คำบรรยายคืนวันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม 2022
เรื่อง “ความจริง คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ท่านเชื่อหรือไม่?” ตอน 2
โดย นคร เวชสุภาพร
เรามาพูดถึงวันคริสตมาสกัน จำอะไรไม่ได้ ขอให้จำวันนี้ได้ว่าสิ่งที่ได้กลับไป ก็คือวันคริสตมาส คือวันที่พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เทศกาลคริสตมาส เป็นเทศกาลพิเศษ ที่เรามาร่วมเฉลิมฉลองกัน คือช่วงเวลาที่พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าได้ลงมาประสูติ เป็นมนุษย์
นี่เป็นทางการของเทศกาลคริสตมาส ที่เริ่มต้นมา 2,000 ปีแล้ว คริสตมาส คือวันที่เขาระลึกถึงพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ หัวข้อสำคัญที่สุดเลย จำอะไรไม่ได้ ง่ายๆ เลย …
“พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซู”
ซึ่งความสำคัญของวันคริสตมาส ที่เป็นเหตุให้มีการเฉลิมฉลองกันทั่วโลก ก็คือพระเยซูคริสต์ ผู้มีสถานะเป็นพระเจ้า มาเกิดในสภาพมนุษย์ พระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระเจ้า ในตำแหน่งพระบุตร อยู่ในสวรรค์ เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ยิ่งใหญ่สูงสุด ยอมสละสภาพพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ คือสภาพพระเจ้ากับสภาพมนุษย์ สามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้
สภาพของพระเจ้ากับสภาพของมนุษย์ รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ซึ่งไม่เคยมีใครคิด และคิดก็ไม่ถึงด้วย ความหมาย คือพระเยซูซึ่งมีสภาพ สถานะเป็นพระเจ้า ลงมามีสภาพเหมือนมนุษย์ ได้อย่างไร? ฉันใดมนุษย์บนโลกนี้ ก็สามารถมีสภาพเหมือนพระเจ้าได้ฉันนั้น
พระเจ้าลงมาเกิดเป็นมนุษย์ได้อย่างอัศจรรย์ เราเอเมน ฮาเลลูยา มนุษย์อย่างเรา พระเจ้าก็สามารถยกเราขึ้นไปเทียบระดับพระเยซูคริสต์ได้อย่างนั้นเลย นี่คือหัวใจของคริสตมาส นี่คือความจริงในวันคริสตมาส ที่เขาระลึกถึงกัน เขาถึงฉลองกันมาถึงวันนี้ ฉลองแล้ว ฉลองอีก ก็เพราะว่าพระเจ้าทำการยิ่งใหญ่มาก นี่คือปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากวันคริสตมาสนั่นเอง คือวันที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเหตุผลแค่นี้ ก็พอเพียงที่จะทำให้ผู้คนทั้งโลก เฉลิมฉลองเทศกาลคริตมาส เป็นการใหญ่โต มาเกือบ 2,000 ปีแล้ว เพราะว่ามันยิ่งใหญ่ขนาดนี้
สิ่งที่เป็นความจริงนี้ จึงได้ถูกประกาศมา 2,000 ปีแล้ว ก็คือพระเจ้ากับมนุษย์มีสภาพเดียวกันได้อย่างไร? พระเจ้ากับมนุษย์มาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร? เป็นไปได้อย่างไร? แต่มันก็เป็นไปแล้ว ในพระคัมภีร์ก็บอกไว้แล้วว่ามันบียอน ก็คือมันเหนือความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ เหนือสติปัญญามนุษย์ที่จะเข้าใจ เหนือตรรกะ เหตุและผลที่มนุษย์คิด เป็นไปไม่ได้เลย คิดก็ไม่ถึง พระเจ้าบอกว่าใช้จิตวิญญาณ แล้วท่านจะรู้ คือใช้ความเชื่อในจิตวิญญาณท่าน เหมือนเราทั้งหลายในที่นี้ ที่รู้แล้วว่าพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้าจริงๆ แล้วมาช่วยเราให้รอดได้จริงๆ นั่นเอง
สิ่งที่บันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ก็คือถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราถึงพันธสัญญาของพระเจ้า ที่บอกกับมนุษย์มาตลอดเวลายาวนานหลายพันปี ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด สัญญากับมนุษย์ว่าพระเจ้าจะส่งพระบุตรของพระองค์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทำให้พระเยซูคริสต์กับมนุษย์ สามารถมีสภาพเหมือนกันได้
พระบุตรของพระเจ้า ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซูคริสต์ สามารถทำให้มนุษย์ ที่เชื่อพระเยซูคริสต์เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ได้ ก็คือเป็นเหมือนพระเจ้าที่เกิดเป็นมนุษย์ ก็คือพระเจ้ากับมนุษย์ เป็นบุคคลเดียวกันได้ จากเดิม ก่อนที่จะมีวันคริสตมาส ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดบนโลกใบนี้นั้น มนุษย์ทั้งโลกมีสภาพเป็นคนบาป สกปรกเข้ากับพระเจ้าไม่ได้เลย เป็นไปไม่ได้ ที่จะไปอยู่กับพระเจ้า มองพระเจ้าก็ไม่ได้ แตะต้องพระเจ้าก็ไม่ได้ เข้าหาพระเจ้าไม่ได้เลย ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้เลย เพราะว่าเป็นคนบาป สกปรก และไม่สามารถที่จะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้อย่างแน่นอน เพราะว่าไม่บริสุทธิ์พอ
วันคริสตมาส คือวันที่เป็นจุดเริ่มต้นในการเปิดสวรรค์ ให้มนุษย์สามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้ โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อว่ามนุษย์ทั้งหลาย ที่เชื่อและวางใจในพระองค์ จะได้เข้ารวมกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ และพระองค์ก็มาสถิตอยู่กับเขาในใจ คริสตมาสก็จะเกิดขึ้นในใจของมนุษย์คนนั้น มนุษย์คนนั้นกับพระเยซูคริสต์ ก็เป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าเข้ามาอยู่ในมนุษย์ และมนุษย์เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้านั่นเอง วัน คริสตมาสจึงเป็นการเริ่มต้น การทำตามพันธสัญญาที่พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะไถ่มวลมนุษยชาติให้พ้นจากความบาป ให้ได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาปใดๆ บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์ และได้รับสถานะ คือเป็นบุตรของพระเจ้า เพราะพระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า มนุษย์ที่เชื่อพระเยซู และได้ถูกทำให้บังเกิดใหม่ ก็เป็นบุตรของพระเจ้าเช่นเดียวกัน ได้รับฐานะให้เป็นบุตร นอกจากเป็นบุตรแล้วยังเป็นทายาท คือได้รับมรดก
มรดก คือชีวิตหลังความตาย ร่างกายสวรรค์หลังความตาย ที่เป็นเหมือนพระเยซูตอนเป็นขึ้นจากความตาย เป็นเหมือนกันเลย และจะได้ครอบครองในสวรรคสถาน ครอบครองโลกใหม่ ที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่ร่วมกับพระเยซู
เพราะฉะนั้น ใครก็ตาม ที่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์ได้บอกว่าคนที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาจะได้รับการเปลี่ยนแปลง ก็คือได้รับการบังเกิดใหม่ คือตัวเก่าตายไป ตัวสกปรกตายไป เกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ทันที กำลังเดินอยู่บนโลกใบนี้ ก็เข้าสู่สวรรค์ทันที
หัวใจของคริสตมาส คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ และมนุษย์สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้า เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าได้ พระเจ้าสถิตอยู่กับเราภายใน และพระองค์กระทำการงานอยู่ในร่างกายของเราขณะนี้ สำหรับเราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียน ก็คือเป็นผู้ที่เชื่อแล้ว พระเจ้าอยู่ในตัวท่าน เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของท่าน ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว
“ฉันอยู่ในสวรรค์แล้วจริงๆ”
ถ้าในโลกใบนี้ ยังมีวันคริสตมาส เขาฉลองกันทั่วโลก มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีๆ ยืนยันอีกอันหนึ่งว่า …
“พระเจ้าอยู่ในฉันจริงๆ”
แล้วจะอยู่ได้อย่างไร? … “ก็อยู่ร่วมกับวิญญาณของฉัน พระคัมภีร์บอกเป็นหนึ่งเดียวกัน วิญญาณฉันกับวิญญาณพระเจ้า พระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันเลย”
อยู่ในเราจริงๆ ต้องใช้อะไร? ใช้จิตวิญญาณของเราสัมผัส เราจะรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา และพระองค์นี่แหละ จะเป็นผู้นำพาชีวิตเราทุกอย่าง ทุกเรื่อง ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก จะเห็นหรือไม่เห็น จะสัมผัสได้หรือไม่ได้ก็ตาม แต่พระองค์ก็ทรงอยู่ที่นั่นแหละ ที่ไหน? ในใจของเรา เพราะฉะนั้น จะทำอะไรก็ตามเป็นคริสเตียน นึกถึงในใจของเรา แล้วทำไปเลย ด้วยความเชื่อ จะคุยกับพระองค์ จะอธิษฐาน จะทำอะไรก็ตาม ให้รู้ว่า …
“พระเจ้า คือพระคริสต์ อยู่ในฉัน และฉันก็อยู่ในพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน”
คริสตมาสจะเกิดผลได้ ต่อเมื่อท่านรู้ตนเองว่า … “ฉันอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในฉัน”
ให้เราหลับตาลง ใช้จิตวิญญาณ ไม่ใช้ความรู้สึก ไม่ใช้ความคิด ไม่ใช่การวิเคราะห์หาเหตุและผล แต่เป็นความจริงตามถ้อยคำของพระเจ้าที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และพระเยซูคริสต์เป็นผู้ประกาศเองว่าเราได้เชื่อในพระเจ้า วางใจในพระเยซูแล้ว พูดตามผมนะ …
“บัดนี้ ฉันอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในฉัน เราเป็นหนึ่งเดียวกัน วิญญาณพระคริสต์อยู่ในฉัน ฉันอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน”
ให้หลับตาไว้ ใช้วิญญาณ ไม่ใช้ความคิด ไม่ใช้ความรู้สึก จะรู้สึกอะไรไม่สำคัญ ใช้จิตวิญญาณ … จิตวิญญาณใช้อย่างไร? คิดตามถ้อยคำพระเจ้า นั่นแหละจิตวิญญาณ คิดตามถ้อยคำพระเจ้า ไม่ใช่คิดตามเหตุผลของมนุษย์ คิดตามถ้อยคำพระเจ้า ที่ตะกี้ท่านพูดไป เป็นถ้อยคำพระเจ้าจากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลทั้งสิ้น เป็นความจริง นั่นแหละ คือกำลังใช้วิญญาณ และตรงนี้แหละ คือหัวใจของคำว่าทำทุกสิ่งจากใจ ดำเนินชีวิตทุกอย่างจากใจ คือตรงนี้ รู้ว่า …
“ฉันอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในฉัน เราเป็นหนึ่งเดียวกัน”
ให้เวลาสำหรับพี่น้องที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นผู้ช่วยให้รอด ท่านสามารถใช้จิตวิญญาณของท่านเช่นเดียวกัน เริ่มต้นสนใจ วางใจในพระเยซู สามารถพูดเหมือนกับเราพูดอย่างนี้ เหมือนกันเลย …
“ฉันอยากจะรู้ว่าพระเยซูเป็นใคร? ฉันอยากจะรู้ว่าคริสตมาสคืออะไร? คำว่าพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ มาเรียกฉันกลับบ้านคืออะไร?”
สามารถคุยอย่างนี้ จากความคิดของท่านได้ มันเกินกว่าความคิดของมนุษย์เข้าใจ แล้วสำหรับพี่น้องที่เป็นคริสเตียนแล้ว ผมอยากจะนำให้ท่านใช้เวลานี้ รู้ความจริงตรงนี้ ท่านอยากจะอธิษฐานอะไร? พูดกับพระเจ้าตอนนี้เลย ท่านต้องการอะไร? พระเจ้าสามารถทำให้ท่านได้ทุกสิ่ง ไม่ใช่เป็นไปตามแผนการของเรา แต่เป็นไปตามน้ำพระทัย พระองค์ตอบทุกคำอธิษฐาน ตอบหมดเลย แต่อาจจะตอบไม่ตามที่เราต้องการ อาจไม่ตรงเวลาที่เราต้องการ แต่พระองค์ไม่เคยมาสาย อาจจะตอบไม่เหมือนที่เราต้องการ แต่ดีกว่าแน่นอน เพราะพระองค์ทรงรักเรา ให้เราอธิษฐานในใจ และฝึกฝนไปเลยว่านี่แหละ คือการเดินของลูกของพระเจ้า ที่เรียกว่าคริสเตียนด้วยความเชื่อ มีแค่นี้เอง ทุกสิ่ง ทุกอย่างอยู่ในการทรงนำของพระองค์ พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ภายในข้างในเราแล้ว ให้วันนี้ เป็นของขวัญอีกชิ้นหนึ่ง ที่พระเจ้าประทานให้กับเราในการฉลองคริสตมาสให้กับเราปีนี้ คือเรารู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ มั่นคงแข็งแกร่งในความเชื่อมากขึ้น ไม่พึ่งพาความคิดของตัวเอง ไม่พึ่งพาความรู้สึกของตนเอง ไม่พึ่งพาตรรกะเหตุผลของมนุษย์ แต่พึ่งพาในถ้อยคำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระองค์ทรงสถิตอยู่กับเราจริงๆ ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก ไม่ว่าเราจะคิดได้หรือคิดไม่ได้ก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เช่นใดก็ตาม ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่ดีหรือร้ายก็ตาม พระองค์ทรงอยู่กับเรา อยู่เคียงข้างเรา ในยามที่เราสุข พระองค์ทรงบินอยู่ข้างๆ เรา มองเราตลอดเวลา ในยามที่เราทุกข์ พระองค์จะซุกเราไว้ใต้ปีกของพระองค์ เราอาจจะไม่เห็นอะไรเลย แต่ในขณะนั้น พระองค์ทรงโอบกอดเราไว้อยู่ใต้ปีกของพระองค์ ให้เรามั่นใจตามนั้น ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรครับ
*********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
เปลี่ยนแปลงความคิด ให้เหมือนพระคริสต์ แล้วนิสัยจะเหมือนพระคริสต์
โรม 12:1-2 … “1 พี่น้อง เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกายพร้อม (สมอง) ความคิดและสติปัญญาของท่านเป็นเหมือน (กับที่ได้รับการชำระแล้ว ด้วยพระคุณให้เป็น) เครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ บริสุทธิ์สะอาดศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า ที่พระเจ้าสามารถรับได้ ) และเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า เป็นการกตัญญูต่อพระเจ้าที่สมควร ในวิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง 2 อย่ากระทำตามระบบของโลกนี้ (ซึ่งขัดแย้งกับทางของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์) แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลง (โปรแกรมในสมอง) ความคิด สติปัญญาแบบเดิมเสียใหม่ เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรที่เป็นความต้องการของพระเจ้า อะไรที่ดี อะไรที่ดียอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบในสายตาของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้า (ในพระคริสต์) ที่วางไว้ให้กับท่าน (จะได้กระทำตามความคิดใหม่นั้น)”
การดำเนินชีวิตของเรา ซึ่งเป็นผู้เชื่อ เรามีอยู่ 2 ทางให้เลือกเท่านั้น ทางหนึ่งเกิดประโยชน์ อีกทางหนึ่งให้โทษ เราไม่สามารถเลือกกระทำทางที่ผิด แล้วหวังผลที่เป็นประโยชน์ที่ดีได้ แม้ว่าเราจะได้รับความรอด อยู่ในสวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้วก็ตาม
เราสามารถที่จะเลือก …
➢ เชื่อพระวิญญาณ เพื่อให้ได้รับผลที่เป็นพระพร ตามมา
➢ หรือเลือกที่จะดับพระวิญญาณ เพื่อทำตามกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง แล้วรอรับ
ผลเสีย คือความทุกข์ตามมา
แต่ไม่ว่าเราจะเลือกทางไหนก็ตาม วิญญาณของเรา ก็ยังคงเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระเจ้ายังคงรักเราดังแก้วตาดวงใจ ยังคงอยู่ฝ่ายเรา คอยช่วยเราให้ได้ดีเสมอ
จงจำไว้ว่าในโลกวิญญาณนั้น ด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซู เราได้เกิดใหม่แล้ว วิญญาณเราเชื่อมสนิทเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเยซู เราเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งของร่างกาย ที่มีพระเยซูเป็นศีรษะ ขอบคุณพระเจ้า