วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1385 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  ตุลาคม  2022

เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 8

“คำเทศนาบนภูเขา” EP.7

“ทรัพย์สมบัติในโลก ต้องเหน็ดเหนื่อยหาเอง แต่ทรัพย์สมบัติในสวรรค์ พระเจ้าให้ฟรีๆ”

โดย นคร   เวชสุภาพร

            เรายังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” วันนี้เป็นตอนที่ 8 และเป็น Ep.7 ของเรื่อง “คำเทศนาบนภูเขา”

ตอนที่ 1  จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน

ตอนที่ 2  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 1 : คนป่วยต้องการหมอ  คนบาปต้องการพระเยซู

ตอนที่ 3  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 2 : พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ

ตอนที่ 4  คำเทศนาบนภูเขา  Ep 3 : กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์

ตอนที่ 5  คำเทศนาบนภูเขา Ep 4 : มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก แต่พระเจ้ามองที่   

วิญญาณข้างใน

ตอนที่ 6  คำเทศนาบนภูเขา Ep 5 : บริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์

ตอนที่ 7 คำเทศนาบนภูเขา Ep 6 : ท่านต้องอภัยให้ผู้อื่นก่อน แล้วพระเจ้าถึงจะอภัยให้ท่าน

ตอนที่ 8 (วันนี้) คำเทศนาบนภูเขา Ep 7 : ทรัพย์สมบัติในโลกต้องเหน็ดเหนื่อยหาเอง  แต่ทรัพย์

สมบัติในสวรรค์   พระเจ้าให้ฟรีๆ

            ทั้งหมดรวมวันนี้ 8 ตอน อยากให้ไปทบทวนของเก่าๆ ท่านจะได้เข้าใจพื้นฐาน เบื้องหลังต่างๆ จะได้รู้ว่าพระเยซูมาประกาศ 3 ปี พระองค์มาทำอะไร?  เป้าหมาย คืออะไร? เพื่อจะเป็นพื้นฐานของท่านใน การศึกษาพระคัมภีร์  และดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์อย่างถูกต้องตลอดไป

            เรามาทบทวนในบริบท คำเทศนาบนภูเขา พระเยซูกำลังพูดถึงเรื่องอะไร? กับใคร? พระเยซูพูดถึงเรื่องสวรรค์กำลังมาตั้งอยู่กับชาวยิว เป้าหมายการประกาศบนภูเขาของพระเยซู ก็คือพระองค์ต้องการประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ที่กำลังจะมาตั้งอยู่ในไม่ช้านี้ ให้กับชาวยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวยิว ที่เป็นฟาริสี สะดูดี  และธรรมาจารย์ที่เย่อหยิ่ง ทะนงตน ภูมิใจนักหนาในความชอบธรรมจอมปลอมของตัวเอง ที่ตัวเองสร้างขึ้นมา นี่คือเบื้องหลัง

            สิ่งที่พระองค์ทรงเน้น ในการประกาศนี้ ก็คืออย่าหน้าซื่อใจคด ปฏิเสธพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด คือพระองค์เอง ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองไม่สามารถรักษาบัญญัติได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ให้พินาศหลังความตายอย่างแน่นอน ทั้งๆ ที่รู้ ก็ ยังปฏิเสธ เขาเรียกว่าหน้าซื่อใจคด  พระเยซูมาชี้ บอกทำไม่ได้  แต่ก็ยังฝืนอยากจะทำให้ได้

            พระเยซูกำลังชี้บอกว่ามนุษย์เป็นบาปอยู่ ปัญหาของท่านมันอยู่ที่วิญญาณข้างใน ไม่ได้อยู่ที่การรักษาบทบัญญัติ การกระทำบาปภายนอกหรอก ไม่ได้อยู่ที่ความประพฤติ การกระทำบาปภายนอก ซึ่งการกระทำภายนอก เป็นแค่อาการของบาปที่ข้างใน ซึ่งเป็นอาการที่มองเห็นได้  คือมองเห็นว่าทำบาป ปัญหาใหญ่ของมนุษย์อยู่ที่ภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ ไม่ได้อยู่ที่ยอดภูเขาน้ำแข็งบนน้ำ ที่มองเห็นได้

            ยอดน้ำแข็งบนน้ำ ก็คือเรามองเห็นได้ การกระทำ ความประพฤติ อย่างนี้เรียกว่าบาป แต่ใต้น้ำเรามองไม่เห็น ใหญ่กว่าข้างบนยอด บนน้ำอีกตั้งเยอะ มองไม่เห็น นั่นคือบาปที่อยู่ในวิญญาณของเรา

            เป้าหมายของพระเยซูมาประกาศ 3 ปีนี้ นี่คือหนึ่งส่วนในนั้น เพราะฉะนั้น การแก้ไข จึงต้องรักษา แก้ไขที่ต้นเหตุของมัน ก็คือไปที่ภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ  ก็คือบาปที่อยู่ในใจ ในวิญญาณของมนุษย์เท่านั้น จึงจะรักษาให้หายขาดได้ ก็คือมนุษย์ต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น วิญญาณที่บาปอยู่นั้นยังอยู่ มนุษย์ไม่มีอิสระเลย วิญญาณที่ยังเป็นบาปอยู่นั้น ต้องถูกฆ่าให้ตาย ต้องถูกกำจัดออกไป แล้วเปลี่ยนวิญญาณให้ใหม่เท่านั้น นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงพูด 3 ปีนี้ ท่านต้องย้ายวิญญาณ จากการอยู่ในความตาย มาสู่ชีวิตในพระคริสต์ พูดง่ายๆ ซึ่งในอดีต พระเจ้าทรงเมตตาช่วยเหลือ ผ่านทางโลหิตของสัตว์ แห่งพันธสัญญา เรียกว่าสัตวบูชาลบบาปปีละ 1 ครั้ง จนกว่าจะถึงกำหนดเวลาที่จะทรงประทานพระบุตรมาเป็นเครื่องบูชาลบบาปตลอดไป และบัดนี้ พระบุตรก็ได้มาเกิดแล้ว

            นี่คือสิ่งที่พระองค์กำลังประกาศ 3 ปีนี้ แล้วพระบุตรพร้อมแล้ว ที่จะเป็นเครื่องบูชาลบบาปตลอดไปให้กับมวลมนุษย์ พระองค์พูดกับชาวยิวก็จริง แต่การลบบาปนี้ พระองค์จะแถมลงไปว่ามนุษย์ทั้งปวง ก็คือมนุษย์คนใดก็ตาม ที่วางใจในพระองค์ จะได้รับชีวิตนิรันดร์ พ้นจากความพินาศ พ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษ พระเจ้าพระบิดากำลังจะยกเลิกพันธสัญญาเดิม วิธีเดิม คือทางสัตวบูชา ถวายเลือดสัตว์ เปลี่ยนมาเป็นพันธสัญญาใหม่ โดยโลหิต หรือเลือดของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่จะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อมนุษย์ทั้งปวงนั่นเอง

            นี่คือสิ่งที่พระองค์กำลังประกาศ พระเยซูประกาศเตือนชาวยิวที่เย่อหยิ่งจองหองเป็นพิเศษว่าถึงเวลาแล้วที่มนุษย์จะแสวงหา นมัสการพระเจ้า ด้วยวิญญาณและความจริง ไม่ได้นมัสการที่วิหาร ที่สร้างด้วยมือมนุษย์อีกต่อไปแล้ว

            การนมัสการ ก็คือการยอมถ่อมตน  แล้วก็เข้าไปหาพระเจ้า ในอดีต ต้องผ่านทางเลือดสัตว์ ถึงจะเข้าไปได้ แต่พระองค์กำลังบอกว่าการนมัสการเข้าหาพระเจ้า เพื่อขอการอภัยบาป ในวิหารที่สร้างด้วยมือมนุษย์นั้น พิธีกรรมนี้จะถูกทำลาย ออกไปแล้ว หลังจากที่พระบุตรของพระเจ้า คือพระองค์เอง สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 พระเจ้าก็จะยกเลิกของเก่า แบบเดิมออกไปหมดเลย ซึ่งพระองค์ได้ทรงพูดเอาไว้ในหนังสือยอห์น 4:21-26 เราลองอ่านดูนะ ซึ่งพูดกับหญิงสะมาเรีย … สะมาเรีย ก็คือชาวยิว ที่เป็นยิวลูกผสม แต่เขาก็นมัสการพระเจ้าที่วิหารเหมือนกัน แต่วิหารของเขาอยู่ที่สะมาเรีย เป็นวิหารที่ถูกทำลายไปแล้ว โดยกองทัพอัสซีเรีย แต่วิหารที่เยรูซาเล็มยังมีอยู่ ยังตั้งอยู่ พระเยซูกำลังพูดว่าแห่งแรกยกเลิกไปแล้ว แต่แห่งที่สอง ในเยรูซาเล็ม ก็จะยกเลิกในไม่ช้านี้ “ยกเลิก” คือการถวายสัตวบูชาในวิหาร เปลี่ยนเป็นวิธีใหม่ ลองอ่านดูนะ …

        ยอห์น 4:21-26  “21 พระเยซูประกาศว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด ใกล้ถึงเวลาแล้ว เมื่อพวกท่าน จะนมัสการพระบิดา ไม่ใช่ที่ภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม 22 พวกท่าน ชาวสะมาเรีย นมัสการสิ่งที่ท่านไม่รู้จัก ส่วนเรานมัสการสิ่งที่เรารู้จัก เพราะความรอดมาจากพวกยิว 23 กระนั้น ก็ใกล้ถึงเวลาแล้ว และบัดนี้ ก็ถึงเวลาแล้ว ที่ผู้นมัสการอย่างถูกต้อง จะนมัสการพระบิดา ด้วยจิตวิญญาณและความจริง เพราะพวกเขาเป็นผู้นมัสการ แบบที่พระบิดาทรงแสวงหา 24 พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ ผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” 25 หญิงนั้นทูลว่า “ดิฉันรู้ว่าพระเมสสิยาห์ (ที่เรียกว่าพระคริสต์) กำลังเสด็จมา เมื่อพระองค์เสด็จมาแล้ว จะทรงอธิบายทุกสิ่งแก่เรา” 26 แล้วพระเยซูทรงประกาศว่า “เราที่พูดอยู่กับเจ้า คือผู้นั้น”

            “เมื่อพวกท่านจะนมัสการพระบิดา เข้าไปหาพระเจ้า ไม่ใช่ที่ภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็มอีกต่อไปแล้ว”

            ที่ภูเขานี้ ก็คือวิหารที่อยู่ในสะมาเรีย … ที่กรุงเยรูซาเล็ม ก็คือวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม ที่ชาวยิวทั้งสองพวกนี้ ทำพิธีนี้อยู่ แล้วพระองค์บอกว่าอย่างไร? ข้อ 20 พระองค์บอกว่า … “แล้วพระเยซูทรงประกาศว่า …” นี่คือสิ่งที่เป็นหัวใจของการประกาศของพระเยซู 3 ปีนี้

            ประกาศว่า “เราผู้ที่พูดอยู่กับเจ้า คือผู้นั้น” เราที่พูดอยู่กับเจ้า คือพระเมสิยาห์  พระเมษโปดกของพระเจ้า ที่จะทรงประทานให้กับมนุษย์ตามพันธสัญญาไว้นั่นเอง นี่คือเป้าหมายของการประกาศของพระเยซู

            พระองค์กำลังบอกว่า เพราะฉะนั้น ท่านฟาริสี สะดูสี ธรรมาจารย์ อย่าเย่อหยิ่งทะนงตน จองหอง จงกลับใจเสียใหม่ จากการแสวงหาความชอบธรรมด้วยตนเอง โดยการรักษาบทบัญญัติอย่างเคร่งครัดนั้น ท่านทำไม่ได้หรอก พระองค์ทรงยกตัวอย่างเหมือนเอาอูฐลอดรูเข็ม ท่านทำไม่ได้ พระเจ้าช่วยท่านให้เป็นผู้ชอบธรรมได้ ท่านทำด้วยตนเองไม่ได้หรอก จงกลับใจใหม่ หันมาวางใจในพระองค์ คือในพระเยซูคริสต์ พระเมษโปดก พระเมสิยาห์ แล้วท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่

            นี่ก็อยู่ในบริบทที่พระเยซูประกาศ ท่านจะได้บังเกิดใหม่ วิญญาณของท่านจะเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมที่พระเจ้าสามารถเข้ามาสถิตอยู่ภายในท่านได้  ท่านจะเป็นวิหารที่มองไม่เห็น  ที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ แต่ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ทำให้ท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ภายในท่าน แล้วท่านก็จะสามารถนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริงได้ ด้วยวิธีใหม่นี้ ก็คือต้องวางใจในพระเยซูเท่านั้น นี่ปูพื้นให้ท่าน

            แล้วพระเยซูก็ยกข้อบัญญัติต่างๆ ที่ชาวยิวคุ้นเคย มาวิเคราะห์ให้ดูว่าเป็นอย่างไรบ้าง? เป็นตัวอย่าง ที่จะชี้ให้เห็นว่าท่านทำไม่ได้หรอก ตามมาตรฐานของพระเจ้า ที่อ่านมา ท่านทำไม่ได้ทั้งหมด ที่พระองค์ทรงยกตัวอย่าง ไม่ใช่ ให้พวกยิวไปทำ  แต่ยกตัวอย่างว่าท่านทำไม่ได้หรอก เพราะว่าบาปมันอยู่ในใจของท่าน

            ยกตัวอย่างอย่างเช่นครั้งที่แล้วเราจบลงที่มัทธิว 6:12-15 เราลองมาทวนนิดหนึ่งว่าท่านทำไม่ได้หรอก ทำอะไรไม่ได้ นี่คือหนึ่งในตัวอย่างที่ทำไม่ได้ คือ …

        มัทธิว 6:12, 14-15  “12 ขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษ (ไม่เอาความ ไม่โกรธไม่เคืองเลย 70×7) ผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น 14 เพราะว่าถ้าท่านยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์ จะทรงโปรดยกความผิดของท่านด้วย 15 แต่ถ้าท่านไม่ยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ (ยังโกรธเคือง รำคาญใจ) พระบิดาของท่านจะไม่ทรงโปรด ยกความผิดของท่านเหมือนกัน (ผล ก็คือพินาศในนรก เพราะบาป พันธสัญญาเดิมก็ถูกยกเลิกไปแล้วด้วย  พระบิดารับเฉพาะพระโลหิตของพระบุตร พระเมษโปรดกของพระเจ้าเท่านั้น)”

            “ยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษ ไม่เอาความ ไม่โกรธเคืองเลยกับคนที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น”

            ถ้าเราไม่ยกโทษ ไม่อภัยให้กับผู้อื่น แม้นิดเดียว แค่โกรธเคือง ก็ไม่ยกโทษแล้ว พระเจ้าก็จะไม่ยกโทษให้กับเราด้วย ท่านเห็นอะไรไหม? ทำได้ไหม? ชาวยิวก็ยังไม่เข้าใจ เพราะนี่เป็นเรื่องของความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูประกาศ บอกให้เขาฟังว่าพระองค์มาเพื่ออะไร? ไม่อย่างนั้นเขาโดนลงโทษ พิพากษาแน่นอน เพราะเขาทำไม่ได้ ไม่ใช่ให้เขาพยายามไปยกโทษมนุษย์คนอื่นๆ ไม่ใช่ เพราะเขาทำไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อเขาทำไม่ได้ เมื่อเขายกโทษให้คนอื่นไม่ได้  พระเจ้าก็ไม่อภัยบาปให้เขา เขาก็ลงนรก เขาก็ติดบาปอยู่ ก็ไม่ได้ไปสวรรค์ แล้วชาวยิวก็ไม่เข้าใจ รู้ได้อย่างไรไม่เข้าใจ? ก็ขนาดสาวกอยู่ใกล้ๆ ได้ยิน ได้ฟัง ก็ตกใจ แต่ก็ยังวางใจในพระเยซู ยกตัวอย่างเช่น เปโตรและพวกสาวกใกล้ชิด ถามพระเยซูว่า …

            “ถ้าอย่างนั้น คำว่าต้องยกโทษให้คนอื่นกี่ครั้ง”

            จำได้ใช่ไหม? 7 ครั้งหรือ? 7 ครั้งมันเยอะแล้วนะ แต่ยังพอทำได้ไหม? พอได้อยู่ 7 ครั้ง เขาก็คิดในใจว่าพระเยซูกำลังมาสอนให้เขาทำ โดยเฉพาะเปโตรเป็นผู้แรกเลย เพราะว่าเปโตรหุนหันพลันแล่นมาก เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็อะไร? เขาก็คงหยวนน่า อาจจะยากกว่านี้หน่อย สัก 7 ครั้งได้ไหมพระองค์?  พระองค์ตอบว่าท่านทำไม่ได้หรอก  ไม่ใช่ 7 ครั้ง แต่ถ้าท่านจะทำให้ได้นั้น คือต้อง 70×7 ครั้งต่อความผิดครั้งเดียว ถ้าเขาเหยียบเท้าท่าน ท่านต้องอภัยให้เขา ไม่เคืองอะไรเลย ต้องให้เขาเหยียบ 490 ครั้ง ทำได้หรือเปล่า? พระองค์สรุป พูดง่ายๆ คือทำไม่ได้ นี่คือเป้าหมาย  พูดง่ายๆ ก็คือท่านจะรักษาบทบัญญัติให้ครบถ้วน 100% ด้วยตนเองนั้น ท่านทำไม่ได้หรอก พันธสัญญาเดิม  ก็ไม่มีแล้ว ในอนาคตอันใกล้นี้

            วิหารก็จะไม่มีอีกแล้ว เพราะถูกทำลายไปแล้ว เลือดสัตว์ พระเจ้าไม่รับแล้ว ก็เหลือเพียงทางเดียวเท่านั้น ก็คือทางพระเมสิยาห์ พระบุตรของพระเจ้า ลูกแกะของพระเจ้า โลหิตของพระบุตรของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่จะช่วยท่านให้รอด รับการอภัยบาปได้ จงกลับใจใหม่เถิด นี่คือเป้าหมายของการประกาศของพระเยซู 3 ปี มาอยู่ตรงนี้ทั้งหมด นี่คือสิ่งเดียวที่พระเจ้าพระบิดาประสงค์ให้ท่านทำ ฟังให้ดีๆ การอภัยให้คนอื่น ไม่ใช่สิ่งที่พระบิดาต้องการให้ท่านทำ หรือบอกให้ท่านทำ ไม่ใช่อภัยให้คนอื่น ไม่ใช่ไม่ฆ่าคน ไม่ใช่ไม่โกรธคน ไม่ใช่ไม่ล่วงประเวณี ไม่ใช่ว่าไม่โลภ แต่พระองค์ตรัสว่าสิ่งที่พระบิดาต้องการให้ทำ มีสิ่งเดียวเท่านั้นเอง จะบอกให้ประกาศให้หมดเลย พวกนั้นบอกเราต้องรักษา 613 ข้อ บทบัญญัติพระบิดาให้เรามาบอกให้ท่าน ท่านได้รับความรอดจากนี้ต่อไป พระบิดาต้องการให้ท่านทำอย่างเดียวพอ ก็คือการวางใจในเรา เอเมนไหม? นี่ประกาศดังลั่น

            พระประสงค์ของพระบิดา “จงวางใจในเรา  ผู้ที่พระบิดาส่งมา” พูดง่ายๆ จงวางใจในเรา  ผู้เป็นพระเมสิยาห์ ที่จะมาช่วยท่านให้รอดนั่นเอง นี่คือหัวใจของการประกาศ 3 ปีนี้ อย่าเข้าใจผิด

            เรามาต่อวันนี้ มัทธิว 6:16-34 เราเริ่มที่มัทธิว 6:16-18 ก่อน …

        มัทธิว 6:16-18 “16 เมื่อท่านถืออดอาหาร อย่าทำหน้าเศร้า เหมือนคนหน้าซื่อใจคด เพราะเขาปั้นหน้า เพื่อให้คนเห็นว่าพวกเขากำลังถืออดอาหาร เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเขาได้รับบำเหน็จของตนเต็มที่แล้ว 17 ส่วนท่านเมื่อถืออดอาหาร จงล้างหน้า เอาน้ำมันชโลมศีรษะ 18 เพื่อจะไม่เป็นที่สะดุดตาใครว่าท่านกำลังถืออดอาหาร นอกจากพระบิดาของท่าน ผู้ไม่ปรากฏแก่ตา และพระบิดาของท่าน ผู้ทรงเห็นสิ่งที่ทำเป็นการลับจะประทานบำเหน็จแก่ท่าน”

            ย้อนกลับมาที่ตะกี้นี้ ที่ปูพื้นไว้ เป้าหมาย คือท่านทำได้ไหม? ที่เขียนนี้ ที่สั่งนี้ ไม่ใช่มาสอนให้ท่านไปอดอาหาร ไม่ใช่ อดอาหารแล้วอย่าหน้าซื่อใจคด อดอาหารให้มันดีๆ นะ ให้มันมีท่าทีที่ถูกต้อง ไม่ใช่ กำลังบอกท่านทำไม่ได้ๆ เพราะวิญญาณข้างในท่าน เป็นบาป ท่านจะมีท่าทีที่ไม่ถูกต้องแน่นอน คือการอดอาหาร จะเป็นประเพณีวัฒนธรรม ตามศาสนาของยิวเท่านั้นนะ เป็นการแสดงการถ่อมใจ ของประชากรชาวยิวมาตั้งแต่อดีต เป็นวัฒนธรรมของเขา

            การถ่อมใจ  ก็คือการอดอาหารต่อหน้าพระเจ้าว่านี่ฉันถ่อมใจ เชื่อในพระองค์  แสดงออกทางด้านปฏิบัติ แต่ฟาริสี สะดูสี ธรรมาจารย์ในใจจริงๆ มันเย่อหยิ่งจองหอง มันทำไม่ได้หรอก มันอดที่จะอดอาหาร แล้วโชว์ให้คนอื่นรู้ มันอดไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ เดี๋ยวคนอื่นยกย่องไม่ได้ แล้วข้อสำคัญ ก็คือในหนังสือพันธสัญญาใหม่ ในจดหมายฝาก ที่เขียนถึงคริสเตียน ที่ไม่ใช่ชาวยิว ทีหลังนั้น ไม่มีการกล่าวถึง หรือแนะนำให้อดอาหารเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ไม่มีเลย เพราะว่าต่างชาติที่เป็นคริสเตียน เขาไม่รู้เรื่อง เขาไม่ได้อยู่ในประเพณีวัฒนธรรมนี้ นี่เป็นเรื่องราวของคนยิว โดยเฉพาะคนยิวที่เคร่งศาสนา  เหมือนฟาริสี ธรรมาจารย์ สะดูสีที่กำลังพูดถึงอยู่นี้ เพราะว่าพวกฟาริสี พวกนี้มักทำการนี้ ก็คือมักอดอาหารอย่างนี้ ตามวัฒนธรรมของยิว ให้ถ่อมใจเฉยๆ แต่คนเหล่านี้ ทำด้วยท่าทีที่ผิด คือทำเพื่อแสวงหาความชอบธรรมของตนเองว่าฉันทำแล้ว ฉันจะชอบธรรมขึ้น แสวงหาลาภ ยศ สรรเสริญบนโลกใบนี้ ก็คือทำ แล้วมีคนยกย่องสรรเสริญว่าเก่ง ว่าดี มีบารมี ยกตัวเองว่าตนเองทำได้เยอะ ทำได้ดี มีบารมีสูงกว่าคนอื่นที่ทำไม่ได้เท่าตนเองทำ

            “ฉันอดอาหารอาทิตย์ละ 1 ครั้ง เธอไม่ได้อดอาหารเลย เธอปีละ 1 ครั้ง อย่ามาเทียบ คนละรุ่นๆ” … นึกภาพออกไหม?

            ถามว่าที่เขาคิดอย่างนี้ ท่าทีในใจเป็นอย่างนี้ เพราะอะไร? เพราะในใจเป็นบาปอยู่ เป็นหลุมศพอยู่ เขาคิดพึ่งพาตนเอง อยู่ในใจนั่นแหละ พอพึ่งพาตนเอง ทำแล้วมีความรู้สึกว่าอยากจะได้ดี ทำได้มากกว่าคนอื่น  เพราะฉะนั้น เขาจึงคิดว่าการทรมานตนเองเยอะๆ แล้วพระเจ้าก็จะโปรดปรานมากกว่าคนอื่นที่ทรมานตนเองน้อยๆ เพราะเขาพึ่งการกระทำของตนเอง

            “ฉันกระทำได้มาก ฉันก็เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าได้พรมาก” คุ้นๆ ไหม?

            มากกว่าคนอื่นที่กระทำได้น้อยกว่า พูดง่ายๆ เขาเน้นเรื่องการกระทำ มากกว่าเรื่องจิตวิญญาณข้างใน ความเมตตาข้างใน แต่ว่าน่าเสียดาย พระเจ้าดูที่ใจ พระเจ้าดูที่ข้างใน พระเจ้าดูที่ภูเขาน้ำแข้งใต้น้ำ พระองค์ไม่ได้ดูที่ตามองเห็น เหมือนกับพวกเขา นี่คือสิ่งที่พระเยซูกำลังชี้ ต่อไปข้อ 19-21 …

        มัทธิว 6:19-21 “19 อย่าสะสม (แสวงหาที่จะมี) ทรัพย์สมบัติเก็บไว้ สำหรับตนในโลก ที่ซึ่ง แมลงและสนิมอาจทำลายได้ และที่ซึ่งโจรอาจงัดแงะเข้าไปขโมยได้ 20 แต่จงแสวงหาที่จะมีทรัพย์สมบัติเก็บไว้ สำหรับตนในสวรรค์ ที่ซึ่งแมลงและสนิมไม่อาจทำลายได้ และที่ซึ่งโจรไม่อาจงัดแงะเข้าไปขโมยได้  21 เพราะทรัพย์สมบัติของท่าน เก็บไว้อยู่ที่ไหน ใจของท่าน ก็อยู่ที่นั่นด้วย”

            ก่อนอื่นต้องมาอธิบายเกี่ยวกับถ้อยคำตรงนี้ก่อน คำว่า “อย่าสะสม” ผมวงเล็บให้ว่า “แสวงหาที่จะมี” คำว่า “อย่าสะสม” มันน่าจะแปลว่าแสวงหาที่จะมีทรัพย์สมบัติเก็บไว้ เพราะว่าอย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้ สำหรับตนในโลก ปรากฏว่าก็มีคนไปแปลผิด ไปหมายความผิด มันไม่ได้หมายความถึงว่าความคิดของมนุษย์ ที่พึ่งพาตนเองว่าทำดีมากๆ บริจาค

            ยกตัวอย่างเช่น บริจาค รักษาบัญญัติให้ถูกต้อง เป็นการสะสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ ซึ่งมนุษย์ทั่วๆ ไป ก็คิดอย่างนี้ทั้งสิ้น ถูกไหม? เขาคิดว่าการทำดี การทำบุญสุนทาน บริจาคเยอะๆ เท่ากับเก็บทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ เขาคิดอย่างนี้ ซึ่งมันไม่ถูก มันไม่ใช่ เดี๋ยวเราจะไปดูว่ามันไม่ใช่เพราะอะไร? มันไม่ใช่สะสมทีละนิดทีละหน่อย ทำดีไป จะได้ทรัพย์ นั่นเป็นของคนที่วิญญาณยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังพึ่งพาการกระทำของตนเอง เพราะนึกว่าทำไปมากๆ ก็ได้เก็บเกี่ยวมากๆ ทำไปเยอะๆ ผลของวิญญาณก็ได้เยอะๆ ทำดีเยอะๆ ในสวรรค์ ก็มีเยอะๆ เขาคิดอย่างนั้น เพราะข้างในยังบาปอยู่  แต่ถ้ามาเป็นคริสเตียนแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว จะไม่คิดอย่างนี้ แล้วคิดอย่างไร? มาดูกัน

            พระองค์กำลังพูดถึงเรื่องอะไร? ถ้าไม่ใช่อย่างที่ตะกี้นี้บอกว่าพระองค์ไม่ได้มาสอนให้เราทำดี จะได้สะสมแต้มไว้ในสวรรค์ ถ้าไม่ใช่ แล้วพระองค์กำลังพูดถึงอะไร? พระองค์เปรียบเทียบทรัพย์สมบัติบนโลกที่มองเห็นได้กับทรัพย์สมบัติในสวรรค์ที่มองไม่เห็น พูดง่ายๆ กำลังเปรียบเทียบ ยอดภูเขาน้ำแข็งบนน้ำกับภูเขาน้ำแข็งมหึมาใต้น้ำ  กำลังเปรียบเทียบสิ่งที่มองเห็นกับสิ่งที่มองไม่เห็น

            ทรัพย์สมบัติในโลก ซึ่งเป็นของปลอม ต้องเหน็ดเหนื่อยหาเอง แต่ทรัพย์สมบัติในสวรรค์เป็นของจริง พระเจ้าให้ฟรีๆ นี่สรุปสั้นๆ ทรัพย์สมบัติในโลกนี้ ที่จับต้องมองเห็นได้ ซึ่งเป็นของปลอม เพราะอยู่ไม่นาน มด ปลวก ขโมยๆ เอาไปได้ เป็นของปลอม ไม่จีรังยั่งยืน ต้องเหน็ดเหนื่อยหากันเองนะ ถูกหรือไม่ถูก อันนี้ชัดเจนเลย แต่ทรัพย์สมบัติในสวรรค์ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ เป็นของจริง อยู่ตลอดชั่วนิรันดร์ พระเจ้าให้ฟรี

             ทรัพย์สมบัตินี้คืออะไร? การถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในโลก ฟังให้ดีๆ การถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในโลก ต้องเหน็ดเหนื่อย หาเอง พึ่งพาตนเอง เป็นภาระหนัก เพราะทำไม่ได้  แต่การถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรม  บริสุทธิ์ ดีพร้อมในสวรรค์ พระเจ้าให้ฟรีๆ แค่เชื่อวางใจในพระเมสิยาห์ พระเยซูคริสต์ พระองค์เท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นพระคุณ เอเมน ให้เราขอบคุณพระเจ้า

            พระองค์กำลังมาชี้ให้กับชาวยิวเห็น และขณะเดียวกัน อนาคตก็จะชี้ให้กับคนไม่ใช่ยิวเห็นด้วย ทรัพย์สมบัติในโลกนี้ เป็นของจอมปลอม คือลาภ ยศ เกียรติที่สร้างขึ้นมาด้วยตนเอง จากการพยายามทำดี สะสมไว้ในใจ ใจก็จดจ่ออยู่ที่ของที่มองเห็นได้ เพราะนึกว่าการกระทำอย่างนั้น มันทำให้ตนเองเป็นผู้ชอบธรรม พระเจ้าพอใจ ก็จดจ่ออยู่อย่างนั้น จดจ่อที่สิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ บนโลกใบนี้ ซึ่งบนโลกใบนี้ พระเยซูก็บอกว่ามันมืดทั้งนั้น มันเป็นบาปทั้งสิ้น ไปจดจ่ออยู่ที่บาป ก็ไม่จีรังยั่งยืน ความชอบธรรมนั้น ก็ไม่จีรังยั่งยืน ทรัพย์สมบัตินั้น ก็กลายเป็นของปลอม คือเดี๋ยวมันก็หายไปแล้ว มันไม่สามารถติดตัวไป ตอนตายจากโลกนี้ เข้าไปสู่มิติวิญญาณ เข้าไปพบพระเจ้า มันไม่สามารถติดตัวไปได้เลย แม้แต่นิดเดียว

            แต่ทรัพย์สมบัติในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ เป็นของจริงที่คงอยู่ตลอดไปนิรันดร์ มด ปลวก หรือขโมยก็งัดแงะเอาไปไม่ได้ เห็นภาพชัดไหม? พระเยซูคริสต์เป็นพระมาสิฮาห์ ก็คือทรัพย์สมบัติในโลกวิญญาณ ก็คือตัวพระองค์นั่นเอง พระเยซูคริสต์เป็นทรัพย์สมบัติอันมหาศาล ใครได้พระเยซูคริสต์ไป ก็ได้หมดทุกอย่าง ไม่ต้องทำให้เหน็ดเหนื่อย แค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็ได้ทรัพย์สมบัติทุกอย่างที่ต้องการแล้ว นี่พระองค์ต้องการมาชี้ให้เห็นอย่างนี้

            ยกตัวอย่างให้ท่านเห็นผู้หนึ่ง เหมือนครั้งที่แล้วยกตัวอย่างให้เห็น อาจารย์เปาโล คือฟาริสีผู้เย่อหยิ่ง จองหอง และกำลังฟังที่พระเยซูกำลังพูดอยู่นี้ ในอดีต ก่อนที่เขาจะเชื่อในพระเยซูคริสต์ ก่อนที่เขาจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาเป็นพยานให้รู้ว่าเขาเหน็ดเหนื่อยมากที่ต้องปรับปรุงตนเองตลอดเวลาให้ทำตามบทบัญญัติ ด้วยการพยายามรักษาบทบัญญัติ ที่ยังทำไม่ได้ครบถ้วน เดี๋ยวพลาดโน่นพลาดนี่ มันทำไม่ได้ในใจจะฟ้องอยู่ตลอดเวลา  พยายามที่จะรักษาบทบัญญัติ ที่ยังทำไม่ได้ครบถ้วน  ที่อยู่ในหนังสือบทบัญญัติ ระบุไว้ และอยู่ในใจของเขาที่ระบุไว้ว่าอันนี้ก็ทำไม่ถูก อันนี้ก็ไม่ได้ ที่พระเยซูยกตัวอย่างมาทั้งหมด พอยิ่งทำไม่ได้ ยิ่งพยายามทำ ก็ยิ่งรู้ว่าทำไม่ได้ใหญ่เลย ยิ่งเคร่งเท่าไร? ก็ยิ่งรู้ว่าไม่ได้ ยิ่งเหน็ดเหนื่อยมากขึ้น ยิ่งเหน็ดเหนื่อยมากขึ้นเท่าไร? ยิ่งรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือ ยิ่งรู้ว่าความชอบธรรมของตนเองนั้น เป็นของจอมปลอม ก็ยิ่งหมดหวังในการทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แต่อนิจจา ฟาริสีและคนอื่นๆ มีมากมายที่อาจจะยังไม่ได้ ถ่อมใจ ยังไม่ยอมรับความจริงนี้ ยังคงหน้าซื่อใจคด ทั้งๆ ที่ยังทำไม่ได้ ขอบคุณอาจารย์เปาโลที่พระเยซูคริสต์ช่วยให้เขาได้เห็นถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ แล้วเขาก็มาเป็นพยานให้ฟังว่านี่มันเป็นอย่างนี้แหละ  ต่อไปข้อ 22-23 …

        มัทธิว 6:22-23 “22 ดวงตา คือประทีปของกาย หากตาของท่านดี ทั้งกายของท่านก็จะเต็มไปด้วยความสว่าง 23 แต่ถ้าตาของท่านเสีย ทั้งกายของท่าน ก็จะเต็มไปด้วยความมืด หากความสว่างในท่าน เป็นความมืดมน ความมืดนั้น จะหนาทึบสักเพียงใด”

            ทำได้ไหม? ทำไม่ได้ เพราะเป็นคนบาป อยู่ในความมืด มองอะไรก็มืดหมด ท่านคิดว่าการรักษาบทบัญญัติ ให้ได้มากๆ นั้น เป็นความสว่าง เป็นความชอบธรรมให้กับท่าน ในตัวของท่าน  ท่านคิดว่าความประพฤติของท่าน ที่พยายามทำให้ถูกต้อง ตามบทบัญญัตินั้น เป็นแสงสว่าง ให้กับชีวิตท่าน ทั้งๆ ที่ใจของท่าน และวิญญาณของท่านอยู่ในบาป อยู่ในความมืดมน แต่ท่านก็คิดว่าอยู่ในความสว่างแล้ว แล้วอย่างนี้ใครเล่าจะช่วยท่านได้ ท่านก็จะไม่แสวงหาพระผู้ช่วยให้รอด เพราะท่านคิดว่าท่านไม่ป่วย ทั้งๆ ที่ป่วย ท่านก็จะไม่เปลี่ยนใจของท่าน นึกว่าตัวเองทำได้ เพราะท่านไปจดจ่ออยู่ที่ความชอบธรรม ที่จะสร้างขึ้นมาด้วยตนเองนั่นเอง  เห็นไหม?

            แล้วพระเยซูบอกว่ามันจะมืดขนาดไหน? คนที่อยู่ในความมืด แล้วรู้ตัวเองว่ามืด มีโอกาสได้รับความรอด คนที่อยู่ในความมืด แล้วนึกว่าตัวเองอยู่ในความสว่างอันนี้ หมดความหวังเลย ข้อ 24  …

        มัทธิว 6:24 “ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เขาย่อมเกลียดนายคนหนึ่ง และรักนายอีกคนหนึ่ง หรือภักดีต่อนายคนหนึ่ง และดูหมิ่นนายอีกคนหนึ่ง  ท่านจะรับใช้ ทั้งพระเจ้าและเงินทอง ไม่ได้”

            คือต่อจากเมื่อตะกี้นี้ พระองค์กำลังพูดว่าเพราะใจของท่านไปจดจ่ออยู่ที่ความประพฤติ การกระทำ ใจท่านไปจดจ่ออยู่ที่นั่น จะพึ่งพาตนเอง ท่านจะพึ่งพระเจ้า ก็คือพึ่งพาเชื่อฟังพระเจ้า และขณะเดียวกัน จะพึ่งพาเชื่อฟังตัวเองพร้อมๆ กันได้ไหม? ไม่ได้ ถ้าท่านเย่อหยิ่ง เชื่อฟังตนเอง มั่นใจในการกระทำดีของตนเอง ท่านก็ไม่เชื่อฟังพระเจ้าหรอก เพราะท่านคิดว่าจะไปเชื่อพระเจ้าทำไม? แต่ถ้าท่านเชื่อในพระเจ้า ท่านเองจะเป็นแสงสว่าง ท่านจะรู้ทันทีว่าท่านจะไม่พึ่งตนเองอีกต่อไปแล้ว เพราะท่านได้รับความสว่างแล้ว ทั้งหมดอยู่ที่ใจ ใจท่านต้องเปลี่ยน เปลี่ยนได้ด้วยวิธีอะไร?  มาวางใจในเรา เชื่อในพระเมสิยาห์ แล้วท่านจะได้บังเกิดใหม่ ฟาริสี สะดูสี ธรรมาจารย์ ที่เข้าใจผิดเอ๋ย ที่หน้าซื่อใจคดเอ๋ย ท่านจงอย่าเย่อหยิ่ง ไม่ถ่อมใจ ท่านรักทรัพย์สินเงินทอง ลาภ ยศ สรรเสริญบนโลกใบนี้ มันอยู่ในใจของท่าน ท่านรักที่จะสร้างความชอบธรรมของตนเอง ขึ้นมาด้วยตนเอง ด้วยใจที่สกปรก ไม่ชอบธรรม สร้างขึ้นมา เพื่อข่มเหงผู้อื่น เอาเปรียบผู้อื่น เราจะบอกความจริงให้กับท่าน เราจะแทงใจท่านว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นผลจากความบาป ที่อยู่ในใจของท่านทั้งสิ้น ท่านไม่รู้หรือ? อย่าเย่อหยิ่งยอมรับเถอะ เรารู้ความจริงในใจของท่านว่าท่านคิดอะไรอยู่ ทำดีเอาหน้า รักษาบทบัญญัติ แต่ข้างในสกปรกมาก และท่านเป็นทาสของบาปนี้อยู่ คือท่านรับใช้มันอยู่ เป็นทาสมัน ไม่มีทางหลุดออกมาเลย มีผู้เดียวที่จะช่วยท่านได้ คือพระเจ้าช่วยท่านหลุดออกมา ท่านทำให้ตาย อย่างไรก็เป็นทาสมันอยู่ดี เพราะฉะนั้น จงกลับใจใหม่เถิด เพื่อท่านจะได้เข้าสู่สวรรค์ กลับมาเป็นลูกของพระเจ้า เพราะว่าถ้าทรัพย์อยู่ที่ไหน? ของมีค่าของท่านอยู่ที่ไหน? ใจท่านก็อยู่ที่นั่นด้วย ถ้าท่านพึ่งพาตนเอง ใจท่านก็อยู่ที่การพึ่งพาตนเอง ไม่ได้อยู่ในการพึ่งพระเจ้า

            ถ้าท่านพึ่งพระเจ้า ใจท่านก็จะอยู่ที่พึ่งพระเจ้า ไม่ได้พึ่งพาตนเอง ต้องเลือกเอา ของใหม่ของเก่าเอามาปะปนกันไม่ได้ ไม่อันใดอันหนึ่ง ก็ต้องชนะ ท่านจะเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายไม่ได้ ลึกซึ้งนะตรงนี้ แต่มันเป็นเรื่องจริง

            ท่านลองคิดดู เอาท่านเป็นตัวอย่าง พอท่านเลิกเย่อหยิ่ง เลิกพึ่งพาตนเอง มาวางใจในพระเยซูคริสต์ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้บังเกิดใหม่แล้ว ถามว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ท่านพึ่งพระเจ้าหมด ถูกไหม? ท่านบอกว่าท่านเชื่อพระเยซู ได้ไปสวรรค์แล้ว นั่นคือการพึ่งพระเจ้า นี่หมายถึงอย่างนั้น ท่านจะไม่ทำเหมือนเดิมอีกแล้วว่าทำดี เพื่อสะสมไว้ว่าจะได้ไปสวรรค์ แต่ท่านมั่นใจว่าได้ไปสวรรค์แล้ว แต่มีบางคนเท่านั้นเองที่เป็นคริสเตียนแล้วยังทำดีอยู่ เพื่อหวังว่าจะได้ทรัพย์สมบัติมากขึ้นในสวรรค์ แต่ไปสวรรค์ไหม? ไปสวรรค์ก็ไปอยู่แล้ว ก็มั่นใจอยู่แล้ว แต่ถามว่าทำดี เพื่ออะไร? เพื่อจะได้ไปสวรรค์ และได้ตำแหน่งดีๆ หน่อย เดี๋ยวรู้ ดูพระเยซูสอน ต่อไปยาวเลย เรื่องอย่าวิตกกังวล ข้อ 25-32 …

        มัทธิว 6:25-32  “25 เพราะฉะนั้น เราบอกท่านว่าอย่าวิตกกังวล เกี่ยวกับชีวิตของท่านว่าจะเอาอะไรกิน หรือเอาอะไรดื่ม หรือพะวงเกี่ยวกับร่างกายของท่านว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มไม่ใช่หรือ 26 จงดูนกในอากาศ มันไม่ได้หว่าน หรือเก็บเกี่ยว หรือสะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านในสวรรค์ทรงเลี้ยงดูหมู่นก ท่านไม่ล้ำค่ายิ่งกว่านกเหล่านั้นหรือ 27 ใครบ้างในพวกท่านที่กังวล แล้วต่ออายุตัวเอง ให้ยืนยาวออกไป อีกสักชั่วโมงหนึ่งได้ 28 “แล้วทำไมท่านจึงกังวลเรื่องเครื่องนุ่งห่ม จงดูว่าดอกไม้ในท้องทุ่งงอกงามขึ้นอย่างไร มันไม่ได้ลงแรงหรือปั่นด้าย 29 กระนั้น เราบอกท่านว่าแม้แต่กษัตริย์โซโลมอน เมื่อทรงบริบูรณ์ ด้วยความโอ่อ่าตระการ  ก็ยังไม่ได้ทรงเครื่องงามสง่า  เท่าดอกไม้เหล่านี้  สักดอกหนึ่ง  30 ในเมื่อพระเจ้า ทรงตกแต่งต้นหญ้าในท้องทุ่ง ถึงเพียงนั้น ต้นหญ้า ซึ่งอยู่ที่นี่วันนี้  และพรุ่งนี้  ก็จะถูกโยนลงในไฟ โอ ท่านผู้มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ทรงตกแต่งท่าน มากยิ่งกว่า นั้นหรือ 31 ฉะนั้น อย่ากังวลว่า ‘เราจะเอาอะไรกิน?’ หรือ ‘เราจะเอาอะไรดื่ม?’ หรือ ‘เราจะเอาอะไรนุ่งห่ม’ 32 เพราะคนที่ไม่มีพระเจ้า ขวนขวายหาสิ่งเหล่านี้ และพระบิดาของท่านในสวรรค์ ทรงทราบว่า ท่านจำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้”

            ตรงนี้เป้าหมายของพระเยซูกำลังบอกว่าท่านทำไม่ได้หรอก ทำอะไรไม่ได้ตรงนี้ รวมบริบทนี้นะ คือคำแรกเลย “อย่าวิตกกังวล เกี่ยวกับชีวิตของท่านว่าจะเอาอะไรกิน เอาอะไรดื่มต่างๆ เหล่านั้น อย่าวิตกกังวล พูดๆ ไปตอนจบสุดท้าย ก็บอกว่าเพราะฉะนั้น ท่านอย่ากังวลว่าจะเอาอะไรกิน เน้นอีกแล้ว พระองค์กำลังเน้นว่าท่านอย่ากังวล จงเชื่อ ถ่อมใจ วางใจในพระบิดา นึกออกไหม? ทั้งอย่ากังวล ทั้งวางใจในพระบิดา ทำได้ไหม? ทำไม่ได้ มนุษย์ที่ไม่บังเกิดใหม่ ที่ไม่มีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ข้างในนั้น วิตกกังวลทุกคนแหละ ยอมรับหรือไม่เท่านั้น มากหรือน้อยเท่านั้นเอง

            อย่าวิตกกังวล ให้วางใจในพระบิดา ทุกเรื่อง ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องโลกวิญญาณหรือโลกวัตถุ การกิน การอยู่บนโลกใบนี้ หรือการไปสวรรค์หรือไม่ หรือการเป็นคนชอบธรรมหรือเปล่านั่นแหละ ให้วางใจในพระบิดา เชื่อได้ว่าเป็นพระบิดา เมื่อเชื่อไม่ได้ ก็ทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไม่สามารถเชื่อว่าพระเจ้าเป็นพระบิดา ไม่สามารถจะไม่วิตกกังวล และวางใจในพระองค์ได้ ในทุกเรื่อง ในทุกสิ่ง ทำไม่ได้

            ทำไม่ได้ เพราะข้อนี้บอกไว้ว่าท่านทั้งหลายเป็นผู้มีความเชื่อน้อย  คำว่า “ความเชื่อน้อย” หมายถึงไม่มีความเชื่อ ไม่ใช่เชื่อน้อย ไร้ความเชื่อ ก็คือท่านยังไม่ได้เกิดใหม่ วางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ ท่านไม่ได้วางใจในพระเยซูคริสต์ มีความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านทำไม่ได้หรอก หมายถึงที่อ่านมาทั้งหมดพระเยซูยกตัวอย่าง

            ทั้งหมดนี้ ท่านไม่มีทางทำได้หรอก ถ้าขาดพระมาซีฮาห์ คือพระคริสต์ ที่จะช่วยท่านให้บังเกิดใหม่ แล้วพระคริสต์จะเข้าไปสถิตอยู่ในใจของท่าน อยู่กับท่าน จูงท่านเดิน ท่านจึงสามารถวางใจในพระองค์ได้ พระคริสต์ทรงอยู่ในฉัน ท่านจึงวางใจได้ ต้องได้รับการบังเกิดใหม่เท่านั้น ท่านไม่สามารถวางใจ เชื่อและมอบทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับพระบิดาได้เลย ถ้าท่านไม่ได้บังเกิดใหม่ ท่านทำไม่ได้หรอก เห็นหรือยัง? บริบทนี้ก็จบตรงนี้อีกแหละว่า …

            “ท่านชาวยิวทั้งหลาย ท่านทำไม่ได้หรอก”

            ไม่กังวลท่านทำไม่ได้หรอก จะเอาอะไรกิน? เอาอะไรดื่ม? แม้แต่ตัวท่านเอง ก็เห็น พระเจ้าดูแลนกในอากาศอย่างไร? พระองค์ทรงดูแล ตกแต่ง กษัตริย์ซาโลมอน ทุกอย่าง มาจากพระองค์ทั้งสิ้น แต่ท่านไม่สามารถเชื่อพระองค์ได้ถึงขนาดนั้นหรอก เพราะว่าท่านยังไม่ได้เกิดใหม่ ท่านไม่สามารถเชื่อว่าพระองค์เป็นพระบิดา ท่านต้องเกิดใหม่เท่านั้น ท่านถึงจะเรียกพระองค์ว่าพระบิดา เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้ามาสถิตอยู่ แล้วช่วยท่านให้เริ่มต้นเรียกพระองค์ว่าพระบิดา เพราะรู้จักพระองค์ในวิญญาณแล้ว แต่ถ้าท่านไม่บังเกิดใหม่ ท่านไม่สามารถเรียกพระองค์ว่าพระบิดาได้  ความสัมพันธ์ท่านเรียกพระองค์ว่าเจ้านายๆ พระเจ้า คือเจ้านายของท่าน มันไม่ลึกซึ้งเท่ากันกับพระบิดา และท่านสามารถฝากผีฝากไข้ได้ทุกอย่าง ได้หมดทุกเรื่อง ทั้งเรื่องไปสวรรค์ ทั้งอยู่บนโลกนี้ จะไปทำอะไร ได้แต่ร้อง …

                        “พระคริสต์นำหน้า พระคริสต์นำหน้า” … ก็ว่ากันไป

            คราวนี้มาหัวใจของบริบทนี้ ก็คือมัทธิว 6:33 …

        มัทธิว 6:33 “แต่จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน และพระองค์จะประทานสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่านด้วย”

            เห็นอะไรไหม? “แต่” ก็คือทั้งหมดนั้น ท่านทำไม่ได้หรอก แต่สิ่งที่ท่านทำได้ ก็คือจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วสิ่งทั้งปวงเหล่านี้  คือที่พูดมาทั้งหมด คือแล้วลาภ ยศ สรรเสริญ ทุกสิ่งที่ท่านแสวงหาบนโลกใบนี้ อะไรที่อยากได้บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นความร่ำรวย ความแข็งแรง มีชื่อเสียง คนยกย่อง สรรเสริญ ไม่วิตกกังวล ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง เต็มไปด้วยความรัก หลับสบาย เต็มไปด้วยสันติสุข แล้วอีกจิปาถะที่อยากได้ทั้งหมด บนโลกใบนี้ พระเจ้าก็จะมอบทุกสิ่งเหล่านี้ให้กับท่าน แถมอีกด้วย คือให้ฟรีๆ แถมให้หมดเลย ทุกสิ่งที่ท่านแสวงหาบนโลกใบนี้ แต่แถมที่ไหน? โลกวิญญาณ แถมที่ในสวรรค์ ไม่ใช่บนโลกใบนี้

            ทรัพย์สมบัติ พระองค์จะเก็บไว้ในสวรรค์ให้กับท่าน ตรงกับเมื่อตะกี้นี้ไหม? ที่บอกว่าไม่ใช่สั่งสม เก็บเอาไว้ให้กับท่าน มันไม่ใช่ของท่านทำเอง แต่เป็นพระองค์ให้กับท่าน แถมฟรีๆ แล้วเก็บไว้ให้ท่านที่ไหน? ที่ในสวรรค์ เพราะสิ่งเหล่านี้ ที่ท่านแสวงหา ถ้าแสวงหาอยู่บนโลกใบนี้ ที่ท่านกำลังแสวงหาอยู่ สิ่งเหล่านี้ มันเป็นของโลกนี้ มันไม่จีรังยั่งยืน ถูกไหม? ทั้งที่ตะกี้นี้ที่เราบอกมา ไม่ว่าจะเป็นความร่ำรวย ก็ไม่จีรังยั่งยืน ความแข็งแรง ก็ไม่จีรังยั่งยืน ชื่อเสียง คนยกย่องสรรเสริญ ไม่จีรังยั่งยืนทั้งสิ้นเลย ตายไป ก็เอาไปไม่ได้ด้วย สิ่งที่แสวงหาบนโลกใบนี้

            แต่สิ่งเหล่านี้ที่พระเจ้าแถมให้กับท่านในสวรรค์ คือทรัพย์สมบัติเหล่านี้ มันอยู่ถาวรนิรันดร์ ในสวรรค์เมื่อวันหนึ่งที่ท่านไปอยู่ในสวรรค์ ท่านจะแข็งแรงนิรันดร์ ร่ำรวยนิรันดร์ มีชื่อเสียงนิรันดร์ คนสรรเสริญ สรรเสริญกันเอง แล้วมีทูตสวรรค์ยกย่องมากมาย สง่าราศีของธรรมิกชนเหล่านี้ งดงามขนาดไหน? นี่ทูตสวรรค์สรรเสริญเรา  แล้วมันอยู่นิรันดร์ เป็นถาวรนิรันดร์เลย

            ความหมาย ก็คือนอกจากจะได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ได้อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์ทันทีแล้ว

            “ได้อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว”

            สองอันนี้ ได้โดยการแสวงหา  คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูปุ๊บ แสวงหาความชอบธรรม ก็ได้ความชอบธรรม แสวงหาอาณาจักรสวรรค์ ก็ได้สวรรค์ ได้อยู่ในสวรรค์ ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้วทันที ที่เปิดใจรับเชื่อ เปิดใจต้อนรับพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้ 2 อันนี้แล้ว ได้ 1 ได้ 2 แล้ว แถมยังได้ลาภ ยศ สรรเสริญ ทรัพย์สมบัติที่จีรังยั่งยืนอยู่เป็นนิรันดร์ ที่พระเจ้าเก็บเอาไว้ให้กับท่าน อยู่ในสวรรคสถาน รอวันคืนที่ท่านจะมารับเมื่อออกจากร่างกายเดิมนี้ คืออย่างที่ตะกี้นี้บอก ร่างกายเดิมนี้ ตายลง วิญญาณออกจากร่าง นั่นแหละ ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่นั่น เต็มไปหมดเลย ร่ำรวย แข็งแรง ลาภ ยศ สรรเสริญในวิญญาณ เป็นนิรันดร์ทั้งสิ้น ทรัพย์สินในสวรรค์ มันหมายถึงอย่างนี้ ซึ่งทรัพย์สมบัติในสวรรค์อันมีค่ามหาศาล ที่เก็บให้กับท่านในสวรรคสถาน คืออะไร? เรามาวิเคราะห์กันดู

            ที่ตะกี้บอกแข็งแรงตลอดไป ไม่เจ็บปวดตลอดไป นั่นเขาเรียกว่านิดหน่อยเท่านั้นเอง ที่อยากได้ ร่ำรวยตลอดไป อยากได้มาก ไปอยู่ในสวรรค์ได้เลย เป็นของแถมนิดหน่อย แต่ทรัพย์สมบัติที่มีค่ามหาศาลที่ท่านได้รับแถมนี้ ก็คือเกียรติ สิริ สง่าราศี ร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซู ที่มีค่ามากมายสูงสุด เกินกว่าที่จะพรรณนาได้

            และแค่นั้นไม่พอ  และได้เข้าครอบครองกับพระเยซูคริสต์ ในสรรคสถานทั้งหมดเลย ครอบครองทั้งในสวรรค์ บนโลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่เอี่ยม อย่างดีเยี่ยมให้กับธรรมิกชนทั้งหลาย คือผู้เชื่อทั้งหลาย ลูกๆ ของพระองค์ได้อยู่อาศัยนิตย์นิรันดร์

            นี่คือทรัพย์สมบัติอันมีค่ามหาศาลในสวรรคสถาน ที่ดีกว่าทรัพย์สมบัติในโลกใบนี้มากยิ่งนัก เอเมนไหม? โอเคไหมที่จะตั้งหน้าตั้งตามองไปที่ทรัพย์สมบัติในสวรรค์ ต้องตอบว่าโอเคเลย

            เปาโลจึงบอกว่า … “ข้าพเจ้าทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง มองไปที่ข้างหน้า ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ข้าพเจ้าได้มา มีมาในอดีต ทิ้งหมดทุกอย่างแล้วไปมองเอารางวัลข้างหน้า คือมรดก คือมงกุฎแห่งชีวิต ที่ข้าพเจ้าจะไปรับ” ก็คือสวรรค์นี่แหละ

            เมื่อแสวงหาอาณาจักรสวรรค์ และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน และได้พบแล้ว ก็จะมีทรัพย์สมบัติมากมาย ได้ครอบครองแถมอีกต่างหากด้วย

            นี่คือสิ่งที่พระเจ้าจะเพิ่มเติมให้ นอกเหนือจากการได้เป็นผู้ชอบธรรม อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้วทันที เนื่องจากแสวหาจนเจอ เปิดใจต้อนรับพระเยซูแล้ว แล้วพระเจ้าก็แถมให้ฟรีๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่แสวงหาทางเข้าสวรรค์เท่านั้น พอเข้าสวรรค์ได้ ก็จะได้รับทรัพย์สมบัติมากมายในสวรรค์ พร้อมด้วยเลยทันที เป็นพระคุณจริงๆ เอเมน? เป็นพระคุณ ให้ฟรีๆ เลย

            ดังนั้น ทุกคนที่เข้าสวรรค์ ก็เลยได้เท่ากันไหม? คิดตามเหตุผลก็พอแล้ว เพราะฉะนั้น ทุกคนก็ได้เท่ากันหมด เพราะว่ามันเป็นของแถมฟรีๆ ให้กับเราจากพระเจ้า แถมฟรีๆ แปลว่าไม่ได้ให้กับเรา แลกกับการทำงานอะไรของเราเลย

            ฉะนั้น คริสเตียนที่ยังไม่เข้าใจ อย่าหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจะได้มากกว่าคนอื่นเขา เมื่อไปสวรรค์ จะได้อยู่ที่ดีกว่าเขา จะมีทรัพย์สมบัติมากกว่าเขา No ไม่เลย แล้วก็ไม่ต้องตกใจกลัว สำหรับคริสเตียนที่ยังไม่เข้าใจ นึกว่าเราทำนิดๆ หน่อยๆ ขอแค่เข้าไปนอนที่พื้นบนสวรรค์ก็ยังเอา อย่าไปคิดอย่างนั้น มันไม่ใช่

            “ฉันได้น้อย อาจจะพอใจว่าได้แค่นี้ ก็พอใจ ไปอยู่ในสวรรค์ อยู่บ้านเล็กๆ ก็พอแล้ว คงไม่เท่ากันกับศิษยาภิบาลได้หลังเบ้อเริ่มเทิ่มเลย”

            อย่าไปคิดอย่างนั้น เพราะได้เท่ากันหมด แต่ละท่าน พระเยซูยกตัวอย่างเจ้าของสวน จำได้ไหม? ทุกคนได้ 1 เดนาริอันเท่าๆ กันหมด ไม่ว่ารักษาบทบัญญัติความประพฤติได้มากหรือน้อย ทุกคนก็ได้เท่ากันหมด เอเมนไหม? เพราะมันไม่ได้ มาด้วยการประพฤติ การกระทำของเรา มันเป็นของแถม เป็นของฟรี ที่พระเจ้าให้เราฟรีๆ โดยพระคุณ ก็ต้องได้เท่ากันสิ สุดท้ายมัทธิว 6:34 …

        มัทธิว 6:34 “เพราะฉะนั้น อย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้ ก็จะมีเรื่องวิตกกังวล  เกี่ยวกับพรุ่งนี้เอง แต่ละวัน ก็มีความเดือดร้อนของมัน พออยู่แล้ว”

            เพราะฉะนั้น เลิกที่จะพึ่งพาตนเอง จงกลับใจใหม่ หันมาพึ่งพา วางใจในพระมาซีฮาห์ คือพระเยซูคริสต์ดีกว่า จะได้ไม่ต้องวิตกกังวล ถึงวันพรุ่งนี้ จะได้มาบังเกิดใหม่ และพระเยซูก็เข้าไปสถิตอยู่ด้วย พระวิญญาณก็ทรงนำ แล้วเราก็สามารถที่จะมอบทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับพระองค์ ในแต่ละวัน ให้พระองค์ทรงนำไปได้ เอเมน ให้กลับใจใหม่ซะ เพราะการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ที่อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านั้น มันเกิดขึ้นทันทีบนโลกใบนี้ มันไม่ใช่รอไปรับทรัพย์สมบัติแถมๆ ฟรีๆ ในสวรรค์ หลังความตาย อันนั้นเป็นทรัพย์สมบัติ แต่ความชอบธรรม การเป็นลูกของพระเจ้า  การเข้าในสวรรค์นั้น ที่เราแสวงหา มันได้ทันที การบังเกิดใหม่ เกิดขึ้นทันทีบนโลกใบนี้ พระเจ้าเข้ามาสถิตด้วยทันที ที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

            และนี่แหละคือสิ่งที่พระเจ้า พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นว่าจากนี้ต่อไป ท่านก็ไม่วิตกกังวลถึงวันพรุ่งนี้แล้ว เพราะแต่ละวันพระเยซูคริสต์ก็ทรงนำหน้าท่านอยู่ นำหน้าไปถึงไหน? 10 ปี 20 ปี No นำหน้าท่านไปจนถึงนิรันดร์ จนถึงวันที่ท่านหลับตา วิญญาณออกจากร่าง พระองค์ก็ทรงอยู่ด้วย ขณะที่เฮือกสุดท้าย ในการหายใจของท่านจะจากโลกนี้ไป พระเยซูก็อยู่ด้วย พอวิญญาณท่านออกจากร่างปุ๊บ ไปสวมร่างกายใหม่ พระเยซูก็อยู่ด้วย ท่านก็ไม่ต้องกังวลถึงวันพรุ่งนี้แล้ว มีแต่วันนี้ๆ

                        “วันนี้เป็นวัน วันนี้เป็นวัน ที่พระเจ้าอวยพร”

            เพราะฉะนั้น พระองค์จึงตรัสว่า …

            “ผู้ใดแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อย ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยความเหนื่อยยาก วิตกกังวล จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้นหายเหนื่อยและเป็นสุข”

            ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่ เขาหายเหนื่อยไหม? ถ้าเขายังพึ่งพาตนเองอยู่ ไม่ว่าอะไรก็ตาม เขาไม่หายเหนื่อย แต่ถ้าเขาพึ่งพระเยซูคริสต์ ใจเขาจดจ่อแต่ที่พระเยซูคริสต์ ใจเขาไปพักที่พระองค์ อยู่ที่ทรัพย์สินที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ในโลกฝ่ายวิญญาณ เขาจะหายเหนื่อยและเป็นสุข พระองค์กำลังพูดกับใคร? พระองค์กำลังพูดกับชาวยิว แต่เราสามารถเอาตรงนี้มาใช้กับคนที่ไม่ใช่ยิว ก็ได้ด้วยเช่นเดียวกัน

            เพราะว่าพระองค์ทรงพูดกับชาวยิว เพื่อให้ชาวยิว ได้รู้ว่าการพึ่งพาตนเองนั้น มันไปไม่รอด  เขาต้องมาหาพระเจ้า ต้องมาแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และอาณาจักรของพระองค์และความชอบธรรมของพระองค์เสียก่อน  ความชอบธรรมของเขาที่ทำด้วยตนเอง ด้วยความประพฤติของตนเอง มันของจอมปลอม มันไม่จริง ตายไป ก็เอาไปไม่ได้ แต่ความชอบธรรมที่มาจากพระเจ้า เป็นของพระเจ้า มันติดตัวไปได้  และเป็นความชอบธรรมที่สามารถที่เกิดขึ้นได้ทันที ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลยทีเดียว ขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า  พระเจ้าอวยพรครับ

****************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ข่าวดี คือมนุษย์เลือกที่จะเกิดอีกครั้งในวิญญาณได้  เดี๋ยวนี้ทันที

            โรม 8:9 “โดยความเป็นจริง  ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าได้สถิตอยู่ในพวกท่าน (โดยการเกิดใหม่) แล้ว ท่านก็ไม่ได้กำลังอาศัยอยู่ในบาป  อยู่ในเนื้อหนังในอาดัม  แต่ท่านได้กำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณในพระคริสต์  ใครก็ตามที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์สถิตอยู่ภายใน  คนนั้นก็ไม่ได้ (บังเกิดใหม่) เป็นของพระองค์”

            ตัวตนแท้จริงของมนุษย์  คือวิญญาณจะต้องอยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่งในโลกวิญญาณ  ที่มองไม่เห็น  จับต้องไม่ได้  แต่เป็นอยู่จริง  จริงกว่าโลกวัตถุที่มองเห็นจับต้องได้ด้วยซ้ำ

            พระเจ้าบอกความจริงกับเราว่ามนุษย์ทั้งหลายเกิดมาจากครรภ์มารดา  ร่างกายอยู่บนโลกวัตถุ ที่จับต้องมองเห็นได้  แต่วิญญาณภายใน  อยู่ในโลกวิญญาณ  อาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืดในความบาป ในอาดัมบรรพบุรุษ  อยู่ภายใต้กฎแห่งการทำดีละชั่ว  พยายามพึ่งพาการกระทำดีด้วยตนเอง  เพื่อจะได้เข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างในสวรรค์กับพระเจ้า    ซึ่งพระเยซูตรัสว่ามันไม่มีทางดีพร้อม 100% ได้เลย  ต้องบังเกิด อีกครั้งหนึ่ง  คือนอกจากเกิดจากครรภ์มารดาแล้ว  ต้องเกิดใหม่ในวิญญาณจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย  จึงจะสามารถบริสุทธิ์ดีพร้อม  เข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างในสวรรค์ของพระเจ้าได้

            ข่าวดี  คือมนุษย์เลือกที่จะเกิดอีกครั้งในวิญญาณได้  เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์  มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น  แล้วพระวิญญาณของพระคริสต์  จะเข้าไปในร่างกายของท่าน  ทำอัศจรรย์ให้ท่านเกิดอีกครั้งทันที

            พระเจ้าอวยพรครับ