วารสาร Holy News ฉบับที่ 1368

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  มิถุนายน  2022

เรื่อง “ฉลองวันที่ประตูสวรรค์  เริ่มเปิดรับมนุษย์ทุกคนบนโลก”

โดย พาสเตอร์ นคร  เวชสุภาพร

 

ขอบคุณพระเจ้า คริสตจักรครบรอบ 29 ปี อีก 2 เดือนเราก็ได้เวลาย้ายจากสถานที่นี้ ไปอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ ที่แพรกษา ครั้งนี้เป็นการย้ายครั้งที่ 7 ตามพระคัมภีร์ เลข 7 คือครบถ้วนบริบูรณ์  เพราะฉะนั้น เราย้ายมาครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว เรียบร้อยแล้ว แสดงว่าไม่ต้องย้ายอีกต่อไป จากนี้เริ่มต้น นับ 1 กับคริสตจักรที่ไม่ต้องย้ายไปไหนมาไหนอีกแล้ว เอเมน

พูดถึงตรงนี้แล้ว จริงๆ ไม่อยาก ไม่ต้องการให้เรามายึดถือเรื่องตัวเลข วันโน้น วันนี้ แต่มีอะไรบางอย่างที่เราสรรเสริญพระเจ้า เรามาหนุนจิตชูใจกันได้ เรามาคุยกันสนุกๆ ก็ดีเหมือนกัน ย้ายมา 7 แปลว่าสมบูรณ์

คำว่า “ย้ายมา 7 ครั้ง” หมายถึงทำงานมา 7 ครั้งแล้ว  หว่านมา 7 ครั้งแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ต่อไปนี้ เป็นหน้าที่ของการเก็บเกี่ยวแล้วนะ เพราะฉะนั้น การย้ายไปที่แพรกษา เป็นการเก็บเกี่ยว ผู้ที่หว่าน เหนื่อยยากกันมา 7 ปีแล้ว อย่าหนีไปไหนนะ ตามไปแพรกษา ไม่ต้องทำงาน ถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลแล้ว นี่พูดในลักษณะของหนุนจิตชูใจซึ่งกันและกัน ในตัวเลข มันก็แปลกดี

และวันครบรอบคริสตจักรโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์นี้ วันสถาปนาคริสตจักรอภิสุทธิสถาน เมื่อ 29 ปีก่อน ก็คือวันเพ็นเทคอสต์ เพราะคริสตจักรโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ของเราถือกำเนิดเกิดขึ้นในวันเพ็นเทคอสต์ เมื่อ 29 ปีที่แล้ว ทุกปี เราก็จะมีการมาฉลองเพ็นเทคอสต์นี้  แต่เราฉลอง 2 โอกาส  สำหรับคริสตจักรอื่นๆ ทั่วโลก เขาก็ฉลองแค่โอกาสเดียว ส่วนใหญ่ ก็คือเพ็นเทคอสต์ พระเยซูสถาปนาโลกวิญญาณ บนโลกใบนี้ แต่เราฉลองเพ็นเทคอสต์ด้วย คือ …

(1) ฉลองวันเพ็นเทคอสต์ตามลักษณะทั่วๆ ไป

(2) ฉลองวันครบรอบวันเกิดของคริสตจักรโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ ด้วย

เพราะฉะนั้น เราฉลอง 2 อย่างเลย คือตามประเพณีชาวยิวโบราณ วันเพ็นเทคอสต์ ถือเป็นเทศกาลใหญ่ ในปฏิทินของชาวยิว เป็นเทศกาลขอบคุณพระเจ้า  สำหรับพืชผลที่เก็บเกี่ยว ทำงานมาแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาเก็บเกี่ยว ชื่นใจ ยินดี  เก็บเกี่ยวผลงานที่เราทำ เหนื่อยยาก โดยชาวยิวจะนำพืชผลแรกที่เก็บเกี่ยวได้ในฤดูกาลนั้น มอบถวายแด่พระเจ้า เพื่อเป็นการขอบคุณ สำหรับผืนแผ่นดินและผลิตผลจากพระเจ้า ซึ่งทั้งหมดนี้ เล็งถึงพระเยซูคริสต์ ที่จะมาไถ่บาปให้กับมนุษยชาติ บนโลกใบนี้

คำว่า “เพ็นเทคอสต์” มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ที่แปลว่า “ห้าสิบ” วันเพ็นเทคอสต์ พระคัมภีร์เดิม ก็คือวันที่ 50 นับจากวันปัสกา หรือ Passover ซึ่งเป็นวันที่ชาวยิวได้รับการช่วยเหลือ ให้อพยพออกมาจากการเป็นทาสที่ประเทศอียิปต์ ซึ่งก็เล็งถึงการช่วยกู้ ทางฝ่ายวิญญาณของพระเยซูคริสต์นั่นเอง

ส่วนในพันธสัญญาใหม่ วันเพ็นเทคอสต์ คืออะไร? มาถึงช่วงเวลาของเราแล้วนะ พันธสัญญาใหม่ วันเพ็นเทคอสต์ ก็คือการระลึกถึงวันที่พระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้มาอยู่กับมวลมนุษยชาติ มาเพื่อผ่าตัดวิญญาณมนุษย์ ให้บังเกิดใหม่ ซึ่งเดี๋ยววันนี้เราจะเรียนรู้กัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ เสด็จเข้ามา  เพื่อทำให้มนุษย์สามารถที่จะเข้าไปอยู่กับพระเจ้าได้ ให้มาอยู่กับมวลมนุษยชาติทุกคนที่ต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ คือต้อนรับพระเจ้า ก็คือต้อนรับพระวิญญาณ “พระวิญญาณนี้” ก็คือพระวิญญาณของพระคริสต์ ซึ่งเป็นไปตามที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ ในวันที่ 50 นับจากวันที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากตาย  ก็คือนับจากวันอีสเตอร์ที่เราฉลองกันมา 50 วัน จริงๆ ก็คือ 49 วัน ฉลองวันที่ 50

49 มาจากเลขอะไรนะ? 7×7 เป็น 49 … 7 สัปดาห์ เห็นไหม? มีความสมบูรณ์อีกแล้วนะ จะเก็บเกี่ยวแล้วนะ 7×7 ครบบริบูรณ์ปุ๊บ วันที่ 50 ก็เก็บเกี่ยวผล จากการลงแรง ลงใจ ทำงานไป การหว่านไป เหมือนที่ตะกี้นี้ผมเล่าให้ท่านฟังสนุกๆ เรื่องของเราย้ายมา 7 ครั้ง ครั้งนี้จะเก็บเกี่ยว

แล้ววันเพ็นเทคอสต์ ยังถือเป็นสัญลักษณ์ของคริสตจักรฝ่ายวิญญาณที่เริ่มต้นเก็บเกี่ยวทุ่งนาฝ่ายวิญญาณของพระเจ้าบนโลกใบนี้ ทุ่งนาฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า ก็คือบรรดามวลมนุษยชาติ ได้ให้กำเนิดโดยวิญญาณของพระเจ้า ที่อยู่ข้างใน แต่ตกลงไปในความบาป ตกลงไปในการเป็นทาสของความตาย  พระเจ้าช่วยกู้เขาหลุดออกมา เห็นไหมมีการเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณเกิดขึ้น

ที่เมื่อตะกี้นี้ บอกว่าวันเพ็นเทคอสต์ถือเป็นเทศกาลใหญ่ ประจำปีของปฏิทินของชาวยิว ที่มีการเฉลิมฉลองกันใหญ่โตมาก เขาระลึกถึงอะไรกัน ชาวยิวฉลองกันมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่สมัยโมเสส ฉลอง เพื่อระลึกถึงการช่วยกู้ จากการเป็นทาสในอียิปต์ ซึ่งทั้งหมด ก็เล็งถึงพระเยซูช่วยกู้เราจากการเป็นทาสของความบาป ความตาย

สำหรับคริสเตียน หรือผู้เชื่อ ถ้าได้ทราบความหมายแท้จริงของวันเพ็นเทคอสต์แล้ว เราก็จะทราบว่ามีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าวันเทศกาลอื่นๆ ที่เฉลิมฉลองกัน อย่างเช่นวันอีสเตอร์ หรือวัน คริสตมาส เพราะวันเพ็นเทคอสต์ สำหรับคริสเตียน ก็คือวันสถาปนาสวรรค์ของพระเจ้า บนโลกใบนี้ ก็คือวันที่สวรรค์ของพระเจ้า ที่ตามนุษย์มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ได้ลงมาตั้งอยู่บนโลกนี้แล้ว ทางฝ่ายวิญญาณนั่นเอง นี่คือหลัก นี่คือหัวใจสำคัญของวันเพ็นเทคอสต์นี้ และเป็นวันที่ประตูสวรรค์เริ่มเปิดรับมนุษย์ทุกคนบนโลก นี่ยิ่งสำคัญกว่า

วันเพ็นเทคอสต์ที่เราฉลองกันอยู่ ณ ขณะนี้ ในโลกฝ่ายวิญญาณ เป็นวันที่ประตูสวรรค์เริ่มเปิดรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ให้เข้าไปอาศัยอยู่กับพระเจ้า อยู่อย่างเป็นผู้บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ตราบนิรันดร์ นี่คือวันที่สำคัญมาก สำหรับคริสเตียน และสำคัญมากกว่านั้นอีก คือสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน  นึกภาพนะ  เพราะฉะนั้น วันนี้ที่เรามาร่วมฉลองวันที่ประตูสวรรค์เริ่มเปิดรับมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้  ก็คือฉลอง ระลึกถึงการช่วยกู้ทางฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ให้กับมนุษย์ทุกคน ซึ่งจะเป็นหัวข้อการบรรยายในวันนี้

หัวข้อบรรยายในวันนี้ “วันที่ประตูสวรรค์เริ่มเปิดรับมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้” ผมจะเอาคำตรัสของพระเยซูคริสต์ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่จะทำการงานนี้ จนสำเร็จบนไม้กางเขน ในยอห์น 14:1-2 พระเยซูตรัสอย่างนี้ว่า …

ยอห์น 14:1-2  “1 อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย ท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย 2 ในพระนิเวศพระบิดาของเรา มีที่อยู่เป็นอันมาก ถ้าไม่มี เราคงได้บอกท่านแล้ว เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้ สำหรับท่านทั้งหลาย”

 

พระองค์กำลังพูดถึงงานที่พระองค์จะทรงกระทำที่ไม้กางเขน การสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นจากความตาย บอกกับสาวกว่าถ้าเกิดเห็นพระองค์ทรงตาย แล้วก็หายไปเลย ไม่เป็นขึ้นมาจากความตาย อย่าตกใจ แต่ให้วางใจในพระองค์ เหมือนที่ได้เชื่อในพระเจ้า แล้วก็บอกว่าในพระนิเวศน์ของพระเจ้า ก็คือในสวรรค์ของพระเจ้ามีที่มาก เรากำลังไป เพื่อเตรียมที่ ก็คือเตรียมสวรรค์ให้กับท่าน ไปเตรียมเมื่อไร? เตรียมตอนที่เราจากไป เมื่อท่านเห็นเราถูกตรึง สิ้นชีวิตที่ไม้กางเขนจริงๆ ท่านเห็นเอาศพลงมา เห็นกับตา ฝังอยู่ในอุโมงค์ ท่านจะเศร้าโศกเสียใจ เพราะตอนนั้น เรากำลังไปเตรียมสวรรค์กับท่าน มันหมายถึงอย่างนั้น  ในยอห์น 14:23 อีกข้อหนึ่ง …

ยอห์น 14:23  “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอนของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขาและอยู่กับเขา”

 

“ถ้าผู้ใดรักเรา” ก็คือถ้าคนไหน ที่เขาเชื่อฟังในเราว่าเราคือพระมาซีฮาห์ คือผู้นั้นที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้มาช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลาย  “และถ้าเขาเชื่อฟังคำสอนของเรา” ตอนเดินอยู่บนโลกนี้  พระองค์บอกว่าอย่าพึ่งพาการกระทำดี ด้วยตนเอง เพื่อจะไปสวรรค์ อย่าพึ่งพาความชอบธรรมของตนเองที่สร้างขึ้นมา ด้วยการกระทำ อย่าพึ่งพาตนเอง เพราะไปไม่รอดแน่ ท่านทำไม่ได้ครบถ้วน 100% หรอก  แต่ให้มาพึ่งในเรา วางใจในเรา ที่พระเจ้าได้ทรงประทานเราให้กับมนุษย์ทั้งปวง เพื่อช่วยท่านให้สามารถเข้าประตูสวรรค์ได้ มันหมายถึงอย่างนั้น คนไหนที่เชื่อฟังคำบอกเล่า คำสอนของเราอย่างนี้

ในนี้บอกว่า  “พระบิดาของเราจะทรงรักเขา  พระบิดาของเราจะมาหาเขา และอยู่กับเขา” คนไหนที่ทำตามที่พระเยซูสอน ก็คือวางใจในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซู เขาจะได้เข้าสวรรค์ แล้วพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณจะไปทำบ้าน อาศัยอยู่ในตัวเขา พระเจ้าจะเข้าไปสถิตอยู่กับเขา ภายในเขาเลย ซึ่งเป็นข่าวดี ที่มาถึงมนุษย์ทุกคน ที่จะสามารถมีความหวัง เข้าสวรรค์ได้เลย ในขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในร่างกายนี้ เข้าอยู่ได้ทันที ไม่ต้องรอให้ตายก่อน นี่คือข่าวดีมากๆ

คือแต่ไหนแต่ไรมา  สิ่งที่มนุษย์เคยเรียนรู้กันมาตลอด ในทุกยุคทุกสมัย และแทบจะทุกความเชื่อเลย ก็คือมนุษย์ต้องสั่งสมความดี ต้องละเว้นการกระทำบาป เพื่อที่ว่าหลังจากที่ตายจากโลกนี้แล้ว จะสามารถไปอยู่ในสวรรค์ได้มั้ง!

คำสอนและความเชื่ออย่างนี้ เป็นข่าวที่เราได้ยิน ไม่ใช่ข่าวพิเศษ ไม่ใช่ข่าวดี แต่เป็นข่าวธรรมดาที่มนุษย์ทุกคนคุ้นเคยกันดี แต่ความเป็นจริง ก็คือมันเป็นความหวัง ที่ไม่แน่นอน  เป็นความหวังที่ต่อด้วยคำว่ามั้ง เพราะอย่างที่เราย้ำมาตลอดว่าไม่มีใคร ไม่ทำบาปเลย เพราะฉะนั้น ความเชื่อแบบนี้ จึงทำให้มนุษย์ไม่สามารถมั่นใจในชีวิตหลังความตายได้เลยว่าตัวเองจะได้ไปสวรรค์หรือไม่? ต้องทำดีแค่ไหน? ต้องละเว้นความบาปขนาดไหน? จึงจะเพียงพอเข้าสวรรค์ได้ ใช่หรือไม่? คิดในใจนะครับ

จนกระทั่งมีวันเพ็นเทคอสต์ วันที่เราเฉลิมฉลอง ระลึกถึง วันที่ 50 หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นจากความตาย  มนุษย์ผู้ใดที่ทำตามเงื่อนไขของข่าวดีนี้ จึงสามารถมั่นใจได้ว่าได้ไปสวรรค์แน่นอน  โดยไม่ต้องพึ่งการกระทำใดๆ เลย ซึ่งวันนี้เราจะมาเรียนรู้กันว่าอะไรทำให้มนุษย์สามารถมั่นใจได้ว่าจะได้ไปสวรรค์อย่างแน่นอน จะอยู่ในสวรรค์หลังความตายอย่างแน่นอน  และเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดความมั่นใจ คืออะไร?

คือหลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจช่วยเหลือมนุษย์ทุกคน ให้รอดจากความพินาศในความบาป ด้วยการหลั่งพระโลหิต สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 และพอเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ก็มาเดิน กิน ดื่ม สอน เรื่องสวรรค์ เป็นการยืนยัน เป็นพยานด้วยตนเองว่าพระองค์เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ชัดๆ สัมผัสแตะต้องได้ ตอบด้วยคำพูดของพระองค์เองเลยได้ สำหรับคนไหนที่ยังคงสงสัย ตอนที่พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย มาอยู่กับสาวกอีก 40 วัน ก่อนที่จะเสด็จสู่สวรรค์ในโลกวิญญาณ ลอยขึ้นไปให้เห็นต่อหน้าต่อตามนุษย์เลย  เป็นพยานว่าพระองค์ทรงทำภารกิจ สำเร็จแล้วจริงๆ นี่คืออัศจรรย์ใหญ่ที่ทำให้เห็น เป็นพยานว่าพระองค์ทรงทำการงานเสร็จสิ้น และเป็นขึ้นจากความตายจริงๆ

ต่อจากนั้นอีก 10 วัน สวรรค์ของพระเจ้าในโลกวิญญาณได้ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ “สวรรค์ของพระเจ้าในโลกวิญญาณ” ก็คือผลของการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่ได้เตรียมสวรรค์ไว้ให้กับมนุษย์ คือการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตายนั้น สวรรค์ของพระเจ้าในโลกวิญญาณ ก็ได้ลงมาตั้งอยู่บนโลกนี้ ซึ่งเป็นข่าวดี พิเศษ ข่าวดีแห่งพระคุณ อัศจรรย์ยิ่งใหญ่สำหรับมนุษยชาติทุกคน ไม่เคยมีมาก่อน ไม่เคยมีใครพูดเรื่องนี้มาก่อน  ไม่มีใครบอกอย่างนี้มาก่อน คิดก็ไม่ถึงด้วย ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ บนโลกใบนี้เลย แม้แต่นิดเดียว เป็นเรื่องที่พิเศษ คือมนุษย์คนใดเปิดใจต้อนรับสวรรค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ก็จะได้รับการย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์เลยทันที ตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่นี่แหละ โดยไม่ต้องพึ่งพาการกระทำอะไรของตนเองเลยแม้แต่นิดเดียว แต่พึ่งในการกระทำ ในพระคุณของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระบุตร ผู้ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ให้ และทรงประทานให้กับมนุษยชาติ ซึ่งคือพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด พระมาซีฮาห์นั่นเอง เพื่อนำทาง เปิดทางมนุษย์ทุกคนให้สามารถเข้าสู่สวรรค์ได้

ไม่เคยมีใครประกาศเรื่องนี้มาก่อน จากวันนั้นมาถึงวันนี้ เกือบ 2,000 ปีแล้วที่ได้มีการประกาศถึงข่าวดีพิเศษนี้ แล้วท่านลองคิดดูว่าเป็นจริงขนาดไหน? เกิดผลมากขนาดไหนใน 2,000 ปีนี้ มาถึงทุกวันนี้ มันเหลือเชื่อแล้ว พระองค์ทรงเก็บเกี่ยวผลจากที่พระเยซูหว่าน กระทำไปทั้งหมด  คือเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณของมนุษย์ไปเท่าไรแล้ว ความจริงในโลกวิญญาณ ที่มนุษย์ทุกคนควรใส่ใจ ใคร่ครวญ รับรู้อย่างลึกซึ้ง อย่าปฏิเสธ แม้ไม่เข้าใจ อยากจะขอร้องให้รับรู้ รับฟังไว้บ้าง? ไม่เสียหาย สำหรับผู้ที่ยังไม่เคยได้ยินข่าวดีพิเศษนี้ หรือเคยได้ยินแล้ว แต่ยังไม่เข้าใจมาก ยังไม่ได้ใช้สิทธิ์ ยังไม่ได้ยอมรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ตามที่พระเจ้าได้ทรงประทานให้นั้น อยากจะให้ท่านอย่าเพิ่งละเลยจากความสนใจในเรื่องนี้ ฟัง เก็บข้อมูลไว้ เท่าที่ทำได้  แล้วก็เก็บข้อมูลไปเรื่อยๆ วันหนึ่งท่านจะเข้าใจที่ผมกำลังอธิบายให้ท่านฟัง ตามพระคัมภีร์นี้

ความจริงในโลกวิญญาณ ที่มนุษย์ทุกคนควรใส่ใจ ใคร่ครวญ รับรู้อย่างลึกซึ้ง อย่าเพิกเฉย คือมนุษย์ทุกคนได้อาศัยอยู่ใน DNA ของอาดัม บรรพบุรุษคนแรก ซึ่งพระเจ้าให้กำเนิด  เป็นลูกที่รักของพระองค์ มี DNA ของชีวิตที่เต็มไปด้วยพระสิริ เหมือนพระเจ้า อยู่ในบ้าน คือสวรรค์ของพระองค์ ทุกสิ่งดี สมบูรณ์แบบ ไม่มีที่ติ เพราะถูกสร้างด้วยความรัก ด้วยพระสิริของพระองค์ ของพระเจ้าเอง แต่เมื่ออาดัมตัดสินใจทำตามการยุแยง การหลอกลวงของมาร ทำให้ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ขัดคำสั่งพระเจ้า  ดื้อต่อพระเจ้า กบฏต่อพระเจ้า ทำให้ต้องถูกขับไล่ออกจากบ้าน ออกจากสวรรค์มาอยู่ตามลำพัง โดยพึ่งพาการกระทำของตนเอง แทนที่จะพึ่งพาการกระทำของพระเจ้า ตามที่พระเจ้าสร้างมนุษย์ขึ้นมานั้น

การกระทำของอาดัมนี้ เรียกว่าบาป คือไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมาย หรือแผนการของพระเจ้าที่วางเอาไว้ ตั้งแต่แรก คือตั้งแต่เริ่มแรก พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้พึ่งพาพระองค์ในทุกสิ่ง และพระองค์ทรงกระทำให้ทุกสิ่งดี เรียบร้อย ดี สมบูรณ์ดี  ดีๆๆๆ และดี  สร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย บ้านบนโลกใบนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ และบอกว่าดีๆ และก็สร้างมนุษย์ขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว และบอกมนุษย์ว่าสำหรับมนุษย์นั้น ดีที่สุด เพราะเหมือนพระองค์

ไม่ได้ตั้งใจให้มนุษย์ต้องมาพึ่งพาการกระทำของตนเอง หาความรอบรู้ของตนเอง พึ่งตนเอง แต่สิ่งที่อาดัมทำไป เป็นการผิดเป้าหมายของพระเจ้า จึงเรียกการกระทำนี้ว่าผิดเป้าหมาย ซึ่งเป็นรากศัพท์ของคำว่า “บาป”  หรือภาษาเดิม ภาษากรีก เรียกว่า Miss the target คือพลาดจากเป้าหมายที่วางไว้ ไม่เป็นไปตามที่พระองค์ตั้งใจให้เป็น และโทษของความบาปนี่ คือความตาย ตายจากพระสิริของพระเจ้านั่นเอง  ผลที่เกิดขึ้น คือจาก DNA ของชีวิตที่เต็มไปด้วยพระสิริเหมือนพระเจ้า จากการที่ได้อยู่ในบ้าน คือสวรรค์ของพระเจ้า ที่ทุกสิ่งดีพร้อม สมบูรณ์แบบ ไม่มีที่ติ ต้องกลายมาเป็น มาอยู่นอกสวรรค์ ที่ไม่มีชีวิตของพระเจ้า ไม่มีพระเจ้าอยู่ด้วย ต้องอยู่ด้วยการพึ่งพาการกระทำของตนเอง คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ตามที่ตัวเองต้องการ คือต้องการพึ่งตนเอง ซึ่งมนุษย์ โดยลำพังแล้ว ไม่มีทางเลย ที่จะทำให้ตัวเองสมบูรณ์แบบได้ หากปราศจาก DNA ชีวิตของพระเจ้า ที่เรียกว่าพระสิริ มนุษย์ไม่มีทางทำให้ตัวเองสะอาด บริสุทธิ์ได้เลย ไม่มีทางทำให้ตัวเองดีพร้อม ครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระเจ้าได้เลย

และผลจากความบาปของอาดัม หรือผลจากการดื้อ การกบฏ การไม่เชื่อฟังของอาดัมนี้ ทำให้ส่งผลกระทบมาถึงตัวเราทั้งหลายทุกคนบนโลกใบนี้ ส่งผลกระทบมาถึงมวลมนุษยชาติทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนอาศัยอยู่ในอาดัม เมื่อ DNA ของอาดัมเปลี่ยนจาก DNA พระสิริของพระเจ้า มาเป็น DNA บาป ดื้อ กบฏ เป็นศัตรูกับพระเจ้า มนุษย์ทุกคนก็กลายเป็น มี DNA บาป กบฏ ดื้อ เป็นศัตรูกับพระเจ้าไปด้วย ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่า “พินาศอยู่ในอาดัม” บาปอยู่ในอาดัม

มนุษย์ทุกคนที่เกิดในครรภ์มารดา อยู่ในครรภ์ปั๊บ ก็อยู่ในสภาพพินาศ บาป ดื้อต่อพระเจ้า ต่อต้าน อย่ามาพูดเรื่องพระเจ้าให้ฟัง โดยที่ตัวเอง ยังไม่รู้เรื่องอะไร ยังไม่มีเหตุผล เพราะเกิดมาอยู่ในความพินาศ ในความตายและความบาป คือตายจากพระสิริของพระเจ้า ตายจากความดีพร้อมที่สมบูรณ์แบบ เหมือนพระเจ้า และต้องดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้กฎแห่งการพึ่งพา การกระทำของตนเอง คือต้องกระทำดี และละเว้นการกระทำชั่ว เพื่อพยายามทำให้ตัวเองดีพร้อม บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้เลย ใช่หรือไม่? ลองคิดถึงตนเอง ชีวิตเรา ทุกคนบนโลกใบนี้ เป็นอย่างนี้หมด  เกิดมา ก็อยากจะตั้งใจทำดี  และรู้ว่าทำชั่ว ไม่ดีแน่นอน แล้วหยุดทำได้ไหม? ได้บ้าง พยายามทำหมด ดีพร้อมได้ไหม? ไม่ได้ ทุกคนเกิดมา ก็จะอยู่ในวงเวียนตรงนี้  เรียกว่ากฎแห่งศีลธรรม  กฎแห่งการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะบรรพบุรุษเราเอากฎนี้เข้ามา  เพื่อดูแลชีวิตของตนเองและครอบครัว

พระเจ้าทำอย่างไร? พระเจ้าจะแก้ไข ก็คือจะต้องทำให้มนุษย์คนนั้น ที่ตายจากพระสิริของพระเจ้าไปแล้ว ต้องทำให้เขาได้เกิดใหม่ มันซ่อมไม่ได้แล้ว มันเสียหายไปแล้ว มันตายไปแล้ว ต้องทำให้เขาได้เกิดใหม่นั่นเอง ยอห์น 3:3-6 พระเยซูพูดถึงเรื่องการเข้าสู่สวรรค์ด้วยวิธีใด? …

ยอห์น 3:3-6  “3 พระเยซูตรัสตอบ โดยประกาศว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักร (สวรรค์) ของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่’ 4 นิโคเดมัสทูลถามว่า ‘คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เมื่อเขาแก่แล้ว แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเกิดออกมาใหม่’ 5 พระเยซูตรัสตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำ (ในครรภ์ คือเป็นมนุษย์) และ (เกิดใหม่ทางวิญญาณ) โดยพระวิญญาณ 6 มนุษย์ให้กำเนิดมนุษย์  แต่พระวิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ”

 

“ไม่มีใครเห็นอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่ได้บังเกิดใหม่” ไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ ก็คือเข้าสวรรค์ไม่ได้ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำ ก็คือน้ำคร่ำในครรภ์ ก็คือมนุษย์นั่นเอง และเกิดใหม่ทางวิญญาณ โดยพระวิญญาณ  เพราะฉะนั้น เขาต้องเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณ ในวิญญาณเขาต้องเกิดใหม่

ถามว่า … “ทำไมต้องเกิดใหม่”

เพราะวิญญาณเดิมที่ตะกี้เราเรียนรู้ไปแล้ว มันตายอยู่ ตายจากพระสิริของพระเจ้า เพราะฉะนั้น การกำเนิดใหม่ ตรงที่พระเยซูกำลังพูดนี้ คือการเกิดใหม่ เพื่อกลับมาสู่พระสิริของพระเจ้า กลับมาคืนดีเหมือนเดิม กลับมาเป็นที่เดิม จากตายออกจากบ้านไปแล้ว ตอนนี้ให้กลับมาอยู่ในบ้านเหมือนเดิม

ข่าวดี คือมนุษย์เลือกที่จะเกิดอีกครั้งในวิญญาณได้เดี๋ยวนี้เลย ทันทีเลย ไม่ต้องพึ่งพาการกระทำของตนเอง นี่คือข่าวดีพิเศษ สำหรับเรื่องของวันเพ็นเทคอสต์ วันที่สวรรค์ได้ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว และประตูสวรรค์ได้เปิดออกแล้ว ข่าวดี คือมนุษย์เลือกที่เข้าประตูสวรรค์นี้ได้ เลือกที่จะบังเกิดใหม่ในวิญญาณได้เดี๋ยวนี้ ทุกเมื่อ ทุกวินาที ทุกนาทีนี้ได้เลย ถ้าเผื่อยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ถ้ายังไม่ได้บังเกิดใหม่ ถ้ายังไม่ได้เข้าประตูสวรรค์ ยอห์น 1:12-13 พระเยซูพูดกำชับดังนี้ว่า …

ยอห์น 1:12-13 “12 ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในพระนามของพระองค์  พระองค์ก็ประทานสิทธิ (ฤทธิ์เดช) ให้เป็นบุตรของพระเจ้า 13 คือเป็นบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ หรือจากการตัดสินใจของมนุษย์ หรือจากเจตจำนงของสามี แต่เกิดจากพระเจ้า”

 

“ส่วนคนทั้งปวงที่ยอมรับพระองค์”  คือยอมรับว่าพระเยซูเป็นผู้นั้น ที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยมนุษย์ เพื่อช่วยฉันให้รอดพ้นจากการตายจากพระสิริของพระเจ้า ให้ฉันได้สามารถเข้าสวรรค์ได้ ให้ฉันสามารถบังเกิดใหม่ได้ คนนั้น คนที่ยอมรับ สิทธิของเขาก็ได้รับสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเขาเรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน

พอยอมรับปุ๊บ พระเยซูจะประทานฤทธิ์เดชอำนาจให้เขาได้บังเกิดใหม่ เป็นบุตรของพระเจ้า บังเกิดใหม่ด้วยฤทธิ์อำนาจ คือการกระทำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะเข้ามา เมื่อเราเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้นั่นเอง พระองค์ก็ประทานสิทธิ

ซึ่งคำว่า “สิทธิ” ในภาษาเดิมมีใช้ในคำภาษาอังกฤษว่า “Power” เป็น Power จริงๆ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจจริงๆ

พระองค์ประทานฤทธิ์เดชอำนาจให้เขาได้บังเกิดใหม่ เป็นบุตรของพระเจ้าทันที มีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นบนโลกวิญญาณที่ยิ่งกว่าพลังงานปรมาณู ทำให้วิญญาณของเราที่ตายอยู่ ได้สามารถบังเกิดใหม่ได้ ใครก็ตามที่ต้อนรับข่าวดีของพระเยซู ต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเยซูก็ได้ให้ฤทธิ์เดชอำนาจนี้ ในชีวิตของเขา ในร่างกายของเขาทันที เปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ปุ๊บ พระวิญญาณจะเสด็จเข้าไปในวิญญาณของคนนั้นทันที เข้าไปทำให้วิญญาณของคนนั้น ได้เข้าสู่ขบวนการของการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าทันที นี่คืออัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่สุด ในมหาจักรวาล ที่พระเจ้าสามารถกระทำให้ได้กับมนุษย์ทุกคน

นี่คืออัศจรรย์ยิ่งใหญ่มากๆ และพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณ ก็จะได้เสด็จเข้ามาอยู่ในร่างกาย ที่พระวิญญาณได้ทำให้เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เพราะว่าพอบังเกิดใหม่แล้ว มันสะอาดบริสุทธิ์ สามารถเป็นที่อยู่อาศัยของพระเจ้าได้ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของคนๆ นั้น คนๆ นั้น ก็เป็นหมือนสวรรค์ ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ทันที โรม 8:9 บันทึกไว้อย่างนี้ …

โรม 8:9 “ โดยความเป็นจริง ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าได้สถิตอยู่ในพวกท่าน (โดยการเกิดใหม่) แล้ว ท่านก็ไม่ได้กำลังอาศัยอยู่ในบาป อยู่ในเนื้อหนังในอาดัม แต่ท่านได้กำลังอาศัยอยู่ในพระวิญญาณในพระคริสต์ ใครก็ตามที่ไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์สถิตอยู่ภายใน คนนั้นก็ไม่ได้ (บังเกิดใหม่) เป็นของพระองค์”

 

พอบังเกิดใหม่ พระวิญญาณของพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา อยู่ในคนๆ นั้น ถ้าไม่ได้บังเกิดใหม่ พระวิญญาณก็ไม่ได้สถิตอยู่ในเขา ในโลกวิญญาณ เขาก็อยู่ที่เดิม คือเกิดจากครรภ์มารดา ก็อยู่ในอาดัม อยู่ในบาป อยู่ในการเป็นศัตรูกับพระเจ้า

ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์ทุกคน คือวิญญาณ ระบบของความบาปบนโลกใบนี้ พยายามที่จะปิดบังตามนุษย์ทั้งหลายไม่ให้รู้ความจริงตรงนี้ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ คือมนุษย์เป็นวิญญาณ ไม่ใช่มีวิญญาณนะ เป็นวิญญาณ และมันจะอยู่ตลอดไป อยู่ที่ไหน? ก็สถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งในโลกฝ่ายวิญญาณนั่นเอง  เรารู้ความจริงเมื่อสักครู่นี้แล้ว ที่พระคัมภีร์บอกให้ฟังแล้วว่าเราเกิดมา วิญญาณเราก็อยู่ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า และเราจะอยู่อย่างนั้นตลอดไป ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

เพราะฉะนั้น วิญญาณของมนุษย์จะอยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่ง ในโลกวิญญาณ ที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่มีอยู่จริงๆ จริงกว่าโลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ด้วยซ้ำไป จริงกว่า มากกว่าด้วยซ้ำ พระคัมภีร์บอกสิ่งที่มนุษย์มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ คือโลกวิญญาณนั้น อยู่ถาวรนิรันดร์ ไม่มีการดับสูญ แต่สิ่งของที่มองเห็นได้นั้น มันอยู่เพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนแปลงไปแล้ว

ยกตัวอย่างง่ายๆ วิญญาณของเราจะอยู่ตลอด แต่ร่างกายเรา เมื่อถึงวันเวลา ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องสูญสิ้น ก็คือวิญญาณตายจากร่างกาย  ร่างกายจะต้องสู่ดินไป วิญญาณออกไปอยู่ที่ไหน? ในโลกฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างไร?  นั่นคือสิ่งที่สำคัญและจะอยู่ตลอดไป

พระเจ้าบอกความจริงกับเราว่ามนุษย์ทั้งหลาย เกิดมาจากครรภ์มารดา ร่างกายอยู่บนโลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้ แต่วิญญาณภายในอยู่ในโลกวิญญาณ อาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด ในความบาป ในอาดัม บรรพบุรุษ อยู่ภายใต้กฎแห่งการกระทำดีและชั่ว และพยายามพึ่งพาการกระทำดีด้วยตนเอง เพื่อจะได้เข้าไปอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง ในสวรรค์กับพระเจ้า โดยที่จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม มนุษย์ทุกคนเป็นอย่างนี้ เกิดมาก็เป็นอย่างนี้แล้ว กระเสือกกระสน พยายามที่จะเข้าหาสวรรค์ให้ได้ โดยการพึ่งพาความคิดของตนเอง การกระทำของตนเองว่าทำอย่างนี้ มันดี และจะได้ไปสวรรค์ ทำอย่างนี้ไม่ดี จะไม่ได้เข้าสวรรค์ นี่คือการพึ่งพาที่มนุษย์ทุกคนเป็นอยู่ ตามที่พระคัมภีร์บอก

ซึ่งพระเยซูตรัสว่าการพยายามกระเสือกกระสนของมนุษย์ ที่จะเข้าสู่สวรรค์นั้น มันไม่มีทางเกิดขึ้น มันไม่มีทางเป็นไปได้ พระเยซูบอกมันไม่มีที่จะดีพร้อม 100% ไปได้เลย ท่านไม่สามารถจะดีพร้อมเหมือนพระเจ้าไปได้เลย ด้วยการกระทำของท่านเอง เป็นไปไม่ได้ ถ้าท่านจะเข้าสวรรค์ท่านต้องดีพร้อมเหมือนพระเจ้า 100%

พระเยซูจึงบอกว่าท่านจึงจำเป็นต้องบังเกิดใหม่ ภาษาเดิม คือเกิดอีกครั้ง เกิดใหม่หรือเกิดอีกครั้ง อันเดียวกัน หมายถึงเกิดจากครรภ์มารดา ในน้ำคร่ำ ในมดลูก เป็นมนุษย์ วิญญาณตายอยู่ แล้วต้องมาเกิดอีกครั้งหนึ่ง คือวิญญาณที่ตายได้รับการชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเยซูที่ประทานให้ ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ชุบให้วิญญาณนั้นเป็นขึ้นจากความตาย เรียกว่าเกิดอีกครั้ง ด้วยพระสิริของพระเจ้า ต้องมาเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง คือนอกจากเกิดจากครรภ์มารดาแล้ว ต้องเกิดใหม่ในวิญญาณ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วย จึงจะสามารถบริสุทธิ์ดีพร้อม เข้าไปอยู่ในอาณาจักรของความสว่าง อาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้า ที่ตนเองแสวงหามาตลอดชีวิตนั้น เป็นไปได้แล้ว

เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนบนโลกขณะนี้ ก็ต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ในโลกฝ่ายวิญญาณใช่หรือไม่? เรากำลังพูดถึงเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ เรื่องของพระเจ้าเป็นเรื่องของโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น พระเยซูบอกเรื่องอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ ที่จับต้องมองเห็น มันก็มีประโยชน์อยู่บ้าง แค่นั้น แต่เดี๋ยวมันก็สูญสิ้นไปแล้ว แต่สิ่งที่เราพูดนั้น เป็นวิญญาณและเป็นชีวิต และเป็นวิญญาณที่ให้ชีวิต เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนบนโลกในขณะนี้ ในวิญญาณต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ในโลกวิญญาณ คือไม่อยู่ในอาดัม ก็อยู่ในพระคริสต์ …

“ในอาดัมหรือในพระคริสต์ ในบาปหรือในความชอบธรรม ในที่ที่ไม่มีพระเจ้า ไม่มีสิริของพระเจ้า  หรือในสวรรค์ที่เต็มด้วยสิริของพระเจ้า”

ต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งแน่นอน ไม่มีการบอกว่าขออยู่ 2 ข้าง ขออยู่ตรงกลาง ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ ไม่มืดก็สว่าง ไม่มีอยู่สลัวๆ ไม่ดำก็ขาว ไม่ใช่อยู่ตรงเทาๆ ไม่มี ต้องตัดสินใจอยู่ที่ใดที่หนึ่ง พระคัมภีร์จึงใช้คำว่า …

“หันหลังกลับ 180 องศา”

พอเชื่อในข่าวดีนี้แล้ว จากอยู่ในอาดัม หันหลังกลับ 180 องศา มาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์ ไม่มีหัน 90  องศา อยู่มันทั้ง 2 ข้างเลย เป็นไปไม่ได้

นี่คือเรากำลังพูดถึงความจริงในโลกวิญญาณ ในหนังสือโคโลสี 1:13-14 ได้บอกชัดเจนอย่างนี้เลยว่าคนที่จะเข้าไปอยู่ในสวรรค์ได้ มันต้องเป็นลักษณะอย่างนี้ …

โคโลสี 1:13-14  “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยซูคริสต์) ที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตร (พระคริสต์) นี้ เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”

 

พระเจ้าได้ทำการย้ายเรา ก็คือย้ายวิญญาณของเรา ตัวตนของเรายังอยู่ในเมืองไทย อยู่ในกรุงเทพ อยู่ในสมุทราปราการ อยู่ที่แพรกษา อยู่ที่จังหวัดขอนแก่น อยู่จังหวัดอะไรก็ตาม ก็ยังอยู่ที่นั่นแหละ  แต่พอเราเชื่อในข่าวประเสริฐ เปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ ทันทีทันใดนั้น พระวิญญาณเสด็จเข้ามาในร่างกายของเรา ทำการผ่าตัดวิญญาณ ตัวเรายังอยู่ที่เดิม ย้ายวิญญาณของเรา วิญญาณของผู้ที่เชื่อในข่าวดี ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดนี้ พอยอมรับ พระวิญญาณเข้าไปย้ายวิญญาณของเขา  ย้ายออกจากในอาดัม ย้ายมาอยู่ในพระคริสต์ นี่คือสิ่งที่ชัดเจนในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลของคริสเตียน โดยเฉพาะพระคัมภีร์ใหม่ ได้พูดชัดเจนอย่างแจ่มแจ้งเลยว่ามันมีการอย่างนี้เกิดขึ้นจริงๆ ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน แต่เมื่อเราปฏิบัติตาม เราจะรู้จากข้างในจริงๆ ว่าเราได้รับการย้ายแล้ว ย้ายออกจากอาดัมมาอยู่ในพระคริสต์ จากตายจากพระเจ้ามาเกิดใหม่ อยู่กับพระเจ้า จากการเป็นทาสของความบาป การพึ่งพาการกระทำของตนเอง กลับกลายเป็นลูกของพระเจ้า ที่พึ่งพาพ่อ 100% ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืด ไม่มีพระเจ้า ไม่มีพระสิริ มาสู่อาณาจักรของความสว่างของพระบุตร พระเยซูคริสต์ที่รักของพระองค์  ก็คืออาณาจักรสวรรค์นั่นเอง อาณาจักรสวรรค์ที่พระเยซูนำเข้ามาบนโลกใบนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว วันเพ็นเทคอสต์ เปิดประตูสวรรค์ นี่คือข่าวดี

ข่าวดีพิเศษ ก็คือทั้งหมดนี้ มนุษย์ทุกคนเลือกที่จะเกิดใหม่อีกครั้ง หรือเกิดอีกครั้งในวิญญาณได้ เลือกได้ทันทีเลย เพราะฉะนั้น ไม่ได้อยู่ที่พระเจ้า พระเจ้าให้หมดเรียบร้อยแล้ว พระเยซูก็ทำสำเร็จเรียบร้อยหมดแล้ว  ไม่มีการรออะไรเลย รออย่างเดียว คือรอให้มนุษย์ตัดสินใจเลือก (ข้าง) นั่นเอง จะอยู่ข้างเหมือนเดิม พึ่งพาตนเองต่อไป หรือจะพึ่งพาพระเยซู จะพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง เพื่อหวังว่าจะไปสวรรค์ หลังความตาย หรือจะพึ่งพระเยซู ถ้าเลือกตัดสินใจพึ่งพระเยซู หันหลังกลับ 180 องศา เรียกว่ากลับใจใหม่ แค่นั้นเอง นี่คือข่าวดี มนุษย์ทุกคนเลือกที่จะเกิดอีกครั้งในวิญญาณได้ เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น คือยอมรับว่าพระองค์ผู้นี้แหละ คือพระเจ้า ที่พระองค์ทรงแต่งตั้งไว้ให้เป็นผู้ช่วยให้มนุษย์รอดจากนรก รอดจากบาป รอดจากความพินาศในวิญญาณ  แค่นี้เอง แล้วพระองค์ทรงกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว  ที่ไม้กางเขน เป็นข่าวดีมาถึงเรา เรายอมรับ เราเอาด้วย เราก็ตัดสินใจรับสิทธิของเราเท่านั้น

พอเปิดใจต้อนรับ แล้วเกิดอะไรขึ้น? พระวิญญาณของพระคริสต์ ก็จะเข้าไปในร่างกายของคนๆ นั้น ทำอัศจรรย์กิจการงานใหญ่โตมากมาย มโหฬาร ยิ่งกว่าสร้างโลกนี้อีก เกิดขึ้นที่ภายในวิญญาณ ภายในร่างกายของคนๆ นั้น ที่ย้ำให้เห็นคนๆ นั้น เพราะไม่ใช่กลุ่มคน แต่เฉพาะคนๆ นั้นเลย เพราะฉะนั้น หมายความว่าไม่ว่าคนๆ นั้นจะอยู่ที่ไหน? อยู่ในป่าลึก อยู่ในห้องโดดเดี่ยว อยู่ในถ้ำ อยู่ที่ไหนก็ตาม อยู่คนเดียวก็ตาม เขาสามารถเปิดใจ เมื่อเขาเชื่อในข่าวประเสริฐนี้ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แค่นั้นเอง อัศจรรย์ยิ่งใหญ่มหาศาลเกิดขึ้นทันทีในตัวเขา และอัศจรรย์ยิ่งใหญ่นี้ ก็คือการทำให้เขาได้บังเกิดใหม่อีกครั้งทันที  และย้ายวิญญาณของเขา เข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพื่อกลับคืนดีกับพระเจ้า มาอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ทันที เหมือนที่พระองค์ได้ทรงตั้งใจไว้ ตั้งแต่แรกเริ่มสร้างมนุษย์แล้วว่ามนุษย์จะพักผ่อนมีความสุข เสวยสุขอยู่กับพระองค์ตลอดชั่วนิรันดร์กาล โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะว่าเป็นพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย เพื่อให้มนุษย์ใช้สอยเพียงอย่างเดียว  ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย  เขาเรียกว่าพัก หายเหนื่อย และเป็นสุข

เพราะฉะนั้น สรุปวันนี้จึงเห็นภาพชัดเจน ที่แบ่งออกมาเป็น 3 ขั้นตอนได้ …

(1) สวรรค์ตั้งอยู่แล้ว ประตูเปิดรอแล้ว นึกถึงวันเพ็นเทคอสต์ เฉพาะคริสเตียนเท่านั้นที่เคยได้ยิน หรือเคยได้ฟัง เคยได้รับรู้เพ็นเทคอสต์ หรือแม้กระทั่งคริสเตียนบางคน ก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำไป ซึ่งไม่จำเป็นต้องรู้

สำหรับมนุษย์ที่ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยิ่งไม่จำเป็นต้องรู้เพ็นเทคอสต์ เอาเป็นว่าสวรรค์ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ประตูเปิดรอรับเรียบร้อยแล้ว ประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว พระเยซูได้นำสวรรค์ลงมาตั้งอยู่ และเปิดประตูสวรรค์รอแล้ว

(2) ทุกคนที่จะเข้าประตูสวรรค์ต้องได้รับการบังเกิดใหม่

(3) บังเกิดใหม่ คือต้องผ่านการต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตเท่านั้น ไม่มีทางอื่น พระคัมภีร์จึงบอกว่านามเดียวที่มาสู่ความรอด ไปสวรรค์ได้  คือนามพระเยซูคริสต์เท่านั้น

พระเยซูจึงตรัสด้วยตัวพระองค์เองว่า … “นอกจากทางเราแล้ว ไม่มีทางอื่น ท่านจะไปหาพระบิดา อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ได้ ต้องผ่านทางเราเท่านั้น

มีใครกล้าพูดอย่างนี้บ้าง? … “ผ่านทางผมคนเดียวเลยนะ ทั้งโลกเลย ตั้งแต่สมัยอดีตมา ไม่รู้กี่พันปีมาแล้ว จนกระทั่งจากนี้ต่อไป จนสิ้นโลกเลย ไม่มีทางเข้าสู่สวรรค์เลย นอกจากทางเราเท่านั้น”

และเป็นจริงมา 2,000 ปีแล้ว เราพิสูจน์ได้ วิญญาณของใครก็ตามที่ได้เกิดใหม่ พอเกิดใหม่ปั๊บ สิ่งหนึ่งที่ตามมา ก็คือวิญญาณของคนๆ นั้น จะเป็นเหมือนพระเจ้า  คุณลักษณะหนึ่งในนั้น ก็คือเขาจะสามารถมีตาฝ่ายวิญญาณที่มองเห็นโลกฝ่ายวิญญาณได้ รับรู้ได้จากภายใน สิ่งที่ตัวเองคิดว่าจะไม่เชื่อมาก่อน ก็จะสามารถที่จะเชื่อได้ เพราะฉะนั้น สวรรค์ในอดีต ก่อนที่เราจะรับเชื่อ ก่อนที่เราจะบังเกิดใหม่ พูดถึงสวรรค์ๆๆ ก็เชื่อว่ามีสวรรค์ แต่เห็นไหม? ไม่เห็น แต่พอมาเป็นคริสเตียน พอมาบังเกิดใหม่ มีวิญญาณใหม่ ตาวิญญาณเปิดออก เชื่อในเรื่องสวรรค์ มันเห็น เห็นด้วยความเชื่อว่ามีอยู่จริง เป็นอยู่จริงๆ

“ตอนนี้ฉันได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ  วิญญาณฉันอยู่กับพระเจ้าในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้ว วิญญาณฉันขณะนี้อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์แล้ว แต่ฉันยังอาศัยอยู่ในร่างกายเดิมนี้อยู่ ซึ่งถูกกำหนดให้ต้องสูญสิ้นไปในวันหนึ่ง ก็คือตายจากร่างกายนี้ เมื่อร่างกายนี้ตายจากไปเมื่อไร? วิญญาณฉันออกจากร่างเมื่อไร? ฉันก็จะไปรับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ในสวรรคสถาน ซึ่งเป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ที่เป็นขึ้นจากความตายไม่มีผิดเลย พอรับร่างกายใหม่เสร็จ ฉันก็อยู่ที่เดิม ก็คืออยู่ที่สวรรค์ อยู่กับพระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณ และพระเจ้าพระบิดาด้วย

และเมื่อวิญญาณฉันออกจากร่างเมื่อไร? ร่างกายที่อ่อนแอนี้ ฝัง ตายไป วิญญาณที่ออกจากร่างและร่างกายใหม่ ที่สมบูรณ์พร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่ฉันได้รับ เข้าไปสวมเมื่อไร? ฉันจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า เห็นพระวิญญาณบริสุทธิ์หน้าต่อหน้า เห็นตัวเองหน้าต่อหน้าว่าตัวเองมีสง่าราศี ตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าอย่างไร? ว่าเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว สง่าราศีเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ หน้าตาตัวเองเป็นอย่างไร? นอกจากนั้น ฉันจะเห็นพี่น้องทั้งหลาย ที่ร่วมเชื่อในพระเยซูคริสต์เหมือนกับฉัน ที่เป็นคริสเตียน ที่ล่วงหลับไปก่อนนั้นอีกมากมาย เราจะอยู่ในสวรรค์อย่างนั้นชั่วนิรันดร์”

เขาจะเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพราะเขาได้บังเกิดใหม่ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ตาวิญญาณได้เปิดออก ได้เข้าใจ ได้เห็นแล้ว

นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคริสเตียน ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ และได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์จริงๆ เขาจะเห็น เขาจะรู้ว่าชีวิตที่เขาอยู่นี้ เขาจะเน้นถึงโลกฝ่ายวิญญาณมากกว่าโลกฝ่ายวัตถุ เขาจะเห็นว่าโลกฝ่ายวัตถุที่มองเห็นอยู่นี้ อยู่เพียงชั่วคราว แต่สิ่งที่มองไม่เห็น คือโลกฝ่ายวิญญาณนั้น อยู่ถาวรนิรันดร์ ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

คนเราจะเกิดใหม่ได้อย่างไร?

ต้องเข้าไปอยู่ในครรภ์มารดาอีกครั้งหรือ?

พระเยซูตอบว่าอย่างไร? …

ยอห์น 3:1-8 “มีฟาริสีคนหนึ่ง ชื่อ “นิโคเดมัส” เป็นสมาชิกสภาการปกครองของยิว เขามาหาพระเยซูในเวลากลางคืน และทูลว่า “รับบี เรารู้อยู่ว่าท่านเป็นครู ผู้มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีใครสามารถทำหมายสำคัญที่ท่านทำอยู่ หากพระเจ้าไม่ได้สถิตกับเขา พระเยซูตรัสตอบ โดยประกาศว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่” นิโคเดมัสทูลถามว่า “คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เมื่อเขาแก่แล้ว แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเกิดออกมาใหม่” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำ (ครรภ์มารดา) และพระวิญญาณ มนุษย์ให้กำเนิดมนุษย์ แต่พระวิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกว่า “ท่านต้องเกิดใหม่” ลมพัดไปที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหน หรือจะไปที่ไหน ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณ ก็เช่นกัน”

 

พระเยซูก็เลยยกคำอุปมา หรือการเปรียบเทียบว่าบังเกิดใหม่เป็นอย่างไร? พระเยซูบอกว่า “ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกว่าท่านต้องบังเกิดใหม่” คือเกิดอีกครั้งในวิญญาณที่ตายอยู่เพราะ เป็นคนบาป แล้วก็ยกว่า “ลมพัดไปที่ไหนได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม ท่านใช้หูได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหน? หรือจะไปที่ไหน? ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เช่นนั้น”

 

พระเยซูยกตัวอย่าง หมายความว่าถ้าเราจะเชื่อพระเจ้า เราอยากจะไปอยู่ในสวรรค์ เราต้องใช้ใจ  ใช้วิญญาณ  เพราะว่าตา หู จมูก ลิ้น กาย มองไม่เห็น  เหมือนลมมองไม่เห็น  แต่รู้ว่ามี   เชื่อเอา พระเยซูกำลังบอกอย่างนั้น ต้องใช้ความเชื่ออย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถใช้หู ตา จมูก ลิ้น กาย พิสูจน์พระเจ้ามีจริงไหม? สวรรค์เป็นจริงไหม? ไม่สามารถใช้สัมผัสใดๆ เลย มันต้องสัมผัสด้วยวิญญาณหรือใจเท่านั้น

 

การบังเกิดใหม่ เกิดขึ้นที่วิญญาณ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปแสวงหาอัศจรรย์ แบบให้เห็นว่าเกิดใหม่เป็นอย่างไร? สัมผัสได้ทางเดียว คือวิญญาณด้วยใจเท่านั้น ถึงจะรู้ว่าเกิดใหม่ในวิญญาณ เป็นเช่นไร?

 

และเมื่อท่านเข้ามามีประสบการณ์การบังเกิดใหม่นี้ ท่านจะรู้ด้วยตัวท่านเองว่ามันจริง

“รู้ เพราะอยู่ในใจ” … พระเจ้าอวยพรครับ