไหม? ไม่เอา จะไปทุกข์อย่างนี้ 900 ปีหรือ? มันไม่ได้สุขจริง ที่ว่าอยู่บนโลกใบนี้ มีความสุข จะอยู่นานๆ ไปถามดูได้เลย ไม่มีใครมีความสุขจริงสักคนหนึ่ง เขาไม่อยากตาย เพราะเขากลัวตาย แต่คริสเตียนผู้ที่เชื่อในพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับเขา เรียบร้อยแล้ว ตายก็ได้กำไร ไม่กลัวตาย ความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ บอก 80, 90 ปี จึงเป็นเรื่องแป๊บเดียว เป็นเพียงสิ่งชั่วคราว ที่ในความทุกข์ยากลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แค่ 80 ปี 90 ปีเท่านั้น และมันเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยเท่านั้นเอง อะไรทุกข์ลำบาก เรียกว่าสิ่งเล็กน้อยหรือ? เล็กน้อยสิ เพราะมันไม่กี่ปีเท่านั้น มันจะมาเทียบกันกับชีวิตหลังความตาย ที่เราจะได้สวมร่างกายสวรรค์ ร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ตลอดชั่วนิรันดร์หรือ? 90 ปี 100 ปี กับนิรันดร์กาลปี มันคนละเรื่องกันเลยนะ นี่ยังไม่ได้พูดถึงชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ในสวรรคสถาน ชัดเจน แจ่มใส และในนี้บอกว่าเป็นสิ่งชั่วคราว และเป็นสิ่งเล็กน้อย ซึ่งความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ กำลังเสริมสร้าง หล่อหลอมและจัดเตรียมเราเข้าไปสู่สง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์นิรันดร์ ไม่มีสิ่งใดสามารถเปรียบได้เลย ก็หมายถึงชีวิตหลังความตายของคริสเตียน ที่จะสวมร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูและครอบครองในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ใหม่ ในสรรพสิ่งทุกอย่างใหม่ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ หลังความตายนั้น เป็นนิรันดร์กาลปีเลย ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เป็นนิรันดร์กาลปี ไม่มีความแก่ เป็นนิรันดร์กาลปี ไม่มีความทุกข์ เป็นนิรันดร์กาลปี ไม่มีความชั่วร้ายใดๆ เป็นนิรันดร์กาลปี อยู่กับพระเจ้า เต็มไปด้วยความสุข นิรันดร์กาลปี แล้วมันเทียบกันกับไม่กี่ปีบนโลกใบนี้ ที่จะทนทุกข์ลำบาก มันหมายถึงอย่างนั้น จะเห็นชัดเลย มันเป็นการจัดเตรียมให้เราพร้อม เราจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ก็ต่อเมื่อร่างกายเก่าที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันสิ้นสุดลง มันจะสิ้นสุดลงได้ ก็เมื่อเราแก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย
เพราะฉะนั้น ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ จึงเป็นการเตรียมตัวให้เราเดินทางไปสู่โลกนิรันดร์ สู่สวรรคสถานนิรันดร์กาลปี พักผ่อนกับพระองค์นิรันดร์ ในพระคัมภีร์จะบันทึกไว้อย่างนี้ตลอด เพราะฉะนั้น จงมองให้เห็นเถิดว่าความแก่ ความทุกข์ยากลำบาก ความเจ็บป่วย ความตายนั้น ก็คือการเตรียมตัวเราให้เข้าไปสู่การพักผ่อนนิรันดร์กาลปีในสวรรคสถาน นิรันดร์กับพระเจ้านั่นเอง มันจึงเป็นสิ่งที่น่ายินดี
ข้อ 8 ในนี้จึงบอกต่อไปว่า … “ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองดู สิ่งที่มองเห็นอยู่” คือเพราะฉะนั้น เมื่อเราเห็นภาพอย่างนี้แล้ว เรารู้เรื่องราวเป็นอย่างนี้แล้ว เราจึงไม่จับตามองดูอยู่บนโลกใบนี้ ระบบของโลกใบนี้ที่ตะกี้บอก เราจึงไม่รักเงินทอง คือไม่รักระบบของโลกนี้ ไม่รักสิ่งของที่อยู่บนโลกใบนี้ ไม่รักลาภ ยศ สรรเสริญ ไม่ติดอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ เห็นไหม? พอหลุดจากสิ่งเหล่านี้ ก็เห็นชัดแล้วว่าเพราะเราไม่ได้อยู่เพื่อลาภ ยศ สรรเสริญบนโลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว เราอยู่ เพื่อเป้าหมายของเรา คือ เราอยู่เพื่อหลังความตายมากกว่า
ดังนั้น เราจึงไม่จับตามองสิ่งที่มองเห็นอยู่ ก็คือระบบของโลกนี้ แต่กลับกัน แต่จับตามองดู สิ่งที่มองไม่เห็น สิ่งที่มองไม่เห็น คือโลกวิญญาณครับ จับตามองดูสิ่งที่โลกมองไม่เห็น ตามนุษย์มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ คือโลกวิญญาณ คือสวรรคสถาน ซึ่งอยู่ภายในใจเราแล้ว พระคริสต์สถิตอยู่ในใจเรา วิญญาณเราเกิดใหม่ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ นี่คือสวรรค์แล้ว เพียงแต่รอวันหนึ่งที่วิญญาณเราออกจากร่างนี้เมื่อไร? เราไปสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานร่วมกับพระเจ้าพระบิดา และธรรมิกชนทั้งหลาย ก่อนหน้าเรา หรือไปพร้อมๆ กับเรา ในโลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่แทนโลกใบนี้ และสรรพสิ่งต่างๆ ใหม่ๆ ที่แทนโลกใบนี้ ที่เราจะได้ครอบครองอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์นั้นนิรันดร์
นี่เราจึงจะจับตามองไปตรงนี้มากกว่า ซึ่งบนโลกใบนี้ เขามองไม่เห็น เราก็มองไม่เห็น แต่เรารู้ว่าเป็นจริง เพราะเรารู้อยู่ในใจของเรา เราเห็นอยู่ในวิญญาณของเราว่านี่คือความจริง นี่คือเป้าหมาย การดำเนินชีวิตของเราบนโลกใบนี้ เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น เป็นเพียงชั่วคราว สิ่งที่เห็น ก็คือตะกี้นี้ที่บอก ก็คือระบบของโลกนี้ ลาภ ยศ สรรเสริญบนโลกใบนี้ ความสุขบนโลกใบนี้ มันอยู่ชั่วคราวทั้งหมด ไปยึดถือ มันก็ตายลูกเดียว แล้วมารมันทำหน้าที่อะไร? มันไม่ได้ทำอะไรเลย มันพยายามหลอกล่อ หลอกลวง ให้เรายึดติดอยู่กับสิ่งที่มองเห็นนี้ ลาภ ยศ สรรเสริญ ความไม่แก่ ยึดอยู่นี่ ยิ่งทุกข์ใหญ่เลย แต่เราทั้งหลายไม่ยึด เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้นมันเป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่ยั่งยืน เหมือนเงา แป๊บเดียวเอง ยึดไม่แก่ แก่ก็เหมือนเงา เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว ยึดไหมเจ็บป่วย ต้องไม่เจ็บ ไม่ป่วย ต้องแข็งแรง มันป่วย มันก็แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ไป เราไม่กลัวตาย เพราะตายของเรา ก็คือการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เข้าไปสู่โลกวิญญาณ ชีวิตใหม่ในวิญญาณ ครบถ้วนบริบูรณ์ 100% อย่างนี้เป็นต้น
มันไม่ยั่งยืนเหมือนเงา แต่สิ่งที่มองไม่เห็นนั้น เป็นถาวรนิรันดร์ เห็นหรือยัง บนโลกใบนี้มันเป็นเงา ทั้งโลกเลย เป็นเงา ร่างกายเราที่เห็นอยู่ ก็ถูกสร้างมาจากโลกใบนี้ ก็เป็นเงา ที่ถูกสาปแช่งอยู่ ก็เป็นเงา ความแก่ของร่างกาย ความเจ็บป่วยของร่างกาย ความตายจากร่างกายนี้ ก็เป็นเหมือนเงาทั้งสิ้นเลย วันหนึ่งร่างกายนี้ ก็ต้องหมดไป ตายไป วันหนึ่ง โลกใบนี้ ก็ต้องสูญไป แต่โลกวิญญาณที่มองไม่เห็น ก็คือวิญญาณภายในของเรา มนุษย์ทุกคน มันจะอยู่ตลอดไปถาวรนิรันดร์ เรากำลังพูดถึงวิญญาณภายในของผู้ที่มีพระคริสต์สถิตอยู่ บังเกิดใหม่ โดยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่แล้ว ชีวิตนิรันดร์ เป็นนิรันดร์อยู่ในสวรรคสถานนิรันดร์กาล แต่ถ้ายังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยังไม่มีพระเยซูคริสต์อยู่ในตัว วิญญาณอยู่นิรันดร์ไหม? อยู่นิรันดร์เหมือนกัน แต่ไม่ได้อยู่ในสวรรค์นิรันดร์ แต่อยู่ในความพินาศนิรันดร์
นี่คือสิ่งที่จะต้องตั้งใจคิดต่างหาก และถ้าเราตัดสินใจเรียบร้อยแล้วว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เรารู้อยู่ในใจว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราก็มีความมั่นใจ 100 % ว่าถาวรนิรันดร์ของเรา ในชีวิตนิรันดร์ของเรานั้น คืออยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ไม่ได้อยู่ในความพินาศอีกต่อไป หลังความตาย เพราะฉะนั้น เราจึงไม่กลัว เรื่องความตาย
ในอดีต ก่อนที่เราจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เรากลัวใช่ไหม? เรากลัวความตาย เพราะเรา รู้อยู่ในใจเหมือนกันว่าชีวิตไม่ได้จบลงตรงที่ความตาย วิญญาณเรายังต้องดำเนินต่อไป แต่เราไม่ได้อยู่ในสวรรค์ เราไม่แน่ใจ เราไม่รู้จะอยู่ที่ไหน? อย่างนี้ชัดเจน
พอเราเห็นความจริงอย่างนี้แล้ว เราอาจจะนึกว่าความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ มันมีแต่เรื่องร้ายๆ ทั้งสิ้น จริงๆ แล้วมันมีแง่มุมดีด้วย ขณะที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ใน 2 โครินธ์ 4:16-18 ที่บอกว่าความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรานั้น จะมีประโยชน์ในการจัดเตรียมให้เรา เข้าสู่สง่าราศีอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่สมบูรณ์แบบด้วย ก็คือให้มองความทุกข์ยากลำบากในแง่ดี ซึ่งไม่ใช่ว่าความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นกับเรา จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย มันก็ไม่ใช่ มันมีประโยชน์บ้าง เพราะฉะนั้น ในตรงนี้จึงบอกว่าความทุกข์ยากลำบากที่เราได้รับอยู่นั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงชั่วคราวเล็กน้อย ก็ตาม แต่ก็เป็นสิ่งที่กำลังเสริมสร้าง หล่อหลอม และจัดเตรียมเราให้เข้าไปสู่สง่าราศี พระสิริอันยิ่งใหญ่ สมบูรณ์แบบนิรันดร์ในสวรรคสถาน หล่อหลอม จัดเตรียมเรา เสริมสร้างเราอย่างไร? ยิ่งมีความทุกข์เท่าไร เรายิ่งอยากจะจากไปเท่านั้น เราไม่อยากจะอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เห็นชัดเลย หล่อหลอมไหม? หล่อหลอม ยิ่งมีความทุกข์เท่าไร? ยิ่งละจากการรักเงินทอง รักโลก ความโลภ ลาภ ยศ สรรเสริญละมากเท่านั้น เพราะความทุกข์ลำบากเสริมสร้างเรา อยากไปอยู่ในสวรรค์ ไม่รักโลกใบนี้ พร้อมที่จะไป โดยไม่มีเยื่อใย นี่คือประโยชน์ของความทุกข์ยากลำบาก ที่เผชิญอยู่บนโลกใบนี้
เพราะฉะนั้น เราสามารถเผชิญกับปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้ได้ ด้วยความคิดหรือคอนเชป ในการคิด ในชีวิตอย่างนี้ ต่อความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้น เราสามารถเผชิญปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ยากเรื่องสุขภาพ เรื่องโรคภัยไข้เจ็บ เรื่องทำมาหากิน เรื่องครอบครัว เรื่องอุบัติเหตุ เรื่องภัยธรรมชาติต่างๆ เรื่องทะเลาะเบาะแว้ง เข้าใจผิดกัน อะไรต่างๆ เหล่านั้น ที่มันเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทุกวันนี้ก็มี ไม่ได้มีมากขึ้นหรอก มันก็มีอย่างนี้แหละ คนมันมากขึ้น เราเลยมีความรู้สึกมากขึ้น แต่จริงๆ การเกิดขึ้นมันมีมาตั้งแต่โน้น หลายพันปีแล้ว เราจึงสามารถเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ได้ ในขณะที่ในใจเรา มีสันติสุขในพระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่ภายใน ลึกๆ เรารู้ และมีความมั่นใจในการทรงสถิตของพระเจ้า พระคริสต์ที่สถิตอยู่กับเรา ไม่กลัวตาย เพราะเรารับรู้ความจริงแล้วว่าชีวิตหลังความตาย มีจริง และร่างกายใหม่ที่สมบูรณ์แบบ เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซู ที่ได้เป็นขึ้นจากความตายนั้น มีอยู่จริง และเตรียมไว้ให้กับเราทุกคน ที่เชื่อและวางใจในพระเยซู และมีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเราภายในแล้ว ร่างกายใหม่นี้ ที่เป็นเหมือนพระเยซู ที่เต็มด้วยสง่าราศีนี้ ได้ถูกจัดเตรียมไว้ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว หลังความตาย เอเมน
ไม่ใช่ได้รับร่างกายใหม่เท่านั้นเอง หลังจากตายแล้ว แถมยังมีมรดกสวรรค์ที่พระเจ้าสัญญาไว้ อีกด้วย มรดกในสวรรค์ ก็คือได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ แล้วได้ครอบครองโลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างขึ้นแทนโลกใบนี้ที่จะสูญสิ้นไป และครอบครองสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใหม่นั้น ที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่หมดเลย ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ เป็นต้นไม้ เป็นภูเขา เป็นฟ้า ใหม่ทั้งหมด พระคัมภีร์บันทึกว่าเราจะร่วมครอบครองสิ่งใหม่ๆ เหล่านี้ร่วมกับพระเยซูคริสต์และธรรมิกชนทั้งหลายร่วมกัน นิรันดร์กาลปี
นิรันดร์กาล คือไม่มีที่สิ้นสุด อยู่กับพระเจ้านิรันดร์ ที่นั่นไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความเจ็บปวด ไม่มีเรื่องเศร้า ไม่มีความบาป บันทึกไว้อย่างนั้นชัดเจน แค่นั้นยังไม่พอ ยังมีของแถมเพิ่มอีก คือในขณะที่เรายังมีชีวิตดำเนินอยู่ บนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ อยู่ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากเดี๋ยวนี้ เรายังมีพระเจ้าสถิตอยู่กับเราตลอดเวลา ทุกลมหายใจเข้าออก ซึ่งคนที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่มี ในอดีตเราไม่มี เราต้องเดินลำพังตัวเองคนเดียว แต่ตอนนี้เราเดินคนเดียว แล้วยังมีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระภาคเดินอยู่กับเรา ภายในเรา เอเมนไหม? นี่คือของแถมเพิ่มอีกนะเนี้ย
เพราะฉะนั้น เราจึงมีกำลังพิเศษที่จะอดทน ฟันฝ่าอุปสรรคปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้ ที่ตะกี้เราพูดถึงความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ เราจึงมีกำลังพิเศษตลอด 24 ชั่วโมง จากพลังภายใน จนถึงวันเวลาที่จะจากโลกนี้ จากร่างกายนี้ไปอยู่ในสวรรค์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นิรันดร์นั่นเอง
นี่ของแถมเต็มไปหมดเลย เพราะฉะนั้น ให้เราดำเนินชีวิตด้วยการตระหนักและระลึกอยู่เสมอว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เป็นความหวังแห่งเกียรติและสิริชั่วนิรันดร์ โคโลสี 1:27 บันทึกเอาไว้ …
โคโลสี 1:27 “สำหรับพวกเขา พระเจ้าได้ทรงประสงค์ ที่จะสำแดงความมั่งคั่งอันทรงเกียรติสิริของข้อล้ำลึกนี้ ในหมู่คนต่างชาติ คือพระคริสต์สถิตในท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นความหวัง แห่งเกียรติสิริ”
“สำหรับพวกเขา” หมายถึงสำหรับพวกอิสราเอลหรือชาวยิว ซึ่งเขารู้จักพระเจ้าก่อนเราเยอะ พระเจ้าเตรียมประชาชนอิสราเอลไว้ เพื่อเป็นที่มาของพระผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูคริสต์บังเกิดในชุมชนอิสราเอล คือชาวยิวนั่นเอง เพื่อความรอดจะได้มาถึงคนที่ไม่ใช่เป็นอิสราเอล คือไม่ได้เป็นชาวยิว พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะสำแดงความมั่งคั่ง อันทรงเกียรติสิริของข้อล้ำลึกนี้ในหมู่คนต่างชาติ คือพระเจ้าสำแดงให้กับคนยิวได้เห็นว่าพระเจ้าที่เขารู้จักนั้น ตระเตรียมแผนการนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว คือให้พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดเข้ามาสถิตอยู่กับคนต่างชาติ คนที่ไม่ใช่ยิว ทั้งหมดเลย ไม่ใช่ให้แก่ชาวยิวเท่านั้น แต่ให้กับชาวยิวและชาวไม่ใช่ยิว ก็ให้หมดเลย ให้อะไร? ให้โอกาส ที่เขาจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้าไปสถิตอยู่ในเขา ซึ่งเมื่อพระเยซูคริสต์เข้าไปสถิตอยู่ในเขาแล้ว พระเยซูคริสต์จะเป็นความหวังและเกียรติสิริของเขานั่นเอง พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเขา เป็นความหวังที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์หลังจากความตาย ได้รับร่างกายใหม่ เต็มด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซูคริสต์ตอนเป็นขึ้นจากความตาย แล้วจะได้ครอบครองสวรรค์โลกใหม่ที่ตะกี้นี้ผมอธิบายให้ฟังร่วมกับพระองค์นิรันดร์ เรียกว่าเกียรติและสิริ เป็นความหวังของคนที่ไม่ใช่ยิว คือความหวังของเราด้วย ที่ไม่ใช่ยิว และเราต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเราแล้ว จึงเป็นความหวังของเราที่จะครอบครองอาณาจักรร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในสวรรคสถาน ที่เรียกว่าพระเกียรติและพระสิริของพระเจ้าร่วมกับพระองค์
“เพราะฉะนั้น พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน อยู่ในเรา เป็นความหวังที่จะได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระองค์ เมื่อฉันจากโลกนี้ไปแล้ว”
นี่คือความหวังสูงสุดของมนุษย์ผู้หนึ่งที่เกิดบนโลกใบนี้ แล้วจะมีความหวังอะไรที่มันยิ่งใหญ่กว่านี้มีอีกไหม? ถามตัวเองก็ได้ มีอีกไหม? จะให้รวยมหาศาลบนโลกใบนี้ จะให้มีชื่อเสียงล้นฟ้าบนโลกใบนี้ จะให้คนรักบนโลกใบนี้ จะให้คนสรรเสริญบนโลกใบนี้ทั้งหมดเลย ใหญ่บ้าง สูงบ้าง ดีมากเลยเอาไหม? แลกกับชีวิตหลังความตายนิรันดร์ที่จะร่วมครอบครองมรดกนิรันดร์ ครอบครองสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์
พระคริสต์สถิตในใจ จะนำพาฉันผ่านทุกสถานการณ์บนโลกใบนี้ เพราะว่าขณะที่ฉันรอวันที่จะจากโลกนี้ไป ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูก็อยู่กับฉันแล้วด้วย เอเมน ผมเคยบอกใช่ไหมว่าถ้าท่านเป็นคริสเตียน เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระเยซูสถิตอยู่ในท่านแล้ว ในยามสุข พระองค์ทรงบินอยู่ข้างๆ ท่านใช่ไหม? แต่ในยามทุกข์ พระองค์ทรงซุกท่านไว้ใต้ปีกของพระองค์ แล้วฉันจะกลัวอะไร? ซึ่งในการเดินบนโลกใบนี้มันมีทั้งยามสุขยามทุกข์ ยามสุขก็บินอยู่ข้างๆ คอยมอง ลูกคลานไป ก็ปล่อยลูกคลาน สนุก พอลูกคลานไปพลาด หัวฟาดพื้นนิดหนึ่ง พ่อรีบอุ้มขึ้นมาเลย ไม่เป็นไรนะลูก นั่นแหละซุกไว้ใต้ปีกของพระองค์
เพราะฉะนั้น พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน ในขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ฉันจึงไม่กลัว …
– พระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน ฉันจะไม่กลัว
– พระคริสต์สถิตในฉัน ฉันจะไม่วิตกกังวลในเรื่องใดๆ เลย
– พระคริสต์สถิตในฉัน ฉันจึงสามารถมีความสุข และมีความชื่นชมยินดีภายในจิตใจอยู่เสมอ ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ฉันเผชิญได้ โดยพระเยซูคริสต์ผู้สถิตอยู่ในฉัน เอเมน
เพราะฉะนั้น นี่คือความจริงของคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่เรียกว่าคริสเตียนแล้ว สำหรับผู้ที่ยังไม่มีพระคริสต์สถิตอยู่ในใจ ก็ไม่ยากเลย ง่ายนิดเดียว ก็คือแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เข้ามาเป็นพระเจ้าประจำตัวเท่านั้นเอง พระเจ้าคอยมองท่านอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วทุกวันนี้ เคาะประตูใจท่านตลอดเวลา …
“เปิดเถิดเราช่วยเจ้าได้ เปิดเถิดๆ”
เปิดใจท่านเถิด ก่อนที่มันจะสายไป ก่อนที่มันจะถึงวาระที่ต้องจากโลกนี้ไป ท่านจะจากไปคนเดียวโดดๆ โผล่ออกไปในโลกวิญญาณหลังความตาย เจอความมืดเลย หรือท่านจะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มีพระเยซูคริสต์ดำเนินอยู่ด้วย และเมื่อถึงวันที่จากโลกนี้ไป เมื่อท่านตาย วิญญาณออกจากร่าง พระเยซูคริสต์ก็ประคองท่านออกจากร่างไป พร้อมกับแสงสว่าง เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นแสงสว่าง และท่านก็เป็นแสงสว่างแล้ว ไม่ใช่ความมืดอีกต่อไป
เพราะฉะนั้น เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ตอนนี้ มันปลอดภัยมากกว่าเยอะเลย อย่างที่บอกว่าเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ตอนนี้ สิ่งที่ได้เห็นชัดๆ เลย ในทันทีเดี๋ยวนี้เลย ก็คือวิญญาณท่านได้บังเกิดใหม่เข้าไปอยู่ในสวรรค์ทันที และพระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่กับท่าน ในร่างกายของท่านทันที รอคอยวันที่จะได้รับร่างกายใหม่หลังความตาย ขณะที่ยังรอคอยอยู่นั้น กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากที่ต้องเกิดขึ้นกับท่านอย่างแน่นอนตลอดเวลา ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้นั้น พระเยซูสถิตอยู่กับท่าน พระเจ้าบอกว่าในขณะที่กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในยามสุขนั้น เราจะดูเจ้า เราจะมองเจ้า เราจะบินอยู่เคียงข้างเจ้า แต่ในยามเจ้าเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ เราจะซุกเจ้าไว้ใต้ปีกของเรา เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ
********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
เพราะท่านได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ พระคริสต์เป็นความรัก ท่านก็เป็นความรักด้วยเช่นกัน
1 ยอห์น 4:17 … “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ (คือการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ) ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้น อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณ และจิตใจ) เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์”
พระเยซูคริสต์จึงตรัสว่า …
ยอห์น 13:34 … “เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลาย (ด้วยวิญญาณและความจริงใจ) มาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น”
เมื่อเราบังเกิดใหม่ ได้เป็นความรักเหมือนพระเจ้าแล้ว เราจึงแบ่งปันความรักที่เหมือนพระเจ้านี้ โดยธรรมชาติของวิญญาณ และจิตใจใหม่ ที่พระเจ้าประทานให้ ตอนบังเกิดใหม่ให้แก่คนอื่นได้ อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่รู้สึกเป็นภาระหนักเหมือนในอดีตก่อนบังเกิดใหม่ ที่ต้องพยายามรักผู้อื่น ในขณะที่วิญญาณและจิตใจข้างในเป็นวิญญาณแห่งความเกลียดชัง เป็นศัตรูกับพระเจ้าผู้เป็นความรัก
1 ยอห์น 5:3 … “เพราะนี่แหละ เป็นความรัก (ด้วยวิญญาณและความจริงใจ) ต่อพระองค์ คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ (ซึ่งใส่ไว้ในวิญญาณและจิตใจใหม่ของเราแล้ว) และพระบัญญัติของพระองค์นั้น (คือให้เรารักกันและกันด้วยวิญญาณและใจจริง) ไม่เป็นภาระ”
ไม่เป็นภาระ เพราะเป็นธรรมชาติใหม่ของตัวตนที่ได้บังเกิดใหม่แล้วในวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้าเป็นความรักเหมือนพระเจ้า
พระเจ้าอวยพรครับ