คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม 2022
เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 7
“คำเทศนาบนภูเขา” EP.6
“ท่านต้องอภัยให้ผู้อื่นก่อน แล้วพระเจ้าถึงจะอภัยให้ท่าน”
โดย นคร เวชสุภาพร
เราก็ยังอยู่ในซีรี่ย์ชุด “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ผ่านมาแล้ว 6 ตอน วันนี้เป็นตอนที่ 7 และเป็น Ep.ที่ 6 ของเรื่อง “คำเทศนาบนภูเขา” ย้ำกันอีกครั้งหนึ่ง …
ตอนที่ 1 จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน
ตอนที่ 2 คำเทศนาบนภูเขา Ep.1 : คนป่วยต้องการหมอ คนบาปต้องการพระเยซู
ตอนที่ 3 คำเทศนาบนภูเขา Ep.2 : พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ
ตอนที่ 4 คำเทศนาบนภูเขา Ep.3 : กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์
ตอนที่ 5 คำเทศนาบนภูเขา Ep.4 : มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก แต่พระเจ้ามองที่วิญญาณข้างใน
ตอนที่ 6 คำเทศนาบนภูเขา Ep.5 : ต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์
ตอนที่ 7 คำเทศนาบนภูเขา Ep.6 : ท่านต้องอภัยให้ผู้อื่นก่อน แล้วพระเจ้าถึงจะอภัยให้ท่าน
เราได้เรียนรู้กันแล้วในบริบทคำเทศนาบนภูเขา ซึ่งพระเยซูกำลังชี้ให้ชาวยิวได้เห็นถึงความเป็นไปไม่ได้เลย ที่เขาทั้งหลายจะรักษาบทบัญญัติ กฎหมายทางศีลธรรมของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วน บริบูรณ์ ไม่พลาดเลยสักข้อเดียว อย่าลืมตรงนี้เด็ดขาดว่านี่คือเป้าหมายที่พระเยซูกำลังพูดในบริบทคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูกำลังประกาศข่าวประเสริฐ เรื่องแผ่นดินสวรรค์ที่กำลังจะมาตั้งอยู่ว่าจะเข้าสวรรค์ได้อย่างไร? ประกาศให้กับชาวยิว บนพื้นฐานของศาสนายิว ที่รักษาบทบัญญัติตามประเพณียิว วัฒนธรรมของยิว การดำเนินชีวิตแบบยิวเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวกับคนอื่นเลย ไม่อย่างนั้นจะเข้าใจบริบทผิด ต้องรู้หัวใจรวมตรงนี้ก่อน
สรุปย่อๆ ของเรื่องราว ก็คือพระเจ้าได้เตรียมพันธสัญญาใหม่ ให้กับชาวยิวแล้ว และไม่ใช่จากชาวยิวอย่างเดียว แต่ให้กับมนุษย์ทั้งหลายทั่วไปด้วย หลังจากชาวยิวก่อน
เบื้องหลัง ก็คือคนยิวยังหลงผิด คิดว่าพวกเขาจะสามารถเป็นผู้ชอบธรรม รอดจากความพินาศ ในนรกได้ เพราะเขารักษาบทบัญญัติ ตามบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัด คือคิดว่าทำให้ได้มากที่สุด พระเจ้าพอใจแล้ว ได้ไปสวรรค์แน่นอน เขาหลงผิดไป แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่โดยการประพฤติตามบัญญัติของเขา ที่เขาบอกว่าเขาทำได้เยอะ ซึ่งไม่มีใครทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ใช่ไหม? จริงๆ แล้ว เป็นพระเมตตาของพระเจ้าที่ทรงอภัยบาป ให้กับเขาผ่านทางการถวายบูชาเลือดสัตว์ ซึ่งเรียกว่าแกะปัสกา ตามพันธสัญญาเดิม บัญญัตินั้น มีไว้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นคนบาป ต้องการได้รับการช่วยเหลือ เท่านั้น ไม่ใช่ ให้เขาเอาไว้เพื่อยึดถือว่าเขาทำได้เยอะ แล้วก็ได้รับความรอด ใครทำไม่ได้ ก็ตกนรก เพราะไม่มีใครทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์สักคนหนึ่ง นี่เขาหลงผิด คิดไปอย่างนั้น
แล้วพระเยซูกำลังบอกอะไร? บอกว่าพระเจ้าได้สัญญามาตลอดว่าวันหนึ่งข้างหน้า จะทำพันธสัญญาใหม่ ซึ่งดีกว่าพันธสัญญาเดิมนี้ พันธสัญญาเดิม ก็คือใช้เลือดสัตว์ ลบบาป
พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะทำพันธสัญญาใหม่ให้ดีกว่าเดิมอย่างมาก บอกไว้ล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่บรรพบุรุษของเขา บอกทางผู้เผยพระวจนะ เล็งให้เห็นถึงว่าพันธสัญญาใหม่ที่ดีกว่าเดิมนั้น ผ่านทางพระบุตร ก็คือพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ ภาษาของยิว นี่เรากำลังเรียนรู้เรื่องราวของคนอื่นเขา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรานะ มันเกี่ยวทางอ้อม ไม่ได้เกี่ยวโดยตรง พระเยซูกำลังพูดกับคนยิว ซึ่งพระเมสิยาห์ ตอนนี้พระองค์ก็อยู่ที่นี่แล้ว กำลังพูดอยู่นี่แหละ
“ฉัน คือคนนั้นแหละ ที่พระเจ้าสัญญาไว้”
เพราะฉะนั้น จงกลับใจใหม่ หันมาเชื่อและวางใจในเรา หรือพระเยซูคริสต์ หรือในตัวพระองค์ดีกว่า
นี่คือหัวใจ ปูพื้นไว้ว่าเรากำลังเรียนบริบท คำเทศนาบนภูเขา พระเยซูกำลังพูดเรื่องอะไร? พระเยซูกำลังชี้ให้เห็นถึงแผนการของพระเจ้าในโลกวิญญาณว่าวันปัสกา คือวันแห่งการยกโทษบาป ตามพันธสัญญาเดิม ปีหนึ่งเขามีครั้งหนึ่ง ตามประเพณีวัฒนธรรม ตามศาสนายิว ในอีกไม่ช้า อีกไม่เกิน 3 ปีนี้ ถ้าพระเยซูพูดเรื่องนี้ตอนปีแรก แห่งการประกาศ ก็หมายถึงอีก 3 ปี จะเป็นวันสุดท้าย ถ้าพระเยซูพูดเรื่องนี้ปีที่ 2 ก็เหลืออีก 2 ปี ถ้าพระเยซูพูดในปีที่เขาจะจับพระเยซูไปตรึง ก็เหลืออีก 1 ปี ถ้าพระเยซูพูดก่อนที่เขาจะตรึงพระองค์ไม่กี่วัน วันปัสกาที่จะถึงนี้ จะเป็นปัสกาสุดท้ายของพวกท่านชาวยิวเอ๋ย
นี่คือเป้าหมายของพระเยซูที่ประกาศทั้งหมดเลย ประกาศออกมาภายใน 3 ปี ให้กับชาวยิว ไม่ใช่ชาวต่างชาติ เหมือนพวกเรา จะเป็นปัสกาครั้งสุดท้ายของพวกเขา ชาวยิว เราเคยถวายปัสกาไหม? ไม่เคย ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา เรากำลังอ่านเรื่องราวของพวกเขาอยู่ มันจะเป็นปัสกาครั้งสุดท้ายของพวกเขา คือพวกชาวยิว หลังจากที่ชาวยิวได้ทำปัสกาอย่างนี้ ตามบรรพบุรุษของเขามาแล้ว เป็นเวลาตั้ง 1,500 กว่าปี ตั้งแต่สมัยโมเสส ทำมาตลอด เพราะพระเจ้าสั่ง สอนลูก สอนหลานว่าทุกปีต้องทำปัสกาถวายแกะลบล้างบาป
ปัสกา คือการละเว้นจากโทษของความบาป ทำปีละหนึ่งครั้ง โดยที่หัวหน้าครอบครัว ชาวยิว มีหน้าที่ที่จะถวายแกะหรือแพะ ที่บริสุทธิ์ เป็นเครื่องบูชาลบบาปให้กับตนเอง และครอบครัวทั้งหมด ในครอบครัวของเรา ในบ้านของเรา
ถึงเวลาที่พระเจ้าจะทำพันธสัญญาใหม่ ก็คือท่านทั้งหลาย ที่เป็นคนยิว ลองคิดนะ พระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์ประกาศให้เขาฟังว่าตอนนี้มันถึงเวลาแล้ว ที่พระเจ้าจะเปลี่ยนปัสกาตามที่สัญญาไว้ ปัสกา ก็คือพันธสัญญาเดิม ถวายเลือดสัตว์ ตอนนี้พระองค์จะเปลี่ยนแล้ว โดยส่งพระเยซูคริสต์มา ถึงเวลาที่พระเจ้าจะทำพันธสัญญาใหม่ ซึ่งท่าน … ท่านคือชาวยิวทั้งหลาย จะเป็นตัวแทนของครอบครัวของมวลมนุษย์ นี่มุมใหญ่มาแล้วนะ ตะกี้นี้ครอบครัวเล็กๆ ที่เรียกว่าชาวยิว ตอนนี้ครอบครัวมวลมนุษย์แล้ว ชาวยิวจะเป็นตัวแทนของครอบครัวมวลมนุษย์ที่จะถวายพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า เป็นแกะปัสกาไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ ซึ่งจะทำแค่ครั้งเดียวเป็นพอ คือทำวันที่เป็นประเพณี วัฒนธรรมศาสนาของยิว ปีหนึ่งครั้งหนึ่ง เขาจะมีวันของเขา แต่ที่เรารู้ ก็คือครั้งเดียว ในปี ค.ศ.33 มีจดบันทึกไว้เลย คือในปีที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 นั่นแหละ เป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นแล้ว ไม่มีปัสกาอีกแล้ว คือพระเจ้าเปลี่ยนจากพระเมตตา คือปัสกา ใช้เลือดสัตว์เรียกว่าพระเมตตา แต่ตอนนี้ใช้พระบุตร เรียกว่าเปลี่ยนจากพระเมตตา มาเป็นพระคุณแล้ว นี่มันหมายถึงอย่างนั้น
ดังนั้น เวลาพระเยซูพูดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นเทศนาบนภูเขา หรือลงจากภูเขาแล้ว อยู่ในบ้าน หรืออยู่ในบ้านคนอื่นเขาเชิญไป หรือพูด ก็เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด เกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนจากพระเมตตา มาเป็นพระคุณ บทบัญญัติที่เขียนไว้ในหนังสือม้วนของชาวยิว หรือเขียนไว้ในจิตใจของเขาด้วย ทั้งชาวยิวและไม่ใช่ชาวยิว เป็นบทบัญญัติ ที่ถูกเขียนขึ้นมา เพราะเนื่องจากความบาป และความตายยังคงอยู่ตลอดไป จนสิ้นโลกนี้นั่นเอง เพราะว่าเขาทั้งหลายตกอยู่ในความบาปและความตายในวิญญาณ เขาต้องดำเนินชีวิตตามกฎของวิญญาณที่เต็มไปด้วยความบาปและความตาย แต่การช่วยให้รอด คือการลบบาป เปลี่ยนวิถีใหม่ ให้พันธสัญญาใหม่ ก็คือผ่านทางโลหิตพระเยซูคริสต์เท่านั้น ยกเลิกโลหิตของสัตว์ นี่คือพันธสัญญาใหม่ จากนี้ต่อไป การวางใจ เชื่อในการสิ้นพระชนม์ ขอพระเยซูคริสต์ การไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ จึงเป็นทางเดียวเท่านั้น มวลมนุษย์ในภายหลัง ที่ชาวยิวและมวลมนุษย์ จะได้รับความรอดจากการถูกพิพากษาหลังความตาย และสามารถเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ทันทีเลย
นี่คือสิ่งที่พระเยซูกำลังจะมาประกาศ และกำลังประกาศให้กับชาวยิวก่อน เรากำลังเรียนรู้ คำที่พระองค์กำลังประกาศให้กับชาวยิว พระเยซูอธิบายให้ฟัง เพราะเหตุว่ามวลมนุษย์เกิดมาก็อยู่ในบาป อยู่ใต้กฎของความบาปและความตายอยู่แล้ว เป็นทาสของการกระทำตามบทบัญญัติ กฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นทาสอยู่ใต้กฎนี้ทุกคน ซึ่งไม่สามารถที่จะทำดีได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ต้องได้รับโทษ จุดเล็กๆ ทำไม่ได้ ก็โดนลงโทษเท่ากับจุดใหญ่ๆ เหมือนกันหมด เพราะข้างในมันเป็นบาป ทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์หรอก
ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือเป็นต่างชาติ ก็ต้องมาวางใจในพระเยซูคริสต์ เข้ามาอยู่ในกฎแห่งพระคุณ กฎแห่งพระคุณนี้แหละ ซึ่งเป็นกฎวิญญาณแห่งชีวิต เพื่อจะได้รับความรอดจากความพินาศ หลังความตายนั่นเอง นี่คือเป้าหมายบริบทที่พระเยซูตั้งใจมาประกาศ เริ่มต้นให้กับชาวยิวก่อน ก็คือรอดด้วยความเชื่อในพันธสัญญา กำลังบอกชาวยิวว่า …
“ท่านรอดด้วยความเชื่อในพันธสัญญานะ ไม่ใช่ด้วยการกระทำตามบทบัญญัติที่ท่านคิด ซึ่งท่านกระทำไม่ได้ครบอยู่แล้ว ซึ่งแม้แต่อับราฮัม บิดาแห่งความเชื่อ บิดาของชนชาติยิวเอง ยังบันทึกเอาไว้เลยว่าได้รับความรอด โดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยความประพฤติเหมือนกัน ท่านไม่เข้าใจหรือ? บิดาของท่าน ที่ท่านบอกท่านนับถือนักหนานั่นนะ ท่านทำไมไม่ทำตามบรรพบุรุษนั้น”
นี่คือสิ่งที่พระเยซูเล่า นี่ผมปูเบื้องหลังให้ท่าน ท่านจะได้ศึกษาคำพูดของพระเยซู คำประกาศของพระเยซูบนภูเขาได้ชัดเจนขึ้น จะได้ลึกซึ้ง เพราะตรงนี้สำคัญกว่าที่ไปอ่านข้อความในนั้น เพราะท่านอ่าน ไม่ได้ปูพื้น มันจะงง เพราะเราไม่ใช่ยิว พระเยซูไม่ได้พูดกับเรา เราแอบไปอ่านหนังสือของคนอื่นเขา ซึ่งในปัจจุบัน มันผิดกฎหมาย เราไปแอบอ่าน ต้องคิดอย่างนี้
เพราะฉะนั้น กำลังบอกกับชาวยิวว่า … “พวกนายอย่าหยิ่งทะนงตน เหมือนพวกฟาริสี ธรรมาจารย์ที่คิดว่าตัวเองทำดีได้มากแล้ว อย่าไปคิดอย่างนั้น แต่จงถ่อมใจยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป เป็นคนป่วย ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ และหันมาวางใจในพระองค์ ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด”
ตรงนี้แหละ เป็นจุดประสงค์ใหญ่ของพระเยซูที่ประกาศให้ทั้งหมด จะไปแปล จะไปอ่าน จะไปฟังเลยว่าใครจะอธิบายอย่างไร? ต้องวิ่งมาตรงนี้ว่าเขาแปลเสร็จแล้ว อธิบายเสร็จแล้วพุ่งมาตรงนี้หรือไม่? กำลังอธิบายกับชาวยิวว่าอย่าทะนงตน เราทะนงตนอย่างนั้นหรือเปล่า? เราก็ไปคิดเอาเองแล้วกัน เราไปแอบอ่านของเขา
พระองค์ชี้ให้พวกเขาเห็นว่าไม่ว่าท่านจะเคร่งครัดกับบทบัญญัติ กฎศีลธรรมในศาสนายิวมากเท่าไรก็ตาม ความประพฤติภายนอกนั้น ก็ไม่สามารถเยียวยารักษาเชื้อบาปสกปรก ที่อยู่ในใจ ในวิญญาณของท่านได้หรอก ต่อให้ท่านเคร่งครัดในการตัดกิเลส ตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ที่ชักจูง ผลักดันให้ท่านทำบาป ถึงขนาดตัดแขน ตัดขา ควักลูกตาออก ท่านก็จะตายไปพร้อมกับความบาป ที่อยู่ในใจ ในวิญญาณของท่าน ซึ่งเกิดมาเป็นคนบาป กำลังพูดกับคนยิว เพราะคนยิวเคร่งบัญญัติมาก มากจนกระทั่งเลยไป
พระเยซูบอก มาตรฐานของพระเจ้า คือคิด โกรธ เคืองคนอื่น ดูถูกคนอื่นว่าไอ้โง่ ก็มีค่าเท่ากับฆ่าคนตาย โทษเท่ากับฆ่าคนตาย คิดกำหนัดในใจ ก็เท่ากับล่วงประเวณี เห็นหรือยัง นี่คือมาตรฐานที่พระเยซูคริสต์ กำลังชี้ให้เห็นว่าท่านทำได้ไหม? ตัดแขนตัดขาแล้ว ก็ยังฆ่าคนตายได้ไหม? ตามที่พระเยซูยกมา ยังฆ่าคนตายได้ เพราะว่าแค่คิดเท่านั้น ก็เท่ากับฆ่าเขาตายแล้ว ควักลูกตาออก ก็ยังล่วงประเวณีได้ไหม? ไม่เห็นแล้วนะ
เพราะกำหนัดในใจ ถ้ามองภายนอกแล้ว มันต้องเห็นภาพ แต่นี่ไม่เห็นเลย ตาบอดไปแล้ว ควักลูกตาออกเลย ชอบมองนัก ควักออกแล้วยังล่วงประเวณีได้ แค่คิดเท่านั้น เพราะพระเจ้าดูที่ใจ ที่วิญญาณข้างใน ไม่คิดได้ไหม? ได้ ก็คือตาย … ตายไปพร้อมกับความบาปที่อยู่ในใจ เห็นไหม? พระเยซูตอกย้ำยืนยันว่าถ้าท่านยังยึดถือกระทำตามบทบัญญัติ ท่านจะสอบไม่ผ่านแน่นอน เมื่อสอบไม่ผ่าน ก็ต้องตกนรกแน่นอน พูดกับใคร? พูดกับชาวยิว ฉะนั้น จงถ่อมใจยอมรับเถิดว่าตนเอง ยังทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์อย่างแน่นอน แล้วจงกลับใจใหม่ หันมาทางใหม่ ทางแห่งพระคุณดีกว่า คือต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จากโทษของความบาป ซึ่งเป็นทางเดียวเท่านั้นที่จะช่วยให้ท่านเข้าสู่สวรรค์ได้ ที่พระเจ้าได้วางไว้ แล้วส่งพระเยซูมา สัญญาไว้ตั้งนานแล้ว ตั้งแต่บรรพบุรุษของท่านว่าพระมาซีฮาห์จะมากระทำอย่างนี้
มาตรฐานของพระเจ้าคืออะไร? คือท่านต้องชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าเท่านั้น จึงจะผ่านประตูสวรรค์ได้ ก็คือต้องเกิดใหม่เท่านั้น พระเยซูยกตัวอย่าง บัญญัติต่างๆ ของพวกชาวยิว ชาวต่างชาติคุ้นเคยไหม? ไม่คุ้นเคย อ่านก็ไม่รู้เรื่อง เพราะที่พระเยซูยกมาบอกว่า …
“ท่านเคยได้ยิน มีคำเขียนไว้ว่า …”
กำลังพูดถึงวัฒนธรรมทางศาสนาของยิวทั้งนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย เราไปอ่านพิธีไม่รู้เรื่องหรอก เพราะฉะนั้น พระเยซูยกตัวอย่างอุปมาอะไรต่างๆ เหล่านั้น ประกาศอะไรต่างๆ เหล่านั้น ให้กับพวกยิว ซึ่งคุ้นเคยกับประเพณีเหล่านั้นดี และชาวยิวเหล่านั้น ที่พระองค์ทรงเน้นในขณะนั้น ก็คือผู้ที่เคร่งครัด รักษาบทบัญญัติ ตามประเพณี ตามศาสนา อย่างเคร่งครัด รักษาอยู่ แล้วพระเยซูก็นำมาเปิดเผยความจริงว่าที่ท่านได้ยินมานั้น มันเป็นอะไร? จากในวิญญาณของท่าน มันไม่ใช่ กำลังบอกเขาจริงๆ ว่าปากกับใจเขาไม่ตรงกัน
แล้วพระองค์ก็พูดยกตัวอย่างให้เขาด้วยความรักว่าอย่างนี้เขาเรียกว่าหน้าซื่อใจคด ก็คือปากกับใจไม่ตรงกัน การกระทำข้างนอกกับข้างในมันไม่ตรงกันเลย เพราะฉะนั้น ท่านอย่าวางใจในการกระทำภายนอก เพราะว่าท่านจะเป็นคนหน้าซื่อใจคด ทำไม่ได้ ก็บอกว่าไม่ได้สิ ทั้งๆ ที่รู้ว่าทำไม่ได้ แต่เย่อหยิ่งบอกว่า …
“ฉันทำได้ ฉันเป็นผู้ชอบธรรม”
มันชอบธรรมที่ไหน? ในใจเขาเขียนไว้แล้ว เราทำไม่ได้ พระองค์จึงยกระดับมาตรฐานของความบริสุทธิ์ของพระเจ้าขึ้นมาให้เขาเห็น เปรียบเทียบให้เขาเห็นว่าไม่ได้จริงๆ ถ้าเป็นพระเจ้า พระเจ้าต้องการถึงขนาดคิดก็ไม่ได้นะ ท่านบอกว่าท่านทำแค่นี้ โอเคแล้ว ไม่ล่วงประเวณี ไม่ฆ่าคนตาย พอแล้ว แต่มาตรฐานของพระเจ้า คิดก็ไม่ได้นะ เพื่อยกให้เขาเห็นว่าเขาทำไม่ได้จริงๆ เขาเป็นคนบาปจริงๆ เพื่อว่าเขาจะได้ถ่อมใจยอมรับความจริงตรงนี้ เมื่อถ่อมใจยอมรับความจริง สวรรค์ก็เป็นของเขาเหมือนกับกลุ่มคนแรกในมัทธิว บทที่ 5 กลุ่มคนที่เป็นคนที่ถ่อมใจ พระเยซูต้องการชี้ให้เขาเห็นแค่นี้
ซึ่งเราเริ่มต้นตั้งแต่บทที่ 5 ข้อ 1-16 ซึ่งพูดเน้นที่คนถ่อมใจ เขาจะได้รับสวรรค์เป็นของเขา มาข้อที่ 17-48 ที่เราเรียนรู้ไป เน้นถึงคนไม่ถ่อมใจ เรียกว่าพวกเย่อหยิ่งจองหอง ทะนงตน ก็คือพวกฟาริสี ธรรมาจารย์ พูดเพื่อให้เขาได้ถ่อมใจ คนที่ถ่อมใจอยู่แล้ว พระองค์บอกว่าดี จะได้พร คนที่เย่อหยิ่งจองหอง พระองค์บอกว่ากลับใจใหม่เถอะ มาถ่อมใจซะ เห็นภาพอะไรไหม? ปูพื้นให้ท่านเห็นภาพชัดเจนขึ้น พระองค์กำลังชี้เริ่มต้นเลย เป้าหมายของการมีกฎบัญญัติ ที่ท่านพยายามเคร่งครัดรักษาอยู่นั้น บทบัญญัติมีไว้เพื่อแสดงให้เห็นว่ามนุษย์เป็นคนบาป อยู่ข้างใน ต้องได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า จงถ่อมใจยอมรับเถิดว่าท่านเป็นคนป่วย ต้องการหมอ ท่านไม่สามารถรักษาตนเองได้ นี่คือเป้าหมาย
วันนี้มาต่อครั้งที่แล้ว ถึงข้อที่ 48 วันนี้มาต่อบทที่ 6 ข้อ 1-15 … เริ่มข้อ 1 ก่อน …
มัทธิว 6:1 “จงระวังอย่าทำดีเพื่อเอาหน้า ถ้าทำเช่นนั้น ท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านในสวรรค์”
พูดกับใคร? ชาวยิว แล้วเขาทำได้ไหม “จงระวังอย่าทำดีเพื่อเอาหน้า” ทำได้ไหม? พระเยซูมาสอนให้เขาพยายามทำใช่ไหม?
ฟังอีกที พระเยซูกำลังสอนให้พวกชาวยิวกระทำอย่างนี้ หรือไม่ เป้าหมาย ไม่ใช่ แต่กำลังชี้ความจริงว่าเขาทำไม่ได้
พระองค์กำลังบอกว่า … “นายทำไม่ได้หรอก”
ไม่ใช่บอกว่า … “ให้นายพยายามทำ”
ก็ผลักดันให้เขาไปรักษาบัญญัติใหญ่เลย ไม่ใช่ กำลังจะบอกว่าท่านทำไม่ได้ ล้มเลิกความตั้งใจซะ ยอมรับความจริงว่าเราทำไม่ได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติของบาปที่อยู่ในตัวของท่าน ข้างในของท่านเป็นบาปอยู่ ข้างในของท่านเป็นโลงศพอยู่ เพราะฉะนั้น ท่านทำดี ในใจท่านก็ชอบให้คนยกย่อง จริงไหม? พูดเบาๆ สิ เดี๋ยวเขาได้ยิน ท่านทำดี ท่านบอกว่า …
“ฉันไม่เอาหน้าเอาตา ไม่ต้องมายกยอฉัน”
แต่ในใจลึกๆ มันกระหยิ่มยินดี … “เฮ้อ! ฉันได้ทำอันนี้แล้วนะ ฉันได้ช่วยเหลือคนจน ตามที่พระเจ้าบอกแล้ว พระเจ้าพอใจฉันมาก”
คุ้นๆ ไหม? นี่มันอยู่ในใจของใคร? ของชาวยิวที่กำลังพูดอยู่นี้
คราวนี้เราลองเอามาใช้กับเรา ที่ไม่ใช่ยิวปัจจุบันอยู่ในใจเราบ้างไหม? ท่านเป็นคริสเตียนไม่ได้อยู่ในใจเราแล้ว เราได้รับใจใหม่ ถามว่าแล้วมันยังอยู่ในความคิดเดิมๆ เราก่อนเชื่อพระเจ้า ซึ่งมันค้างอยู่ในโปรแกรม ในสมอง ยังอยู่ไหม? เราชอบไหม? ที่เวลาเราทำแล้วมีคนมาชม ได้พระพรจากพระเจ้ามากเลย เอเมนไหม? เอาไปคิดเอาเองแล้วกัน
กลับมาหาพวกชาวยิวดีกว่า ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรานะ
พูดกับชาวยิว ทำไมต้องพูดอย่างนี้ ชาวยิวอธิษฐาน ตามบทบัญญัติวันละ 3 ครั้ง แล้วเท่ห์ไหม? 3 ครั้ง พระเยซูยกตัวอย่าง ท่านบอกคนอื่น บอกว่าเราอธิษฐานวันละ 3 ครั้ง พวกนั้น พวกคนบาป ไม่ได้เข้าสักครั้งหนึ่งเลย ใช่หรือไม่? อย่างนี้เขาเรียกว่าทำดีเพื่อเอาหน้า ข้างนอกดูดีไหม? อธิษฐาน 3 ครั้ง ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา เกี่ยวกับชาวยิว นี่คือประเพณีทางศาสนายิว
อ่านพระคัมภีร์ สมมติว่ามีบางคนเท่านั้น ที่เขาอ่านได้ นี่ยิวในอดีต ที่เขาอ่านภาษาออก พระคัมภีร์ไม่ได้มีทุกบ้าน พระคัมภีร์มีไว้ในวิหาร อาทิตย์หนึ่งมาอ่านครั้งหนึ่ง คนที่อ่านได้เท่านั้น หรือคนที่ต้องการศึกษาไปวันธรรมดาก็ได้ แต่คนที่เป็นผู้ศึกษา เป็นพวกธรรมาจารย์ พวกฟาริสี คงแก่เรียน ตั้งใจศึกษาพระคัมภีร์ ศึกษาไป ศึกษามา เท่ห์ คนก็สรรเสริญ คนนี้ปรมาจารย์ …
“ฉันอ่านพระคัมภีร์ตั้งเยอะ ศึกษาตั้งเยอะ ฉันชอบธรรมมากกว่าเธอที่เป็นคนบาป”
จริงๆ ก็เป็นคนบาปเท่ากัน เห็นไหม? พระเยซูกำลังพูดอะไร? ต่อข้อ 2-4 …
มัทธิว 6:2-4 “2 ดังนั้น เมื่อท่านให้ทานแก่คนขัดสน อย่าตีฆ้องร้องป่าว เหมือนที่คนหน้าซื่อใจคด ทำในธรรมศาลาและตามถนนหนทาง เพื่อให้ผู้คนยกย่องชมเชย เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเขาได้รับบำเหน็จของตนเต็มที่แล้ว 3 แต่เมื่อท่าน หยิบยื่นแก่คนขัดสน อย่าให้มือซ้ายรู้ สิ่งที่มือขวาทำ 4 เพื่อการให้ของท่านเป็นความลับ แล้วพระบิดาของท่าน ผู้ทรงเห็นสิ่งที่ทำเป็นการลับ จะประทานบำเหน็จแก่ท่าน”
ถามจริงๆ เขาทำได้ไหม? พระเยซูสอนให้เขาทำไหม? ไม่ใช่ พระเยซูกำลังมาบอก เขาทำไม่ได้หรอก ที่อ่านมาทั้งหมดนี้ คุณทำไม่ได้ เพราะมันเป็นธรรมชาติของความคิดของคนบาป ข้างในมันบาป ก็คิดแบบเนื้อหนัง ตามระบบของบาป ระบบของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่ต่อต้านพระเจ้า ข้างในท่านมันต่อต้านพระเจ้า มันทำอย่างนี้ไม่ได้หรอก ท่านไม่บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ท่านไม่สามารถทำอย่างนี้ได้หรอก ถูกไหม? เราอ่านอย่างนี้ทั้งหมด เราฟังแล้วดูเหมือนดี เพราะแรงจูงใจของพวกฟาริสี ที่เคร่งครัดทำดีตามบทบัญญัติ เหล่านี้ทั้งหมด มากกว่านี้อีก ไม่ใช่ เพราะว่าเขามีแรงจูงใจ ที่จะทำสิ่งที่ชั่วร้าย ถูกไหม? เขาทำสิ่งที่ดีนะ การช่วยเหลือคนขัดสนอะไรต่างๆ ดีหมด แต่การบังคับตนเองให้ทำตามบทบัญญัตินั้น กฎบัญญัติเปิดโปงในใจเขาว่าเขาทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ เขาไม่ได้มีเมตตาจริงๆ ข้างในเขาต้องรู้ตัวเอง เพราะฉะนั้น เขาเป็นคนหน้าซื่อใจคด เป็นหลุมศพฉาบปูนขาว ถ้าภาษาไทยเขาเรียกว่าข้างนอกดูสดใส ข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง เขารู้ แต่เขาไม่ยอมรับ เขารู้ว่าเขาเป็นคนตายอยู่ในบาป เป็นคนบาปในวิญญาณ ไม่สามารถทำตามบัญญัติเหล่านี้ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามที่ในใจเขาฟ้องได้
ในใจเขาฟ้องว่าอย่างนี้มันไม่ถูก แต่เขาทำไม่ได้ แล้วพอไม่ได้ แล้วยังไง พระเยซูจึงมาชี้ให้เขาเห็นว่าทั้งๆ ที่รู้ว่าทำไม่ได้แล้ว ท่านก็ยังเย่อหยิ่งจองหอง ไม่ถ่อมใจ ยอมรับความจริงว่าท่านทำไม่ได้ ฉันทำไม่ได้ และจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือ คือเป็นคนป่วยไง ไม่ยอมรับ ต้องได้รับการช่วยเหลือให้บังเกิดใหม่จากพระเจ้าเท่านั้น เพื่อจะได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า นี่คือสิ่งที่พระเยซูกำลังพูด
ตัวอย่างเห็นชัดๆ เลย ตัวอย่างฟาริสี ตัวเอ้ ที่ทำอย่างนี้ ก็คืออาจารย์เปาโล พูดด้วยตัวเองว่าก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า ใครๆ ก็ยกย่องเขาว่าเขาเป็นคนรักษาบัญญัติมากเลย เคร่งที่สุดแล้ว ไม่มีใครเคร่งเท่านี้อีกแล้ว และเขารู้ตัวเขาเคร่ง แต่เขาบอกว่า …
“สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำ สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากจะทำ ข้าพเจ้าก็ทำ โอ๊ย! ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชขนาดไหน? ใครจะช่วยข้าพเจ้าได้”
นี่คือสิ่งที่พระเยซูกำลังจะชี้ให้พวกเย่อหยิ่งจองหอง ฟาริสี ธรรมาจารย์เหล่านั้นได้เห็นเหมือนที่เปาโลได้เห็น และกลับใจใหม่ซะ เหมือนกัน ชัดเลย พระองค์กำลังชี้ให้เห็น ไม่มีทางเลย ที่ท่านจะทำตามข้อความเหล่านี้ได้หรอก มันเป็นไปไม่ได้ ท่านทำไป มันไม่ใช่แรงจูงใจที่ถูกต้อง ท่านทำได้ ข้างนอกมองเห็น ทำเหมือนๆ กัน แต่มันไม่ได้มาจากแรงจูงใจข้างในที่ถูกต้อง ที่เป็นความรักแท้
ท่านไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ ด้วยแรงจูงใจที่ถูกต้อง ท่านไม่สามารถไม่เป็นคนหน้าซื่อใจคดได้เลย นอกจากท่านจะได้รับการอัศจรรย์ บังเกิดใหม่ด้วยวิญญาณ และใจใหม่ โดยวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ท่านจึงจะเลิกหน้าซื่อใจคด เป็นหลุมศพฉาบปูนขาว ท่านจะเลิกได้ มีทางเดียวเท่านั้น เลิกจากข้างนอกสดใส ข้างในต๊ะติ๊งโหน่ง ทำได้ทางเดียวเท่านั้น คือเชื่อและวางใจในพระเยซู และก็บังเกิดใหม่เท่านั้น นี่คือเป้าหมายที่พระเยซูพูดทั้งหมด ต่อข้อที่ 5 …
มัทธิว 6:5 “และเมื่อท่านอธิษฐาน อย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเขาชอบยืนอธิษฐานในธรรมศาลา และตามมุมถนน เพื่อให้คนเห็น เราบอกความจริงแก่ท่านว่าพวกเขาได้รับบำเหน็จของตนเต็มที่แล้ว”
พระเยซูกำลังมาสอนให้อธิษฐานใช่ไหม? ไม่ใช่ พระเยซูกำลังมาประกาศว่าเขาทำไม่ได้ มาตรฐานตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ เขาทำไม่ได้หรอก เมื่อท่านอธิษฐาน อย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด ท่านไม่หน้าซื่อใจคด มีทางไหม? ไม่มีทาง คือมันเป็นไปไม่ได้นั่นเอง
อธิษฐานอย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเขาชอบยืนอธิษฐานในธรรมศาลา คือ กำลังพูดแทงใจดำพวกเขาเองนั่นแหละ การอธิษฐานจริงๆ คือการคุยกับพระเจ้า อธิษฐานโชว์คน มันก็คืออธิษฐานให้คนยกย่อง ยกตัวเองขึ้นมาว่าฉันเป็นคนชอบธรรม เป็นคนดี เห็นหรือยัง? ต่างกันไหม? อธิษฐานแบบสวยๆ ให้คนได้ยินได้ฟัง ก็คือแรงจูงใจในการอธิษฐานที่ไม่ถูกต้อง กำลังชี้ให้เขาเห็นว่าข้างในใจเขาคิดอะไรอยู่
ฟาริสีพวกนี้ อาจจะอย่างนี้ก็ได้ อาจจะถึงเวลาอธิษฐาน … “โอ้! ข้าแต่พระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นเหมือนดังทาส ดังหนอน แย่มาก เลวที่สุดเลย พระองค์ยิ่งใหญ่เหลือเกิน”
ฟังยืดยาวเลย คนฟัง ใช้ภาษาแบบฮีบรู สมมตินะ ผมก็ไม่รู้หรอก เดาเอา ใช้ภาษาฮีบรู แบบที่เปโตร คนธรรมดา ชาวประมงไม่ค่อยเข้าใจ ภาษาสูง ภาษาพระคัมภีร์ เพราะว่าตั้งใจจะให้ประชาชนฟัง แล้วยกย่องว่าเขาเป็นปรมาจารย์ของผู้รับใช้ หรือเป็นปรมาจารย์ของผู้เชี่ยวชาญในทางถ้อยคำพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงรักมาก …
“เป็นผู้มีความชอบธรรมมากกว่าพวกเธอเยอะ พวกเธอต้องมายกย่องฉัน พวกเธอต้องมาซูฮกฉัน พวกเธอต้องมาคารวะฉัน เอาของมาให้ อะไรต่างๆ มาให้ เพราะฉันมีเกียรติสูงกว่าเธอ”
ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย ถ้าจะเอามาเกี่ยวได้ไหม? มีไหมปัจจุบัน มีคริสเตียนที่เป็นอย่างนี้ไหม? อันนี้พูดเล่นๆ ลองคิดดู มีคริสเตียนที่เป็นแบบนี้ อธิษฐาน เพื่อคนฟังจะได้รู้สึกว่าเราใช้ภาษาสวยมาก
“พระบิดาผู้สถิตในสวรรคสถาน ข้าพระองค์ทั้งหลายขอกราบขอบพระคุณพระองค์”
อันนี้ไม่ได้พูดเพื่อประชดนะ กำลังจะชี้ให้ท่านเห็นว่าพระเยซูกำลังมาแทงใจดำคนยิว ที่เคร่งบัญญัติต่างๆ เหล่านั้นได้รู้ว่าเขาทำไม่ได้ หน้าซื่อใจคด ยอมรับความจริง แล้วพระองค์จะเข้าไปช่วยเหลือเขา แล้วพระองค์มาแล้ว เพื่อช่วยเหลือ ต่อไปข้อที่ 6 …
มัทธิว 6:6 “เมื่อท่านอธิษฐาน จงเข้าไปในห้อง ปิดประตูและอธิษฐานต่อพระบิดาของท่าน ผู้ไม่ปรากฏแก่ตา แล้วพระบิดาของท่าน ผู้ทรงเห็นสิ่งที่ทำอย่างลับๆ จะประทานบำเหน็จแก่ท่าน”
นี่ก็พูดถึงคนยิวอีก เขาทำได้ไหม? ทำไม่ได้ เพราะประเพณีวัฒนธรรมของคนยิว เวลาเขาจะอธิษฐาน เขาจะมีห้องพิเศษ คือห้องส่วนตัวของเขา เป็นห้องลับ แล้วในห้องนั้น เขาจะทำสัญลักษณ์ไว้ หันหน้าไปที่กรุงเยรูซาเล็ม ทุกวันนี้ชาวยิวบางพวกก็ยังยึดถืออย่างนี้อยู่เลย ต้องหันหน้าไปกรุงเยรูซาเล็ม เหมือนกับบรรพบุรุษในอดีตทำ เป็นบัญญัติว่าอธิษฐานต่อหน้าพระเจ้า ก็คือต่อหน้าวิหาร หันทิศไปทางวิหาร ไม่ได้เกี่ยวกับเราสักหน่อย เกี่ยวกับชาวยิวเท่านั้น พระองค์กำลังชี้ให้เขาเห็นว่าท่าทีในใจ ในการอธิษฐาน ก็คือพูดกับพระเจ้า ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมนุษย์คนอื่นเลย ไม่ต้องได้ยินหรอก มีพระเจ้ากับเราสองคนได้ยิน ซึ่งทำได้ไหม? ทำไม่ได้ แต่ถ้าเผื่อได้บังเกิดใหม่ มาวางใจในพระองค์ เชื่อในพระองค์แล้ว พระองค์เข้ามาสถิตอยู่ในใจ ทำได้ไหมตอนนี้ ทำได้เลย ทำที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องมีห้องแล้ว นี่พระเยซูกำลังมาชี้อย่างนั้น บังเกิดใหม่แล้วจะทำที่ไหนก็ได้
นี่บัญญัติบอกให้คุณทำอยู่ในห้อง คุณก็ต้องอยู่ในห้อง แต่แล้วคุณก็ทำไม่ได้ เพราะในใจคุณอยากให้คนอื่นสรรเสริญ คุณก็อ้างอันนั้นอันนี้ต่างๆ แล้วก็มาอธิษฐานหน้าวิหาร นอกห้อง ดังๆ ให้คนอื่นเขาได้ยิน เพื่อคนอื่นเขาจะได้สรรเสริญ บูชา แล้วก็ยกท่าน มีบารมี แล้วก็ซูฮกท่าน นี่พูดกับใคร? ชาวยิว ไม่เกี่ยวกับเรา เกี่ยวทางอ้อมนิดหนึ่ง ต่อไปข้อ 7-8 …
มัทธิว 6:7-8 “7 และเมื่อท่านอธิษฐาน ไม่ต้องพูดพร่ำซ้ำซากเหมือนคนต่างชาติ เพราะเขาคิดว่าพูดมากๆ พระจึงจะได้ยิน 8 อย่าทำอย่างเขาเลยเพราะพระบิดาของท่าน ทรงทราบว่าท่านต้องการอะไรก่อนที่ท่านจะทูลขอต่อพระองค์”
เพราะพวกฟาริสี ธรรมาจารย์เหล่านี้ เขาจะบอกคนตามที่เขาคิดอยู่ในใจ ที่เขาคิดว่าเขาทำได้ แล้วก็บอกให้คนทำตามเขา ยกตัวอย่างเช่นต้องจำบทสวดตรงนี้ให้ได้ แล้วสวดให้เป็นประจำ ท่องเลย นี่เรียกว่าอธิษฐานกับพระเจ้า ถูกไหมล่ะ ไม่ถูก อธิษฐานกับพระเจ้า คือต่างคนต่างพูดกับพระเจ้า พูดพระเจ้าเป็นใคร? เราเป็นใคร ก็พูดไป ไม่ต้องมาท่องเป็นบทสวด ในพระคัมภีร์ตอนนี้ พระเยซูบอกว่าบทสวดนั้น เหมือนคนต่างชาติพูดพร่ำซ้ำซาก ก็คือท่องบทสวดซ้ำไปซ้ำมาทุกวัน ท่านทำตัวแบบนั้น พระเจ้าให้ท่านอธิษฐานคุยกับพระองค์ ไม่ได้ให้ท่านสวดแบบคนที่อยู่นอกศาสนายิว แล้วคนอยู่นอกศาสนายิว ท่องเป็นบทสวด แล้วก็สวดซ้ำ ยิ่งซ้ำนานๆ ความรู้สึกมันจะเป็นจริงตามนั้น ขลังดี แล้วท่านก็ทำตัวอย่างนั้น มันก็เหมือนกับชนต่างชาติ พูดไปเรื่อยๆ แล้วมันจะเกิดขึ้น …
“ในนามพระเยซู พระเยซูแบกรับเอาความบาปผิดของเราไปแล้ว ในร่างกายของพระองค์ ที่ไม้กางเขน เราหายโรคแล้ว ฉันหายจากโรคมะเร็งแล้ว เพราะว่าพระเยซูแบกรับเอามะเร็งออกไป จากร่างกายฉันแล้ว”
แล้วมันจะหายนะ คุ้นๆ ไหม? อันนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเราอีกแล้วนะ นี่พูดถึงคนยิวในอดีต พอนึกออกใช่ไหม? ก็คือพูดง่ายๆ ว่าเขาก็ทำไม่ได้อยู่ดี เพราะในใจมันเป็นเหมือนคนต่างชาติ ไม่ต่างกันเลย ต่อไปข้อ 9-11 …
มัทธิว 6:9-11 “9 ฉะนั้น ท่านควรจะอธิษฐานดังนี้ว่าข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลายผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เทิดทูนสักการะ 10 ขอให้อาณาจักรของพระองค์ได้รับการสถาปนาไว้ ขอให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จในโลกเช่นเดียวกับในสวรรค์ 11 ขอโปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายในวันนี้”
สรุปตรงนี้ คือให้พวกเขารู้ตัวว่าหน้าซื่อใจคด และให้เขาถ่อมใจ ยอมรับความจริงตรงนี้ โดยให้รู้ว่าพระเจ้าที่ท่านอธิษฐาน ที่พระองค์ทรงสัญญานั้น พระองค์เป็นพ่อของท่านนะ พวกเขาไม่เคยคิดว่าพระเจ้าเป็นพ่อของเขาเลย มาตั้งแต่อดีต เขาถือพระเจ้าเป็นเจ้านายของเขา เจ้านายแห่งชีวิตของเขา เขาไม่สามารถสนิทกับพ่อของเขา ไม่สามารถนับว่าพระเจ้าเป็นพ่อ พระเยซูกำลังชี้ให้เขาเห็น พระเจ้าเป็นพ่อ หวังดีต่อเขามาก ให้เขากลับใจใหม่ ให้เขาถ่อมใจเถิด และบอกด้วยซ้ำว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่พระเจ้าทั้งสิ้น ให้เขามีท่าทีที่ถ่อมใจต่อพระเจ้า ต้องการที่จะพึ่งพระองค์ในทุกสิ่งเท่านั้น นี่คือสรุป 3 ข้อนี้ ต่อไปข้อ 12-15 …
มัทธิว 6:12-15 “12 ขอทรงยกโทษความผิดบาปให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย เหมือนที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ยกโทษให้ (ไม่เอาความไม่โกรธเคือง) ผู้ที่กระทำผิดบาปต่อข้าพระองค์ทั้งหลายแล้วนั้น 13 และขออย่าให้ข้าพระองค์ทั้งหลายล้มลงเมื่อถูกทดลอง แต่ขอทรงช่วยข้าพระองค์ทั้งหลายให้พ้นจากความชั่วร้าย เหตุว่าราชอำนาจ และฤทธิ์เดช และพระสิริเป็นของพระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์ อาเมน 14 เพราะถ้าท่านอภัยให้ผู้ที่ทำผิดต่อท่าน พระบิดาของท่านในสวรรค์จะทรงอภัยให้ท่านด้วย 15 แต่ถ้าท่านไม่ยอมอภัยบาปผิดของผู้อื่น พระบิดาก็จะไม่อภัยบาปผิดของท่านเช่นกัน”
ตรงนี้ต้องสำคัญมาก ต้องเน้นมากเป็นพิเศษ พระเยซูประกาศว่าถ้าพวกท่านยังคงยึดถือบัญญัติ กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ กฎแห่งตาต่อตา ฟันต่อฟัน เพื่อเป็นผู้ชอบธรรมเข้าสู่สวรรค์ได้ด้วยตนเอง ท่านก็ต้องอธิษฐานกับพระเจ้าอย่างนี้
สรุปแล้ว อธิษฐานอย่างนี้ ท่านทำได้ไหม? ทำไม่ได้ ไม่ได้มาสอนให้กระทำตามนี้ แต่กำลังมาสอนว่าทำตามนี้ไม่ได้ ไม่มีทาง
“ขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษ ผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์”
ก็คือไม่เอาความ ไม่โกรธเคืองเลย
“เพราะว่าถ้าท่านยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ จะทรงยกความบาปผิดของท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ยกความผิดบาปของเพื่อนมนุษย์ ยังโกรธเขา ยังเคืองรำคาญใจอยู่ พระบิดาของท่านจะไม่ทรงโปรดยกความบาปผิดของท่านเหมือนกัน”
ทำได้ไหม? พระเยซูกำลังชี้ให้ชาวยิวได้เห็นว่าถ้าเขายังคงเชื่อมั่นในการปฏิบัติตามบทบัญญัติเดิม พวกเขาจะไม่สามารถทำครบถ้วน บริบูรณ์ตามเกณฑ์มาตรฐานของพระเจ้าได้หรอก เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว เตือนอย่างนี้อีกแล้ว ไม่สามารถที่จะเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าได้ พระองค์จึงมาช่วย เปิดทางใหม่ให้กับพวกเขาไง
ทางเก่า คือจงอภัยให้ผู้อื่นก่อน แล้วพระเจ้าจึงจะอภัยให้กับท่าน
ทางใหม่ คือพระเจ้าได้ทรงอภัยให้ท่านก่อน นี่คือพันธสัญญาใหม่ อันนี้เราเข้าใจดี เพราะว่าเราอยู่ในพันธสัญญาใหม่ เราคริสเตียน
ทางใหม่ ก็คือพระเจ้าได้ทรงอภัยให้กับท่านก่อน แล้วท่านจึงจะฝึกฝนแบ่งปันอภัยให้กับผู้อื่น เหมือนที่พระเจ้าได้ทรงอภัยให้กับท่านแล้วนั้น เอเมนไหม?
นี่พระเยซูกำลังประกาศข่าวประเสริฐให้กับชาวยิวที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ไม่รู้เรื่อง ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญาใหม่ ให้รู้ว่านี่คือความจริง ไม่ใช่ให้ท่านทำตามนี้ แต่ให้ท่านรู้ความจริงแล้วรีบหันกลับมาหาพระองค์ แล้วมาอยู่ในทางใหม่ เพื่อจะได้บังเกิดใหม่
ทางใหม่ คือพระเจ้าอภัยความผิดบาปให้กับเราก่อนแล้ว โดยพระคุณ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข เป็นความรักแบบอากาเป้ และไม่ใช่อภัยให้เรา ที่ไม่มีเงื่อนไขเฉยๆ แต่ได้เปลี่ยนวิญญาณ และใจใหม่ให้กับเราด้วย ให้เป็นวิญญาณและจิตใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระองค์ คือบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระองค์ เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระองค์ เป็นความรักเหมือนพระองค์ เป็นความสว่างเหมือนพระองค์ เป็นความดีงามเหมือนพระองค์ เอเมนไหม? ทั้งวิญญาณและใจใหม่
ผู้ที่อยู่ในพันธสัญญาใหม่ ที่ได้ใจใหม่ เพราะฉะนั้น เราจึงสามารถที่จะให้อภัยในความบาปผิดให้กับผู้อื่นได้ ด้วยความรักแบบอากาเป้ ที่เหมือนพระเจ้า ซึ่งเป็นลักษณะธรรมชาติของวิญญาณ และใจใหม่นี้ เมื่อเราวางใจในพระเยซูและได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเรา แล้วจะฝึกสอนเราให้ดำเนินชีวิตไปตามธรรมชาติภายในวิญญาณและจิตใจที่เกิดใหม่ บริสุทธิ์สะอาด เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเจ้าแล้วนั้น เอเมนไหม?
นี่คือการประกาศของพระเยซูคริสต์ ให้พวกเขาได้รู้ว่าเขาจะต้องมาวางใจในพระองค์เท่านั้น เหมือนกับเราทั้งหลาย ที่ได้เป็นคริสเตียน วางใจในพระองค์ มาอยู่ในกฎใหม่เท่านั้น มาอยู่ในทางใหม่ ในทางของพระองค์ ในทางแห่งพระคุณเท่านั้น
ในฐานะที่เราเป็นผู้ที่อยู่ในกฎใหม่ มาดูว่ากฎใหม่เขียนว่าอย่างไร? ทางใหม่ที่พระเยซูประกาศให้กับชาวยิว ตั้งแต่เริ่มต้น มันคืออะไร? โคโลสี 3:13 จะเห็นชัดเจนเลยว่านี่คือทางใหม่ที่พระเยซูเสนอให้กับฟาริสี ธรรมาจารย์และชาวยิวทั้งหลาย …
โคโลสี 3:13 “จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน ก็จงยกโทษให้กันและกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด ท่านจงกระทำอย่างนั้น เหมือนกัน”
“องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดยกโทษให้ท่านฉันใด” ยกโทษให้ก่อนแล้ว ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน ท่านก็จงไปยกโทษให้คนอื่นเขาเหมือนกัน อีกข้อหนึ่ง เอเฟซัส 4:32 …
เอเฟซัส 4:32 “และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรดอภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น”
“และอภัยโทษให้กัน เหมือนดังที่พระเจ้าได้ทรงโปรด ได้ทำแล้ว คืออภัยโทษให้แก่ท่านในพระคริสต์นั้น”
เอเมน ชัดเจนเลย พระคัมภีร์บอก ในขณะที่เราเป็นคนบาป ชั่ว เลวทราม พระองค์ พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา ให้อภัยเรา ในขณะที่เราเป็นคนบาป เพราะฉะนั้น เราต้องซึมซับ เอาตรงนี้เข้ามาอยู่ในวิญญาณของเรา เรียกว่าวิญญาณแห่งความรัก ซึมซับความจริงตรงนี้ว่าเราเป็นใคร? เราเป็นความรัก เราอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นเหมือนพระคริสต์ แล้วเราก็จะสามารถอภัยให้กับคนอื่น ที่ทำผิดบาปต่อเราได้ แบบไม่มีเงื่อนไข เหมือนกับพระเจ้าได้ จากวิญญาณข้างใน
ข้อสำคัญ ก็คือกระทำออกมา โดยความประพฤติ ได้มากหรือได้น้อยก็ตาม ก็ไม่มีผลต่อความรอดของเราในวิญญาณเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะพระเจ้าอภัยในความบาปผิดให้กับเราก่อนหน้าเรียบร้อยแล้ว เอเมน ในขณะที่เราบาปอยู่ พระองค์ทรงอภัยให้เราแล้ว อภัยให้กับเราแล้ว ก็ยังประพฤติบาปอยู่ แต่วิญญาณ สะอาดหมดจด เรียบร้อยแล้ว พระเจ้าก็ค่อยๆ เข้ามาสอนเรา ฝึกเรา ให้ปฏิบัติ ให้สมกับเป็นลูกพระเจ้าที่ดีงามนั้น แต่เราทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์หรอก จนตายก็ทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ตามที่พระเยซูกำลังชี้ให้ชาวยิวได้เห็นว่าเขาทำไม่ได้ตามบทบัญญัติหรอก แต่วิญญาณสามารถที่จะบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ได้ พระองค์ทรงมาช่วยแล้ว
ทางเก่า ก็คือเมื่อท่านไม่ได้เกิดใหม่ ปราศจากวิญญาณใหม่ ปราศจากใจใหม่ ท่านก็ไม่มีความรักแท้แบบพระเจ้า อยู่ข้างในตัวท่านเลย นึกให้ดีๆ นะ ข้างในเป็นบาป เป็นความเกลียดชัง เป็นผู้ฆ่า ขโมยและทำลาย ท่านจึงไม่สามารถที่จะอภัยความบาปผิด ให้กับคนอื่นจริงๆ โดยพระคุณความรัก แบบไม่มีเงื่อนไขได้เลย แม้แต่นิดเดียว เพราะท่านไม่มีอยู่ในวิญญาณของท่าน ซึ่งผล ก็คือท่านอภัยข้างนอกได้ แต่ในใจท่านยังเคืองอยู่ ข้างนอกบังคับให้ทำ เหมือนที่เปาโลบอก …
“อยากอภัยให้หมดเลย ยกโทษให้ก็ได้ ไม่เอาความหรอก”
แต่ในใจก็ยังคิดแค้นอยู่ … “นี่กี่ครั้งแล้ว ไม่รู้กี่ครั้ง กี่หนแล้ว”
ถ้าตามบัญญัติเดิมที่พระเยซูเตือน ในทางเก่า ท่านทำไม่ได้ อภัยให้คนอื่นไม่ได้ ยังโกรธเคืองคนอื่นอยู่ ผลก็คือพระเจ้าก็จะไม่ให้อภัยในความบาปผิดของท่านด้วยเช่นเดียวกัน ก็คือท่านก็ต้องตกนรก เพราะไม่ได้รับการอภัยจากพระเจ้า เห็นหรือยัง?
สรุป ก็คือพระเยซูกำลังบอกว่าท่านทำไม่ได้หรอก ด้วยการกระทำจากกำลังของตนเองที่จะทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ เลิกล้มความเย่อหยิ่ง ความทะนงตนว่าตนเองนั้นสามารถพึ่งพาการกระทำของตน ให้ชอบธรรม ตามมาตรฐานของพระเจ้าได้ เลิกล้มเถิด ท่านทำไม่ได้จริงๆ อย่าเย่อหยิ่ง อย่าทำหน้าซื่อใจคด
ดังนั้น จงกลับใจใหม่ ถ่อมใจลง พูดกับคนยิวตามบริบทนี้ แต่สามารถเอามาใช้กับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ได้เช่นเดียวกัน จงกลับใจใหม่ ถ่อมใจลง หันมาพึ่งพระเยซูคริสต์ วางใจในพระองค์ เพื่อจะได้บังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่ ใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์ เข้าสู่สวรรค์ได้เลยทันที ก่อนอย่างอื่นเลย ก่อนที่ท่านจะไปปฏิบัติอะไรก็ตาม ท่านได้เข้าสวรรค์แล้ว ปฏิบัติตัวมาทีหลัง
“เข้าสวรรค์แล้ว มาปฏิบัติตัวทีหลัง”
เข้าสู่สวรรค์ก่อน แล้วพระเจ้าก็จะเข้ามาสถิตอยู่ในท่าน ถูกไหม? แล้วเราจึงยอมให้พระองค์ ที่เข้ามาสถิตอยู่ในเรา สอนเรา นำเรา ด้วยความรัก ด้วยพระคุณของพระองค์ ให้เราประพฤติดี ตามมาตรฐานของพระองค์ ตามสายตาของพระองค์ ไม่ใช่ตามมาตรฐาน สายตาของเราเอง คิดเอง เออเองว่ามันดี เห็นภาพชัดเจนไหม? ซึ่งชาวยิวเหล่านั้นจะเห็นชัดกว่าเราอีก เพราะว่าของเก่าของเขาต้องเอาเลือดสัตว์ไปถวาย แต่พระเยซูกำลังมาบอกว่าหมดแล้วนะ วิหารก็จะไม่มีแล้ว การถวายเลือดสัตว์ พระเจ้ายกเลิกแล้ว แล้วท่านจะได้รับการอภัยโทษจากพระเจ้าได้อย่างไร? ไม่มีแล้วนะ ท่านจะหลงไป คิดว่าบัญญัตินี้จะทำให้ท่านรอดจากการถูกพิพากษา ลงนรกได้ มันไม่ใช่ มันมาจากพันธสัญญาของเลือดสัตว์ต่างหาก บูชาด้วยเลือดสัตว์ แต่ตอนนี้พระองค์จะยกเลิกการรับเลือดสัตว์แล้ว พระองค์ทำพันธสัญญาใหม่ รับเลือดของพระบุตรของพระองค์แทน ซึ่งครั้งเดียวพอ และถ้าท่านปฏิเสธเลือดของพระองค์ ของพระบุตร พระเยซูคริสต์ ท่านก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้วนะ ชาวยิวเอ๋ย
พวกเราไม่ใช่ชาวยิว พวกเราเลยง่ายหน่อย เพราะเราไม่เคยทำการถวายสัตว์บูชา เป็นเครื่องลบบาปอยู่แล้ว พอเรามาเจอพันธสัญญาใหม่ เราก็แค่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นผู้ไถ่บาปให้กับเรา ที่พระเจ้าส่งมาแค่นั้น แต่ชาวยิวได้ 2 ต่อ คือเห็นชัดๆ เลยว่าวิหารก็ไม่มีแล้วนะ พระเจ้าทำลายวิหารของพระองค์แล้ว โดยม่านฉีกออก 2 ท่อน ในวันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ปี ค.ศ.33 หมดสิ้นปัสกาเสียที ไม่มีการทำปัสกาอีกแล้ว ปัสกาสุดท้าย คือพระโลหิตของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนนั้น ชาวยิวรู้ดีเลย ถ้าชาวยิวถ่อมใจลง เข้าใจปุ๊บ ชัดเจนกว่าเราอีก เพราะเริ่มต้นที่ชาวยิว แล้วมาจบลงที่ชาวต่างชาติอีกทีหนึ่ง คือข่าวประเสริฐ
เพราะฉะนั้น ทั้งยิวและไม่ใช่ยิว ก็คือพวกเราทั้งหลาย สิ่งที่เราต้องทำ ก็คือไม่ใช่เราต้องทำ ความดี เพื่อจะไปสวรรค์ แต่เราจะต้องวางใจในพระเยซูคริสต์ เพื่อไปสวรรค์ แล้วค่อยมาทำดีทีหลัง เอเมน สำคัญมากเลย สดุดี 37:3 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
สดุดี 37:3 “จงวางใจในพระเจ้าและกระทำความดี ท่านจึงอาศัยอยู่ในแผ่นดินและชื่นบานอยู่กับความปลอดภัย”
ผมจะแปลให้ท่านแบบชัดๆ “จงวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ผู้ช่วยให้รอด และจะเกิดใหม่ และพระเจ้าก็จะเข้าไปสถิตอยู่ในท่าน แล้วท่านก็จะกระทำความดี ตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในท่าน มานำท่าน พาท่าน สอนท่านให้ดำเนินชีวิต ให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า เอเมนไหม? สุภาษิต 3:5-7 ก็พูดในทำนองเดียวกันว่า …
สุภาษิต 3:5-7 “5 จงวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง 6 จงยอมรับรู้พระองค์ในทุกทางของเจ้า และพระองค์จะทรงกระทำให้วิถีของเจ้าราบรื่น อย่าคิดว่าตนฉลาด 7 จงยำเกรงพระเจ้า และหันจากความชั่วร้าย (คือการพึ่งตนเอง ก็คือบาป)”
ความชั่วร้าย ก็คือการพึ่งพาตนเอง ก็คือบาป ก็คือพลาดเป้าหมาย พระเจ้าสร้างมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้มา เพื่อให้พึ่งพระองค์ ถ้าอยู่นอกพระองค์ ไปไม่รอดแน่นอน อยู่นอกพระองค์ ไม่มีพระองค์ เรียกว่าบาปทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น อย่าคิดว่าตัวเองฉลาด ทำได้ด้วยตนเอง อยู่ในบาปแล้ว ทำอย่างไรก็ไม่ได้
“จงยำเกรงในพระเจ้า” คือจงยำเกรงในกฎบัญญัติ ที่พระเจ้าวางไว้ ราชอาณาจักร และพระสิริ และพระเกียรติเป็นของพระองค์สืบๆ ไปเป็นนิตย์
นี่หมายถึงการยกย่องว่าพระเจ้า เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ดูแลกฎระเบียบทุกอย่าง ถ้าท่านทำถูกกฎระเบียบ ท่านต้องได้ตามนั้นแน่นอน แต่ท่านต้องรู้ความจริงของกฎระเบียบนั้น และเลือกทางที่ถูกต้อง ถ้าท่านเลือกพระเยซูคริสต์ ท่านไปรอดแน่นอน ไม่ว่าหลังจากที่ท่านเกิดใหม่แล้ว ท่านจะมีความประพฤติได้ดีมากขึ้นขนาดไหนก็ตาม ไม่ได้เกี่ยวกับความรอดของท่านเลย เพราะพระเจ้า เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล เป็นผู้ดูแลชีวิตของท่าน จงยำเกรงในพระเจ้า หมายถึงอย่างนี้ เอเมนไหม?
พระเจ้าอวยพรครับ
**********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้าก็เช่นเดียวกัน บางครั้งอาจประพฤติตัวไม่สมฐานะ
ยอห์น 3:3-8 …
พระเยซูตรัสตอบโดยประกาศว่า …“เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่”
นิโคเดมัสทูลถามว่า … “คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เมื่อเขาแก่แล้ว? แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเกิดออกมาใหม่!”
พระเยซูตรัสตอบว่า … “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำ (ในครรภ์ คือเป็นมนุษย์) และ (เกิดใหม่ทางวิญญาณ) โดยพระวิญญาณ มนุษย์ ให้กำเนิดมนุษย์ แต่พระวิญญาณ ให้กำเนิดวิญญาณ ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกว่าท่านต้องเกิดใหม่ ลมพัดไปที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหนหรือจะไปที่ไหน ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เช่นกัน”
พระเจ้าอวยพรครับ