คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน 2022
เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 10
“คำเทศนาบนภูเขา” Ep.9
“ประตูใหญ่ วางใจตนเอง ประตูเล็ก วางใจพระคริสต์”
โดย นคร เวชสุภาพร
เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” วันนี้เป็นตอนที่ 10 และเป็น Ep.9 ของเรื่อง “คำเทศนาบนภูเขา”
ตอนที่ 1 จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน
ตอนที่ 2 คำเทศนาบนภูเขา Ep 1 : คนป่วยต้องการหมอ คนบาปต้องการพระเยซู
ตอนที่ 3 คำเทศนาบนภูเขา Ep 2 : พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ
ตอนที่ 4 คำเทศนาบนภูเขา Ep 3 : กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์
ตอนที่ 5 คำเทศนาบนภูเขา Ep 4 : มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก แต่พระเจ้ามองที่ วิญญาณข้างใน
ตอนที่ 6 คำเทศนาบนภูเขา Ep 5 : ต้องบริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์
ตอนที่ 7 คำเทศนาบนภูเขา Ep 6 : ท่านต้องอภัยให้ผู้อื่นก่อน แล้วพระเจ้าถึงจะอภัยให้กับท่าน
ตอนที่ 8 คำเทศนาบนภูเขา Ep 7 : ทรัพย์สมบัติในโลกต้องเหน็ดเหนื่อยหาเอง แต่ทรัพย์สมบัติในสวรรค์ พระเจ้าให้ฟรีๆ
ตอนที่ 9 คำเทศนาบนภูเขา Ep 8 : จงขอแล้วท่านจะได้รับ จงหาแล้วท่านจะพบ จงเคาะแล้วประตูจะเปิดให้แก่ท่าน
ตอนที่ 10 คำเทศนาบนภูเขา Ep.9 : ประตูใหญ่ วางใจตนเอง ประตูเล็ก วางใจพระคริสต์
ซีรี่ย์นี้เป็นการนำความหมายของการประกาศของพระเยซู ที่ดังมาก ตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ช่วง 3 ปีสุดท้าย แล้วก็มีคนมักจะเข้าใจผิด ถึงคำประกาศของพระองค์ เอาไปใช้อย่างผิดๆ ซึ่งเกิดโทษ ก็เลยนำมาคุยกัน วิเคราะห์กัน ทั้งหมด 10 ตอนแล้ว ใครไปฟังจะเข้าใจเลย พื้นฐานที่ดีมากๆ สำหรับการที่จะศึกษาพระคัมภีร์ต่อไป การจะเชื่อและวางใจในพระเยซู
ทบทวนนิดหนึ่ง พระองค์กำลังประกาศให้ใคร? กำลังพูดกับชาวยิวที่ยังไม่เชื่อ คือยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนนั่นเอง คือเขายังพึ่งพาการกระทำของตนเอง คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ คือคนที่มาพึ่งพาในพระเจ้าแล้ว พึ่งพาในพระเยซูคริสต์แล้ว เขาไม่พึ่งพาในตนเอง เขากำลังทำอะไร? เขากำลังพึ่งพาตนเองในการรักษาบทบัญญัติ พระเยซูกำลังมาบอกพวกเขา ให้เขากลับใจใหม่ซะ เลิกพึ่งพาตนเอง เลิกพึ่งพาในการกระทำ ตามบทบัญญัติและคิดว่าดีนั้น ให้กลับใจใหม่ หันมาพึ่งพาวางใจในพระองค์ อย่าเย่อหยิ่ง ก็คืออย่าหน้าซื่อใจคด แต่จงยอมถ่อมใจ แสวงหาอาณาจักรสวรรค์และความชอบธรรมของพระเจ้า โดยผ่านทางพระเมซียาห์ คือตัวของพระเยซูเองเสียก่อน พระเยซูพูดอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าพระองค์ไม่สนใจในเรื่องเกี่ยวกับกฎบัญญัติที่เขารักษาไว้ คือกฎแห่งศีลธรรม การทำดีละชั่ว การทำแต่สิ่งที่ดี ความประพฤติบนโลกใบนี้ ไม่ใช่พระองค์ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ แต่ขณะที่พระองค์กำลังพูดกับคนที่ยังไม่เชื่อ ที่เป็นคนยิว เป็นคนที่ข้างในวิญญาณตายอยู่ อยู่ในบาป เป็นคนบาป ไม่บริสุทธิ์ ภายในวิญญาณสกปรก ต้องได้รับการช่วยเหลือเสียก่อน พูดง่ายๆ ว่าตายอยู่ ก็ต้องได้รับการช่วยชีวิต อย่างเร่งด่วนก่อน
คนตายอยู่ ต้องการการปั้มหัวใจให้เป็นขึ้นมาก่อน ไม่ใช่ไปถึง ก็ไปสอนคนตายว่าทำดีอย่างนั้น ทำดีอย่างนี้ ควรจะกินอย่างนี้ อย่ากินอาหารอย่างนั้น จะได้ไม่หัวใจวาย หัวใจวายตายไป เขาจะรู้เรื่องไหม? เขาตายอยู่ เขาสลบไปอยู่ เขาหมดสติไป ไปนั่งสอนเขาทำไม? นี่พระองค์กำลังจะมาบอกอย่างนี้ ให้เขาเป็นขึ้นมาก่อน พอเขาเป็นขึ้นมา ค่อยมาสอนเขาทำความดีทีหลัง แล้วเขาจะทำความดีจากวิญญาณของเขาที่เป็นขึ้นมาใหม่ วิญญาณเขาบริสุทธิ์เมื่อไหร่? พระเยซูก็จะเข้าไปสอน และนำเขาให้กระทำความดี ด้วยความบริสุทธิ์ในใจ ในวิญญาณของเขา วิญญาณใหม่ที่บังเกิดใหม่นั่นแหละ พระองค์จะมาสอนเขาด้วยตัวของพระองค์เอง คือจะเข้ามาสถิตอยู่ภายในเขาเลย นี่คือเป้าหมายที่พระเยซูประกาศ
พระองค์กำลังบอกว่าเมื่อท่านทั้งหลายที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า เมื่อท่านพบกับทางเข้าสวรรค์ เป็นผู้ชอบธรรม และได้บังเกิดใหม่แล้วเท่านั้น ท่านจึงจะทำดีจากจิตใจ จากวิญญาณที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ ซึ่งสำคัญกว่ามากนักกว่าที่ท่านรักษาบทบัญญัติอยู่นั้น ท่านทำไม่ได้หรอก มันไม่ได้จริงๆ
พระเยซูกำลังบอกว่า … “เราไม่ได้มาสอนท่านให้ประพฤติตามสิ่งที่เรากำลังพูดอยู่นี้ แต่กำลังมาชี้ความเป็นจริงว่าท่านเป็นคนบาป สกปรกภายในวิญญาณ ต้องการความช่วยเหลือ ให้เกิดใหม่จากพระเจ้าต่างหากล่ะ”
นี่คือเป้าหมาย นี่คือหัวใจของการประกาศของพระเยซูคริสต์ ไม่ได้มาสอนศีลธรรมให้เขาทำความดี รักษาบทบัญญัติ แต่กำลังมาบอกว่าเขาต้องเกิดใหม่ เขาทำไม่ได้หรอกด้วยตัวเอง โดยพระเยซูให้ความมั่นใจอย่างนี้บอกว่าถึงแม้เขาจะฟังอยู่ตอนนี้ที่พระองค์ทรงประกาศ แม้เขาจะยังไม่เข้าใจ …
“แม้ท่านยังไม่เข้าใจในคำประกาศ ในคำพูดของเรา แต่ให้วางใจในเราว่าเราเป็นพระมาซิฮาห์”
นี่กำลังคุยๆ อยู่ พระมาซิฮาห์ ก็คือพระคริสต์ ผู้ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ ถึงไม่เข้าใจ ก็ให้ชาวยิวทั้งหลาย ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนให้ขอ หา และเคาะอย่างต่อเนื่อง อย่าหยุดนะ ไม่เข้าใจที่ฟังเรา แต่มองต่อไป เพ่งดูพระองค์ต่อไป อย่าหยุดๆ แล้วในที่สุด ท่านก็จะได้พบประตูสวรรค์ ประตูสวรรค์จะเปิดออกให้กับท่าน และท่านก็จะได้เป็นผู้ชอบธรรมที่บริสุทธิ์ดีพร้อม แล้วพระเจ้าก็จะเป็นพระบิดาของท่าน ท่านจะเป็นบุตรที่รักของพระองค์ แล้วพระองค์จะมานำท่านในการกระทำดีทีหลัง ที่พระองค์กำลังพูดอยู่นี้ อีกไม่กี่ปี ก็จะเป็นอย่างนี้แล้ว เขาจะได้พบตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย ถ้าเขาไม่หยุดที่จะขอ และขออย่างต่อเนื่อง หาและหาอยู่อย่างต่อเนื่อง และเคาะและเคาะอยู่อย่างต่อเนื่อง
นี่เป็นคำสัญญาที่พระเยซูพูดอย่างชัดเจนเลยว่าท่านได้แน่ ถ้าท่านขอ แล้วขอไม่หยุด จนกว่าจะพบ หาและหาไม่หยุด จนกว่าจะพบ เคาะแล้วเคาะไม่หยุด จนกว่าจะพบ หาอะไร? เป็นคำสัญญาที่พระองค์บอก หาแล้วจะพบ พบอะไร? พบมาซิฮาห์ พบตัวพระองค์ พบพระเยซูคริสต์ ผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งเอาไว้ มาช่วยให้ท่านเป็นขึ้นมาใหม่ได้ ถ้าไม่หยุด เจอแน่ เจอพระเมสิยาห์ นี่พูดกับชาวยิว ชัดเจนเลย เป็นคำสัญญาที่ให้กับผู้ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เกิดใหม่ ซึ่งกำลังพูดกับชาวยิว แล้วเราสามารถใช้ข้อความนี้ ประกาศให้กับคนที่ยังไม่เชื่อในปัจจุบันได้ด้วยเช่นเดียวกัน เป็นคำสัญญาให้กับคนที่ยังไม่เชื่อ
“เป็นคำสัญญาที่พระเยซูคริสต์สัญญาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ ให้กับคนที่ยังไม่เชื่อ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน”
ต้องจำไว้เลย แล้วถ้าเป็นคริสเตียนแล้วล่ะ ก็ฟังต่อไปสิ กำลังพูดกับชาวยิว หัวใจ ก็คือยังไม่ได้เป็นคริสเตียนใช่ไหม? เพราะฉะนั้น พูดกับคนปัจจุบันที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนก็เหมือนกัน หัวใจต้องเป็นไม่ได้เป็นคริสเตียน ถ้าไม่ใช่คริสเตียนเอาไปใช้ได้เลย เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าองค์เดียวกัน ที่ประกาศอยู่ทุกวันนี้ นี่พระเยซูพูด แต่ที่ทุกวันนี้ พวกเราพูดกัน ประกาศพระเยซูคริสต์ พระเยซูก็ทำงานผ่านท่านทั้งหลายผู้เชื่อ ให้สัญญานี้ว่าถ้าท่านที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ท่านฟังข่าวประเสริฐของพระเจ้า ฟังแล้วไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่ค่อยเข้าใจ อย่าหยุดขอว่ามันคืออะไร? มันเป็นอะไร? แล้วก็อย่าหยุดหา แล้วก็อย่าหยุดเคาะ แล้วก็จะเปิดให้กับท่าน ท่านจะรู้พระมาซีฮาห์เป็นใคร ท่านจะรู้ว่าพระเยซูคริสต์คือใคร? ท่านจะรู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าผู้ช่วยให้รอด ท่านก็จะได้บังเกิดใหม่ ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์นั่นเอง เห็นไหม? นี่คือคำสัญญา ได้แน่นอน 100% ใครเป็นคนสัญญา? พระเยซู
พระเยซูเป็นผู้สัญญา เป็นผู้พูดเองเลยว่าท่านได้แน่นอน ท่านอย่าหยุดนะ ท่านเจอแน่ ที่ไม่เจอ เพราะท่านหยุดก่อน ท่านเลิก …
“ไม่เข้าใจ พูดอะไรข่าวประเสริฐพระเยซูคริสต์ ฉันไม่รู้เรื่อง”
เดินหนี หรือชาวยิวฟัง แล้วไม่เข้าใจ ไม่เอาแล้ว ไปดีกว่า ถ้าเขาไม่หยุด เขาก็จะเจอแน่ แล้วในที่นี้ ท่านที่อยู่ทางบ้านด้วย ท่านเป็นคริสเตียน ถ้าเป็นแล้ว อยากถามท่านว่าท่านเป็นได้อย่างไร? ก็มาจากข้อนี้แหละ ท่านเป็นคริสเตียนจากตอนที่เรายังไม่ได้เป็น ถูกไหม เราเป็น คริสเตียนตั้งแต่เกิดหรือเปล่า? ไม่ใช่ เราเป็นคริสเตียนเมื่อไร? เมื่อเราขอ หา เคาะเรื่องเกี่ยวกับพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ แล้วเราก็ได้รับตามที่พระเยซูคริสต์สัญญา ก็ได้เจอ ได้พบตามที่พระองค์สัญญาแล้ว พบพระคริสต์ พบพระผู้ช่วยให้รอด เราก็ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่เรียกว่าคริสเตียน พระเจ้าก็เข้ามาสถิตอยู่กับเราใช่หรือไม่? เพราะเราไม่หยุด
ยกตัวอย่าง ตัวท่านเอง ท่านลองคิดดูในใจ มีใครบ้างที่ฟังข่าวประเสริฐครั้งแรก ใช่ พระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด รับเลย ไม่มี ผมต้องใช้เวลาหลายปี มีคนมาประกาศให้ตั้งเยอะแยะ พูดแล้วพูดอีก พูดเข้าใจไหม? พูดเดือนแรก เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ พูดปีแรกเข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ พูดมา 10 ปี เข้าใจไหม? ก็ยังไม่เข้าใจ แต่เพราะว่าใน 10 กว่าปีนี้ ผมไม่หยุด รู้ได้อย่างไรไม่หยุด ก็ฟังไปเรื่อยๆ บางทีก็ปฏิเสธเขา เถียงเขาบ้าง? ต่อให้จะเถียงอย่างไร? ผมก็ไม่หยุด เพราะเดี๋ยวผมก็ไปฟังอีก ก็คือไม่หยุด จนกระทั่งปีที่ 27, 28 ก็เจอ เข้มข้นขึ้นไปเรื่อยๆ เคาะ หา ขอ ใกล้ๆ วันที่จะเจอ ตามสัญญา ประมาณสัก 10 วัน ถึงเวลาจะเกิดผลแล้ว คราวนี้เคาะหนักเลย อธิษฐาน พูดอยู่ในห้องส่วนตัวพูดทุกวันเลย …
“พระเยซูใครเนี้ย ได้ยินมาตั้งนานแล้ว คราวนี้อยากรู้จักแล้ว จริงๆ ที่แล้วๆ มา ก็ฟังดูก็ดีบ้าง? ไม่ดีบ้าง? เข้าใจบ้าง? ไม่เข้าใจบ้าง? แต่วันนี้อยากรู้จักจริงๆ แล้ว อยากจะหาความช่วยเหลือจากใครบางคน ไม่มีแล้ว มีพระองค์เดียว ได้ยินมา ยังจำได้ ไม่ทิ้ง เคยมีเพื่อนพูดไว้ ยังไม่ได้ทิ้ง ยังอยู่ในใจ”
พูดๆ “พระเยซูเป็นใคร? สำแดงให้เห็นหน่อยสิ อยากจะรู้จักจริงๆ”
พูดไป 10 วันเจอเลย เจออย่างไร? ก็เจอเหมือนกับคุณเจอ ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร? วิญญาณได้บังเกิดใหม่ ได้เกิดใหม่อย่างไร? ไม่รู้ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร? มันโลกวิญญาณ แล้วทำอย่างไรถึงรู้ มาชิมดูสิ พระคัมภีร์บอก ชิมดู แล้วจะรู้ว่าพระเจ้านั้นดี เอเมน
ไม่ชิมแล้วจะรู้ได้อย่างไร? ได้แต่บอกว่าเขาบอกว่าร้านก๋วยเตี๋ยวนี้ดีๆ ดีจริงหรือ? ดีจริง แล้วไปหรือยัง? ยัง ฟังไหม? ฟัง อยากมากินไหม? ก็อยากนิดหน่อย ยังไม่ถึงอยากเต็มที่ จนอยากเต็มที่แล้ว ร้านนั้นอยู่ที่ไหนนะ ขอพิกัดหน่อย ส่งพิกัดมาให้ วันนี้ไปเลย ยังไงฉันต้องกินให้ได้ ก็คือไปเริ่มชิม พอไปถึงร้านปุ๊บ ชิมปั๊บ ไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไร? ที่เขาพูดมาใช่เลย ถูกหมดเลย แล้วไปเล่าให้คนอื่นต่อได้อย่างไร? ไม่รู้จะบอกเขาว่าอย่างไร? ได้แต่พูดคำเดียวกับที่เขาเล่าให้เราฟัง และความรู้สึกของเรา ที่เราได้ชิมแล้ว บอกว่ามันอร่อยจริงๆ เราก็ไปบอกคนอื่นต่อ ไปกินเถอะ มันอร่อยอย่างไร? ไม่รู้
“ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร? อย่างโน้น อย่างนี้ อย่างนั้น รสชาติอย่างนี้ อย่างนั้น เยี่ยมเลย สถานที่ก็ดี นายต้องไปชิมเองแล้วกัน”
ถามเขาไม่ไปชิม เขาก็ไม่มีวันที่จะรู้ นี่คือคำสัญญาของพระเยซูคริสต์ที่บอกไว้ และมันต้องเป็นจริง คำสัญญาที่พระองค์ให้ไว้กับใคร? กับผู้ที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ก็คือยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังเป็นคนบาปอยู่ ยังพึ่งพาในการกระทำของตนเอง พึ่งพาในความดีของตนเอง เพื่อที่จะได้เข้าไปสวรรค์ เพื่อจะได้สิ่งที่ดีๆ
สำหรับคนที่ขอ หา เคาะ ตอนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ได้ขอ หา เคาะ จนได้เจอแล้ว จนเป็นคริสเตียนแล้ว ได้อยู่ในสวรรค์แล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ก็คือเป็นคริสเตียน เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว
ถ้าท่านเอาคำสัญญานี้ไปใช้ มันจะเป็นอย่างไร ลองคิดดูก่อน ให้เวลาคิด ก่อนที่จะอธิบายให้ฟัง เรามานั่งคิดดูว่านี่เป็นคำสัญญาที่พระเยซูบอกว่าให้ขอ แล้วขออย่างต่อเนื่อง อย่าหยุด ให้หา แล้วหาอย่างต่อเนื่อง อย่าหยุด ให้เคาะ แล้วเคาะอย่างต่อเนื่องอย่าหยุด จนกว่าจะพบ รับรองท่านพบแน่ๆ ท่านได้แน่ๆ เปิดให้กับท่านแน่ๆ ถ้าเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเอาอันนี้ไปใช้ จะเกิดอะไรขึ้น
ท่านเป็นคริสเตียนแล้วนะ ท่านขอสุขภาพแข็งแรง หายจากโรคนี้ใช่ไหม? ท่านขอให้เจริญรุ่งเรือง ขอบ้านสักหลังใช่ไหม? ขอรถสักคันหนึ่งใช่ไหม? แล้วท่านก็บอกว่าพระเยซูสัญญาว่าท่านขอแล้วจะได้ ถ้าท่านไม่หยุดขอ ถูกไหม? ถ้าท่านไม่หยุดหา ท่านจะได้ ตามที่ท่านขอ ตามที่ท่านหา ถ้าท่านไม่หยุดเคาะ มันจะเปิดให้กับท่าน แล้วถามท่านสิ ท่านทำมา ได้ไหม? ไม่ได้ ถ้าได้ก็ดี มันง่าย หมูมากเลย ขอบ้าน ขอรถ ยิ่งขอสุขภาพแข็งแรง ขอให้หาย ขอทุกวัน ทุกเสี้ยววินาที ลมหายใจเข้าออกเลย ขอมากี่ปีนี้แล้ว สมมติว่าเชื่อพระเจ้ามา 10 ปีแล้ว สอนมา 10 ปีแล้ว ได้ไหม? ถ้าไม่ได้ รู้ๆ อยู่แล้วว่าไม่ได้ ผมอยากถามว่าถ้าไม่ได้ ใครผิด พระเยซูโกหก
“อ้าว! พระเยซูสัญญาว่าได้แน่ๆ ไง”
เห็นอันตรายไหม? ถ้าไม่กล่าวหาพระเยซู พระเยซูพูดสัญญาต้องทำตามแน่นอน ตัวท่านเอง ความเชื่อไม่พอ
“อ้าว! พระเยซูบอกขออย่าหยุด มันยังไม่ได้ อย่าหยุดสิ”
ขอไปเรื่อยๆ เมื่อไรล่ะ ตายไป ก็ยังไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่ ก็แสดงว่าเราผิด เพราะว่าเราเอามาใช้ มันผิด มันไม่ใช่คำสัญญาที่ให้ไว้สำหรับเรา ที่เป็นคริสเตียนแล้ว มันให้ไว้สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน สำหรับขอแล้วจะได้ ก็คือได้พระคริสต์เข้ามาอยู่ในชีวิต ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณเท่านั้น จบ … เอเมน
คราวนี้คนเป็นคริสเตียนก็บอก … “อ้าว! เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราขอได้ไหม?”
ขอได้ แต่สำหรับคริสเตียน คำสัญญามันอีกอย่างหนึ่งแล้ว อยากจะฟังไหม? อยากรู้ไหมว่าเมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้ว พระเยซูสัญญาอะไรกับเราบ้าง? มันต้องใช้ให้ถูกต้องด้วยใช่ไหม? ไม่ใช่ไปดูกรมธรรม์รถยนต์ แล้วก็เอามาใช้ผิดๆ ในนี้เขาเขียนตามสัญญาว่าอย่างไร? ตรงนี้ว่าอย่างไร? ก็ต้องทำตามสัญญาหน่อย
สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยแล้ว อยู่ในร่างกายเรียบร้อยแล้ว ขอ หา เคาะ ตั้งแต่ก่อนที่จะเชื่อพระเจ้า ขอ หา เคาะจนเจอแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว นี่คือคำสัญญาของท่าน ณ บัดนี้ ยกตัวอย่างให้ท่านดู
ฟีลิปปี 4:6-7 นี่สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว พระเยซูเป็นผู้ให้สัญญาเช่นเดียวกัน พระองค์พูดผ่านทางอัครทูตเปาโลว่านี่คือคำสัญญาของท่าน เมื่อท่านขอ หา เคาะ จนกระทั่งพบพระมาซีฮาห์แล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว พระมาซีฮาห์ คือพระเยซูคริสต์ เข้าไปสถิตอยู่กับท่าน ในวิญญาณของท่าน นำท่านเดินแล้ว อยู่กับท่านตลอดเวลาแล้ว นี่คือคำสัญญาของเรา พระเยซูคริสต์ตรัสไว้อย่างนี้ …
ฟีลิปปี 4:6-7 “6 อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐานและการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์”
คริสเตียน ผู้ที่เชื่อแล้ว นี่คือคำสัญญาของท่านในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เกี่ยวกับการขอ หา และเคาะ ก็คืออย่ากระวนกระวายในทุกเรื่องเลย แต่จงขอทุกสิ่งเลย ทุกอย่างเลย สัญญาไว้ว่าทุกสิ่งขอได้ต่อพระเจ้า ขอด้วยการอธิษฐาน เพราะท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน
อธิษฐานในลักษณะใด? และการวิงวอน … วิงวอนแปลว่าอะไร?
“ไม่ไหวแล้ว ลูกไม่ไหวแล้ว ช่วยด้วย แย่แล้ว หยวนน่าพ่อ ไม่ไหวแล้ว”
นี่แหละ คือการวิงวอน มีไหมวิงวอนอย่างนี้ โอเค อย่างนี้ไม่ได้เรียกวิงวอน อย่างนี้เรียกว่าอธิษฐานเฉยๆ วิงวอน คือรบเร้าเซ้าซี้ แล้วก็ใช้เวลานาน อาจจะเป็นหลายๆ วัน หลายๆ ปี ในหัวใจเรียกร้อง
ยกตัวอย่าง เช่น เราทุกข์ใจเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ เมื่อตะกี้นี้บอกสุขภาพไม่ดี ตามอายุขัย หรือสุขภาพไม่ดี ตามปัญหาของโลกใบนี้ เราก็วิงวอน แทบทุกวัน เราก็อยากจะดีแน่นอน นี่คือคำสัญญาของพระเจ้า ที่ให้กับเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
ให้วิงวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ คือไม่ว่าคำตอบของเราจะตรงกับหัวใจเราหรือไม่? ตรงกับความต้องการหรือไม่ ถ้าพระองค์ทรงสถิตอยู่ในใจของเราแล้ว พระองค์ทรงอยู่กับลูก พระองค์ทรงรักลูก ดังแก้วตาดวงใจ ให้ทำอย่างนี้ แล้วสัญญาว่าแล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจจะปกครอง คุ้มครองป้องกันความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์
เมื่อท่านอยู่ในพระเยซู สันติสุข ความสงบสุข การช่วยเหลือแต่ละวันๆ จะมาพร้อมเสมอ นี่คือคำสัญญาที่พระเยซูคริสต์ให้ไว้กับคนที่เป็นคริสเตียน และใน 1 เธสะโลนิกา 5:16-18 อีกเช่นเดียวกัน คือยกมาอีกข้อหนึ่ง นี่คือคำสัญญา สำหรับคริสเตียน …
1 เธสะโลนิกา 5:16-18 “16 จงมีความสุขและมีความชื่นชมยินดีภายในจิตใจอยู่เสมอ 17 จงหมั่นอธิษฐานใกล้ชิดพระเจ้าอยู่เสมอ 18 จงขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร จงขอบคุณพระเจ้า เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลายซึ่งเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์”
เห็นไหม? เราได้บังเกิดใหม่ เราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา เราเป็นหนึ่งเดียวกัน วางใจในพระองค์ จูงมือเราเดิน เชื่อและวางใจในพระองค์ เริ่มต้นแล้วอย่างไร? เชื่อและวางใจในพระองค์ต่อไป จนกระทั่งหมดลมหายใจ พระองค์ทรงดี และพระองค์ทรงสามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ โรม 8:28-29 …
โรม 8:28-29 “28 เรารู้ด้วยความมั่นใจว่าพระเจ้าผู้ซึ่งห่วงใยเรามาก ทำทุกสิ่ง ให้กระทำงานร่วมกัน เพื่อให้เกิดผลอันดีกับเราทั้งหลาย ผู้ที่รักพระองค์ ผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกแล้ว ตามแผนการ ตามพระประสงค์ของพระองค์ 29 เพราะว่าบรรดาผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงรู้จัก ได้รัก และได้เลือกสรรไว้ ล่วงหน้าแล้วนั้น พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ก่อนสร้างโลกแล้วว่าเขาทั้งหลายจะได้รับการเปลี่ยนแปลงจนกระทั่ง ให้เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์ (พระเยซู) และเข้าส่วนร่วมในความบริสุทธิ์ ปราศจากบาป อย่างสมบูรณ์ที่สุดเหมือนพระองค์ เพื่อว่าพระเยซูจะได้เป็นบุตรหัวปี (มนุษย์ผู้แรกที่ได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากตาย) ท่ามกลางพี่น้องมากมาย (ผู้ที่ยอมรับเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซู)”
“เพราะว่าบรรดาผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงรู้จัก ได้รัก และได้เลือกสรรไว้ ก็คือคริสเตียนทั้งหลาย พระองค์ทรงกำหนดล่วงหน้า ก่อนสร้างโลกว่าเขาทั้งหลาย จะได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็นเหมือนพระบุตร เป็นเหมือนพระเยซู ตอนนี้เราเป็นเหมือนพระเยซูเลย วันหนึ่งภายภาคหน้า เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราจะไปสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซู และเข้าส่วนร่วมในความบริสุทธิ์ ปราศจากบาปอย่างสมบูรณ์ที่สุด เหมือนพระองค์ นี่คือคำสัญญา ให้เราขอบพระคุณตรงนี้ พระเยซูจะได้เป็นบุตรหัวปี มนุษย์ผู้แรกที่ได้เกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตาย ท่ามกลางพี่น้องมากมาย ก็คือเราทั้งหลายเป็นพี่น้องกับพระเยซู เราเป็นน้องแน่นอน เพราะว่าเราเป็นคริสเตียน ผู้ที่ยอมรับ และเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราเรียบร้อยแล้ว พระเจ้าจะนำเรา และให้เราในสิ่งที่ดีที่สุด ที่อะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าจะนำเราไปในทิศทางใด ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ในสายตาของเรา พระองค์ทรงกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เกิดกับเรา ให้รวมกันออกมาเป็นผลดี สำหรับเราเสมอ ผู้ที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ นี่ยกมาให้แค่ไม่กี่ข้อ ก็พอแล้ว นี่คือคำสัญญา สำหรับคริสเตียน ต้องยึดมั่นอยู่ตรงนี้ และไม่มีผิดพลาดได้แน่นอน ให้เราใช้ให้มันถูกต้อง
มาต่อวันนี้ หัวข้อ ก็คือ “ประตูใหญ่วางใจตนเอง ประตูเล็กวางใจพระคริสต์” เป็นคำเทศนาหรือคำประกาศของพระเยซูคริสต์ในเรื่องนี้ ก็มักมีคนเข้าใจผิดกันเยอะมาก อันนี้คุ้นๆ อยู่นะ มาจากมัทธิว 7:13-14 …
มัทธิว 7:13-14 “13 จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะประตูใหญ่และทางกว้าง นำไปสู่ความพินาศ และคนเป็นอันมากเข้าไปทางนั้น 14 ส่วนประตูเล็กและทางแคบ นำไปสู่ชีวิต และมีเพียงไม่กี่คนที่ค้นพบ”
ลองให้คิดดูสักแป๊บหนึ่ง ประตูแคบ คืออะไร? ประตูใหญ่ คืออะไร? นึกถึงภาพพระเยซูกำลังพูดถึงอะไร?
“จงเข้าทางประตูแคบ”
ประตูใหญ่ๆ ไม่ให้เราเดินเข้าไป ให้เราเดินประตูแคบ ประตูใหญ่ทางกว้าง กลับบอกเราอย่าไป คิดดูในใจว่าอะไร? แล้วคิดดูสิว่าคิดตรงกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ไหม?
ประตูใหญ่และทางกว้าง คือทางแห่งคุณธรรมและจริยธรรม การประพฤติตามกฎและศีลธรรม อันดีงาม ที่ทุกคนยอมรับ และเห็นว่าดีในโลกนี้ โลกนี้ทั้งโลก มนุษย์ทุกคน จะสรรเสริญ ยกย่องความดี คุณธรรม ศีลธรรม และจริยธรรม เป็นประตูกว้างที่เป็นเอกฉันท์เลย ใช่หรือไม่? ไม่มีใครปฏิเสธเลย มันกว้าง พูดปั๊บ ทุกคนใช่? ทุกความเชื่อ ทุกลัทธิ ทุกศาสนาของโลกนี้ ก็จะมีพื้นฐานอยู่บนหลักการและกฎเกณฑ์ที่ให้กระทำดี ละชั่ว ประพฤติดี สะสมความดี เพื่อจะได้สิ่งที่ดีๆ เพื่อจะได้ไปสวรรค์ใช่หรือไม่? คิดตามนะ นี่คือทางกว้างใหญ่ ใครๆ ก็รับได้ ใครๆ ก็สรรเสริญ
ซึ่งบทบัญญัติของพระเจ้า ที่ให้ไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส ซึ่งเป็นรากฐานของกฎศีลธรรมมาถึงปัจจุบันนี้ ในความเชื่อทุกความเชื่อ ก็ตั้งอยู่บนพื้นฐาน หลักการตรงนี้เหมือนกัน เช่นเดียวกัน ว่าเป็นต้นกำเนิดด้วยซ้ำไป คือบัญญัติที่พระเจ้าให้ไว้ตั้งแต่สมัยโมเสส บัญญัติ 10 ประการ และ 613 ข้ออะไรต่างๆ เหล่านั้น
คืออะไร? บทบัญญัตินี้คืออะไร? คือต้องทำดีเท่านั้น จึงจะได้เป็นผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรพระเจ้า และสามารถเข้าสวรรค์ได้ ทำผิดทำชั่วเมื่อไรจะถูกลบชื่อออกไปทันที นี่คือบัญญัติ สมัยโมเสส มันดีจริงๆ แล้วสิ่งที่พระเยซูมาประกาศ บอกตอนนี้ มันก็ไม่ได้ขัดแย้งเลยกับพื้นฐานความจริงตรงนี้เลย
คำว่า “ทำดีได้ดี ทำดีได้ไปสวรรค์” พระเยซูประกาศมันยังเป็นจริงอยู่เสมอ และจะเป็นจริงอยู่ตลอดไป จนกว่าโลกนี้จะสิ้นไป พระเยซูประกาศอย่างนั้นจริงๆ พระคัมภีร์จึงบอกว่าพระเยซูไม่ได้มาลบล้างบทบัญญัติของโมเสสแต่อย่างไร? ก็คือไม่ได้มาลบล้างกฎศีลธรรม การทำดีได้ดี ที่โลกนี้สรรเสริญยกย่อง เชื่อถือ แต่พระองค์ยังคงตอกย้ำ ยืนยันในหลักการเดิม มากกว่าเดิมว่ามนุษย์ต้องทำแต่ความดี ต้องเป็นคนดีเท่านั้น ย้ำเลยนะ เพื่อจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า และสามารถไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ทำแต่ความดีได้ไปสวรรค์แน่นอน พระเยซูประกาศย้ำยืนยันแน่นอนเลย แต่ประเด็นสำคัญ คือว่าที่เราไม่เข้าใจตรงนี้ พระเยซูพูดต่ออีกนิดหนึ่งว่า “ทำความดี เพื่อให้เป็นผู้ชอบธรรมนั้น” ตรงนี้ อย่างที่เราเรียนรู้มาแล้วว่าพระเยซูบอกว่าผู้ที่ทำใด้ ต้องอยู่ในมาตรฐานของพระเจ้า
มาตรฐานของพระเจ้า หมายถึงต้องทำให้ได้ดี อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ตามบทบัญญัติทั้งหมดเลย ผิดพลาดแม้แต่นิดหนึ่ง ก็ไม่ได้ ถูกไหม? มนุษย์เรา สรรเสริญในการทำดี แต่เราผิดพลาดไป เราบอกไม่เป็นไรหรอก หยวนๆ แต่พระเยซูกำลังมาย้ำบอกว่าถูกแล้ว รักษากฎบัญญัติอย่างนั้น กฎหมายศีลธรรมสำคัญ ดีแล้ว ต้องไม่พลาดเลยนะ ย้ำขึ้นไปอีก ผิดพลาดแม้แต่นิดเดียวก็ไม่ได้ ที่พระคัมภีร์ พระเยซูใช้คำว่า “ต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเท่านั้น” เห็นไหม? พระองค์กำลังมายกชูตามมนุษย์ทั้งหลาย เหมือนกันว่าบัญญัตินั้นดี กฎหมาย ศีลธรรมต่างๆ ที่เรานับถือกัน ที่เราเทิดทูนกัน สรรเสริญกัน ถูกแล้ว แต่สำหรับพระเจ้านั้น ต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเลย ซึ่งเราก็รู้กันอยู่แล้ว รู้อยู่ในใจ พระเยซูก็พูดด้วยว่ามนุษย์ไม่มีคนไหนเลย ที่สามารถทำได้ ก็คือไม่สามารถรักษาบทบัญญัติ ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่ผิดบาปเลยแม้แต่ข้อเดียว เป็นไปไม่ได้เลย นี่คือเป้าหมายที่พระเยซูมาประกาศด้วยซ้ำไป
พระองค์เลยจะบอกว่าพระเจ้าก็เลยต้องส่งพระเยซูคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด มาช่วย เราจึงเรียกพระเยซูว่าพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด หรือว่าพระคริสต์ เพราะว่ามนุษย์ทำเองไม่ได้ พระเยซูจึงต้องมาช่วยไง ช่วยอะไร? ช่วยชำระบาปให้กับเรา และให้เราบังเกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์ดีพร้อมในสายพระเนตรพระเจ้าเลย
เพราะฉะนั้น สรุปง่ายๆ ก็คือพื้นฐานความเชื่อ เรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีได้ไปสวรรค์ ยังคงเป็นจริงอยู่เสมอ จนกว่าโลกนี้จะสิ้น คำว่า “ทำดี” ในที่นี้ คือต้องทำตัวเองให้บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ตามมาตรฐานของพระองค์ มนุษย์ไม่มีทางทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ดีพร้อมได้ มนุษย์จึงไม่มีทางเข้าสวรรค์ได้ด้วยตนเองเลย พระเจ้าจึงต้องส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่เรียกว่าพระมาซีฮาห์ พระคริสต์ นำพามนุษย์ให้ได้ไปสวรรค์ โดยการกระทำของพระองค์เอง
นี่คือสิ่งที่ผมกำลังอธิบายความหมายของพระคัมภีร์ตรงนี้ ที่บอกว่าประตูใหญ่ และทางกว้าง นำไปสู่ความพินาศ และคนเป็นอันมากเข้าไปในทางนั้น
บางคนเท่านั้นที่พุ่งไปที่ประตูแคบ เพราะเขารู้ว่าเขาทำไม่ได้ เขาก็อยากรักษาเข้าประตูกว้างเหมือนกัน แต่เขามาอยู่ประตูกว้างตั้งนานแล้ว รักษาไม่ไหวแล้วจริงๆ พระเยซูเป็นประตูแคบ เขาเอาแล้ว ก็ถูกคนอื่นเขาข่มเหงรังแกว่าคนนี้ เป็นคนที่ไม่มีศีลธรรม ไม่รักษาความดีงาม พอเข้าใจไหม? อธิบายลำบาก ท่านเองโดนมา ก็จะรู้ว่ารับได้ไหม? เราก็คือบางคนนั้น ที่มาเชื่อพระเยซู แล้วก็มีคนมากล่าวหาบอกว่า …
“เชื่อพระเยซูทำอะไรก็ได้ ทำบาปก็ได้ อธิษฐานขอโทษพระเจ้า พระเจ้าก็ยกโทษให้ ทำอย่างนี้ได้ไปสวรรค์เหรอ ถ้าเธอได้ไปสวรรค์ ฉันได้ไปสวรรค์มากกว่า ฉันทำดีมากกว่าเธอตั้งเยอะ” นี่พูดช้าไปนะเนี้ย ถ้าโดน โดนหนักกว่านี้
“ท่านดีขนาดไหน? ท่านไปสวรรค์ เชื่อพระเยซูแค่นี้ ไม่เห็นทำอะไร? บลา…..”
เราก็โอ๊ย ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรเลย? แคบไหมประตู แล้วบางคนไม่ทันชิม เริ่มขับรถจะไปชิมพระเยซูหน่อย พอได้ยินอย่างนี้ ไม่กล้าไปแล้ว
“เธอไม่สนใจความประพฤติแล้วเหรอ” … ไม่เข้าใจ ความหมายตรงนี้เลย
ประตูใหญ่และทางกว้าง ก็คือทางที่คนเป็นอันมาก พากันมุ่งตรงไป คนส่วนใหญ่ก็จะไปตรงนี้ มันเห็นๆ อยู่ไง เพราะทำแล้วมีคนสรรเสริญ ไม่มีคนขัดแย้ง ท่านจะไปทำความดีอะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่ว่าจะไปบอกว่าเชื่อพระเยซู แล้วทำความดี แต่เชื่อพระเยซูจริงๆ แล้วท่านบอกเป้าหมายที่พระเยซูพูดจริงๆ แล้วว่า …
“ฉันได้ไปสวรรค์ไม่ใช่ เพราะการกระทำ แต่เป็นเพราะฉันเชื่อพระเยซูคริสต์” … ก็รับไม่ได้แล้ว
เพราะประตูใหญ่ทางกว้าง ก็คือทางที่คนเป็นอันมาก พากันมุ่งตรงไป ตามจิตใต้สำนึก ตามความเชื่อ คือพยายามทำแต่ความดี เพื่อจะได้ไปสวรรค์ วางใจในการกระทำของตนเองมาก เพื่อจะได้ไปสวรรค์ ซึ่งเป็นความเชื่อที่ถูกต้อง แต่จะบอกให้ว่าทางกว้างนี้ นำไปสู่ความพินาศ
พินาศ เพราะมันทำไม่ได้ ไม่มีสักคนหนึ่งที่ทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ไง แต่ดูเหมือนดีไหม? มันดี ฟังดีไหม? ดี แต่ทำได้ไหม? ไม่ได้ นึกออกไหม? พยายามจับนิยามมาให้ท่านมองเห็น
คนที่เลือกเข้าทางประตูใหญ่นี้ ก็คือคนที่คิดว่าตัวเองทำได้ แต่ในความเป็นจริง คือไม่มีใครสามารถทำได้ ทางกว้างนี้ จึงไม่สามารถนำพาใครไปสู่สวรรค์ได้เลย มีแต่ความพินาศ รออยู่เท่านั้น ทางกว้างเป็นของผู้ที่ยังทะนงตน เย่อหยิ่ง ไม่ยอมรับความจริงตามที่พระเยซูคริสต์บอก ในใจก็รู้ๆ อยู่ว่าทำไม่ได้ แต่ก็พยายามฝืนที่จะทำให้ได้ สะสมให้มันได้ จนถึงวันสุดท้าย ก็ไม่ได้อยู่ดี แต่มันเป็นทางกว้าง ผู้คนก็จะแห่กันไป ต้องย้ำตรงนี้อีกครั้งว่าพระคัมภีร์ไม่มีตรงไหนที่บอกว่าให้หยุดเชื่อในการกระทำดี พระเยซูไม่เคยสอนให้เราหยุดทำดี แต่สอนประกาศให้เราไม่พึ่งในสิ่งที่ดี ที่เราทำ มันต่างกันนะ ไม่มีตรงไหนที่พระเยซูสอนให้หยุด ในการกระทำความดี ไม่มีเลย แต่กำลังบอกว่าในขณะที่ท่านกำลังเพียรพยายามทำความดีอยู่นั้น ดีแล้ว แต่จงรับรู้เถิด การพยายามทำความดีด้วยตัวเองนั้น จะไม่มีทางนำท่านไปสู่การได้เป็นผู้ชอบธรรม เข้าสวรรค์ได้ตามมาตรฐานของพระเจ้า ไม่มีทางเลย ที่ท่านจะได้รับการช่วยเหลือ ให้รอดจากการพิพากษา ลงโทษ หลังความตาย
พระเยซูจึงสรุปบอกว่า … “ดังนั้น จงหันมาทางประตูเล็ก ทางแคบ จงกลับใจใหม่ มาทางเราเถิด” … ก็คือยอมรับและวางใจในพระมาซีฮาห์ หรือพระเยซูคริสต์ ให้พระเยซูคริสต์เข้าครอบครองชีวิตของท่าน เข้ามาสถิตอยู่กับท่าน นำพาชีวิตของท่าน เดินไปกับพระเยซู พึ่งพาในพระองค์ เป็นทางเดียวที่จะนำท่านไปสู่สวรรค์ หรือเรียกว่านำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ได้นั่นเอง ซึ่งที่บอกว่าเป็นทางเล็ก และทางแคบ อย่างที่ตะกี้นี้ผมบอก มันง่ายเกินไป เพราะว่ามันเป็นข่าวดี เป็นของฟรี พวกเราทั้งหลายก็รู้ พอบอกฟรีปุ๊บ เรารู้สึกข่าวดีมากเลย เพราะพอเขาบอกว่าให้ฟรีปุ๊บ รู้สึกดีใจ พระเยซูกำลังบอก นี่เป็นข่าวดี นี่เป็นของฟรี มันเลยรับยากนะ
เพราะของฟรีอะไรมันใหญ่โตขนาดนั้น ไม่อยากจะเชื่อ ถึงเรียกว่าพระคุณ ความดีของพระเจ้า เป็นของฟรี แค่ผ่านทางความเชื่อ ไม่ต้องทำอะไรเลย มนุษย์ทั้งหลายจึงไม่สามารถเข้าใจตรงนี้ได้ จึงไม่ค่อยมีใครเข้ามาทางแคบนี้ ทางพระเยซูคริสต์นี้ เพราะว่ามันง่ายเกินไป คนส่วนใหญ่เลยรับไม่ได้ เพราะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เล็กๆ แล้วว่าต้องทำๆ พออยู่ๆ มีคนมาบอกว่าไม่ต้องทำแล้ว ได้รับไปฟรีๆ อันดับแรกเลย เป็นไปไม่ได้ เข้าใจยาก สำหรับคนที่คิดแบบภาษามนุษย์ มันก็เลย กลายเป็นอย่างที่พระเยซูบอก เป็นประตูเล็ก ทางแคบ ที่มีเพียงไม่กี่คน บางคนเท่านั้นที่ค้นพบ
ขอบคุณพระเจ้าที่เราพบแล้ว มันไม่ยากเลย นี่คือข่าวดี นี่คือข่าวประเสริฐของพระเจ้าที่ให้ฟรีๆ ที่มีมาถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ตอนกำลังพูดอยู่นี้ พระเยซูพูดประกาศให้กับชาวยิว แต่เราสามารถเอามาใช้ได้กับคนที่ไม่ใช่ยิว คือคนที่ยังไม่เชื่อ มันคือภาพของความจริงเลยว่าประตูใหญ่ ทางกว้าง ทุกคนเห็น ก็คือความประพฤติ การพึ่งพาตนเอง การกระทำดี ถูกต้อง ศีลธรรมที่ดีงามอะไรต่างๆ มันเป็นจริงที่ถูกต้อง เฮกันไปหมดเลย โดยไม่คิดถึงเลยว่ามาตรฐานของพระเจ้ากำลังบอกว่าต้องทำดีจนครบหมดนะ ผิดพลาดครั้งหนึ่ง ก็ไม่ได้ ผิดพลาดครั้งหนึ่ง ก็เท่ากับว่ากำลังโชว์ว่าตัวเองเป็นคนบาป แม้แต่ครั้งเดียว โกหกครั้งเดียว นิดเดียวเอง ก็มาจากความบาปแล้ว นี่คือกฎที่พระเจ้าวางไว้ ในทางด้านวิญญาณ สำหรับการที่จะช่วยให้รอด จากความบาป ไปสู่สวรรค์หลังความตาย
แต่พอบอกว่าพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ชำระบาปให้กับเราเรียบร้อยแล้ว เอาความบาปออกไปจากมนุษย์หมดเลย เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป มาเชื่อพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระองค์เอาความบาปออกไปหมดเรียบร้อยแล้ว เราจะเป็นผู้ชอบธรรม เข้าสู่สวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้าได้เลย เรียบร้อยเลยทันทีทันใด ที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วางใจในพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป คือตั้งแต่พระเยซูสิ้นพระชนม์และเป็นขึ้นจากความตาย จนถึงทุกวันนี้ จนกว่าวันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาใหม่ คือวันที่สิ้นโลกนี้ สิ่งเหล่านี้ คำสัญญาเหล่านี้ ยังเป็นจริงอยู่ คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วางใจในพระองค์จะได้บังเกิดใหม่ พ้นจากบาป เข้าสู่สวรรค์ทันทีทันใดเลย เอเมน
มันง่ายไป ขอทำอะไรหน่อยสิ ขอทำนิดหนึ่งๆ ได้ไหม? เพราะฉะนั้น คนที่มาเป็นคริสเตียนแล้ว บางคนก็ยังขอพระเยซูทำเลย พอเป็นคริสเตียนแล้ว ขอทำ คืออะไร?
“ฉันขอทำตรงนี้เพิ่มเติม เพื่อว่าเดี๋ยวจะไม่ได้รับความรอด”
“ก็ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว”
“เดี๋ยวกลัว พอตายไปแล้ว พระเจ้าจะไล่ฉันออกจากสวรรค์” อะไรอย่างนี้
แล้วสัปดาห์หน้าเราค่อยมาฟังกันต่อว่าที่ผมพูดตรงนี้หมายถึงอะไร? พระเยซูพูดอย่างนั้นแหละ พระเยซูรู้ว่าเขาคิดอะไรกัน เดี๋ยวพระเยซูจะอธิบายต่อไป เรื่องคำประกาศของพระเยซู พอเรารู้ความจริงแล้ว มันเป็นความจริงอย่างนี้จริงๆ พระองค์ประกาศทั้งหมด ที่เราเรียนมา 10 ตอนแล้วกำลังพูดให้กับคนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เกิดใหม่ เพราะฉะนั้น เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเกิดใหม่แล้ว มันอีกเรื่องหนึ่ง พระองค์กำลังประกาศนั่นเอง อย่างเพลงที่ผมเอามาจบในซีรี่ย์นี้ วางใจในพระเจ้าและกระทำความดี จึงเป็นสิ่งที่จริง ก็คือให้เชื่อและวางใจในพระเจ้าก่อน แล้วก็มาสนใจในการกระทำดีตามกฎศีลธรรมทีหลัง ให้ความสำคัญกับความรอด ในวิญญาณก่อน แล้วค่อยมาให้ความสำคัญกับความประพฤติทีหลัง นี่คือทางที่พระเยซูวางไว้ให้กับเรา พระเจ้าอวยพรครับ
****************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
เรามั่นใจในความบริสุทธิ์ ดีพร้อมของเราหรือไม่?
โรม 8:1-2 … “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป) 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่าน ให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย (คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง)”
มนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้กฎแห่งแรงดึงดูดของโลก จนกระทั่งค้นพบกฎแห่งการยกขึ้นของเครื่องบิน จึงสามารถมีชัยชนะอยู่เหนือกฎแรงดึงดูดของโลกได้
เช่นเดียวกันในโลกวิญญาณ ทุกคนอยู่ภายใต้กฎแห่งการกระทำดีละชั่ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งไม่มีใครสามารถทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามมาตรฐานของพระเจ้า คือบริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระองค์ จึงจะเข้าอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ได้
จนกระทั่ง 2000 ปีที่แล้ว พระเยซูมาสถาปนากฎใหม่ ที่มีชื่อว่ากฎวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ซึ่งมีอำนาจอยู่เหนือกฎแห่งความบาปและความตาย คือกฎในการพึ่งพาการกระทำดีละชั่วของตนเอง เรียกว่ากฎแห่งพระคุณ
ตั้งแต่นั้นมา มนุษย์ทุกคนสามารถที่จะเลือกการดำเนินชีวิต อยู่ในกฎใดกฎหนึ่งนี้ได้ แล้วแต่จะตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะพึ่งพาการกระทำของตนเอง เพื่อจะได้ครบถ้วนบริบูรณ์ บริสุทธิ์ดีพร้อม ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ หรือถ้าไม่แน่ใจ หันกลับมาหาพระเจ้า โดยพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงประทานให้มา เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมวลมนุษยชาติ
พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว คือสถาปนากฎแห่งวิญญาณ กฎแห่งพระคุณนี้ โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม เปิดประตูเข้าสู่สวรรค์ให้กับมนุษย์ทุกคน
นี่คือข่าวดี สำหรับมวลมนุษย์ทุกคน
โปรดเลือกพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์เถิด!
พระเจ้าอวยพรครับ