คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน 2022
เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 11
“คำเทศนาบนภูเขา” Ep.10
“สร้างบ้านบนศิลา คือชีวิตพึ่งพาพระคริสต์ สร้างบ้านบนทราบ คือความตายพึ่งพาตนเอง”
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้เรามาต่อ ถ้อยคำพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะคริสตจักรก็มีไว้ เพื่อประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ เป็นอาหารทางฝ่ายวิญญาณให้กับบรรดาผู้ที่เชื่อแล้ว ที่เรียกว่าคริสเตียน และเป็นข่าวดีให้กับบรรดามนุษย์ทุกคนที่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ถ้อยคำพระเจ้ามีอยู่ 2 ทาง ทางหนึ่งให้กับผู้คนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ก็เป็นอาหารทางฝ่ายวิญญาณให้กับเขา เจริญเติบโตขึ้นไป ในการเป็นลูกของพระเจ้า ในความจริงว่าเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ส่วนคนที่ยังไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เรียกว่ายังไม่ได้เป็นคริสเตียน ไม่เชื่อนั้น ถ้อยคำพระเจ้าที่ประกาศนี้เป็นข่าวดีที่จะให้ท่านได้รับความรอดนั่นเอง
เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ซึ่งวันนี้เป็นตอนที่ 11 และเป็น EP.10 ของเรื่อง “คำเทศนาบนภูเขา” วันนี้ให้ชื่อเรื่อง EP.10 นี้ว่า “สร้างบ้านบนศิลา คือชีวิต พึ่งพาพระคริสต์ สร้างบ้านบนทราย คือความตาย พึ่งพาตนเอง” เราเรียนกันมา 10 ตอนแล้ว รู้แล้วใช่ไหมครับว่าพระเยซูกำลังประกาศให้กับชาวยิว ที่ยังไม่เชื่อ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เกิดใหม่ ในวิญญาณ ถ้าเรานำสิ่งเหล่านี้ ที่พระองค์ทรงประกาศนี้ มาใช้กับคริสเตียนที่บังเกิดใหม่แล้ว มันจะเกิดผลเสียหาย เกิดผลไม่ดี เพราะว่าคริสเตียนได้อยู่ในสวรรค์แล้ว และได้อยู่ในสวรรค์ตลอดไปด้วย
เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อเราเอาคำประกาศเหล่านี้ไปใช้กับคนที่เป็นคริสเตียน ซึ่งพระเยซูประกาศกับชาวยิว และคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ก็จะทำให้คนที่เป็นคริสเตียนนั้น ลังเลใช่ไหม? …
“ตกลงเราอยู่ในสวรรค์หรือเปล่าเนี้ย”
พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว แต่นี่มันสำเร็จหรือไม่? แทนที่จะมีความมั่นใจ หายเหนื่อยและเป็นสุข ดำเนินกับพระเยซูต่อไปด้วยความปิติยินดี ในความรอดเรียบร้อยแล้ว รอดตลอดไป ก็กลายเป็นมาลุ้นว่าหลังความตาย จะยังอยู่ในสวรรค์ไหม? พอลุ้นในความตาย อยู่ในสวรรค์ไหม? ก็แสดงว่าขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ยิ่งลุ้นใหญ่เลยว่า …
“ตกลงฉันรอดหรือยัง? ฉันเกิดใหม่หรือเปล่า?”
สรุปแล้ว เป็นการสงสัยในข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า ซึ่งตัวเองรับไปเรียบร้อยแล้ว เป็นการบ่งบอก หรือสำแดงถึงว่ากำลังพูดว่าพระเยซูพูดไม่จริงมั้ง พระองค์บอกสำเร็จแล้ว …
“นี่มันไม่สำเร็จนี่นา ฉันต้องช่วยอะไรไหม? สรุปแล้วว่าหลังความตาย วันพิพากษาฉันต้องยืนอยู่ต่อหน้าการพิพากษาหรือเปล่า? ฉันรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษหลังความตายหรือไม่?”
เห็นไหม? มันก็เกิดความลุ้นอย่างนี้ แล้วมันตรงความจริงของถ้อยคำพระเจ้าไหม? ไม่ตรง เพราะฉะนั้น เราต้องเรียนรู้ตรงนี้ให้ละเอียด ผมจึงใช้เวลาอธิบายตรงนี้ ค่อนข้างละเอียดมากว่าพระเยซูกำลังประกาศให้กับคนที่ยังไม่เชื่อ ยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็น คริสเตียน เขายังพึ่งพาการกระทำของตนเองอยู่ โดยการรักษาบทบัญญัติ พระเยซูกำลังมาประกาศให้เขากลับใจใหม่ หันมาพึ่งพาวางใจในพระองค์ อย่าเย่อหยิ่ง หน้าซื่อใจคด คนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ไม่เย่อหยิ่งแล้ว ก็หายแล้ว เขากลับมาหาพระองค์แล้ว เรียบร้อยแล้วไง พระองค์กำลังมาประกาศให้กับชาวยิว ผู้ซึ่งยังไม่เชื่อพระเจ้า ผู้ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนว่าจงยอมถ่อมใจ แสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า อาณาจักรของสวรรค์และความชอบธรรมของพระเจ้าเสียก่อน โดยผ่านทางการวางใจ ยอมรับพระองค์ว่าพระองค์คือพระคริสต์ คือพระเมซิยาห์ ที่พระเจ้าพระบิดา สัญญาว่าจะส่งมาช่วยเหลือมนุษย์นั่นเอง
เพราะฉะนั้น เราสามารถสรุปเป้าหมาย ในการประกาศของพระเยซู ก็คือกับคนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ คืองานของพระเยซูยังไม่สำเร็จนั่นเอง เพราะว่ายังไม่ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ยังไม่ได้เป็นขึ้นจากความตายในขณะที่ประกาศนั้น ซึ่งอย่าลืมนะว่าพระเยซูกำลังพูดถึงโลกวิญญาณ และพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นทางที่จะเข้าสวรรค์ ทางที่จะได้รับความรอดพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตาย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ในชีวิตมนุษย์ทุกๆ คน นี่พระองค์ทรงชี้ไปตรงนี้ อย่างเดียวเลย ส่วนความจำเป็นในการดำเนินชีวิตแต่ละวันบนโลกใบนี้ พระองค์ให้วางใจในความรัก ความดีงามของพระเจ้า ในโลกวัตถุ ให้วางใจในพระเจ้า ถูกไหม? เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงเน้นถึงโลกวิญญาณเท่านั้น
เป้าหมายของการประกาศของพระเยซู ผมเอามาง่ายๆ สรุปอยู่ในข้อพระคัมภีร์ไม่กี่ข้อเอง นี่คือการประกาศของพระเยซูทั้งหมดเลย ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ 3 ปี กับคนที่ไม่เชื่อ คือสรุปอยู่ใน 3 ข้อนี้ ในยอห์น 3:16-18 ซึ่งดังมากผมจะอ่านให้ท่านฟัง …
ยอห์น 3:16-18 “16 พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ พึ่งพาในการกระทำของพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์ 17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลก ให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยผ่านทางการวางใจพึ่งพาในการกระทำของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ 18 คนที่วางใจพึ่งพาในการกระทำของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ คือปฏิเสธการช่วยเหลือจากพระเจ้ายังคงยืนกรานอยู่ในการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง ก็ถูกพิพากษา ลงโทษอยู่ในความพินาศในความตายในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจพึ่งพาในพระนาม พระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”
การประกาศของพระเยซูคริสต์ทั้งหมด สรุปออกมาอยู่ตรงนี้เอง นี่คือหัวใจของการประกาศข่าวประเสริฐทั้งหมด ไม่ว่าจะอ่านอุปมาไหน? อ่านตรงไหน? ต้องวิ่งมาอยู่ตรงเป้าหมายสำคัญ สรุปรวมที่ผมกำลังอ่านนี้ ในยอห์น 3:16-18 ตะโกนดังลั่นตั้งแต่บนภูเขาจนลงภูเขา จนไปอยู่ในบ้าน อยู่ตรงโน้นตรงนี้ ก็ประกาศอยู่แค่นี้ เอเมนไหม? อะไรก็ตามที่ฟังจากพระเยซู ต้องเอามาเทียบกับตรงนี้ว่ามันตรงไหม? มันใช่ไหม?
ครั้งที่แล้วเราจบด้วยเรื่องประตูใหญ่ วางใจตนเอง ประตูเล็ก วางใจพระคริสต์ เรามาทวนกันนิดหนึ่ง พระเยซูประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์กำลังมาตั้งอยู่บนโลกนี้ พระองค์คือประตูทางเข้าสวรรค์ เป็นประตูเล็ก ทางแคบ ประตูใหญ่ทางกว้าง คือการพึ่งพาตนเอง คือบาปนั่นเอง เพราะมวลมนุษย์เป็นทาส อยู่ภายใต้พลังอำนาจที่มองไม่เห็น แต่อยู่จริงๆ เหมือนแรงดึงดูดของโลก เห็นไหม ไม่เห็น แต่มีไหม? โยนของขึ้นไป ทำไมตกลงมาล่ะ เพราะมีแรงดึงดูด มีพลังอำนาจบางอย่างที่มองไม่เห็น มวลมนุษยชาติเป็นทาส อยู่ภายใต้พลังอำนาจ กฎของความบาป และความตาย ก็คือพึ่งพาการกระทำของตนเอง ซึ่งมีแต่จะนำไปสู่ความตาย เหน็ดเหนื่อยเท่านั้น แต่ถ้าเขาหันมาพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ จะนำพาไปสู่ชีวิตนิรันดร์ หายเหนื่อย นี่คือคำสรุปของคำบรรยายครั้งที่แล้ว
ในหนังสือโรม 6:23 บอกไว้อย่างนี้ว่า …
โรม 6:23 “เพราะว่าค่าตอบแทน ค่าจ้างที่ได้จากบาป (คือการพยายามพึ่งตนเองในการกระทำดี ละชั่ว เพื่อจะได้เป็นผู้ชอบธรรม) คือความตาย แต่ของขวัญจากพระเจ้า (ไม่ต้องพยายามทำอะไรเลย แค่เชื่อ แล้วมารับไปเท่านั้น) คือชีวิตนิรันดร์ ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา”
นี่ผมยกถ้อยคำพระเจ้าที่บันทึกไว้ในหนังสือโรม 6:23 มาให้ท่านดู เพื่อสนับสนุนให้ชัดเจนว่าพระเยซูกำลังประกาศอะไร?
เมื่อมีคำว่า “ค่าตอบแทน” หรือ “ค่าจ้าง” ในข้อความเมื่อสักครู่นี้ ก็หมายความว่าค่าจ้างหรือค่าแรง ต้องทำงานแลกเอาใช่ไหม? ต้องลงแรงลงกาย เหน็ดเหนื่อย ทำงานหนัก ที่จะแลกกับค่าตอบแทน คือค่าจ้าง เรากำลังพูดถึงการเข้าสู่สวรรค์ ค่าตอบแทน ค่าจ้าง ก็คือการได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์หลังความตายนั่นเอง
เมื่อสักครู่นี้ที่เราอ่านในข้อพระคัมภีร์ คำว่าบาปตรงนี้ ส่วนใหญ่ คนจะคิดว่าไปทำบาป ทำชั่ว ทำผิดศีลธรรม แต่ความจริง บาป แปลตรงตัวเลย ภาษาอังกฤษ แปลว่า “miss the target” ภาษาไทย แปลว่า “ผิดเป้าหมายของพระเจ้า” ผิดวัตถุประสงค์ของพระเจ้า ที่วางไว้ ตั้งแต่เริ่มต้นสร้างมนุษย์ใหม่ๆ ผิดเป้าหมายตรงไหน? ตรงที่บาป ก็คือไม่เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า เรียกว่าดื้อรั้น ไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระองค์ต้องการให้เราพึ่งในพระองค์เท่านั้น เราก็ไม่ยอมพึ่งในพระองค์ ตกอยู่ในความบาป พระองค์ทรงทราบดีว่าเมื่อเราดื้อ ไม่พึ่งในพระองค์ เราก็จะไม่มีชีวิตของพระองค์อยู่ภายในวิญญาณของเรา ซึ่งโดยลำพังตนเองไม่สามารถกระทำดีได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ถ้าปราศจากพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยในวิญญาณของเรา ทำดีได้ แต่ไม่สามารถทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามมาตรฐานที่พระองค์ทรงวางไว้ให้ พระองค์ทรงชี้อย่างนั้น บอกตั้งแต่แรกแล้ว แต่เราดื้อ ต้องการพึ่งตนเอง ซึ่งเรียกว่าทำบาปนั่นเอง เพราะฉะนั้น บาปตัวนี้ ตัวใหญ่มาก ไม่ใช่หมายถึงการทำผิดศีลธรรม ทำชั่ว อย่างนั้นมันเห็นชัดๆ แต่ข้างใน จากแก่นที่อยู่ในวิญญาณ มันคือตรงนี้ คือการไม่พึ่งพระเจ้า
ซึ่งการที่มนุษย์ทั้งหลายพยายามพึ่งความดี หรือตั้งใจที่จะทำความดี ด้วยตนเอง พยายามเคร่งครัด ในการทำตามกฎของศีลธรรม โดยการทำดีเยอะๆ ละความชั่ว ก็คือพยายามพึ่งพาการกระทำของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ดีมาก และได้ผลตอบแทนดีไหม? ดี แต่เป็นผลตอบแทนที่ดีในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น แต่สิ่งที่พระเยซูกำลังประกาศนี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับผลทางด้านฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเรามองไม่เห็น ถ้าเราพึ่งพาในการกระทำของตนเอง เราก็จะได้สิ่งที่ดี ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เท่าที่มองเห็นเท่านั้น แต่ในโลกทางฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์ได้บอกชัดเจน ผลตอบแทนที่ได้รับ เมื่อพึ่งพาตนเอง คือความเหนื่อย แล้วยังต้องตายอีก หมายถึงพินาศทางวิญญาณ คือถูกตัดขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้าไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าไม่ได้ หลังความตาย วิญญาณต้องไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า ทุกข์ทรมานชั่วนิรันดร์นั่นเอง
เพราะฉะนั้น ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ต้องทำงานอย่างหนัก ในการรักษาความดี ละชั่ว หนักไหม? ที่เราบอกตั้งใจทำดี ละชั่ว เพื่อจะได้ไปสวรรค์ มนุษย์ทุกคนก็คิดอย่างนี้ แล้วมันเหนื่อยไหมล่ะ มันเหนื่อย เพราะมันไม่ได้ เพราะว่าเราใช้กำลัง พึ่งพาในการตั้งใจด้วยตนเอง
“ฉันจะกระทำให้ดีที่สุด”
แล้วทำมันก็ไม่ได้ ซึ่งก็ให้ผล ก็คือความตายในวิญญาณ เหมือนเดิม เพราะเราอยู่ภายใต้ พลังกฎของความบาปและความตายอยู่ เราก็อยู่เหมือนเดิม หลุดออกจากมันไม่ได้ แถมเหนื่อยอีกต่างหาก เหนื่อยเท่าไร? ก็ไม่ได้ เพราะว่าเหนื่อยเท่าไร ก็ได้รับผลออกมา คือความตาย เพราะทำดีเท่าไร ก็ไม่สามารถถึงมาตรฐานของพระเจ้า ที่จะเข้าสวรรค์ ไปอยู่กับพระเจ้าได้เลย พระเยซูชี้ให้เห็นถึงโลกฝ่ายวิญญาณ สถานะทางโลกฝ่ายวิญญาณอย่างนี้ พระองค์จึงบอกว่า …
“ใครมีหู จงฟังเถิด ใครมีตา จงมองให้เห็นเถิด”
คือตาทางฝ่ายวิญญาณ แต่เมื่อสักครู่นี้ที่เราอ่าน โรม 6:23 บอกว่าแต่ของขวัญจากพระเจ้า จะตรงกันข้ามกับค่าตอบแทนแน่นอน เพราะถ้าจะได้ค่าตอบแทน ก็ต้องทำงานหนัก
ค่าตอบแทน แปลว่าเราลงอะไรไปอย่างหนึ่ง แล้วได้ค่าตอบแทนมา ถูกไหม? เราลงทุนอะไรบางอย่าง แต่ของขวัญ แปลว่าฟรี เราก็รู้ๆ กันอยู่ นี่พระคัมภีร์ เขียนไว้ก่อนหน้า ตั้ง 2,000 ปีแล้ว แต่ของขวัญ คืออยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็ได้ของขวัญนี้มา เพราะรัก ใครรักเรา? ของขวัญนี้ใครให้? พระเจ้าให้ ก็คือพระเจ้ารักเรา ให้เราฟรีๆ เราแค่เดินเข้าไปรับจากพระเจ้าเท่านั้น เรียกว่าฟรี เรียกว่าเป็นพระคุณไง เป็นพระคุณไม่ใช่พระเดช พระเดช คือท่านต้องทำงานอะไรบางอย่าง แล้วถึงจะได้รับ แต่นี่เป็นพระคุณ ให้ฟรีๆ และนี่แหละ คือพระประสงค์ของพระเจ้า คือความต้องการของพระเจ้า ตั้งแต่เริ่มต้น คือให้เราพึ่งในพระองค์อย่างเดียวเท่านั้นที่พระองค์ต้องการจากมนุษย์ ก็คือ …
“เข้ามาพึ่งพ่อ เข้ามาอยู่กับพ่อ เจ้าช่วยตัวเองไม่ได้หรอก”
นี่คือสิ่งเดียวที่พระเจ้าต้องการ ไม่ต้องการอะไรอย่างอื่น ต้องการให้เราพึ่งในพระองค์ ของขวัญนี้ที่เราได้รับฟรี คือชีวิตนิรันดร์ คือการได้บังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากความบาปใดๆ เป็นวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ทันทีทันใดเลย ขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และหลังความตาย ก็จะอยู่สถานที่เดิม ก็จะอยู่ในพระเจ้า อยู่ในสวรรค์นี้ตลอดไป โดยแค่ผ่านทางความเชื่อและวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำให้กับเราทั้งหลายบนไม้กางเขนเท่านั้น เราก็ได้รับของขวัญนี้มาฟรีๆ เดินเข้าไปรับฟรีๆ รับเดี๋ยวนี้ อยู่ในสวรรค์เดี๋ยวนี้เลย และจะอยู่ในสวรรค์อย่างนี้ตลอดไป หลังความตาย ก็จะอยู่ในสวรรค์นี้เหมือนเดิม
พระคริสต์จึงได้ตรัสอย่างนี้ว่า “มนุษย์ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเราเถิด เราจะให้ผู้นั้นเหนื่อยมากยิ่งขึ้น” ไม่ใช่
ทุกคนก็ท่องได้แล้ว พระองค์ตรัสว่า “ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเราเถิด เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”
นี่คือข่าวดีหรือข่าวร้าย ข่าวดี มันฟรีๆ ข่าวร้ายมันเหนื่อยยากลำบาก และแถมไม่ได้ด้วย ข่าวดีนี้ง่ายๆ แต่ทำไมถึงเป็นทางแคบ คิดใช่ไหม? ถ้ามันง่ายอย่างนี้ ทุกคนก็เข้ามาหมด นั่นนะสิ ผมก็เคยคิดอย่างนี้ในอดีต มันง่ายอย่างนี้ ทุกคนก็เข้า แล้วทำไมไม่เข้าล่ะ เรามาดูว่าทำไมไม่เข้า? ง่ายอย่างนี้ คือแค่การวางใจในพระเยซู ก็ได้รับของขวัญนี้แล้ว แต่การวางใจในพระเยซูเป็นทางแคบ ก็เพราะว่าเป็นการต่อสู้กับที่ตะกี้นี้บอก ต่อสู้กับพลังอำนาจ แรงดึงดูดของโลก ที่เราโยนของลงไป แล้วมันตกลงมา มันสู้ไหม? สู้ เราโดดลงไปในน้ำ มันพยายามดูดเราจมน้ำไหม? เราต้องทำอะไร? สู้ ถ้าเราไม่สู้ มันก็ถูกดูดลงไปจม ยกเว้นเราจะมีห่วงยางคอยช่วยเหลือ พยุงเราไว้ ถูกไหม? นั่นคือพลังอำนาจที่มองไม่เห็น แต่มีอยู่จริง ถูกไหม?
เพราะฉะนั้น พลังอำนาจของความบาป คือความตายในวิญญาณ การพินาศในวิญญาณ ซึ่งครอบครองอยู่ในใจของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ตามที่พระคัมภีร์ได้บ่งบอกไว้ และมันเป็นศัตรูกับพระเจ้า ก็คือบาปนั่นเอง ซึ่งมารพยายามปิดบังตา โกหก ไม่ให้มนุษย์เห็นความจริงของพระเยซูคริสต์ ที่ประกาศนั้น แต่พระเยซูคริสต์มาบนโลกใบนี้ และประกาศ เพื่อเปิดเผยความจริงเหล่านี้ ให้กับมนุษย์ได้เห็นว่ามันเป็นอย่างนี้อยู่ มนุษย์มองไม่เห็นพลังอำนาจมืดตรงนี้อยู่ว่ามันดึงเราอยู่ ที่เราไม่เชื่อพระเจ้า เพราะมีอะไรบางอย่างดึงเราอยู่ มันง่ายจริง แต่เป็นทางแคบ เพราะมีอำนาจที่มองไม่เห็นดึงเราไม่ให้เชื่อ และผู้ที่ดึงเราไม่ให้เชื่อนั่น ก็คือมาร ใช้กฎ พลังอำนาจของความบาปและความตายที่มองไม่เห็น เป็นอาวุธ ตัวมารเอง ไม่มีอำนาจอะไรเลย แต่พลังอำนาจของความบาปและความตาย มันมีอยู่จริง มันพยายามดึงเราไปสู่ความตาย อยู่ห่างจากพระเจ้า
เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ได้ จึงต้องดิ้นรน นึกออกใช่ไหม? ที่ตะกี้นี้ผมบอกว่าเหมือนเราอยู่ในน้ำ และมีแรงดึงดูดของโลกที่มองไม่เห็น ดูดเราจมน้ำ เราต้องดิ้นรน เราอยากพ้นจากบาป ด้วยกำลังของเราเอง พ้นได้ไหม? ไม่ได้ ทั้งชีวิต มันจะดูดเราลงตลอด ตกลงไปตลอดเวลา นั่นแหละ คือสภาพของมนุษย์ทุกคน ที่จะเข้าสวรรค์ อาณาจักรสวรรค์บนโลกใบนี้ นั่นแหละ เป็นอย่างนั้น พระเยซูจึงบอกว่าเขาจึงต้องเคาะแล้วเคาะอย่างต่อเนื่อง หาและหาอย่างต่อเนื่อง ขอและขออย่างต่อเนื่อง ไม่หยุดยั้งเลย หยุดเมื่อไร มันจะจม เขาจะต้องไม่หยุดยั้ง จนกว่าเขาจะเข้าสวรรค์ได้ ก็คือจนกว่าเขาจะเจอเรือมารับ ห่วงยางโยนลงมา นั่นแหละ เขาจึงจะได้พักผ่อน คริสเตียน คือผู้ที่เกาะห่วงยาง และพระเยซูดึงขึ้นไปบนเรือแล้ว จบแล้ว ไม่ต้องกระหืดกระหอบ นึกออก ไม่ต้องกระเสือกกระสนแล้ว
เพราะฉะนั้น คนที่จะเข้าสู่สวรรค์ได้ เขาต้องขอ หา เคาะไม่หยุดยั้ง จนกว่าจะได้เข้าสวรรค์ ก็คือเขาจะต้องตัดสินใจ ตั้งใจจริง ดิ้นรนที่จะออกจากระบบ ต่อสู้กับระบบ พลังแรงดึงดูดของโลก ผมพยายามยกตัวอย่าง และเทียบกันนะ เขาจะต้องดิ้นรน ตัดสินใจที่อยากจะหลุดออกจากพลังแรงดึงดูดของโลก ก็คือแรงดึงดูดของกฎของความบาปและความตาย ที่ครอบครองอยู่ในใจของเขา และอยู่บนโลกใบนี้ทั้งหมด
เหมือนอยู่ในน้ำ ก็ต้องสู้ เขาไม่ได้สู้กับน้ำหรอก แต่เขาสู้กับแรงดึงดูดของโลกที่ดูดอยู่ มนุษย์ทุกคนก็เหมือนกัน เขาจะต้องตัดสินใจว่าจะต้องสู้กับพลังแรงดึงดูดของกฎของความบาปและความตาย ที่อยากจะพึ่งพาตนเอง แล้วย้ายมาทางใหม่ พระเยซูก็ประกาศแล้ว ก็คือย้ายมาสู่กฎของวิญญาณ ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นทางแคบ เพราะว่าธรรมชาติของมนุษย์อยู่ภายใต้พลังของความบาปและความตายทั้งโลกอยู่แล้ว
พระเยซูเป็นเหมือนเรือลำหนึ่งมาช่วย เราอยู่ข้างล่าง อยู่ในน้ำ เป็นมหาสมุทร ซึ่งพลังนี้ดูดลงไปหมดเลย ดูข้างๆ ไม่มีทางรอดสักแห่ง เพราะทุกคนก็อยู่ในพลังแรงดึงดูดของโลกนี้อยู่ ต้องมองไปที่เดียว คือมองไปที่เรือและมองไปที่ห่วงยางที่พระเยซูส่งมา มันจึงเป็นทางแคบ เพราะส่วนใหญ่นั้น อยู่ภายใต้พลังแรงดึงดูดของกฎของความบาป และความตายอยู่ ต้องกระเสือกกระสนหักแอกแห่งการเป็นทาสของความบาป คือการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง ซึ่งมันครอบครองอยู่ในใจและอยู่บนโลกใบนี้ทั้งหมด เราจะต้องสู้กับมัน หลุดออกมาให้ได้
ในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็นนี้ พระเยซูอธิบายว่ามันมี 2 แห่งที่มันกำลังสู้กันอยู่ พลังหนึ่งเรียกว่าพลังของความบาปและความตาย แต่พระเยซูที่ประกาศอยู่นี้ กำลังบอกว่าสวรรค์กำลังจะมาตั้งอยู่ ก็คือพลังของความดีงามของพระเยซูคริสต์ พลังแห่งความรอดในพระเยซูคริสต์กำลังมาเกิดขึ้น กำลังมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น จะมีอยู่ 2 อาณาจักรให้เลือก กำลังจะต่อสู้กันในไม่ช้านี้ เมื่อพระองค์ทรงกระทำการงานสำเร็จที่ไม้กางเขนแล้ว พระองค์เอาสวรรค์ลงมาแล้ว จะมีกฎของการเข้าสวรรค์ คือกฎของวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ซึ่งจะเป็นกฎที่เอามาต่อสู้กันกับกฎของความบาปและความตาย และกฎของพระเยซูคริสต์ที่จะชนะกฎของความบาปและความตาย มันมี 2 แห่งเท่านั้น และ 2 แห่งนี้ ต้องสู้กัน พระเยซูกำลังมาประกาศจะบอกเลยว่าอาณาจักรสวรรค์ เป็นอาณาจักรที่ต้องแย่งชิงเอา เคยได้ยินใช่ไหม? ในมัทธิว 11:12 บอกอย่างนี้ พระเยซูประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ต้องแย่งชิงเอา ก็คือสู้กัน 2 อันระหว่างอาณาจักรของความมืดกับอาณาจักรของความสว่าง เป็นสงครามฝ่ายวิญญาณ ที่มนุษย์อยู่ตรงกลางต้องเป็นผู้ตัดสินใจ ต้องเลือกว่าจะอยู่ข้างไหน ซึ่งเดิมที มนุษย์ไม่มีทางเลือกเลย ไปอยู่ข้างเดียว ก็คืออยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย แต่บัดนี้ พระเยซูมาเริ่มต้นกฎใหม่ คือกฎของวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ นำสวรรค์ลงมาตั้งอยู่ และมีทางใหม่ให้เลือกแล้ว
มนุษย์มีโอกาสได้เลือกแล้วว่าจะเลือกทางใหม่ หรือทางเก่า ต้องตัดสินใจเลือกข้าง ระหว่างทางเก่ากับทางใหม่ ก็คือระหว่างวางใจพึ่งพาการกระทำดีของตนเองกับการวางใจพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน มนุษย์ต้องเป็นผู้เลือก จะเห็นภาพเลยว่ามารไม่มีอำนาจเลย เห็นไหมครับ? มนุษย์เลือกได้ แต่ก่อนหน้าที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ และทำงานให้สำเร็จ ที่ไม้กางเขนนั้น มนุษย์เลือกไม่ได้ เพราะไม่มีกฎใหม่ให้เลือก มนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ แต่พระเยซูนำสวรรค์เข้ามาตั้งอยู่ แต่สวรรค์ที่พระองค์ทรงนำมาตั้งอยู่นั้น เป็นทางเลือกให้มนุษย์ต้องเลือกเข้ามาเอง มนุษย์ต้องตัดสินใจเองว่าจะเข้ามาไหม? นึกออกใช่ไหม?
โอเค เรามาต่อวันนี้ ต่อจากครั้งที่แล้ว จบลงตรงทางแคบ มีคนถามไหมว่าทางแคบ ทำไมถึงแคบ อธิบายลำบาก เลยพยายามที่จะอธิบายวันนี้ให้ชัดเจนขึ้น แต่อย่างที่บอกต้องไปฟังเยอะๆ และไปอธิษฐาน แล้วท่านจะเห็นภาพชัดเจนว่าทำไมถึงเป็นทางแคบ สังคมรับไม่ได้ไง พระเยซูกำลังมาบอกอย่างนี้ นี่คือทางแคบรับไม่ได้ เพราะเขายังอยู่ในพลังอำนาจของความบาปและความตาย ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ แล้วก็ทำงานอยู่ในใจของเขา อยู่ในวิญญาณของเขาอยู่ ดั้งเดิมมันเป็นอย่างนี้ พระเยซูต้องกระชากเขาออกมาจากพลังอำนาจเดิม หลุดออกมาจากการเป็นทาสได้ มันไม่ง่าย
วันนี้ต่อ คือมัทธิว 7:15-16 อุปมาเกี่ยวกับเรื่องต้นไม้และผลของมัน ผลของต้นไม้ …
มัทธิว 7:15-16 “15 จงระวังผู้เผยพระวจนะเท็จ เขามาหาพวกท่านในคราบแกะ แต่ภายใน คือสุนัขป่าดุร้าย 16 ท่านจะรู้จักเขาโดยผลของเขา กอหนามจะออกผลเป็นองุ่น และพุ่มหนาม จะออกผลเป็นมะเดื่อได้หรือ?”
ผู้เผยพระวจนะเท็จคือใคร? พระเยซูกำลังพูดถึงพวกฟาริสี ธรรมาจารย์ที่กำลังต่อต้านพระเยซูคริสต์ และจะต่อต้านไปในอนาคตด้วย พระองค์ทรงเปรียบเทียบ วิญญาณพวกเขาเหมือนต้นไม้ ต้นไม้ คือวิญญาณ ผู้ที่ยังไม่เชื่อ ภายในวิญญาณของเขายังเป็นคนชั่ว ยังเป็นคนบาป เป็นสุนัขป่าดุร้าย นี่พระองค์กำลังพูดกับชาวยิว ฟาริสี ธรรมาจารย์ ที่หน้าซื่อใจคดว่าภายในวิญญาณของเขา ยังเป็นคนชั่ว เป็นคนบาป เป็นสุนัขป่าดุร้าย
ผลของวิญญาณเลว ก็คือวิญญาณเขาเลว ไม่ดี ชั่ว เขาจึงมีผล ก็คือปฏิเสธ ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระมาซิฮาห์ ชัดเจนไหม? อาณาจักร 2 แห่ง สู้กัน เขาจะต่อต้าน ข่มเหง ความจริง คือพระเยซูคริสต์และผู้เชื่อในพระองค์ ในอนาคตอันใกล้นี้ เขาต่อต้านพระเยซู เขาก็จะต่อต้านคนที่เชื่อเหล่านั้น เพราะวิญญาณมันไม่ดี ผลิตผลออกมา ก็คือไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์นั่นเอง ต่อไปในมัทธิว 7:17-20 …
มัทธิว 7:17-20 “17 ในทำนองเดียวกัน ต้นไม้ที่ดีทุกต้นย่อมให้ผลที่ดี ส่วนต้นไม้เลวย่อมให้ผลที่เลว 18 ต้นไม้ดีไม่อาจให้ผลเลว และต้นไม้เลวไม่อาจให้ผลดี 19 ต้นไม้ทุกต้นที่ไม่ให้ผลดี ก็ถูกโค่น และโยนลงในไฟ 20 ฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้ จากผลของเขา”
คราวนี้ พระองค์ก็กลับมาพูดกับคนทั่วๆ ไปแล้ว ชาวยิวกับคนทั่วๆ ไป ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ย้ำอีกที จะได้ชัดๆ บอกว่าผลของต้นไม้ดี ก็คือวิญญาณดี เป็นชีวิตนิรันดร์ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า นี่คือผลของวิญญาณ ผลของต้นไม้เลว ก็คือความพินาศในบาป สกปรก ไม่บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ตรงข้ามกันนั่นเอง แต่ว่าดูภายนอกแล้วดูดี คล้ายๆ กัน เหมือนผลไม้ ปัจจุบัน เรียกว่าผลไม้พลาสติก ของเทียม ซึ่งบางครั้งดูแล้ว มันดูดีกว่าของจริงอีก เราดูไม่ออก เพราะทำดีเหมือนๆ กัน เป็นผลไม้เหมือนกันเลย ลักษณะเหมือนกัน พระเยซูกำลังบอกว่าอยู่ที่วิญญาณ ถ้าวิญญาณดี ก็ให้ผลดี ถ้าวิญญาณชั่วเลว ก็ให้ผลเลว
นี่คือสัจจธรรมที่พระเยซูกำลังบอก มันขึ้นอยู่กับวิญญาณ วิญญาณดี ก็คือวิญญาณที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในสวรรค์ อยู่ในอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ คืออาณาจักรสวรรค์นั่นเอง ตรงกันข้าม วิญญาณชั่ว เลว เป็นวิญญาณที่อยู่ในอาณาจักรของความบาปและความตาย ก็คือการพึ่งพาตนเอง อยู่ในความพินาศ ซึ่งเราก็รู้แล้วว่าพระคัมภีร์บอกว่าอยู่ในอาดัมนั่นเอง ก็คืออยู่ในบรรพบุรุษเดิม ที่ตกลงไปในความบาป
พระเยซูชี้ให้เห็นว่าถ้าเกิดคุณอยู่ในอาดัม ความชอบธรรมของคุณ ก็คือความดีงามที่คุณกระทำทั้งหมดนั้น ก็เหมือนเศษผ้าขี้ริ้วสกปรก ดังนั้น ในโลกนี้จึงมีคนเพียง 2 ประเภทเท่านั้น คือประเภทที่มีวิญญาณอยู่ในอาดัมกับประเภทที่มีวิญญาณอยู่ในพระคริสต์
ในโลกนี้ทั้งหมด มองไปดูเหมือนๆ กัน เป็นคนหมดเลย เป็นมนุษย์หมด แต่พระเยซูบอกว่าในอนาคตอันใกล้ จะมีคนอยู่ 2 ประเภท คือประเภทหนึ่งที่ยังพึ่งพาตนเอง เรียกว่าอยู่ในอาดัม อีกพวกหนึ่งที่พึ่งพาพระเยซูคริสต์เรียกว่าอยู่ในสวรรค์อยู่แล้ว อยู่ในพระคริสต์ 2 ประเภทเท่านั้น ดูภายนอก ก็เหมือนๆ กัน และในความเป็นจริง ผู้ที่อยู่ในอาดัม ก็มีผู้ที่กระทำความดี ถูกไหม? คนที่อยู่ในอาดัม ที่ไม่เชื่อ พึ่งพาการกระทำของตนเอง ก็มีคนกระทำดี และผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ก็มีคนที่กระทำผิดบาปด้วยเช่นเดียวกัน นึกออกไหม?
ตามองไม่เห็น แต่มันเป็นอย่างนี้จริงๆ ซึ่งพระเยซูกำลังบอกความจริง ในโลกวิญญาณ ชี้ให้เห็นว่าจงมองให้เห็นเถิดว่าถ้าวิญญาณ ยังเป็นบาปอยู่ ยังพึ่งพาในการกระทำของตนเอง ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ ยังถูกพลังอำนาจของความบาปและความตายดูดอยู่ ยังเป็นทาสของความบาปและความตายอยู่นั้น ถ้าวิญญาณยังเป็นบาปอยู่นั้น ต่อให้พยายามทำดีมากเท่าไร ผลของวิญญาณนั้น ก็คือความตายพินาศนั่นเอง แต่ดูภายนอก ดูเหมือนๆ กัน ฉันใด ถ้าวิญญาณได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เชื่อวางใจในพระเยซูแล้ว เกิดใหม่แล้ว ต่อให้ทำความชั่วมากเท่าไร? ผลออกมา ก็ยังคงเป็นความชอบธรรม เป็นชีวิตนิรันดร์ฉันนั้น นี่คือทางแคบไหม? มนุษย์ทุกคนฟังแล้ว …
“โอ๊ย! เป็นไปได้อย่างไร? ไม่ยุติธรรมเลย”
แล้วที่เราเชื่อกันมาแต่ไหนแต่ไรว่าเกิดมาเราก็มีบาปติดตัว ต้องชดใช้กรรมกี่ชาติ กี่ปี ไม่หมดสักที อย่างนี้ยุติธรรมไหม? ไม่มีใครมาสอนเรา เราก็เชื่อ เราเกิดมาใช้กรรม ยังไม่ได้ทำอะไรเลย ใช้กรรมอะไรล่ะ ไม่รู้ ก็เกิดมาใช้กรรม เราก็ยังเชื่ออย่างนั้น แล้วพระเยซูกำลังบอกว่าเกิดใหม่ ได้ไปสวรรค์เลย ไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน ทีอย่างนี้บอกไม่ยุติธรรม เกิดมาใช้กรรม ทำดีตั้งเยอะแยะ แต่ก็ไม่หมดสักทีหนึ่ง ไม่รู้ชาติไหนจะหมด ทำดีชาตินี้ ทำๆ จนเหนื่อย จนตาย ก็ไม่ได้ ชาติหน้าก็ทำต่อ ทีอย่างนี้เราเชื่อได้ง่ายๆ เพราะอะไร? สรุปง่ายๆ ก็คือเพราะว่ามีพลังอำนาจความมืด ดูดให้เราเชื่ออย่างนั้น โดยที่เราไม่รู้ตัว มันแอบอยู่ เรามองไม่เห็น แต่พระเยซูกำลังมาชี้ให้เรามองเห็น
ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับวิญญาณเท่านั้นว่าเป็นวิญญาณที่ดี หรือวิญญาณที่ไม่ดี วิญญาณที่เป็นบาป หรือวิญญาณที่เป็นผู้ชอบธรรมนั่นเอง อยู่ในอาณาจักรไหนในโลกวิญญาณ เหมือนที่พระเจ้าถามอาดัมว่าอยู่ไหน? ก็อยู่ในการพึ่งพาตนเอง พระองค์บอกเป็นนัยๆ ว่าเจ้าไม่ได้อยู่ในสวรรค์แล้วนะ หลุดจากสวรรค์แล้ว ถ้าอยู่ในสวรรค์ต้องพึ่งพาในพระเจ้าเท่านั้น นี่ต้องพึ่งพาตนเองอยู่ในบาป
อย่างที่บอก มันเป็นกฎ เหมือนแรงดึงดูดของโลก ต่อให้เราไม่เห็น มันก็มีอยู่จริง และมันก็เกิดผลจริงๆ โยนขึ้นไป มันก็ตกลงมาจริงๆ รับรองได้ และยุติธรรมจริงๆ ด้วย ก็คือไม่ว่าจะเป็นคนชั่ว หรือทำดี หรือดีขนาดไหน? หรือชั่วขนาดไหน? แรงดึงดูดของโลก ก็ยังทำงานเหมือนเดิม เราทำบุญมากๆ ทำดีเยอะๆ เป็นคนเมตตากรุณามากๆ เลย ของไม่หล่นใส่หัวเราเหรอ? โยนของขึ้นไป ไม่หล่นลงมา ปีนขึ้นต้นไม้ กิ่งไม้หัก ไม่ตกลงมาตาย ตายไหมถ้าสูงๆ ตาย คนชั่วตกลงมา เราก็บอกเพราะทำชั่ว เลยตกลงมาตาย แต่ปรากฏว่าคนดี ก็ตาย เหมือนกัน ตอบไม่ถูกเหมือนกัน มันเป็นกฎ
ในเรื่องของวิญญาณ ที่พระเยซูกำลังอธิบายนี้ มันก็เป็นกฎ ซึ่งวิญญาณดี วิญญาณชอบธรรม เป็นของพระเจ้า ให้มาฟรีๆ ผ่านทางการวางใจในพระเยซูคริสต์ พระเมซิยาห์ของชาวยิว หมายถึงเป็นภาษาของยิว แปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด การเปลี่ยนแปลงกฎนี้ ก็ทำแค่สิ่งเดียว เป็นของขวัญ พระเจ้าให้ฟรีๆ ก็คือเพียงแค่พึ่งพาวางใจในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 ได้เริ่มต้นกฎของวิญญาณแห่งชีวิตขึ้นมา เรียกว่ากฎของวิญญาณแห่งชีวิตที่สามารถพาผู้คนไปอยู่ในสวรรค์ได้ ให้ผู้คนย้ายเข้ามาอยู่ในกฎนี้ ย้ายมาอยู่ในทางของพระองค์นี้ ซึ่งผู้คนฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ ก็เลยเป็นทางแคบ ใครที่วางใจ วิญญาณก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ย้ายสถานที่อยู่ ใครที่วางใจพระเยซู ตามที่พระองค์บอก ใครที่วางใจในพระเมซิยาห์ คือพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ วิญญาณของเขา ก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลง ได้ย้ายสถานที่อยู่ จากอาณาจักรเก่าไปสู่อาณาจักรใหม่ เห็นหรือยัง? จากวิญญาณที่บาป กลายเป็นวิญญาณที่ดี ได้รับชีวิตนิรันดร์ เป็นผลของวิญญาณ ได้อยู่ในสวรรค์ ชัดเจนเลย มี 2 แห่ง ซึ่งอย่างที่บอก ถ้าเราคิดตามปัญญาของมนุษย์ รับความจริงเหล่านี้ไม่ได้ ก็เลยเป็นทางแคบ ซึ่งจริงๆ คิดให้ดีๆ ที่ตะกี้นี้บอก ที่เราคิดอะไรต่างๆ ถูกหลอก แม้เชื่อในบาปเวรกรรมว่าเกิดมา ต้องใช้เวรใช้กรรม ทีอย่างนี้เราเชื่อได้ เพราะพลังอำนาจมันสนับสนุนเรา เพราะฉะนั้นต้องต่อสู้ แสงสว่างที่พระเยซูนำเข้ามาเล็กๆ แต่เป็นแสงสว่างที่มีพลังอำนาจ เพราะเป็นความจริง เป็นแสงสว่าง ซึ่งอยู่ท่ามกลางความมืด พระคัมภีร์บอกชัดเจน ไม่ใช่เป็นความสว่างที่อยู่ท่ามกลางความสว่าง เป็นความสว่างที่อยู่ท่ามกลางความมืด เพราะฉะนั้น ความมืดพยายามปิดบังสิ่งต่างๆ เหล่านี้อยู่ ดึงเราอยู่ เราต้องตัดสินใจสู้กับมันให้ได้ อย่างที่บอก เหมือนเพลงที่เราร้อง
“ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู
ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู
ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู
ไม่หันกลับเลย ไม่หันกลับเลย”
แสดงว่าทั้งโลกพยายามดึงเราออก หันกลับ มันมีแรงพลังอำนาจความมืดที่มองไม่เห็น ไม่ใช่เป็นของมาร แต่มารใช้อยู่ พยายามปิดบังตาเรา ให้เรามีความเชื่อเหมือนเดิมๆ มาต่อมัทธิว 7:21 …
มัทธิว 7:21 “ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ แต่คนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์เท่านั้น (คือวางใจในเราที่พระเจ้าส่งมา) ที่จะได้เข้า”
ตอนนี้กำลังพูดถึงคนที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ไม่เชื่อ ไม่เป็นคริสเตียนชัดเลย เพื่อจะให้ดูว่าผู้ที่เป็นคริสเตียนแล้ว เอาไปใช้แบบของตัวเองเยอะเลย เลยเอามาชี้ให้เห็นว่านี่กำลังพูดกับคนที่ยังไม่เชื่อ ไม่ได้เป็นคริสเตียน พูดถึงคนที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้ทำตามพระประสงค์ของพระบิดา
พระประสงค์ของพระบิดา คือวางใจในพระเยซู แต่คนเหล่านี้ไม่ได้ทำตามประสงค์ของพระบิดา คือไม่ได้วางใจในพระมาซีฮาห์ พระบุตรของพระเจ้าถูกไหม? ต่อไปข้อ 22-23 …
มัทธิว 7:22-23 “22 หลายคนจะพูดกับเราในวันนั้นว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์ เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ ขับผีในพระนามของพระองค์ และทำการอัศจรรย์มากมายมิใช่หรือ’ 23 เมื่อนั้น เราจะบอกเขาอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘เราไม่เคย ได้รู้จักเจ้าเลย เจ้าคนทำชั่ว จงไปให้พ้น!”
เน้นอีกทีหนึ่งเลย กำลังพูดถึงคนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เชื่อ ยังไม่ได้เกิดใหม่ จำเอาไว้? บอกตัวเอง คนที่ยังไม่ได้เชื่อ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนฟังทางนี้ ไม่ใช่คนที่เป็น คริสเตียนแล้วฟังทางนี้ คนที่ยังไม่ได้พึ่งพาการกระทำดีของพระเยซูคริสต์ แต่ยังพึ่งพาในการกระทำดีของตนเองอยู่ เพื่อที่จะได้ไปสวรรค์ ตั้งหน้าตั้งตาทำความดี สะสมความดี เพื่อจะได้ไปสวรรค์ ฟังทางนี้ ฟังข้อนี้ให้ดีๆ ต้องเตือนตัวเองให้ชัดๆ ต้องเน้นตรงนี้ เพราะคนเอาไปใช้เยอะมาก อย่างที่บอกเสียหาย
ตอนนี้กำลังพูดถึงคนไม่เชื่อ เกี่ยวกับอะไร? หลายคนจะพูดกับเราในวันนั้นว่า … “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์เผยพระวจนะในนามของพระองค์ ขับผีออกในนามของพระองค์ และกระทำการอัศจรรย์มากมายมิใช่หรือ?”
“พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า” คือหลายคนจะพูดกับเราในวันนั้น คือวันไหน? วันพิพากษาหลังความตาย ที่มนุษย์ทุกคนจะถูกพิพากษา โดยพระเยซูคริสต์กลับมาอีกครั้งหนึ่ง พอถึงวันพิพากษา นี่พูดถึงคนที่ไม่เชื่อใช่ไหม? หลังจากวันแห่งความตาย เขาหวังว่าเขาจะไปสวรรค์ใช่ไหม? แต่เขาไปถึงปุ๊บ จ๊ะเอ๋กับผู้พิพากษา คือพระเยซูคริสต์ เขาก็ตัวสั่นหมดแล้ว เพราะว่าเขาปฏิเสธพระเยซูมาตลอด ที่บอกว่าพระองค์เจ้าข้า เขาไม่ได้เรียกพระเยซูคริสต์ เพราะเขาไม่รู้จัก แต่ถ้าเขาเป็นคริสเตียนแล้ว ถ้าเจอวันนั้น โอ้! พระเยซู รู้จักไหม? รู้จักกันเลย เพราะเรารู้จักพระนามพระเยซู
นี่เขาจะบอกว่าพระองค์เจ้าข้าๆ ความหมายของยิวสมัยนั้น ก็คือพระเจ้าจอมเจ้านาย พระเจ้าที่ข้าพระองค์เป็นทาสอยู่ เขาไม่เรียกพระเจ้าว่าพระบิดาด้วย แล้วเขาไม่เรียกว่าพระเยซูด้วย เขาเรียกว่าพระเจ้าจอมเจ้านาย ตามประสายิวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะเขาเห็นพระเจ้าเป็นผู้พิพากษา เขาไม่รู้จักพระเยซู พูดง่ายๆ บ่งบอกว่าคำเหล่านี้เป็นคำของคนที่ยังไม่เชื่อ ยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่รู้จักพระเยซู เขาก็เลยอ้าง สวรรค์ตามความหวังของเขา เพราะว่าตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เขาก็บอกว่าที่เขาทำดีมาตลอด ตั้งเยอะแยะ เขาหวังอยู่ในสวรรค์ เขาทำในนามของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่เรียกว่าพระเจ้า ไม่ใช่พระเยซู เขาทำในนามพระเจ้าของอิสราเอล ไม่ใช่พระเยซูคริสต์ คนที่จะรอด ต้องรอดโดยพระเยซูคริสต์ พระองค์บอกต้องวางใจในพระองค์ คนเหล่านี้ไม่ได้วางใจ คนเหล่านี้คุกเข่าต่อหน้าพระเยซู ไม่ใช่เพราะรู้จักพระเยซู แต่เพราะยอมจำนนว่านี่มันความจริง …
“อ้าว! เป็นพระเยซูหรือ?” เป็นเรื่องจริง ฟีลิปปี 2:10-11 บอกไว้อย่างนี้ …
ฟีลิปปี 2:10-11 “10 ทุกชีวิตในสวรรค์บนแผ่นดินโลก และใต้แผ่นดินโลก จะคุกเข่าลงนมัสการพระนามของพระเยซู 11 และทุกลิ้นจะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ คือองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเป็นการถวายพระเกียรติสิริ แด่พระเจ้าพระบิดา”
นี่หมายถึงวันของการพิพากษาหลังความตาย ทุกคนจะคุกเข่าลง และยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าจริงๆ มิได้หมายถึงทุกคน นี่คือทุกคนที่เป็นผู้เชื่อ ผู้เชื่อไม่ต้องแล้วว่าพระเยซูเป็นเจ้านาย เพราะพูดมาตั้งแต่ตอนอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เอเมนไหม? ซึ่งถึงวันนั้น มันสายไปแล้ว สำหรับคนที่ไม่ได้วางใจในพระเยซู ไม่รู้จักพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้านายจริงๆ เป็นพระเจ้าจริงๆ แม้ว่าเขาเหล่านั้นที่ไม่เชื่อจะอ้างความดีต่างๆ ที่ได้กระทำมาในอดีต ตอนเป็นมนุษย์อยู่นั้น ตอนยังไม่ตาย มันก็ไม่เกิดผลอันใดเลย แม้แต่นิดหนึ่ง เพราะพระเยซูได้เตือนแล้วเตือนอีก บอกแล้วบอกอีก ถูกไหม?
พวกเขาเหล่านั้นที่ไม่เชื่อ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น เคยหวังว่าจะพึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง พึ่งในการรักษาบทบัญญัติ พึ่งในการรักษากฎศีลธรรม จริยธรรมอันดี เพื่อจะได้ผ่านการพิพากษาและได้อยู่ในสวรรค์หลังความตาย ใช่หรือไม่? ซึ่งพระเยซูก็ได้เตือนแล้วเตือนอีก ประกาศแล้วประกาศอีก ผ่านทางผู้คนทั้งหลายว่าไม่มีทางเป็นไปได้เลย อย่าพึ่งตนเอง
เพราะฉะนั้น วันพิพากษาหลังความตายมาถึงเมื่อไร? แม้คนเหล่านี้ จะคุกเข่าลงกราบ และยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า พระเยซูก็จะพูดว่า …
“เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย”
ไม่เคยนะ ไม่ใช่ไม่รู้จักเจ้า “ไม่เคยรู้จักเจ้า” แสดงว่าไม่เคยรู้จักเจ้า ตอนที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ไม่เคยรู้จักเจ้าเลยตั้งแต่ก่อนตาย เจ้าก็ไม่เคยรู้จักกับเรา คำว่า “รู้จักตรงนี้” แปลว่ารู้จักสนิทสนม มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งเหมือนสามีภรรยา …
“เราไม่เคยเป็นหนึ่งเดียวกันเลย เราไม่เคยอยู่ด้วยกันเลย เจ้าอยู่ที่ไหนมา เราก็อยู่ของเรา เจ้าก็อยู่ของเจ้า เจ้าอยู่ในอาดัม เจ้าไม่ได้อยู่ในพระคริสต์เลย”
พอนึกออกใช่ไหม? มันหมายถึงอย่างนั้น “เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย”
ไม่ใช่หมายถึงว่า “เราเคยรู้จักเจ้าในอดีตตอนที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เจ้าเชื่อ เดี๋ยวเราไม่รู้จักเจ้า เพราะเจ้าทำไม่ดี เราเลยทิ้งเจ้า” ไม่ใช่
“เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย”
พระเยซูบอกอย่างนี้ มิได้หมายถึงคริสเตียนเลยแม้แต่นิดเดียว คริสเตียนเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์
“แต่ข้ารู้จักพระคริสต์ที่ข้าเชื่อ และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา
รักษาซึ่งมอบไว้กับพระองค์ จนถึงกาลวันนั้นได้”
กาลวันนั้น คือวันพิพากษาหลังความตายนั่นเอง พระเยซูจึงเตือนแล้วเตือนอีกว่าให้วางใจในพระองค์เถิด การเข้าสวรรค์ได้นั้น ต้องเกิดขึ้นในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้เท่านั้น เตือนแล้วเตือนอีก
ต้องเลือกและตัดสินใจตอนที่อยู่บนโลกนี้เท่านั้นว่าจะอยู่ในสวรรค์หรือไม่? ไม่ใช่มา รอหลังความตาย ซึ่งสายไปแล้ว ซึ่งเลือกด้วยวิธีการเชื่อและวางใจในพระบุตร ถ้ารอจนกระทั่งหลังความตาย ก็สายไป เหมือนตะกี้นี้ที่พูดว่า “เราไม่รู้จักเจ้า” มันสายไปแล้ว ตัวสั่นงันงก ต่อไปข้อ 24-27 …
มัทธิว 7:24-27 “24 ฉะนั้น ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและนำไปปฏิบัติ ก็เป็นเหมือน คนฉลาด ที่สร้างบ้านของตนบนศิลา 25 ถึงฝนตกกระแสน้ำท่วมท้นขึ้นมา และลมพัดกระหน่ำบ้านนั้น แต่บ้านก็ไม่ได้พังลง เพราะมีฐานรากอยู่บนศิลา 26 ส่วนผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา แต่ไม่ได้นำไปปฏิบัติ ก็เป็นเหมือนคนโง่ ที่สร้างบ้านของตนบนทราย 27 เมื่อฝนตกกระแสน้ำท่วมท้นขึ้นมา และลมพัดกระหน่ำบ้านนั้น บ้านก็พังทลายลง”
“ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา” คำเหล่านี้ คือคำที่เราประกาศ บอก ชี้ให้เห็นถึงโลกวิญญาณมาตลอด ตั้งแต่บทที่ 4 บทที่ 5 พูดง่ายๆ ถ้าเผื่อติดตามฟังคำบรรยายในซีรี่ย์นี้ของผม ก็บอกว่าคำเหล่านี้ของเรา ก็คือทั้ง 11 ตอนที่ผมบรรยายมาตลอด ไล่มาตั้งแต่บทที่ 5 บทที่ 6 บทที่ 7 จนจะจบ คำเทศนาบนภูเขา คำประกาศบนภูเขา ถ้าท่านได้ยินคำเหล่านี้ของเราที่ชี้แนะ ที่บอกทางเข้าสวรรค์ให้กับท่านว่าอย่าพึ่งพาตนเอง ทั้ง 11 ตอน คือรวมสรุปนะ หัวใจ ก็คือให้วางใจ พึ่งพาในเราเพียงอย่างเดียว อย่างพึ่งพาการกระทำตามบทบัญญัติ กฎของศีลธรรมอันดีงาม เพราะท่านไม่มีทางทำได้เลย ท่านไม่สามารถทำได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เพียงพอที่จะเข้าสู่สวรรค์ได้หรอก พลาดจุดๆ หนึ่ง ท่านก็ลงนรกแล้ว ถูกไหม? เพราะฉะนั้น ใครอยากจะรู้ว่าที่บอกว่า …
“ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา” หมายถึงอะไรนั้น กลับไปฟังตั้งแต่ตอนที่ 1 ของผมนะ ถึงเดี๋ยวนี้ ท่านจะทราบดีว่ามันคืออะไร? ชัดเจนเลย
สร้างบ้านไว้บนศิลา คือการวางใจ พึ่งพาในการกระทำดีของพระเยซูคริสต์
สร้างบ้านไว้บนดินทราย ก็คือการวางใจ พึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง
พระเยซูกำลังยกตัวอย่าง ความหมาย ก็คือใครก็ตามที่ได้ยินคำประกาศ 11 ตอนมาแล้วนั้น เกี่ยวกับเรื่องสวรรค์ของพระเยซูคริสต์ ที่ได้ประกาศความจริงเหล่านั้น แล้วนำไปปฏิบัติตาม เชื่อในพระเยซูคริสต์ และก็ทำตาม ก็คือวางใจในพระองค์ว่าเป็นพระเมซิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ให้รอดพ้นจากความบาป คนที่นำไปปฏิบัติตามแค่นี้ คนนั้น ก็เป็นคนฉลาด สร้างบ้านไว้บนศิลาอันมั่นคงแข็งแกร่ง ก็คือพึ่งพาในการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน วิญญาณของเขาก็ได้ถูกย้ายเข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้วทันที และจะรอดพ้นจากการพิพากษาลงโทษ หลังความตายอย่างแน่นอน เพราะมันอยู่ในสวรรค์แล้ว
ส่วนบรรดาคนที่ได้ฟังคำประกาศของพระเยซูแล้ว ฟังมาทั้ง 11 ตอนแล้ว ปฏิเสธ ไม่ปฏิบัติตาม ก็คือไม่วางใจในพระองค์ว่าเป็นพระเมซิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระคริสต์ ที่พระเจ้าทรงส่งมา คนนั้นก็ไม่ฉลาด เปรียบได้กับคนที่สร้างบ้าน ก็คือสร้างชีวิตของตนเองไว้บนดินทราย รากฐานไม่แข็งแรง คือพึ่งพาการกระทำของตนเอง พยายามรักษาบทบัญญัติ กฎศีลธรรม จริยธรรมอันดีงาม เพื่อหวังว่าจะไปสวรรค์ วิญญาณของเขาก็จะคงอยู่ที่เดิม ก็คืออยู่ในบาปและจะถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศหลังความตายเช่นเดียวกัน อันนี้ชัดเจนเลย สุดท้ายข้อ 28-29 … จบคำประกาศบนภูเขาแล้ว
มัทธิว 7:28-29 “28 เมื่อพระเยซูตรัสสิ่งเหล่านี้จบแล้ว ฝูงชนก็พากันเลื่อมใสในคำสอนของพระองค์ 29 เพราะพระองค์ทรงสอนพวกเขาอย่างผู้มีสิทธิอำนาจ ต่างจากพวกธรรมาจารย์ของพวกเขา”
เมื่อพระองค์ประกาศสิ่งเหล่านี้จบแล้ว ฝูงชนก็พากันเลื่อมใส จริงหรือ? เลื่อมใสเหรอ ฟาริสีเลื่อมใสไหม? ฟาริสีไม่เลื่อมใสอยู่แล้ว แล้วพวกสาวกเปโตรฟังเลื่อมใสเหรอ? จะชี้ให้เห็นว่าเลื่อมใสอะไร? ก็ธรรมชาติ พวกฟาริสีไม่ต้องพูดถึงนะ ไม่กัดฟัน จะฆ่าให้ตาย รู้ในใจเรา ด่าเราเต็มที่เลย โกรธสิ ฝูงชนก็พากันโกรธ ตรงกันข้ามกับสาวก พวกเปโตรฟังแล้วเป็นไง? งง ไม่เลื่อมใสหรอก งง
เลื่อมใส หมายถึงมีความเชื่อเหมือนกัน แต่โดยความที่มันเป็นโลกวิญญาณ ตัวเองอยู่ในบาปอยู่ ไม่เข้าใจหรอก มันงง คือเชื่อ ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่เชื่อแบบงง คำว่า “เลื่อมใส” เข้าใจเลยนะ ไม่มีสักคนหรอก ที่เข้าใจ เพราะมันยังเข้าใจไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นวิญญาณบาปอยู่ แต่ถามว่าเริ่มเชื่อไหมว่าคนนี้เป็นพระมาซีฮาห์ เริ่มเชื่อ เพราะว่ามีหลักฐาน มีการอัศจรรย์ มีหมายสำคัญและคำพูดของพระองค์สำแดงความรู้เรื่องโลกวิญญาณให้เห็นบางอย่าง พอเข้าใจ แต่ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ เพราะจริงๆ ภาษาเดิมตรงนี้ “ฝูงชนก็พากันตะลึง” ที่เคยบอก ที่เคยสอนมาในบทก่อน ไม่ใช่ตะลึงธรรมดาด้วย ตะลึงแบบตะลึง เชื่อไหม? เชื่อ อยากจะเชื่อ แต่ไม่เข้าใจเลย
ยกตัวอย่างเช่น พวกเปโตรถาม “แล้วใครจะเข้าได้” คืองง แล้วต้องยกโทษให้ 7×70 ทำอย่างไร? ทำไม่ได้หรอก อะไรอย่างนี้ คือทั้งอยากจะเชื่อ แต่มันเชื่อไม่ลง พูดง่ายๆ ตะลึงในคำสอน คำสอนของพระเยซูคืออะไร? ในนี้บอกคำสอน ก็คือคนเอาไปใช้เยอะ ใช้ผิด คำสอนว่าไม่ว่าพี่น้องว่าไอ้โง่ ใช่ไหม? คิดให้ดีๆ นะ ถูกหลอกนะ คำสอนที่พระเยซูสอนนี้ หมายถึงเขาตะลึงในคำสอนนี้ นึกออกนะ เขาอึ้งในคำสอนนี้ คำสอนนี้บอกว่าให้เป็นคนมีเมตตา ถูกหรือไม่ถูก? ถูกหรือ? ถ้าให้เป็นคนมีเมตตา เขาจะไปตะลึงได้อย่างไร? เขาไม่ตะลึง เขาทำเรื่องธรรมดา ฟาริสีก็ธรรมดา ถูกไหม? แต่ทั้งฟาริสีและไม่ใช่ฟาริสี ก็ตะลึง ไม่เข้าใจ คำสอนนี้ กำลังสอนบอกว่าอย่าดูถูกพี่น้อง ไม่ใช่ ถ้าบอกว่าอย่าดูถูกพี่น้อง เขาก็เข้าใจกันดี คำสอนนี้หมายถึงบอกว่าท่านจงอภัยให้กับพี่น้อง 7×70 ครั้ง ก็ไม่ใช่ ทำก็ไม่ได้ด้วย คำสอนนี้ คือถ้าท่านทำบาป ด้วยตา ให้ควักลูกตาออก ถ้ามือทำบาป ให้ตัดมือทิ้ง ท่านก็ไปตัดมือตามคำสอนนี้ ถูกหรือไม่ถูก? ไม่ใช่
ให้คิดตาม คำสอนทั้งหมด คืออะไร? คือเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณว่าให้ท่านย้ายที่อยู่ มาวางใจในพระองค์ พระองค์เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วางใจในพระองค์แล้วท่านจะรอด นี่คือพระประสงค์เดียวของพระเจ้าที่ให้ท่านทำ คือวางใจในพระองค์ ไม่ต้องไปทำอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่ได้มาสอน เพราะสอนกฎหมายทางศีลธรรมนั้น มีคนมาสอนเยอะแยะมากมาย ท่านรู้อยู่แล้ว แล้วท่านก็ทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์หรอก เราไม่ได้มาสอนท่าน ให้ท่านทำความดี ทำตามศีลธรรม ถ้าเรามาสอนท่านทำตามศีลธรรม ความดีงาม จริยธรรมบนโลกใบนี้ท่านไม่ตะลึงหรอก ท่านก็เฉยๆ เพราะใครๆ เขาก็สอนอย่างนั้น แต่พระเยซูกำลังมาบอกว่าไม่ต้องสนใจเรื่องบทบัญญัติต่างๆ เหล่านั้น มาสนใจเรื่องนี้ก่อน เรื่องอะไร? จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน ด้วยการวางใจในเรา คือพระมาซิฮาห์ ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ตั้งแต่โน้น หลายพันปีก่อน เรามาแล้ว เราคือพระเจ้าที่จะมาช่วยเจ้าให้รอด นี่แหละตะลึงงัน ก็เพราะอย่างนี้ จะไม่เชื่อก็ไม่ได้ เพราะทำการอัศจรรย์ซะใหญ่โต เห็นชัดๆ ถามว่าเชื่อก็เชื่อไม่ลง เพราะทำไม่ได้ นี่มันหมายถึงคำสอน
สรุป ก็คือคำสอนให้อย่าวางใจในการรักษากฎ ด้วยกำลังของตนเอง จงกลับใจใหม่ หันมาพึ่งพาในการกระทำของพระองค์ พระองค์คือพระบุตรของพระเจ้า พระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าส่งมา นี่ชัดเจนเลย เพราะฉะนั้น เขาจึงตะลึงไง เขาจึงบอกว่าพระองค์ทรงสอนพวกเขา
ในข้อ 29 บอกตะลึง “เพราะว่าทรงสอนพวกเขาอย่างผู้มีสิทธิอำนาจ ต่างจากพวกธรรมาจารย์” เพราะพวกธรรมาจารย์สอนอย่างไร? สอนแบบตะกี้นี้ที่ผมบอก สอนตามบัญญัติว่าอย่าโลภ อย่าขโมย อย่าลักทรัพย์ อย่าฆ่าคนใช่ไหม? แต่พระองค์บอกว่าไม่ต้องไปสนใจบัญญัติ ท่านทำไม่ได้อยู่แล้ว มาสนใจอันนี้ดีกว่า โลกฝ่ายวิญญาณ นี่แหละ
เพราะฉะนั้น สรุป ก็คือผลของวิญญาณ ไม่สามารถผลิตได้ด้วยการกระทำ หรือความประพฤติ แต่การเกิดผล ขึ้นอยู่กับว่าได้ปลูกวิญญาณนั้นอยู่ที่ไหน? สรุปที่พระเยซูสอน คือตรงนี้ ในโลกวิญญาณ อยู่ในอาดัมหรืออยู่ในพระคริสต์ อยู่ในอาณาจักรไหน? อยู่ในอาณาจักรของความบาป หรืออยู่ในอาณาจักรของความชอบธรรม อยู่ในโลกของความมืด หรืออยู่ในโลกของความสว่าง หมายถึงโลกวิญญาณ ซึ่งมันเป็นความจริง ที่ความประพฤติ การกระทำดี เป็นสิ่งสำคัญมาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่พระเยซูกำลังบอกว่าแต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น และเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือวิญญาณของท่านอยู่ที่ไหนในขณะนี้ สำคัญกว่า ก็คือวิญญาณท่านดีหรือเปล่า? ดีหรือเลว สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือการแสวงหาที่จะมีหรือเกิดใหม่ มีวิญญาณที่ดีและเกิดผลนิรันดร์ ได้บังเกิดใหม่นั่นเอง นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด
เพราะฉะนั้น เราจะเกิดใหม่ได้ ก็ต่อเมื่อแสวงหา วางใจในพระมาซิฮาห์ คือพระคริสต์ก่อน แล้วถึงจะมาตั้งใจทำความดีทีหลัง ให้สมกับการเป็นลูกของพระเจ้า เป็นพลเมืองของสวรรค์ เป็นไปตามธรรมชาติของการบังเกิดใหม่ ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแล้วถูกหรือไม่?
นี่คือบทสรุปของการประกาศบนภูเขา ทั้งหมดของพระเยซู มีอยู่แค่นี้เอง ก็คือวางใจในพระองค์ พระมาซิฮาห์ พระเยซูคริสต์ก่อน ทั้งๆ ที่ท่านอาจจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ให้วางใจ แล้วหลังจากนั้น ท่านจะเริ่มต้นเข้าใจเอง พระองค์จะเข้ามาสถิตอยู่ด้วย และนำพาท่านให้เข้าใจ และนำพาท่านให้กระทำความดีทีหลัง นี่แหละคือความรอดนิรันดร์ พระเจ้าอวยพรครับ
********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
ด้วยความรัก พระเจ้าจึงมาสถิตอยู่ด้วย
โรม 8:26 “ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณทรงช่วยเรา ในยามเราอ่อนแอ เราไม่รู้ว่าเราควรอธิฐานขอสิ่งใด แต่พระวิญญาณเองทรงอธิษฐานวิงวอนแทนเรา ด้วยการคร่ำครวญ ที่ไม่อาจหาถ้อยคำใดมาบรรยาย”
ในทำนองเดียวกัน หมายถึงเราก็รอคอย คร่ำครวญด้วยความหวังแห่งความชื่นชมยินดี หลังความทุกข์ในร่างกายและจิตใจ ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ เหมือนกับหญิงกำลังจะคลอดบุตร ที่เจ็บครรภ์ ทุกข์ทรมาน แต่ก็มีความหวัง ในความชื่นชมยินดี ที่จะได้เห็นลูกในครรภ์ของตนเองในไม่ช้า
เราที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ร่างกายภายนอกนี้ ก็ทุกข์เหมือนกัน และเราตั้งความหวัง ในความทุกข์นี้ว่าเราจะรอคอยวันนั้น วันที่ร่างกายตาย เราหมดลมหายใจ วิญญาณออกจากร่าง ไปสวมร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย เต็มไปด้วยพระสิริ ตามสัญญาที่พระเจ้าได้ให้ไว้ จะได้หมดทุกข์กันเสียที
สรรพสิ่งในโลก ก็จะได้รับการทรงสร้างใหม่ด้วย ดังนั้น เราและสรรพสิ่งในโลกต่างรอคอยวันสิ้นโลก
และในการคร่ำครวญ ในความทุกข์ยากลำบากนี้ พระวิญญาณก็จะคอยช่วยเหลือเรา
– ในยามที่ ร่างกายของเราอ่อนแอ
– ในยามที่เราต้องทนทุกข์ลำบาก
– ในยามที่เราต้องเผชิญกับความวิปริตของโลกใบนี้ ที่เสียหายไปแล้ว เนื่องจากถูกสาปแช่ง พระวิญญาณก็มาช่วยเรา คร่ำครวญด้วย ตอนที่เราป่วยรักษาไม่หาย
– ในยามที่เราล้มละลายขาดทุน เงินไม่พอใช้
– ในยามที่คนที่เรารักตายจากไป เราเจ็บปวดมาก ในยามที่ร่างกายเรารู้สึกกลัวและท้อแท้
ความหวังเดียว ที่สามารถประคับประคองชีวิตของเรา ให้เดินต่อไปได้ ก็คือเรารอวันนั้น วันแห่งความรอดที่ครบถ้วนบริบูรณ์วันที่เรา จะได้รับร่างกายใหม่ สรรพสิ่งก็ได้รับการทรงสร้างใหม่
และในขณะที่เราอยู่ในระหว่างการรอคอยวันนั้น พระวิญญาณก็จะคอยช่วยเรา ตอนที่เราอ่อนแอ คิดอะไรไม่ออก พูดไม่ออก บอกไม่ถูก อธิษฐานไม่ได้
ด้วยความรัก ความห่วงใยของพระเจ้า ที่ทรงมีต่อมนุษย์ทุกคน พระองค์จึงเข้ามาอาศัยสถิตอยู่ด้วย เพื่อช่วยเหลือ เพื่อนำพา ให้กำลังสนับสนุนเรา
พระเจ้าอวยพรครับ