วารสาร Holy News ฉบับที่ 1370

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  มิถุนายน  2022

เรื่อง “จะเข้าอาณาจักรสวรรค์ต้องชังบิดามารดา  ครอบครัวหรือแม้แต่ตนเอง จริงหรือ?”

โดย พาสเตอร์ นคร  เวชสุภาพร

 

หัวข้อการบรรยายในวันนี้ ฟังแล้วน่าตื่นเต้น หรือบางคนฟังดูแล้ว อาจรู้สึกแปลกๆ สำหรับท่านที่ยังไม่คุ้นเคยกับพระคัมภีร์ข้อนี้ ซึ่งชื่อเรื่องของวันนี้ คือ “จะเข้าอาณาจักรสวรรค์ ต้องชังบิดามารดา ครอบครัวหรือแม้แต่ตนเอง จริงหรือ?” ข้อความนี้มาจากพระคัมภีร์หนังสือลูกา 14:26 ลองอ่านกันดูนะ …

ลูกา 14:26  “ถ้าผู้ใดมาหาเรา และไม่ได้ชังบิดามารดา บุตร ภรรยา และพี่น้องชายหญิงของตน หรือแม้แต่ชีวิตของเขาเอง ผู้นั้นก็เป็นสาวกของเราไม่ได้”

 

นี่เป็นคำตรัสของพระเยซูคริสต์เอง ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ พระคัมภีร์ตรงนี้เป็นอีกข้อหนึ่ง  ที่มีการเข้าใจผิดเยอะมาก เพราะบางครั้งก็ไม่รู้ และก็ได้รับการสอนมา ที่ไม่ถูกต้อง ก็เลยจำเอา สิ่งที่ผิดเข้าไป โดยเฉพาะผู้ที่เข้ามาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ มักจะงงกับข้อนี้มาก หรือที่ร้ายกว่านั้น ก็คือคนอื่นๆ ที่อยู่ในความเชื่ออื่นๆ เวลาเขามองมา เขาก็หยิบเอา ถ้อยคำตรงนี้ แล้วก็มากล่าวหา กล่าวเท็จ โจมตีว่าเป็นคริสเตียน สอนให้เกลียดชังพ่อแม่ สอนให้ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ สอนให้ดื้อต่อพ่อแม่ ไม่พอ สอนให้เกลียดครอบครัวอีกต่างหาก หรือแม้กระทั่งเกลียดตัวเองด้วยซ้ำไป อะไรประมาณนั้น

เขาอาจจะพูดกันว่า … “เห็นไหม พระคัมภีร์เขียนไว้ชัดเจนเลยว่าพระเยซูเอง พูดเลยว่าถ้าจะมาหาพระองค์ต้องชัง ต้องเกลียดครอบครัว พ่อแม่ของตนเอง”

เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อใหม่บางคน ที่อาจจะไม่เข้าใจในความหมายแท้จริงของข้อความนี้ ก็งง แล้วทำไม? ก็ไม่อธิบายต่อให้เขาฟังว่ามันหมายความว่าอะไร? ผู้ที่เข้าใจผิด ก็ให้เข้าใจผิดต่อไป อะไรประมาณนี้ อย่างที่ผมพูดเสมอว่าจะแปล หรืออ่านความหมายถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ ต้องดูที่บริบท ซึ่งบางครั้งในข้อพระคัมภีร์ดูเหมือนจะขัดแย้งกัน แต่ถ้าเราดูในบริบท เอาความหมายบริบท รู้ว่าในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม ไม่มีความหมายตรงไหนที่ขัดแย้งกันเองเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าขัดแย้งกันเมื่อไร? แสดงว่าเราผิด พระคัมภีร์เขาถูกแล้ว

ยกตัวอย่างข้อนี้นะ บัญญัติ 10 ประการ ข้อที่ 5 บันทึกไว้อย่างนี้ อพยพ 20:12 …

อพยพ 20:12 “จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า เพื่อเจ้าจะมีชีวิตยืนยาว ในดินแดนที่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของเจ้ากำลังยกให้เจ้า”

 

นี่ก็คือพระเยซูพูด ก็คือพระเจ้าพระบิดา ตอนที่พระเยซูยังไม่ถูกส่งมา พระองค์บอกว่า …

“จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า” … พูดมาหลายพันปีแล้ว นี่คือพระเจ้า

ในหนังสือมาระโก พระเยซูก็ย้ำความสำคัญของบัญญัติข้อนี้อีก คราวนี้พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วพูดเองเลยนะ ว่า …

มาระโก 7:10 “โมเสสกล่าวว่า ‘จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า’ และผู้ใดแช่งด่าบิดามารดาจะต้องมีโทษถึงตาย”

 

“จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า” ถึงขนาดไหน? ถึงขนาด “ผู้ใดแช่งด่าบิดามารดา จะต้องมีโทษถึงตาย” นี่คือพระเจ้า นี่คือพระเยซู … หนังสือทิโมธี  มีบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

1 ทิโมธี 5:7-8  “7 จงสั่งสอนสิ่งเหล่านี้ด้วย เพื่อจะไม่มีใครถูกตำหนิได้ 8 ถ้าผู้ใดไม่จุนเจือญาติพี่น้องของตน โดยเฉพาะคนในครอบครัวของตนเอง ผู้นั้นก็ได้ปฏิเสธความเชื่อแล้ว และเลวยิ่งกว่าผู้ไม่เชื่อ”

 

“ผู้ใดไม่จุนเจือญาติพี่น้องของตน โดยเฉพาะคนในครอบครัวของตนเอง เลวยิ่งกว่าคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าอีก ไม่เชื่อพระเยซูอีก”

จากภาพรวมของถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ จะเห็นได้ชัดเจนว่าไม่มีตรงไหนเลย ที่จะสอนให้เราเกลียดชังพ่อแม่และครอบครัวของเรา

นี่เขาเรียกวิธีการตีความข้อพระคัมภีร์ ต้องเป็นลักษณะอย่างนี้

ถ้าอย่างนั้น ถ้อยคำในลูกาที่เราอ่านไปตอนต้นที่พระเยซูตรัสว่า … “ถ้าผู้ใดมาหาเรา และไม่ได้ชังบิดามารดา บุตร ภรรยา และพี่น้องชายหญิงของตน หรือแม้แต่ชีวิตของตนเอง ผู้นั้นก็ไม่เป็นสาวกของเรา หรือผู้นั้นก็เป็นสาวกของเราไม่ได้”

หมายความว่าอย่างไร? แสดงว่ามีความหมาย วันนี้เราจะมาเรียนรู้กันว่าหมายความว่าอย่างไร? และมันตรงกับบริบท ด้วยวิธีใด และตรงกับถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์ทั้งเล่มอย่างไร?

อย่าลืมนะครับ การจะเข้าใจความหมายของถ้อยคำในพระคัมภีร์นั้น เราต้องเข้าใจถ้อยคำของพระเจ้าในบริบทรวมของเนื้อหา ที่เรากำลังอ่านอยู่ เคยบอกหลายครั้งแล้วนะ อ่านพระคัมภีร์เหมือนกับไปแอบอ่านหนังสือ จดหมายของคนอื่น อ่านอีเมล์ของคนอื่นเขา ไปเปิดอีเมล์ของคนอื่นอ่าน มีโอกาสที่จะเข้าใจผิดเยอะ ต้องคิดให้ดีๆ ว่าเขาเขียนถึงใคร? เขียนที่ไหน? เขียนอย่างไร? พื้นเพที่เขาเขียน มันเป็นเช่นไร?

เหตุการณ์ในหนังสือลูกา บทที่ 14 ที่เราเริ่มต้นถ้อยคำพระเจ้าในวันนี้ เป็นช่วงที่พระเยซูกำลังประกาศข่าวดี เรื่องสวรรค์ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ ประกาศเรื่องอาณาจักรสวรรค์ เฉพาะในบริบทนี้ ที่เรากำลังอ่าน กำลังประกาศให้กับชนชั้นสูง ผู้นำชาวยิว คือพวกฟาริสี สะดูสี และธรรมาจารย์  ในงานเลี้ยงของพวกเขา ที่เชิญพระองค์ไป ที่บ้านของผู้นำฟาริสีชั้นสูงคนหนึ่ง

ท่านพอจะเห็นภาพแล้วนะ ฟาริสีชั้นสูงจัดงานเลี้ยง แล้วเชิญพระเยซูไป พระเยซูก็ไปในงานนี้ ขณะที่พระเยซูนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร แล้วมองไป พระองค์เริ่มสังเกตเห็นแขกที่เข้ามาในงาน มักจะเลือกที่นั่งชั้นสูง ที่มีเกียรติ นึกภาพพระองค์ไปก่อนงานเขา ไปเร็ว เพื่อจะไปสังเกตการ มานั่งในโต๊ะอาหารก็เห็น แขกมาในงาน  แขกพวกนี้ คือชนชั้นสูง พวกฟาริสี  พวกสะดูสี พวกธรรมาจารย์ พวกที่ทำงานอยู่ใกล้ชิดพระเจ้า  พวกที่อยู่ในวิหารของพระเจ้านั่นเอง คนเหล่านี้ทำอะไรหรือ?

สมัยก่อน งานเลี้ยง คนที่นั่งอยู่ใกล้ประธานงานเลี้ยง ก็คือเจ้าของงาน คือหัวโต๊ะ ใหญ่สุด ทุกคนก็จะไปนั่งหัวโต๊ะ เพื่อจะรู้สึกว่าตัวเองแน่ ตัวเองใหญ่ นึกภาพ บางคนอาจจะถูกคนนำ …

“ขอเชิญนั่งตรงนี้”

“เราเป็นใคร มานั่งตรงนี้ได้อย่างไร? เราต้องนั่งตรงโน้นสิ”

อย่างนี้ วุ่นวายกันไปหมด

“ฉันจะนั่งตรงโน้นๆ”

พระเยซูก็เลยสอน พูดให้เขาได้เอะใจว่าไม่มีคนไหนถ่อมใจเลย คนที่เข้าอาณาจักรสวรรค์ได้ ต้องเป็นคนถ่อมใจ

“ถ่อมใจ” หมายถึงไม่ยึดมั่น ถือมั่นถึงความชอบธรรมที่ตัวเองทำได้ดีกว่าคนอื่น รักษาบทบัญญัติได้มากกว่าเขา เป็นชนชั้นสูง

พระองค์สรุปตรงนี้บอกว่าผู้ที่ถ่อมใจลง จะได้รับการยกขึ้น ส่วนผู้ที่เย่อหยิ่งจองหองจะได้รับการเหยียดลง ก็คือกดลงไป เพราะว่าเขาเชื่อมั่นในความชอบธรรมของตนเองว่าสูงกว่าคนอื่นเขา ท่านจะเห็นภาพ

แล้วพระองค์ก็เริ่มต้นประกาศข่าวดีเรื่องอาณาจักรสวรรค์ หลังจากนั้น โดยกล่าวเป็นคำอุปมา เรื่องเกี่ยวกับงาน ในลูกา 14:15 เห็นภาพนะ ในงาน ฟาริสีชั้นสูง ธรรมาจารย์ สะดูสีที่อยู่ในสภาศาสนาของยิว ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลชั้นสูงมาก  แถมร่ำรวยอีกต่างหากเข้ามาในงานนี้มากมาย พระเยซูมองดู แต่ละคนเย่อหยิ่งจองหองมากเลย เสร็จแล้วพระองค์ก็เริ่มประกาศข่าวดีของพระองค์ อยู่บนโต๊ะนั้นแหละ แล้วก็พูดออกไป อย่างนี้ว่า …

ลูกา 14:15-17 “15 คนหนึ่งที่ร่วมโต๊ะเสวยได้ฟังดังนั้น ก็ทูลว่า “ความสุขมีแก่ ผู้ที่ได้ร่วมรับประทานที่งานเลี้ยง ในอาณาจักรของพระเจ้า” 16 พระเยซูตรัสตอบว่า “ชายคนหนึ่งกำลังจัดเตรียมงานเลี้ยงใหญ่ และได้เชิญแขกเหรื่อมากมาย 17 เมื่อได้เวลาเริ่มงาน จึงส่งคนรับใช้ไปแจ้งผู้ที่ได้รับเชิญว่า “เชิญมาร่วมงานเถิด เพราะบัดนี้ทุกอย่างพร้อมแล้ว”

 

พระองค์เริ่มต้นประกาศบอกว่า “ชายคนหนึ่งกำลังจัดเตรียมงานเลี้ยงใหญ่” ชายคนหนึ่ง ก็คือพระเจ้า งานเลี้ยงใหญ่ ก็คือการได้เข้าสวรรค์มาอยู่กับพระเจ้า มานั่งที่โต๊ะของพระเจ้า

“และได้เชิญแขกเหรื่อมากมาย เมื่อได้เวลาเริ่มงาน จึงส่งคนรับใช้ไปแจ้งผู้ที่ได้รับเชิญ” ตรงคำว่า “ผู้ได้รับเชิญ” ภาษาฮีบรูพูดมีกาลเวลาอยู่ในนี้ด้วย ผู้ที่ได้ถูกรับเชิญมาตั้งนานแล้ว  มันแปลว่าอย่างนั้นนะ  คือได้มีการบอกกล่าวว่า …

“ฉันจะมีการจัดงานวันที่ 31 ธันวาฯ นะ” บอกตั้งแต่มกราฯ “ฉันจะจัดงานๆ”

จนมาวันนี้  วันที่ 31 ธันวาฯ งานพร้อมแล้ว จัดเรียบร้อยแล้ว เชิญคนที่บอกตั้งแต่ต้นปีมา นั่นหมายถึงอย่างนั้น พระองค์กำลังพูดกับใคร? ย้ำอีกทีหนึ่ง นี่คือบริบท พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิวที่เป็นชนชั้นสูง ที่อยู่ในสภา ศาสนาของยิว พวกฟาริสี พวกสะดูสี พวกธรรมาจารย์ ที่เคร่งศาสนา ทำประกอบพิธีกรรม นึกว่าอยู่ใกล้พระเจ้ามาก คนเหล่านี้ พระองค์ทรงเชิญมาตั้งนานแล้ว พระองค์ คือพระเจ้า  แล้วก็บอกว่าบัดนี้ พร้อมแล้ว สวรรค์จะมาแล้ว อะไรประมาณนั้น

พวกฟาริสี สะดูสี ธรรมาจารย์ทั้งหลาย นับว่าเป็นชนชั้นสูงในสภา ศาสนายิว ซึ่งทั้งหมดนี้ได้รับเทียบเชิญมา ตั้งแต่สมัยโมเสสแล้ว คือเขาสืบเชื้อสายกันว่าคนนี้อยู่ในสายของปุโรหิตหรือเปล่า? สายของเผ่าเลวีไหม? ถ้าเป็นสายของเผ่าเลวี จะมีสิทธิในการทำงานในวิหาร ซึ่งเป็นที่เคารพยำเกรงของประชาชนทั้งประเทศเลย เพราะว่ายิวนั้น ปกครองด้วยศาสนานำ พระเจ้านำ

ดังนั้น ผู้ที่เป็นผู้รับใช้พระเจ้า ที่เรียกว่าปุโรหิต อยู่ในตระกูลปุโรหิต จึงมีสิทธิอำนาจ มีอิทธิพล เหมือนคนเล่นการเมืองในปัจจุบัน เพราะสามารถคุมทั้งประเทศได้เลย คุมทั้งชนชาติชาวยิวได้เลย มีผลประโยชน์อยู่ในนั้นเยอะแยะมากมาย อันนี้เล่าเบื้องหลังให้ท่านฟัง

คนเหล่านี้ พระเจ้าเผยพระวจนะบอกเขามาตลอดว่ารู้ไหมที่เขารับใช้ไปเป็นแค่เงา วันหนึ่ง เราจะส่งพระบุตรของเรา พระเยซูคริสต์มา เพื่อเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นเมสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของพวกมนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งท่านด้วย นี่คือเทียบเชิญว่าวันหนึ่งจะส่งพระเยซูมา เพื่อเป็นประตูเข้างานเลี้ยง กินอยู่กับโต๊ะของพระองค์ในสวรรคสถาน

ซึ่งในข้อ 15 ได้บอกว่า “มีคนหนึ่งทูลว่าความสุขมีแก่ผู้ได้รับประทานอาหาร ที่งานเลี้ยงในอาณาจักรของพระเจ้า”

นี่คือข้อพระคัมภีร์ในพระคัมภีร์เดิม ซึ่งหนึ่งในจำนวนผู้นำในฟาริสี ที่นั่งโต๊ะ พูดออกมา เป๊ะเลย คนเหล่านี้ได้รับเทียบเชิญ มาโดยตลอด ให้มาร่วมงานเลี้ยงนี้ ให้มาเข้าสวรรค์อย่างนี้ ตามพันธสัญญาใหม่

พันธสัญญาเดิมบอกไว้แล้วว่าพันธสัญญาใหม่จะมาถึง และให้เชื่อฟังพระองค์ โดยผ่านทางพระบุตร คือพระเมซิยาห์นี้  และตอนนี้งานเลี้ยงพร้อมแล้ว ก็คือพระมาซีฮาห์มาที่นี่แล้ว นั่งอยู่ที่นี่แล้ว อีกไม่กี่วันก็จะถูกตรึง อีกไม่กี่วันก็จะถูกฝังไว้ในอุโมงค์ อีกไม่กี่วันก็จะเป็นขึ้นจากความตาย เปิดประตูสวรรค์ เปิดประตูงานเลี้ยงแล้ว มาเลยๆ รีบมาเลย ก็คืออีกไม่กี่วัน พร้อมแล้ว ก็คือสวรรค์ลงมาตั้งบนโลกแล้ว ประตูสวรรค์เปิดต้อนรับคนบาปแล้ว แต่ต้องผ่านทางพระเยซู พระบุตรของพระเจ้าเท่านั้น นี่คือความหมาย …

ลูกา 14:18-20 “18 แต่พวกนั้นทั้งหมดพากันขอตัว คนแรกบอกว่า “ข้าพเจ้าเพิ่งซื้อที่นา จำเป็นต้องไปดู ขออภัย ข้าพเจ้าไปงานเลี้ยงไม่ได้” 19 อีกคนหนึ่งบอกว่า “ข้าพเจ้าเพิ่งซื้อวัวมาห้าคู่ และกำลังจะไปลองดู ขออภัย ข้าพเจ้าไปงานเลี้ยงไม่ได้” 20 ยังมีอีกคนหนึ่งกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเพิ่งแต่งงาน ดังนั้น จึงมาไม่ได้”

 

แต่พวกนั้นทั้งหมด คือพวกชนชั้นสูงของชาวยิว ที่เป็นเชื้อสายของเผ่าเลวี ปุโรหิตของพระเจ้า ที่ทำงานอยู่ที่วิหาร นึกถึงภาพนะ

แต่พวกชนชั้นสูงเหล่านี้ พากันขอตัว คนแรกบอกว่า “ข้าพเจ้าเพิ่งซื้อที่นา จำเป็นต้องไปดู ขออภัย”

เผ่าเลวี กฎระเบียบของพระเจ้าบอกว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะมีทรัพย์สมบัติ บนโลกใบนี้นะ แล้วมีที่นาได้อย่างไร? พระเยซูจึงบอกว่าคนเหล่านี้เป็นคนหน้าซื่อใจคด ปากก็พูด กฎระเบียบรู้จักหมด แต่ปฏิบัติไม่ได้เป็นไปตามกฎระเบียบหรอก มีที่นาได้อย่างไร? เพราะเดี๋ยวรู้

คนที่สองบอกว่า “ข้าพเจ้าเพิ่งซื้อวัวมา 5 คู่ กำลังจะไปลองดู ขออภัย มางานเลี้ยงไม่ได้”

เพราะเขาเหมือนกับอันแรก ตะกี้มีที่ดิน ตอนนี้ซื้อบ้าน ซื้อรถเฟอร์รารี่ ซื้อวัวสวยๆ ไปดูคอกวัว ไปทำธุรกิจอะไรต่างๆ เหล่านั้น เลวีทำได้ไหม? ปุโรหิตทำได้ไหม? ตามกฎบัญญัติเดิมไม่ได้ ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเลย อยู่จากเงินสิบลดของ 11 เผ่า ที่ส่งเข้ามา ก็ผิดกฎบัญญัติ แต่ทำเป็นมองไม่เห็น ตัวเองเป็นคนทำเอง

ดูอันสุดท้าย ยิ่งชัดเลย กลุ่มที่ 3 บอกว่า “ยังมีอีกคนหนึ่งกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเพิ่งแต่งงาน ดังนั้น จึงมาไม่ได้”

ตะกี้ 2 กลุ่มแรกเป็นพวกติดทรัพย์สมบัติ  ลาภ ยศ สรรเสริญ คนนี้เป็นคนที่เอาจริงเอาจังกับพระเจ้ามาก เคร่งครัดในบทบัญญัติมาก  เพราะการแต่งงานสมัยก่อน แต่งงานภายใน 1 ปี ออกไปไหนมาไหนไม่ได้ ต้องดูแลภรรยา สามีออกไปไหนไม่ได้เลยนะ แต่ในนี้เขาบอกว่า …

“ข้าพเจ้าเพิ่งแต่งงาน  ดังนั้น จึงมาไม่ได้”

ก็คือไปงานเลี้ยงไม่ได้ เพราะเพิ่งแต่งงาน ต้องอยู่ในกฎ รักษากฎ กฎเขาบอกว่าแต่งงานภายใน 1 ปี ออกไปงานเลี้ยงไม่ได้ ต้องอยู่กับภรรยา นี่คือกฎบัญญัติของชาวยิว คิดดูสิ แสดงว่าเขาเคร่งมาก ไปงานเลี้ยงไม่ได้ เพราะต้องรักษาบทบัญญัติ

พระเยซูยก 3 กลุ่ม ในชนชั้นสูงเหล่านี้ ที่ลืมพันธสัญญาที่พระเจ้าได้เคยให้ไว้ ตั้งแต่ในอดีตมาแล้ว ซึ่งเขาเองอยู่ใกล้มาก เขาเองเป็นผู้ถ่ายทอดบัญญัติเหล่านี้ให้กับประชาชนทั่วๆ ไป เขาเองเป็นทูตของพระเจ้า ตั้งแต่บรรพบุรุษกลุ่มของเขาแล้ว คือพวกเลวี แต่ปรากฏว่ามาเรื่อยๆ เขามัวแต่หลงอยู่กับการรักษาบทบัญญัติ อย่างเคร่งครัด จนลืมนึกถึงคนที่ให้บทบัญญัติมา คือลืมนึกถึงพระเจ้าไป แล้วหลงในลาภ ยศ สรรเสริญ และความสุขสบายบนโลกใบนี้ ที่ได้รับจากการเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดพระเจ้า คิดว่าตัวเองนั้นชอบธรรมมากกว่าคนอื่นๆ ที่ไม่ได้เคร่งครัดในการรักษากฎระเบียบเหมือนกับพวกเขา พวกเขารักษาได้มากกว่า เขาจึงมีอำนาจมากกว่า เขาจึงสมควรที่จะได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เขาจึงใช้อำนาจบาตรใหญ่ของเขา ข่มเหงบรรดาผู้คน ที่เป็นประชาชนทั่วๆ ไป แทนที่จะดูแลประชาชนเหล่านั้นด้วยความรัก เพราะเขาเป็นตัวแทนของพระเจ้า เป็นทูตของพระเจ้า …

ลูกา 14:21  “คนรับใช้นั้น กลับมารายงานนาย นายก็โกรธ และสั่งคนรับใช้นั้นว่า “จงรีบไปตามถนนและตรอกซอกซอยในเมืองพาคนจน คนพิการ คนตาบอด และคนง่อยมา”

 

กลุ่มนี้ไม่มาใช่ไหม? กลุ่มนี้ คือฟาริสี สะดูสี ธรรมาจารย์ พวกตระกูลผู้รับใช้พระเจ้าทั้งหลาย  ที่อยู่ใกล้ๆ พระเจ้านั่นแหละ ไม่มาใช่ไหม?

“จงรีบไปตามถนนและตรอกซอกซอยในเมือง”

เมือง คือเยรูซาเล็ม เมื่อตะกี้นี้ ประกาศให้กับคนที่อยู่ในวิหาร ตอนนี้ให้ออกนอกวิหาร ไปหาคนที่ไม่อยู่ใกล้พระเจ้า ที่เรียกว่าคนบาป ที้ไม่ใช่ทูตของพระเจ้า ไม่ใช่ตระกูลปุโรหิตแล้ว นอกวิหาร ในเมืองเยรูซาเล็ม ในตรอกซอกซอยในเมืองเยรูซาเล็มนั่นเอง พาคนจน คนพิการ คนตาบอด คนง่อยมา คนเหล่านี้ เปรียบเทียบให้เห็นคนที่มีความด้อยในฝ่ายวิญญาณ ที่รู้สึกตัวเองแย่ในฝ่ายวิญญาณ ไม่เหมือนพวกฟาริสีเหล่านั้น รักษาบทบัญญัติได้เยอะเลย เรารักษาได้แค่นี้ นึกถึงภาพเปโตรในอดีตกับชาวยิวในอดีต ที่ไม่รู้จักพระเจ้า แบบใกล้ชิด เหมือนชนชั้นสูงหรอก

คนเหล่านี้ คือชาวยิวชั้นล่าง ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนบาปหนา เป็นคนอยู่นอกพระวิหารของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ เป็นคนที่ไม่เคร่งครัดในการรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า อยู่ห่างไกลจากพระเจ้า ทำงานในวันสะบาโต ยกตัวอย่างให้ฟัง พวกนี้อาศัยอยู่ในซอก ในซอย ในสลัม ข้างถนน ในกรุงเยรูซาเล็ม ที่เชื่อกันว่าเป็นที่น่ารังเกียจของพระเจ้า เพราะว่าเขาอยู่ห่างวิหาร ไม่กล้าเข้าใกล้วิหารด้วย เพราะว่าเขาได้รับการรังเกียจอยู่นอกวิหาร

พระเยซูเล่าเรื่องเมื่อตะกี้นี้ เพราะฉะนั้น พวกชั้นสูงไม่มาใช่ไหม? ในนี้ไม่ได้บอกว่าไปเชิญ แต่ให้ไปบอกให้เขามา เขาไม่ได้รับเชิญ เพราะว่าเขาไม่รู้เรื่อง เขาเป็นประชาชนธรรมดา เขาไม่รู้จักพันธสัญญาอะไรต่างๆ มากมาย เขาไม่ได้อยู่ใกล้พระเจ้า ไม่ได้เป็นผู้รับใช้พระเจ้า ไม่ได้เป็นปุโรหิต รู้พันธสัญญาดี คนเหล่านี้จะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรเลย รู้ว่าเชื่อพระเจ้า ก็เชื่อพระเจ้า มาดูต่อว่าจะเป็นอย่างไร? …

ลูกา 14:22-23  “22 คนรับใช้ตอบว่า “นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ทำตามที่ท่านสั่งแล้ว แต่ก็ยังมีที่ว่างอีก” 23 แล้วนายจึงบอกคนรับใช้ว่า “จงไปตามถนนหนทางในชนบท และระดม (ประกาศรบเร้า เชิญชวน ขอร้อง) พวกเขามาให้เต็มบ้านของเรา”

 

สังเกตให้ดีๆ เริ่มประกาศให้กับใครก่อน คนใกล้ชิดก่อนเลย คนที่อยู่ในวิหาร พวกชนชั้นสูง ไม่เอาใช่ไหม? ไปประกาศนอกวิหาร คนที่คิดว่าถูกเขากล่าวหา ตัวเองก็คิดว่าตัวเองเป็นคนบาปหนา ไม่มีใครคบหรอก พระเจ้าก็คงไม่เอา ไปหาพวกที่ไม่ได้รับเชิญพวกนี้ ที่อยู่ในเมืองเยรูซาเล็ม … เมืองเยรูซาเล็ม คือเมืองของชาวยิว วิหาร คือหัวใจที่เรียกว่าบริสุทธิ์ที่สุดของเยรูซาเล็ม ที่ชาวยิวนับถือ นอกเยรูซาเล็มถือว่าเป็นโลกฝ่ายนอก ที่ไม่รู้จักพระเจ้า เรียกว่าไม่ใช่พวกอิสราเอล ไม่ใช่พวกยิวเลย

คนรับใช้ตอบว่า “นายเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ทำหมดแล้ว ได้ไปตามคนชั้นล่าง ที่เป็นชาวยิวแล้ว”

คราวนี้ พระเจ้าบอกว่าอย่างไร? ไปตามถนนหนทางในชนบท … ชนบท แปลว่าออกนอกเมือง ออกนอกเยรูซาเล็มแล้ว ก็คือชนต่างชาติแล้ว ไปหาคนต่างชาติ และระดม ประกาศ รบเร้า

คำว่า “ระดม” ตรงนี้ ภาษาเดิมหมายถึงแล้วออกไปหาคนต่างชาติ ที่ไม่ได้รับเชิญมาก่อน ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ที่ไม่มีการ์ดรับเชิญ ที่เดินอยู่ริมถนนหนทาง ในเมืองต่างๆ เหล่านั้น ออกไปหาพวกเขาเหล่านี้ แล้วให้ไประดม คือรบเร้า เกณฑ์เลย

“มาเลยๆๆๆ”

ก็คือประกาศ เชิญชวนอย่างง่ายๆ มาเลย รบเร้า เชิญชวน ขอร้อง ตรงนี้มันแปลว่าให้ไปขอร้องให้พวกนั้นเข้ามา

พอ “ขอร้อง” แล้วนึกถึงอะไร? เปาโลพูดในหนังสือโครินทร์บอกว่า … “เราทั้งหลายเป็นทูตของพระเจ้ามาขอร้องให้ท่าน เพราะพระเจ้าขอร้องให้ท่านกลับคืนดีกับพระองค์ ขอร้องให้ท่านมางานเลี้ยงของพระองค์ พระองค์ส่งคนไปบอก ไปขอร้องให้เข้ามา”

พวกเขา คือพวกชนต่างชาติ ที่เป็นชนชาติที่ไม่ใช่ยิวมาก่อน เปรียบเสมือนคนที่ไม่เคยได้รับเชิญให้เข้ามาในงานเลี้ยงเลย  ก็คือให้พวกเขา คนรับใช้ของพระองค์ไปประกาศ

นึกถึงเวลาประกาศข่าวดีนี้ว่า  “โอ๊ย! พระเจ้าเปิดประตูสวรรค์แล้วเข้ามาเลยๆ พวกชาวต่างชาติที่ไม่รู้จักพระเจ้า”

“เข้ามาได้อย่างไร? เข้ามาๆ”

นั่นแหละมันเป็นลักษณะอย่างนั้น พระเยซูทำงานสำเร็จแล้ว พระองค์บอกว่าอย่างไร? … “จงออกไปประกาศว่างานเลี้ยงนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว ประกาศที่ในกรุงเยรูซาเล็ม และนอกกรุงเยรูซาเล็ม คือชนบท ในแคว้นยูเดีย สะมาเรีย ซึ่งก็คืออดีต เป็นลูกผสมยิว ไปประกาศ

(1) ให้กับชาวยิวก่อน ในเยรูซาเล็ม

(2) ให้กับแคว้นยูเดีย สะมาเรีย กับคนที่เป็นยิวผสม

(3) แล้วไปประกาศจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก

ไปรบเร้า เกณฑ์เขา ขอร้องให้เขาเข้ามาร่วมรับประทานอาหาร ในงานเลี้ยงนี้ ให้มาเข้าสวรรค์ พระเยซูบอกจงออกไปประกาศข่าวดี เริ่มตั้งแต่เยรูซาเล็ม แล้วไปไหน? แคว้นยูเดีย สะมาเรียและสุดปลายแผ่นดินโลก มาถึงเมืองไทยเลย …

ลูกา 14:24 “เราบอกท่านว่า “ไม่มีสักคนที่เราได้เชื้อเชิญไว้ จะได้ลิ้มรสงานเลี้ยงของเราเลย”  (ถ้าเค้าไม่กลับใจใหม่ มาวางใจในพระเยซู)”

 

ตรงนี้จริงๆ แล้วมีต่อท้ายว่า … “ถ้าเขาไม่กลับใจใหม่ มาวางใจในพระเยซู” กำลังพูดถึงใคร? ไม่มีสักคน ที่เราได้เชื้อเชิญตั้งนานมาแล้ว ก็คือพวกชนชั้นสูง พวกฟาริสี พวกสะดูสี พวกธรรมาจารย์ ที่เล่นการเมือง เข้าไปอยู่ในสภาศาสนายิว คนเหล่านี้ ถ้าเขายังเย่อหยิ่งจองหอง ยังทำเป็นคนหน้าซื่อใจคด ยังยึดมั่น ถือมั่นในความชอบธรรมที่ตนเองทำ เขาจะไม่ได้เข้างานเลี้ยง ไม่ได้เข้าแผ่นดินสวรรค์เลย ยกเว้นว่าเขากลับใจใหม่ ถ้าเขากลับใจใหม่ เลิกเย่อหยิ่ง เลิกความคิดที่ว่าตัวเองสามารถจะกระทำความดี สามารถรักษากฎได้มากกว่าคนชั้นล่าง ชาวยิวอื่นๆ ทั่วๆ ไป และมีความชอบธรรมมากกว่าคนอื่นเขา พึ่งในการกระทำของตนเอง แทนที่จะพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าส่งมาเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ถ้าเขากลับใจใหม่อย่างนี้ เขาก็มีโอกาส กำลังพูดถึงอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าไม่มีคนเข้ามาได้เลย นิโคเดมัสก็เป็นหนึ่งในจำนวนคนเหล่านั้น  ซึ่งผมก็เชื่อว่านิโคเดมัสได้รับความรอด เชื่อว่านะ เปาโลก็เป็นคนหนึ่งเหมือนกัน ถ้ายังไม่เชื่อพระเจ้า อนาคตเปาโล ก็คือ 1 ในจำนวนชนชั้นสูง อยู่ในสภาศาสนายิว กำลังสร้างตัวเองอยู่ …

ลูกา 14:25-26  “25 ฝูงชนกลุ่มใหญ่ร่วมเดินทางไปกับพระเยซู พระองค์ทรงหันมาตรัสกับพวกเขาว่า 26 “ถ้าผู้ใดมาหาเรา และไม่ได้ชังบิดามารดา บุตร ภรรยา และพี่น้องชายหญิงของตน หรือแม้แต่ชีวิตของเขาเอง  ผู้นั้นก็เป็นสาวกของเราไม่ได้”

 

ในข้อ 25-26 ให้นึกถึงภาพเมื่อตะกี้ อยู่ในงานเลี้ยง ยังพูดอยู่ที่โต๊ะเลย ตอนนี้กินงานเลี้ยงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ลุกขึ้นออกจากบ้านมา ท่านคิดว่าใครรออยู่ชนชั้นล่าง ชนที่ไม่ใช่ชาวยิวชั้นสูง ชนยิวชั้นล่างทั้งหลาย เต็มไปหมด คนไม่สบาย คนที่อยากฟังข่าวประเสริฐมาเต็มไปหมดเลย พระองค์เดินมาก็เจอคนเหล่านี้ นึกถึงภาพ

นี่ออกนอกบ้านแล้วนะ เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ จะพูด ก็ไม่ได้พูดกับชนชั้นสูงแล้ว  พูดกับชาวยิวทั่วๆ ไป ชาวยิวที่เป็นชนชั้นล่าง ชาวยิวที่เจ็บป่วยเป็นง่อย พิการ ยากจน พอออกไป คนก็แห่กันเข้ามา พระองค์ก็หันกลับไปประกาศ ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ ประกาศดังลั่นเลย ประกาศว่า …

“ถ้าผู้ใดมาหาเรา แล้วไม่ได้ชังบิดามารดา บุตร ภรรยา และพี่น้องชายหญิงของตน หรือแม้แต่ชีวิตของเขาเอง ผู้นั้นก็เป็นสาวกของเราไม่ได้”

สะดุ้งกันหมดเลย  อย่างที่ผมเกริ่นไว้ตั้งแต่แรก แล้วว่าใครก็ตามที่ยังไม่เข้าใจความหมายที่จริง แล้วมาอ่านตรงนี้ ต้องตกใจทุกคนแน่นอน ในที่นี้ มีใครเคยตกใจข้อความนี้มาก่อนบ้าง? ผมเองแหละแน่นอน มาเชื่อใหม่ๆ ตกใจเหมือนกันนะ จะมาเชื่อพระเยซู เพื่อให้ได้รับความรอด ได้เข้าอาณาจักรสวรรค์ เราต้องเกลียดชังพ่อแม่ของเรา เกลียดพี่น้องของเรา และเกลียดแม้กระทั่งตัวเองอย่างนั้นหรือ? มันไม่มีเหตุผลเลยนะ

จริงๆ แล้วในบริบทนี้ พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิวที่ส่วนใหญ่ ที่เราเห็นๆ กัน ชนชาติยิวอยู่ในครอบครัวที่เคร่งครัดศาสนามากถึงมากที่สุด เคร่งครัดในบทบัญญัติของศาสนามากถึงมากที่สุด นี่คือชาวยิว เขาถึงท้อแท้ใจไง ชาวยิวชั้นล่าง รักษากฎก็ไม่ได้เยอะ เดี๋ยวก็ต้องไปไถ่บาป เบื่อตัวเอง เพราะฉะนั้น หลังจากที่พวกเขาได้ฟังข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่ได้ประกาศถึงแผ่นดินสวรรค์ ที่ได้มาตั้งอยู่นั้น เมื่อได้รับรู้ความจริงบ้างในเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ เกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้าที่จะเข้าไปได้อย่างไร? ต้องผ่านทางพระเยซูคริสต์ แล้วคนที่ได้ฟังแล้ว ตัดสินใจที่จะเชื่อ และจะติดตามพระเยซูไป ตามที่พระเยซูบอก

คนเหล่านี้ตั้งใจจะเชื่อและจะติดตามพระเยซู พอกลางคืนกลับไปบ้าน พวกเขาจะต้องพบกับการต่อต้านแน่นอน บางคนอาจถูกพ่อแม่กีดกัน บังคับให้เลิกเชื่อ บางคนอาจถูกพี่น้องรบเร้าให้กลับไปทำตัวเหมือนเดิม …

“แกจะบ้าหรือ? ไปเชื่อใครก็ไม่รู้ พูดบอกว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า เราอยู่วิหารของเราดีเลิศประเสริฐศรีแล้ว ตั้งแต่อาก๋ง บรรพบุรุษโน่น เราอยู่ในตระกูลของโยเซฟ คือตระกูลปุโรหิต เราเป็นสายเดียวกันกับกษัตริย์ดาวิดนะ เพราะฉะนั้น เราเป็นผู้ที่พระเจ้าเลือกสรรเป็นพิเศษ แล้วจะไปเชื่อใคร ให้ทิ้งทุกอย่างไป อย่าไปเชื่อเลย” อะไรประมาณนั้น

บางคนอาจจะถูกกดดันจากเพื่อนฝูง จากผู้รับใช้ด้วยกัน ยกตัวอย่างเช่น นิโคเดมัสถูกกดดันแน่ๆ เลย อยากจะเรียนรู้ เชื่อและจะติดตามพระเยซูแน่ แต่ก็ยังถูกกดดันจากเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน รู้ได้อย่างไร? ก็แอบมาหาพระเยซูตอนกลางคืน ตอนที่ไม่มีใครเห็น ในพระคัมภีร์เขียนว่าแอบมาหาเลยนะ ก็คือจะเชื่อและจะติดตามพระเยซูไป ตามที่พระเยซูบอก  แต่กลับไปก็เจอปัญหาเหล่านี้ ซึ่งพระเยซูกำลังบอกว่าถ้าใครจะติดตามพระองค์ไป ก็ต้องพบกับอุปสรรคการต่อต้าน และแรงกดดันอย่างนี้ ซึ่งผู้นั้นจะต้องตัดสินใจเลือกเอา ชั่งน้ำหนักเอาว่าจะยึดมั่นและเดินตามพระเยซูต่อไป จนที่พระเยซูบอกว่าจะไปตายพร้อมกับพระองค์ แบกกางเขนนั้น จนได้รับการบังเกิดใหม่ จนได้เข้าสู่สวรรค์ หรือเลือกที่จะฟังพ่อแม่ ฟังครอบครัว ฟังญาติพี่น้อง แล้วก็เลิกติดตาม พรุ่งนี้ไม่ไปแล้วพระเยซู เขาต้องตัดสินใจ

จำคำว่า “จะ” ไว้นะ เขาต้องตัดสินใจว่าจะเลือกทางไหน? ซึ่งถ้าเขาเลือกที่จะฟังพ่อแม่และเลิกตามพระเยซู เขาก็ไม่มีทางที่จะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์อย่างแน่นอน เพราะเลิกเชื่อพระเยซู

ซึ่งจริงๆ แล้วรากศัพท์ของคำว่า “ชัง” หรือคำว่า “เกลียด” ตรงนี้ ในภาษากรีก คือคำว่า “love less” หรือ “รักน้อยกว่า”

ยกตัวอย่างเฉลยธรรมบัญญัติ บทที่  21 ที่มีบันทึกไว้ว่าชายที่มีภรรยาสองคน และภรรยาทั้งสองคนให้กำเนิดบุตรชาย แต่บุตรหัวปี เกิดจากภรรยาที่เขาชัง เขาจะต้องให้สิทธิบุตรหัวปีแก่บุตรชายของภรรยาที่เขาชัง

ซึ่งคำว่า “ชัง” ตรงนี้ หมายถึงภรรยาที่เขารักน้อยกว่า และก็เป็นคำเดียวกันกับคำว่า “ชัง” ที่ใช้ในหนังสือลูกาที่เราได้อ่านไปเมื่อสักครู่นี้ ที่บอกว่าชังพ่อแม่ พี่น้อง ก็คือรักพ่อแม่พี่น้องน้อยกว่ารักพระเยซูนั่นเอง

เพราะฉะนั้น คำอธิบายของข้อนี้ที่บอกว่า “ถ้าผู้ใดมาหาเรา และไม่ได้ชังบิดามารดา บุตร ภรรยา และพี่น้องชายหญิงของตน ผู้นั้นก็เป็นสาวกของเราไม่ได้”

พระเยซูพูดอย่างนั้นใช่ไหม? ความหมาย คือเราจำเป็นต้องตัดสินใจที่จะเลือกข้าง และรักพระเจ้ามากกว่าทุกๆ สิ่ง

บัญญัติใหญ่ที่สุดของพระเยซู ก็คือจงรักพระเจ้าสุดจิต สุดใจของเจ้า สุดความคิดของเจ้า ไม่ว่าอะไรที่เกิดขึ้นก็ตาม ความรักของพระเจ้าต้องมาเป็นอันดับหนึ่งเสมอ ถูกไหม? คนละเรื่องกับคำว่าเกลียดพ่อแม่ ซึ่งพระเจ้าบอกจงเคารพบิดามารดา ที่เราเทียบกันไปเมื่อสักครู่นี้ ตอนต้น

มาในยุคนี้ ยุคปัจจุบันแรงต่อต้าน แรงกดดันจากครอบครัว และจากสังคมอาจจะยังไม่รุนแรงเท่ากับยุคสมัยยิว ที่ผู้นำศาสนาเป็นใหญ่ อันนั้นถูกต่อต้านแรงกว่า ในยุคปัจจุบันเราก็มี แต่เราไม่รุนแรงขนาดนั้น เราจึงอาจยังไม่ค่อยเห็นภาพเท่าไรว่าเขาถูกข่มเหง มันแรงขนาดไหนในยุคนั้น ยุคที่พระเยซูกำลังสอนอยู่นี้

ในสมัยนั้น การจะเชื่อและติดตามพระเยซู พวกเขาจำเป็นต้องเลือกข้าง  และเลือกที่จะรักพระเจ้ามากกว่าทุกสิ่ง เขาจำเป็น เขาต้องเลือกอะไร? ชีวิตทั้งชีวิตเขาอยู่ในศาสนายิวมาตลอด อยู่ในสังคมยิวมาตลอด ไม่ได้คบหาสมาคมกับคนต่างชาติอะไรเลย อยู่ดีๆ มาบอกว่าเราต้องออกจากชนชาตินี้แน่ๆ ถ้าเผื่อมาเชื่อพระเยซู ก็ตกใจ เป็นความกดดันที่รุนแรงมาก ซึ่งปัจจุบันนี้ ก็มีอย่างนี้อยู่เหมือนกัน  แต่มันไม่มากถึงขนาดนั้น

ยกตัวอย่างตอนที่ผมเชื่อ ก็เหมือนกัน ก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นติดตามพระเยซู จะเชื่อหรือติดตามไปแล้ว เกิดใหม่แล้ว ก็ไม่รู้นะ แต่ที่รู้ๆ ว่าตอนเริ่มต้น เรียนรู้เรื่องจากพระเยซู พอคุณแม่รู้เขา ก็บอก …

“จะไปทำไม ศาสนาเราก็ดีอยู่แล้ว ไปเชื่อใครก็ไม่รู้ ไปติดตามฝรั่งอะไรต่างๆ”

อย่างนี้เป็นต้น ก็มีอยู่ ผมก็ต้องเลือกเอาว่าจะติดตามพระเยซูต่อไป หรือจะเชื่อแม่ดีกว่า ปรากฏว่าเชื่อพระเยซู ติดตามพระเยซูไปจนกระทั่ง เกิดใหม่ เกิดใหม่ตอนนั้น หรือเกิดใหม่ทีหลังก็ไม่รู้นะ นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง

หลายคนในที่นี้ ก็มีประสบการณ์อย่างนี้แหละ เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ที่รักเรา และอยู่เคียงข้างเรา อยู่ข้างๆ เรา ไม่ว่าจะภรรยา สามี ลูกหรือพ่อแม่ก็ตาม เมื่อเขาได้ยินข่าวประเสริฐ เขายังไม่เข้าใจข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เขาก็มีความคิดอีกอย่างหนึ่ง ด้วยความรัก ความห่วงใยของเขา เขาจึงห้ามเราไง ถึงมาบอกเราอย่างนั้น เราต้องเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ เพราะเราเชื่อพระเจ้าแล้ว และเราเคารพ เชื่อฟังในบิดามารดา  รักและให้เกียรติกับท่าน เพราะรักและให้เกียรติแหละ ถึงทำอย่างนี้

ในข้อที่ 26 นี้ยังบอกอีกว่า … “จะเป็นสาวกและติดตามพระเยซู นอกจากจะชังพ่อแม่ ชังครอบครัวแล้ว ยังต้องชังแม้แต่ชีวิตของตัวเองอีกด้วย”

แปลว่าอะไร? คำว่า “ชีวิตของตัวเอง” หมายถึงเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า เชื่อพระเยซูแล้ว เราก็ได้รับการบังเกิดใหม่ ได้รับชีวิตนิรันดร์ใหม่เอี่ยม อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น การชังชีวิตของตัวเอง ก็หมายถึงที่ตะกี้เราบอกว่าให้รักชีวิตเดิมน้อยกว่าชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง พูดง่ายๆ ว่าให้เรามองเห็นว่าใครดีกว่า ชีวิตเดิมที่เราพึ่งพาตนเอง ทุกข์ทรมาน จากความบาป จากความพยายามทำสิ่งที่ดีที่สุด แต่ไม่มีความหวังในชีวิตหลังความตายเลย กับชีวิตใหม่ ที่บังเกิดใหม่โดยพระเยซูคริสต์ ได้เข้ามาอยู่ในงานเลี้ยง อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย อันไหนน่าสนใจมากกว่ากัน

ชีวิตเดิม ก็คือชีวิตที่อยู่ในอาดัม ชีวิตที่อยู่กับการพึ่งพาในการกระทำของตัวเอง ยึดมั่นในความชอบธรรม ที่ตนเองกระทำขึ้น ชีวิตที่ยึดติดกระแส ระบบของโลกใบนี้ โลกที่ต่อต้านพระเจ้า โลกที่ไม่รู้จักพระเจ้า นี่คือชีวิตเดิม

ชีวิตใหม่ ก็คือชีวิตที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ ชีวิตที่ผูกอยู่กับการพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์เพียงอย่างเดียว ชีวิตที่มองไปที่เบื้องบน คือสวรรคสถาน ซึ่งพระเจ้าสถิตอยู่และเราก็ได้อยู่ที่นั่นร่วมกับพระองค์แล้วเดี๋ยวนี้ ขณะที่มีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้เลย และเราจะอยู่อย่างนั้น เมื่อออกจากร่างไป ก็จะได้รับร่างใหม่  และจะอยู่ในสวรรค์อย่างนี้ ตลอดชั่วนิรันดร์ พระเยซูกำลังบอกให้เราเลือก คือให้เราเลือกรักอะไร? ชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์มากกว่าชีวิตเดิม  ที่เราเคยเป็นคนบาปนั่นเอง …

ลูกา 14:27  “และผู้ใดที่ไม่ได้อดทน และแบกกางเขนของตน และตามเรามา ก็เป็นสาวกของเราไม่ได้”

 

“และผู้ใดที่ไม่ได้อดทน” ตรงนี้มันมีคำว่า “และ” ด้วยนะ มันต้องแยกกัน “และผู้ใดที่ไม่ได้อดทน และแบกกางเขนของตน และตามเรามา ก็เป็นสาวกของเราไม่ได้”

คำว่า “อดทน” ตรงนี้ หมายถึงสิ่งที่เราต้องเผชิญ หลังจากที่ตัดสินใจจะเชื่อ จะติดตามพระเยซูคริสต์  เพื่อไปบังเกิดใหม่ในสวรรค์ พอเราจะติดตาม เราเริ่มศึกษาความรู้ในเรื่องของพระเยซูคริสต์ เป็นเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ปุ๊บ จะมีการต่อต้าน จะมีการรบเร้า จากผู้คนที่เรารักอยู่รอบข้าง

ก็อย่าลืมนะ อย่างที่เราบอก เราต้องเรียนรู้จักบริบท ในบริบทนี้ พระเยซูกำลังพูดกับชาวยิว ที่อยู่ในสังคมเคร่งครัดศาสนา หลังจากที่เขาตัดสินใจเชื่อพระเยซูและหันหลังให้กับโลก กับชีวิตแบบเดิมๆ ในการรักษาบัญญัติของโมเสส เหมือนบรรพบุรุษ เมื่อเขาหันหลังให้กับความเชื่อเดิม หันหลังให้กับพิธีกรรมทางศาสนา ที่เคยฆ่าสัตว์แล้วเอาเลือดไปไถ่บาปให้ตัวเอง ชำระบาป ที่เขาทำมาตลอดชีวิตของเขา และบรรพบุรุษของเขาก็ทำมาตลอด เขาก็จะต้องเจอกับการถูกดูหมิ่น ดูแคลน ถูกหัวเราะเยาะเย้ย การถูกกีดกันจากสังคม การถูกอัปเปหิออกไป ถูกกำจัดสิทธิต่างๆ ในฐานะเป็นคนยิว ทั้งลาภ ยศ สรรเสริญต้องหายไปหมดเลย เขาต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ ถ้าเขาจะตามพระเยซูไป แรงต่อต้านอย่างนี้ มันจะสูงมาก  เขาจะต้องอดทนกับสิ่งเหล่านี้ นี่คือความอดทน ที่ตะกี้บอก เขาต้องอดทน และแบกกางเขนของตน และอดทนแค่นี้ไม่พอ แบกกางเขนของตน ก็คือแบกความบาป และคำสาปแช่ง รู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป สำนึกว่าตัวเองเป็นคนบาป จะแบกไป เพราะว่าไปหาพระเจ้า เพื่อจะชำระบาปให้กับเรา เขาต้องแบกเอาความเกลียดชัง ชีวิตเดิมของตัวเอง เหมือนที่เปาโลพูดในโรม บทที่ 7 ที่บอกว่า …

“โอ้! ข้าพเจ้าน่าสมเพสอะไรเช่นนั้น”

หมายถึงก่อนที่จะเชื่อพระเจ้า … “สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำ สิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากทำ ข้าพเจ้าก็ทำอยู่ ข้าพเจ้าอยากรักษากฎบัญญัติตามที่เขาพูดกันว่าดี ตามที่ฟาริสี ตามที่ปุโรหิตพูดมา แนะนำมาดีแล้ว ข้าพเจ้าอยากจะทำตามบทบัญญัติของโมเสสเหล่านั้น แต่ข้าพเจ้าทำไม่ได้ ข้าพเจ้าไม่อยากโกรธ ข้าพเจ้าก็โกรธ พระคัมภีร์บอกอย่าโกรธ เราก็โกรธ ข้าพเจ้าเกลียดตัวเองจริงๆ เลย”

นั่นแหละ อยู่ในกางเขนนี้ คนที่แบกกางเขนเหล่านี้ ก็คือคนที่รู้ตัวว่าตัวเอง เป็นคนบาป รู้ว่าตัวเองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จึงจะมาหาพระเยซูไง เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ต้องรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป และต้องอดทนต่อเบี้ยใบ้รายทาง คนที่รักทั้งนั้น ที่หวังดีทั้งนั้น แต่เป็นความหวังดี ที่โลกไม่ต้องการ  เพราะเราเห็นแล้วว่าสิ่งไหนที่ดีกว่า

สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ก็คือค่าใช้จ่าย หรือต้นทุนในการที่จะตัดสินใจ ที่จะเดินตามพระเยซูคริสต์ต่อไป จนกระทั่งสำเร็จ เป็นต้นทุนที่เราต้องเสี่ยง ต้องละ ต้องยอม ถ้าเห็นว่าทางพระเยซูคริสต์ดีกว่า ซึ่งเมื่อนำมาคำนวณกับสิ่งตอบแทนที่จะได้รับ คือการได้บังเกิดใหม่ การได้เป็นลูกของพระเจ้า การได้รับความรอดนิรันดร์ ได้เข้าไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าทันที ต้องนับว่าเป็นการลงทุน ที่คุ้มค่ามากๆ เลย ถูกไหม? พระเยซูกำลังบอกว่ามันมีการลงทุนจ่ายตรงนี้ไป แต่ได้สิ่งเหล่านี้มา

และพระองค์จึงยกตัวอย่างในข้อที่ 28-32 ยกตัวอย่างว่าต้องคำนวณ ต้องมีการลงทุน แต่กำไรดีกว่าเยอะ  คิดให้ดีๆ ลองดูสิว่าพระองค์ให้คำนวณคิดอะไร? …

ลูกา 14:28-32 “28 สมมุติว่าใครในพวกท่านต้องการสร้างหอคอย เขาจะไม่นั่งลงประมาณค่าใช้จ่ายก่อนหรือว่ามีเงินพอจะสร้างให้เสร็จหรือไม่ 29 เพราะถ้าเขาวางฐานรากแล้ว ไม่อาจสร้างให้เสร็จ ทุกคนที่เห็นจะเยาะเย้ยเขาว่า 30 ‘คนนี้เริ่มก่อสร้าง แต่ไม่สามารถทำให้สำเร็จ” 31 หรือสมมุติว่ากษัตริย์องค์หนึ่งกำลังจะทำสงครามกับกษัตริย์อีกองค์หนึ่ง พระองค์จะไม่ทรงนั่งลง คิดดูก่อนหรือ ว่าตนมีกำลังหนึ่งหมื่นคน จะสู้กับอีกฝ่าย ซึ่งมีสองหมื่นคนได้หรือไม่ 32 หากสู้ไม่ได้ จะได้ส่งทูตไปเจรจา ขอสงบศึก ตั้งแต่อีกฝ่ายยังอยู่แต่ไกล”

 

“ในทำนองเดียวกัน” ก็คือให้ไปคิดอย่างนี้เหมือนกัน ก็คือคำนวณผลที่ได้กับผลเสียที่ต้องเสียว่ามันคุ้มกันไหม? ถ้าคนที่ฟังพระเยซูและเริ่มตามพระเยซูจริงๆ เริ่มเชื่อในถ้อยคำเหล่านั้นจริงๆ ก็จะติดตามพระองค์ต่อไป เพราะว่าพระองค์บอกว่า …

“เข้าสวรรค์ได้เลย ยกบาปให้เลย ใครจะเข้าหาพระบิดาได้ จะต้องผ่านทางเรา”

เขาก็จะดูสิ่งเหล่านี้  และคำนวณถึงสิ่งที่เขาจะสูญเสียไป จากการเป็นชาวยิวที่มาเชื่อพระเจ้า สูญเสียประโยชน์หลายๆ อย่าง ถูกเอาเปรียบหลายๆ อย่าง แต่เขาเห็นว่าคุ้ม เขาตัดสินใจเดินตามพระเยซูต่อไป …

ลูกา 14:33 “ในทำนองเดียวกัน ไม่ว่าใครในพวกท่าน ที่ไม่ได้สละทุกสิ่งที่ตนมี เขาก็เป็นสาวกของเราไม่ได้”

 

เห็นไหมครับ? “ในทำนองเดียวกัน” ตามที่ยกตัวอย่างมาในข้อ 28-32 ให้คำนวณให้ดีๆ ว่าผลได้ผลเสียเป็นอย่างไร? คุ้มกันไหม?

“ในทำนองเดียวกัน คือไม่มีใครในพวกท่านที่จะมาหาพระเจ้า ก็คือที่ไม่ได้สละทุกสิ่งที่ตนมี เขาก็เป็นสาวกของเราไม่ได้” ก็คือถ้าจะเข้าสวรรค์ได้ ก็ต้องสละทุกสิ่งที่ตนมี หมายถึงอะไรตรงนี้?  หลายคนก็ยังเข้าใจผิด สละทุกสิ่งที่ตนมี หมายถึงการลงทุน ต้องแลกด้วยอะไรบางอย่าง  ถึงจะได้อะไรบางอย่าง เหมือนที่พระเยซูบอกไว้

เรื่องอาณาจักรสวรรค์ ชายคนหนึ่งออกไปทำการค้าขาย หลายประเทศเลย ไปเจอไข่มุกเม็ดงาม ซึ่งหมายถึงสวรรค์ พอรู้ว่าเป็นไข่มุกเม็ดงาม เม็ดเดียวนะ เขากลับมาที่บ้านเขา ขายหมดทุกอย่าง กิจการทุกสิ่ง ขายหมดเลย เพื่อจะเอาไปซื้อไข่มุกเม็ดนี้ นี่เหมือนกันลักษณะอย่างนั้น คำว่า “สละทุกสิ่ง” หมายถึงการมองข้าม การรักทุกสิ่งเหล่านี้น้อยกว่าการรักพระเยซูคริสต์ การรักที่จะอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ การจะติดตามพระองค์ต่อไป มองข้ามทรัพย์สมบัติ ลาภ ยศ สรรเสริญ และทิ้งสมบัติที่เป็นทรัพย์ ที่อยู่ในใจด้วย ตรงนี้สำคัญกว่า

ทรัพย์ที่อยู่ในใจ คือความเย่อหยิ่ง ความทะนงตน ความมั่นคง มั่นใจในความดี ที่ตนเองได้ทำความชอบธรรม ที่ตนเองได้สะสมการกระทำดีต่างๆ เหล่านั้นอย่างมากมายมาโดยตลอด โดยหวังจะพึ่งการกระทำดีของตนเองนี้ เพื่อจะได้ไปสวรรค์หลังความตาย เพราะว่าเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า

“เพราะว่าฉันรักษาบทบัญญัติได้มากกว่า มากกว่าคนบาปเหล่านั้นที่อยู่นอกวิหาร ที่ตีอกชกหัวตัวเอง บอกว่า ‘ฉันเป็นคนบาปๆ’”

แต่คนที่อยู่ในพระวิหาร พวกฟาริสีเหล่านี้บอกว่า … “ฉันชอบธรรม ฉันสมควรไปอยู่ในสวรรค์”

ที่พระเยซูยกตัวอย่างให้ฟัง

คนเหล่านี้ต้องสละทุกสิ่ง มองข้ามสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ที่เป็นลาภ ยศ สรรเสริญทั้งหมดบนโลกใบนี้ และหันมาสนใจในทรัพย์สมบัติในสวรรค์มากกว่า จงสั่งสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ มันแปลว่าอย่างนี้ สั่งสมทรัพย์ไว้ในสวรรค์ ไม่ใช่เอาเงินมาถวายโบสถ์ แล้วบอกว่าสั่งสมไว้ในสวรรค์ ไม่ใช่ อย่างนั้น

สั่งสมทรัพย์ในสวรรค์ ตรงนี้หมายถึงจะติดตามพระเยซูคริสต์ไปถึงที่สุด ไม่ว่าเรื่องนี้จะทำให้เราต้องสูญเสียอะไรก็ตาม สูญเสียสิทธิ สูญเสียฐานะในสังคม หรือสูญเสียความสัมพันธ์ที่มีต่อผู้คนที่เรารัก ในตำแหน่งต่างๆ เพราะเราเห็นแก่พระเยซู รักพระเยซูมากกว่า รักที่จะพึ่งพาการกระทำของพระเยซูมากกว่าพึ่งพาทรัพย์สมบัติเหล่านั้น พึ่งพาการกระทำของตนเองเหล่านั้น พึ่งพาความชอบธรรมของตนเอง รักที่จะเป็นผู้ชอบธรรม  ผ่านทางพระเยซูคริสต์กระทำให้ มากกว่าที่จะรักการพึ่งพาความชอบธรรมของตนเอง ที่ตนเองสั่งสมความดีต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งมันทำไม่ได้หมด ครบถ้วนบริบูรณ์ตามที่พระเยซูบอกแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ ที่จะทำครบถ้วนบริบูรณ์ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า มันเป็นไปไม่ได้ เลิกทำซะ หันมาพึ่งพระองค์ดีกว่า

เพราะฉะนั้น สรุปแล้ว สำหรับผู้ที่ยังไม่เชื่อ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ นี่เป็นความหมายของผู้ที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ที่เราอ่านไปทั้งหมดนี้ ในข้อพระคัมภีร์ลูกา บทที่ 14 นี้ พูดกับชาวยิวที่ยังไม่ได้เชื่อพระเจ้า ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า ยังไม่ได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์เลย แต่กำลังได้รับการประกาศ และให้เขาตัดสินใจที่จะเดินตามพระเยซูไปที่ไม้กางเขน เพื่อจะได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้เกิดใหม่เข้าสวรรค์ ตรงที่ไม้กางเขนนั่นแหละ

พระเยซูบอก … “จงแบกกางเขนและตามเรามา”

แบกความบาป คำสาปแช่งของท่าน แล้วตามเรามา ตามเราไปที่ไหน?  ตามเราไปที่นอกเมืองกรุงเยรูซาเล็ม ที่ท่านบอกว่าสกปรกนั่นแหละ นอกวิหารของพระเจ้า ในกรุงเยรูซาเล็ม ออกมาข้างนอก ไปไหน? เดินตามเรามา พระเยซูไปไหน? เดินออกนอกกรุงเยรูซาเล็ม แบกกางเขนของตนเอง ตามพระเยซู แบกกางเขนของตนเอง ถูกบังคับให้แบกบาปของพวกเราทั้งหลาย แบกไปที่ไหน? ออกนอกกรุงเยรูซาเล็ม ไปที่หุบเขาโกละโกธา หุบเขาหัวกะโหลก หุบเขาแห่งความสกปรกโสโครกทั้งหลาย มลทิน ซากศพทั้งหลายไปฝากไว้ เหม็นหึ่งเลย แต่พระองค์ทรงไปตายที่ไม้กางเขนที่นั่น และบอกให้เรา ที่จะติดตามพระองค์ แบกกางเขนของเรา เดินตามพระองค์ไป แล้วทำอะไร? เพื่อว่าเมื่อถึงที่ไม้กางเขนเมื่อไร? ถึงที่โกละโกธาเมื่อไร? เราก็จะถูกตรึงพร้อมกับพระองค์นั่นแหละ โดยฤทธิ์เดชอำนาจ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ติดตามไปถึงไม้กางเขนเมื่อไร พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็จะผ่าตัดวิญญาณของเรา เรียกว่าบัพติศมาเรา นำวิญญาณของเราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่ตายที่ไม้กางเขน เราทั้งหลายก็จะตายร่วมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน โดยการบัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ชีวิตเก่าของเราที่เป็นคนบาป เป็นคนแย่ เป็นคนอยู่ในอาดัม ก็ตายไปเลย ตายพร้อมพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน แล้วก็ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ก็อยู่ในพระเยซูคริสต์เหมือนกัน ถูกฝังในอุโมงค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ แล้ววันที่ 3 เป็นขึ้นจากความตาย เราทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นจากความตายด้วย ได้บังเกิดใหม่เข้าสู่สวรรค์ เป็นลูกของพระเจ้า นั่งอยู่ในสวรรคสถานทันทีเรียบร้อยแล้ว

นี่คือสำหรับคนที่ยังไม่เชื่อ พระเยซูได้ประกาศข่าวดีให้กับพวกเขาตั้งแต่สมัยโน้น คือให้ท่านที่ยังไม่เชื่อ ที่เป็นชาวยิว นี่พูดถึงชาวยิวก่อนนะว่าถ้ารับรู้อย่างนี้แล้ว พระองค์ประกาศว่าดังนั้น จงแบกกางเขนของตน แล้วตามพระเยซูไปที่โกละโกธา แล้วรับบัพติศมาในพระเยซูคริสต์บนกางเขนนั่นแหละ

บัพติศมา แปลว่าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน

นี่พระเยซูกำลังประกาศอย่างนี้ ประกาศให้กับคนที่ยังไม่เชื่อ

เพราะฉะนั้น ข้อความทั้งหมดนี้ เป็นข้อความที่พูดถึงคนที่ยังไม่เชื่อ ประกาศข่าวประเสริฐให้กับคนที่ยังไม่เชื่อ

สำหรับคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ในยุคปัจจุบัน หรือหลังจากเหตุการณ์นี้ หลังจากที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขนแล้ว และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 แล้ว คนที่รับเชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว เชื่อแล้ว ก็เท่ากับว่าเขาได้แบกกางเขนของตัวเอง และก็เดินตามพระองค์ไปที่ไม้กางเขน แล้วก็บัพติศมา ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ที่ไม้กางเขนนั้นเรียบร้อยไปแล้ว ข้อความเหล่านี้ จึงไม่ได้เป็นข้อความของเขาอีกต่อไป แต่เป็นอดีตของเขา พอเข้าใจไหมครับ? ไม่สามารถจะเอาตรงนี้ มาใช้กับคนที่เชื่อพระเจ้าได้

ยกตัวอย่างเช่น มีคนบอกเอาตรงนี้มาใช้กับคนที่เป็นคริสเตียน เชื่อพระเจ้าแล้ว คุณเชื่อพระเจ้าแล้ว คุณยังต้องแบกกางเขนของคุณอีก แบกทำไมล่ะ ก็มันจบไปแล้ว แบกกางเขน คือความบาปและคำสาปแช่ง  … ความบาปและคำสาปแช่ง พระเยซูเอาไปหมดแล้ว  ด้วยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเราก็ตายร่วมกับพระองค์ ตัวเก่าที่เราแบกอยู่นั้น มันตายไปแล้ว ไม่ต้องแบกแล้ว เราเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า น่าจะชื่นชมยินดี ในชีวิตใหม่ของเรา ที่ทั้งวิญญาณ ร่างกาย และความคิดจิตใจได้ถูกสร้างใหม่  2 โครินธ์ 5:17  ทุกสิ่งทุกอย่างใหม่เอี่ยมเลย จงชื่นชมยินดีเถิด จงขอบคุณพระเจ้าทุกกรณี ขอบคุณพระเจ้าตลอดเวลา จงปิติยินดีในพระเยซูคริสต์ เพราะท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว แล้ว แล้ว แล้ว รอรับแค่ร่างกายใหม่ เมื่อวันที่ท่านจากโลกนี้ไป รอรับร่างกายใหม่เท่านั้นเอง ท่านควรจะชื่นชมยินดี ไม่ใช่แบกกางเขน แล้วตามพระองค์อีก เอเมนไหม? นึกภาพออกใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น นี่คือสิ่งที่พระเยซูต้องการให้กับคนยิวที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ที่ยังไม่มีโอกาสได้ฟังข่าวประเสริฐของพระองค์ ได้ยินได้ฟังทั้งชนชั้นสูงและชนชั้นล่างทั่วๆ ไป ไม่ใช่สำหรับคนที่เชื่อแล้ว คนที่เชื่อแล้วต้องชื่นชมยินดีในตัวตนใหม่ของตัวเอง ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เพราะเป็นลูกพระเจ้า เหมือนพระองค์เป๊ะเลย น่ารัก นี่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ก็อยากจะบอกคนที่ยังไม่ได้เชื่อว่าให้ท่านตัดสินใจติดตามพระเยซูไป ตามไปวันนี้เลย ตามไปจนกว่าท่านจะได้บังเกิดใหม่ จนกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเข้าไปผ่าตัดวิญญาณของท่าน จนกว่าวันนั้น วันที่ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก็คือต้อนรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระคริสต์เข้ามาในร่างกายของท่าน พระองค์จะเข้ามาบัพติศมาท่าน ก็คือผ่าตัดท่าน เอาวิญญาณของท่านเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ตัวเก่าของท่าน ที่เต็มไปด้วยความบาปนั้น ก็จะตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และจะเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซูคริสต์ พร้อมกับพระเยซูคริสต์ เป็นลูกของพระเจ้า เข้าอยู่ในสวรรค์ทันที เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

 

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

ก่อนที่อาจารย์เปาโลจะกลับใจใหม่   ตำแหน่งเดิมของท่านยิ่งใหญ่มาก   เป็นคนมีฐานะดี   มีชื่อเสียงดี   มีคนนับหน้าถือตา   เป็นผู้ทรงอิทธิพลในหมู่ชาวยิว   ท่านเอาจริงเอาจัง   อดอาหาร   อธิษฐาน   ศึกษาพระคัมภีร์  ท่านตามฆ่าคริสเตียน  เพราะรักพระเจ้า

 

แต่เมื่อเปาโลพบพระเยซูคริสต์  ในระหว่างเดินทางไปดามัสกัส  เพื่อจับผู้เชื่อ   ท่านได้กลับใจใหม่  ยอมทิ้งทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง ชื่อเสียง  เกียรติยศ  เพื่อติดตามพระคริสต์  ถูกหาว่าเป็นคนทรยศ  ถูกคนยิวตามฆ่า  เปาโลก็ไม่ลดละที่จะประกาศพระคริสต์   เพราะท่านเห็นว่าพระเยซูคริสต์เป็นของแท้   การได้พระเยซูคริสต์มีค่ามากกว่าชื่อเสียงเกียรติยศที่ท่านเคยมี

 

เปาโลจึงพุ่งเป้าไปที่สวรรค์อย่างเดียว   พระพรนานาประการในสวรรค์สถานท่านได้รับแล้ว   การเป็นลูกของพระเจ้า   เป็นผู้ชอบธรรม  สะอาด บริสุทธิ์  เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า  เป็นเหมือนพระเจ้าเดี๋ยวนี้ทันที

 

ท่านก็ได้รับแล้ว   ท่านรอคอยอีกนิดเดียว  คือการได้ไปสวมร่างกายใหม่ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว   เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์   ตอนที่พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย   เต็มไปด้วยสง่าราศี   รวมทั้งโลกใหม่ที่พระเจ้าทรงสร้างให้ลูกๆ ของพระองค์  หลังจากโลกนี้ได้สูญสลายไป

 

นี่เป็นความหวังใจเดียวของผู้เชื่อในปัจจุบันเช่นเดียวกัน   ที่พวกเรารอเวลาจบงานของเราบนโลกใบนี้   เพื่อเราจะได้ไปสวมร่างกายใหม่ และอยู่ในโลกใหม่ที่สวยสดงดงาม  ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้  สำหรับลูกๆ ของพระองค์   ความหวังใจนี้ทำให้เราสามารถอดทน   และเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากในโลกใบนี้   ซึ่งเล็กน้อยมาก  ถ้าเทียบกับสง่าราศีนิรันดร์  ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เรา

 

ความหวังนี้ทำให้เราสามารถชื่นชมยินดีได้   เพราะเรารู้ว่าอีกแป๊บเดียว   เราก็ได้ไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้าแล้ว    พระเจ้าอวยพรครับ