คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน 2022
เรื่อง “คำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด” ตอน 5
“คำเทศนาบนภูเขา” EP.4
“มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก แต่พระเจ้ามองที่วิญญาณข้างใน”
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้คำเทศนาบนภูเขา Ep.4 ซึ่งเป็นครั้งที่ 5 ของซีรี่ย์ชุดคำประกาศของพระเยซู ที่มักมีการเข้าใจผิด เผื่อใครจะติดตามฟังย้อนหลังจะได้กลับไปหาฟังได้ เราผ่านมาแล้ว 4 ตอน …
ตอนที่ 1 จงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน
ตอนที่ 2 คำเทศนาบนภูเขา Ep 1 : คนป่วยต้องการหมอ คนบาปต้องการพระเยซู
ตอนที่ 3 คำเทศนาบนภูเขา Ep 2 : พระเยซูถูกกล่าวหาว่ามาล้มล้างกฎบัญญัติ
ตอนที่ 4 คำเทศนาบนภูเขา Ep 3 : กฎแห่งกรรม ทำบาปเพียงครั้งเดียว ก็ไม่ได้ไปสวรรค์
ตอนที่ 5 (วันนี้) คำเทศนาบนภูเขา Ep 4 : มนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก .. แต่พระเจ้า มองที่วิญญาณข้างใน
เราก็เหมือนเดิม มาปูพื้นเบื้องหลังก่อนที่จะมาเรียนรู้วิจัย คำประกาศของพระเยซูที่มักมีการเข้าใจผิด ในเรื่องนี้ว่ามนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก แต่พระเจ้ามองที่วิญญาณข้างใน หมายถึงอะไร? พระเยซูกำลังพูดกับเราเรื่องอะไร? เรามีพื้นมา 4 ตอนแล้ว พื้นหลังในเรื่องนี้สั้นๆ ก็คือพระเยซูกำลังมาประกาศ เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ จะเข้าสวรรค์เข้าอย่างไร? เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ วิธีเข้าสวรรค์เข้าอย่างไร? มาประกาศว่าสวรรค์กำลังมา ตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เชิญเข้ามาสวรรค์ได้ จะเข้ามาอยู่ มีท่าทีอย่างไร? พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ โลกวิญญาณ และพูดกับชาวยิว โดยเฉพาะ นี่คือเบื้องหลัง
วันนี้ขอปูพื้นเบื้องหลัง ด้วยโรม 3:9-20 เพื่อจะได้เห็นภาพเบื้องหลังว่าที่พระเยซูกำลังประกาศนั้น มันเกี่ยวกับเรื่องอะไร? เพราะในโรม 3:9-20 นั้น ก็คือหลังจากที่พระเยซูเสด็จขึ้นสวรรค์แล้ว แล้วพระวิญญาณของพระองค์เข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ผู้ที่เชื่อ และพระวิญญาณของพระองค์ ที่เรียกว่าพระวิญญาณของพระคริสต์ ก็เป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ประกาศความจริงในเรื่องเกี่ยวกับการเข้าสวรรค์เข้าอย่างไร? ทำไมถึงต้องเข้าสวรรค์ เพราะอะไร? มนุษย์อยู่ในความบาป เป็นอย่างไร? พูดรายละเอียด สำแดงโดยพระวิญญาณของพระองค์ ก็เหมือนกันกับที่พระองค์กำลังประกาศด้วยตัวของพระองค์เอง ในเรื่องที่เรากำลังเรียนอยู่นี้ ก็คือคำเทศนาบนภูเขา พระองค์บอกว่า …
“ตอนนี้ท่านไม่เข้าใจหรอก แต่วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเราเข้าไปสถิตอยู่ในตัวท่าน และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้เปิดเผยความจริงว่าสิ่งที่เราพูดกับท่านในวันนี้ คือคำเทศนาบนภูเขานี้ มันหมายถึงอะไร?”
คราวนี้เราได้เปรียบไง ตอนที่พูดอยู่ คำเทศนาบนภูเขา ชาวยิวเขายังไม่บังเกิดใหม่ ยังไม่มีพระวิญญาณอยู่ เขาก็งง เขาไม่เข้าใจ เข้าใจเพียงแต่ผิวเผิน เพราะว่าเป็นเรื่องประวัติ ขนบธรรมเนียม ประเพณีทางศาสนายิว ซึ่งเขาถือกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ เขาก็พอจะเข้าใจบ้าง แต่เรื่องของโลกวิญญาณ ก็จะไม่รู้เรื่องเลย จะเรียนรู้เรื่องนี้ เราต้องนึกถึงภาพคนที่ฟังเป็นอย่างไร?
เพราะฉะนั้น ที่ให้เรามาเริ่มต้นด้วยโรม 3:9-20 เพื่อจะได้เห็นชัดเจนขึ้น เพราะเราได้เปรียบว่าตรงนี้หมายถึงอย่างนี้เอง ซึ่งผู้ที่พระเยซูคริสต์ได้ใช้ให้เขียนตรงนี้ ก็คืออัครทูตเปาโล ซึ่งถูกแต่งตั้งให้มีหน้าที่ประกาศให้กับคนที่ไม่ใช่ยิว ก็คือคนทั้งหมดบนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น เราเรียนรู้แล้วว่าพระองค์ทรงประกาศให้ชาวยิวก่อน แล้วก็เล็งไปถึงคนที่ไม่ใช่ยิวทีหลัง ตอนนี้เรากำลังมาเรียนรู้เรื่องนี้ จากมุมมองของคนต่างชาติ ที่ได้อ่านพระคัมภีร์โรม 3:9-20 ได้เห็นภาพว่าจะเข้าสวรรค์ เข้าอย่างไร? ทำไมถึงต้องเข้าสวรรค์ และทำไมพึ่งพาตนเองในการเข้าสวรรค์ไม่ได้ ต้องพึ่งพาพระเยซูด้วย เพราะเหตุไร?
โรม 3:9-20 “9 เช่นนี้แล้ว เราจะสรุปว่าอย่างไร พวกเราชาวยิวดีกว่าคนอื่นหรือ? ไม่เลย เราชี้ให้เห็นแล้วว่าทั้งคนยิวและคนต่างชาติ ล้วนอยู่ภายใต้บาปเหมือนกันหมด 10 ตามที่มีเขียนไว้ว่าไม่มีสักคน ที่เป็นคนชอบธรรม ไม่มีแม้สักคนเดียวเลย 11 ไม่มีใครที่เข้าใจ ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า 12 ทุกคนล้วนหันเหไป พวกเขากลายเป็นคนไร้ค่าไปด้วยกัน ไม่มีสักคนที่ทำดี ไม่มีแม้แต่คนเดียว 13 ลำคอของพวกเขา คือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ พวกเขาตวัดลิ้นปลิ้นปล้อนพิษงูร้าย อยู่ที่ริมฝีปากของพวกเขา 14 ริมฝีปากของเขา เต็มไปด้วยคำสาปแช่ง และคำเผ็ดร้อน 15 เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด 16 เขาก่อหายนะและทุกข์เข็ญ ไว้ตามรายทางของเขา 17 ไม่มีความยำเกรงพระเจ้า ในสายตาของพวกเขา 18 เขาไม่เคยคิดที่จะเกรงกลัวพระเจ้าเลย 19 เรารู้อยู่ว่าสิ่งใดๆ ที่บทบัญญัติกล่าวไว้ ล้วนกล่าวแก่ผู้ที่อยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคน ไม่ให้มีข้อแก้ตัว และให้ทั้งโลก อยู่ภายใต้การพิพากษาของพระเจ้า 20 ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นคนชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยการรักษาบทบัญญัติ บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่ามีบาป เป็นคนบาป”
จำได้ใช่ไหม เราเรียนรู้กันมา ครั้งที่แล้วว่าพระเยซูพูดว่าอย่างไร? ข้อ 20 ชัดเลย …
“ฉะนั้น ไม่มีใครได้ชื่อว่าเป็นคนชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า โดยการรักษาบทบัญญัติ”
ไม่มีทางเลย ทำไม่ได้หรอก ครั้งที่แล้วเราจบลงที่พระเยซูบอกว่าท่านจะทำไม่ผิดเลย แม้แต่ข้อเดียว มันเป็นไปไม่ได้ ในการรักษาบทบัญญัติ เพื่อที่จะได้เป็นผู้ชอบธรรม โดยการกระทำด้วยตัวเอง บทบัญญัติเพียงแต่ทำให้เรารู้ตัวว่าเราเป็นคนบาป มีบาปอยู่ในวิญญาณของเรา
มาวิเคราะห์กันในข้อที่ 9 “เช่นนี้แล้ว เราจะสรุปว่าอย่างไร พวกเราชาวยิวดีกว่าคนอื่นหรือ?” พวกชาวยิว อย่างที่เราเรียนรู้ใช่ไหม? พระเจ้าทรงเลือกชาวยิวก่อนชนชาติอื่น ชนชาติยิวก็เลยหยิ่ง ทะนงตนว่าเราเป็นพวกเดียวที่พระเจ้าเลือกเอาไว้ให้ได้รับความรอด
พระเยซูบอก … “เปล่าเลย เลือกท่านก่อน แล้วก็จะไปเลือกที่ไม่ใช่ยิวทีหลัง”
ก็คือเลือกมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้นั่นเอง เราไม่ได้ดีกว่าคนอื่นเลย ในนี้จึงบอกว่า “เปล่าเลย เราชี้ให้เห็นแล้วว่า …” นี่เปาโลบอกนะ “ทั้งคนยิวและคนต่างชาติ ล้วนอยู่ภายใต้บาป เหมือนกันหมด” เห็นไหมครับ มีเชื้อบาปอยู่ในวิญญาณเหมือนกันหมด “ตามที่มีเขียนไว้ว่าไม่มีสักคนเป็นคนชอบธรรมเลย ไม่มีแม้สักคนเดียวเลย” พูดง่ายๆ ก่อนพระเยซูคริสต์มาช่วย ไม่มีใครเป็นผู้ชอบธรรมได้เลย ไม่มีใครที่เข้าใจ ไม่มีใครที่แสวงหาพระเจ้า ก็คือไม่มีมนุษย์คนใดเข้าใจ รู้เรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ เกี่ยวกับพระเจ้าเลย ไม่มีใครแสวงหาพระเจ้าจริงๆ จังๆ ทุกคนล้วนหันเหไป หมายถึงวิญญาณของเขา ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้า ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ ลักษณะถึงเป็นเช่นนั้น แล้วก็อธิบายต่อๆ กันมา ผมจะไม่อ่าน ไม่อธิบายเพิ่มนะ อ่านในนี้ ก็รู้อยู่แล้วว่าเปาโลกำลังอธิบายเรื่องเกี่ยวกับความบาปที่อยู่ในมนุษย์
ผมจะมาสรุปตรงข้อที่ 19 เลยว่า “เรารู้อยู่ว่าสิ่งใดๆ ที่บนบัญญัติกล่าวไว้ ล้วนกล่าวแก่ผู้ที่อยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อปิดปากทุกคน ไม่ให้มีข้อแก้ตัว”
เพราะบทบัญญัติเราได้เรียนรู้แล้ว มันถูกเขียนไว้ในหนังสือ เป็นลายลักษณ์อักษร แล้วเขียนไว้ในจิตใต้สำนึกด้วย จิตใต้สำนึกตัวนี้ เป็นตัวฟ้อง ฟ้องว่าเมื่อตะกี้นี้ที่บอก “ไม่มีมนุษย์ผู้ใดเลยที่เป็นผู้ชอบธรรม” ไม่ใช่ “ไม่มีมนุษย์คนใดที่ทำชอบธรรม” เยอะแยะไปหมด คนทำความชอบธรรม แต่นี่กำลังบอกว่า “เป็น” ซึ่งหมายถึงวิญญาณนั่นเอง เป็นคนชอบธรรม ไม่มีใครเลยสักคนหนึ่ง ที่เป็นตรงนี้
เห็นชัดแล้วนะ ว่าพระเยซูกำลังอธิบายให้เห็นถึงความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ว่ามนุษย์ทุกคน สภาพเป็นอย่างไร?
บทบัญญัติ ก็คือกฎแห่งการกระทำ ที่พึ่งพาการกระทำของตนเอง ไม่ว่าดีหรือชั่ว เรียกว่ากฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎหมายทางศีลธรรม ที่จารึกอยู่ในจิตใต้สำนึก จิตใจของมนุษย์ ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือไม่ยิวก็ตาม ไม่ต่างกันเลย เพราะว่าข้างใน วิญญาณนั้นเป็นบาปอยู่ เมื่อเป็นบาปอยู่ ก็ต้องอยู่ใต้กฎของการพึ่งพาตนเอง คือกฎหมายทางศีลธรรม ทุกคนบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นยิวหรือไม่ยิวก็ตาม ไม่ต่างกันเลย คือตัวเองทำดี ก็ได้ดี ทำชั่วก็ได้ชั่ว ถ้าทำดี ได้ดี ก็คือทำดี ก็ได้ไปสวรรค์ ทำชั่ว แค่นิดเดียวที่เราได้เรียนรู้กันมา ก็พินาศโดยพลัน เหมือนกับที่เราคุ้นๆ กัน เหมือนเพลงที่เราร้องกัน
“ถ้าทำดีได้ไปสวรรค์ ทำชั่วแม้นิดเดียว ก็พินาศ โดยพลัน”
เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระเจ้ามองดูอยู่ คือพระเจ้ามองที่ข้างในวิญญาณ มนุษย์มองที่ยอดภูเขา น้ำแข็งบนน้ำ แต่พระเจ้ามองที่ฐานภูเขาน้ำแข็ง มหึมาใต้น้ำ ซึ่งก็เป็นหัวข้อเรื่องของเรา มนุษย์มองที่ยอดภูเขาน้ำแข็งบนน้ำ แต่พระเจ้ามองที่ฐานของภูเขาน้ำแข็งมหึมาใต้น้ำ
มนุษย์มองดูบนน้ำ คือมนุษย์มองที่ความประพฤติภายนอก แต่พระเจ้ามองที่วิญญาณข้างใน
คำประกาศของพระเยซูบนภูเขา เน้นถึงสิ่งเหล่านี้แหละ พยายามชี้ให้เราเห็น “เรา” หมายถึงชาวยิวและเล็งไปถึงมนุษย์คนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยิวด้วย พระเยซูกำลังชี้ให้ชาวยิวและมนุษย์ทั้งปวงได้เห็นถึงฐานภูเขาน้ำแข็งมหึมาใต้น้ำ ก็คือโลกวิญญาณ ที่มนุษย์มองไม่เห็น มนุษย์เห็นแต่ภายนอก ในโลกวิญญาณที่เกี่ยวกับทางแห่งความรอด จากการถูกพิพากษาลงโทษ เนื่องจากบาปในวิญญาณ ไม่ใช่บาปที่กระทำที่เราเห็นๆ ภายนอก เนื่องจากบาปในวิญญาณ ซึ่งในวิญญาณนี้ ก็คือตัวตนจริงๆ ของมนุษย์ ที่ต้องเข้าสู่การพิพากษาว่าจะได้เข้าในสวรรค์กับพระเจ้าได้หรือไม่หลังความตายนั่นเอง นี่คือความเป็นจริง ที่อยู่ใต้มหาสมุทร ที่มนุษย์มองไม่เห็น ทางแห่งความรอดนี้ ก็คือผ่านทางความเชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทุกคน ซึ่งเป็นกฎเหมือนกัน เป็นกฎทางวิญญาณ เรียกว่ากฎแห่งพระคุณ หรือกฎแห่งวิญญาณในพระคริสต์ คือพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่พึ่งพาการกระทำดีของตนเลย แม้แต่นิดเดียว ก็คือไม่พึ่งพาการกระทำดีตามบทบัญญัติ ตามกฎหมาย ศีลธรรม ตามอะไรต่างๆ ที่มนุษย์มองเห็นบนโลกใบนี้ ไม่พึ่งเลย แต่มาพึ่งกฎของวิญญาณในพระเยซูคริสต์ ที่บอกว่าวางใจในพระเยซูคริสต์ แล้วก็รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตายนั่นเอง ซึ่งกฎนี้ พระคัมภีร์เรียกว่ากฎแห่งพระคุณ
ส่วนบนโลกใบนี้ที่เราจับต้องมองเห็นได้ มันอยู่ใต้กฎ ที่เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย บนโลกใบนี้ที่เรามองไม่เห็น มีกฎหนึ่งอยู่ ใช้อยู่บนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคนเกิดมา ก็อยู่ใต้กฎนี้ เขาเรียกว่าใต้กฎของความบาปและความตาย คือพึ่งพาในการกระทำดีของตนเอง เป็นกฎแห่งกรรม ตามที่เราได้เรียนรู้กันมา คือกฎแห่งศีลธรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งส่วนใหญ่เราก็เห็นกัน และรู้กันอยู่แล้ว เพราะว่ามันอยู่ข้างบน อยู่บนน้ำ เป็นยอดของภูเขาน้ำแข็ง ที่มนุษย์ทุกคนเห็นอยู่ ประพฤติอย่างไร? ควรจะได้อะไรต่างๆ อย่างนี้ มันเห็นใช่ไหม? ไปตีหัวชาวบ้านเขา มันควรได้รับอะไรกลับมา มันเป็นของที่เราเห็นชัดๆ อยู่แล้ว ก็คือพยายามปฏิบัติดี ก็เก็บเกี่ยวผลดีในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างมีความสุข มีสันติสุข ทุกข์น้อยลง ไม่ใช่หมดทุกข์นะ ไม่หมดอยู่แล้ว แต่มันทุกข์น้อยลง ถ้าเราเชื่อฟัง เราไม่ละเมิดศีล ไม่ไปทำร้ายคนเขา เราก็มีความทุกข์น้อยลง อะไรประมาณนั้น
ถ้าทำตรงกันข้ามกับกฎก็มีทุกข์มากขึ้น อันนี้มันเห็นชัด นี่คือบนน้ำ เพราะฉะนั้น ใครที่พยายามบังคับ ควบคุมตนเองได้มากในกฎแห่งกรรมนี้ ก็จะมีความสุข มีสันติสุขมากบนโลกใบนี้ …
ยกตัวอย่าง ง่ายๆ ชัดๆ นี่คือกฎนะ เช่น เรารู้ว่าอาหารเหล่านี้ทำลายสุขภาพ เช่น เหล้า ยาเสพติด น้ำตาล อาหารที่เป็นพิษต่อร่างกายต่างๆ เยอะแยะมากมาย ซึ่งเรารู้แล้ว แต่เราก็ยังคงปล่อยตัว ไม่ยอมพยายามลด ละ เพราะเราทำไม่ได้ ใช่ไหม? แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ เราก็จะเก็บเกี่ยวผลของการกระทำนั้น ผลมัน ก็คือสุขภาพย่ำแย่ โรคภัยไข้เจ็บตามมา เพิ่มความทุกข์ยากลำบาก ให้กับร่างกายนี้ ใช่หรือไม่? นี่เห็นไหม? กฎมันมีบอกอยู่
เพราะฉะนั้น ทั้ง 2 กฎ ก็คือกฎของโลกวิญญาณ และกฎของโลกวัตถุ สิ่งที่เราเห็นได้ตรงนี้ มันสำคัญทั้ง 2 กฎเลย กฎที่อยู่บนยอดภูเขาน้ำแข็ง บนน้ำ ก็สำคัญ กฎอีกกฎหนึ่ง สำคัญกว่า ก็คือกฎที่มองไม่เห็น ที่อยู่ใต้น้ำ ที่พระเจ้าให้ความสำคัญมาก แต่อย่างที่ตะกี้นี้บอก มันสำคัญทั้งสองกฎ แต่โลกวิญญาณนั้น สำคัญมากกว่า เพราะโลกวิญญาณนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลง อยู่นิรันดร์เลย ในขณะที่โลกวัตถุนั้น ตั้งอยู่เพียงชั่วคราว แป๊บเดียวเท่านั้น มีวันสูญสิ้นไป ที่เรียกว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แต่โลกวิญญาณ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ตั้งอยู่นิรันดร์ อะไรสำคัญกว่าเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นี่คือบนยอดภูเขาน้ำแข็ง ที่เรามองเห็นบนโลกใบนี้ กฎบนโลกใบนี้นั่นเอง
คราวนี้ กฎของวิญญาณ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็อยู่ไปนิรันดร์ จะเห็นภาพชัดเจนว่าอะไรมันสำคัญกว่า ดังนั้น การรักษา เชื่อฟังต่อกฎ ไม่ว่าจะเป็นกฎบัญญัติ กฎหมายบ้านเมือง กฎศีลธรรม กฎแห่งการทำดี ทำชั่ว การเคารพยำเกรงต่อกฎเหล่านี้ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้สอดคล้อง เชื่อฟังต่อกฎเหล่านี้ ก็เป็นประโยชน์อย่างมากมายในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างสงบสุข เป็นสิ่งที่ดี ที่จะส่งผลให้มีความทุกข์น้อยลงในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ใช่หรือไม่?
นี่คือสิ่งที่พระเยซูพยายามจะชี้ให้เราเห็น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่มีผลใดๆ กับทางโลกวิญญาณเลย ถูกไหม? ที่จะเก็บเกี่ยวทางวิญญาณ ผ่านทางความตาย จากโลกนี้แล้ว หลังจากวิญญาณออกจากร่างเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ มันคนละกฎกันแล้ว พอเห็นภาพไหมครับ? หลังจากความตายในโลกวิญญาณนั้น มันลงไปอยู่ที่กฎที่อยู่ใต้น้ำ ก็คือกฎของวิญญาณ พระเยซูจึงเตือนเรา และอยากให้เรา ได้รู้ความจริงเหล่านี้ นี่คือพื้นเพลึกๆ เป้าหมายของพระเยซู ที่ประกาศคำเทศนาบนภูเขานี่แหละ ที่เรากำลังเรียนรู้ นี่คือเบื้องหลัง พระองค์จึงอยากจะเตือนให้เราให้ความสำคัญกับโลกวิญญาณมากกว่า จึงชี้ให้เราเห็นโลกวิญญาณมากกว่า พวกฟาริสีก็พยายามมองไปที่ความประพฤติข้างนอก มองไปแค่นั้น พระเยซูก็พยายามดึงเข้ามาอยู่ที่โลกวิญญาณให้เขาเห็น โดยเฉพาะพระองค์บอกว่าจงแสวงหาความชอบธรรม ทางฝ่ายวิญญาณเสียก่อน เพื่อจะได้เข้าสวรรค์โดยความเชื่อ ผ่านทางพระองค์เท่านั้น ให้แสวงหาความรอด ก็คือความเชื่อในพระองค์ วางใจในพระองค์ แล้วจะได้ความชอบธรรมของพระเจ้าเข้ามา ไม่ใช่ความชอบธรรม ที่ทำได้ด้วยตนเอง แต่ให้เชื่อและวางใจในพระองค์นั่นเอง พระองค์จึงบอกว่าจงแสวงหาความรอดทางวิญญาณ คือความชอบธรรมที่เข้าสวรรค์ โดยความเชื่อ ผ่านทางพระองค์เท่านั้นเสียก่อน ก่อนที่จะไปสนใจให้ความสำคัญกับกฎ ที่อยู่บนโลกใบนี้ กฎทางด้านศีลธรรม บทบัญญัติต่างๆ เหล่านั้น ไม่ใช่ไม่ให้ความสำคัญ ให้ความสำคัญ แต่เอาวิญญาณก่อน เพราะถ้าวิญญาณไม่ดี ความประพฤติ ก็ช่วยอะไรไม่ได้ แล้วก็ไม่ดีด้วยซ้ำไป แต่ถ้าวิญญาณดี ความประพฤติก็จะดีขึ้น และก็จะให้ความสำคัญกับความประพฤติด้วย เพราะว่าวิญญาณข้างในดีแล้วนั่นเอง
ปัญหามันอยู่ที่ไหน? ปัญหาของมนุษย์จึงอยู่ที่มนุษย์ไม่รู้ความจริงเหล่านี้นั่นเอง มองแต่ยอดภูเขาน้ำแข็งข้างบนที่เห็นอยู่ แล้วก็ตัดสินกันใหญ่เลย
“ของคนนี้สวย ของคนนี้เยี่ยมเลย ของคนนี้ยอดนิ้งเลย ของคนนี้ไม่ไหว ภูเขาน้ำแข็งจะละลายแล้ว คนนี้หักๆ แต่คนนี้สวยมากเลย เรามองดูที่ความประพฤติ การรักษาบทบัญญัติ การรักษาความดีงาม ซึ่งมันดีไหม? เราคุยกันมาแล้วว่ามันดีใช่ไหม? พระเยซูก็บอกว่าดี แต่มันไม่สำคัญมากไปกว่าข้างใต้น้ำ ที่เป็นตัวรากของภูเขาน้ำแข็ง เบ้อเริ่มเทิ่มใหญ่โต ที่สามารถทำให้เรืออับปางได้ ภูเขาน้ำแข็งบนยอดนั้น มันไม่ทำให้เรืออับปางหรอก แต่ที่มันอับปาง เพราะว่าภูเขาน้ำแข็ง ที่อยู่ข้างใต้ มันแข็งแกร่ง เรือชน พังเลย ข้างบนชนไป มันก็หัก ยอดภูเขาน้ำแข็งบนน้ำ ชนไปก็หัก หมายถึงว่ายอดภูเขานั้นมันหัก แต่ทำให้เรือจม เพราะข้างล่าง มันคือฐานที่แข็งแกร่ง ที่ทำให้ชีวิตล่มจมได้
ปัญหาที่มนุษย์ไม่รู้ความจริงเหล่านี้ว่ามันมี 2 กฎ คือกฎของโลกวิญญาณ และกฎของโลกวัตถุ บนโลกใบนี้ จึงหวังผลสลับกันไปมา มั่วกันไปหมด มั่วอย่างไร? เช่น กระทำดีตามกฎหมายศีลธรรม บทบัญญัติ รักษาศีลธรรมบัญญัติอย่างดี อันดีงาม แต่ก็ไปหวังผล คือหวังว่ามันจะช่วยให้ได้รับความรอด ในโลกวิญญาณด้วย ซึ่งมันเป็นไปได้ไหม? เป็นไปไม่ได้ เห็นหรือยัง? รักษากฎหนึ่ง แต่จะมารับผลจากอีกกฎหนึ่งไม่ได้ รักษากฎบัญญัติ ทางด้านศีลธรรม กฎแห่งกรรมบนโลกใบนี้ แล้วจะมาหวังว่าจะได้เข้าสวรรค์ คือกฎของวิญญาณ หลังความตาย เป็นไปได้ไหม? เราทราบแล้ว เป็นไปไม่ได้ พระเยซูกำลังมาชี้ตรงนี้ ให้ฟาริสีได้เห็น
นี่คำประกาศของพระเยซูทำให้เห็นตรงนี้ เพื่อท่านจะรู้แบล็คกราว์นเหล่านี้ก่อน แล้วท่านก็ค่อยๆ เรียนรู้ ไปอ่านข้อต่อๆ ไปของคำเทศนาบนภูเขาของพระเยซู เราจะได้เข้าใจไง นี่คือความไม่รู้ ความจริงของมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งมีปัญหา หรือบางพวกที่ไม่รู้ความจริงเหล่านี้ ก็มีเหมือนกัน แต่อันนี้พวกหลังพวกน้อยหน่อย หมายถึงเกิดโทษน้อยหน่อย คือไม่รู้ความจริงว่าเมื่อเขาทำตามกฎวิญญาณ ตามที่พระเยซูแนะนำแล้ว เขารอดในวิญญาณแล้ว โดยการเชื่อวางใจในพระเยซูแล้ว นึกภาพนะ เชื่อและวางใจในพระเยซู เชื่อในโลกวิญญาณ เขาได้รับอะไร? เขาได้รับผลทางโลกวิญญาณแล้ว คือได้รับความรอดจากการพิพากษาลงโทษ หลังความตายแล้ว ใช่หรือไม่? ใช่ แต่เขาหวังผลที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ด้วย
หวังผลที่จะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ คืออะไร? เช่น เชื่อพระเจ้าแล้ว หวังว่าจะเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวย แข็งแรง ปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เพราะโลกนี้มันถูกปกคลุมไปด้วยคำสาปแช่ง ความทุกข์ยากลำบาก เนื่องจากบาป จนกว่ามันจะสูญสิ้นโลกใบนี้นั่นเอง มันเป็นไปไม่ได้ แต่เขาไปหวัง มันก็เลย ทุกข์มากขึ้น
ใครก็ตามที่อยู่บนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อก็ตาม ไม่ว่าจะเชื่อในพระเยซูหรือไม่เชื่อก็ตาม ก็ได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด จากคำสาปแช่งบนโลกใบนี้ จากบาปนั่นแหละ เหมือนแดดส่องมาบนโลก โดนทุกคนไหม? สาดส่องออกไป คนนี้เชื่อพระเจ้าไม่ต้องไปส่องเขา ส่องหมดแหละครับ เพียงแต่ผู้ที่เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ก็จะมีพระเจ้าสถิตอยู่ภายใน คอยนำพาเขาในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความบาปและคำสาปแช่ง ได้เปรียบกว่า คือมีผู้นำทางอยู่ข้างใน
พระคัมภีร์บอกว่า … “พระองค์ทรงจูงมือข้าพเจ้าเดินทางในความชอบธรรม พระองค์พาเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช”
พาเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราช ก็คือผ่านความมืดของโลกใบนี้นั่นเอง พระองค์สถิตอยู่ในนั้น นี่ได้เปรียบ
แล้วพระเจ้าเป็นใคร? พระเจ้าทรงเป็นผู้พิพากษา และเป็นผู้ดูแลกฎทั้งสองกฎนี้ทั้งหมด เรารู้ว่ามี 2 กฎนี้แล้ว พระเยซูกำลังมาชี้ให้เราเห็นถึงกฎวิญญาณนี้ แล้วกำลังมาบอกว่าพระเจ้าเป็นผู้พิพากษา ดูแลกฎเหล่านี้ทั้งหมด ทั้งสองกฎ ดังนั้น ใครก็ตามที่เคารพยำเกรงต่อพระเจ้า คือเชื่อฟังพระองค์ พยายามรักษากฎบัญญัติ กฎศีลธรรม และรักษากฎทางฝ่ายวิญญาณด้วย ทั้งสองอย่างเลย คือเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ และให้ความสำคัญ ทำตามทั้งสองกฎ ก็จะได้เก็บเกี่ยวผลดี เขาเรียกว่าพระพรทั้งสองกฎอย่างครบถ้วนบริบูรณ์เลย เอาหรือไม่เอา คือพระพรฝ่ายวิญญาณ นานับประการในพระคริสต์ได้ไหม? ได้ เพราะเชื่อในพระเยซูแล้ว วางใจในพระเยซูแล้ว และรวมทั้งพรบนโลกใบนี้ เพราะว่ารักษากฎของศีลธรรม กฎบัญญัติที่ระบุว่าอะไรดี อะไรชั่วและรักษาให้ดีที่สุด ก็จะมีความสุข ความสงบในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ด้วย พร้อมกับความสบายใจ หายเหนื่อยและเป็นสุข ในการที่จะได้อยู่ในสวรรค์ พ้นจากการพิพากษาลงโทษหลังความตายด้วยเช่นเดียวกัน
เห็นไหม นี่คือเป้าหมายของพระเยซูที่ต้องการมาเน้นให้เราเห็นถึงความรอดทางฝ่ายวิญญาณ สำคัญมากกว่าการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ การประพฤติต่างๆ ก็ยังสำคัญอยู่ แต่มันน้อยกว่า
และการประพฤติอย่างนี้ มันคือการเคารพ ยำเกรงที่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า … “จงเคารพ ยำเกรงพระเจ้าจนตัวสั่น มันแปลว่าอย่างนี้”
พระเจ้าโหดร้ายหรือ? ไม่ใช่ พระเจ้าเป็นพระบิดาของเรา เป็นพ่อของเรา คำว่า “จงเคารพ ยำเกรงจนตัวสั่น” หมายถึงเคารพยำเกรงพระเจ้า ผู้เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล กฎต้องเป็นกฎ มันต้องเป็นอย่างนี้ มันต้องโดนแน่ เคารพ ยำเกรงในกฎหมาย คือเห็นกฎหมายแล้ว ไม่กล้าทำ เพราะทำไป โดนแน่นอน รับโทษแน่นอน ไม่เชื่อ ไม่วางใจในพระเยซูคริสต์ ถูกพิพากษาลงโทษหลังความตายแน่นอน เชื่อพระเจ้าแล้ว วางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่ถูกพิพากษาแล้ว ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ มีความโลภ มีความโกรธ ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ บังคับตัวเองไม่ได้ กินไม่เลือก ได้รับผลจากการกระทำนั้นแน่นอน นี่คือการเคารพ ยำเกรงพระเจ้าจนตัวสั่น ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์
บันทึกเอาไว้ว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย เป็นพระเจ้าผู้ทรงยุติธรรม ไม่ลำเอียง มันแปลว่าอย่างนี้ เป็นผู้พิพากษาของทุกสิ่ง ให้เป็นไปตามกฎระเบียบ ตามถ้อยคำของพระองค์ ที่ได้ให้ไว้เรียบร้อยแล้ว ในมหาจักรวาลนี้ รับรู้กันหมดว่ามีกฎอย่างนี้อยู่ สรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งหมด แม้ว่าดวงจันทร์ ดวงดาว ทุกอย่าง ทั้งทูตสวรรค์ ทั้งอะไรต่างๆ และมนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้กฎเหล่านี้ทั้งสิ้น และพระองค์เป็นผู้ดูแลทั้งหมด ทั้งกฎทางโลกวิญญาณ และกฎทางโลกวัตถุ พระองค์ทรงดูแลทุกอย่างให้เป็นไปตามนั้นเด็ดขาด แล้วถ้าท่านทำตาม ท่านได้แน่นอน 100% เอเมนไหม? เอเมน
นี่คือเบื้องหลัง เป้าหมายของพระเยซูที่กำลังประกาศบนภูเขา ให้กับชาวยิวได้ฟังก่อน ซึ่งเล็งไปถึงชาวที่ไม่ใช่ยิวทีหลังด้วย
วันนี้มาต่อ ครั้งที่แล้ว เราทิ้งท้ายไว้ที่คำพูดของพระเยซู จำได้ใช่ไหม? ที่ทำให้สาวกตะลึง งงเต้ก อยู่ในมัทธิว 5:20 ทวนสักนิดหนึ่ง …
มัทธิว 5:20 “เพราะเราบอกพวกท่านว่าถ้าความชอบธรรมของท่าน ไม่มากกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี พวกท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์”
สาวกได้ฟังแล้วเป็นไง? ตะลึง … “ถ้าเช่นนี้แล้ว ใครกันเล่าจะสามารถเข้าแผ่นดินสวรรค์ได้” เขาก็คิดกันสาวก ตะลึง “ใครกันเล่าจะมีความชอบธรรมมากกว่าฟาริสี หรือธรรมาจารย์เหล่านี้” ซึ่งอย่าลืมว่าพระเยซูกำลังพูดกับชาวยิว บนพื้นฐานของวัฒนธรรม ศาสนายิว ซึ่งสำหรับชาวยิวแล้ว เขารู้ดีว่าพวกฟาริสีและธรรมาจารย์ คือใคร? ตรงนี้ก็สามารถ ที่จะมายืนยันกับเราได้อีกครั้งหนึ่งว่าพระเยซูกำลังพูดกับชนชาติยิวโดยเฉพาะ เพราะว่าพวกต่างชาติไม่รู้จักหรอก ฟาริสีคือใคร? ธรรมาจารย์คือใคร? เพราะฉะนั้น กำลังพูดกับชาวยิว คนยิวจะรู้ดีว่าฟาริสีและธรรมาจารย์ คือกลุ่มบุคคลที่รักษาบทบัญญัติได้มากถึงมากที่สุด เคร่งศาสนามาก ชอบธรรมที่สุดแล้ว ไม่ใช่เป็นผู้ชอบธรรมนะ ประพฤติชอบธรรมมากที่สุดแล้ว ซึ่งชาวยิวรู้ดี แล้วพระเยซูบอกว่าต้องทำได้มากกว่านี้ เป็นท่าน ท่านจะคิดอย่างไร?
“หา! นี่ก็ทำไม่ไหวอยู่แล้ว ยังจะให้ทำมากกว่านี้อีกหรือ? แค่ทำเท่ากับฟาริสีและธรรมาจารย์ ฉันก็ไม่ไหวแล้ว รักษาศีลถึง 613 ข้อ วันๆ หนึ่งไม่ต้องทำอะไรเลย ดูแต่บทบัญญัติ แล้วก็ทำตามๆ แทบจะไม่ได้ไปไหนเลย ก็ยังทำผิดพลาดอยู่”
แล้วพระเยซูบอกว่า “พวกท่านจะเข้าสวรรค์ได้ พวกท่านต้องทำมากกว่านี้ ถึงจะเป็นผู้ชอบธรมได้”
มันไม่มีทางเป็นไปได้เลย เพราะฉะนั้น สาวกทั้งหลายก็เลยตะลึง
วันนี้มาต่อกันที่มัทธิว 5:21-48 แต่ไม่ต้องตกใจ ถึงวันนี้ไม่ถึง ก็มาต่อวันอื่น ผมอยากให้บริบทนี้อ่านจากข้างหลังก่อน คือจากข้อ 48 ก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยมาเริ่มต้นข้อ 21 ทีหลัง จะได้เห็นภาพชัดเจน เพราะพระองค์สรุปจบในข้อ 48 ในบริบทนี้ …
มัทธิว 5:48 “เหตุฉะนั้น จงบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระบิดาของท่านในสวรรค์ ทรงบริสุทธิ์ดีพร้อม”
ในข้อ 20 ที่ตะกี้เราได้อ่านกันบอกว่าการจะเข้าสู่แผ่นดินสวรรค์ได้นั้น ความชอบธรรมของท่านต้องมีมากกว่าฟาริสีและธรรมาจารย์ ความหมาย คือท่านต้องทำได้มากกว่าฟาริสีและธรรมาจารย์ ความหมาย ก็คือข้อ 48 นี่แหละ คือท่านต้องบริสุทธิ์ และดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ท่านต้องมีความชอบธรรม เป็นผู้ชอบธรรม รักษาความชอบธรรม มากกว่าพวกฟาริสีและธรรมาจารย์ มากกว่าถึงขนาดไหน? พระองค์ก็แจงตั้งแต่ข้อ 21 เป็นต้นไป จนกระทั่งจบบริบท 48 สรุปว่าทำได้มากกว่า ท่านต้องบริสุทธิ์และดีพร้อม เหมือนพระเจ้า เห็นภาพแล้วนะ
เพราะฉะนั้น ตั้งแต่ข้อ 21 เป็นต้นมาถึงข้อ 47 จะเป็นรายละเอียดพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ สรุป พอให้เห็นว่าท่านต้องดีพร้อมเหมือนพระเจ้า จึงจะเป็นผู้ชอบธรรมได้ ซึ่งเราก็รู้อยู่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้เลย ถ้าจะทำด้วยตนเองนั่นเอง
ในข้อ 21-47 พระเยซูได้ขยายความให้เราได้เห็นคำว่า “บริสุทธิ์และดีพร้อมเหมือนพระเจ้า” นั้นมันเป็นอย่างไร? นี่เราลงรายละเอียดแล้ว เห็นไหม? เราเริ่มอ่านจากบทสรุปสุดท้าย แล้วค่อยมาอ่านตอนต้น เราได้เปรียบ เราเข้าใจแล้วว่าพระองค์กำลังพูดพุ่งไปที่เป้าหมาย?
เป้าอยู่ที่ตรง “บริสุทธิ์และดีพร้อมเหมือนพระเจ้า” เริ่มต้นที่มัทธิว 5:21-22 …
มัทธิว 5:21-22 “21 ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้แก่คนโบราณว่า ‘อย่าฆ่าคน และถ้าผู้ใดฆ่าคนจะถูกตัดสินลงโทษ’ 22 แต่เราบอกท่านว่าถ้าผู้ใดโกรธเคืองพี่น้องของตน จะถูกตัดสินลงโทษ ถ้าผู้ใดพูดดูหมิ่นพี่น้องของตน จะต้องถูกนำตัวขึ้นศาลแซนเฮดริน และถ้าผู้ใดพูดว่า ‘ไอ้โง่’ อาจจะต้องโทษถึงไฟนรก”
“อย่าฆ่าคน” ความหมายคืออย่าเป็นฆาตกร เป็นหนึ่งในบัญญัติ 10 ประการของชาวยิว ที่พระเจ้าได้บัญญัติขึ้นมา ให้มนุษย์เขียนขึ้นมา เป็นตัวอย่าง จริงๆ มันมีมากกว่านั้น เขียนมาจากบันทึกที่จารึกอยู่ในจิตใต้สำนึกของมนุษย์ทุกคนตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว ตั้งแต่ยังไม่ได้เขียนบทบัญญัติออกมาเป็นตัวหนังสือ ตั้งแต่อยู่ในแผ่นหินหรืออยู่ในหนังสัตว์ ก่อนหน้านั้น มันอยู่ในใจ ตอนนี้เอาตัวอย่างออกมา แค่นั้น เริ่มต้นจากบัญญัติ 10 ประการก่อน
จากบัญญัติ 10 ประการเสร็จปุ๊บ เคยได้ยินคนเขาพูดกันไหม? … “กฎมีไว้ทำลาย” สมัยปัจจุบันนี้ กฎมีไว้ทำอะไร? ทุกคนตอบ “กฎมีไว้แหก” พูดแรงกว่าผมอีก ผมกำลังจะพูดว่า “กฎมีไว้สำหรับละเมิด” มันใช่ มันชัด กฎมีไว้สำหรับละเมิด มีกฎ ยิ่งอยากจะทำ
เริ่มต้น พระองค์ทรงเขียนออกมา 10 ข้อ เพื่อให้เห็นว่าท่านเป็นคนบาป เขียนบทบัญญัตินี้ออกมาจากใจของท่านว่าท่านเป็นคนบาป เพื่อจะได้มีหลักฐานชัดๆ ว่าเห็นไหม? เขียนไว้แล้วเนี้ย ทุกคนเห็นหมด 10 ประการ ปรากฏว่าเอา 10 ประการนี้ไปละเมิด ไปแหกกฎ แล้วก็มาเถียงกัน อย่างนี้ไม่ถือว่าผิด ไม่มีเจตนา ฉันไม่ตั้งใจ พระเจ้าทรงปวดหัว ก็เลยให้โมเสสเขียนรายละเอียดขึ้นมา ฆ่าคนเป็นอย่างนี้ๆ พอมองภาพออกไหม? เหตุจากความบาปความชั่วที่มันอยู่ในวิญญาณ มันจะทำชั่วอย่างเดียว ซึ่งเป็นบทบัญญัติที่พระเจ้าใส่ไว้ในใจของมนุษย์ว่าการกระทำอย่างนี้ มันเรียกว่าบาป เรียกว่าชั่ว บทบัญญัติมีไว้ เพื่อชี้ให้มนุษย์เห็นว่าเขาเป็นคนบาป
บทบัญญัติ มีไว้เหมือนกระจกเงา เพื่อส่องหน้า ดูสิว ดูอะไรเลอะเทอะบนใบหน้าเท่านั้น แต่ใต้ผิวหน้า มันยังมีความสกปรกเลอะเทอะอยู่อีกเยอะ
อย่าฆ่าคน พระเยซูบอกว่าท่านมองดูแต่ภายนอก ความประพฤติ ไม่ได้ฆ่าคนแล้วนิ ท่านไม่ได้ฆ่าคนแล้วก็จริง แต่วิญญาณของท่านข้างใน มันไม่บริสุทธิ์ ไม่ดีพร้อม เมื่อไม่บริสุทธิ์ ไม่ดีพร้อม ท่านก็มีวิญญาณที่เป็นตัวบาปอยู่ ซึ่งท่านก็จะแสดงออก โดยการโกรธเคืองพี่น้องของตน ดูหมิ่นพี่น้องของตน ใช่ไหม? เพราะพระเยซูกำลังบอกว่าไม่ใช่แค่ไม่ฆ่าคน การไม่ฆ่าคน ยังไม่นับว่าบริสุทธิ์ ดีพร้อมในเรื่องนี้ ถ้าจะให้นับว่าบริสุทธิ์ดีพร้อม ก็ต้องไม่ฆ่าคนและต้องไม่โกรธคนด้วย เพราะโกรธคน ก็มาจากที่เดียวกัน ไม่โกรธคนไม่พอ ต้องไม่มีการพูดจาดูหมิ่นพี่น้องอีก ดูหมิ่นพี่น้อง ก็คือมาจากวิญญาณที่บาปอยู่เหมือนกัน พอมองเห็นไหม? และแค่นั้นไม่พอ ท่านต้องไม่พูดออกจากปากท่านดูแคลน ยกตนข่มท่านว่าคนอื่นว่าไอ้โง่ … ไอ้โง่ตัวนี้ ไม่ใช่ไอ้โง่เฉยๆ นะ แกนี่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย แค่นี้ คือยกตนข่มท่าน ยกว่าเราดีกว่าเขา ซึ่งมันมาจากความบาปที่อยู่ข้างในนั่นเอง
ในนี้บอกว่า “ถ้าท่านบอกว่าไอ้โง่” หรือยกตนข่มท่านว่า “ทำอะไรไม่รู้เรื่องเลย ทำผิดอยู่นั่นแหละ” แค่นี้เองนะ ไม่ให้โอกาสเขาเลย โทษมันคืออะไร? เราอ่านเมื่อสักครู่ และถ้าพูดว่า “ไอ้โง่” ดูหมิ่นคนอื่น จะต้องโทษถึงลงนรก มันแปลว่าอย่างนี้ ก็คือมันมาจากบาป เพราะฉะนั้น การดูหมิ่นคนอื่น การว่าคนอื่นว่าไอ้โง่ มีค่าเท่ากับการฆ่าคนตาย
โอ๊ย! ไม่ยุติธรรมเลยนะ มนุษย์ที่ดูแต่ภายนอก ดูแต่ยอดภูเขาน้ำแข็งข้างบนน้ำ ก็จะตอบว่ามันไม่ยุติธรรมเลย นี่คือส่วนหนึ่งของกฎบัญญัติ ที่พระเจ้าให้เขียนออกมา ซึ่งมันจารึกอยู่ในจิตวิญญาณของมนุษย์ทุกคน เนื่องจากบาป มันเป็นความจริงของมนุษย์ทุกคนว่าวิญญาณของเขาอยู่ในความบาป เมื่อข้างในวิญญาณเป็นบาป ไม่บริสุทธิ์ ไม่ดีพร้อม ก็จะมีแต่ผลบาปออกมาเท่านั้น ผลจากข้างนอก มันเล็งไปเห็นถึงข้างใน พระเยซูจึงบอกว่าต้นไม้ดี ก็ให้ผลดี ต้นไม้เลว ก็ให้ผลเลว ต้นไม้ คือวิญญาณ วิญญาณดี ก็ให้ผลดี วิญญาณเลว ก็ให้ผลเลว พระเยซูกำลังพูดอะไร? ไม่ใช่วิญญาณดี แล้วไปทำดี ไม่ใช่นะ อันนั้นมันกฎคนละกฎกัน
ต้นไม้ดี คือวิญญาณดี ให้ผลดี ก็คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ต้นไม้ไม่ดี คือต้นไม้บาป ก็จะไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ การเชื่อในพระเยซูคริสต์ทำให้วิญญาณเปลี่ยนจากต้นไม้เลว เป็นต้นไม้ดี พอเข้าใจใช่ไหม? พระเยซูกำลังมาประกาศว่าทั้งหมด มันขึ้นอยู่ที่วิญญาณ เป็นวิญญาณบาปหรือไม่บาป ถ้าวิญญาณบาป ข้างนอกออกมา สกปรกทั้งนั้น ไม่ว่าจะฆ่าคนตายหรือไม่มีความรัก ดูหมิ่น เห็นหรือยัง! เหมือนกันหมด ไม่ได้อยู่ที่ความประพฤติภายนอกว่าไปฆ่าคนตาย หรือแค่ไปดูหมิ่นพี่น้อง นั่นมันยอดภูเขาน้ำแข็ง ข้างบนที่มนุษย์เห็นอยู่ แล้วก็มาวัดกัน มาเทียบกันว่า …
“นี่เขาแค่โกรธเคืองพี่น้องเท่านั้นเอง หงุดหงิดพี่น้องเท่านั้นเอง ไม่ได้มีอะไรมากหรอก เพราะเขาดูแต่ยอดภูเขาน้ำแข็งบนน้ำ คนนี้สิทำมากกว่า เป็นถึงฆ่าเขาตาย”
แต่พระเยซูกำลังบอกว่า … “ทั้งสองอันนี้มาจากความบาป คือภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำมหึมา คือมาทำลายชีวิตได้”
จำพระเยซูพูดตรงนี้ได้ไหม? บอกฟาริสี บอกว่า … “ท่านเปรียบเหมือน โลงศพ ฉาบปูนขาว”
ข้างในวิญญาณท่านสกปรก แต่ท่านฉาบปูนขาว คือข้างนอกเหมือนรักษาบทบัญญัติ รักษาศีล รักษากฎแห่งกรรม ทำดีเยอะแยะมากมาย แต่ข้างในใจท่าน ท่านไม่รู้ว่าเต็มไปด้วยความสกปรก ความบาปนั่นเอง มันหมายถึงอย่างนี้
เอาอีกสักข้อหนึ่งแล้วกัน มัทธิว 5:23-26 …
มัทธิว 5:23-26 “23 ดังนั้น ถ้าท่านกำลังถวายเครื่องบูชาที่แท่นบูชา และนึกขึ้นได้ว่าพี่น้องมีเหตุขุ่นเคืองใดๆ กับท่าน 24 จงละเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่น แล้วไปคืนดีกับพี่น้องก่อน จึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชา 25 จงปรองดองกับคู่ความโดยเร็ว ขณะที่เขากำลังพาท่านไปศาล มิฉะนั้น เขาอาจจะมอบท่าน ให้แก่ผู้พิพากษา (สภาผู้นำศาสนายิว) และผู้พิพากษา จะมอบท่านให้แก่เจ้าหน้าที่ แล้วท่านอาจจะถูกขังในเรือนจำ 26 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าท่านจะออกมาไม่ได้ จนกว่าจะใช้หนี้ครบถ้วน ทุกบาททุกสตางค์”
สรุปให้เห็นเลยว่าภายนอกกระทำตามบทบัญญัติ ถูกไหม? ถวายเครื่องบูชา เพื่อลบบาป นี่คือบทบัญญัติ พระเจ้าเขียนไว้ ไปทำผิดต่อพี่น้อง ต้องถวายเครื่องบูชาลบบาป นี่ทำตามแล้ว แต่ภายในวิญญาณ ภายในใจ ที่เป็นคนบาปอยู่ มันทำไม่ได้ เพราะภูเขาน้ำแข็งเบ้อเริ่มเทิ่มอยู่ข้างล่าง … ภูเขาน้ำแข็ง นั่นคือบาป … บาป คือไม่บริสุทธิ์ ไม่ดีพร้อม เหมือนพระเจ้านั่นเอง มันก็จะมาจบอยู่ที่เรื่องนี้ เดี๋ยวตอนจบ พระองค์ก็จะนำไปเรื่อยๆ เรื่องอื่นๆ เรื่องบัญญัติต่างๆ ที่บันทึกไว้ในบัญญัติของยิว ที่เป็นตัวอย่าง ที่พระเจ้าให้เขียนออกมาจากจิตใจของเขา คือบัญญัติ 10 ประการ
พระองค์ก็ยกบัญญัติ 10 ประการไปทีละข้อ ก็สรุปตรงข้อ 48 ที่ตะกี้เราอ่านก่อน ก็คือท่านทำตามบัญญัติไม่ได้หรอก ท่านต้องเปลี่ยน ก็คือต้องทำลายภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำ ที่ท่านมองไม่เห็น คือ …
– วิญญาณท่านต้องเปลี่ยน จากความบาป เป็นผู้ชอบธรรม
– เปลี่ยนจากความมืด มาเป็นความสว่าง
– เปลี่ยนจากความชั่ว มาเป็นความดี
– เปลี่ยนจากการพึ่งพาตัวเอง มาพึ่งพาพระเจ้า
– เปลี่ยนจากลูกของความบาป มาเป็นลูกของพระเจ้า มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า
ท่านต้องย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในเรา ท่านจึงสามารถสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าได้ ท่านไม่สามารถทำด้วยตัวเองได้หรอก ท่านต้องพึ่งในเรา ซึ่งพระเจ้าได้ส่งมา เราคือพระมาซีฮาห์ เราคือทางนั้น เรามาเริ่มต้นทางใหม่ให้ท่าน ทางเก่ามันไปไม่ได้แล้ว ท่านไปไม่รอดแน่ ไม่มีทางที่จะทำลายภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำนั้น ไม่มีทางทำลายบาปนั้นออกไปได้หรอก ไม่ว่าจะรักษาบทบัญญัติเท่าไรก็ตาม ท่านทำไม่ได้แน่นอน สิ่งเดียวที่ท่านทำ ก็คือท่านต้องกลับใจใหม่ แล้วก็หันมาพึ่งพาในเรา ที่พระเจ้าได้ส่งมา แล้วก็สัญญาให้กับท่านมาตั้งแต่เริ่ม ตั้งนานแล้ว ตั้งหลายพันปี ตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว ตั้งแต่ปฐมกาลแล้วว่าวันหนึ่ง พระเจ้าจะส่งพระบุตรของพระองค์มา เพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง แล้วเรา คือผู้นั้นแหละ เราได้มาแล้ว เราคือพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอดจากบาป ที่พระเจ้าได้สัญญาไว้นั่นเอง ชาวยิวเอ๋ย (เล็งไปถึงชาวที่ไม่ใช่ยิวด้วย) ก็คือมนุษย์ทั้งปวง
นี่คือเป้าหมายในการประกาศบนภูเขาของพระเยซูคริสต์ มิได้มาสอนให้คริสเตียนมาทำอันโน้นทำนี้ นี่เล็งเห็นชัดๆ เลย พูดกับ …
(1) ชาวยิว
(2) ชาวยิวที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียนด้วย
(3) เพื่อว่าเขาจะได้หันหลังกลับมาเชื่อและวางใจในพระองค์ และจะได้บังเกิดใหม่ มาเป็น คริสเตียนซะ … มันเป็นอย่างนี้
แล้วเราค่อยติดตามตอนต่อๆ ไปอีกเยอะ มันจะสนุกมาก เรารู้เบื้องหลังเหล่านี้ แล้วเราจะค่อยๆ ไปทีละข้อสองข้อ เราจะเห็นชัดเจนว่าเป้าหมายของพระเยซู คืออะไร? คือการประกาศ สวรรค์มาถึงแล้ว การเข้าสวรรค์เป็นอย่างไร? ท่านไม่สามารถพึ่งพาการกระทำของตนเอง รักษาบทบัญญัติอะไรต่างๆ ซึ่งมันก็ดีอยู่ แต่มันดีไม่พอหรอก ท่านต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งท่านทำเองไม่ได้ ต้องบังเกิดใหม่ แล้วบังเกิดใหม่ด้วยวิธีใด? คือท่านต้องวางใจในเรา พระบิดาเลยส่งเรามา แล้วเราก็จะกระทำให้สำเร็จ เพื่อวันที่เราได้ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต และฝังไว้ในอุโมงค์ 3 วัน เป็นขึ้นจากความตาย นั่นแหละ คือท่านจะได้บังเกิดใหม่ ซึ่งเราเรียกกันว่าข่าวประเสริฐ พระเจ้าอวยพรครับ
*********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
โรม 5:8-19 TNCV “แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์เองแก่เราทั้งหลาย คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อเรา ในเมื่อบัดนี้เราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมแล้วโดยพระโลหิตของพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้นเราจะรอดพ้นจากพระพิโรธของพระเจ้า โดยพระองค์อย่างแน่นอน!
เพราะถ้าเรายังได้คืนดีกับพระเจ้า โดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรของพระองค์ ในขณะที่เราเป็นศัตรูกับพระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเราได้คืนดีกับพระองค์แล้ว เราก็จะได้รับความรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์อย่างแน่นอน! ไม่เพียงเท่านี้ แต่เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราด้วย บัดนี้ พระองค์ทรงทำให้เราคืนดีกับพระเจ้าแล้ว ฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียวและบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เองความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป เพราะก่อนมีบทบัญญัติบาปก็อยู่ในโลกแล้ว แต่เมื่อยังไม่มีบทบัญญัติก็ไม่ถือว่าบาป อย่างไรก็ตามความตายก็ครอบครองมาตั้งแต่สมัยของอาดัม จนถึงสมัยของโมเสส แม้แต่คนที่ไม่ได้ทำบาป โดยละเมิดพระบัญชาเหมือนอาดัม ผู้เป็นแบบของพระองค์ ซึ่งจะเสด็จมาภายหลัง แต่ของประทานนั้น ต่างจากการล่วงละเมิด
เพราะถ้าคนเป็นอันมากตาย เพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์เพียงคนเดียว ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระคุณของพระเจ้าและของประทาน โดยพระคุณของพระเยซูคริสต์เพียงผู้เดียวนั้น ย่อมล้นไหลไปสู่คนเป็นอันมาก! และของประทานจากพระเจ้าก็ต่างจากผลของบาปของมนุษย์คนเดียว กล่าวคือการพิพากษาเกิดขึ้นหลังจากการทำบาปเพียงครั้งเดียว และนำไปสู่การลงโทษ แต่ของประทานเกิดขึ้นหลังจากการล่วงละเมิดหลายๆ ครั้งและนำไปสู่การนับเป็นผู้ชอบธรรม เพราะถ้าโดยการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว เป็นเหตุให้ความตายได้ครอบครองผ่านทางมนุษย์คนเดียวผู้นั้น ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดบรรดาผู้ที่ได้รับพระคุณ และของประทานแห่งความชอบธรรม ซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้อย่างมากล้นย่อมครอบครองในชีวิตผ่านทางมนุษย์คนเดียว คือพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น การล่วงละเมิดเพียงครั้งเดียว ส่งผลให้คนทั้งปวงถูกลงโทษฉันใด
การกระทำอันชอบธรรมเพียงครั้งเดียว ก็ส่งผลให้คนทั้งปวงถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น ซึ่งการนับเป็นผู้ชอบธรรมนี้ นำชีวิตมาให้คนทั้งปวงเหล่านั้น เพราะการไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ทำให้คนเป็นอันมากเป็นคนบาปฉันใด การเชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ก็ทำให้คนเป็นอันมากเป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น”
พระเจ้าอวยพรครับ