คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน 2022
เรื่อง “ฉลองพระเจ้าเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างกายของมนุษย์”
โดย พาสเตอร์ นคร เวชสุภาพร
สัปดาห์ที่แล้ว วันเพ็นเทคอสต์ ตรงเป๊ะ เราได้ฉลองวันที่ประตูสวรรค์เริ่มเปิดรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ให้เข้าไปอาศัยอยู่กับพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ตราบชั่วนิรันดร์กาล เพราะว่ามีวันเพ็นเทคอสต์ที่พระเจ้าได้ทรงสถาปนาสวรรค์ บนโลกใบนี้นั่นเอง มนุษย์ทุกคนจึงสามารถมั่นใจได้ว่าเพียงแค่เปิดใจต้อนรับสวรรค์ผ่านทางองค์พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ก็จะได้รับการย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์เลยทันที ตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ โดยไม่ต้องพึ่งการกระทำของตนเองเลย แม้แต่นิดเดียว เปิดใจต้อนรับอย่างเดียว ไม่ต้องไปคิดว่าเราต้องทำอะไรดี หรือทำอะไรไม่ดีขนาดไหน? สะสมไว้มากขนาดไหนก็ตาม ไม่จำเป็นเลย เปิดใจต้อนรับความเป็นจริงในองค์พระเยซูคริสต์เท่านั้น ที่เราเรียกกันว่าข่าวดี ก็คือพึ่งในพระคุณของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์พระบุตร ผู้ทรงเป็นประตู เป็นทางไปสู่สวรรค์นั่นเอง พระองค์เป็นทางไปสู่สวรรค์ พระองค์ทรงทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราเข้าไปรับเองเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย
สัปดาห์ที่แล้ว วันเพ็นเทคอสต์ เราก็ได้สรุปไว้อย่างนี้ว่า …
(1) สวรรค์ลงมาตั้งอยู่แล้ว ประตูเปิดรอแล้ว
(2) ทุกคนที่จะเข้าสู่ประตูสวรรค์ ต้องได้รับการบังเกิดใหม่
(3) การบังเกิดใหม่ ต้องผ่านทางการต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น
นี่คือสรุป 3 อย่างที่เราได้ฉลองกันไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คือประตูสวรรค์เปิดรอแล้ว เมื่อวันเพ็นเทคอสต์ เมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว ใครที่ต้องการเข้าสวรรค์ ก็เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น เพราะพระองค์ทรงกระทำการเปิดประตูให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่ไม้กางเขน กระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว และอีก 50 วันต่อมา หลังจากที่พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ก็คือวันเพ็นเทคอสต์ วันที่ 50 สถาปนาความจริงนี้ และเมื่อใครก็ตามที่ต้อนรับความจริงนี้ ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดนี้ เขาก็จะได้บังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์ทันทีเลย มีการย้ายกันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ พอใครต้อนรับพระเยซูคริสต์ก็มีการย้ายออกจากอาณาจักรแห่งความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรแห่งความสว่าง ออกจากอาณาจักรของคนบาป มาสู่อาณาจักรของคนชอบธรรม ออกจากอาณาจักรของมนุษย์ที่ไม่รู้จักพระเจ้า มาอยู่ในอาณาจักรของมนุษย์ที่กลับคืนดีกับพระเจ้า จากอาณาจักรที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า มาเป็นอาณาจักรที่เป็นลูกของพระเจ้า ที่เรียกว่าสวรรค์นั่นเอง คือมาอยู่กับพระเจ้านั่นเอง
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับวิญญาณของเรา ในโลกวิญญาณที่ตามองไม่เห็น แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ แล้วเริ่มเกิดขึ้นเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว วันเพ็นเทคอสต์นั้น จนถึงวันนี้ มีผู้คนเข้ามาสู่สวรรค์อย่างนี้เยอะแยะมากมายนับไม่ถ้วน รวมทั้งเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ และรวมทั้งเราทั้งหลายที่กำลังฟังอยู่ทางบ้านด้วย เราทั้งหลายก็เข้าไปอยู่ในสวรรค์นั้น เพราะต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเรียบร้อยแล้ว มันเกิดขึ้นที่วิญญาณ พอเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ วิญญาณของเรา ได้ถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พูดง่ายๆ ว่าผ่าตัด นำพาวิญญาณของเรา เข้าไปสู่อาณาจักรฝ่ายวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์ทันที ณ วินาทีนั้น ที่เราต้อนรับสิทธิของเรา เพราะว่าสวรรค์เปิดประตูรออยู่แล้ว พระเยซูบอก พระองค์ทรงเคาะประตูหัวใจทุกคนๆ เคาะๆๆ
เคาะ ก็คือเรียกให้มาเข้าสวรรค์ ใครได้ยิน? คนที่ตั้งใจแสวงหาสวรรค์ของแท้ ก็จะได้ยินเสียงเคาะประตู เสียงเรียกร้องจากพระเยซูคริสต์ให้มารับสิทธิของเธอเถิด คือเข้ามาสวรรค์เถิด ก็เพียงแค่เปิดใจต้อนรับเท่านั้นเอง
นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ เมื่อใครก็ตามเปิดใจต้อนรับสวรรค์ เปิดใจต้อนรับข่าวดี เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระมาซีฮาห์ ส่วนร่างกายที่เรา จับต้องมองเห็นได้อยู่นั้น ก็ยังเป็นร่างกายเดิมอยู่ และยังคงต้องอยู่อย่างนี้ต่อไป รอจนกว่าจะสูญสิ้น ซึ่งตามภาษาของมนุษย์เรียกว่าตาย ร่างกายนี้ตาย ร่างกายนี้สูญสิ้น พระคัมภีร์บอกสูญสิ้นตามกำหนดกฎเกณฑ์ที่วางไว้ เพราะว่ามันถูกสาปแช่งไปแล้ว มันถูกลงโทษให้สูญสิ้นไป รอเมื่อไรวิญญาณที่จะออกจากร่าง ที่ตาย สูญสิ้นนี้ ไปรับร่างกายใหม่ คือร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ นี่คือขบวนการของการบังเกิดใหม่ทางฝ่ายวิญญาณและทางฝ่ายร่างกายด้วย …
อันดับแรก เราต้องเรียนรู้ก่อนว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ อาศัยอยู่ในร่างกาย และเป็นวิญญาณที่ตายจากพระสิริของพระเจ้า เป็นร่างกายที่ตายจากพระสิริของพระเจ้า วิญญาณนั้นเรียกว่าตายอยู่ แต่มันจะอยู่นิรันดร์ อยู่ไปตลอด เพราะเป็นวิญญาณ ไม่มีตาย ไม่มีวันสูญสิ้น แต่ในร่างกายที่สวยงามนั้น มันมีวันตาย มันมีวันสูญสิ้น ซึ่งก่อนที่จะตกลงไปในความบาปนั้น มันไม่มีการสูญสิ้น มันอยู่ไปตลอด แต่กลับกลายเป็นต้องถูกโทษของการกบฏ ของการไม่เชื่อฟังของความบาป จึงเกิดกฎของความบาปและความตายปกคลุมเข้ามาอยู่เหนือเผ่าพันธุ์มนุษย์ มนุษย์ทุกคนจึงมีวิญญาณที่ตายจากพระเจ้า และร่างกายที่ต้องสูญสิ้น ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สถาปนาสวรรค์ สถาปนาการช่วยให้รอดของมนุษย์ทุกคน ช่วยเหลืออย่างไร? ก็คือให้มนุษย์สามารถที่จะมีวิญญาณ ที่ได้บังเกิดใหม่ พร้อมพระองค์ และไม่ใช่ชีวิตฝ่ายวิญญาณเท่านั้น ที่ได้เกิดใหม่ แต่ทั้งชีวิต ก็คือทั้งวิญญาณและร่างกายเรานั้น ได้บังเกิดใหม่พร้อมพระเยซูคริสต์เลย
ฟังให้ดีๆ พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย เพื่อเป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่างให้กับมนุษย์ทุกคนที่เชื่อในพระองค์นั้น จะได้เป็นขึ้นจากความตาย ทั้งวิญญาณและร่างกายเหมือนพระองค์เลย วิญญาณเกิดขึ้นเมื่อต้อนรับสิทธิ ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไป ทำให้วิญญาณข้างใน จากตายจากพระเจ้า กลับมาคืนดีกับพระเจ้า เกิดใหม่เลย วิญญาณเกิดใหม่แล้วนะ แต่ยังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิมอยู่ ซึ่งเป็นร่างกายที่พระเจ้าสัญญาแล้วว่าจะต้องได้รับการบังเกิดใหม่เหมือนกันกับพระเยซูคริสต์ คือเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง เรียกว่าร่างกายสวรรค์
ถามว่าแล้วมันจะเกิดขึ้นเมื่อไร? มันยังเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะว่ายังอยู่ในกฎเดิม อยู่ในกฎของความบาปและความตายอยู่ ร่างกายเดิมยังอยู่ในคำสาปแช่งอยู่ มันจะต้องรอวันสิ้นสุดลง ก็คือหมดลมหายใจ กลับไปเป็นดิน วันนั้นแหละ วันที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า จะชุบ หรือว่าทำให้คนนั้นเป็นขึ้นจากความตาย มีร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนกัน เราจึงเห็นภาพแล้วนะว่าพอเชื่อพระเยซูปุ๊บ วิญญาณเกิดใหม่ รอร่างกายเก่าหมดไปเมื่อไร? ร่างกายใหม่รออยู่แล้ว วางอยู่แล้ว แต่ยังสวมไม่ได้ สวมเมื่อวิญญาณออกจากร่างนี้
ช่วงที่รอ พระคัมภีร์เขียนไว้ ในช่วงที่วิญญาณของเราอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว เกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังอยู่ในร่างกายเดิมอยู่ ยังอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ซึ่งเป็นร่างกายที่อ่อนแอ และก็วุ่นวายบนโลกใบนี้ ความทุกข์ยากบนโลกใบนี้ พระคัมภีร์บอก มันเป็นแค่ช่วงเวลานิดเดียวเอง ชั่วขณะหนึ่ง ชั่วแป๊บเดียว คือเพียงชั่วคราวเท่านั้น ถามว่าเมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ แล้วบังเกิดใหม่ เข้าสู่สวรรค์เรียบร้อยแล้ว ร่างกายเราจำเป็นต้องอยู่บนโลกใบนี้ แล้วเราก็เป็นลูกพระเจ้าที่อยู่ในสวรรค์ แต่ขณะเดียวกันอยู่ในร่างกายบนโลกใบนี้ ทนทุกข์ลำบากกับความวุ่นวายของโลกใบนี้ อยู่นานเท่าไร? แค่ชั่วขณะเดียว แป๊บเดียวเอง
ในชั่วขณะหนึ่งเท่านั้นเอง ที่เรายังต้องใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นโลกที่ถูกสาปแช่งไปแล้ว ตามกฎเหมือนเดิม กฎของความบาปและความตายปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ ทั้งหมดเลย รวมทั้งสรรพสิ่งทั้งหลายบนโลกใบนี้ทั้งหมด และรวมทั้งร่างกายของเราด้วย และกฎของคำสาปแช่งนี้ กฎของความบาปและความตายนี้ เป็นตัวกำหนดว่าอย่างไรเราก็ต้องสูญสิ้นด้วย เกิดมาเพื่อตาย นี่คือความจริงของบรรดาสรรพสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ คือเกิดปุ๊บ วิ่งไปสู่ความแก่ แก่บางคนนึกภาพคนแก่ๆ ไม่ใช่ เกิดแล้วมาแก่ แก่หมายถึงวิ่งไปสู่ความสูญสิ้น เกิดมาเป็นทารก 1 เดือน ไปครบปีหนึ่ง เป็นอายุ 1 ขวบ ก็แก่ลง 1 ขวบ วิ่งไปสู่ความตาย ใกล้ความตายเข้าไปอีก 1 ขวบ เพราะเป็นกฎของพระเจ้าที่วางไว้ นี่คือโทษของความบาปและความตาย คือหลุดจากพระสิริของพระเจ้า ส่วนความตายนั้น ต้องสูญสิ้น วัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ ทุกอย่าง ต้นไม้ โลกทั้งใบ ต้องสูญสิ้นทั้งสิ้น นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
ชีวิตที่หลังจากเชื่อแล้ว ที่เราอยู่บนโลกใบนี้ โลกที่ถูกสาปแช่งไปแล้ว เสียหายไปแล้ว การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จึงเต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก เต็มไปด้วยความสับสน เต็มไปด้วยความชั่วร้าย เพราะว่าไม่มีชีวิต ไม่มีความดีงาม ที่เรียกว่าพระสิริของพระเจ้าปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้เลย พระสิริของพระเจ้าอยู่แค่ในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์นำฝ่ายวิญญาณเข้ามาเท่านั้น ต้องรอให้โลกวัตถุ โลกที่จับต้องมองเห็นได้ มันสูญสิ้นไปเสียก่อน แล้วพระเจ้าสัญญาและกระทำแล้ว ก็คือสร้างสรรพสิ่งใหม่ทั้งหมดให้เรียบร้อยเลย คือร่างกายเรา ก็ร่างกายใหม่ สรรพสิ่งทั้งหลาย ก็สรรพสิ่งใหม่ทั้งสิ้น นี่คือคำสัญญา
ซึ่งเมื่อเรารับรู้ความจริงแล้วว่าพอเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ทันทีปุ๊บ เราได้บังเกิดใหม่ วิญญาณเราใสสะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์เลย เข้าไปอยู่ในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว เรารู้ เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ย้ำยืนยันอยู่ในใจของเรา อยู่ในวิญญาณของเรา เรารู้เพราะว่าวิญญาณเรามีจริงๆ และเราบังเกิดใหม่จริงๆ เรารู้ เพราะเราเริ่มต้นเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ บังเกิดใหม่ เราจึงเข้าใจ สามารถได้ยินเสียงของพระเยซูคริสต์ เสียงของฝ่ายวิญญาณ เพราะเราเกิดใหม่แล้วนั่นเอง พอเรารู้ว่าในวิญญาณเราเป็นใคร? เป็นลูกของพระเจ้า มีค่ามหาศาลเท่าไรในวิญญาณของเรา เราก็สามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เต็มล้นไปด้วยความหวัง
นี่แหละคือความหวังของคนเป็นคริสเตียน ความหวังของคนที่บังเกิดใหม่ ก็คือความหวังที่ได้รับไปเรียบร้อยแล้ว 99.99% ก็คือวิญญาณใหม่ ที่อยู่กับพระเจ้าแล้ว สะอาด บริสุทธิ์ บังเกิดใหม่แล้ว เพียงแต่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เพียงชั่วคราว ชั่วขณะหนึ่ง แป๊บเดียว คือความหวัง เพราะอีกแป๊บเดียว เราก็จะได้รับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าสร้างให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย รอวันหมดร่างกายนี้เท่านั้นเอง และก็ไปสวมร่างกายใหม่ นี่คือความหวัง
ถ้าเรารับรู้ความจริงเหล่านี้ คนนั้น ก็จะมีความอดทน อดกลั้น อดทนในการรอคอยวันนั้น วันที่จะได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมไว้ให้ เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ หรือจะเรียกว่าเป็นวันที่เราตายจากร่างกายนี้ คือร่างนี้หมดอายุขัยไปเรียบร้อยแล้ว เลือกเอาอันใดอันหนึ่ง เอาอันแรกรู้สึกมันเพราะกว่านะ คือรอวันตาย ก็ใช่ แต่วันตายอย่างมีความหวังว่าเมื่อไรจะหมดร่างเก่านี้ สวมร่างใหม่ ในโรม 8:24-25 ได้บันทึกอย่างนี้ นี่คือความหวังของเหล่าคริสเตียน ที่บังเกิดใหม่แล้ว ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว เชื่อในการกระทำของพระองค์ในวันเพ็นเทคอสต์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว …
โรม 8: 24-25 “24 เพราะว่าในความหวังนี้ เราได้รับความรอดแล้ว แต่ความหวังที่เห็นได้นั้น ไม่ใช่ความหวังเลย ใครเล่าหวังในสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้ว 25 แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี เราย่อมรอคอยสิ่งนั้น ด้วยความอดทน”
“เพราะว่าในความหวังนี้” ความหวังนี้ ก็คือความหวังที่จะได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย จะเป็นขึ้นจากความตายได้อย่างไร? ก็ต่อเมื่อร่างกายเดิมนี้มันตายก่อน ตายแล้ว พระวิญญาณจึงจะได้ชุบเราให้เป็นขึ้นจากความตายจากพระเยซูคริสต์ ฝังไว้ในอุโมงค์ ของเราตายปุ๊บ เราก็ได้รับร่างกายใหม่ทันที นี่คือความหวังของเรา
ในนี้บอกว่า … “เพราะว่าในความหวังนี้ เราได้รับความรอดแล้ว” เห็นไหมครับ? ในความหวังนี้ ขณะเดียวกัน วิญญาณเรารอดแล้ว วิญญาณเราอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้ว แต่ความหวังที่เห็นได้นั้น ใครเล่าหวังในสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้ว หวังเพราะว่ามันยังไม่ได้ไง แต่รู้ว่ามันได้แน่นอน หวังเพราะว่ามันอยู่ในร่างกายเดิมนี้ นี่คือความหวังของคนที่เป็นคริสเตียน และพระเจ้าไม่เพียงแค่ให้ความหวังนิรันดร์กับเราเท่านั้น มีความหวังว่าวิญญาณของเรานั้นได้บังเกิดใหม่ เป็นชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้ ที่ท่านเดินอยู่บนโลกใบนี้ แต่ยังให้ความหวังเราว่าร่างกายที่เราจะได้รับใหม่ เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์นิรันดร์เช่นเดียวกัน
พระองค์ให้ความนิรันดร์อย่างนี้กับเรา เรามีความหวัง ท่านคิดว่าพอไหม? สมมติว่าพระเจ้าให้เราบังเกิดใหม่ วิญญาณเป็นเหมือนพระเจ้า ได้รับชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า อยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถานแล้ว ร่างกายใหม่ ก็จัดเตรียมไว้ให้แล้ว รอให้ร่างกายเก่ามันสูญสิ้น มันตายก่อน แค่นี้ก็มีความหวังพอแล้วนะ แต่พระเจ้าไม่หยุดแค่นั้น ความรักของพระเจ้ามีมากกว่านั้นอีก
ท่านลองคิดดูนะ ขณะที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ ชั่วขณะหนึ่งใช่ไหม? ความเป็นจริง ก็คือโลกที่เสียหาย โลกที่ถูกสาปแช่งนี้ เราจำเป็นจะต้องดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องเผชิญกับความโหดร้ายของโลกใบนี้อยู่ ในขณะที่ข้างในเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว แต่รออีกแป๊บหนึ่ง แต่พระเจ้าก็พอเห็นแล้วว่าเราอยู่ในความชั่วร้ายของโลกใบนี้ อยู่ในความทุกข์ทรมาน อยู่ในความเจ็บกาย เจ็บใจ พูดง่ายๆ ทุกข์ทรมานอยู่ พระเจ้าจึงไม่ปล่อยให้เราอยู่แค่นั้น นี่คือเหตุของหัวข้อในวันนี้ ก็คือ “ฉลองพระเจ้าเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างกายของมนุษย์” ชื่อเรื่องของวันนี้
ถ้าปล่อยเราเป็นอย่างนั้น ยังไงเราก็ได้รับความรอดอยู่ดี ยังไงเราก็ไปสวรรค์อยู่ดี วันหนึ่งออกจากร่างกายนี้ เราก็ไปรับร่างกายใหม่ แค่นั้นก็พอแล้ว
พระเจ้าบอก … “ไม่ได้ๆ ลูกของฉันต้องอยู่อย่างสุขสบายที่สุด เท่าที่ทำได้”
พระองค์ก็เลยบอกว่าพระองค์จะไม่ทอดทิ้ง ให้เราต้องเดินลำพังคนเดียว พระองค์จะอยู่กับเรา ในชั่วแป๊บเดียว ที่ทนทุกข์ทรมานอยู่บนโลกใบนี้ ที่ชั่วแป๊บเดียว รอให้มันจบร่างกายนี้ไปก่อน แม้มันจะแป๊บเดียวก็ตาม
“แต่พ่อจะไม่ยอมให้เราอยู่ลำพัง พ่อจะเข้าไปช่วย”
โรม 8:26 “ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณทรงช่วยเรา ในยามเราอ่อนแอ เราไม่รู้ว่าเราควรอธิฐานขอสิ่งใด แต่พระวิญญาณเองทรงอธิษฐานวิงวอนแทนเรา ด้วยการคร่ำครวญที่ไม่อาจหาถ้อยคำใดมาบรรยาย”
“ในทำนองเดียวกัน” ก็หมายถึงว่าเรารอคอย คร่ำครวญด้วยความหวัง ในร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เราจะได้รับหลังความตาย เราก็คร่ำครวญด้วยความหวังนี้ อยากจะไปได้รับร่างกายใหม่ เป็นความหวังแห่งความชื่นชมยินดี หลังจากความทุกข์นี้ ก็คือหลังจากดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ชั่วขณะหนึ่ง เราก็เป็นอย่างนั้นเหมือนกัน เหมือนกับผู้หญิงที่กำลังจะคลอดบุตร ที่เจ็บครรภ์ ทุกข์ทรมาน แต่ก็มีความหวัง เจ็บครรภ์แป๊บเดียวเอง เดี๋ยวก็จะได้เห็นลูกที่รักแล้ว ชื่นชมยินดี มีความหวังในความชื่นชมยินดีที่จะได้เห็นลูกในครรภ์ตนเองในไม่ช้า เราก็จะมีความหวังอย่างนั้นแหละ คือวิญญาณข้างในจะคร่ำครวญ คร่ำครวญอยากจะจากโลกนี้ไปเร็วๆ แล้วก็ได้รับร่างกายใหม่ หมดทุกข์ หมดโศก หมดโรค หมดภัยสักทีหนึ่ง แต่ก็เป็นไปตามระบบของโลกใบนี้ โลกมันยังไม่สูญสิ้น ก็ต้องรอ แต่ขณะเดียวกัน รอแป๊บเดียว ทุกข์ทรมาน แต่มีความหวัง มองไปข้างหน้าแล้ว จะได้ชื่นชมยินดี เห็นไหมครับ!
เราที่เชื่อพระเจ้าแล้ว ได้เกิดใหม่แล้ว ร่างกายภายนอกนี้ ก็ทุกข์เหมือนกับหญิงมีครรภ์ เหมือนกัน เราก็ครวญครางอย่างนั้นแหละ แล้วเราก็ตั้งความหวังในความทุกข์นี้ว่าเราจะรอคอยวันนั้น วันที่เราได้รับร่างกายใหม่เหมือนพระเยซู ตามที่พระเจ้าสัญญาให้ไว้ จะได้หมดทุกข์ หมดโศกเสียทีหนึ่ง
นี่วิญญาณของเราจริงๆ คริสเตียนจริงๆ ผู้ที่เชื่อแล้วจริงๆ เกิดใหม่แล้วจริงๆ ก็จะเป็นอย่างนี้ ข้างในมันครวญครางตลอดเวลา มันไม่อยากจะอยู่หรอก แต่มันจำเป็นต้องอยู่ แต่พระเจ้าทรงทราบดีว่ามันทุกข์ขนาดไหน? พระเจ้าจึงเข้ามาอาศัยอยู่กับเราด้วย ซึ่งไม่ใช่อย่างที่ตะกี้นี้บอก ไม่ใช่ร่างกายเราเท่านั้นที่ต้องตาย แต่สรรพสิ่งทั้งหลาย โลกใบนี้ทั้งใบ ก็จะถึงการดับสูญสิ้น และพระเจ้าสัญญาว่าสรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ก็จะได้รับการสร้างขึ้นใหม่ด้วย เป็นบ้านของเราใหม่ ลูกเกิดใหม่ บ้านก็ใหม่ด้วย เรา หมายถึงมนุษย์ที่เชื่อในพระองค์ ที่ได้บังเกิดใหม่และสรรพสิ่งทั้งหลาย ทุกสิ่งต่างรอคอยวันสิ้นโลก เราที่บังเกิดใหม่แล้ว เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ อยู่ในร่างกายเดิมนี้ เรามีความหวัง รอคอยวันสิ้นโลก ถ้าโลกยังไม่สิ้น เราสิ้นก่อน ก็เหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งต่างรอคอยวันสิ้นโลก และในการคร่ำครวญนี้ พระวิญญาณก็จะคอยช่วยเหลือเรา พอมองเห็นหรือยัง? เพราะมันทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับเรา เข้ามาเป็นกำลังให้กับเรา มาช่วยเรา ในยามที่ร่างกายของเราอ่อนแอ
อ่อนแอ เพราะอยู่ในกฎของความบาปและความตาย ถูกสาปอยู่
ในยามที่ร่างกายเราอ่อนแอ พระวิญญาณก็จะคอยหนุนเราช่วยเหลือเรา ในยามที่เราต้องทนทุกข์ลำบาก ในยามที่เราต้องเผชิญกับความวิปริตของโลกใบนี้ อะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่รู้เรื่องเลย โควิดนึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป เศรษฐกิจแย่ก็แย่ จะเกิดสงคราม ก็จะเกิด อะไรอย่างนี้ ยังมีความเสียหายจากธรรมชาติต่างๆ เพราะว่ามันถูกสาปแช่งไปแล้วโลกใบนี้ พระวิญญาณก็จะมาช่วยเรา คร่ำครวญไปกับเราด้วย ที่วิญญาณของเรา ตอนที่เราคร่ำครวญ ตอนที่เราเจ็บป่วย รักษาไม่หาย เจ็บโน่น ปวดนี่ ทรมานนั้น พระวิญญาณทรมานไปกับเราด้วย คร่ำครวญไปกับเราด้วย นี่มันหมายถึงอย่างนั้น
ตอนที่เราป่วย รักษาไม่หาย ในยามที่เราล้มละลาย ขาดทุน เงินไม่พอใช้ โควิดเอาไปหมดเลย ทั้งกิจการงาน การเงิน และความสุขในชีวิตของเราออกไป เราทุกข์ทรมานมาก เรารอคอย ขณะนั้น เราไม่ไหว แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่กับเรา ให้กำลังกับเรา ครวญครางไปกับเราด้วย เราทุกข์ พระองค์ก็ทุกข์ด้วย นึกภาพให้ดีๆ เราไม่ได้ทุกข์ไปคนเดียว พระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา
นี่คือความเมตตาของพระเจ้ามากเลย ไม่ให้เราอยู่ลำพัง เพราะรู้แล้วว่าเราอยู่บนโลกใบนี้ มีแต่ความทุกข์ยากลำบาก มีแต่ความน่ากลัว เหมือนที่พระเยซูคริสต์บอก ท่านอยู่บนโลกนี้ ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดา พระวิญญาณก็จะช่วยเรา สถิตอยู่กับเรา ครวญครางไปกับเรา ในยามที่คนที่เรารัก จากไปก่อน คือการสูญเสีย เศร้าไหม? เศร้า ในยามที่เราเจ็บปวด ยาแก้ปวด ก็ช่วยไม่ได้ ไม่มียาอะไรช่วยได้เลย พระวิญญาณครวญครางไปกับเรา อยู่ภายในเรา
นี่คือความหวังเดียวที่สามารถประคับประคองชีวิตของเราให้เดินต่อไปได้ นี่คือพระคุณของพระเจ้า ที่ไม่ได้ช่วยเราให้รอดพ้น แล้วไปอยู่ในสวรรค์กับพระองค์เท่านั้น แต่ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดา พระองค์ไม่ทิ้งเรา แต่อยู่กับเรา เป็นความหวังเดียวที่สามารถประคับประคองชีวิตของเราได้ ความจริงนี้ ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างสันติสุข ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากได้ ก็คือเราเต็มไปด้วยสันติสุข ในการรอวันนั้น วันแห่งความรอดที่ครบถ้วนบริบูรณ์ คือวิญญาณเรารอดเรียบร้อยแล้ว เรารอวันนั้น วันที่เราจะได้รับร่างกายใหม่ ครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระเยซูคริสต์ วันที่เราจะได้รับร่างกายใหม่ สรรพสิ่งก็ได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ หลุดจากโลกอันเสื่อมโทรมนี้ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ที่สมบูรณ์ ครบถ้วนบริบูรณ์ คือวิญญาณเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และเป็นเหมือนพระเจ้า และร่างกายที่เราสวมอยู่นั้น ก็เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เป็นขึ้นจากความตาย และเราก็ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว เราอยู่ในโลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่หมดเลย แม้สัตว์ต่างๆ ที่ท่านรัก ก็อยู่ด้วย แล้วมันถูกสร้างใหม่แล้ว เช่นเดียวกัน
นี่แหละ ดูความเมตตาของพระเจ้า ดูความห่วงใยของพระเจ้า ดูความรักของพระเจ้าสิ ละเอียดอ่อนมาก เล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ทิ้งเรา แม้ว่ามันจะชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น …
“มันแป๊บเดียวเองนะ ลูกเอ๋ย แต่ไม่เป็นไร พ่ออยู่ด้วย”
และในขณะที่เราอยู่ในการรอคอยวันนั้นอยู่ พระวิญญาณก็จะคอยช่วยเรา ตอนที่เราอ่อนแอ คิดอะไรไม่ออก พูดไม่ออก บอกไม่ถูก อธิษฐานไม่ได้ เคยเป็นไหม? เคยเผชิญอะไรแบบนี้ไหม? คิดไม่ออก บอกไม่ถูก เพลีย เหนื่อย เจ็บ ปวด โอ๊ย นั่นแหละ เมื่อเราอ่อนแอเท่าไร? ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ก็ทวีคูณขึ้นเต็มขนาดที่นั่น ที่ตัวเรา ที่อ่อนแออยู่นั้น
พระวิญญาณอยู่ด้วยความรักและความห่วงใยของพระเจ้านั่นเอง ที่มีต่อมนุษย์ทุกคน พระองค์ห่วงใยมาก อยากให้เขามาเชื่อในข่าวดี ในพระบุตร พระเยซูที่พระองค์ทรงประทานให้ เพื่อจะได้เข้าสู่สวรรค์ พอเขาเปิดใจต้อนรับเข้าสู่สวรรค์แล้ว ก็ยังห่วงอยู่ว่าจะยังอยู่บนโลกใบนี้ อีกกี่ปี? ทุกข์ทรมานอีกกี่ปี ถึงแม้เขาจะรอดแล้วก็จริง ไม่ได้หรอก ต้องให้เขาได้ดีที่สุด ได้หายเหนื่อยที่สุด ทำให้ดีที่สุด ก็คือเข้าไปสถิตอยู่กับเขา เพราะความรัก พระองค์จึงเข้ามาอาศัย สถิตอยู่ด้วย เพื่อช่วยเหลือ เพื่อนำพา ให้กำลังใจ สนับสนุนเรา แม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาแค่สั้นๆ ก็ตาม เทียบกับชีวิตนิรันดร์ เทียบกันไม่ได้เลย การดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จนกว่าร่างกายเราจะสูญสิ้นไป มันแป๊บเดียวเอง แต่แป๊บเดียว พระองค์ก็ไม่ยอม เพราะรักเรามาก ห่วงใยเรามากเลย ในยอห์น 14:23 บันทึกไว้อย่างนี้ …
ยอห์น 14:23 “พระเยซูตรัสตอบว่า “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขา และอยู่กับเขา”
คืออย่างนี้ พระเยซูกำลังพูดถึงความเป็นจริงของการบังเกิดใหม่ว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะรักพระเยซูได้จริงๆ หรอก
เพราะภาษาเดิมตรงนี้ “ถ้าผู้ใดรักเราจริงๆ” ไม่มีใครสามารถรักพระเยซูคริสต์ได้จริงๆ ถ้าคนนั้นไม่ได้บังเกิดใหม่ ไม่มีใครในโลกเลย สามารถรักพระเยซูได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่ เพราะเมื่อเขาไม่ได้บังเกิดใหม่ เขายังมีชีวิตเดิม ชีวิตเดิมเป็นวิญญาณที่อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า เป็นวิญญาณที่ต่อต้านพระเจ้า เป็นวิญญาณบาป เป็นวิญญาณที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นวิญญาณที่ไม่สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้ วิญญาณที่ไม่สามารถรักพระเจ้าได้ วิญญาณที่ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ เพราะฉะนั้น เราก็ยังคงเป็นศัตรูอยู่ภายใน ถ้าเราไม่ได้เกิดใหม่ เราก็ไม่ได้เป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง เพราะเราไม่ได้บังเกิดใหม่ เราก็ไม่ได้เป็นแกะของพระองค์ เพราะฟังเสียงของพระองค์ก็ไม่ได้ยิน ฟังถ้อยคำของพระองค์แล้ว ก็ไม่เข้าใจ ไม่ได้ยินเสียงของพระองค์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะเกิดได้ ต้องบังเกิดใหม่ในวิญญาณเท่านั้น
พระเยซูกำลังบอกว่าถ้าท่านได้บังเกิดใหม่เมื่อไร? ท่านก็จะเต็มไปด้วยความเชื่อฟังต่อเรา เพราะเป็นพวกเดียวกับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราแล้ว ความเชื่อนี้ เป็นของประทานเกิดขึ้น จากการบังเกิดใหม่นั้น เรียกว่าเกิดใหม่ปุ๊บ เป็นลูกแห่งการเชื่อฟังเลย พระคัมภีร์ใช้คำนี้
พอเกิดใหม่ เป็นลูกแห่งการเชื่อฟังแล้ว อะไรเกิดขึ้น … “พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขา แล้วอยู่กับเขา”
พูดง่ายๆ พระบิดาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู และพระวิญญาณ ทั้ง 3 พระภาค จะเข้ามาทำบ้าน อาศัยอยู่ในตัวเขา ตอนที่เขาบังเกิดใหม่ทันที เข้าสวรรค์ทันทีปุ๊บ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ทันที ทำไมต้องมาสถิตอยู่ ก็ตะกี้นี้ ที่บอก เพราะความรัก ความห่วงใย แม้ว่าจะชนะแล้วก็ตาม ไม่อยากปล่อยให้ลูกต้องเผชิญกับความทุกข์ลำบากเกินกว่าเหตุ เกินกว่าที่จะรับได้ บนโลกใบนี้ แม้ชั่วขณะหนึ่งก็ตาม ต้องแก้ไข ต้องพยายามหาทางช่วย
เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว จะมีอัศจรรย์เกิดขึ้น ทั้งโลกฝ่ายวิญญาณและโลกฝ่ายร่างกาย ฝ่ายวัตถุ อย่างนี้ ฟังให้ดีๆ นะ อัศจรรย์ที่เกิดขึ้น เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ พอเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาในตัวเราปุ๊บ โลกฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้น คือพระวิญญาณของพระเจ้าจะเสด็จเข้ามา ทำขบวนการการบังเกิดใหม่ ให้เราบริสุทธิ์ กลับคืนดีกับพระเจ้า ย้ายวิญญาณของเรามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าทันที นี่คืออัศจรรย์หนึ่งแล้วนะ
อัศจรรย์สอง คือโลกฝ่ายร่างกาย คือร่างกายเราปัจจุบัน พอเรารับเชื่อปุ๊บ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค พระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์ จะเข้ามาอาศัยอยู่ในร่างกายของเราทันที เพื่อคอยช่วยเหลือเรา ในระหว่างดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ฮาเลลูยา
นี่คือสิ่งที่อัศจรรย์มากๆ เลย คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้น คือเราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าในโลกฝ่ายวิญญาณ ในโลกวัตถุ คือร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ ที่ต้องตายอยู่นี้ ที่ต้องเผชิญกับปัญหาการกินการอยู่ อะไรต่างๆ เหล่านี้ โรคภัยไข้เจ็บเหล่านี้ พระเจ้าจะเข้ามาอยู่ด้วย เอเมนไหม?
“พระเจ้าอยู่ในตัวฉัน”
พอพูดถึงพระเจ้า ต้องนึกถึง 3 พระภาคเลย เพราะว่าทั้ง 3 พระภาคเป็นหนึ่งเดียวกัน
“พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงสถิตอยู่กับฉัน เมื่อวันที่ฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด”
มีสถานที่หนึ่ง ในร่างกายของเรา นึกถึงตัวเอง มองดูในกระจก มีสถานที่หนึ่งในร่างกายของเรา ที่เป็นสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “อภิสุทธิสถาน” ที่พระเจ้าสถิตอยู่ เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์มาก บริสุทธิ์มาก ที่นั่นก็คือที่วิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ ถ้าไม่เกิดใหม่ เข้ามาไม่ได้ เพราะเข้ากันไม่ได้ เป็นศัตรูกัน แต่พอเกิดใหม่ ได้กลับคืนดีกับพระเจ้าแล้ว มีวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว พระเจ้าเข้ามาได้
เพราะฉะนั้น สถานที่สถิตของพระเจ้า อยู่ที่วิญญาณของฉันที่บังเกิดใหม่แล้วนั้น ซึ่งอยู่ในร่างกายนี้ ฉันเดินไปไหน? ฉันเป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า ที่พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ไปด้วยกันตลอดเวลา ตอนหลับอยู่ด้วยไหม? ตอนขับรถ โมโหโกธา ว่าเขาเสียๆ หายๆ พระองค์อยู่ด้วยหรือเปล่า? หรือว่าออกไปก่อน 1 โครินธ์ 3:16 …
1 โครินธ์ 3:16 “ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่าน”
“ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือ?” หมายความว่าท่านทั้งหลายควรจะรู้ เพราะพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน ท่านเดินไปไหนมาไหน? พระวิญญาณจะพูดตลอดๆ เพียงแต่ท่านสังเกตหน่อยหนึ่งเท่านั้นเอง ตระหนักหน่อยหนึ่ง ท่านก็รู้แล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น หมายถึงทุกคนที่เชื่อในพระเจ้า จะรู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน เดี๋ยววันหนึ่งก็ต้องรู้
“ท่านทั้งหลายรู้แล้วไม่ใช่หรือว่าพวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้า” เป็นวิหาร “และพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่ในพวกท่าน” พอบอกพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า จงนึกถึง 3 พระภาค ไม่ว่าจะพูดถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา พระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา พอพูดชื่อใดชื่อหนึ่ง นึกถึง 3 พระภาคเลย เพราะว่าทั้ง 3 เป็นหนึ่งเดียวกัน
พระเจ้าสถิตอยู่ เพื่ออะไร? ในหนังสือสดุดี เผยพระวจนะเรื่องนี้ไว้ เพื่อดูแลรักษาวิญญาณที่พระองค์ทรงไถ่ ทรงได้ให้บังเกิดใหม่นั้น ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ และพระองค์ไม่เคยหลับไหล
พระองค์ทรงดูแลวิญญาณที่พระองค์ทรงไถ่ ทรงให้กำเนิด เป็นลูกของพระองค์แล้ว โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระหัตถ์ทรงฤทธิ์ของพระองค์ ไม่มีวันหลับไหล ก็คืออย่างที่ตะกี้นี้ผมบอก ขณะที่เราหลับ พระองค์ก็ตื่นอยู่ คอยดูแลตลอดเวลา ดูเราในฐานะเป็นลูกที่รักดั่งแก้วตาดวงใจ ในวันที่เรากำลังเจ็บปวด งอนพระเจ้า เดินหน้าเชิดใส่พระเจ้า ไม่อธิษฐาน ไม่เอาแล้ว ไม่เชื่อแล้ว พระเจ้าก็เดินตามเราด้วย พอเราสงบสติอารมณ์ปุ๊บ
พระเจ้าถาม … “ยังรักเราไหม?”
“รักครับ ขอโทษทีพระเจ้า ช่วยลูกด้วย”
นี่คือหน้าที่ของพระเจ้า ที่เป็นหน้าที่ของความรัก ห่วงใย ดุจดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์
วิหารของพระเจ้า คืออะไร? วิหารของพระเจ้าตรงนี้ ชาวยิวจะรู้ดีเลย พระเจ้าได้ให้ชาวยิว ทำวิหารจำลอง สถานที่สถิตของพระเจ้า บนโลกใบนี้ เมื่อสมัยโมเสส ก็คือทำวิหารแบบเป็นเต็นท์ ทำด้วยเต็นท์ หลังจากนั้นมา ก็เปลี่ยนเป็นวัสดุอื่น เป็นก้อนหินอะไรต่างๆ ก็ว่าไป แต่ก็เป็นวัสดุที่ทำด้วยมือเท่านั้น ซึ่งพระองค์บอกว่าเล็งถึงเป็นจำลองจากของจริงในสวรรค์สถาน
และในเต็นท์นั้น พระองค์ให้ทำอะไร? มีลานชั้นนอก เรียกว่าวิหาร แล้วเข้าไปเรียกว่าสถานที่บริสุทธิ์ ชั้นที่ 2, ชั้นที่ 3 ในสุด เรียกว่าอภิสุทธิสถาน พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย ตรงกับอะไร? ตรงกับร่างกายของเราที่เป็นวิหารของพระเจ้า ก็คือร่างกายของเราก็เปรียบเหมือนกับลานชั้นนอกของวิหารของพระเจ้า ในสมัยโมเสส ความคิดจิตใจของเราเหมือนสถานที่บริสุทธิ์เฉยๆ แล้วเราก็ยังมีลึกที่สุด สุดท้ายที่สุด เรารู้กันอยู่แล้ว คือมีวิญญาณของเรา วิญญาณของเราก็เป็นอภิสุทธิสถาน ที่พระเจ้าสถิตอยู่นั่นเอง นี่คือเราเป็นวิหารฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า ฮีบรู 13:5 ได้บ่งบอกให้ถึงความรัก ความห่วงใยของพระเจ้า แม้ว่าจะให้เราบังเกิดใหม่แล้วก็ตาม แม้ว่าเราจะอยู่กับพระองค์ในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้วก็ตาม ในโลกฝ่ายวิญญาณ แต่ในโลกวัตถุ ที่เราจำเป็นต้องดำเนินชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ วันนี้เราจำเป็นต้องเจอกับความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งเป็นไปตามกฎของคำสาปแช่งมาตั้งแต่เดิมแล้ว เราต้องปล่อยให้มันเป็นไปตามกฎระเบียบเหล่านั้น แล้วพระเจ้าก็ต้องดูแลให้เป็นไปตามกฎระเบียบเหล่านั้นด้วยเช่นเดียวกัน พระองค์จึงสงสาร จึงรัก จึงห่วงใย จึงเข้ามาสถิตอยู่ด้วย แล้วก็บอกกับเราอย่างนี้ว่า … ฮีบรู 13:5 …
ฮีบรู 13:5 “จงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่และเป็นอยู่ ในขณะนี้ (ทั้งในโลกวิญญาณและโลกวัตถุนี้ จงเชื่อและวางใจในพระเจ้า) เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า (เหมือนเป็นลูกกำพร้า) เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า (ปล่อยให้อยู่ตามลำพัง) เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังอย่างแน่นอน”
นึกถึงภาพว่าพระเจ้ายืนอยู่ต่อหน้าเราตอนนี้ … “ลูกจำเป็นต้องดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ชั่วขณะหนึ่งนะ ที่เหลือมันจบไปหมดเรียบร้อยแล้วล่ะ แต่ไม่ต้องกลัว พ่ออยู่กับลูกด้วยตลอดเวลา เพราะฉะนั้น ลูกดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยท่าทีอย่างไร? พ่อจะสอนให้ พอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่ และเป็นอยู่ในขณะนี้”
พอใจ แปลว่ามีความหวัง มีความสุขในใจ มีความหวังครบถ้วนบริบูรณ์ ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอยู่ ที่มีอยู่ในขณะนี้ คือเมื่อดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ทั้งในโลกวิญญาณและโลกวัตถุนี้ จงเชื่อและวางใจในพระเจ้า ก็คือทั้งโลกวิญญาณ รู้ว่าเราเกิดใหม่ อยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว ในโลกวัตถุ รู้ว่าอยู่ในร่างกายนี้ต้องทรุดโทรม ไปสู่ความตาย ไปสู่ความสูญสิ้น เป็นเรื่องธรรมดา แต่รอไปรับร่างกายใหม่ ให้เชื่อและวางใจในพระเจ้าในสิ่งนี้ และมีความพอใจในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
และพระเจ้าผู้เป็นพ่อได้ปลอบโยนจิตใจ ปลอบโยนลูกที่พระองค์ทรงรัก ปลอบโยนว่าอย่างไร? … “พ่อจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า เหมือนเป็นลูกกำพร้า พ่อจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า ปล่อยให้เจ้าอยู่ตามลำพัง พ่อจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวังอย่างแน่นอน ลูกเอ๋ย” แล้วก็เอามือลูบที่ศีรษะของลูกเมื่อตอนที่อุ้มอยู่ เมื่อตอนที่เขายังเป็นทารกอยู่ เพิ่งเกิด เราทั้งหลายก็เป็นทารก เมื่อไรก็ตามที่เรายังอยู่ในร่างกายเก่านี้อยู่ เราไม่ได้เจริญเติบโตเต็มที่หรอก เราก็เหมือนทารก ที่พระเจ้าคอยประคบประหงม ดูแล เหมือนเด็กทารก ที่เกิด ที่เรามองเห็น ส่วนใหญ่พ่อแม่ทั้งหลาย ทารกเกิดมา เคยไหม? เคยทิ้งเขาไว้สักชั่วโมง แล้วไม่มีคนอยู่เลยไหม? ไม่มีทางเลยนะ ยิ่งคลอดยังไม่ถึงเดือน ยิ่งประคบประหงมตลอดเวลา นั่นแหละ คือภาพของความรักของพระเจ้า ที่ห่วงใยเราขนาดไหน? ที่บอกว่าไม่ทอดทิ้ง ไม่ปล่อยให้เราเป็นเด็กกำพร้า ไม่ละเรา
“ไม่ละเรา” หมายถึงไม่จากเราไปเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ละเราให้อยู่ลำพังเลย สมมติว่าพระบิดา พ่อบอกว่าอยู่กับพ่อตลอด พ่อบอกพ่อไปอาบน้ำนะ ไม่ทิ้ง แม่ช่วยดูหน่อย พ่อแม่บอกจะออกไปซื้อของนะ จะละทิ้งเขาหรือ? ไม่หรอก ป้าๆ ช่วยดูให้ที ถูกไหม? พระเจ้ากำลังพูดอย่างนั้นกับเราว่าพระองค์ทรงอยู่กับเราตลอดเวลา ตื่นเต้นตลอดเวลา
พระองค์ทรงดูแลเราอย่างนั้นจริงๆ ไม่หลับใหล ไม่ง่วงเลย สนใจเราตลอดเวลา เวลาเรายิ้ม ยิ้มตาม ดีใจจังยิ้มแล้ว เวลาเราร้องไห้ เป็นอะไรๆ ช่วยกันดูแลหน่อย ถูกไหม? แล้วนี่คือพระเจ้า คำพูดของพระเจ้า พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู ที่ได้ยอมตายที่ไม้กางเขน ไถ่เรา และพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่กับเราอย่างนี้ แล้วบอกว่าไม่ทอดทิ้งไปไหนเลย?
ในขณะที่เราตกงาน พระองค์ทรงอยู่ไหม? อยู่ทั้ง 3 เลยไหม? ในขณะที่เราติดโควิดอยู่ไหม? ในขณะที่เราเครียดจัด ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม พระองค์ทรงอยู่ไหม? เพราะฉะนั้น มีพระคริสต์สถิตอยู่ด้วยตลอดเวลา ก็มีความสุขเกินพอแล้ว เพียงพอแล้ว สำหรับทุกสิ่ง พระองค์เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ทั้งหลายต้องการ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ และโลกหน้าด้วย สำหรับเราเชื่อแล้ว โลกหน้าจบไปแล้ว เป็นความหวังของเราในโลกนี้ที่จะอยู่ต่อไป พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเรา มะรืนนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับเรา เราไม่รู้แล้ว เรามอบให้พระองค์ไปหมดแล้ว ในแต่ละวัน โคโลสี 1:27 จึงได้บันทึกอย่างนี้ สั้นๆ ว่าหัวใจของคนที่บังเกิดใหม่ คือ …
โคโลสี 1:27 “คือพระคริสต์สถิตในท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”
พระคริสต์สถิตในท่าน คือทั้ง 3 พระภาค พระเจ้า 3 พระภาคอยู่ในท่านทั้งหลาย เป็นความหวังแห่งเกียรติ สิริ หมายถึงพระเจ้า 3 พระภาคอยู่ในวิญญาณของเรา เรารู้ เรารับทราบได้ทางวิญญาณว่าอยู่กับเรา เราจึงมีความหวังแห่งพระสิริ เราจึงมีความหวังในร่างกาย ที่เต็มด้วยพระสิริของพระเจ้า ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่วิญญาณเราออกจากร่าง ไปรับร่างกายใหม่ นี่แหละ ใครมีความหวังยกมือขึ้น? มีความหวังเพราะอะไร? เพราะพระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน เพราะพระเจ้าอยู่ในฉัน พระคริสต์สถิตอยู่ในพระเจ้า อยู่ในฉัน ฉันรู้แน่นอน ส่วนความหวังในร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ รู้ไหม? ไม่รู้ แต่เป็นความหวังที่เต็มไปด้วยความเชื่อจากข้างใน
ในขณะที่เรายังจำเป็นในความทุกข์ลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น พระเจ้าต้องการให้เราวางใจ พักหายเหนื่อย และเป็นสุขในพระเยซูคริสต์ พระองค์จะดูแลทุกสิ่งทุกอย่างชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยตัวของพระองค์เอง ใน 1 เปโตรก็บอกอย่างนั้น พระองค์จะดูแลรักษาวิญญาณที่พระองค์ทรงไถ่ไว้ ด้วยพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ พระหัตถ์ ก็คือตัวของพระองค์เอง ฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์เอง พอไหม? หรือเราจะวางใจในพระองค์ครึ่งหนึ่ง แล้ววางใจในตัวเองครึ่งหนึ่ง พระองค์บอกไม่เอา วางใจในเรา 100% เลย พระองค์จะดูแลเองทุกอย่าง ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ ด้วยความรักที่มีต่อเรา เพราะเราเป็นลูกที่พระองค์ทรงรัก ดั่งแก้วตาดวงใจ และเป็นลูกที่เป็นทารก เกาะติดอยู่กับพระองค์ตลอดเวลาเลย รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ไม่รู้ พออุแว้ๆ อุ้มได้ ก็อุ้มเฉียงๆ พาดที่มือ แต่พอร้องไห้หนักๆ ก็พาดที่บ่า
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเราก็ตาม ให้รับรู้ว่าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค ทรงอยู่กับเรา และควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ และนำพาเราอยู่ และมันดีที่สุดแล้ว สำหรับชีวิตเรา เพราะพระองค์ทรงรักเรา อยากให้เราได้สิ่งที่ดีที่สุด ดังนั้น พระองค์จึงอยากให้เราที่จะไม่ต้องกังวล ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกระวนกระวาย ไม่ต้องกลัว จงเชื่อมั่นว่าพ่อของเรา สามารถนำพาลูกๆ ของพระองค์ผ่านพ้นไปได้อย่างแน่นอน บนโลกใบนี้ จูงมือเราผ่านหุบเขาเงามัจจุราชได้แน่นอน เพราะมันเป็นหุบเขาเงามัจจุราช มันเป็นแค่เงาเท่านั้นเอง ทำให้ตกใจกลัวเท่านั้นเอง แต่มันทำอะไรเราไม่ได้แล้ว เอเมน
เพราะฉะนั้น จงให้เราไว้วางใจในพระเจ้า เชื่อในถ้อยคำ คำสัญญาของพ่อของเรา และดำเนินชีวิตจากภายในจิตใจใหม่ จากภายในวิญญาณของเราที่เกิดใหม่ ดำเนินชีวิตอยู่ตรงนั้น เพราะตรงนั้นคือสวรรค์ เพราะตรงนั้น คือสถานที่สถิตของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา คือในใจเรา ในวิญญาณของเรา ที่พ่อได้ใส่เอาไว้ ใส่ความรัก เพราะพ่อเป็นพระเจ้าแห่งความรัก เมื่อพ่อสถิตอยู่กับเรา ความรักก็ท่วมล้นอยู่ในใจเรา เราจึงสามารถเต็มด้วยความเชื่อในพระเจ้า ในจิตใจของเราได้ และเมื่อเราเชื่อฟังพระเจ้าแบบนี้ พระเยซู พระเจ้าเลยอยากให้เราตอบสนองพระองค์ ให้เหมือนเด็กๆ พระเยซูบอกให้เข้าสวรรค์ ให้เหมือนเด็กๆ คนหนึ่ง คือเชื่อ ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องหาเหตุผลอะไร? เชื่อลูกเดียว เราจะเห็นบ่อยๆ พ่อแม่บางทีเล่นกับลูก ลูกขวบ สองขวบ เอาลูกขึ้นไปวางที่โต๊ะสูงๆ
“โดดมาเลยๆ”
โดดไหม? ไม่โดดนะ ถ้าเผื่อพ่อคนนั้น แม่คนนั้น ไม่ค่อยมีเวลาให้เขา เขาไม่ไว้ใจ แต่พ่อกับแม่ที่ดูแลเขาตลอดเวลา โดดมาเลย ยังไม่ทันจบคำว่าเลย โดดมาแล้ว รับแทบไม่ทัน ใช่ไหม? เพราะความสนิทสนมที่รักมาก ทำให้ลูกไว้ใจ แล้วพระเจ้าสำแดงความรักขนาดนี้ ถ้าพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขนขนาดนี้ แล้วยังมาสถิตอยู่กับเราขนาดนี้ พอไหมที่เราจะสัมผัสความรัก และไว้ใจในพระองค์ได้ โดดเลย แล้วเราก็โดดเลย เอเมนไหม? พระเจ้าบอกโดดเลย โดดไหม? โดด ให้นึกถึงภาพ เหมือนเราเลี้ยงลูก โดดเลย แสดงว่าเขาไว้ใจเรามาก ไว้ใจในความรักของเราที่มีต่อเขา เพราะฉะนั้น พระเจ้าก็เลยบอกให้เราโดด
โดด คือทำอย่างนี้ พระเจ้าต้องการให้เราสำแดงความเชื่อของเรา ด้วยการทำอย่างนี้ 1 เธสะโลนิกา 5:16-18 …
1 เธสะโลนิกา 5:16-18 “16 มีความสุขและมีความชื่นชมยินดีภายในจิตใจอยู่เสมอ 17 หมั่นอธิษฐาน ติดต่อสื่อสารพูดคุยปรึกษาหารืออย่างใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเจ้า ผู้เป็นพ่อที่รักเรามาก อยู่เสมอ 18 ขอบพระคุณพระเจ้า (พ่อ) ในทุกกรณี ไม่ว่าสถานการณ์ (ที่มองเห็นจับต้องได้ ที่ทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกได้) จะเป็นเช่นไร (จะรู้สึกดีหรือไม่ดีก็ตาม) ก็ขอบคุณพระเจ้า เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ที่ (ได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระองค์) อาศัยอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในบ้านของพระองค์ คือสวรรค์แล้วขณะนี้”
นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ สำหรับท่านทั้งหลายที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว อาศัยอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์ของพระองค์เรียบร้อยแล้ว ในขณะนี้ พระองค์ต้องการอะไร? ต้องการให้เราโดด เราก็โดด ตอนนี้พระองค์ต้องการให้เราทำอะไร? ต้องการให้เรามีความสุข และมีความชื่นชมยินดีภายในจิตใจอยู่เสมอ เพราะมันไม่มีไปไหน? อยู่ตรงนั้นนะ ให้เราเพ่งมอง จดจ่อไปที่เบื้องบน คือที่พระคริสต์สถิตอยู่ คือในสวรรค์สถาน คือในอภิสุทธิสถาน คือในวิญญาณของเรา เพ่งตรงไปตรงนั้นว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตรงนั้น แล้วมีความสุขอยู่กับตรงนั้น
ถ้าพระเจ้าบอกให้เราโดด พอบอกให้เราโดด แสดงว่าพ่อรู้ว่ามันปลอดภัยสำหรับเรา เราอาจจะห่วง เราอาจจะกลัว แต่พ่อรู้ว่าเราทำได้ เหมือนกัน พ่อผู้เป็นพระเจ้ารู้ว่าตรงนี้ เราที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ สามารถทำอย่างนี้ได้ ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ ที่เราดำเนินชีวิตอยู่แค่แป๊บเดียว เราสามารถแอบเข้าไปอยู่ในความสุข ในฝ่ายวิญญาณได้ พ่อเลยบอกว่าให้มีความสุข และมีความชื่นชมยินดี ภายในจิตใจอยู่เสมอ หมั่นอธิษฐาน ติดต่อพูดคุย สื่อสาร ปรึกษาหารืออย่างใกล้ชิด สนิทสนมกับพ่อ กับพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราที่รักเรามากอยู่เสมอ มีอะไรก็คุยกับพ่อ คุยไม่ออก ก็รู้ว่าพระวิญญาณกำลังช่วยเราคุยอยู่ ต่อให้ไม่มีแรง กำลังนอนอยู่ พระวิญญาณก็กำลังคุยอยู่ หมดแรงแล้ว นี่คุยทางวิญญาณแทน ก็คือให้เราสนิทสนมกับพระเจ้า
สนิทสนม คือให้เราติดต่อ มีสามัคคีธรรมกัน พูดคุยกันอยู่ตลอดเวลา ให้เราอธิษฐานอยู่เสมอ หมายถึงอย่างนี้ แล้วให้เราทำอะไรอีก ขอบคุณพ่อ ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณได้อย่างไร? ถ้าเราขอบคุณได้ ก็แสดงว่าเรารู้ว่า 3 พระภาคของพระเจ้าสถิตอยู่ภายในเรา เราก็ไม่กลัวไง ไม่ใช่พระเจ้าให้เราไม่ลืมบุญคุณ เป็นลูกต้องมีกตัญญูหน่อย ขอบคุณนะ ได้อะไรไป ไม่ใช่
คำว่า “ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี” หมายถึงพระเจ้าต้องการให้เราตระหนักอยู่เสมอว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเรา ไม่ว่ากรณีใดๆ ก็ตาม ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสถานการณ์ที่มองเห็น จับต้องได้ ที่ทำให้เกิดอารมณ์และความรู้สึกได้ มันจะเป็นอารมณ์ความรู้สึกแบบไหนก็ตาม จะเป็นไปด้วยกันกับพระเจ้า หรือไม่เป็นเป็นไปด้วยกันกับพระเจ้า จะชอบหรือไม่ชอบ จะทุกข์หรือจะสุขก็ตาม จะเป็นเช่นไรก็ตาม จะรู้สึกดีหรือไม่ดีก็ตาม ก็รู้ว่าพระเจ้าทำสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเรา ดูแลเรา วางใจในพระองค์ รักในพระองค์ ก็สามารถขอบคุณพระเจ้าได้ นี่มันแปลว่าอย่างนี้
นี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ไม่ว่าจะทุกข์ยากลำบาก เป็นเช่นไรบนโลกใบนี้ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา บนโลกใบนี้ ไม่มีคำตอบ คำตอบ คือโลกถูกสาปแช่ง ถูกทำให้เสียหายไปแล้ว และมันก็จะเป็นอย่างนี้ จนกว่ามันจะสิ้นโลก แต่ในโลกใหม่ที่พระเจ้าสัญญาไว้ให้กับเรานั้น ไม่มีความทุกข์ยากลำบากอีกแล้ว ไม่มีน้ำตา ไม่มีความโศกเศร้าเสียใจ ไม่มีการสูญเสีย ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่มีบาป มีแต่ความรัก มีแต่สันติสุข และโลก และสรรพสิ่งบนโลกถูกสร้างขึ้นมาใหม่เอี่ยมหมดทุกอย่าง ไม่มีมาร ไม่มีความบาป และเราจะอยู่กับพระเจ้าอย่างนั้นตลอดชั่วนิตย์นิรันดร
นี่คือความหวังและความไว้วางใจของเรา ที่มีต่อพระเจ้า ไม่ว่าจะสุขหรือจะทุกข์ พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ ก็นำอยู่ทั้ง 3 พระภาค พระองค์ทรงอยู่ด้วย เมื่อพระคริสต์ทรงอยู่ในเรา ความหวังของเรา ก็คือร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยพระสิริของพระเจ้า ที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ เมื่อถึงวันนั้น พระเจ้าอวยพรครับ
**********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
“Crying in the Chapel” แต่งโดย “Arthur Glenn” ในปี 1953 ร้องและบันทึกเสียงไว้โดย “Elvis Presley” ในปี 1960 เป็นเพลงที่พูดถึงสันติสุขที่พบได้ในพระเจ้า อย่างเรียบง่ายและน่ารัก
คำว่า “Chapel” หลายคนอาจไม่คุ้นเคย “Chapel” เป็นเหมือนโบสถ์เล็กๆ ที่อยู่ตามชนบทเมืองฝรั่ง หรือเป็นห้องเล็กๆ ในโบสถ์ใหญ่ ในโรงเรียน โรงพยาบาล ตามตึกใหญ่ๆ ในคุก ในสุสาน หรือตามสนามบิน ใช้สำหรับเข้าไปนั่งเงียบๆ เพื่อภาวนาอธิษฐาน หรือร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า จะคนเดียวหรือกลุ่มเล็กๆ ก็ได้ ส่วนมากไม่ได้ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมใดๆ
เนื้อเพลงพูดถึงผู้ร้องเคยไปนั่งร้องไห้ในโบสถ์หลังน้อย แต่เป็นการร้องไห้ที่มีความสุข และเกิดสันติสุข เพราะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าที่นั่น เขาบอกว่าเขาค้นหามาจนทั่ว แต่ไม่เคยพบคำว่าสันติสุขในจิตใจเลย จนกระทั่ง ได้เข้ามานั่งอธิษฐาน ร้องเพลง และสรรเสริญพระเจ้าที่ในโบสถ์น้อยแห่งนี้ และที่นี่เองเขาได้รับกำลัง และได้พบความสุขที่แท้จริง
เขาจึงอยากจะบอกกับคนอื่นๆ ว่าอย่าไปค้นหาที่ไหนเลย นำภาระปัญหาของคุณมามอบไว้กับพระเจ้าที่ในโบสถ์น้อยนี่เถอะ พระองค์จะประทานสันติสุขแห่งจิตใจให้ จะได้พบพี่น้องที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน ได้รับกำลังจากพระเจ้า เพื่อจะดำเนินชีวิตต่อไป และในไม่ช้าปัญหาก็จะคลี่คลายลง
เนื้อเพลง “ในโบสถ์เล็กๆ ที่ฉันเข้าไป” (Crying in the chapel)
- ในโบสถ์เล็กๆ ที่ฉันเข้าไปอธิษฐาน น้ำตาไหลพรากด้วยความยินดี
You saw me crying in the chapel The tears I shed were tears of joy
ฉันได้เรียนรู้ความพึงพอใจดี แค่มีพระเจ้าฉันสุขจริงๆ
I know the meaning of contentment Now I’m happy with the Lord
- โบสถ์เล็กๆ ที่เพียงแค่ธรรม (มะ) ดา ผู้คนเข้ามาใจถ่อมวิงวอน
Just a plain and simple chapel Where humble people go to pray
ฉันขอพระพรให้ความเชื่อเพิ่มพูน ดำเนินชีวิตในแต่ละวัน
I pray the Lord that I’ll grow stronger As I live from day to day
** เสาะหา ฉันหาทาง แต่ฉันไม่เคยพบ
I’ve searched and I’ve searched But I couldn’t find
ไม่มีทางใดในโลกที่หมดทุกข์ **
No way on earth to gain Peace of mind **
- เดี๋ยวนี้ฉันมีความสุขแท้จริง ทุกคนพักพิงในองค์พระคริสต์
Now I’m happy in the chapel Where people are of one accord
เป็นพี่น้องเพื่อนในการทรงส-ถิต ร่วมสรรเสริญพระนามพระองค์
Yes, we gather in the chapel Just to sing and praise the Lord
*** เสาะหา คุณหาทาง แต่คุณจะไม่พบ
You’ll search and you’ll search But you’ll never find
ไม่มีทางใดในโลกที่หมดทุกข์ ***
No way on earth to gain peace of mind ***
- ในโบสถ์เล็กๆ ให้คุณเข้าไปอธิษฐาน ด้วยจิตวิญญาณและด้วยความจริง
Take your troubles to the chapel Get down on your knees and pray
แล้วภาระของคุณจะเบาลง คุณจะพบทางสว่างแน่นอน
Then your burdens will be lighter And you’ll surely find the way
สามารถฟังได้ที่ : https://www.youtube.com/watch?v=CYOUcV7nlN8
พระเจ้าอวยพรครับ