คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2022
เรื่อง “พระเจ้าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ รักเรามากแค่ไหน?”
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง ที่ช่วงปลายปีเราจะระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ หลังจากอาทิตย์ที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายน เราก็เริ่มต้นเทศกาลระลึกถึงพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว หลังจากขอบคุณพระเจ้าแล้ว เราก็มาขอบคุณพระเจ้าเหมือนกัน แต่ขอบคุณพระเจ้า สำหรับพ่อ เขาเรียกว่าวันพ่อ ซึ่งพอพูดถึงวันพ่อวันแม่ เราก็คู่กัน พ่อแม่มีส่วนคนละครึ่ง พอบอกวันพ่อ ก็มีวันแม่ครึ่งหนึ่ง พอบอกวันแม่ ก็มีวันพ่อครึ่งหนึ่ง และหลังจากนั้น ก็เป็นวันพระบุตรแล้ว คือวันพระเยซูคริสต์ที่เราร่วมกันระลึกถึงความรอดของเราที่ได้รับจากพระเจ้า ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือวันคริสตมาส
สุขสันต์วันพ่อ วันนี้เราก็ต้องมารำลึกถึงความรัก ความดีงาม และขอบพระคุณพ่อที่เป็นมนุษย์ และพ่อซึ่งอยู่ในสวรรค์ ก็คือพระเจ้า ถ้าเราเห็นความรักของพระเจ้า พ่อแห่งฟ้าสวรรค์มากเท่าไร? เราก็จะเห็นความรักของพ่อที่เป็นมนุษย์มากเท่านั้น หรือจะกลับกันก็ได้ว่าถ้าเราเห็นความรักของพ่อเรา ที่เป็นมนุษย์ ซึ่งรวมทั้งแม่ด้วย วันพ่อก็มีวันแม่ครึ่งหนึ่ง วันแม่ก็มีวันพ่อครึ่งหนึ่ง ทั้งสองเป็นผู้ร่วมกัน เป็นผู้ให้กำเนิด เพราะฉะนั้น เห็นความรักของพระเจ้า พ่อในสวรรค์ ก็จะเห็นความรักของพ่อและแม่ที่เป็นมนุษย์เท่านั้น ใครเห็นมาก ก็สัมผัสได้มาก ใครเห็นน้อยก็สัมผัสได้น้อย หนังสือสดุดี 103:10-13 ได้ประกาศให้ทั้งโลกได้รู้ว่า …
สดุดี 103:10-13 “10 พระองค์ไม่ได้ทรงกระทำแก่เราอย่างสาสมกับบาปของเรา หรือลงโทษอย่างสาสมกับความชั่วช้าของเรา 11 เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินเพียงใด ความรักของพระองค์ที่มีต่อผู้ที่ยำเกรงพระองค์ ก็ยิ่งใหญ่เพียงนั้น 12 ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด พระองค์ก็ทรงยกเอาการล่วงละเมิดของเราออกไปไกลเพียงนั้น 13 บิดาเอ็นดูสงสารบุตรของตนฉันใด องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ทรงเอ็นดูสงสารผู้ที่ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น”
พระเจ้าไม่ได้ลงโทษเราให้สาสมกับความเป็นคนบาปของเรา
ข้อ 11 บอกว่า … “เพราะว่าฟ้าสวรรค์สูงเหนือแผ่นดินโลกเท่าไร เราเห็นฟ้าสวรรค์ แผ่นดิน มองไปสุดลูกหูลูกตา ความรักของพระองค์ที่มีต่อผู้ที่ยำเกรงพระองค์ ก็ยิ่งใหญ่เพียงนั้น”
ข้อ 12 … “ตะวันออกไกลจากตะวันตกเพียงใด” ไกลเท่าไร? ตะวันออกไกลจากตะวันตกเท่าไร? ต้องหันหน้าบอกว่าไม่รู้ ไม่มีที่สิ้นสุด ถูกไหม? ตะวันออกห่างไกลจากตะวันตก ไม่มีที่สิ้นสุด
ข้อ 13 … “บิดาเอ็นดูสงสารบุตรของตนฉันใด องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ทรงเอ็นดูสงสารผู้ที่ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น” บิดา คือบิดาที่เป็นมนุษย์ สงสารรักลูกของตนเองเท่าไร? พระเจ้าก็ทรงเอ็นดูสงสาร ผู้ที่ยำเกรงพระองค์ฉันนั้น ขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า
ตะวันออกห่างไกลจากตะวันตกเพียงใด พระเจ้านำเอาการละเมิดของเราออกไปไกลเพียงนั้น พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้นนะ
จริงๆ ข้อ 12 มันตกไป “ตะวันออกห่างไกลจากตะวันตกเพียงใด พระเจ้าเอาการบาปของเราหลุดออกไปจากเราฉันนั้น” ไกลเท่านั้น ไม่เจอกันอีกเลย คือบาปกับเราไม่เจอกันอีกเลย มันตกไปนิดหนึ่ง
มารู้จักความรักของพระเจ้า พ่อแห่งฟ้าสวรรค์กันวันนี้ เพื่อเราจะได้รู้ว่าความรักของพ่อที่เป็นมนุษย์ เป็นอย่างไรด้วย พระเยซูพยายามอธิบายเรื่องนี้ เป็นอุปมาให้กับชาวยิว ซึ่งคุ้นเคยกับพระเจ้าในลักษณะของพระเจ้าที่เป็นเจ้านาย ที่เข้มงวด ดุ เจ้าอารมณ์ ลงโทษอย่างรุนแรง ดูแลพวกเขาเหมือนกับทาส ทำดีก็ได้ดี ทำไม่ดี หรือทำชั่ว ไม่เชื่อฟัง ก็ถูกตีสอนอย่างรุนแรง นี่ความรู้สึกของเขา เขามองพระเจ้าเป็นอย่างนั้น ไม่มีการให้อภัยแบบเปล่าๆ ต้องมีของแลก ทำอันนี้ ได้อันนั้น ทำอันนั้น ได้อันนี้ ทำผิดต้องแลกด้วยอะไร ก็ว่าไป ทำผิดบาปอย่าง ต้องแลกด้วยชีวิต สั่งไว้แล้วอย่าทำ ทำ ต้องแลกด้วยชีวิต เขาเรียกว่ามองพระเจ้า ดูแลพวกเขาเป็นแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน คือระเบียบต้องเป๊ะเลย
ผมจะยกตัวอย่างให้ดู นี่คือพระคัมภีร์เดิม ซึ่งพระเจ้าดูแลมนุษย์ ผ่านทางตัวแทนของมนุษย์ ก็คืออิสราเอล และเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่มีวันที่จะเข้าใจได้เลย ตัวอย่างยกมาอันหนึ่งให้เห็นชัดเลยว่านี่คือการดูแลของพระเจ้า ผู้ได้บอกว่าพระองค์เป็นพ่อ ที่ตะกี้เราอ่านในสดุดี บทที่ 103 ว่าพ่อรักเรามากๆ เลย รักแล้วทำไมทำอย่างนี้ ชาวยิวสมัยก่อน เขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เราเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน วันนี้จะทำให้เราเข้าใจมากขึ้น เรียนรู้วันนี้แล้ว ทำให้ความรักเราที่มีต่อพระเจ้าจะเปี่ยมล้นมากขึ้น เราจะเข้าใจพ่อที่เป็นพระเจ้าในฟ้าสวรรค์มากขึ้น และเข้าใจพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์มากขึ้นด้วย มันต้องคู่กันมา
ตัวอย่างเห็นชัดเลย คือ 2 ซามูเอล 6:1-8 ในสมัยอิสราเอลที่ดาวิดเป็นกษัตริย์อยู่จะไปเชิญหีบพันธสัญญา ซึ่งเล็งถึงการทรงสถิตของพระเจ้า มาตั้งอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม ดูสิว่าอะไรเกิดขึ้น …
2 ซามูเอล 6:1-8 “1 แล้วดาวิดนำพลอิสราเอลที่เลือกสรรแล้ว สามหมื่นคน 2 ไปยังบาอาลาห์ แห่งยูดาห์ เพื่ออัญเชิญหีบพันธสัญญาของพระเจ้า ซึ่งเรียกตามพระนาม คือพระยาห์เวห์ ผู้ทรงฤทธิ์ ผู้ประทับระหว่างเครูบนหีบนั้น 3 พวกเขาตั้งหีบพันธสัญญาของพระเจ้าบนเกวียนใหม่ และนำลงมาจากบ้านของอาบีนาดับ ซึ่งอยู่บนภูเขา โดยมีอุสซาห์กับอาหิโยบุตรอาบีนาดับเป็นผู้นำเกวียน 4 ที่บรรทุกหีบพันธสัญญาของพระเจ้าและอาหิโยเดินนำหน้า 5 ดาวิดและปวงชนอิสราเอลเฉลิมฉลองอย่างเต็มที่ ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้า มีการขับร้องและบรรเลงดนตรีด้วยพิณเขาคู่ พิณใหญ่ รำมะนา กรับและฉาบ 6 เมื่อพวกเขามาถึงลานนวดข้าวของนาโคน วัวสะดุดเสียหลัก อุสซาห์ยื่นมือออกไปยึดหีบพันธสัญญาของพระเจ้าไว้ 7 พระพิโรธขององค์พระผู้เป็นเจ้า จึงพลุ่งขึ้นต่ออุสซาห์ และทรงประหารเขาที่บังอาจทำอย่างไม่ยำเกรงพระองค์ เขาตายอยู่ข้างหีบพันธสัญญาของพระเจ้า 8 ดาวิดไม่พอพระทัยเพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธอุสซาห์ ที่แห่งนั้นจึงได้ชื่อว่า เปเรศอุสซาห์จวบจนบัดนี้”
หีบพันธสัญญา คือสัญลักษณ์ของการทรงสถิตอยู่ของพระเจ้า พระเจ้าบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้ายิ่งใหญ่ เต็มด้วยฤทธานุภาพอำนาจ ตะกี้ที่เราอ่าน เรื่องราว เห็นไหมว่ากษัตริย์ดาวิดและอิสราเอลเคารพยำเกรงพระเจ้ามากๆ พระเจ้าสั่งไว้อย่างไร ก็ทำตามหมด บอกว่าถ้าจะไปเชิญหีบพันธสัญญา จะต้องทำขบวนการใหญ่เลยนะ ต้องใช้คน 30,000 คน ไปอัญเชิญหีบพันธสัญญามา ด้วยความชื่นชมยินดี โดยมีอุสซาห์และอาหิโย บุตรของอาบีนาดับเป็นผู้นำเกวียนไป เอาเกวียนไปขนมา นึกภาพตามนี้ มีการขับร้องและบรรเลงดนตรีด้วยพิณเขาคู่ พิณใหญ่ รำมะนา กรับและฉาบ นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกไว้ เป็นพิธีที่ต้องทำ ตอนที่จะเชิญหีบพันธสัญญาไปไหนก็ตาม ต้องนำด้วยการนมัสการอย่างนี้ ให้ทำตามแล้วกัน เขาก็ทำตาม เห็นอะไรบางอย่างไหมว่าเป็นระเบียบที่พระเจ้าวางไว้ เขาก็ทำตาม แต่เกิดอุบัติเหตุ วัวสะดุดเสียหลัก ความผิดของมนุษย์ไหม? ไม่ ความผิดของวัวหรือเปล่า? น่าจะเป็นความผิดของวัว พูดเล่นๆ จะได้จำได้
ใครเป็นคนเดินนำหน้า อุสซาร์ ถ้าจำให้ดี ก็คืออุตส่าห์ พอวัวสะดุดปุ๊บ เรานึกภาพเกวียน เอียงข้างปุ๊บ หีบก็จะเคลื่อนที่ล้มลงมา อุสซาร์เขาอุตส่าห์หวังดี เป็นเรา เราก็ต้องทำ ถูกไหม? เขาจะไม่ทำ มันจะล้ม อย่าว่าแต่หีบพันธสัญญาเลย ต่อให้เป็นหีบทรัพย์สมบัติของมนุษย์ธรรมดา เราก็ยังไปประคองไว้ ยื่นมือไปประคองหีบพันธสัญญา ที่กำลังจะล้มลงมานั้น
ฟังให้ดีตรงนี้ “พระพิโรธของพระเจ้าพลุ่งขึ้นต่ออุสซาร์ พระเจ้าโกรธมากเลย พระเจ้าโกรธได้หรือ? ไม่ใช่ความผิดของอุสซาร์สักหน่อย วัวยังไม่ผิดด้วยซ้ำไป พระเจ้าของเราทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไม? ก็ไม่เหมือนกัน
“พระพิโรธ” คืออะไร? คือความโกรธของพระเจ้า ผู้ทรงบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เต็มไปด้วยฤทธานุภาพ อำนาจยิ่งใหญ่ เปรียบเสมือนพลังงานปรมาณู พลังงานไฟฟ้า เมื่อพลังปรมาณูรั่วออกมา ไม่ว่าคนนั้นจะเดินอยู่ที่ไหน? เขาได้รับอันตรายไหม? ถ้าเผื่อไฟฟ้าแรงสูงรั่วออกมา คนไปแตะต้อง อันตรายต่อเขาไหม? เพราะฉะนั้น เราต้องบอกว่าพระพิโรธของปรมาณู พระพิโรธของพลังงานไฟฟ้าแรงสูงนั้น ฆ่าคนเหล่านั้นที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ไปแตะต้อง ถูกไหม? เพราะมันเป็นกฎธรรมชาติความบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจ
ในนี้บันทึกต่อว่า … “และทรงประหารเขาที่บังอาจทำอย่างไม่ยำเกรงพระองค์” คนที่ไปแตะไฟฟ้าแรงสูง ก็บังอาจที่จะไปแตะต้องไฟฟ้าแรงสูง เป็นพันๆ โวลต์ เป็นหมื่นๆ โวลต์ที่วิ่งอยู่ข้างบน การไฟฟ้าอุตส่าห์ไปขึงไว้ข้างบนสูงๆ มากๆ แล้ว บังอาจปีนขึ้นไป สมมติว่ามันขาดลงมา จะปีนขึ้นไปแก้ไข ไม่ได้เคารพยำเกรง คือไม่ได้ระวังตัวให้ดีๆ ไปแตะต้องมัน ไม่ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือคนชั่ว เขาหวังดีหรือไม่หวังดี ก็ตาม เขาก็ได้รับฤทธิ์อำนาจจากไฟฟ้าแรงสูง ฆ่าเขาให้ตายเช่นเดียวกัน เห็นภาพอะไรไหม?
ยกตัวอย่างเมื่อตะกี้ ก็คือเขาตาย ขณะที่กำสายไฟฟ้าแรงสูงอยู่ในมือ เห็นภาพนะ ถามว่าผู้คนในสมัยนั้นเข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ ทำไมเรารู้ว่าไม่เข้าใจ เพราะบันทึกต่อไปบอกว่า “ดาวิดไม่พอพระทัยที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธอุสซาห์และฆ่าเขาจนตาย” ถูกไหม?
เราเอามาเทียบกันในปัจจุบันก็ได้ ถ้ามีใครคนหนึ่งเผอิญเอามือไปแตะเสาไฟฟ้าแรงสูง แล้วมันรั่วมา แล้วคนนั้นตาย แล้วคนนั้นเป็นคนดีด้วย เราโมโหไหม? โมโห สมมตินะ สมมติเราไม่ได้เป็นคริสเตียน เราโมโห …
“เขาเป็นคนดี ทำไมไฟฟ้าแรงสูงไปฆ่าเขาตาย”
นี่ยกตัวอย่างเพื่อให้ท่านเอาไปคิดดู แล้วสมัยก่อน เขาจะคิดอย่างไร? พระเจ้าที่เขานับถือ พระเจ้าที่เขาดูแลตลอด พระเจ้าที่สัญญากับเขาว่าจะรักมาก แล้วทำไมทำอย่างนี้ ดาวิดกำลังจะพูดว่าอะไร? ก็คือดาวิดไม่เข้าใจว่าทำไมๆ เหมือนตะกี้ที่ผมยกตัวอย่าง ถ้าเป็นปัจจุบัน …
“เขาเป็นคนดีมากเลย ทำไมเขาต้องตกลงมาตายด้วย ถูกไฟฟ้าดูด ฟ้าสวรรค์ควรจะเห็นความดีงามของเขา อย่าทำเขา เขาเป็นคนปรารถนาดี ไม่ใช่ความผิดเขาสักหน่อยเลย”
เหมือนกัน ดาวิดกำลังถามพระเจ้าว่า … “ทำไม? ฉันไม่เข้าใจ ฉันเสียใจ”
แต่พระเยซูอธิบายต่อให้ฟังว่าพระเจ้าเป็นพ่อนะ มาบอกกับอิสราเอลว่าในอดีตท่านมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า แบบลักษณะอย่างนี้ใช่ไหม? พระองค์ก็อธิบายต่อว่าไม่ใช่อย่างนั้นเลย มาให้เห็นภาพพระเจ้าจริงๆ ตามที่พระเจ้าเป็นจริงว่าพระเจ้าเป็นเช่นไร? พระเจ้าเป็นพ่อที่เต็มด้วยความรักพวกท่าน คือชาวยิว และมนุษย์ยิ่งนัก ดังแก้วตาดวงใจของพระองค์เลย เป็นพ่อที่เต็มไปด้วยความเมตตา กรุณา อภัยให้กับลูกๆ เสมอ ไม่ว่าจะความผิดร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม เช่น อุปมาเรื่องที่พระองค์ทรงยกขึ้นมา ให้เห็น นี่แหละพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา มีพระลักษณะของพระองค์อย่างนี้ ให้ชาวยิวและมนุษย์ทั้งหลาย หันมาเข้าใจว่าพ่อกระทำสิ่งต่างๆ ที่เราไม่เคยเข้าใจเลย ทำเพราะอะไร? เพราะรัก
ในลูกา 15:11-24 พระองค์ก็ทรงยกคำอุปมาเรื่องบุตรที่หลงหาย เพื่อให้เขาเห็นว่านี่คือภาพของพระเจ้าจริงๆ ที่ท่านมองไม่เห็น ที่กษัตริย์ดาวิดสงสัย นี่คือภาพของพระเจ้าจริงๆ เป็นอย่างนี้ พระองค์มีความปรารถนาในใจอย่างนี้สำหรับมนุษย์ทั้งหลาย ไม่ว่าท่านจะเข้าใจอย่างไรก็ตาม พระองค์มีพระลักษณะ มีความต้องการอย่างนี้ มีความรักต่อมนุษย์อย่างนี้ …
ลูกา 15:11-24 “คำอุปมาเรื่องบุตรน้อยที่หลงหาย “11 พระเยซูตรัสต่อไปว่า “ชายคนหนึ่งมีบุตรชายสองคน 12 บุตรชายคนเล็กพูดกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ขอยกสมบัติส่วนของข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้าเถิด’ ดังนั้น บิดาจึงแบ่งทรัพย์สมบัติของตนให้บุตรทั้งสอง 13 “ต่อมาไม่นาน บุตรชายคนเล็กนี้ก็รวบรวมสมบัติทั้งหมดของตนแล้วไปเมืองไกล และผลาญทรัพย์ของตนด้วยการใช้ชีวิตเสเพล 14 พอเขาหมดตัว ก็เกิดการกันดารอาหารอย่างหนักทั่วแถบนั้น และเขาเริ่มขัดสน 15 ดังนั้น เขาจึงไปรับจ้างชาวเมืองคนหนึ่ง และคนนั้นใช้เขาออกไปเลี้ยงหมูในทุ่งนา 16 เขาอยากจะอิ่มท้องด้วยฝักถั่วที่หมูกิน แต่ไม่มีใครให้อะไรเขากิน 17 “เมื่อเขาคิดขึ้นได้จึงกล่าวว่า ‘บิดาของเรามีลูกจ้างหลายคน พวกเขามีอาหารเหลือเฟือ แต่นี่เรากำลังจะอดตาย! 18 เราจะกลับไปหาบิดาของเราและกล่าวกับท่านว่า “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย 19 ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป ให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างคนหนึ่งของท่านเถิด’ 20 ดังนั้น เขาจึงลุกขึ้น กลับไปหาบิดาของเขา “แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาเห็นเขาก็สงสาร จึงวิ่งมาหาบุตรชายแล้วสวมกอดและจูบเขา 21 “เขากล่าวกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป’ 22 “แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่า ‘เร็วเข้า! จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมาให้เขาสวมใส่ เอาแหวนมาสวมนิ้วของเขา และเอารองเท้ามาสวมให้เขา 23 จงนำลูกวัวขุนมาฆ่า ให้เราจัดงานเลี้ยงฉลอง 24 เพราะบุตรชายคนนี้ของเราได้ตายไปแล้วและกลับเป็นขึ้นมาอีก เขาหายไปแล้วและได้พบกันอีก’ ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงเริ่มเฉลิมฉลองกัน”
อุปมานี้ ก็คือมนุษย์เป็นคนบาป ที่ต้องการจะอยู่ด้วยตนเอง ต้องการที่จะพึ่งพาตนเอง ไม่พึ่งพาพ่อแล้ว ออกจากบ้าน ก็คือออกจากสวรรค์ จะอยู่ด้วยลำแข้งของตนเอง พึ่งพาตนเอง เรียกว่าบาป ไม่ตรงกับเป้าหมายที่พระเจ้าวางไว้ ที่ให้มนุษย์เกิดมา เพื่อจะอยู่กับพระองค์ เพื่อพึ่งพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ แต่พ่อก็ไม่สามารถที่จะบังคับเคี่ยวเข็ญได้ เพราะรักไง รักแบบไม่มีบังคับ เพราะถ้ามนุษย์ตัดสินใจว่า …
“ฉันจะไป” … พระเจ้าก็ต้องให้เขาไป
บุตรน้อยหลงหาย ก็เล็งถึงมนุษย์ ก็คือเริ่มต้นจากอาดัมและเอวา ที่ต้องการจะอยู่ด้วยตนเอง พระเจ้าบอกให้อยู่ด้วย ไม่อยู่ …
“ฉันจะพึ่งพาตนเอง ฉันจะรับผิดชอบการกระทำของฉันเอง ฉันจะทำดีละชั่ว ด้วยตัวฉันเองเพื่อจะได้ทำดีให้เยอะๆ ละชั่วให้มากๆ” อะไรประมาณนั้น
ก็เปรียบเหมือนบุตรชายคนเล็กนี้ กำลังรวบรวมสมบัติทั้งหมดของตนและจากไปเมืองไกล นึกออกใช่ไหมครับ?
บอก … “พ่อ ลูกไปแล้วนะ”
และผลาญทรัพย์สมบัติของตนด้วยการใช้ชีวิตเสเพล ก็คือเป็นคนบาปไง พอออกจากบ้าน ออกจากสวรรค์ไป ก็กลายเป็นคนบาป คนบาป ก็คือพระสิริไม่มี ความดีงาม ฤทธิ์อำนาจในการทำความดี ให้ครบถ้วนบริบูรณ์ มันไม่มีแล้ว ก็เลยกลายเป็นคนบาป
ในข้อ 17 บอกว่า “เมื่อเขาคิดขึ้นได้ จึงกล่าวว่า … “บิดาของเรามีลูกจ้างมากมายหลายคน พวกเขามีอาหารเหลือเฟือ แต่เรากำลังจะอดตาย”
พูดง่ายๆ ว่าเมื่อเขาคิดขึ้นได้ ก็คือเมื่อเขาได้ยินข่าวประเสริฐของพระเจ้า และเขากลับใจใหม่ กลับไปหาพ่อดีกว่า กลับไปหาพระเจ้าดีกว่า และในใจเขาคิดอย่างไร? คิดว่าตนเองผิดอย่างร้ายแรง คือยอมรับตนเองว่าเป็นคนบาป ในนี้เขียนว่า …
“บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่าน”
นึกภาพนะ เขายอมรับว่าเขาเป็นคนบาปแล้ว เขาจึงกลับมาหาพระเจ้า แต่ในใจเขาคิดว่าเมื่อเขากลับมาหาพระเจ้า ยอมรับว่าเป็นคนบาป เขาต้องโดนลงโทษให้สมกับที่เขาได้ทำเลวทรามต่างๆ เหล่านั้น ที่เขาไม่เข้าใจพระเจ้า ที่เขาดูถูกพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้ามาตลอด เขาคิดอย่างนั้นว่าแค่พ่ออภัยให้เขา แค่เขาได้อยู่เป็นคนรับใช้ อยู่ในบ้านพ่อ ก็ดีใจแล้ว ขอให้กลับไปเถอะ จะลงโทษเขาอะไรก็ยอมทั้งสิ้น ถูกไหม? เขาคิดอย่างนี้ เตรียมพร้อมเลยว่า …
“วันที่ไปเจอพ่อ เดินทางกลับไป ฉันจะเตรียมจด list เอาไว้เลย ฉันจะสารภาพบาปตรงนี้ว่าฉันเคยโกหก ฉันเคยว่าพ่อมาก่อน ฉันเคยทำไม่ดี ฉันเคยทำบาปตรงนี้ตรงนั้นเยอะแยะ ฉันจะสัญญาต่อพ่อว่าต่อไปนี้ ฉันจะไม่ทำแล้ว และฉันจะสัญญาว่าฉันจะขออยู่แค่เล็กๆ น้อยๆ ในบ้านปลายนาเล็กๆ ของพ่อ ปลายสวรรค์ก็ได้ ฉันจะขอนอนอยู่กับพื้นในสวรรค์ก็พอแล้ว เขาคิดอย่างนี้”
แต่ปรากฏว่าพอถึงจริงๆ … “แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาเห็นเขาก็สงสาร”
พระเจ้าไม่ได้คิดอย่างนั้นเลย แม้แต่นิดเดียว ไม่ได้คิดเหมือนกับลูกชายที่เป็นคนบาป ที่คิดอยู่นั้นเลย พระองค์ทำอะไร? มองเห็นลูกตั้งแต่อยู่ไกล แปลว่าจำลูกได้ แสดงว่าคิดถึงเขาอยู่ตลอดเวลา มาก่อนหน้านี้แล้ว อยากให้เขากลับบ้าน โผล่มานิดหนึ่ง มาแล้ว ไม่ใช่ …
“เอ๊ะ! ใช่หรือเปล่านะ นั่นใช่ลูกฉันหรือเปล่า?”
มาใกล้ๆ มาถึงหน้า “เอ๊ะ! เธอใช่ลูกฉันเหรอ” ดูแผล ปาน … “ใช่ ลูกฉัน” ไม่ต้องดูแผล ปานเลย ไม่ต้องดูว่าหน้าตาเหมือนไหม? ดูไกลๆ ก็จำได้แล้ว แสดงว่าจิตใจของพระเจ้าผู้เป็นพ่อ เป็นอย่างไร?
“บิดาเห็นเขาก็สงสาร”
เห็นไหม? มีเมตตา คงทุกข์ยากลำบาก ดีใจเหลือเกินกลับมา ตรงกันข้ามกับความคิดของเขา ที่เขาเป็นคนบาป สงสารแล้วทำอย่างไร? บิดาจึงวิ่งมาหาบุตรชาย รักไหม? วิ่งมาหา แล้วสวมกอดด้วยความดีใจ และจูบเขา ไม่ได้คิดถึงว่าทำผิดอะไรมา อย่างโน้นอย่างนี้ อย่างนั้น เหมือนกับลูก กำลังคิดอยู่เลย ถูกไหม?
แล้วลูกคิดอย่างไร? พอถูกจูบ ถูกอะไรต่างๆ นั้น ลูกยังคิดอยู่ บอกว่า … “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่าน” ยังคิดอยู่เหมือนเดิม “ข้าพเจ้าไม่คู่ควร ที่จะได้เป็นลูกของท่านต่อไปอีกแล้ว” ยังพูดซ้ำอยู่ที่เดิม
แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่า … “ไปเอาไม้เรียวมา” หรือ “ไปเอาสัญญามาให้ลูกเซ็นต์ต่อไปนี้ จะไม่ทำอย่างนั้นอีก” ไม่ใช่
แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่า … “เร็วเข้า จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมาให้เขาสวมใส่ เอาแหวนมาสวมนิ้วให้เขา”
บิดาไม่ได้คิด ตำหนิ ว่ากล่าว ดุ ในอดีตที่ลูกๆ ไปทำอะไรมาเลย ไม่มองด้วยซ้ำไป แต่เอาความชอบธรรม เอาความดีงาม เอาชีวิตที่เกิดใหม่ สิ่งที่ดีๆ สวมให้เลย โดยไม่คิดเรื่องอดีตเลย พูดง่ายๆ ไม่จดจำความบาปผิดในอดีตของคนบาปเลย พระคัมภีร์ก็บันทึกอย่างนั้น พระองค์ไม่จดจำความบาปในอดีตเลย ตะวันออกห่างไกลจากตะวันตกเท่าไร? พระเจ้าทรงเอาบาปของเราออกไปจากเราฉันนั้น หมดเลย เรานั่นเองที่ไปคิด พระองค์ไม่ได้คิดเลยแม้แต่นิดเดียว
แล้วยังแถมบอกว่า … “จงนำลูกวัวขุนมาฆ่า มาเลี้ยงฉลอง”
ดีใจมาฉลองกันดีกว่า ไม่ได้คิดถึงอดีตอะไรต่างๆ ที่เรากระทำเลย ลืมไปซะ
“เพราะบุตรชายคนนี้ของเรา เหมือนกับตายไปแล้วล่ะ หลุดจากสวรรค์แล้ว และตอนนี้กลับมาใหม่แล้ว เขาหายแล้ว หายจากความบาป กลับคืนดีสู่สวรรค์แล้ว”
ใครไปรักษาเขา ก็คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมา และเป็นผู้ที่เล่าอุปมานี้ขึ้นมาให้กับชาวยิว และเล็งไปถึงมนุษย์ทั้งปวงได้รู้ว่าความรักของผู้เป็นพ่อ ที่เรียกว่าพ่อในสวรรค์ พระเจ้าเป็นเช่นไร? และในลูกา 15:10 ที่เราไม่ได้อ่านก็ยังบอกไว้ว่า …
ลูกา 15:10 “เราบอกท่านว่าในทำนองเดียวกัน จะมีความชื่นชมยินดีท่ามกลางเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าในคนบาปคนเดียว ซึ่งกลับใจใหม่”
ซ้ำลงไปอีกว่าความรักยิ่งใหญ่ขนาดไหน? คนเดียวก็ทำให้แล้ว ที่ดีใจตะกี้นี้ ไม่ใช่ดีใจว่ามนุษย์ทั้งปวงมาหาพระองค์ กลับบ้านแล้ว ดีใจจังเลย นี่กำลังพูดถึงคนๆ เดียว เพราะฉะนั้น ใครก็ตามที่กลับใจใหม่ มาเชื่อพระเยซู พระผู้ช่วยให้รอด กลับมาหาพระบิดา พ่อของเขา ที่อยู่ในสวรรค์ ทูตสวรรค์ฆ่าวัวฝ่ายวิญญาณ ในสวรรค์มีการจัดเลี้ยงมโหฬาร ดีใจมากเลย ที่คนๆ เดียวกลับมาเชื่อพระเยซูคริสต์
พระเจ้า พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ เป็นพ่อที่เตรียมแผนการที่ดีๆ และดีที่สุด ให้กับมวลมนุษย์เสมอ ซึ่งมนุษย์เหล่านั้น พระองค์ทรงรับเขาเข้ามา เป็นลูกของพระองค์ ผ่านทางพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด เพราะเหตุเดียว ก็คือเพราะรักมนุษย์ยิ่งนัก
พระเยซูเปรียบเทียบกับมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นคนบาปว่ายังรู้จักรักและให้สิ่งที่ดีที่สุดกับลูกของตนเอง พระองค์อธิบายต่อว่าอาจจะไม่เข้าใจใช่ไหม? ลองนึกถึงตัวเองสิ ตัวเองเป็นคนบาป ยังรู้จักรักลูกของตนเอง แล้วพระเจ้าพระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ จะรักเราและเตรียมสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเรามากกว่านั้นอีกสักเท่าใด?
โดยยกตัวอย่างว่าถ้าท่านผู้เป็นคนบาป ถ้าลูกเราขอปลา เราผู้เป็นพ่อจะให้งูหรือ? หรือถ้าลูกขอขนมปัง เราจะให้ก้อนหินหรือ? ทุกคนก็ตอบง่าย ต่อให้เป็นพ่อที่เป็นมนุษย์ ที่ไม่ดีอย่างไง หรือพ่อแม่มนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์แบบ เป็นบาปอย่างไร ก็ไม่ทำอย่างนี้หรอก ยกเว้นจะไม่สบายทางจิต
พ่อที่เป็นมนุษย์นั้น ทั้งๆ ที่รัก แต่ก็ไม่สามารถสำแดงความรักอย่างที่ตั้งใจอยากจะทำได้ เพราะว่าเป็นคนบาป อ่อนแอ จริงๆ เขาก็อยากจะทำความรักเหล่านั้น แต่มันทำไม่ได้ เพราะตัวเองก็เป็นคนบาป เพราะว่าทั้งโลกตกอยู่ใต้คำสาปแช่งของความบาป จึงไม่สามารถแสดงธรรมชาติของความรัก การเป็นพ่อได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ การเป็นแม่ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ พระเยซูจึงตรัสอธิบายให้ฟังอย่างนี้ เคยได้ยินใช่ไหม? มนุษย์ไม่สามารถเรียกมนุษย์กันเองได้ว่าเป็นพ่อ (ที่แท้จริง) ท่านไม่สามารถเรียกใครว่าเป็นพ่อได้เลย พระเยซูบอกอย่างนั้นนะ เพราะพ่อที่แท้จริง ที่สามารถสำแดงความรักชนิดของพ่อผู้ให้กำเนิด อย่างครบถ้วนสมบูรณ์แบบได้นั้น มีเพียงพระเจ้า พระบิดาผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้เดียวเท่านั้น ที่เป็นพ่อของแท้ สำแดงความรักอย่างแท้จริง ให้กับบรรดาทุกสิ่งที่พระองค์ทรงให้กำเนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ ตามธรรมชาติของการเป็นบิดา การเป็นพ่อผู้ให้กำเนิดนั่นเอง พระเจ้าเท่านั้น จึงเป็นผู้เดียวที่สมควรได้รับคำว่า “พ่อ” หรือ “พระบิดา” ผู้ให้กำเนิด นี่คือพระเจ้าบอก
ท่านอย่าเรียกใครว่า “พ่อ” เพราะไม่มีใครทำได้หรอก นอกจากพระเจ้าเท่านั้น นี่หมายถึงธรรมชาติ ไม่ใช่ พระองค์กำลังมาบอกว่าให้เราไม่ให้เกียรติพ่อ ไม่เลย กลับกัน พระเจ้า ให้เราให้เกียรติพ่อแม่ บิดามารดา ให้เรารักบิดามารดา เชื่อฟังบิดามารดาชัดเจน แต่บิดามารดาที่เป็นมนุษย์นั้น ไม่สามารถทำตรงนี้ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ กำลังพูดยกตัวอย่างให้มนุษย์ได้เห็นว่าพระเจ้าเท่านั้น ที่มีความรักชนิดที่เป็นผู้ให้กำเนิด มีความรักต่อมนุษย์ผู้ที่ให้กำเนิด ก็คือลูกๆ ของพระองค์
พระเยซูอธิบายต่อว่าในขณะเดียวกันนั้นกับที่พระองค์เป็นพระเจ้า ผู้เป็นพ่อของเรา ผู้รักเราอย่างมากมายนั้น พระองค์ก็ทรงเป็นผู้พิพากษาที่ยุติธรรมของมหาจักรวาลด้วย ตรงไปตรงมา รักษารายละเอียดของทุกสิ่ง ดูแล ครอบครองด้วยความชอบธรรมในทุกสิ่ง ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ทุกสิ่งนะ ไม่ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ในโลกวิญญาณ หรือโลกวัตถุก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ หรือเป็นสัตว์ เป็นต้นไม้ เป็นวัตถุสิ่งของต่างๆ ทั้งหมด ที่พระองค์ทรงสร้าง ล้วนอยู่ในกฎ อยู่ในระเบียบ อยู่ในการควบคุมดูแลของพระองค์ ซึ่งเป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล
ดังนั้น พระเจ้าผู้พิพากษา ต้องทำอะไร? พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาที่ยุติธรรม ต้องตัดสินทุกสิ่ง ให้เป็นไปตามกฎหมาย เป็นไปตามระเบียบที่พระองค์ทรงเป็นผู้กำหนดขึ้นมานั้น ไม่ลำเอียง แม้จะรักเราดังแก้วตาดวงใจ เป็นลูกก็ตาม แต่ไม่ลำเอียง ลำเอียงไม่ได้ เพราะพระองค์ดูแลทุกสิ่ง ถ้าพระองค์ลำเอียงและเกิดวันหนึ่ง
ดวงอาทิตย์บอกว่า … “พระองค์ยังลำเอียงได้ วันนี้ฉันขี้เกียจ ฉันไม่ขึ้นทางทิศตะวันออก ฉันจะไปโผล่ทางทิศตะวันตกได้ไหม?”
ถ้าเผื่อโผล่มาทางทิศตะวันตก มันจะกระทบไปถึงโน้น ดวงดาว ดวงจันทร์ น้ำขึ้นน้ำลง แกนโลกหมุน อยู่บนโลกไม่ได้ มันวุ่นวายไปหมดเลย มันไม่ได้ พระเจ้าจะควบคุมทุกอย่าง ต้องเป๊ะหมด ดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเองนานเท่าไร? ต้องเป๊ะ ดวงจันทร์ขึ้นเมื่อไรต้องเป๊ะ แกนโลกต้องเอียงเท่าไร ต้องเป๊ะ เพราะฉะนั้น ใครที่ทำผิดกฎ ก็ต้องโดนเป๊ะเหมือนกัน เป๊ะไปตามผิด
ยกตัวอย่างดวงอาทิตย์ก็ทำงานของดวงอาทิตย์ ในพระคัมภีร์บอกว่าดวงอาทิตย์ส่องมา ให้กับคนอธรรม คนบาป และคนชอบธรรม เหมือนกันไหม? เหมือน เห็นไหมครับ? ไม่ใช่ว่าเป็นคนดีแล้วก็จะไม่ถูกเผา คนชั่วถูกแดด จะถูกเผา ไม่ใช่ ก็เผาทั้งหมด เพราะว่าเป็นไปตามกฎเหล่านั้น ถ้าเราไม่ระวัง แรงดึงดูดของโลกก็เหมือนกัน ลงไปในน้ำ ก็จม ถ้าเราไม่ระวัง ถ้าเราคิดว่าเราแน่ แข็งแรงจริง ไม่ระวัง ก็ถูกดูด จมน้ำตาย ถึงเป็นคนดีอย่างไร ก็จมน้ำตาย เพราะเราต้องเคารพกฎที่พระเจ้าวางไว้ มีแรงดึงดูดของโลกจริงๆ
ยกตัวอย่าง เหมือนกับเรื่องอุสซาร์ที่อุตส่าห์หวังดี แล้วเราไม่เข้าใจ ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหม? เพราะกฎต้องเป็นกฎ กฎที่พระเจ้าวางไว้ คือคนบาปไม่สามารถแตะต้องสิ่งที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นของพระเจ้าได้เลย แม้แต่สิ่งของเล็กนิดเดียว หรือการทรงสถิตของพระองค์ยิ่งสำคัญมากกว่านั้นอีก ทำผิดนิดเดียว ต้องได้รับโทษ ตามกฎระเบียบที่ได้วางไว้ ในหนังสือสดุดี 36:5-7 ประกาศดังนี้ไว้ว่า …
สดุดี 36:5-7 “5 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ความรักมั่นคงของพระองค์ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าสวรรค์ ความซื่อสัตย์ของพระองค์สูงถึงท้องฟ้า 6 ความชอบธรรมของพระองค์ดั่งขุนเขา ความยุติธรรมของพระองค์ประดุจห้วงลึก ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระองค์ทรงปกป้องดูแลทั้งมนุษย์และสัตว์ 7 ความรักมั่นคงของพระองค์ประเมินค่าไม่ได้! มวลมนุษยชาติต่างก็ลี้ภัยอยู่ใต้ร่มปีกพระองค์”
ความรักของพระองค์ยิ่งใหญ่เทียมฟ้าสวรรค์ เห็นไหม? ประกาศอันดับแรกเลย ความรักของพระองค์ยิ่งใหญ่จริงๆ ความสัตย์ซื่อของพระองค์สูงเทียมฟ้า ก็คือพระองค์ตรงไปตรงมา ใช่ก็บอกใช่ ไม่ใช่ก็บอกไม่ใช่ ผิดก็บอกว่าผิด ถูกก็บอกว่าถูก ทุกอย่างอยู่ในระเบียบทั้งสิ้น ความชอบธรรมของพระองค์ดั่งขุนเขา ความดีงามของพระองค์ไม่ลำเอียงเลย ตัดสินทุกอย่าง เป็นไปตามเนื้อผ้า ดุจดั่งขุนเขา คือมหึมา ความยุติธรรมของพระองค์ดุจห้วงลึก ไม่สามารถที่จะมาเถียงพระองค์ว่า …
“ไม่ยุติธรรมเลยๆ ทำไมต้องไปฆ่าเขาด้วย ทำไมเขาต้องตาย”
เราไม่เข้าใจเอง ดาวิดไม่เข้าใจเอง พระเจ้าบอก … “ดาวิด เจ้าไม่รู้เอง เราไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เรารักเจ้าจะตาย เราห่วงใยเจ้า”
“ทำไมต้องส่งเราไปโรงเรียนด้วย เราอยู่บ้านเล่นสนุกๆ อยู่แล้ว ทำไมส่งเราไปเรียน ดูสิ ตอนเช้าอยู่ดีๆ มาส่งเรา เราเพิ่งจะ 4 ขวบเอง แล้วทิ้งเราเลย ปล่อยให้เราร้องไห้ เรารู้นะ แอบดูเราอยู่ เรานึกว่าเราร้องไห้ จะมารับเรากลับ เปล่าเลย หายไปเลย เราต้องอยู่ตรงนั้นถึงบ่าย 2 โมง ถึงจะกลับมารับเรา เราร้องไห้ทุกวัน ก็ไม่ยอมที่จะให้เราอยู่บ้าน”
เด็กเข้าใจไหม? เหมือนกัน
พระองค์เป็นพระเจ้า ทรงปกป้องดูแล ทั้งหมนุษย์และสัตว์ เห็นไหม? ทั้งสิ่งที่มองเห็นและสิ่งที่มองไม่เห็น ทุกอย่าง พระองค์ทรงดูแลทั้งหมด ด้วยความรักที่ยุติธรรม ที่เป็นผู้พิพากษาด้วย อย่าลืมว่า …
“พระเจ้าเป็นพ่อของเรา อยู่ในสวรรค์และเป็นผู้พิพากษาอยู่ในสวรรค์ด้วย”
“มวลมนุษยชาติต่างก็ลี้ภัยอยู่ใต้ร่มปีกของพระองค์” ร่มปีกของพระองค์ที่เต็มไปด้วยระเบียบ และความดีงาม ที่พระองค์ทรงดูแลอยู่ และพระองค์ต้องการให้มนุษย์ได้ดี ก็เลยพยายามอธิบาย พยายามนำพา ให้เราเข้าไปอยู่ในระเบียบเหล่านั้น จะช่วยให้เรารอดพ้นจากความบาป ก็ทำตามกฎระเบียบที่พระองค์ทรงวางไว้ ไม่ใช่อยู่ดีๆ
“นั่นลูกของฉัน ฉันไม่สนใจใครแล้ว ฉันจะช่วยลูกของฉันออกมาจากนรก ช่วยลูกฉันออกมาจากความบาป วันนี้เลย”
ทำได้ไหม? ไม่ได้ ต้องวางแผน วางระเบียบต่างๆ ให้ทำตามขั้นตอนที่พระองค์เป็นพระเจ้า ผู้ยุติธรรม
นี่คือสาเหตุที่ต้องดูแลเราอย่างเฉียบขาด เหมือนบังคับเรา ก็เพราะเรามนุษย์เป็นคนบาปอยู่ ในช่วงพระคัมภีร์เดิม ก่อนที่พระเยซูจะมา มนุษย์เป็นคนบาป … คนบาป คือเหมือนกับคนป่วยทางจิตใจอย่างรุนแรง ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ เป็นโรคจิต พระเจ้าจึงจำเป็นต้องปฏิบัติต่อเราอย่างนั้น เพราะเราไม่รู้เรื่อง เหมือนเด็ก ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เหมือนคนเป็นโรคจิตที่ไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย ต้องบังคับเราอยู่ในกรอบ เหมือนกับส่งเราไปอยู่ในสถานบำบัด รู้จักใช่ไหมสถานบำบัด บำบัดคนที่เป็นโรคจิต อาจจะเกิดมาจากการสูญเสียสติอย่างรุนแรง จากการกระทบกระทั่ง การเสียใจ อย่างรุนแรง การถูกข่มเหงอย่างรุนแรง หรือจากยาเสพติดก็ตาม มันเสียสติไปแล้ว ต้องเข้าไปบำบัดให้หาย คือมันป่วย พูดง่ายๆ ก็เพื่อที่จะรักษาลูกๆ ของพระองค์ ก็เหมือนส่งลูกไปสถานบำบัด และอธิบายให้ลูกเข้าใจได้ไหม? ไม่ได้ เพราะป่วยอยู่ จะเข้าใจได้อย่างไร? ไปอยู่ในสถานบำบัด เพื่อรักษาลูกของพระองค์ ที่ทรงรักดังแก้วตาดวงใจให้หาย ก็คือหายจากอาการบาป หายจากสติฟั่นเฟือนเหล่านั้น ด้วยความรัก ความห่วงใย และพระองค์ก็รอวันเวลาที่ลูกๆ ทั้งหลายเหล่านั้น ที่ป่วยอยู่นั้น จะหายจากโรค จะพ้นจากบาป หายป่วย สามารถกลับมาควบคุมตนเองได้ กลับมาเป็นปกติ เป็นลูกที่น่ารัก น่ากอด และเป็นลูกที่สามารถที่จะเชื่อฟังพระองค์ เข้าใจพระองค์ได้เหมือนเดิม
ผมมีตัวอย่างให้ นี่เป็นคำพยาน ที่เกิดขึ้นในคริสตจักรเรา เป็นพยานที่ดีเลย นึกถึงเรื่องนี้เลย พี่น้องของเราคนหนึ่งมาเชื่อพระเจ้า ก่อนเชื่อ มีปัญหา ถูกเอาเปรียบทางด้านการงาน และธุรกิจ อย่างรุนแรง คือถูกกระทบกระทั่งทางความคิดจิตใจ อย่างรุนแรง เสียใจอย่างรุนแรง ตกใจ ทำไมทำอย่างนี้กับเรา เสียสติไป และแม่ที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ที่เป็นสมาชิกของเรา ก็ให้เรามาช่วยอธิษฐาน แล้วก็ช่วยไปดูแลให้ ตอนที่เขายังไม่เชื่อ และป่วยอยู่ แม่คอยดูแลเขาตลอดเวลาเลย แต่เนื่องจากจิตเขาเพี้ยนไป ก็คือดูอะไรเป็นเรื่องร้ายไปหมด อย่างเช่น เป็นภาพหลอนว่าแม่เป็นศัตรู หรือว่าจะมีคนไปทำร้ายแม่ มันมั่วไปหมด
แม่ก็เลยทำอย่างนี้แหละ ถึงขนาดแม่ต้องไปตามตำรวจ ตอนแรกๆ ตามพวกศิษยาภิบาลก่อน ศิษยาภิบาลเอาไม่อยู่ เพราะว่าเราก็เหมือนพ่อแม่ทางฝ่ายวิญญาณ ไปอธิษฐาน ไปด้วยความรัก แต่คนป่วย เขาไม่เข้าใจแล้วตอนนั้น เขาป่วยหนักแล้ว เขาไม่รู้เรื่อง เขาไม่ฟังอะไรเราทั้งสิ้น เราจะอธิษฐานอะไร ก็เป็นเรื่องโลกวิญญาณ แต่ตัวเขาเอง เขาก็ยังคงปฏิบัติ เป็นคนที่เสียสติอยู่เหมือนเดิม เพราะฉะนั้น เราก็เอาไม่อยู่ เราจะอธิบายให้เขาฟังได้อย่างไรว่าแม่รักเขานะ พ่อรักเขานะ เขาน่าจะเข้าใจความรักของแม่ อย่าปฏิบัติตัวอย่างนั้นเลย เขาทำไม่ได้ เพราะว่าจิตเขาป่วยอยู่ จนกระทั่ง ศิษยาภิบาลเอาไม่อยู่ ก็เลยให้คำแนะนำไปว่า …
“อย่างนี้พี่ต้องให้ถึงมือของเจ้าหน้าที่ คือเจ้าหน้าที่สถานที่บำบัดคนที่เป็นโรคจิต เป็นโรคเพี้ยนนั้น แล้วถ้าเผื่อเขาไม่ยอมทำตาม ถ้าเขายังทำเรื่องวุ่นวายอย่างนี้ พี่ต้องแจ้งตำรวจ ให้ตำรวจมาจับ จับเพื่อจะนำเขาส่งโรงพยาบาล”
เข้าใจไหม? เมื่อวานนี้ผมก็โทรไปถามคนป่วยนี้ บอกตอนนั้นที่ทำ เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจหรอก เข้าใจจะไปทำได้อย่างไร? ไม่รู้เรื่อง แล้วถามว่าเขามีความรู้สึกอย่างไร? เขาก็เหมือนกษัตริย์ดาวิดพูด ทำไม …
“ทำไมมาส่งเขาที่โรงพยาบาลอย่างนี้”
จะไม่ส่งได้อย่างไร? เขาไปนั่งอยู่กลางถนน แล้วเอะอะโวยวาย ชาวบ้านตกใจกลัว จะฆ่าคนโน้นคนนี้ ไม่รู้จะทำอย่างไร? จะคุยก็ไม่รู้เรื่อง ก็ต้องใช้กำลังบังคับ ตามองเห็นเรียกว่ารักไหม? พ่อแม่ตนเอง เรียกตำรวจมาจับลูกตนเอง ไปขัง เหมือนขังคุก ไม่ใช่คุกที่โรงพัก แต่เป็นคุกที่โรงพยาบาล ทำไมไม่คุยกับเขาดีๆ ทำไมไม่รักเขา กอดเขา เดี๋ยวเขาก็ดี คนธรรมดาทั่วไป เขาจะคิดอย่างนี้ใช่ไหม?
นี่แหละ ตัวอย่าง พอเขาไปอยู่สถานบำบัดปุ๊บ ก็อย่างที่บอก รู้สึกดีขึ้นนิดหนึ่ง อยากจะกลับ พ่อแม่ก็ปรึกษากับหมอ ปรึกษากับศิษยาภิบาล ถ้าหมอบอกยังไม่สามารถกลับได้ ก็ควรจะเชื่อหมอนะ เพราะเดี๋ยวจะรักษาครึ่งๆ กลางๆ
แม่เขาก็บอกว่า … “แต่สงสารเขาจริงๆ เลย ไปเยี่ยมเขา เขาจำเราได้แล้ว เขาอยากจะกลับบ้าน เขามองตาเราละห้อยเลย เวลาจะจากกัน ทารุณมาก ทำอย่างไรดี”
ก็บอก … “พี่ก็ต้องอดทน เราพาเขามารักษาแล้ว ก็ต้องเชื่อในขบวนการรักษา”
เห็นไหม? เห็นความรักของพ่อแม่มากเท่าไร? ก็เห็นความรักของพระเจ้า เหมือนกันไหม? เหมือนกันไม่มีผิดเลย มองด้วยสายตาภายนอก ลูกไม่เข้าใจเลย ลูกหายแล้วๆ ลูกจะกลับบ้าน แต่แม่ต้องเดินหันหลังกลับ และไม่มอง แต่ในความหวัง ก็คือลูกต้องหาย แล้ววันนั้นถึงจะรับกลับ ให้หายดีเสียก่อนลูกเอ๋ย แต่ลูกไม่เข้าใจ
สรุปเรื่องสั้นลง ก็อดทนถึง 3, 4 เดือน แล้วมีอยู่ครั้งหนึ่ง ยิ่งชัดใหญ่เลย …
“แม่ไปเห็น แม่ทนไม่ไหว”
คือขบวนการรักษาทางด้านจิต เขามีการช๊อตด้วยไฟฟ้า คือปรับสมดุลของสารเคมีในสมอง โดยการใช้ไฟฟ้าช๊อต แล้วแม่ก็ไปเห็น การเห็นเหล่านั้น ก็คือเห็นลูกเราถูกผ่าตัด กำลังฉีดวัคซีน ร้องจ๊าก แต่นี่หนักกว่านั้นอีก ต้องมัดมือ มัดอะไรต่างๆ ทนไม่ไหว อยากจะพาลูกกลับ ไม่อยากให้ทำเลย แต่อย่างที่บอก ปรึกษากันเรียบร้อย ในที่สุดก็ต้องทน มันเป็นขบวนการรักษา เป็นความรักที่เราต้องการให้ลูกเราหาย ก็ต้องยอมให้เป็นไปตามนั้น ขอบคุณพระเจ้า ในที่สุด ไม่กี่เดือนก็หายจริงๆ กลับมาอยู่บ้านแล้วก็ค่อยๆ ดีขึ้น
พอค่อยๆ ดีขึ้น แม่ก็พามาโบสถ์ ในขณะที่แม่พามาโบสถ์ เพื่อนๆ หลายคนก็กลับมาเยี่ยมก็จะพาไปที่โน่นที่นี่ ที่ความเชื่ออื่นๆ เยอะแยะไปหมด ก็ไปตามเพื่อน เพื่อนเขาหวังดี ก็พาไปโน่นไปนี่ ไปที่เขาว่าดี ช่วยรักษาให้หาย เพราะว่าเขาหายดีขึ้นแล้ว แต่เขาต้องกินยาอยู่ แต่การกินยา เมื่อมันยังไม่หายดี มันรบกวนมาก สมองมันแบบปวด เวียนหัวทั้งวันทั้งคืน ก็พาไปโน่นไปนี่ ไม่หายสักที แม่ก็พามาโบสถ์ ก็ไม่อยากมา เป็นที่สุดท้ายแล้วที่จะมา ในที่สุด ก็มาโบสถ์ พออธิษฐานให้ก็ค่อยๆ ดีขึ้น เขาเล่าให้ฟังว่าดีเป็นอาทิตย์เลย วันอาทิตย์มาทีหนึ่ง เริ่มต้นรับเชื่อ กลับไป รู้สึกดีขึ้น สมมตินะ ดีขึ้น 10% มันดีขึ้น อาทิตย์ต่อไปมา ดีขึ้นเป็น 20 อาทิตย์ต่อไป ดีขึ้นเป็น 30 มันค่อยๆ ดีขึ้น จนกระทั่งดีขึ้น 50% ก็ตัดสินใจ บอกว่า …
“แม่ … รับเชื่อแล้ว รู้สึกดีขึ้นจริงๆ นะ มาโบสถ์ทีไร รู้สึกดีขึ้น ไม่รู้เป็นอะไร”
พอรับเชื่อเสร็จ หลังจากรับบัพติศมาในน้ำเสร็จ เขาบอกว่าคราวนี้ หายเกือบ 100% เลย หายเลย ดีหมดเลย ทุกอย่าง มีความสุข ดีมากเลย แล้วก็รู้แล้วว่าความรักของแม่ดีกับเขาอย่างไร? และรู้ว่าพระเจ้ามีอยู่จริงๆ เช่นไร? รักเขาขนาดไหน? เดี๋ยวนี้ เขาก็นั่งอยู่แถวๆ นี้แหละ แต่หายแล้ว ไม่ต้องตกใจ หายนานแล้ว หลายปีแล้ว
พระเจ้าก็เป็นอย่างนั้นแหละ เราไม่เข้าใจ พ่อและแม่ก็อย่างนั้นแหละ เราไม่เข้าใจพ่อและแม่เรา พระเยซูก็เลยประกาศเรื่องนี้แหละ พระองค์ ก็คือพระเจ้านั่นแหละ พระองค์มาพูดว่าพระลักษณะของพระองค์เป็นอย่างไร? พระองค์ก็ประกาศต่อ ให้กับชาวยิว และเล็งไปถึงมนุษย์ทุกคนว่าตอนที่พระองค์ทรงมาเกิดนะ เดินอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ก็ทรงประกาศต่อว่าวันนั้น ที่พระเจ้ารอคอย วันที่มนุษย์จะได้รับการรักษาให้หายจากบาป กลับคืนสู่พระเจ้านั้น มาถึงแล้ว ก็คือวันที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ประกาศว่าวันนั้นมาถึงแล้ว ด้วยความตื่นเต้นชื่นชมยินดีของพ่อที่เฝ้ารอคอยวันนั้นมาตั้งนาน เฝ้ามองว่าเมื่อไรลูกจะกลับบ้านสักที คือการที่พระองค์ถึงเวลากำหนด ได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเมซิยาห์ คือองค์พระเยซูคริสต์เอง ผู้พูดเอง มาเยียวยารักษาให้ท่านทั้งหลาย ชาวยิวและมนุษย์ทั้งปวง ได้รับการรักษาให้หายจากโรคบาป ผิดปกตินี้ กลับเป็นลูกของพระเจ้าที่เป็นพระเจ้า พระบิดาของเขา ที่อยู่ในสวรรค์ ที่เต็มไปด้วยความรัก อันสุดที่จะหาอะไรเปรียบได้ ที่รักมนุษย์ยิ่งนัก โดยพระบิดาสำแดงความรักให้เห็นแล้ว โดยการทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ที่ทรงรักมากมาย มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน อย่างทุกข์ทรมาน ให้กับเราทั้งหลาย เพื่อมนุษย์ทั้งหลายจะได้รับการรักษาเยียวยา นำพามนุษย์ทั้งหลายกลับมาคืนดีกับพระเจ้า พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ กลับคืนสู่สถานะ ลูกของพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระองค์ กลับมาอยู่ในบ้าน ในสวรรค์ของพระองค์ คือในสวรรค์ที่พระองค์ทรงสถิตอยู่ และต้องการให้ลูกๆ มาอยู่ด้วยกัน มาเป็นลูกของพระองค์ที่อยู่ในสวรรค์และรักพระองค์ ผู้เป็นพระบิดา ผู้อยู่ในสวรรค์ เหมือนกับที่พระองค์ทรงรักเขา ที่เป็นลูกของพระองค์ ที่อยู่ในสวรรค์ ท่านเข้าใจใช่ไหมครับ?
ถ้าเขาไม่หายจากโรคนั้น เขาจะไม่สามารถรักพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ หรือรู้จักพระองค์ได้เลย แต่นี่พระองค์ทรงประทานพระเยซูคริสต์รักษาเขาให้หาย เพื่อเขาจะได้กลับสู่สติ และกลับคืนสู่ความรักดั้งเดิม เขาจะได้สามารถรักและรู้จัก พระเจ้าในสวรรค์ที่รักเขามากเช่นกัน ซึ่งความรักแบบพระเจ้า แบบพ่ออย่างนี้ ก็อยู่ในมนุษย์ทุกคนเช่นเดียวกัน เพียงแต่มนุษย์ตกลงไปในความบาป ถูกทำให้เสียหาย จึงไม่สามารถที่จะสำแดงความรักอย่างนี้กับลูกๆ ของตนได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ จงเข้าใจอย่างนี้เถิด เพราะฉะนั้น จากนี้ต่อไป ฟังบรรยายนี้แล้ว ท่านจะสามารถรักพ่อและแม่ เข้าใจพ่อและแม่ได้มากขึ้น ไม่ว่าพ่อแม่ท่านทำอะไร ท่านจะเข้าใจหรือไม่เจ้าใจ ก็ตาม ท่านรับรู้สิ่งนี้ไว้ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าพ่อแม่รักลูกของตนมากมายเท่าไร? แต่ก็ไม่สามารถที่จะสำแดงความรักนั้น ให้เป็นไปตามความต้องการของพ่อและแม่ที่เป็นมนุษย์ได้ ใช่ไหม? ถูกไหม? เราเห็นอยู่กับตา เราเอง ก็เป็นอย่างนั้นแหละ และหลายๆ ครั้ง ลูกๆ เอง ก็ไม่สามารถเข้าใจความรักของพ่อและแม่ที่มีต่อเขาได้เช่นกัน ถูกหรือไม่ถูก? ถูก ก็เพราะการแสดงความรักต่อพ่อแม่นั้น ไม่สมบูรณ์นั่นเอง เพราะเราไม่สมบูรณ์ แม้เราจะได้รับการรักษาให้หาย จากบาปแล้ว แต่เราก็ยังอยู่ในเนื้อหนังร่างกายเดิม เราไม่สมบูรณ์แบบ
สำหรับลูกๆ เองนั้น ก็ไม่สามารถมีความรักต่อพ่อแม่ได้สมบูรณ์ ไม่พร้อมในการที่จะเชื่อฟังและเข้าใจถึงความรักของพ่อแม่ได้สมบูรณ์แบบ เหมือนที่พระเจ้ากระทำให้กับเราเช่นเดียวกัน คือทั้งพ่อแม่และลูกที่เป็นมนุษย์ ก็เหมือนกัน ต่างคนต่างอ่อนแอทั้งคู่ เป็นคนบาป แล้วยังอยู่ในร่างกายเดิมอยู่ ถ้ายังไม่เชื่อพระเจ้าก็เป็นคนบาป อย่างครบถ้วนบริบูรณ์เลย เพราะฉะนั้น ไม่สามารถที่จะเข้าใจความรัก หรือสัมผัสความรักแท้ๆ ซึ่งกันและกัน หรือสำแดงความรักแบบพระเจ้าซึ่งกันและกันได้ ไม่มีทางเลย จึงทำให้เกิดความแตกแยก ความไม่เข้าใจกันระหว่างพ่อแม่และลูกๆ บนโลกใบนี้อย่างแน่นอน เข้าใจมาก เข้าใจน้อย ซึ่งความตั้งใจ คือตั้งใจจะมีความสัมพันธ์ด้วยความรัก เป็นสายเลือด เกิดจากกันและกันในครอบครัว มันเป็นธรรมชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ รักษาความสัมพันธ์นี้ให้กลับคืนดีกันและกันเหมือนเดิม
เหมือนพระเจ้ากับมนุษย์คืนดีกันในความสัมพันธ์ เพียงทางเดียว ก็คือโดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดจากบาป ด้วยการวางใจในพระเมซิยาห์ พระบุตรของพระเจ้า พระเยซูคริสต์เท่านั้น ที่มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเรา เพื่อรักษาเราให้หายบาป หายจากการเป็นคนดื้อ เป็นคนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า กลับมาเป็นคนเชื่อฟังพระเจ้า เชื่อฟังความดีงาม เมื่อเชื่อฟังพระเจ้า พ่อในสวรรค์ได้ ก็จะเชื่อฟังพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์ได้เช่นเดียวกัน ถูกหรือไม่ถูก? มันเป็นต้นตอ ต้นกำเนิด เป็นพลัง เป็นความจริง ถ้าเรายังไม่สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ เราก็จะไม่เข้าใจความรักของพ่อและแม่ของเราเท่าที่ควร
เพราะฉะนั้น หนทางเดียวที่จะทำให้ครอบครัวของมนุษย์บนโลกใบนี้ กลับคืนสมบูรณ์ได้ในความรักกันและกัน ในความสัมพันธ์ ความเข้าใจกันในระหว่างพ่อแม่ลูก กลับคืนดีกัน เป็นครอบครัว แบบเดียวกับครอบครัวในสวรรค์ ที่พระเจ้ากลับคืนดีกับมนุษย์ ลูกๆ ของพระองค์นั้น มีทางเดียว คือผ่านทางการวางใจ เชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น แล้วหัวใจจะได้เปลี่ยนไปไง เราจะได้เข้าใจถึงความรักแบบพระเจ้า
ความรักแบบพระเจ้า มันสร้างไม่ได้ มันต้องเกิดมาเป็น เราเกิดเองก็ไม่ได้ ต้องผ่านพระเยซู ผ่านความเชื่อในพระเยซู จะได้บังเกิดใหม่ เพื่อพระเจ้าจะให้ใจใหม่กับเรา ใจใหม่ที่ให้กับเรานั้น เต็มไปด้วยความรัก ชนิดที่เป็นแบบพระเจ้า เหมือนพระเยซูเลย แล้วเราจึงมีความรักชนิดนี้อยู่ในใจของเรา สามารถที่จะสัมผัสความรักของพระเจ้า ที่เป็นชนิดเดียวกันได้ และสามารถถ่ายเท หรือถ่ายทอด สำแดงความรักนี้แก่บรรดาผู้คนรอบข้างได้ โดยเฉพาะที่กำลังพูดถึงนี้ ก็คือแสดงความรักนี้ ต่อพ่อและแม่ของเรา หรือสำแดงความรักนี้ต่อลูกของเรานั่นเอง
สรุปวันนี้ ก็คือจงเชื่อและวางใจพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ แม้จะไม่เข้าใจทุกสิ่งว่าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์นั้น เป็นพ่อที่ดี และดีตลอดเวลา ไม่ว่าสถานการณ์ที่เราเผชิญจะดีหรือร้ายก็ตาม พ่อมีความสามารถที่จะทำให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรานั้น ไม่ว่ามันจะดีหรือร้าย ในสายตาของเรา ให้มันเกิดผลอันดีกับชีวิตของเรา ซึ่งเป็นลูกของพระองค์ ซึ่งพระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจได้ พระองค์มีกำลังที่จะทำได้อย่างแน่นอน เหมือนเปาโลที่บอกว่า …
“ข้าพเจ้ารู้จักพระเจ้าที่ข้าพเจ้าเชื่อ และเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงฤทธิ์เดชอำนาจ สามารถที่จะรักษาสิ่งสารพัด ที่ข้าพเจ้ามอบไว้ ฝากไว้ที่พระองค์ได้ จนกว่าจะถึงวันนั้น” เอเมน
สิ่งที่พระเจ้าพระบิดาของเรา ทำไม่ได้มีอันเดียวเท่านั้นเอง ท่านก็ทราบแล้ว พระองค์ทรงกระทำได้ทุกสิ่ง พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่ ครอบครองและควบคุมเหนือทุกสิ่ง ไม่มีอะไรที่จะขวางพระองค์ได้เลย สิ่งเดียวที่พระองค์ทำไม่ได้ คือพระองค์ทรงรักเรามากกว่านี้ไม่ได้แล้ว เราจะขอให้พระองค์ทรงรักมากกว่านี้ ก็ไม่ได้เลย ในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงรักเรามากที่สุด แล้วก็ทำให้เราสมบูรณ์ที่สุดแล้ว ไม่ต้องขอ เพียงแต่รับรู้ๆ ว่ามันใช่ มันเป็นอย่างนี้แหละ มันรับรู้ยาก เพราะอะไร? นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ
เราจึงจำเป็นต้องมาเรียนรู้กันทุกๆ สัปดาห์ เราจึงต้องอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าทุกๆ สัปดาห์ สำหรับความรักของพระองค์ และทุกๆ วันของเรา สำหรับพระองค์ เพราะอะไรทำไมเราต้องมาย้ำยืนยันตรงนี้อยู่เรื่อยๆ ว่าพระองค์ทรงรักเราๆ เพราะแม้ว่าเราจะได้รับการรักษาให้หายจากบาปแล้ว เป็นคนใหม่ ได้วิญญาณใหม่ ได้ใจใหม่ ที่เต็มไปด้วยความรัก เข้าใจพระเจ้าแล้วก็ตาม แต่เรายังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิมนี้อยู่ มันเป็นอุปสรรค ทำให้เราไม่เห็นในโลกฝ่ายวิญญาณ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์จริงๆ มันต้องรอให้วันหนึ่งที่เราทิ้งร่างนี้ และได้รับร่างกายใหม่เท่านั้น
ฉะนั้น ขณะนี้ ที่เราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ แม้เราจะรู้ความจริงเหล่านี้ ก็ตาม แต่กายเรา มันจะขวางเราอยู่ ทำให้เราไม่เข้าใจมากนัก ฉะนั้น เราไม่มีทางที่จะเข้าใจ การกระทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราอย่างแน่นอน ไม่มีทางเข้าใจได้เลย อย่านึกว่าเราจะเข้าใจพระเจ้าได้หมด ไม่มีทาง เราเริ่มต้นเข้าใจได้บ้าง เมื่อเราเปิดใจรับเชื่อพระเยซู ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้วก็ตาม เราจะไม่เข้าใจสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นบางเรื่อง เราจะคิดเหมือนกษัตริย์ดาวิด ทำไมๆ เหมือนกัน …
“ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับชีวิตของเราได้ล่ะ ทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งไม่ดีเหล่านี้เกิดขึ้นกับเรา ทั้งที่รักเรา”
เรามีโอกาสคิดได้ และคิดแน่นอน แต่เราสามารถวางใจได้ว่าพระองค์บอกว่าพระองค์เป็นพ่อที่ดีพร้อม ที่รักเรามากดังแก้วตาดวงใจ ซึ่งพิสูจน์แล้ว โดยประทานพระเยซูคริสต์มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเรา ในขณะที่เรายังเป็นคนบาป เป็นศัตรู ต่อต้าน ต่อว่า ทุบตีจิตใจของพ่อของเรา ในสวรรค์ ไม่เข้าใจความรักของพ่อของเราอยู่ เราสามารถจำตรงนี้ให้ได้ แล้วก็วางใจในพระเจ้าเลย
พ่อแห่งฟ้าสวรรค์พูดกับลูกๆ ทุกคนว่า … “พ่อให้สัญญาว่าพ่อจะไม่ทอดทิ้งเจ้า เหมือนเด็กๆ ที่กำพร้า พ่อจะไม่ละเจ้าให้อยู่ตามลำพัง แต่จะอยู่กับเจ้าทุกลมหายใจเข้าออก เมื่อเจ้ามีความสุข พ่อก็จะบินอยู่เคียงข้างเจ้า เมื่อเจ้ามีความทุกข์ พ่อก็จะซุกเจ้าไว้ใต้ปีกของพ่อ”
เมื่อมีความทุกข์ เราก็จะไม่บอกว่าทำไมๆ ทำไมต้องเป็นความทุกข์ ไม่ต้อง เราไม่มีวันเข้าใจหรอก ทำไม ต้องมีความทุกข์ รักเรา แล้วก็ทำอะไรก็ได้ ปล่อยให้เรามีความทุกข์ เราไม่ต้องสนใจหรอก สนใจอย่างเดียว เมื่อมีความทุกข์ ขณะนั้น พ่อกำลังซุกเราไว้ใต้ปีกของพ่อ อบอุ่น อยู่ในพระทรวงของพ่อ เมื่อยามมีความสุข มองไม่เห็นพ่อ ก็รู้ว่าพ่อบินอยู่ข้างๆ เอเมนไหม? เอเมน ไม่ต้องไปเอาความเข้าใจ ไม่ต้องเอาสมองเห็นด้วยว่ารู้ว่าเป็นอย่างไร? ไม่ต้องรู้ เพราะขืนไปมองด้วยตา คิดด้วยความคิดของตนเอง ตกม้าตายแน่นอน จำถ้อยคำพระเจ้าที่สัญญาไว้กับเราอย่างนี้ก็แล้วกัน พระเจ้าอวยพรครับ
*******************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
เพียงแค่ยินยอมเท่านั้น ก็เข้าสวรรค์ได้ทันที! พิสูจน์ได้เลยเดี๋ยวนี้! ไม่ต้องรอให้ตายก่อน
โคโลสี 1:13-14 “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตร (พระคริสต์นี้ ) เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”
การผ่าตัดทางวิญญาณของพระเจ้า ก็คือการย้ายวิญญาณของผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ออกจากที่เดิม คือในอาดัมมาสู่ในพระคริสต์ จากอยู่ในความตาย มาอยู่ในชีวิตในพระเยซูคริสต์ จากการเป็นทาสมาเป็นลูกของพระเจ้า ออกจากอาณาจักรแห่งความมืด มาสู่อาณาจักรสว่างของพระบุตร พระเยชูคริสต์ที่รักของพระองค์ ก็คืออาณาจักรสวรรค์
ทั้งหมดนี้ได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้วในโลกวิญญาณ เพียงแค่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ซึ่งเท่ากับว่าเรายินยอมให้พระเจ้าเข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา ย้ายเราเข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์ ซึ่งเรียกว่ายินยอมรับการบัพติศมาเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ เข้าสู่กระบวนการการบังเกิดใหม่ โดยตายพร้อมพระเยซูคริสต์ที่กางเขน ถูกฝังในอุโมงค์พร้อมพระองค์ และเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์ นั่งอยู่ที่ขวามือของพระเจ้าร่วมกับพระองค์ในสวรรคสถาน
พระเจ้าอวยพรครับ