วารสาร Holy News ฉบับที่ 1366

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  พฤษภาคม  2022

เรื่อง “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก”

ตอน 7 “แต่ข้าอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เราอยู่ในซีรี่ย์ “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” วันนี้ตอนที่ 7 ให้ชื่อตอนว่า “แต่ข้าอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา” คุ้นๆ นะอยู่ในเนื้อเพลง

คำพูดที่เราได้ยินกันบ่อยๆ เมื่อมาเชื่อพระเจ้า แล้วบอกว่าเมื่อเกิดมรสุม พายุเข้ามาในชีวิตของเรา บางครั้ง พระเจ้าก็นำพาพวกเราเดินผ่าน โดยทำให้พายุนั้นสงบลง แต่หลายครั้ง พระองค์ทรงทำให้เราสงบ แต่พายุยังอยู่เหมือนเดิม แล้วก็เดินผ่านไปเหมือนกัน

สรุปแล้ว ผลเหมือนกัน ก็คือสอบผ่าน พายุ ก็คือความทุกข์ยากลำบาก  เกิดความทุกข์ยากลำบากในชีวิตของเรา หลายครั้ง พระเจ้าพาเราผ่านความทุกข์ยากลำบาก โดยความทุกข์ยากลำบากหายไปเลย แต่หลายครั้ง มากกว่านั้น คือเกิดความทุกข์ยากลำบากขึ้น ปรากฏว่าเราผ่านโดยความทุกข์ยากลำบากยังอยู่ แต่เราเปลี่ยนแปลง จากทนไม่ได้ เป็นการทนได้ และมีสันติสุข ท่ามกลางพายุเหล่านั้น นี่คือวิธีการของพระเจ้า ในชีวิตของเราทั้งหลาย ที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเราแล้ว แล้วก็นำพาชีวิตเรา ทรงสถิตอยู่กับเราเสมอตลอดเวลา ตามที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ว่าเมื่อเราเชื่อในพระเจ้าแล้ว พระองค์เข้ามาสถิตอยู่กับเรา  ทั้งพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกันในร่างกายของเรานี้ นำพาชีวิตเรา และไม่ทอดทิ้งให้เราอยู่ลำพัง ไม่ทอดทิ้งให้เราเป็นเด็กกำพร้า หลายครั้งเราไปมองที่ …

“อ้าว! อยู่กับเราตลอดเวลา ทำไมเหตุการณ์มันไม่เปลี่ยนแปลง พระเจ้าบอกอยู่กับเราตลอดเวลา”

แต่ทำให้เราเปลี่ยนแปลง อัศจรรย์มากกว่าเยอะ นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ของเราทั้งหลาย

วิธีการของพระเจ้า ก็คือเปลี่ยนแปลงเรา โดยเปลี่ยนแปลงความคิดของเรา ให้คิดเหมือนพระองค์นั่นเอง เพราะเราคิดแบบโลกใบนี้ เราอยากได้อะไรต่างๆ ตามโลกใบนี้ ตามชีวิตเดิมของคนที่ไม่รู้จักพระเจ้า แต่พอเรารู้จักพระเจ้าแล้ว พระองค์มีสิ่งที่ดีกว่านั้นให้เราดำเนินชีวิต ซึ่งเราไม่เข้าใจหรอก พระองค์จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงเรา

เปลี่ยนแปลงเราที่ตรงไหน? ก็เปลี่ยนแปลงที่ความคิดของเรา เพราะความคิดจะออกมาเป็นผล คือการปฏิบัตินั่นเอง เปลี่ยนแปลงแปลงความคิดของเรา ให้เป็นเหมือนความคิดของพระองค์นั่นเอง

วิธีการเปลี่ยนแปลงความคิดของเราเหมือนพระองค์ ก็คือเอาความจริง ในโลกฝ่ายวิญญาณมาบอกเราว่าตอนนี้เราเป็นใครในโลกวิญญาณ ให้เราเห็นชัดๆ เมื่อเราเห็นในโลกวิญญาณอย่างชัดเจน เห็นว่าเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าสถิตอยู่กับเราจริงๆ เราได้เห็นชัดเจนอย่างนั้นแล้ว ชีวิตเราก็จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นเหมือนพระองค์ เพราะฉะนั้น หัวใจสำคัญ พระองค์จึงนำพาเราไปสู่ความเปลี่ยนแปลง โดยให้เรารับรู้ความจริงว่าเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์

“ฉันเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์” ก็คือหัวใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ รับรู้ว่าฉันเป็นใคร? วันต่อวัน ควรที่เราจะต้องรับรู้มากขึ้นว่าเราเป็นใครแล้วในโลกวิญญาณในพระเยซูคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่เป็นเช่นไร? คือเราได้เรียนรู้แล้ว จากหลายตอนเลย ซี่รี่ย์นี้ จากหนังสือ 1 เปโตร บทที่ 1 ได้รู้ว่าพระเจ้าปลอบโยนจิตใจของบรรดาผู้คนที่เชื่อในพระองค์ ที่อยู่ท่ามกลางความทุกข์ลำบาก อย่างแสนสาหัสนั้น ด้วยการบอกความจริงกับเขาว่าเขาเป็นใครแล้ว ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเราได้รับรู้ไปแล้วบ้าง ก็คือเราได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้าแล้ว เราได้บัพติศมาในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราได้สามัคคีธรรมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์แล้ว พระคริสต์เป็นเช่นไร? เราก็เป็นเช่นนั้นด้วยแล้ว อะไรเหล่านี้ เราควรจะเรียนรู้ รู้และรับรู้ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น ในโลกวิญญาณแล้ว ในเราทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้กลายมาเป็นศิลาก้อนหนึ่งที่ต่อติดกับศิลามุมเอก เป็นเหมือนศิลามุมเอกเลย คือเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ชีวิตจิตใจ จิตวิญญาณของเรา เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ชีวิตในการดำเนินบนโลกใบนี้ ชีวิตเราจริงๆ คือวิญญาณของเรา ที่อยู่ในร่างกายนี้ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ จึงเป็นชีวิตที่ดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ โดยชีวิตของพระคริสต์นั่นเอง  ต้องเติมคำว่า “แล้ว”

เพราะฉะนั้น ถ้าตายจากร่างกายนี้ ก็คือวิญญาณออกจากร่าง เราก็จะได้พบพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์หน้าต่อหน้าอย่างแน่นอน เพราะเราอยู่ที่นั่นแล้ว และเราก็จะได้เห็นด้วยตาของเราจริงๆ ว่าเราเป็นใคร? สง่างามขนาดไหน? ในพระเยซูคริสต์ด้วยตาเป็นๆ ของเรา เมื่อตอนที่เราจากโลกนี้ จากร่างกายนี้ เข้าไปสู่โลกวิญญาณนั่นเอง

นี่คือเป้าหมายของพระเจ้า ที่จะหนุนใจพี่น้องทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์แล้ว ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งเราได้เรียนรู้ทั้งหมดนี้แล้ว พระคัมภีร์ใช้คำว่า “เราได้รู้จักพระเยซูคริสต์แล้ว” ที่พูดมาตะกี้ ที่บอกว่าในพระเยซูคริสต์เราเป็นใคร? ทั้งหมดนั้น เราเรียกว่าเราได้รู้จัก สนิทสนม เป็นอย่างดีกับพระคริสต์แล้ว เราจึงสามารถพูดเหมือนกับเปาโลพูด แต่เขาเอามาแต่งเป็นเพลงว่าท่ามกลางความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ เปาโลบอกว่าอย่างไร?

“แต่ข้ารู้จักพระคริสต์ที่ข้าเชื่อ และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา”

เห็นไหม? ท่ามกลางปัญหาต่างๆ ที่เรากำลังเผชิญอยู่บนโลกใบนี้ เราสามารถพูดคำนี้ได้ไหม? ถ้าได้ ก็แสดงว่าเราได้รู้จัก เราได้เรียนรู้ เราได้รับความจริง ตาวิญญาณเราเปิดออกมากขึ้น เราเข้าใจ พระเจ้าสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดของเราให้เป็นเหมือนพระองค์ได้มากขึ้นแล้ว เพราะว่าเราได้รู้จักพระคริสต์ที่เราเชื่อ และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา รักษาซึ่งมอบไว้กับพระองค์ จนถึงกาลวันนั้นได้

“รักษาสิ่งที่มอบให้กับพระองค์” ก็คือการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่ละวันๆ อะไรจะเกิดขึ้น พายุจะมาหรือไม่มา พายุจะมีหรือไม่มี จะมีกินหรือไม่มีจะกิน จะสุข ทุกข์ สบายหรือเจ็บป่วย ยากจนลง หรือร่ำรวย เราก็ได้อยู่กับพระคริสต์ เพราะเราได้รู้จักพระคริสต์ที่เราเชื่อ ใช่ไหม?

เพราะฉะนั้น เราสามารถใส่ความจริงในโลกวิญญาณที่เราได้เรียนรู้เมื่อสักครู่นี้ทั้งหมด การกลับคืนดีกับพระเจ้า คือเมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์ เราได้อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้บัพติศมาในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ เราสามารถใส่เข้าไปในนี้ได้หมดเลยว่า …

“แต่ข้าอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา รักษาซึ่ง มอบไว้กับพระองค์ จนถึงกาลวันนั้นได้”

“จนถึงกาลวันนั้น” ก็คือจนกว่าวิญญาณเราจะออกจากร่าง จนกว่าเราจะไปพบพระเยซูหน้าต่อหน้า หมดความทุกข์ยากลำบากเสียทีหนึ่ง เห็นไหม? ใส่อะไรไปก็ได้ ถ้าเรารู้ คำว่า “รู้จักพระเยซูคริสต์” หมายถึงทั้งหมดที่ตะกี้นี้อธิบายมา ลองใส่สิ สมมติเราได้กลับคืนดี ร้องอย่างไร? …

“แต่ข้าได้กลับคืนดีกับพระเจ้าในพระเยซูคริสต์แล้ว และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา”

“แต่ข้าบัพติศมาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว” สมมติว่าเราเรียนรู้ในใจ เรียนรู้จากโลกวิญญาณแล้วว่าเราได้บัพติศมา เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู บอกว่า …

“แต่ข้าบัพติศมาในพระเยซูคริสต์”

ใส่อะไรก็ได้ในนั้น  สมมติใส่คำว่า “บังเกิดใหม่”

“แต่ข้าได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา รักษาซึ่ง มอบไว้กับพระองค์ จนถึงกาลวันนั้นได้”

“แต่ข้าสามัคคีธรรมอยู่กับพระเยซูคริสต์ และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา รักษาซึ่ง มอบไว้กับพระองค์ จนถึงกาลวันนั้นได้”

มันเป็นอย่างนี้หมดเลย  นี่แหละคือสิ่งที่เป็นความจริงในโลกวิญญาณ และพระเจ้าต้องการนำพาเราไปตรงนี้ ถ้าเราไปตรงนี้ได้เมื่อไร? เราก็พอใจในทุกสิ่งที่มีอยู่ เต็มไปด้วยสันติสุข เพราะว่าเราเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา รักษาซึ่ง ทุกสถานการณ์ที่เรากำลังเผชิญอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าอะไรก็ตาม จนถึงวันเวลา ที่จะหมดภาระในโลกนี้ เอเมนไหม?

เพราะฉะนั้น ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ที่เราเผชิญอยู่นั้น พระเจ้าก็กำลังนำเรา ให้ร้องบทเพลงนี้อยู่ในใจตลอดเวลานั่นเอง แต่ร้องเพียงแค่ … ไม่ใช่ร้องตลอดไป เห็นไหม? จนถึงกาลวันนั้น “กาลวันนั้น” มันแป๊บเดี๋ยว คือวันที่เราจากโลกนี้ไป นานไหม? จะอยู่บนโลกใบนี้อีกนานเท่าไร? 80 ปี 100 ปี แล้วอยู่มาเท่าไรแล้ว เหลือเท่าไรตอนนี้กับชีวิตนิรันดร์หลังความตาย มันเทียบกันไม่ได้เลยนั่นเอง เพราะฉะนั้น ร้องเพลงนี้ไปแค่แป๊บเดี๋ยว

พระองค์จึงหนุนใจเราใน 1 เปโตรว่าทนทุกข์ลำบากแค่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น พูดกับใคร? มีใครไม่ทุกข์ยากลำบากในโลกใบนี้บ้าง  แต่เราสามารถเรียนรู้ แล้วสันติสุขจะอยู่ในจิตใจของเรา ในพระเยซูคริสต์

เรามาเรียนรู้กันต่อในวันนี้ ครั้งที่แล้วเราได้เรียนรู้ไป 1 เปโตร 2:5 วันนี้เราก็มาต่อข้อที่ 6 อย่าลืมนะว่าเรากำลังเรียนรู้จากพระคัมภีร์ใน 1 เปโตร บทที่ 1 แล้วก็มา 1 เปโตร บทที่ 2 ซึ่งเราให้ชื่อเรื่องว่า “ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก พระเจ้าปลอบประโลมจิตใจของเราทั้งหลายด้วยวิธีเช่นใด” อะไรคือสาระสำคัญของการปลอบประโลมใจของพระองค์ 1 เปโตร 2:6 เรามาต่อวันนี้เลยครับ …

1 เปโตร 2:6   “เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์แล้วว่า  ‘ดูก่อน  เราวางศิลาก้อนหนึ่งลงในศิโยน  เป็นศิลาหัวมุมที่ทรงเลือกแล้ว  และเป็นศิลาที่มีค่าอันประเสริฐ  และผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ ก็จะไม่ได้รับความอับอาย”

 

“เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์แล้ว หมายถึงว่าเพราะได้รับการเผยพระวจนะ พระเจ้าบอกล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่สมัยโน้น  เป็นพันๆ ปีแล้วว่าศิลาหัวมุมที่ทรงเลือกแล้ว และเป็นศิลา มีค่าอันประเสริฐ ก็หมายถึงพระบุตร  คือพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระองค์ทรงเลือก กำหนดแล้วว่าจะเป็นพระผู้ช่วยของมวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้ เลือกแล้ว แต่พระเยซูต้องทำสิ่งหนึ่ง ก็คือต้องยอมรับในการทรงเลือกนี้ ถูกไหม? พระเยซูมีสิทธิ์ที่จะไม่รับการทรงเลือกก็ได้  มีสิทธิ์ปฏิเสธได้ ถูกไหม? พระเยซูเคยปฏิเสธการทรงเลือกนี้ไหม? คิดในใจ เคย มีหลักฐาน ที่สวนเกทเสมนี พระองค์ทรงอธิษฐานก่อนถูกเขาจับไปตรึงที่ไม้กางเขน ในคืนนั้น พระองค์ทรงอธิษฐาน 3 ครั้งว่าไม่ไปได้ไหม? ไม่เอาได้ไหม? แต่พระเจ้าเงียบ ในที่สุด พระองค์ก็ยอม ก็เลยรับการทรงเลือกของพระเจ้า ให้เป็นผู้ช่วยให้รอดของมวลมนุษยชาติ

ในนี้เขียนว่า “และผู้ใดที่เชื่อในพระองค์ก็จะไม่ได้รับความอับอาย” ก็หมายถึงผู้ที่วางใจในพระเยซูคริสต์จะไม่ได้รับความพินาศ  ไม่ได้รับความอับอายเลยในโลกวิญญาณ เมื่อวันหนึ่งที่อยู่หน้าการพิพากษาหลังความตาย เพราะว่าความอับอายตรงนี้ หมายถึงความบาปนั่นเอง ผู้ที่วางใจในพระเยซูคริสต์จะไม่ได้รับความอับอายเลย ก็คือผู้นั้นจะหลุดพ้นจากความบาป กลายมาเป็นผู้ชอบธรรม ห่มเสื้อแห่งความชอบธรรม ด้วยความภูมิใจและเต็มไปด้วยสง่าราศีว่าไม่อับอาย คนที่ไม่ได้ห่มเสื้อแห่งความชอบธรรม เป็นคนบาป เป็นผู้ที่น่าอับอาย มันเป็นเช่นนั้น

เหมือนวันหนึ่งที่อาดัมและเอวาไม่เชื่อฟังพระเจ้า ทำบาปเป็นครั้งแรกของมวลมนุษยชาติ พอทำบาปปุ๊บ ความชอบธรรม พระสิริของพระเจ้า เหมือนเสื้อผ้าอาภรณ์ได้หลุดหายไป ห่มความบาปแทน ก็คือเปลือย เปลือยจากความชอบธรรม ก็กลายเป็นคนบาป อับอาย

รู้ได้อย่างไรอับอาย เพราะในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าอาดัมและเอวา รู้สึกอาย พระเจ้าจึงต้องมาช่วย นำหนังสัตว์มาห่มให้ ซึ่งเล็งถึงพระโลหิตของพระเยซู แต่เอาโลหิตของสัตว์มาห่มให้ชั่วคราว อะไรประมาณนี้  แต่วันนี้เราไม่ได้มาเรียนรู้เรื่องนี้  1 เปโตร 2:7 ต่อไป …

1 เปโตร 2:7 “พระองค์ทรงมีค่าอันประเสริฐ สำหรับท่านทั้งหลายที่เชื่อ แต่สำหรับคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อนั้น  ศิลาที่ช่างก่อทั้งหลายทิ้งเสียแล้วนั้น ได้กลับกลายเป็นศิลามุมเอกแล้ว”

 

สำหรับคนทั้งหลายที่เชื่อและวางใจในพระเยซู พระองค์ก็ทรงเป็นศิลาอันมีค่า ที่ประเสริฐ เพราะพระองค์ได้ทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากความบาป กลายมาเป็นความชอบธรรมแล้วนั่นเอง จึงมีค่ามาก

แต่สำหรับคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อนั้น ศิลาซึ่งช่างก่อทั้งหลาย ทิ้งเสียแล้วนั้น ได้กลับกลายเป็นศิลามุมเอกไปเสียแล้ว อย่าลืมว่าตรงนี้ เปโตรกำลังอ้างถึงพระคัมภีร์เดิม คือคำเผยพระวจนะที่พระเจ้าได้บอกล่วงหน้า ตั้งแต่ในอดีต ข้อความนี้ อยู่ในหนังสือสดุดี 118:22 นั่นเอง ซึ่งตรงนี้เปโตรดึงเอาข้อพระคัมภีร์นั้นมา เปโตรกำลังชี้ให้เห็นว่าพระเยซูคริสต์ถูกปฏิเสธ โดยคนของพระองค์เอง ก็คือชาวยิวนั่นเอง

คำว่า “ช่างก่อ” เป็นคำเปรียบให้เห็นว่าชาวยิว ตั้งแต่ในอดีต ทุกยุคทุกสมัย มีความพยายามที่จะก่อสร้างวิหารของพระเจ้า แบบทำด้วยมือ ให้สง่างาม เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า และรอคอยพระเมสิยาห์ คือพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าสัญญาว่าจะมาช่วย รอคอยกัน ใจจดใจจ่อ แต่ขณะเดียวกันที่รอคอยนั้น ก็สร้างวิหารที่ทำด้วยมืออย่างประณีตที่สุด เท่าที่จะทำได้ คิดว่าพระเจ้าจะพอใจมาก สำหรับวิหารสวยงามอันนั้น เช่นวิหารของซาโลมอนเป็นต้น ในอดีตเป็นอย่างนี้ แต่จนกระทั่ง เมื่อพระเยซูได้มาปรากฏตัวจริงๆ ตามคำเผยพระวจนะแล้วนั้น เขาทั้งหลายที่ดำเนินชีวิต คิดว่าเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า  คือสร้างวิหารด้วยมือของตนเอง กลับไม่เชื่อในพระเมสิยาห์ คือพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้แล้ว และประทานมาให้ และเกิดแล้วเดี๋ยวนี้ และตรงในคำเผยพระวจนะมากมายไปหมดเลย กลับไม่เชื่อ ซึ่งในบริบทนี้ คนทั้งหลายที่ไม่เชื่อ คนที่ปฏิเสธพระเยซู จะเน้นถึงพวกที่ต่อต้านพระเยซู ที่กล่าวร้ายและจับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน ก็คือพวกฟาริสี ธรรมาจารย์ หัวหน้าพระทั้งหลายในนั้น เซ็นเฮดริน คายาฟาส ที่ต่อต้าน อิจฉาพระเยซู เขานึกว่าเขาสร้างวิหารทางวัตถุ รักษาความสง่างามทางวัตถุ นั่นคือสิ่งที่พอพระทัยของพระเจ้าแล้ว แต่พระเจ้ากำลังเผยพระวจนะ เล็งถึงการสร้างวิหารทางฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมีพระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอก  เป็นผู้ที่สำคัญที่สุดนั่นเอง จับพระเยซูคริสต์ไปตรึงที่ไม้กางเขน เพราะสำหรับคนเหล่านี้ที่ไม่เชื่อ ที่ปฏิเสธพระมาซีฮาห์ คือพระเยซู เป็นเหมือนเขาทิ้งศิลาก้อนสำคัญ คือศิลามุมเอกนี้ เพราะคนเหล่านี้ไม่เห็นคุณค่าทางด้านฝ่ายวิญญาณ คือโยนศิลามุมเอก ที่พระเจ้าสัญญาไว้ เป็นศิลาเดียวที่จะสร้างพระวิหารของพระเจ้าได้ ก็คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง ซึ่งเราก็ได้เห็นแล้วว่าเมื่อเขาจับพระเยซูไปฆ่า สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล้วอะไรเกิดขึ้น พระองค์กลายเป็นศิลามุมเอก เป็นวิหารทางฝ่ายวิญญาณจริงๆ ของมวลมนุษยชาติ ในขณะที่เขาต่อต้าน และไม่เชื่อฟัง ในที่สุด ศิลาที่ช่างก่อต่อต้าน คนที่ไม่เชื่อต่อต้าน โยนทิ้ง ฆ่าทิ้ง  ก็ได้กลายมาเป็นศิลามุมเอก ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของคริสตจักร

คริสตจักร หมายถึงวิหารของพระเจ้าทางฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าให้สร้างวิหารทางฝ่ายวัตถุในอดีต ตามพระคัมภีร์เดิม จากคนยิวนั้น ก็เพื่อเล็งให้เห็น ถึงวันหนึ่ง พระองค์จะส่งพระเยซูคริสต์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ เป็นศิลามุมเอก ในฝ่ายวิญญาณ ในการสร้างวิหาร แบบนี้ แต่เป็นฝ่ายวิญญาณ แต่เขาไม่เข้าใจ เขาเลยปฏิเสธพระเยซูซะ ซึ่งสำคัญที่สุด  และศิลามุมเอก คือพระเยซู ก็ได้กลายเป็นหินที่ทำให้เขาเหล่านั้นที่ไม่เชื่อสะดุด และรวมถึงในปัจจุบัน ใครที่ไม่เชื่อในพระบุตร พระเยซูคริสต์ก็สะดุดไปด้วย 1 เปโตร 2:8 บันทึกไว้อย่างนี้ …

1 เปโตร 2:8  “และเป็นหินที่ทำให้คนสะดุด และเป็นที่ทำให้คนหกล้ม ที่เขาสะดุดนั้น เพราะเขาไม่เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า ตามที่เขาถูกกำหนด ให้กระทำเช่นนั้น”

 

เป็นหินที่ทำให้คนสะดุด “สะดุด” ก็คือเป็นหินที่ทำให้คนพินาศ คือไม่เชื่อพระเยซูก็พินาศ เป็นศิลาที่ยากที่จะเชื่อ และเป็นเหตุให้เป็นอุปสรรคในการเข้าสวรรค์ของบรรดามนุษยชาติ และของเขาทั้งหลาย

เป็นเหตุทำให้เขาหกล้ม “หกล้ม” คือข่มเหง ไม่ใช่ปฏิเสธพินาศอย่างเดียว แต่ยังข่มเหงรังแก พยายามไปบอกคนอื่นว่าอย่ามาเชื่อด้วย หนักถึงขนาดนั้น ที่เขาสะดุดและข่มเหงพระเยซู เพราะเขาไม่เชื่อพระวจนะที่เผยตั้งนานมาแล้ว ตลอดเวลา เล็งถึงพระเยซูคริสต์ ตรงนี้สำคัญ เพราะเขาไม่เชื่อฟัง พระวจนะของพระเจ้า ที่บอกไว้แล้วตั้งแต่ในอดีต ตามที่เขาถูกกำหนดให้กระทำเช่นนั้น

ตรงนี้ทุกคนเข้าใจว่าคงหมายถึงพระเจ้ากำหนดให้เขาไม่เชื่อ หรืออย่างไร? ถูกกำหนดให้กระทำ หมายความว่าพระเจ้าทรงรู้ล่วงหน้าแล้วว่าในอิสราเอลมีใครบ้าง ที่ไม่เชื่อพระองค์ พระองค์ทรงเป็นสัพพัญญู รู้ทุกสิ่ง ก่อนที่เราจะคิด พระองค์ก็ทรงทราบล่วงหน้าว่าเราคิดอะไรอยู่ เพราะฉะนั้น พระองค์ทรงรู้ แต่พระองค์ไม่ได้ทำให้มันเกิดขึ้น เพราะพระองค์ทรงรู้จิตใจของมนุษย์ดี พระองค์ไม่อยากทำให้เป็นอย่างนั้นเลย คือพระองค์ไม่อยากจะทำให้เขาไม่เชื่อ อยากจะทำให้เขาเชื่อ แต่รู้ล่วงหน้าว่าเขาจะทำแบบนี้ เขาจะปฏิเสธพระเยซู

และพระองค์รู้ล่วงหน้า เพราะพระองค์รู้จิตใจเขาก่อน รู้ว่าคนนี้คิดอะไร? พระองค์จึงต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้น คือเป็นไปตามจิตใจของเขาที่ดื้อและตัดสินใจอย่างนั้น ด้วยตัวของเขาเอง พระองค์เคารพในการตัดสินใจของมนุษย์ทั้งหลาย  ไม่ใช่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า แต่พระเจ้าจำเป็นต้องอนุญาตให้เป็นไปตามนั้น  เพราะเขาตัดสินใจของเขาเอง เพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์มา ไม่ได้สร้างมาให้เป็นโรบอท กดให้เชื่อ ก็เชื่อ ไม่ใช่ สร้างให้มีอิสระเสรีภาพในการตัดสินใจ เมื่อเขาตัดสินใจอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น เหมือนตอนที่อาดัมและเอวาตัดสินใจไม่เชื่อฟังพระเจ้า  เขาก็ตัดสินใจได้ เพราะพระองค์ทรงสร้างเขามาเป็นลูกของพระองค์ให้มีอิสระ

เพราะฉะนั้น ถามว่าในเมื่อพระองค์ทรงรู้ล่วงหน้าก่อนแล้ว ก็เท่ากับว่าพระองค์กำหนดไว้ก่อนแล้วสิ ก็เหมือนกับว่ากำหนดให้มันเป็นอย่างนั้นใช่ไหม? ไม่ใช่ การกำหนดนี้ไม่ใช่ โดยพระเจ้า แต่เป็นการกำหนดด้วยการตัดสินใจของคนๆ นั้นเอง

จำพระเยซูได้ไหม ในสวนเกทเสมนี พระเยซูได้ถูกเลือกสรรมาเป็นพระบุตรของพระเจ้า ผู้ช่วยให้รอด แต่พระเยซูปฏิเสธพระเจ้า 3 ครั้ง ไม่เอาๆ แต่ในที่สุด ก็เอา แต่คนที่ไม่เชื่อ ขณะที่ไม่เอาๆ อยู่นั้น พระเจ้าต้องการให้เขารอดไหม? ต้องการให้เขาเชื่อไหม? ต้องการ แต่เขาก็ดื้อ ไม่เอาๆ บางคนสุดท้าย ก็เหมือนพระเยซู ก่อนตาย  ก่อนถึงกาลวันนั้น  เอา หันมารับเชื่อ แต่บางคนไม่เอาๆ จนวันสุดท้าย ก็ไม่รับพระเยซูอยู่ดี หมายถึงอย่างนั้น

“เขาได้ถูกกำหนดไว้แล้ว” ถามว่าใครกำหนดครับ? ก็คือตัวเขาเอง  ซึ่งพระเจ้าเคารพในการตัดสินใจ ก็คือตัวเขาเองกำหนดเองว่าเขาไม่เชื่อ ไม่ใช่พระเจ้าทำให้เขาไม่เชื่อ แต่เขาไม่เชื่อเอง มันเกิดขึ้นมาเองข้างใน ซึ่งพระเจ้าทรงทราบล่วงหน้า ด้วยว่าเขาจะไม่เชื่อ อธิบายยากนิดหนึ่ง

เรามาดูนิดหนึ่ง ตรงนี้มันสำคัญมาก ผมเลยยกข้อพระคัมภีร์มา เพื่อให้ท่านเห็นว่าอะไร คือพระประสงค์ของพระเจ้าจริงๆ ก็คือมนุษย์ทุกคนได้รับความรอด ผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ เป็นศิลามุมเอก ให้กับมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวงนั่นเอง ลองดูข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ 2 ข้อเท่านั้น ท่านจะเห็นว่านี่คือน้ำพระทัยจริงๆ ต้องการมากๆ ให้มนุษย์ทุกคนเชื่อในพระศิลามุมเอก ก็คือพระเยซูคริสต์นี้ …

โคโลสี 1:19-20 “19 เพราะว่าพระเจ้าพอพระทัย ที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระองค์อยู่ในพระบุตร 20 และให้ทุกสิ่งทั้งบนแผ่นดินโลกและในสวรรค์ กลับคืนดีกับพระองค์ ผ่านทางพระบุตร สันติภาพนี้ มีขึ้นโดยพระโลหิต”

 

พระเจ้าพอพระทัย ก็คือพระเจ้าประสงค์ ต้องการให้ทุกคนเชื่อ ไม่ปฏิเสธพระศิลานี้ …

2 โครินธ์ 5:19-20 “19 คือพระเจ้าทรงให้โลกนี้ คืนดีกันกับพระองค์ โดยพระคริสต์มิได้ทรงถือโทษในการผิดของเขา และทรงมอบเรื่องการคืนดีกันนั้น ให้เราประกาศ 20 ฉะนั้น เราจึงเป็นทูตของพระคริสต์ โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายทางเรา เราจึงขอร้องท่านในนามของพระคริสต์ ให้คืนดีกันกับพระเจ้า”

 

โลกนี้ ก็คือมนุษยชาติบนโลกใบนี้และสรรพสิ่งบนโลกใบนี้  คืนดี ผมพยายามเลือกสรรเอา ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับการคืนดีมาให้เห็น  เพราะ 2-3 ตอนที่แล้ว ได้บอกแล้วว่าเวลาเราบังเกิดใหม่ และเชื่อในพระเยซูคริสต์ คือเราได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ร่วมได้อย่างไร? โดยการบังเกิดใหม่ ด้วย DNA ของพระเจ้า เมื่อเป็น DNA ของพระเจ้า ก็สามารถเข้าคืนดีกับพระเจ้าได้ กลับเข้าหากันได้ แต่ก่อนนี้ไม่คืนดีเข้ากันไม่ได้ เพราะฝ่ายหนึ่งบริสุทธิ์ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นบาป เป็นสกปรก ตอนนี้เราได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ได้ชีวิตที่สะอาดบริสุทธิ์ มันก็กลับคืนดีกับพระเจ้า สามารถเข้ากันได้นั่นเอง พระเจ้าต้องการตรงนี้แหละ พูดง่ายๆ คือพระเจ้าต้องการให้โลกนี้ บัพติศมาเข้าในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เข้ามากับพระองค์ เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ นี่เรียกว่าคืนดี คือพระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกับพระองค์ โดยพระคริสต์ มิได้ทรงถือโทษ ในการผิดของเรา และทรงมอบเรื่องการคืนดีนั้นให้เราประกาศ

ประกาศว่าอย่างไร? ประกาศว่าจงมารับบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ จงมาคืนดี ก็คือบัพติศมาเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วจะเป็นหนึ่งได้อย่างไร? คืนดีได้อย่างไร? โดยการต้อนรับคำเชิญจากพระเจ้า ในเรื่องข่าวดีของพระองค์ รับสิทธิที่พระองค์ทรงกระทำให้เรียบร้อยแล้ว โดยพระบุตรของพระองค์ที่ไม้กางเขนนั่นเอง เรียกว่าคืนดี

ข้อ 20 บอกฉะนั้น เราจึงเป็นทูตของพระคริสต์ นี่หมายถึงอาจารย์เปาโลและทีมงาน ผู้ประกาศข่าวดี ก็เป็นเหมือนตัวแทนของพระเจ้ามาประกาศ เป็นปุโรหิตของพระเจ้าในฝ่ายวิญญาณ

“ฉะนั้น เราจึงเป็นทูตของพระคริสต์ โดยพระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลาย  (อ่านแล้วชื่นใจมากเลย) โดยที่พระเจ้าทรงขอร้องท่านทั้งหลายทางเรา เราจึงขอร้องท่านในนามของพระเยซูคริสต์ให้คืนดีกับพระเจ้า ให้มาบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ให้มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ให้มาบัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ให้มาสามัคคีธรรมกับพระเยซูคริสต์ ให้มารู้จักพระเยซูคริสต์ เพื่อท่านจะได้ร้องเพลงนี้ได้ในการดำเนินชีวิตต่อไปว่า” …

“แต่ข้ารู้จักพระคริสต์ที่ข้าเชื่อ และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา

รักษาซึ่ง มอบไว้กับพระองค์ จนถึงกาลวันนั้นได้”

นี่แหละ พระเจ้าประสงค์ ต้องการอย่างมาก ให้มนุษย์ทุกคนได้มารู้จัก สนิทสนม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ โดยพระเจ้าสำแดงความรักของพระองค์ ความห่วงใย และพระประสงค์ของพระองค์อย่างสุดใจ โดยการบอกว่า “เราขอร้อง” ท่านลองคิดดูสิ พระเจ้าเป็นพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง  และโทษทีนะ เราเป็นมนุษย์บาปด้วย สกปรก แต่พระเจ้าขอร้องเรา นี่ไม่ได้ขอร้องคนที่เชื่อแล้วนะ ขอร้องคนที่ยังไม่เชื่อ ขอร้องให้เขามาคืนดีกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ 1 เปโตร 2:9 …

1 เปโตร 2:9 “แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลาย ประกาศพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกท่านทั้งหลาย ให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์”

 

แต่ท่านทั้งหลายเป็นชาติที่พระองค์ทรงเลือกไว้แล้ว เลือกให้มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ มาเป็นลูกของพระองค์

ถามว่าพระเจ้าทรงเลือกสรรพวกนี้ แล้วพวกนี้ไม่ได้เลือกอย่างนั่นหรือ? ฟังดูเหมือนๆ อย่างนั้น

คำตอบ ก็คือไม่ใช่  พระเจ้าเลือกหมดทุกคน แต่คนที่ยอมรับการเชิญของพระเจ้า ตอบรับการทรงเลือกของพระเจ้า ก็ได้กลายเป็นคนที่พระเจ้าทรงเลือกไว้นั่นเอง เหมือนยกตัวอย่างพระเยซูเมื่อสักครู่นี้

ส่วนคนที่ไม่ตอบรับคำเชิญ ไม่ตอบรับการเลือกของพระเจ้า ก็เท่ากับไม่ได้ทรงเลือกอย่างนั้น นั่นเอง ถูกไหม?

พวกท่านเป็นประชากรที่พระเจ้าได้เลือกไว้แล้ว คือเป็นประชากรที่ได้รับการเชิญของพระเจ้า เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เข้ามาอยู่ในบ้านของพระองค์แล้ว ตรงนี้จริงๆ หมายถึงว่าพระองค์ทรงเลือกทั้งชนชาติอิสราเอลและชนชาติที่ไม่ใช่อิสราเอล ทั้งหมดให้มารวมกันอยู่ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง มนุษย์คนไหนก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นอิสราเอลหรือไม่เป็นอิสราเอลก็ตาม พอท่านเชื่อปุ๊บ ในข้อพระคัมภีร์ตะกี้ ท่านก็ได้เป็นชนชาติเดียวกัน คือเป็นประชากรของพระองค์ ท่านก็ได้เป็นปุโรหิต

สังเกตคำว่า “เป็น” ท่านได้เป็นประชาชนบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมี

สังเกตคำว่า “เป็น” ท่านทั้งหลายก็ได้เป็นปุโรหิต ไม่ใช่ท่านทั้งหลายต้องประพฤติเป็นปุโรหิต พระองค์ทรงกระทำให้เราเป็นปุโรหิตเลย ด้วยความเชื่อของเราในพระเยซูคริสต์

เห็นไหมครับ จะมีคำว่า “เป็น” หมดเลย เป็นเพราะอะไร? เพราะประพฤติหรือ? ไม่ใช่ เพราะความเชื่อ

ท่านถูกเลือกสรร เพราะท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านก็ได้เป็นปุโรหิตหลวง เพราะท่านได้กลับมาคืนดีกับพระเยซูคริสต์ กับพระเจ้าแล้ว ท่านก็เลยได้กลายเป็นปุโรหิตหลวง ที่ผมพยายามเน้นคำว่า “เป็น” อยู่เรื่อยๆ ท่านจะได้รู้ว่าพระเจ้าต้องการให้เรารู้อะไร? เราเป็นปุโรหิตหลวงแล้วตอนนี้ เราเป็นแล้ว ไม่ใช่ว่าเรากำลังประพฤติตัวให้เป็น สร้างตัวให้เป็น ไม่ใช่ เราเป็นแล้ว

เป็นปุโรหิตหลวง ก็คือเป็นผู้ที่ถูกแยกออกมาต่างหาก เป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ของพระเจ้า ที่ได้รับการชำระ สะอาด หมดจด เป็นของใช้ส่วนตัวของพระองค์ ผู้ทรงพระชนม์อยู่ ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์นั่นเอง อยู่หรือยัง? อยู่แล้ว เป็นหรือยัง? เป็นแล้ว สำคัญตรงนี้ “เป็นแล้วๆ” ซึ่งในข้อพระคัมภีร์นี้  ที่เปโตรยกตัวอย่างว่าเป็นปุโรหิต  คนยิวสมัยนั้น สมัยนี้ก็ได้ ฟังดูแล้วเข้าใจเลย ปุโรหิตหลวง คือปุโรหิตที่แยกออกมาจากโลกใบนี้เลย มารับใช้พระเจ้าอย่างเดียว การงานไม่ต้องทำ อยู่ในพระนิเวศน์อย่างเดียว รับหน้าที่ถวายเครื่องบูชา คือโลหิตของสัตว์ต่อพระองค์ เป็นตัวแทนของมนุษย์บาป ในโลกใบนี้ หรือในประชากรอิสราเอลในอดีตนั่นเอง

แต่ตอนนี้ เราทั้งหลายที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เราได้เป็นปุโรหิตแบบนั้น แต่เป็นแบบวิญญาณ ในอดีต พระเจ้าตั้งขึ้นมาเป็นอย่างนั้น เพื่อเล็งให้เห็นถึงยุคของพระคัมภีร์ใหม่ ยุคของพระเยซูคริสต์นั่นเอง เราเป็นปุโรหิต แบบวิญญาณ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ เราไม่ต้องถวายโลหิตของสัตว์แล้ว แต่เราถวายตัวเราเอง ซึ่งสะอาดหมดจดแล้ว บริสุทธิ์แล้ว แยกออกมาแล้ว เป็นทาสรับใช้พระเจ้า  เป็นลูก แต่เป็นดั่งทาส ไม่มีทางเป็นอื่นเลย คือเป็นลูกแน่นอน เชื่อฟังแน่นอน

คำว่า “เป็นทาสรับใช้” เป็นทาสที่เชื่อฟัง  พระเจ้าพูดอะไร เราก็เอเมนหมด ในวิญญาณเราเอเมน ซึ่งเราเรียกกันว่าปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าดั่งทาสในฝ่ายวิญญาณ เชื่อฟังดั่งทาส ซึ่งตรงนี้เรียกว่านมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง

“นมัสการ” แปลว่ายอมจำนน เชื่อฟัง ยอมรับ อย่างไม่มีเงื่อนไข นมัสการแปลว่าอย่างนี้ นมัสการไม่ได้แปลว่าถวายทรัพย์ นมัสการไม่ได้แปลว่าร้องเพลง นมัสการไม่ได้แปลว่าท่านมาในวันอาทิตย์ ไม่ใช่ ตัวคำว่านมัสการเองจริงๆ แปลว่ายอมจำนน เชื่อฟัง ยอมรับอย่างไม่มีเงื่อนไข เหมือนดั่งทาส นมัสการพระเจ้า ก็คือยอมจำนนต่อพระเจ้า  เป็นดั่งทาสด้วยวิญญาณ  ก็คือด้วยวิญญาณ เรายอมจำนน แต่ทางร่างกายอาจจะทำเหมือนไม่ยอมจำนน พระเยซูยังเคยไม่จำนนเลย ไม่ยอมปฏิบัติ ไม่เอาได้ไหม?  แต่ในที่สุด ก็ยอม นั่นแหละเป็นลักษณะอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ทางร่างกาย บางครั้งอาจทำเหมือนไม่ยอมจำนน ดื้อ ซึ่งอันนี้ไม่เกี่ยวกัน เรามีหน้าที่ในวิญญาณของเรา ที่บังเกิดใหม่ ที่เชื่อพระเจ้า เชื่อฟังต่อพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าให้เราเกิดมา และให้วิญญาณเราเป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง วิญญาณนะ เพราะฉะนั้น เราเชื่อฟังในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ เราเป็นวิญญาณที่เชื่อฟังพระเจ้า 100% ดั่งทาสเลย “เป็น” นะ แต่ความประพฤติ บางครั้งอาจจะไม่เชื่อฟัง แต่วิญญาณของเรา ตัวจริงๆ ของเรา เป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง

เชื่อฟัง เพราะพระเจ้าได้สร้างเราให้เป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟัง เราได้บังเกิดใหม่ หนึ่งคุณลักษณะของการบังเกิดใหม่ คือเป็นวิญญาณแห่งการเชื่อฟังพระเจ้า คืนดีกับพระเจ้า พระเจ้าว่าอะไรเออออห่อหมก พระเจ้าบอกนก ก็นก พระเจ้าบอกไม้ ก็ไม้ อะไรประมาณนั้น

แล้วเราเป็นอะไรอีก ในพระคัมภีร์เมื่อสักครู่นี้ ที่เราอ่าน เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ เมื่อเราสร้างชีวิตของเราบนศิลามุมเอกนี้ ในพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราได้เป็นอะไรอีก? เป็นผู้ที่ถูกแยกออกมา เป็นผู้รับใช้พระเจ้าฝ่ายวิญญาณ เป็นชนชาติบริสุทธิ์  ก็คือเป็นประชากรของพระเจ้า เป็นประชากรของสวรรค์ที่บริสุทธิ์ ปราศจากบาป ไม่มีตำหนิอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว จึงสามารถอยู่กับพระเจ้าได้ กลับคืนดีกับพระเจ้าตลอดชั่วนิรันดร์ได้นั่นเอง

นี่เห็นไหมพระเจ้ากำลังทำอะไร? พระเจ้ากำลังพาเราไปสู่ความจริง และให้เราเรียนรู้ความจริง ให้เรารับรู้ความจริงเหล่านี้ เพื่อเป็นกำลังให้กับเรา ในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ ที่จะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดาบนโลกใบนี้นั่นเอง ไม่ว่าจะสุขภาพ ไม่ว่าจะความลำบาก เรื่องการกิน การอยู่ ไม่ว่าอะไรก็ตาม ที่เขียนอยู่ขณะนี้ เผชิญอะไร หนักกว่าเราตั้งเยอะ เผชิญกับการข่มเหงรังแกของโรม ต้องหนีเตลิดเปิดเปิงทั้งครอบครัว ที่อยู่ที่กินไม่มีเลย บางคนถูกจับไปทรมาน จับไปให้สิงโตกิน จับไปฆ่า เพื่อความสนุกสนาน จับไปตรึงที่ไม้กางเขน เผา อะไรอย่างนั้น

แสดงว่าสิ่งที่พูดไปนี้ พระเจ้าต้องการให้คนเหล่านั้นที่อยู่ในความทุกข์ยากลำบาก ได้รับรู้ เพื่อเป็นพลังในการดำเนินชีวิตของเขาว่า …

“ทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของเรา ไม่ต้องกลัวลูกๆ”

แล้วเราเป็นอะไรอีกในนี้บอก ในข้อพระคัมภีร์เมื่อสักครู่นี้ นอกจากนั้น เรายังเป็นพลเมืองของพระเจ้า ก็คือเป็นลูกๆ ของพระเจ้า อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า อยู่ในสวรรคสถานแล้ว  เป็นแล้วในขณะนี้ ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะที่เราโกหก ในขณะที่เราทำอะไรไม่เหมาะสม เราก็เป็นอยู่ เป็นพลเมืองในสวรรค์ เป็นลูกๆ ของพระเจ้า เป็นแล้ว เป็นอยู่ กำลังเป็นอยู่ เป็นปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นพลเมืองของพระเจ้า เป็นๆๆ เป็นอยู่ กำลังเป็นอยู่ และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป เอเมน พอเรารู้อย่างนี้แล้ว เกิดอะไรขึ้น …

“แต่ข้ารู้จักพระองค์ที่ข้าเชื่อ และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา

รักษาซึ่ง มอบไว้กับพระองค์ จนถึงกาลวันนั้นได้”

พอเรารู้อย่างนี้ คำว่า “รู้จัก” หมายถึงเรารู้พวกนี้ทั้งหมดเลย เปาโลรู้อย่างนี้ เปาโลจึงบอกได้ว่าแต่ข้ารู้จักพระเจ้าที่ข้าเชื่อ ข้ารู้จักพระองค์ที่ข้าเชื่อ สิ่งเหล่านี้ เปาโลเรียนรู้หมดแล้ว ในโลกวิญญาณว่าเป็นอะไรบ้าง? 3 เป็นเลย คือ …

  1. เมื่อเชื่อแล้ว เป็นประชากรของพระเจ้า ที่พระเจ้าเลือกสรร ก็คือเป็นผู้ที่เชื่อในพระเจ้า เชื่อในพระเยซูคริสต์
  2. เมื่อเชื่อแล้ว กลายเป็นปุโรหิตหลวง
  3. เมื่อเชื่อแล้ว กลายเป็นชนชาติบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นพลเมืองของพระเจ้า

สรุปรวม คือกลายเป็นพลเมืองของพระเจ้า ทั้ง 3 อันนี้ เกิดขึ้นจากการต้อนรับข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเยซู ต้อนรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นศิลามุมเอก ไม่ปฏิเสธ แต่ยอมรับ และมาสร้างชีวิตของเราทั้งหลาย สร้างชีวิตของฉันบนศิลานี้ พระเจ้าตรัส เผยพระวจนะไว้ …

“บนศิลานี้ เราจะสร้างคริสตจักรของเรา และความตายจะไม่มีอำนาจ ไม่มีชัยเหนือคริสตจักรนี้ได้” เอเมนไหม?

คริสตจักร ก็คือวิหารของพระเจ้า ทางฝ่ายวิญญาณ  บนศิลานี้ คือศิลามุมเอก คือพระเยซูคริสต์นี้ และตอนนี้เราสร้างชีวิตเราบนไหน? ถามตัวเองดู ถ้าเราสร้างบนศิลามุมเอกนี้ บนพระเยซูคริสต์นี้ เราก็ได้เป็นอย่างนี้ ตามที่เราได้เรียนรู้ไปแล้ว ที่พระเจ้าบอกเราในโลกวิญญาณว่าเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ เราได้มาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราไม่ได้อาศัยอยู่ที่เดิม คืออยู่ในอาดัมอีกต่อไป เรามาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ เรามาอาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างแล้ว เราไม่ได้อยู่ในอาณาจักรของความมืดเดิมแล้ว ถูกย้ายมาเรียบร้อยแล้ว เราไม่ได้กำลังสร้างบ้านของเรา บนตัวเราเอง บนความชอบธรรมของเราเอง ซึ่งไปไม่รอด บนความดีงามของเรา ที่เราจะกระทำเอง ซึ่งไปไม่รอด แต่เรากำลังสร้างชีวิตของเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งรอดแล้ว

และในข้อความเมื่อสักครู่นี้ที่บอกว่าที่เราเป็นทั้งหมดนี้ เพื่ออะไร? เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศพระบารมี เพื่อให้ท่านทั้งหลายสำแดงพระบารมีของพระองค์ ผู้ได้ทรงเลือกท่านทั้งหลาย ให้ออกจากอาณาจักรแห่งความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่างมหัศจรรย์ของพระองค์ นี่คืองานของเรา

ตะกี้นี้บอกว่าเราถูกเลือกมา และเราอยู่ไหนตอนนี้ เราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ อันนี้บอกถึงงานของเราว่าดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว งานของเราทำอะไร? พระเจ้าต้องการอะไร? เพื่อท่านจะได้แสดง คือการประกาศ โดยชีวิตของท่าน ไม่ใช่แค่คำพูดอย่างเดียว ประกาศพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ นี่คือชีวิตของเราทั้งหลาย ที่เราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ว่าเราเป็นอะไร? และงานของเรา คือสำแดงการงานอันมหัศจรรย์ของพระองค์

การงานมหัศจรรย์ของพระองค์ คือสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำแล้ว ตอนที่เราได้บังเกิดใหม่ สิ่งอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำแล้วให้กับมนุษย์ทั้งปวง ตอนที่พระเยซูคริสต์ได้ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่  3 ได้เป็นขึ้นจากความตาย นั่นแหละ คืออัศจรรย์

พระราชกิจอันอัศจรรย์นี้ คือสิ่งที่ทำให้ท่านได้บังเกิดใหม่ การงานของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน การตายที่ไม้กางเขน การเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้รับความรอดนั้น เป็นการอัศจรรย์ ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ได้เป็นลูกของพระเจ้า ที่สะอาดบริสุทธิ์แล้ว เมื่อได้เป็นอย่างนั้นแล้ว ก็ประกาศความยิ่งใหญ่ อัศจรรย์ของพระเจ้า ที่ได้ทำให้ท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว ทำให้ท่านย้ายออกจากความมืด เข้ามาสู่ความสว่างอันอัศจรรย์ของพระองค์แล้ว ท่านก็มีชีวิตอยู่อย่างนั้น มันเป็นอยู่ในตัวท่านอยู่แล้ว ท่านไม่ต้องทำอะไรเลย พูดง่ายๆ เพราะมันเป็นอยู่แล้ว ไปที่ไหน? อยู่ที่ไหน? ก็ประกาศด้วยชีวิต

ประกาศด้วยชีวิต คือให้เห็นว่าชีวิตของเรา เป็นชีวิตอัศจรรย์ ที่พระเจ้าทำให้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในความสว่างแล้ว

และทุกคนก็ถามว่าประกาศด้วยชีวิตหมายถึงอย่างไร? หมายถึงไม่ต้องทำอะไร ต่อไปนี้ มารับใช้พระเจ้าอย่างเดียว ตามที่เราคิดกันหรือ? มาที่โบสถ์อย่างเดียว มีงานประกาศอย่างเดียว ไม่สนใจโลกนี้เลย อะไรต่างๆ เหล่านั้นหรือไม่? เรามาสังเกตดู ประกาศด้วยชีวิต คืออย่างไร? ต้องทำอย่างไร? คำตอบ ก็คือไม่ต้องทำอะไรเลย ด้วยตัวเอง เพราะว่าพระองค์จะทรงกระทำเอง พระองค์ทรงอยู่ในเรา พระองค์จะเป็นผู้นำพาเราเอง  และพระองค์เตรียมแผนการดีๆ ไว้ให้กับเรา ซึ่งเราไม่รู้ด้วยว่าวิธีใด? เตรียมไว้อย่างไร? เราไม่รู้ แต่ที่เรารู้ ก็คือ …

“แต่ข้ารู้จักพระองค์ที่ข้าเชื่อ และเชื่อมั่นคงว่าพระองค์ทรงฤทธา

รักษาซึ่ง มอบไว้กับพระองค์ จนถึงกาลวันนั้นได้”

ชีวิตต่อไปที่มอบไว้กับพระองค์ ใครนำพาเรา? นี่แหละ นี่เปาโลเป็นผู้พูด เพราะฉะนั้น จะนำด้วยวิธีใด? ขณะนี้เราไม่รู้ แต่รู้ว่าพระองค์ทรงนำอยู่ ให้เราไปก็แล้วกัน เพราะเราเชื่อในพระองค์ เรารู้จักพระองค์ ที่เราเชื่อแล้ว รู้จักมาก ก็วางใจได้มาก รู้จักน้อย ก็วางใจได้น้อย บางคน พระองค์เลือกให้ประกาศเหมือนเปาโล ออกไปตระเวน ประกาศโน่นประกาศนี่ ฟันฝ่าอุปสรรค ต้องเผชิญกับการข่มเหงรังแกถึงชีวิต ตามฆ่า ตามล่า ทุกข์ทรมานติดคุกอะไรอย่างนี้ บางคนอาจจะถูกเรียกมา พระเจ้าจะนำให้ทำอย่างนี้ก็ได้ คือประกาศ แต่ปุโรหิตบางคน พระเจ้าเลือกมา เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ถูกแยกออกมาเป็นปุโรหิต เป็นผู้รับใช้ พระเจ้าอาจจะใช้ ตรงกันข้ามกับเปาโลเลย เหมือนโจร ที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน พร้อมพระเยซูเลย อาจจะใช้แค่นั้นเอง รับเชื่อปุ๊บ ประกาศให้เพื่อนที่เป็นโจร ที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขนข้างๆ ประกาศพระเยซูให้เขา แค่นั้น ชีวิต และที่เหลือมีแต่คำพยานว่าแม้โจรบนไม้กางเขน ยังรอดได้ แล้วท่านเป็นใคร กลัวจะไม่รอดหรือ? โจรบนไม้กางเขนยังรอดเลย

เพราะฉะนั้น วินาทีสุดท้าย บนเตียงผู้ป่วย กำลังจะจากโลกนี้ไป ท่านยังมีโอกาส สามารถตัดสินใจ วางใจ ต้อนรับข่าวประเสริฐ ข่าวดี ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดได้เลย เอเมนไหม? แล้วมาจากคำพยานของใคร? คำพยานของโจรบนไม้กางเขน อยู่แป๊บเดียวเอง

ไม่ว่าจะวิธีใด ก็คือประกาศพระบารมี ประกาศความล้ำเลิศของพระองค์ ประกาศข่าวดีของพระองค์ ที่ไม้กางเขน การเป็นขึ้นจากความตาย ประกาศให้มนุษย์ทั้งหลายรู้ว่าความรอดนี้ ได้รับง่ายๆ แค่นี้เอง คือวางใจในพระเยซูคริสต์ ประกาศด้วยชีวิต คือชีวิตของพระคริสต์ ที่อยู่ในเรา คือชีวิตตัวจริงๆ ของเรา ตัวเก่าของเรานั้น มันตายไปแล้ว

เมื่อเรารู้ความจริงอย่างนี้ เราก็รู้ว่าประกาศด้วยอะไร? ด้วยชีวิต ชีวิตนี้หมายถึงชีวิตที่อยู่ข้างใน เป็นชีวิตที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู เพราะฉะนั้น เป็นชีวิตของพระเยซูที่ดำเนินอยู่ในเรา ชีวิตของเรานะ ไม่ใช่ชีวิตของพระเยซูคริสต์ ของพระเยซูก็อีกส่วนหนึ่ง แต่ชีวิตเราจริงๆ คือวิญญาณของเราจริงๆ ที่เป็นเหมือนพระเยซู นี่หมายถึงประกาศด้วยตรงนี้ ประกาศด้วยวิญญาณของเรา ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์

ความหมาย ก็คือประกาศด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์ที่อยู่ในตัวข้าพเจ้า เปาโลก็จะพูดอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงมีหน้าที่อย่างเดียว คือเอเมน และทำตาม ที่วิญญาณเรา เอเมนตลอด แล้วก็ทำตาม เอเมนแล้วก็ทำตาม เนื้อหนังบางครั้งมันก็ดื้อบ้าง? แต่เดี๋ยวพระเจ้าก็ให้กำลัง ให้ความรู้กับเรา เราก็จะเอเมนและทำตาม

ซึ่งในที่สุด ตามพระคัมภีร์บอกไว้ เหมือนที่เปาโลบอก เปาโลเป็นตัวอย่างได้ดี เขาเผชิญกับหลายเรื่อง ความทุกข์ยากลำบาก เปาโลบอกว่าในที่สุด พระองค์ก็ทำสำเร็จ ในหนังสือฟีลิปปี 1:6 เปาโลบอกว่า …

“ข้าพเจ้ามั่นใจมากเลยว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นกระทำการงานดี ในพวกท่านทั้งหลายแล้ว” หมายถึงเริ่มต้นนำพาพวกท่าน และพวกท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือเริ่มต้นทำให้ท่านบังเกิดใหม่แล้ว เมื่อท่านบังเกิดใหม่แล้ว ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นทำให้ท่านบังเกิดใหม่แล้ว พระองค์สามารถที่จะนำพาท่านได้ ไปสู่ความสำเร็จในการงานที่พระองค์ทรงเริ่มต้นนั้นได้

ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีในพวกท่านทั้งหลายแล้ว พระองค์จะทรงสามารถกระทำต่อไปได้ จนกระทั่งสำเร็จ จนกว่าจะถึงวันพระเยซูคริสต์จอมเจ้านาย ก็คือจนกว่าจะถึงวันพระเยซูคริสต์กลับมา หรือเรากลับไปหาพระองค์นั่นเอง

คืออย่างไรพระองค์ก็ทำสำเร็จ วางแผนการไว้แล้ว เพราะฉะนั้น จงหายเหนื่อยและเป็นสุขเถิด แผนการของพระเจ้าต้องสำเร็จ เพราะพระเจ้าผู้เริ่มต้นการงานดีในเรา พระองค์จะทรงกระทำต่อไปจนสำเร็จ  โดยพระองค์เอง ไม่ใช่โดยกำลัง หรือความพยายามของเรา เพราะว่าพระเจ้าสถิตในเรา เป็นความหวังแห่งพระสิริ พระเยซูคริสต์สถิตในเรา เป็นผู้นำพาชีวิตของเราทุกลมหายใจ …

1 เปโตร 2:10 “เมื่อก่อนท่านทั้งหลายไม่มีชาติ แต่บัดนี้ท่านเป็นชนชาติของพระเจ้าแล้ว เมื่อก่อนท่านทั้งหลายหาได้รับพระกรุณาไม่ แต่บัดนี้ ท่านได้รับพระกรุณาแล้ว”

 

แต่ก่อนนี้ท่านไม่ได้เป็นคนของพระเจ้า ท่านอยู่ในอาดัม ตอนนี้ท่านอยู่ในพระเยซู เห็นภาพง่ายๆ แต่ก่อนนี้ เราอยู่ที่ไหนไม่รู้ เราไม่ได้อยู่ในเมืองไทย ตอนนี้เราอยู่ในเมืองไทยแล้ว จะเห็นภาพไหม? ตอนนี้ท่านเป็นคนของพระเจ้าแล้ว แต่ก่อนนี้ท่านอยู่ในอาดัม อยู่ในความพินาศ “พินาศ” ถ้าตามภาษาบ้านๆ คืออยู่ในนรกนั่นเอง

ก่อนนี้ หมายถึงก่อนที่ท่านจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ท่านอยู่ในความพินาศ อยู่ในนรก ในอาดัม ในความบาป แต่เดี๋ยวนี้ ท่านเชื่อแล้ว ท่านวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ท่านได้รับความรอด ได้รับชีวิตนิรันดร์อยู่ในพระเจ้า อยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว

ตรงกันข้ามกัน แต่ก่อนนี้ ตอนที่ยังไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ ตอนที่ท่านยังไม่ได้เชื่อในพระเจ้า ท่านอยู่ในความพินาศ อยู่ในนรก ไม่ได้รับพระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว แต่ท่านไม่เอาเอง แต่ตอนนี้ท่านเชื่อแล้ว ก็เท่ากับว่าท่านรับเอาความเมตตาของพระเจ้า เข้ามาในชีวิตแล้ว มันหมายความว่าอย่างนี้ พระคัมภีร์เมื่อตะกี้นี้ที่เราอ่าน

ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าพระเจ้าจะเลือกใคร? หรือไม่เลือกใคร? เลือกหมดทุกคน แต่ขึ้นอยู่กับคนๆ นั้นเอง ครั้งหนึ่งท่านเคยไม่เชื่อ ก็ไม่ได้รับความเมตตา แต่พระเจ้าอยากให้ความเมตตาอย่างนั้นกับท่านไหม? ขอร้องท่าน รับไว้เถอะ ให้แล้วด้วย ผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่ตายแล้วที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ที่ไม้กางเขน แต่ท่านไม่รับเอาไง พระเจ้าให้หรือเปล่า? ให้แล้ว แต่ท่านไม่เอาเอง แต่มาตอนนี้ ท่านยอมแล้ว ท่านบอกเอาก็ได้ ท่านเปิดใจรับเอาของขวัญนั้น รับเอาความเมตตา ความรักจากพระเจ้า ท่านก็ได้รับความเมตตาแล้วนั่นเอง นี่กำลังพูดถึงข้อพระคัมภีร์ 1เปโตร 2:10 ตรงนี้

เพราะฉะนั้น สรุปในวันนี้ ก็คือพระเจ้าต้องการให้เรารู้ว่าเราเป็นใครในโลกวิญญาณ ตัวนี้สำคัญมาก เป็นสาระสำคัญที่สุดเลยของข่าวประเสริฐ ในการดำเนินชีวิตในพระเยซูคริสต์ ที่จะเต็มไปด้วยสันติสุข เพราะว่าเมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ถ้อยคำความจริงเหล่านี้ ที่บอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณ เป็นน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ ที่ในหนังสือ 1 เปโตรได้บอกไว้ว่าเป็นน้ำนมฝ่ายวิญญาณ อันบริสุทธิ์ ที่ผู้เชื่อทั้งหลายจะดื่มกิน รับรู้ทุกวันๆ เพื่อจะได้เจริญเติบโต เข้าสู่ความไพบูลย์ในพระคุณความรอด และสันติสุขในพระเยซูคริสต์ ที่ได้รับมาแล้วนั้น เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ เพื่อที่จะเข้าไปสู่พระคุณ สันติสุข และความรัก ความเมตตาของพระเจ้า ให้มันล้นออกมา ถ้าได้ความจริงมากเท่าไร? เราก็จะล้นด้วยพระคุณมากเท่านั้น ถ้าได้ความจริงมากเท่าไร? เราก็จะเต็มไปด้วยสันติสุขมากเท่านั้น เพราะฉะนั้นอะไรสำคัญ  ความจริง คือน้ำนมฝ่ายวิญญาณจึงสำคัญ

น้ำนมฝ่ายวิญญาณ คือให้เรารู้ว่าพระเจ้าบอกเราในพระคัมภีร์ บอกเราด้วยตัวของพระองค์เองว่าเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์นั่นเอง และเราสามารถเชื่อและวางใจในพระองค์ได้มากขึ้นๆ เรื่อยๆ จากความรู้ความจริงเหล่านี้ เราสามารถเชื่อและวางใจในพระองค์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในเราตลอดเวลา วางใจได้ในทุกสถานการณ์ของชีวิต จนกว่าจะถึงกาลวันนั้น และจนกระทั่งถึงนิรันดร์ พระเจ้าอวยพรครับ

 

********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

ข่าวดี คือพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าส่งมาบนโลกใบนี้ พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน ฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่ 3 พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย ถ้าท่านเชื่อและรับข่าวดีนี้ ซึ่งคือความจริงนี้นั่นเอง ความจริงนี้ได้เกิดขึ้นในโลกวิญญาณแล้ว เป็นจริงๆ ตามนี้ ใครที่เชื่อ ก็จะได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ที่สำคัญที่สุด ในตัวตนแท้จริงในวิญญาณ และจิตใจข้างในของท่านเปลี่ยนแปลงทันทีที่ท่านเชื่อ คือได้บังเกิดใหม่เหมือนพระเยซู เริ่มต้นชีวิตใหม่อัศจรรย์ที่ท่านสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง

 

ถ้าท่านใช้สิทธิของท่านตรงนี้ ผล ก็คือท่านจะได้ไม่ต้องดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตามลำพังคนเดียว มีความหวังแบบลมๆ แล้งๆ อีกต่อไป ไม่ต้องหวาดกลัว วิตกกังวลว่าจะทำอย่างไร? จะไปอย่างไรดี? ตายแล้วจะไปไหน? วันนี้จะเกิดอะไรขึ้น? ไปดูดวง? กังวลเรื่องอนาคต มันไม่มีความหวังอะไรเลย ไม่มีเป้าหมายอะไรเลย

 

ท่านจะมีพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย สถิตอยู่กับท่าน เป็นผู้พาท่าน นำท่าน จูงมือท่าน เดินอยู่บนโลกใบนี้เลยทีเดียว ทันทีเลย ท่านไม่ต้องเดินคนเดียวอีกต่อไป ความหวังทั้งหลายก็อยู่ในพระองค์ และท่านสามารถพิสูจน์ได้ด้วยทันที ในการดำเนินชีวิต ตั้งแต่ชั่วโมงแรก หรือวินาทีแรก ที่ท่านเปิดใจเชื่อข่าวดีนี้

 

การเป็นขึ้นจากความตาย คือการบังเกิดใหม่ของพระเยซูคริสต์ หลังจากตายที่กางเขนและถูกฝังไว้ในอุโมงค์เป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดของข่าวดี ซึ่งส่งผลให้มนุษย์ที่เชื่อทุกคน ได้เข้าสู่ขบวนการการเป็นขึ้นจากตาย และการบังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมที่ครบถ้วนบริบูรณ์ บริสุทธิ์สะอาดหมดจด ตามที่พระเจ้าวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว หลายๆ พันปี ด้วยความรักมนุษย์อย่างมากมาย เพื่อว่าท่านจะได้เป็นขึ้นมาใหม่และพระเจ้าจะได้มาสถิตอยู่กับท่าน เดินกับท่านในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เดี่ยวนี้ จนกระทั่งถึงหลังความตาย จนกระทั่งถึงนิรันดร์

 

หลายท่านยังไม่ได้ใช้สิทธิของท่านในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าได้กระทำให้ โดยเฉพาะในสถานการณ์อย่างนี้ ท่านจะพึ่งใคร? ท่านจะพึ่งวัคซีนหรือ? หรือจะพึ่งรัฐบาล? หรือท่านจะพึ่งเงินที่ท่านมีอยู่เยอะแยะล้นฟ้า? หรือจะพึ่งใคร? ในเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด มันเป็นปัญหาที่ยุ่งยากวุ่นวายไปหมด ซึ่งในอดีตมีเรื่องราวที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตของมนุษย์มากกว่านี้อีกเยอะแยะ แล้วเขาพึ่งใครกัน? เขาถึงจะได้รับความรอด ดำเนินมาถึงทุกวันนี้ เราไปดูในอดีตได้ ก็พึ่งในพระเจ้า ผู้ทรงนำพาเขาได้

 

นี่แหละ เราต้องพึ่งในพระเจ้าในขณะนี้ จะกิน จะอยู่ จะดำเนินชีวิตอย่างไร? ด้วยความหวาดกลัวอย่างนี้ต่อไปหรือ? เฉพาะแค่เหตุการณ์ในตอนนี้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ที่จะน่าเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ เข้ามาใช้สิทธิของท่าน ในพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าได้กระทำให้ท่าน เพื่อท่านจะได้ไม่ต้องเดินคนเดียวอีกต่อไป แต่มีพระเจ้าสถิตอยู่กับท่าน

 

ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าถ้าปราศจากการบังเกิดใหม่ของพระเยซู คือการเป็นขึ้นจากความตาย ความเชื่อของเหล่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูหรือเชื่อในพระเจ้า ก็ไร้ประโยชน์ เพราะว่าพระเยซูตรัสว่าผู้ที่จะเข้าสวรรค์ได้นั้น ต้องบังเกิดใหม่ ดังนั้น พระเจ้าจึงได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ เพื่อเราทั้งหลาย มนุษย์ทั้งปวงจะได้เป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ด้วยกันกับพระองค์

 

1 โครินธ์ 15:20-22 “20 แต่นี่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตายจริงๆ เป็นผลแรกของบรรดาผู้ที่ล่วงลับไป 21 เพราะในเมื่อความตายสืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว การเป็นขึ้นจากตาย ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน 22 เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวงตายฉันใด ในพระคริสต์ คนทั้งปวงจะได้รับชีวิต บังเกิดใหม่ เหมือนพระองค์ฉันนั้น”

 

พระเจ้าอวยพรครับ