วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1390 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  20  พฤศจิกายน  2022

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 18

โดย วราพร  คงล้วน

            ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความจริงของพระองค์ เราเป็นมนุษย์ที่ถูกคำสาปแช่งเรียบร้อยไปแล้ว  ตั้งแต่บรรพบุรุษของเรา  ที่ล้มลงในความบาป  แม้ว่าเราเชื่อพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว ได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้ว แต่ว่าในขณะที่ร่างกายเรายังอยู่บนโลกใบนี้ เรายังต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก เรื่องของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกินการอยู่ การใช้ชีวิต การเจอโรคภัยไข้เจ็บ เวลาเราเป็นคริสเตียน  ไม่ได้หมายความว่าเราจะแข็งแรงตลอดชีวิต โดยที่เราไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่จริงนะ อย่าให้ใครหลอกเรา เพราะว่าอันนี้คือกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป วิญญาณเราตายจากพระเจ้า ร่างกายเราก็ตายด้วย  ร่างกายของมนุษย์ทุกคนเกิดมาปุ๊บ ก็เดินทางไปสู่ความตาย แต่สิ่งที่เราไม่เหมือนคนอื่น เมื่อเรามาเชื่อวางใจในพระเจ้า ก็คือวิญญาณเราได้รับความรอดแล้ว ได้รับการคืนดีกับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  เราไม่ต้องกังวลว่าหลังความตายวิญญาณเราจะต้องไปชดใช้หนี้เวรกรรมอีกต่อไป ไม่ต้อง ก็คือวิญญาณเราได้อิสรภาพ เป็นวิญญาณนิรันดร์เหมือนพระเจ้าเลย หลังจากวิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราก็ไปอยู่ที่เดิม ก็คือที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์

            นี่คือหลักประกันที่พระเจ้าให้กับพวกเราผู้เชื่อ จากนั้นพระเจ้าก็บอกว่าพระองค์จะทรงดูแลชีวิตของเราในขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ ที่เราดำเนินในแต่ละวัน เราอาจจะเจอความทุกข์ยากลำบาก ในเรื่องของสภาพร่างกาย ในเรื่องของสิ่งแวดล้อมหรืออะไรก็ตาม แต่สิ่งที่พระเจ้าให้และสัญญากับเรา คือพระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา และพระองค์จูงมือเราเดิน พาเราผ่านไปได้ ไม่ว่าเราจะเผชิญกับอะไรก็ตาม  พระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา นี่คือพระสัญญา แต่ว่าพระเจ้ายังไม่เคยสัญญาว่าพอมาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ คริสเตียนทุกคนจะอยู่ดีมีสุข หรือจะแข็งแรงตลอดชีวิต อันนี้ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญาของพระเจ้า เราต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ เพื่อเราจะได้ไม่ถูกหลอกจากคำพูดอะไรก็ตาม ที่ทำให้ เรารู้สึกสงสัยในพระเจ้า …

            “เราเป็นคริสเตียนทำไมถึงป่วยได้ล่ะ ศบ.ยังป่วยเลย” ประมาณนั้น

            นี่คือความจริงที่เราต้องรับรู้ ในพระคัมภีร์อาจารย์เปาโลบอกว่าแม้ร่างกายภายนอก เราจะอ่อนแอลง แต่ว่าจิตใจภายในเราเข้มแข็งมากขึ้นทุกวัน ได้รับการเสริมใหม่ทุกวัน จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเรา

            วันนี้มาต่อในหนังสือเอเฟซัส 3:7 บอกว่า …

        เอเฟซัส 3:7 “ข้าพเจ้าได้เป็นผู้รับใช้แห่งข่าวประเสริฐนี้ โดยพระคุณ ซึ่งพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ผ่านทางการทำงานของฤทธิ์อำนาจของพระองค์”

            อาจารย์เปาโลบอกว่าเป็นผู้รับใช้แห่งข่าวประเสริฐของพระเจ้า โดยพระคุณ ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ พระองค์ทรงเรียกอาจารย์เปาโลมา เพื่อจะประกาศกับคนต่างชาติ ซึ่งก็คือพวกเรานี่แหละ ที่ไม่ได้เป็นคนยิว

            ในยุคที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์  พระเยซูได้ประกาศกับคนยิวเท่านั้น คนต่างชาติไม่เกี่ยวเลยนะ ในอดีตพระเจ้าได้ทรงเลือกชนชาติยิว เพื่อเป็นแบบอย่างในเรื่องของความรอด ที่พระเจ้าจะประทานให้ แต่แผนการจริงๆ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ตั้งแต่มนุษย์ล้มลงในความบาป คือพระเจ้าวางแผนไว้ให้มนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ไม่ว่ายิวหรือคนต่างชาติ ให้มีโอกาสได้รับความรอด ผ่านทางสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำเพื่อเขาบนไม้กางเขน

            และในหนังสือเอเฟซัสนี้ ก็คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จ เรียบร้อยไปแล้ว แล้วแผนการล้ำเลิศนี้ พระเจ้าก็ทรงเปิดเผยสำแดงให้คริสตจักรได้รับรู้ ผ่านทางอาจารย์เปาโล ทำไมอาจารย์เปาโลมาเชื่อพระเจ้า แล้วประกาศข่าวประเสริฐ ถึงต้องถูกไล่ล่าฆ่า ที่คนยิวเคืองมาก เคืองอาจารย์เปาโลไปประกาศเรื่องของพระเยซูคริสต์ คือพระเยซูคริสต์เขาไม่เชื่ออยู่แล้วว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า แล้วเขาก็ไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ คือพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าทรงประทานมาให้ แล้วเปาโลเป็นพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ พวกผู้รู้เรื่องราวกฎบัญญัติของพระเจ้า ตั้งแต่อดีต รู้มากเลย แล้วอยู่ดีๆ ก็เหมือนแปรพักตร์ไป แทนที่จะมาทำตามกฎบัญญัติของโมเสสที่ได้สั่งไว้ อยู่ดีๆ ไปประกาศพระนามของพระเยซูคริสต์เฉยเลย เขาก็เลยไล่ล่าที่จะฆ่าอาจารย์เปาโล แต่อาจารย์เปาโลไม่เคยสนใจ เพราะว่าเมื่ออาจารย์เปาโลได้รับพระคุณจากพระเจ้า ได้เจอพระเยซูคริสต์กลางทาง ระหว่างที่เดินทางไปดามัสกัส ที่จะไปไล่ล่าพวกคริสเตียน หรือพวกที่ติดตามเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ แล้วพระเยซูคริสต์ก็เปิดให้อาจารย์เปาโลได้เห็นความจริง ได้เห็นพระคุณ แล้วอาจารย์เปาโลก็กลับใจใหม่ ได้บังเกิดใหม่เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็เรียกใช้อาจารย์เปาโล ให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ ซึ่งข่าวประเสริฐนี้ พระเจ้าวางแผนการไว้เรียบร้อยไปแล้วว่าจะให้ทั้งคนยิวและคนต่างชาติ ได้รับความรอดผ่านทางฤทธิ์เดชอำนาจแห่งถ้อยคำของพระเจ้า

            การทำงานของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ดังนั้น การเชื่อวางใจในพระเจ้าเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ไม่เกี่ยวอะไรกับการกระทำของมนุษย์คนหนึ่งคนใด หรือว่าไม่เกี่ยวอะไรกับความดีงาม การพยายามที่จะพึ่งพาการกระทำของตัวเอง หรือพยายามรักษากฎบัญญัติ ที่พระเจ้าให้ไว้ เพื่อทำให้ตัวเองได้รับความรอด ซึ่งในพระคัมภีร์ พระเจ้า พระเยซูคริสต์ก็บอกชัดเจนแล้วว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถที่จะได้รับความรอด ผ่านทางการประพฤติของตัวเอง

            ดังนั้น มาตรฐานของพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์ได้บอกไว้เป็นมาตรฐานที่สูงมาก สมัยก่อน เวลาเราอ่านหนังสือพระกิตติคุณ อ่านหนังสือมัทธิว มาระโก ลูกา ยอห์น เราก็เข้าใจว่าพระเยซูมาสอนให้เราทำ ยิ่งคำเทศนาบนภูเขาที่อาจารย์นครเพิ่งเทศนาไป ก็คือสมัยที่ดิฉันเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ ดิฉันก็เข้าใจว่าสิ่งที่ในหนังสือมัทธิวสอน คำเทศนาบนภูเขา ก็คือสอนให้ผู้เชื่อทำตามนั้น ซึ่งมันเป็นการเข้าใจผิด พอเข้าใจผิด เราก็สอนคนอื่นด้วย สอนสมาชิกมาตลอด สอนผู้เชื่อมาตลอด 30 กว่าปีที่เราเข้าใจผิดมาเยอะมาก ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? เมื่อเราถูกสอนมา เราก็สอนต่อไป ซึ่งข้างในวิญญาณเราก็รู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ในหนังสือมัทธิวบอกเรา เราทำไม่ได้ แล้วเราก็ฝืน พยายามที่จะดำน้ำไปว่า …

            “อ้าว! ก็พระเยซูบอกแล้วไง เราต้องพยายามทำมันให้ได้ ก็ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้นั่นแหละ ตามนั้น” อะไรอย่างนี้

            แต่ว่าพอเรามารับรู้ความจริงในเรื่องราวข่าวประเสริฐ ก็คือพระเยซูบอกว่าไม่มีมนุษย์คนไหนทำได้เลย แล้วพระเยซูไม่ได้มาสอนให้ทำ มาแค่บอกว่าพวกเธอทำไม่ได้ แล้วเมื่อทำไม่ได้ ก็ต้องมาพึ่งฉันไง พึ่งการกระทำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ถึงจะสามารถได้รับความรอดได้

            แล้วในหนังสือพระกิตติคุณ พระเยซูก็ไม่ได้สอนผู้เชื่อด้วย อันนี้สำคัญมาก คือสอนผู้ที่ยังไม่เชื่อ  คนที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ซึ่งเป็นชนชาติยิวที่รักษากฎบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้อย่างเคร่งครัด ซึ่งคนยิวในยุคนั้น รู้อยู่แล้วว่าตัวเองไม่มีความสามารถที่จะทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ความรู้สึกข้างในเหมือนมนุษย์ทั่วไปแหละ ที่เราคิดว่าทำให้ดีที่สุด ก็แล้วกัน ทำให้ตัวเองรู้สึกสบายใจ ทำเต็มที่แล้ว อะไรประมาณนั้น แต่เราขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์เปิดให้เราเห็น ก็คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณที่พระเยซูกำลังบอกเราว่า …

            “พวกเธอทำไม่ได้หรอก ทำให้ตาย ก็ทำไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ อย่างที่มาตรฐานของพระเจ้าได้ตั้งไว้”

            มาตรฐานของพระเจ้า ท่านต้องเป็นคนดีรอบคอบ เหมือนกับพระบิดาของเรา ซึ่งเป็นผู้ดีรอบคอบ ในสวรรคสถาน ซึ่งมีมนุษย์คนไหนบนโลกใบนี้ สามารถเป็นผู้ดีรอบคอบ เหมือนกับพระเจ้าพระบิดา บนสวรรค์ ไม่มีทาง แต่พอคนไหนก็ตามที่เปิดใจต้อนรับ คือได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้า แล้วก็วางใจ พอวางใจ เปิดใจต้อนรับปุ๊บ ขบวนการ การบังเกิดใหม่ มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ซึ่งเราไม่รู้หรอก เราไม่เข้าใจ เราไม่สามารถสัมผัสจับต้องได้ แต่เรารับเอาด้วยความเชื่อ เมื่อขบวนการนี้เกิดขึ้นปุ๊บ ความเป็นจริง คือมนุษย์ทุกคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วิญญาณเรา ได้เป็นวิญญาณใหม่เหมือนกับพระเจ้า เป็นวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลย โดยที่เราไม่ต้องทำอะไร? เหมือนที่เราคุยกัน เด็กคนนั้นคลอดออกมาปุ๊บ เป็นลูกของบ้านนี้เลย โดยที่ไม่ต้องทำอะไร? ไม่ต้องทำดีหรือทำชั่ว เขาก็เป็นลูกของบ้านนี้

            ดังนั้น เมื่อเราได้บังเกิดใหม่  เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า โดยไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการทำดีหรือทำชั่วของเราเลย แต่เกี่ยวกับที่เรายอมรับความจริงว่าเราเป็นคนบาป เราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เราต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า แล้วเราก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา

            นี่คือความจริงทั้งหมด แล้วพวกเราผู้เชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ เราก็รับความจริงตรงนี้เข้ามา แล้วพระเจ้าก็บอกว่าเราเป็นคนสะอาด ดีพร้อม ในสายพระเนตรของพระเจ้า ณ เวลานี้ ผู้เชื่อทุกคนเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ ได้รับการบังเกิดใหม่ ก็คือได้รับชีวิตนิรันดร์ ที่ครบถ้วนบริบูรณ์ ที่พระเจ้าได้ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เพียงแต่ว่า ณ เวลานี้ เราผู้เชื่อที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราได้รับไปส่วนหนึ่ง แล้วเราทุกคนก็รอคอยส่วนที่ 2 ที่เราจะไปรับหลังความตาย

            ส่วนที่ 2 ที่เราจะไปรับหลังความตาย ก็คือเรายังต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ใช่ไหม? แต่ละคนก็มีอายุขัยของแต่ละคน ที่พระเจ้ากำหนดไว้ แล้วการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องเจอกับความทุกข์ยากแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ยากในเรื่องที่เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ เราก็เป็นศัตรูกับโลกนี้เลย ทันทีที่วิญญาณเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ความจริงในโลกวิญญาณ คือเรากับโลกนี้เป็นศัตรูกัน ทันทีเลยนะ เราไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ เรากับโลกนี้เป็นศัตรูกัน ก็คือโลกนี้อยู่ในความมืด เราเข้ามาอยู่ในความสว่างแล้ว ความสว่างกับความมืด เข้ากันไม่ได้ ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนั้น เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

            สมัยก่อน ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า พอเราได้ยินคำว่าคริสเตียน หรือได้ยินคำว่าพระเยซู เราไม่ชอบเลย เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงไม่ชอบ แต่ในโลกวิญญาณ พระเยซูบอกเราแล้ว เราเป็นศัตรูกัน ยังไงเราก็ไม่ชอบ แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ได้ยินว่าใครเป็นคริสเตียน เราชอบเลย เรารักเลย ไม่เข้าใจเหมือนกัน  แต่ความจริงในโลกวิญญาณ คือเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า เรากับพี่น้องคนอื่นรักกันเลย เป็นหนึ่งเดียวกันเลย เป็นครอบครัวเดียวกันเลย นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งเมื่อก่อนเราไม่เข้าใจ แต่ว่าพอพระเจ้าเปิดให้เราเห็น มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ในโลกวิญญาณ เรากับโลกนี้เป็นศัตรูกัน เมื่อเราเข้ามาอยู่ในความสว่างของพระเจ้าปุ๊บ โลกนี้เป็นความมืด เราเข้ากันไม่ได้แล้ว อยู่กันคนละพวกเลย โดยปริยาย

            หรือพอเรามาเชื่อพระเจ้า เรากับพี่น้องคริสเตียน ไม่ว่าคนนั้นจะอยู่โบสถ์เรา อยู่โบสถ์ไหน? อยู่ประเทศไหนก็ไม่รู้ เรารักกันเลย ข้างในวิญญาณเรารักเขา นี่คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์กำลังบอกเรา ฉะนั้น อาจารย์เปาโลพยายามบอกความจริงในโลกวิญญาณ ให้กับมนุษยชาติได้รับรู้ เหมือนกับคนสมัยโบราณตอนที่เขาถูกข่มเหงเยอะๆ มีคนยิวที่กลับใจมาเชื่อพระเยซูคริสต์จะถูกข่มเหงหนักมาก  เพราะว่าคนยิวที่เชื่อในบทบัญญัติเดิม เขาถือว่าคนที่มาเชื่อพระเยซูคริสต์กบฏกับพระเจ้า เขาไม่ได้เชื่อเลยว่าพระเยซูคริสต์คือผู้ที่พระเจ้าส่งมา เป็นพระมาซีฮาห์ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ว่าจะประทานให้กับพวกเขา

            พอเขาไม่เชื่อ เขาก็เลยจับพระเยซูไปตรึง เขาคิดว่าพระเยซูมาทำตัวเสมอพระเจ้า อย่างนี้บังอาจ อภัยให้ไม่ได้เลย เพราะว่าพระเจ้าของเขายิ่งใหญ่สูงสุด เขายกสูงมากเลย แต่คนนี้ใครก็ไม่รู้ อยู่ดีๆ มาอ้างตัวว่าเป็นพระเจ้า มาอ้างตัวว่าตัวเองเทียบเท่าพระเจ้า คนยิวก็เลยจับพระเยซูไปตรึงบนไม้กางเขน

            ฉะนั้น แผนการนี้ พระเจ้าได้วางไว้ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว อย่างที่เราบอกไง แผนการพระเจ้ามันลี้ลับจนไม่มีใครสามารถเข้าใจหรอกว่าทำไมมันถึงออกมา เป็นแบบนี้ ขออ่านพระคัมภีร์นิดหนึ่ง ในหนังสือ 1 โครินธ์ 2:6-9 บอกว่า …

        1 โครินธ์ 2:6-9 “6 เรากล่าวถึงเรื่องปัญญาในหมู่คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วก็จริง แต่มิใช่เรื่องปัญญาของยุคนี้ หรือเรื่องปัญญาของอำนาจครอบครองในยุคนี้ ซึ่งจะเสื่อมสูญไป 7 แต่เรากล่าวถึงเรื่องพระปัญญาของพระเจ้าซึ่งเป็นข้อลับลึก คือพระปัญญาซึ่งทรงซ่อนไว้นั้น และซึ่งพระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ก่อนปฐมกาล เพื่อให้เราถือศักดิ์ศรีของเรา 8 ไม่มีอำนาจครอบครองใดๆ ในยุคนี้ได้รู้จักพระปัญญานั้น เพราะว่าถ้ารู้แล้ว จะมิได้เอาองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งพระสิริ ตรึงไว้ที่กางเขน 9 ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ สำหรับคนที่รักพระองค์”

            ในหนังสือ 1 โครินธ์อาจารย์เปาโลได้พูดถึงพระปัญญาที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ ปัญญานี้ คือความลึกลับที่พระเจ้าปิดซ่อนไว้ ตั้งแต่เริ่มต้นปฐมกาลว่าพระองค์ได้เตรียมผู้คนของพระองค์ เริ่มต้นจากยิว แล้วจากนั้นจะเป็นคนต่างชาติ ฉะนั้น พระเจ้าเตรียมไว้ตั้งแต่เริ่มต้น แล้วพระองค์ก็ปิดบังไว้ ไม่เปิดเผยสำแดง จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้ววันที่พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ก็ยังเปิดเผยสำแดง ได้เผยพระวจนะ ได้ประกาศว่าแผ่นดินสวรรค์มาถึงแล้ว แล้วตัวพระองค์เอง คือแผ่นดินสวรรค์ ซึ่งคนยิวรอคอยให้แผ่นดินของพระเจ้ามาตั้งอยู่ ซึ่งพระเยซูบอกว่า …

            “ฉันไงๆ ฉันคือแผ่นดินสวรรค์ แล้วฉันมาตั้งอยู่แล้ว”

            แต่คนยิวก็ไม่เชื่อ พอไม่เชื่อ แผนการนี้ พระเจ้าปิดซ่อนไว้ ไม่ให้คนยิวได้เห็น เขาก็เลยเอาพระเยซูคริสต์ไปตรึงบนกางเขน ทำให้แผนการที่พระเจ้าวางไว้ สำเร็จด้วย ถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ถูกตรึง แผนการนี้ ก็ไม่สำเร็จ  ก็คือไม่ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อมนุษยชาติ  เพราะฉะนั้น แผนการทั้งหมด พอพระเจ้าปิดซ่อนไว้ เลยทำให้มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจ แล้วเขาก็ได้ตรึงพระเยซูคริสต์

            ในข้อที่ 9 ที่บอกว่า “ที่มีเขียนไว้ว่า “สิ่งที่ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ สำหรับผู้ที่รักพระองค์”

            ใครล่ะ รักพระองค์ คือคนที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ผู้นั้นแหละ คือผู้ที่รักพระองค์ พอคนที่รักพระองค์ เปิดใจต้อนรับพระองค์ปุ๊บ พระเจ้าก็รู้จักเขา สมัยก่อน เราก็ไม่เข้าใจคำว่า “รู้จัก” คืออะไร? พอคนที่เปิดใจต้อนรับพระองค์ บัพติศมาเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ คนนั้นได้รู้จักพระองค์เลย รู้จักพระองค์ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ ไม่ใช่รอจนตาย แล้วค่อยไปรู้จัก

            เราเริ่มรู้จักกับพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่วันแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามา เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา จากวันนั้น พระเจ้า พระบิดา ก็รู้จักเราด้วย พระเจ้า พระเยซูคริสต์ก็รู้จักเราด้วย  รู้จักมักคุ้น เป็นครอบครัวเดียวกัน  เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน สามัคคีธรรมร่วมกัน รู้จักว่าเราเป็นความรัก คนที่พระเยซูบอกว่าผู้นั้น ก็จะรักเรา แล้วก็รู้จักเรา ฉะนั้น ความรักตรงนี้ ไม่มีมนุษย์คนไหนที่สามารถรักพระเจ้าได้เลย ไม่มีทาง นอกจากความรักที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของคนนั้น ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ความรักตรงนี้แหละ ทำให้เราสามารถรักพระเจ้าด้วยสุดจิต สุดใจ สุดกำลัง สุดความคิด และทำให้เราสามารถรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง โดยไม่ต้องฝืน ไม่ต้องเป็นภาระ เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อ ที่เป็นความรัก รักพระเจ้าเลย ก็คือพอเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ เรารักพระเจ้าเลย ไม่ต้องใช้แรงหรือพลังอะไรทั้งสิ้น นี่คือฤทธิ์อำนาจที่พระจ้าได้ทรงกระทำการงานในชีวิตของพวกเรา

            เรื่องของความรอดในพระเยซูคริสต์ เป็นเรื่องของฤทธิ์เดชอำนาจ ไม่ใช่เป็นเรื่องของการประพฤติใดๆ ดังนั้น ฤทธิ์เดชอันนี้ ทำให้เกิดความอัศจรรย์มากมาย ที่พระเจ้าได้กระทำการงานในชีวิตของพวกเรา มนุษย์แสวงหาอัศจรรย์ใช่ไหม? พอเรามาเชื่อพระเจ้า เราอยากได้อัศจรรย์ อัศจรรย์มันหน้าตาเป็นอย่างไร?  เราอยากจะเห็นอะไรที่มันหวือหวา พออธิษฐานอย่างนี้ พระเจ้าให้อย่างอัศจรรย์เลย มันเป็นของแถมมากๆ เลย แต่อัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ ที่พระเยซูคริสต์พูดถึงในสมัยยุคของพระคัมภีร์ ตอนที่พระเยซูคริสต์อยู่ พระเยซูบอกว่าถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง ท่านสามารถสั่งภูเขาให้เลื่อนลงทะเลได้ แล้วภูเขานั้น ก็จะเลื่อนลงทะเล ยุคของพระเยซูคริสต์ ถ้าสั่งภูเขาเลื่อนลงทะเล นี่อัศจรรย์ยิ่งใหญ่มาก เพราะสมัยนั้น ยังไม่มีระเบิดปรมาณู ใช่ไหม? แค่ภูเขาเลื่อนลงทะเลยิ่งใหญ่มากเลย พระเยซูก็พยายามที่จะยกตัวอย่าง ที่มันใหญ่โตมโหฬารที่คนยุคนั้น สามารถเข้าใจได้ แต่ว่าอัศจรรย์ที่พระเยซูพูดถึง ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้น ก็คือยิ่งกว่าระเบิดปรมาณู อัศจรรย์ที่พระเจ้าทำให้คนๆ หนึ่งได้บังเกิดใหม่  เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้าได้ นั่นคืออัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ ที่ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถกระทำได้ ยกเว้นพระเจ้าผู้เดียวเท่านั้น

            การที่ได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ การที่เราได้รับชีวิตนิรันดร์แบบพระเจ้า การที่เราได้เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ การที่เราได้เป็นทายาทร่วมกับพระองค์ การที่เราได้รับพระพรนานับประการในโลกวิญญาณ ที่ปัจจุบัน เราได้รับหมด นี่คือยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว  ถ้าเทียบกับสิ่งที่พระเจ้าให้กับเรากับความทุกข์ยากบนโลกใบนี้ ที่บางทีเราก็เจ็บ บางทีเราก็ป่วย บางทีเราก็โศกเศร้า บางทีคนที่เรารักไม่สบาย หรือคนที่เรารักจากไป เราทุกข์มากเลย ถ้าเทียบกับสิ่งที่พระเจ้าให้กับเรา มันเทียบไม่ได้เลย ฉะนั้น การที่เราได้รู้ความจริงเหล่านี้ จะทำให้เราสามารถยอมรับ อดทนกับความทุกข์ยากลำบาก ที่เราต้องเผชิญอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าเรื่องนั้นจะลำบากขนาดไหน? แต่ว่าความหวังใจของผู้เชื่อ มองไปที่โลกหน้า มองไปที่รางวัลที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ สำหรับพวกเราทุกๆ คน รางวัลที่เรายังไม่ได้รับ ที่เราได้รับ ได้รับไปแล้ว เป็นเหมือนพระเจ้า นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ได้รับพระพรนานัปการ ได้มีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเยซูคริสต์ นั่นเราได้รับหมดแล้วนะ ในโลกวิญญาณ

            แต่รางวัลที่เรายังเฝ้ารอคอยอยู่ที่เรายังไม่ได้รับ เราจะรอไปรับเมื่อวิญญาณเราออกจากร่างกายนี้ เมื่ออายุขัยเราหมดจากโลกนี้  ก็คือตาย ตายเมื่อไร เราก็ได้ไปรับร่างกายใหม่จากพระเจ้า เป็นร่างกายใหม่ที่พระเจ้าทรงสัญญา  เป็นร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนกับพระเยซูคริสต์ตอนที่พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วเป็นร่างกายใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว แค่รอเราไปสวม แล้วความหวังใจของผู้เชื่อ ก็คือเราจะได้พบกับพระเจ้าหน้าต่อหน้า มันเป็นความหวังใจที่เราอยากเจอ ตอนนี้เราพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า ไม่ได้ เพราะว่าเรายังอยู่ในร่างกายนี้อยู่ เราอาจจะเห็นพระเจ้าสลัวๆ โดยผ่านทางความเชื่อ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าเป็นอย่างไร? เราก็เชื่อตามนั้น แต่พอถึงวันนั้น เราไม่ต้องใช้ความเชื่อแล้ว วันที่เราไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า แล้วรับร่างกายใหม่ คือเราจะเห็นพระเจ้าไม่พอ  เราจะเห็นร่างกายใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเราด้วย เราจะได้ไปพบเจอกับญาติโกโหติกาที่เรารัก ที่เขาจากเราไปก่อน แล้วเราจะไปรอคอยพี่น้องของเราที่ยังไม่หมดอายุขัยว่าเดี๋ยวเขาจะตามๆ กันมา นี่คือความยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้สำหรับพวกเรา

            ฉะนั้น ในพระคัมภีร์บอกว่ามันมีอยู่ 3 สิ่ง คือความเชื่อ ความหวังใจและความรัก แต่ความรักใหญ่ที่สุด ความรักใหญ่ตรงไหน? เพราะว่าความรัก คือธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อทุกๆ คน ความรักจะไม่สูญสลายไป ความรักจะเป็นอันเดียวที่ติดตามเราไป  พอเราขึ้นไปอยู่บนโลกใหม่  เราไม่ต้องใช้ความหวัง  เพราะว่าเราได้เจอแล้ว คือเจอพระเจ้าแล้ว ไม่ต้องหวัง เจอร่างกายใหม่แล้ว ไม่ต้องหวัง แล้วเราก็ไม่ต้องใช้ความเชื่อเลย เพราะว่าเจอหน้าต่อหน้า แต่ว่าความรักก็ยังคงติดตามเราไป นี่คือความจริงในโลกวิญญาณที่เราจำเป็นจะต้องรู้ เพื่อว่าเราจะได้สามารถอดทนรอคอย เวลาเราเจอความทุกข์ยากลำบาก เราก็จะสามารถอดทนได้

            อย่างผู้เชื่อในสมัยโบราณ เขาทุกข์กว่าเราเยอะเลยเนอะ ตอนที่เขาเชื่อใหม่ๆ เขาจะถูกไล่ล่า ถูกข่มเหงทุกรูปแบบเลย แต่ที่เขาสามารถอยู่ได้ เพราะความหวังใจนี้แหละ เพราะว่าความหวังใจที่เขาได้รับ ข่าวประเสริฐแท้ๆ จากคำประกาศข่าวดีของอัครทูตในยุคนั้น  ไม่ได้ประกาศอะไรเยอะแยะมากมาย ไม่ได้เอาอะไรมาหว่านล้อม ไม่ต้อง บอกแค่ว่าพระเยซูรักเขา พระเยซูได้ทำอะไรเพื่อเขา  แล้วเขาได้รับอะไรบ้าง? เขาได้รับกำลังจากความจริงในข่าวประเสริฐของพระเจ้าจริงๆ แล้วเขามีความอดทน ไม่ว่าเขาจะต้องถูกฆ่าตาย เขาก็ไม่หวาดกลัว เพราะเขารู้ว่าความตายเป็นประตูที่จะนำเขาไปสู่มิติแห่งความเป็นจริงที่เขาจะได้รับ

            คนสมัยก่อนเขาทุกข์กว่าเราเยอะ แต่เขาสามารถอยู่ได้ เพราะว่าไม่มีอะไรเจือปน เขาได้รับข่าวประเสริฐเพียวๆ ล้วนๆ เป็นนมที่ไม่มีสารปรอท ไม่มีสารตกค้าง ไม่มีอะไรมาล่อลวง ให้หันซ้ายหันขวา เป้าหมายของเขา คือมองไปที่พระเจ้าอย่างเดียว แล้วเขาก็รอคอยวันนั้นแหละ วันแห่งความหวังใจ ที่พระเจ้าบอกว่า …

            “แป๊บเดียวเองลูก อึดใจเดียวเอง พอหมดลมหายใจ เจ้าก็ได้ไปอยู่กับเราถาวรนิรันดร์กาลบนสวรรค์”

            พวกเราเหมือนกัน ในยุคปัจจุบัน อดทนรอคอยแป๊บเดียวเอง เราสบายกว่าเขาเยอะ ในยุคสมัยเดิม ฉะนั้น อย่าให้ความทุกข์ยากใดๆ ทำให้สั่นคลอนความเชื่อวางใจที่เรามีอยู่ในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น การที่เราได้ไปอยู่กับพระเจ้า อย่างที่บอก เวลาผู้เชื่อจะจากไป พระเยซูจะมารับเรา สมมติว่าเราจากไปก่อนที่พระเยซูเสด็จกลับมา พระเยซูก็มารับเราส่วนตัวไปอยู่กับพระองค์ แต่ถ้าเรายังไม่จากไป เราอยู่จนถึงวันนั้น วันที่พระเยซูกลับมารับหมู่เลย เราก็จะได้ไปพร้อมกัน ยังไงพระเยซูก็มารับเรา

            ทำไมเรารู้ว่าพระเยซูมารับเรา? ดิฉันเคยเห็นผู้เชื่อเยอะแยะมากมาย อยู่ในโบสถ์นี้ก็จะ 30 ปีแล้ว แล้วก่อนหน้านั้น ดิฉันไปรับร่างกายของผู้เชื่อ ที่จากไป นับครั้งไม่ถ้วน  แต่ภาพที่ดิฉันเห็น วันที่เขาจากไป เป็นภาพที่สวยงามมาก ก็คือเหมือนคนนอนหลับ ไม่ได้น่ากลัวนะ คือสมัยก่อนถ้ามีคนตาย ดิฉันกลัวมาก ตอนก่อนมาเชื่อพระเจ้ากลัวภาพติดตา แต่พอเรามาเชื่อพระเจ้า เราเห็นความจริงในโลกวิญญาณอย่างหนึ่ง คือทุกคนที่จากไปอยู่กับพระเจ้า ก่อนจากอาจจะดูเหมือนทุรนทุราย เพราะว่าด้วยความเจ็บปวด แต่พอหลังจากไปปุ๊บ เขาหลับเหมือนคนนอนหลับ แล้วหน้าเต็มไปด้วยสง่าราศี  คือเห็นชัดๆ เลยว่าเขาไม่มีความกลัวอะไรเลย เขาหลับไปเฉยๆ แล้วดิฉันยังเชื่อว่าความเป็นจริงในโลกวิญญาณตอนที่เขาจากไป พระเยซูมารับเขาไป แล้วเขาก็มีความสุข  เขารู้ว่าเขาไปในที่ปลอดภัย ฉะนั้น ทุกร่างที่ดิฉันไปรับ เขาจะนอนหลับ ยิ้ม ไม่ได้รู้สึกเลยว่าเป็นคนตาย นึกภาพออกไหม?

            พอเห็นภาพที่ได้ไปรับร่างกายของพี่น้องของเราที่จากไปอยู่กับพระเจ้าก่อน ทุกครั้งทำให้เรามีกำลังใจ แล้วเรารู้ว่าขอบคุณพระเจ้านะ เขาไปดีมาก เขาไปอย่างมีความสุข เขาหลับพริ้มเลย อยู่ในอ้อมพระหัตถ์ของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เขาไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้เหมือนพวกเราอีกต่อไป เขาไม่ต้องมานั่งทุกข์ทรมานอีกต่อไป แต่เขาได้ไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยที่สุด คือในพระทรวงของพระเจ้า

            นี่คือกำลังใจที่เราได้รับ แล้วก็ขอหนุนใจพี่น้องทุกๆ คน ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ตาม ให้เราเชื่อมั่นว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระองค์ทรงนำพาย่างเท้าของเรา จูงมือเราเดินตลอดเวลา เมื่อไรที่เราอ่อนแรงพระเจ้าจะแบกเราไป  จนถึงจุดหมายปลายทาง จนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิตของเรา  เพื่อเราจะได้ไปรับร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี ได้ไปอยู่ในโลกใบใหม่ ที่พระเจ้าทรงสร้างไว้ให้กับพวกเราทุกๆ คน พระเจ้าอวยพรค่ะ

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ถ้าท่านยินยอม! ท่านสามารถเป็นวิหารของพระเจ้า  และพระวิญญาณของพระเจ้า จะสถิตอยู่ในท่าน

            เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์  เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว  จะมีอัศจรรย์เกิดขึ้น  ทั้งในโลกฝ่ายวิญญาณ  และโลกฝ่ายร่างกาย

            ➢ โลกฝ่ายวิญญาณ  คือพระวิญญาณจะเข้ามาทำกระบวนการการบังเกิดใหม่  ทำให้เราบริสุทธิ์  กลับคืนดีกับพระเจ้า  ย้ายวิญญาณของเรามาอยู่ในสวรรค์

            ➢ โลกฝ่ายร่างกาย คือพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค พระบิดา  พระบุตร  พระวิญญาณบริสุทธิ์  ก็จะเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างกายเราทันที เพื่อคอยช่วยเหลือเรา  ในระหว่างดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้

            มีสถานที่หนึ่งในร่างกายของเรา  ที่เป็นอภิสุทธิสถาน  ที่พระเจ้าสถิตอยู่   และเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์มาก  ที่นั่น ก็คือวิญญาณที่บังเกิดใหม่ของเรา

            1 โครินธ์ 3:16 “ท่านทั้งหลาย (คริสเตียนที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว) รู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่าน”

            พระเจ้าสถิตอยู่  เพื่อดูแล  รักษาวิญญาณ  ที่พระองค์ได้ทรงไถ่  ทรงให้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระองค์แล้วนั้น  ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์เอง  ด้วยความรักดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์

            พระเจ้าอวยพรครับ