วารสาร Holy News ฉบับที่ 1365

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  15  พฤษภาคม  2022

เรื่อง “การปลอบประโลมจากพระเจ้า  ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก”

ตอน 6 “พระเยซูคริสต์เป็นเช่นไร เราก็เป็นเช่นนั้นด้วย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรากลับมาที่คำบรรยาย เรื่อง “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” วันนี้ตอนที่ 6 ชื่อตอนว่า “พระเยซูคริสต์เป็นเช่นไร เราก็เป็นเช่นนั้นด้วย”

ทบทวนครั้งที่แล้วนิดหนึ่ง ตอนที่ 5 “จงทิ้งเสื้อเก่า และสวมเสื้อใหม่ซะ” ประเด็นหลักที่เราเรียนรู้กันไป ก็คือเมื่อเราได้ทราบความจริง ในโลกวิญญาณว่าตัวตนแท้จริงของเรานั้นเป็นใคร? เป็นอย่างไร ในพระเยซูคริสต์  เราได้รับการบังเกิดใหม่แล้วอย่างไร? ดังนั้น ก็จงทำตัวให้สมกับฐานะใหม่ที่เราได้รับมาแล้วในทางวิญญาณ คือฐานะของการเป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์สะอาด ดีพร้อมนั่นเอง อะไรที่เป็นความคิดเดิมๆ ความประพฤติเดิมๆ ซึ่งเปรียบเสมือน เสื้อผ้าเก่าๆ ก็ให้ถอดทิ้งซะ กำจัดมันออกไป ทิ้งให้หมดเลย แล้วเปลี่ยนมาสวมเสื้อใหม่ให้มันสมฐานะของลูกของพระเจ้าสักหน่อย แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุด ต้องจำเอาไว้เลย  เพราะเรื่องเมื่อสักครู่นี้ ก็เป็นความนึกคิดของมนุษย์ทั้งหลายที่ต้องการทำอยู่แล้วล่ะ ไม่อยากทำสิ่งที่ไม่ดีหรอก อยากทำสิ่งที่ดี สิ่งที่ไม่ดี ก็คือเสื้อเก่า ไม่มีใครอยากไปใส่เสื้อเก่า อยากจะใส่เสื้อใหม่ทั้งนั้น

คราวนี้ ถ้อยคำพระเจ้าก็มาเน้นให้ว่าเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เรายิ่งควรที่จะสำนึก หรือคอยคิดดูเรื่องความจริงเรื่องนี้อีกทีหนึ่งว่าเราควรถอดเสื้อเก่าอย่างไร? คราวนี้ถ้าเผื่อเราไม่มีตรงนี้ เป็นข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้ามาเป็นความจริง ที่เราจะสวมเอาไว้ในจิตใจของเราแล้ว จะทำให้เขวไป เขวไปที่ไหน? เมื่อเราสวมเสื้อใหม่ พยายามทิ้งเสื้อเก่า แล้วมันทิ้งไม่ได้หมด แล้วทำอย่างไรล่ะ  เราก็เขวว่าเราจะไม่ได้รับความรอด พระเจ้าไม่ให้อภัยเรา ซึ่งมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย เราสรุปเมื่อครั้งที่แล้วว่าแม้ว่าพระคัมภีร์จะบอกเรา เน้นให้เรา สอนให้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็ควรจะสวมเสื้อใหม่

“เสื้อใหม่” ก็คือความประพฤติเก่าๆ ทิ้งไปซะ มีความประพฤติใหม่ที่สมกับเป็นลูกของพระเจ้า ซึ่งก็เป็นจริงอย่างนั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อสอนอย่างนั้นแล้ว พระคัมภีร์ก็ยังบอกต่อไป ซึ่งเราเรียนรู้แล้ว จากตอนที่แล้วว่าเสื้อ ก็คือความประพฤติ ไม่มีผลอะไรกับการกำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ ฉันใด ความประพฤติ ก็ไม่มีผลอะไรกับการกำเนิดเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม ฉันนั้น จำได้ใช่ไหม? ตรงนี้สำคัญมาก  นี่คือหัวใจของข่าวประเสริฐเลย คือไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เราได้รับความรอดในโลกวิญญาณแล้ว ซึ่งมันก็เข้าใจยากนะ

“เสื้อไม่ได้มีผลอะไรกับการกำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ฉันใด ความประพฤติก็ไม่มีผลอะไรกับการกำเนิดเกิดมาเป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมฉันนั้น”

และเมื่อเราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็เป็นเหมือนทารกของพระเจ้า  ที่ต้องการน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ เพื่อให้เจริญเติบโตขึ้นทางฝ่ายวิญญาณ  เราได้เรียนรู้กันไปเมื่อตอนที่แล้ว

น้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ ก็คือถ้อยคำแห่งพระคุณ ถ้อยคำที่เป็นความจริงแท้ๆ เกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่ไม่มีการปลอมปน ไม่ผสมความคิดและสติปัญญาการเรียนรู้ของมนุษย์เข้าไปอยู่ในนั้นเลย คือไม่ใช่ความคิดและเหตุผลของมนุษย์เลย พระคัมภีร์จึงเตือนให้เราระวังน้ำนมฝ่ายวิญญาณปลอม ก็คือข่าวประเสริฐปลอม ซึ่งจะทำให้เราไม่โต เป็นคริสเตียนแกน ดังนั้น เราต้องทำอะไร? นอกจากพยายามที่จะถอดเสื้อเก่าทิ้งแล้ว ยังยอมให้เราทำอะไร? แสวงหา ดื่มน้ำนมอันบริสุทธิ์ ก็คือถ้อยคำแห่งความจริงของข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้า ที่ปราศจากการเจือปนเท่านั้น ที่เราต้องการ ซึ่งก็คือถ้อยคำของพระเจ้าที่เกี่ยวกับข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ต้องเป็นข่าวประเสริฐแห่งพระคุณ คือถ้อยคำที่บอกว่าเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ เราเป็นใคร? ไม่ใช่แค่นั้นเอง แต่เราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เราจะเป็นใครในพระเยซูคริสต์ หรือในพระเยซูคริสต์เราจะได้เป็นอะไร? ไม่ใช่ แต่ให้เราศึกษาถ้อยคำที่บอกว่าเราเป็นใครเรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเราก็ได้ยกตัวอย่างแล้วเยอะแยะ วันนี้เรายกตัวอย่างอีกนิดหนึ่ง น้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ ถ้อยคำข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ก็คือข่าวดีแห่งพระคุณอันบริสุทธิ์ ไม่มีเจือปน แต่น้ำนมที่ปลอมปน ก็คืออะไรก็ตามที่ขัดแย้งกับความจริงแห่งข่าวดีแห่งพระคุณนี้ แค่นั้นเอง อะไรที่มันแย้งกับข่าวดีแห่งพระคุณ ก็คือไม่ดี หรือข่าวดีของปลอมนั่นเอง

ยกตัวอย่างพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน  เพื่อชำระล้างบาปให้กับมนุษย์ทั้งปวง อันนี้ข่าวดีไหม? ข่าวดี แล้วถ้าข่าวไม่ดีล่ะ ข่าวไม่ดี ก็จะแย้งกับเมื่อสักครู่นี้

ยกตัวอย่างพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ พระเยซูคริสต์ไม่ใช่บุตรของพระเจ้าหรอก เป็นศาสดาที่เป็นคนดีเท่านั้นเอง  เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ดี  เห็นไหม? แย้งไหม? เชื่อในพระเยซูไหม? เชื่อ ฟังดูเหมือนข่าวดีไหม? เหมือน แต่มันปลอม เห็นไหม?

แล้วมีอะไรอีก พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์และตายที่ไม้กางเขน

มาข่าวปลอมสิ พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า แต่ไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์หรอก เป็นวิญญาณบริสุทธิ์ ทำการงาน

พระคัมภีร์บอกเป็นมนุษย์  แต่คำสอนนี้บอกไม่ใช่มนุษย์ เห็นหรือยัง? ปลอมหรือไม่ปลอม? ปลอม

พระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน พระองค์ไม่ได้ตายที่ไม้กางเขนจริงหรอก พระองค์เป็นพระเจ้า ตายได้อย่างไร? ไม่ตายหรอก แล้วก็อ้างเหตุผลต่างๆ

นี่ยกตัวอย่างให้ฟังเยอะแยะมากมายไปหมด  เพราะฉะนั้น ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์จริงๆ ต้องเป็นข่าวประเสริฐแห่งพระคุณตามที่ได้บันทึกเอาไว้จริงๆ พระองค์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ วันที่สามพระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  และตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน  และเมื่อใครก็ตามที่เชื่อ ยอมรับด้วยปาก และเชื่อด้วยใจแล้ว ก็จะได้รับความรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ  ได้รับชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ ได้รับชีวิตนิรันดร์ที่บริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์เลย นี่คือข่าวดี

ข่าวไม่ดี หรือข่าวปลอม อะไรก็ตามที่มันแย้งกับเมื่อตะกี้นี้ ที่ผมพูดมาสักครู่นี้  ที่ยกตัวอย่างให้ฟัง

ยกตัวอย่างเช่น ข่าวดีอีกอันหนึ่งที่บอกว่าเมื่อเรามาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว  พระเจ้าได้ย้ายเราออกจากอาณาจักรแห่งความมืด มาสู่อาณาจักรแห่งความสว่างของพระเยซูคริสต์แล้ว ออกจากอาณาจักรของความบาป  มาสู่อาณาจักรของผู้ชอบธรรมในพระเยซูคริสต์แล้ว ทำเรียบร้อยแล้ว เป็นเรียบร้อยแล้ว ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ทางวิญญาณเป็นอย่างนี้แล้ว  อย่าให้มีอะไรบางอย่างที่มาแย้งกับสิ่งที่เราได้รู้ความจริงนี้  ซึ่งมันก็คือน้ำนมปลอมนั่นเอง จะเห็นชัดแล้วนะ

เรามาต่อกันในวันนี้ “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ตอนที่ 6 “พระเยซูคริสต์เป็นเช่นไร เราก็เป็นเช่นนั้น”

ก่อนอื่นเลย เราอย่าลืมนะว่าเราเรียนรู้จากถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือ 1 เปโตร บทที่ 2 ซึ่งเป็นหนังสือที่พระเจ้าปลอบประโลมใจให้กับบรรดาผู้เชื่อทั้งหลาย  ที่กำลังทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ต้องนึกในใจไว้ แสดงว่าสิ่งที่พระเจ้าปลอบโยนนี้ต้องเป็นสิ่งที่เป็นสาระสำคัญมาก  ที่จะทำให้ลูกๆ ของพระองค์คลายความทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้ได้นั่นเอง

ครั้งที่แล้ว เราจบลงข้อที่ 3 วันนี้มาต่อหนังสือ 1 เปโตร 2:4 …

1 เปโตร 2:4 “ท่านทั้งหลายได้เข้ามาหาพระคริสต์แล้ว (ได้ถูกย้ายจากในอาดัม เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นกิ่งก้านที่ถูกนำเข้ามาต่อติดกับลำต้นของพระเยซูคริสต์ เป็นศิลาที่ถูกนำมาเชื่อมต่อกับศิลามุมเอก คือพระคริสต์แล้ว)  ซึ่งเป็นศิลาที่ทรงชีวิต  ที่มนุษย์ไม่ยอมรับ  แต่พระเจ้าทรงเลือกสรรพระองค์  และถือว่าพระองค์ล้ำค่า  เป็นพระเมสสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด สำหรับมนุษยชาติ”

 

อย่างที่บอกไว้เมื่อสักครู่นี้ว่าพระเจ้ากำลังหนุนใจ ให้กำลังใจลูกๆ ของพระองค์ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ที่กำลังทุกข์ยากลำบากอย่างแสนสาหัส  สิ่งที่พระองค์แนะนำจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ  สำหรับลูกๆ ของพระองค์ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ที่จะผ่านความทุกข์ยากลำบากไปได้ ซึ่งเราก็สามารถเอามาใช้ได้ด้วย

ใน 1 เปโตร สรุปเมื่อครั้งที่แล้ว บทที่ 2 ข้อ 1-3 ที่ตะกี้นี้ที่บอก ให้ทิ้งเสื้อเก่า ใส่เสื้อใหม่ แล้วให้ขวนขวายในการดื่มน้ำนมอันบริสุทธิ์ … น้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ ก็คือถ้อยคำแห่งความจริงของข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้าใช่ไหม? แล้วก็มาถึงบอกว่าถ้อยคำแห่งความจริงนั้น จะทำให้เราเจริญเติบโต เข้มแข็งขึ้น จะได้ผ่านความทุกข์ยากลำบากไปได้ด้วยดีนั่นเอง

แล้วพอมาถึงข้อ 4 กำลังพูดถึงน้ำนมอันบริสุทธิ์นั่นแหละ คือความจริงแห่งถ้อยคำแห่งข่าวประเสริฐของพระเจ้า  ถ้อยคำแห่งพระคุณของพระเจ้า  อธิบายต่อ แนะนำให้ทิ้งเสื้อเก่า เสร็จปุ๊บ แนะนำให้ดื่มน้ำนมอันบริสุทธิ์ ก็คือถ้อยคำพระเจ้า  พอต่อมา ก็มาบอกความจริงแห่งโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นน้ำนมอันบริสุทธิ์แห่งข่าวประเสริฐของพระเจ้าให้เราฟังว่าเมื่อเราเชื่อในพระเยซูแล้ว  เราเป็นใครแล้ว? เรามีลักษณะเป็นเช่นไรนั่นเอง  จะได้รู้แบ็คกราว์นว่าใน 1 เปโตร 2:4 ที่เราเริ่มต้นอ่านเมื่อสักครู่นี้ มาด้วยเหตุผลอย่างไร?

ซึ่งตรงนี้หมายถึงท่านทั้งหลาย เข้ามาต่อสนิทติดอยู่กับพระคริสต์ ท่านทั้งหลายได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ในโลกวิญญาณ  ซึ่งผมได้วงเล็บไว้ว่า “ได้ถูกย้ายจากในอาดัม เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นกิ่งก้านที่ถูกนำเข้ามาต่อติดกับลำต้นของพระเยซูคริสต์ เป็นศิลาที่ถูกนำมาเชื่อมต่อกับศิลามุมเอก คือพระคริสต์แล้ว” นั่นคือในโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเดี๋ยวเราจะเรียนรู้อย่างละเอียดต่อไป

พระเยซูคริสต์บอกตอนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ได้ประกาศถึงแผ่นดินสวรรค์ว่าท่านทั้งหลายต้องเข้าไปอยู่ในพระองค์ และพระองค์จะเข้าไปอยู่ในท่าน ก็คือท่านทั้งหลายจะต้องเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ท่านทั้งหลายต้องติดสนิทอยู่ในเรา  และเราจะติดสนิทอยู่ในท่าน จำได้ใช่ไหมครับ? ยอห์น 15:4-6  พระเยซูประกาศตอนที่ยังทำงานนี้ไม่เสร็จ ตอนที่ยังไม่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน บอกความจริงในโลกวิญญาณว่าเมื่อพระองค์ทรงกระทำที่ไม้กางเขนสำเร็จแล้ว ทางฝ่ายวิญญาณ เมื่อเชื่อในพระองค์แล้ว ก็จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป ความพินาศด้วยวิธีใด? ยอห์น 15:4-6 …

ยอห์น 15:4-6 “4 จงมาอาศัยอยู่ในเรา (เป็นส่วนหนึ่งของเรา) และเราจะอาศัยอยู่ในพวกท่าน (เป็นส่วนหนึ่งของท่าน)  กิ่งก้านจะให้ผลตามลำพังไม่ได้  นอกจากว่าจะต่อติดอยู่กับเถาองุ่น ฉันใด  พวกเจ้าจะออกผลเองไม่ได้ นอกจาก เจ้าจะอาศัยต่อติดอยู่ในเราฉันนั้น 5 เราเป็นเถาองุ่น (ลำต้น) ท่านทั้งหลาย เป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น  ใครก็ตามที่อาศัย (ต่อติด) อยู่ในเรา และเราอาศัย (ต่อติด) อยู่ในเขา  ผู้นั้นก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก หากแยกห่างจากเรา (ไม่ได้อาศัยต่อติดในเรา) ท่านทั้งหลาย จะทำอะไร ก็ไม่เกิดผลดีเลย 6 ถ้าผู้ใดไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา (แต่ยังอาศัยต่อติดอยู่ในลำต้นเดิม คืออาดัม ซึ่งตายอยู่ในบาป) เขาก็เหมือนกิ่งก้าน  ที่จะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย รังแต่จะมีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง (พินาศในบึงไฟ)

 

นี่คือน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ คือถ้อยคำพระเจ้า ที่เกี่ยวกับข่าวดีแห่งพระคุณ … “แห่งพระคุณ” คือไม่ได้พึ่งพาการกระทำของมนุษย์เลย พระเจ้ากระทำผู้เดียวเลย  เราแค่เชื่อเท่านั้นเอง  และที่กำลังยกขึ้นมาให้เห็นตอนนี้ คือหัวกะทิของน้ำนมฝ่ายวิญญาณ  คือจุดสำคัญมากๆ ของข่าวประเสริฐแห่งพระคุณ ความรอดที่มาโดยพระคุณ  ความรอดที่มาโดยการเชื่อและวางใจในการกระทำของพระเยซูคริสต์ พระเยซูประกาศแผ่นดินสวรรค์ว่าคนที่จะเข้าสู่สวรรค์ได้นั้นต้องทำเช่นไร? คือเชื่อและวางใจในพระองค์

ในข้อ 4 ที่บอกว่าจงมาอาศัยอยู่ในเรา ก็คือมาเป็นส่วนหนึ่งในตัวเรา คือพระเยซู และเราจะอาศัยอยู่ในพวกท่าน เป็นส่วนหนึ่งของท่าน มาดองกัน กิ่งก้านจะให้ผลตามลำพังไม่ได้ นอกจากจะต่อติดอยู่กับเถาองุ่นฉันใด พวกเจ้าจะออกผลเองไม่ได้ นอกจากพวกเจ้าจะอาศัยต่อติดอยู่ในเราฉันนั้น ก็คือความรอด มาผ่านทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น เราทำเองมันไม่เกิดผล

ข้อ 5 บอกว่าเราเป็นเถาองุ่น ก็คือเราคือลำต้นองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นกิ่งก้านต่างๆ ของลำต้นนั้น ใครก็ตามที่อาศัยต่อติดสนิทอยู่ในลำต้น ก็คืออยู่ในเรา และเราอาศัยต่อติดอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะออกผลสมบูรณ์ดีมาก ก็ได้รับความรอด หากแยกห่างจากเรา  ไม่ได้อาศัยต่อติดในเรา ท่านทั้งหลายจะทำอะไรก็ไม่เกิดผลดีเลย ทำดี ทำอะไรต่างๆ ก็ไม่เกิดผลเลย ในการพึ่งพาความดีของตนเอง ต้องพึ่งพระเยซูคริสต์เท่านั้น

ข้อ 6 บอกว่าถ้าผู้ใดไม่อาศัยต่อติดอยู่ในเรา ก็คือยังอาศัยต่อติดอยู่ในลำต้นเดิม  คือลำต้นที่มีชื่อว่าอาดัม บรรพบุรุษของเรา ซึ่งตายอยู่ในบาป  เขาก็จะเหมือนกิ่งก้านที่จะถูกโยนทิ้งให้แห้งตาย รังแต่จะมีคนเก็บไปเผาไฟทิ้ง ก็คือพินาศในบึงไฟนรกนั่นเอง

เห็นไหม? นี่คือหัวกะทิ ข่าวประเสริฐของพระเจ้า พระเยซูคริสต์อธิบายให้ประชากรของพระองค์ มนุษย์ทั้งหลายบนโลกนี้ได้ยินได้ฟังกับตัวของพระองค์เองเลย

คราวนี้ พระองค์อธิบายต่อในเรื่องนี้ ผ่านทางเปาโล โรม 6:3-5 จำหัวกะทิได้ใช่ไหม? หัวกะทิ คือการเป็นหนึ่งเดียวกัน การเข้าไปต่อติด เข้าไปสนิท อาศัยอยู่ในพระคริสต์ …

โรม 6:3-5 “3  ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ถูก (บัพติศมา) นำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และได้ (บัพติศมา) เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ (ที่ไม้กางเขน) 4 ฉะนั้น  เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว  โดยการได้ (บัพติศมา) เข้าส่วนร่วมในความตาย  เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่ ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย  แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่)

 

ผมจะแปลให้ท่านจากภาษาเดิม  เพื่อท่านจะได้เห็นชัดขึ้น ข้อ 3 บอกว่าท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ “ท่าน” ก็หมายถึงผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ทั้งหลาย ท่านควรจะรู้ว่าสิ่งนี้เป็นของท่าน ก็คือท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อในพระเยซู ก็ได้ถูกบัพติศมา นำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และได้บัพติศมา เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ที่ไม้กางเขน ความหมายดั้งเดิม มันคือตรงนี้

ข้อ 4 ฉะนั้น  เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว  โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย  เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ คือบังเกิดใหม่ เช่นเดียวกับที่ ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย คือบังเกิดใหม่ โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา

บัพติศมา คือการเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน  บัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ก็คือการเข้าไปมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์

ข้อ 5 บอกว่าถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย ก็คือถ้าเราได้บัพติศมาในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย คือบังเกิดใหม่พร้อมพระองค์ด้วย

บัพติศมา คือการเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกัน นี่คือหัวกะทิ นี่คือความจริงที่เป็นน้ำนมฝ่ายวิญญาณ ที่เกี่ยวกับข่าวดีแห่งพระคุณของพระเจ้า คือการบัพติศมามีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็คือขบวนการบังเกิดใหม่นั่นเอง  การได้รู้จักพระเยซูคริสต์อย่างลึกซึ้งในวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกัน  ส่วนความคิด ความเข้าใจนั้น รับรู้ได้ระดับหนึ่ง ค่อยๆ เจริญเติบโตไป  จากน้ำนมฝ่ายวิญญาณ ค่อยๆ เรียนรู้ไป  แต่ในทางวิญญาณ มันเกิดขึ้นเลยทันที เมื่อได้รับการบัพติศมา

บัพติศมา คือการเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน เข้ามาเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง ในพระกายของพระคริสต์  ได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้า สามารถเข้ามาเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระองค์ได้ ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่า “สามารถมาสามัคคีธรรมกับพระเจ้าได้”

สามัคคีธรรม คือต่อติดกัน รู้จักกัน นี่คือรู้จักกันสนิทมาก  สามัคคีธรรมกับใคร? สามัคคีธรรมกับพระเจ้าพระบิดา พระบุตรพระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์  ท่านสามารถสามัคคีธรรมกับพระเจ้าได้ เพราะท่านได้เข้าบัพติศมาในพระองค์แล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น

ท่านทั้งหลายบัพติศมาในพระคริสต์  ผู้ทรงเป็นพระศิลาอันทรงมีชีวิต ท่านทั้งหลาย ได้มาต่อติดสนิทกับพระคริสต์ ได้มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ได้มาสร้างชีวิตของท่านบนศิลา คือพระคริสต์นี้

นี่คือความหมายของถ้อยคำเมื่อสักครู่นี้ ยังจำได้ไหมครับที่พระเยซูบอกว่า “ผู้ที่วางใจในพระองค์ ก็เหมือนสร้างบ้านไว้บนศิลา  เมื่อถึงวันพิพากษา คนที่สร้างบ้าน สร้างชีวิตไว้บนศิลา ก็จะคงทนอยู่ได้  แต่คนที่สร้างบ้านบนดินทราย ก็คือสร้างบ้านบนการกระทำของตนเอง  พึ่งตนเอง ก็จะไม่ผ่านการพิพากษาหลังความตายนั่นเอง  เราลองไปดูนิดหนึ่งว่าพระเยซูพูดว่าอย่างไร? มัทธิว 7:24-27 เพราะนี่เป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นหัวกะทิ เป็นสาระสำคัญมากๆ ของข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้า เป็นแกนของข่าวประเสริฐเลยก็ว่าได้ …

มัทธิว 7:24-27 “24 เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และประพฤติตาม ก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญา สร้างบ้านของตนไว้บนศิลา 25 แล้วฝนก็ตก และน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะบ้านนั้น  แต่บ้านไม่ได้พังลง เพราะว่ารากตั้งอยู่บนศิลา 26 แต่ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และไม่ประพฤติตาม ก็เปรียบเสมือนคนที่โง่เขลา สร้างบ้านของตน ไว้บนทราย 27 แล้วฝนก็ตก และน้ำก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะบ้านนั้น บ้านนั้นก็พังทลายลง และการพังทลายนั้น ก็ยิ่งใหญ่”

 

ข้อ 24 เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา พระเยซูบอก พระเยซูประกาศเรื่องแผ่นดินสวรรค์ ให้คนมาอาศัยอยู่ในพระองค์ ให้มาบัพติศมาในพระองค์ จำได้ใช่ไหมครับ?

เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเรา และประพฤติตาม  คือพระองค์กำลังบอกเรื่องสวรรค์ว่าเข้าสวรรค์ โดยผ่านทางการเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ วางใจในเราพระมาซีฮาห์  วางใจในเรา คือพระเจ้ามาช่วย วางใจในเรา คือผู้ที่พระเจ้าส่งมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่านทั้งหลาย อย่าพึ่งการกระทำของตนเอง มันไปไม่รอดหรอก  อย่าพึ่งความชอบธรรม โดยการกระทำของตนเอง ซึ่งมันไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์หรอก ทิ้งซะ อย่าไปพึ่งพาตนเองซะ มาพึ่งพาในเราเถิด คนเหล่านั้น คือคนที่ประพฤติตามที่พระองค์บอก คนที่ทำตามพระองค์บอก ก็คือพึ่งพาในพระเจ้า พึ่งพาในพระเยซูคริสต์ พึ่งพาในการกระทำของพระเยซู ก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญา สร้างบ้านของตนไว้บนศิลา คือบนพระเยซูคริสต์ ในความเชื่อในพระเยซูคริสต์ เมื่อฝนตก น้ำไหลเชี่ยว ก็คือวันพิพากษาหลังความตายนั้น ก็ได้รับความรอด

ส่วนฝั่งตรงข้าม ก็คือไม่ประพฤติตาม พระองค์บอกอย่าวางใจในตนเอง อย่าวางใจในการกระทำดีของตนเอง  แต่ให้มาวางใจในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อ ชีวิตก็ไม่ผ่าน หลังความตาย ก็ต้องถูกพิพากษา เข้าไปสู่ความพินาศ บ้านคือชีวิตก็พังทลายลง  นี่เห็นชัดเจนเลยนะ

เพราะว่าพระเยซูคริสต์ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ และสอน คือประกาศถึงวิธีเข้าอาณาจักรสวรรค์ โดยการทิ้งความไว้วางใจในการกระทำดีของตนเอง การสร้างความดีด้วยตนเอง  แล้วหันมาพึ่งการกระทำของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์จะทรงกระทำที่ไม้กางเขนนั้น จนกระทั่งเป็นขึ้นจากความตายเท่านั้น

นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงสอน พระองค์ไม่ได้มาสอนว่าให้ทำอย่างโน้น ให้ทำอย่างนี้ ให้ทำดีอย่างนั้น พระองค์กำลังบอกว่าทำดีอย่างนั้น ทำไม่พอ ใช่มันดีจริง แต่ท่านทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์หรอก แล้วเราก็ไปเอามาสอนว่าพระเยซูคริสต์สอนให้เราทำดี ไม่ใช่ พระองค์กำลังบอกว่าทำดีอย่างนั้น มันดี แต่ว่ามันดีไม่พอ แค่คุณไม่ได้ฆ่าคนตาย  แค่นั้นไม่พอ  เพราะว่าถ้าแค่คิด หรือแค่บ่น หงุดหงิดกับชาวบ้านเขา  แค่นั้นก็เท่ากับฆ่าคนตาย ก็คือติดบาปอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ท่านไม่สามารถที่จะดี ครบถ้วนบริบูรณ์เหมือนพระเจ้าได้หรอก มีทางเดียว คือต้องมาเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ จะได้บังเกิดใหม่ มาบังเกิดใหม่ซะ พูดง่ายๆ

เรากลับมาที่ 1 เปโตร 2:4 เมื่อตะกี้นี้  ท่านทั้งหลายได้เข้ามาหาพระเยซู ได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นศิลาอันทรงชีวิต เห็นไหมครับ?

สาระสำคัญของข่าวประเสริฐ คือการเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าบังเกิดใหม่  การเข้าไปอยู่ เรียกว่าบัพติศมา … บัพติศมา คือขบวนการการเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในนี้บอกว่าเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นศิลาอันทรงชีวิต ซึ่งมนุษย์บางคนไม่ยอมรับ แต่พระเจ้าทรงเลือกสรรพระองค์ และถือว่าพระองค์ทรงล้ำค่า เป็นพระเมสสิยาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด สำหรับมวลมนุษยชาติ

“ศิลา” ก็หมายถึงพระเยซูคริสต์ ที่มนุษย์บางท่านไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า  ที่พระเจ้าได้แต่งตั้งให้เป็นพระมาซีฮาห์

“พระมาซีฮาห์” แปลว่าพระผู้ถูกแต่งตั้งให้มาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น จากความพินาศในนรก มันแปลว่าอย่างนี้  พระเมสสิยาห์ แปลเป็นภาษาไทยว่า พระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ ก็คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง พระคริสต์ คือพระมาซีฮาห์ ก็หมายถึงพระเยซูคริสต์ พระคริสต์ที่กำเนิดบนโลกใบนี้ ใช้ชื่อว่าพระเยซู หรือชื่อว่าเยซู แต่ทรงเป็นพระคริสต์ด้วย  ก็เลยมีพระนามเต็มๆ ว่าพระเยซูคริสต์

มนุษย์ไม่ยอมรับพระองค์ว่าเป็นพระเจ้า  เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์  แต่พระเจ้าได้เลือกสรร กำหนดพระเยซูคริสต์ คือพระบุตรของพระองค์ให้กับมนุษยชาติเรียบร้อยแล้วว่าจะมาเป็นผู้ช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากความพินาศในนรก ช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความบาป ความตายในนรกนั่นเอง แล้วพระองค์ก็ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน  ที่เราได้เรียนรู้กันไป

ลองคิดดูนะ นี่มาถึงข้อที่ 4 ของ 1 เปโตรบทที่ 2 เราสังเกตดูว่าวิธีการปลอบใจของพระเจ้า  ที่ปลอบใจลูกๆ ของพระองค์  ที่อยู่ในความทุกข์ทรมาน  ที่แสนสาหัส  อย่างประชากรของพระองค์ที่พูดถึงในหนังสือเล่มนี้  ที่เรากำลังเรียนรู้นี้  ท่านคิดดูสิว่าพระองค์ทรงปลอบใจ ลักษณะเช่นไร? ก็คือชี้ให้เห็นว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ …

“ลูกเอ๋ย ลูกเป็นใครในพระเยซูคริสต์ พ่อได้ทำอะไรให้เจ้าเรียบร้อยไปแล้วบ้างในโลกวิญญาณ ตัวเป็นๆ จริงๆ ของเจ้า เป็นวิญญาณนั้นอยู่ที่ไหนขณะนี้ เป็นหนึ่งเดียวกับเรา เราสถิตอยู่กับเจ้า เจ้าอยู่ในเรา  เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เจ้ามีคุณค่าขนาดไหน? เจ้ารอดแล้ว ทุกอย่างทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ เจ้านั่งอยู่ที่เบื้องขวาของเราในสวรรคสถานเรียบร้อยไปแล้ว เจ้าอยู่ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว”

พอถึงความทุกข์ยากบนโลกใบนี้ ไม่พูดถึงเลย  พูดแต่ว่า “เพราะฉะนั้น จงมองไปที่เบื้องบน ในโลกวิญญาณที่เราทำให้กับเจ้า สำเร็จเรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขนนั้น จนเป็นขึ้นจากความตาย มันสำเร็จเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว  วิญญาณของเจ้าอยู่กับเราที่นั่นแล้ว ส่วนความทุกข์ยากลำบากบนโลกนี้ อดทนชั่วขณะหนึ่ง รอแป๊บหนึ่ง”

ไม่พูดถึงเลย ไม่พูดรายละเอียดว่าอดทนต้องทำอย่างไร? พอมาถึงความทุกข์ยากลำบาก อดทน  เพราะรู้ว่าอย่างไรก็ผ่านได้ เพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเราแล้ว เดี๋ยวพระองค์ก็จะทรงพาเราผ่านไปเท่านั้นเอง และมันเรื่องเล็กน้อยมาก สำหรับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้

นี่คือการปลอบโยนจิตใจของบรรดาผู้เชื่อ จากพระเจ้า  สุดท้าย ก็คือให้เราวางใจในพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ ไม่พึ่งพาความคิด ความรอบรู้ของตนเอง  ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม มั่นใจได้ 100% เลยว่าเจ้าอยู่ในสวรรค์แล้ว อยู่กับเราพระเจ้านิรันดร์  เพราะฉะนั้น ทนทุกข์ลำบากบนโลกใบนี้ แป๊บเดียว ชั่วขณะเดียว  เดี๋ยวก็ไปแล้ว เพราะฉะนั้น ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็ให้มองไปที่สิ่งที่เราทำสำเร็จแล้ว สิ่งที่เจ้าอยู่แล้ว ในพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าเบื้องบน ในสวรรค์นั่นเอง  จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ หมกมุ่นกับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  พูดถึงความทุกข์ยากลำบาก ก็อย่าไปสนใจมันมากนัก อะไรประมาณนั้น

นี่จะเห็นวิธีการปลอบโยนจิตใจของพระเจ้า ที่มีต่อบรรดาลูกๆ ของพระองค์ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  1 เปโตร 2:5 …

1 เปโตร 2:5 “และท่านทั้งหลาย ก็เสมือนศิลาที่มีชีวิต ที่กำลังก่อขึ้น เป็นพระนิเวศฝ่ายพระวิญญาณ  เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์  เพื่อถวายสักการะบูชาฝ่ายวิญญาณ  ที่ชอบพระทัยของพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์”

 

เห็นไหมครับ? พระเจ้าปลอบใจเราทั้งหลายด้วยวิธีอะไร? บอกความจริงกับเรา ในโลกวิญญาณว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นอะไรอยู่ตอนนี้ในโลกวิญญาณ? เราอยู่ที่ไหน? ลักษณะเป็นอย่างไร? พูดอีกแล้ว  พูดตลอดเวลาทั้งเล่มเลย จะพูดถึงเรื่องเหล่านี้ทั้งสิ้น เพราะนี่เป็นหัวกะทิของน้ำนมฝ่ายวิญญาณ อันบริสุทธิ์  คือข่าวประเสริฐ ข่าวดีแห่งพระคุณของพระเจ้า

และท่านทั้งหลายก็เป็นเหมือนศิลาที่มีชีวิต” ศิลาที่มีชีวิต คือใคร? พระเยซู ที่กำลังก่อขึ้นเป็นพระนิเวศน์ฝ่ายวิญญาณ เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์  เพื่อถวายสักการะบูชาฝ่ายวิญญาณ ที่ชอบพอพระทัยของพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์ เมื่อท่านเข้ามาต่อติด สนิทอยู่กับพระเยซูคริสต์ เข้ามาบัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์นี้แล้ว  ก็คือได้บังเกิดใหม่ในพระศิลานี้ คือในพระคริสต์นี้ ท่านทั้งหลายก็จะเป็นเหมือนกับศิลานี้ ก็คือจะเป็นเหมือนกับพระเยซู ก็จะเป็นเหมือนเลย ดองกันเลย  1 ยอห์น 4:17 ยืนยันเรื่องนี้ …

1 ยอห์น 4:17 “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า)  จึงได้เกิดขึ้น อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ในตัวเรา  (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น  เป็นวิญญาณและจิตใจที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์”

 

“ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์นี้” ก็คือในการได้รับบัพติศมา เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นั่นเอง  แล้วอะไรเกิดขึ้น? ความรักแบบอากาเป้ ที่เป็นแบบพระเจ้าจึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ในตัวเรา คือทั้งในวิญญาณและจิตใจเรา เป็นความรักเลยทีเดียว เพราะมันบังเกิดใหม่ไง เป็นหนึ่งเดียวกัน อย่างที่ตะกี้นี้บอก เหมือนพระเยซูเลย

“เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา (คือหลังความตาย) ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะความจริงที่เรารู้แล้ว ก็เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์ ของพระศิลานี้แหละ พอจะนึกภาพออกแล้วนะ?

เพราะเราเข้าไปเชื่อมต่อ เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เราได้บังเกิดใหม่ด้วยชีวิตนิรันดร์  ที่เป็นของพระเจ้า พระเจ้าทรงประทานให้กับพระเยซูคริสต์ ตอนที่ชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 การชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นจากความตาย คือประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นวิญญาณที่ตายอยู่ ที่รับบาปแทนเรา พระเจ้าได้ประทานชีวิตนิรันดร์ ให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  และเราทั้งหลายบัพติศมา คือเข้าส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ พอชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นจากความตาย เราทั้งหลาย ก็เลยเป็นขึ้นจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วย แล้วพระเยซูคริสต์ก็เลยแบ่งให้เรา แบ่งอย่างไร? แบ่งปันให้เรา  แบ่งวิญญาณชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับเราด้วย เพราะเราเป็นส่วนหนึ่งในพระกายของพระองค์แล้ว

และเมื่อเราได้ชีวิตนิรันดร์ที่เป็นเหมือนพระเยซู ซึ่งเป็นศิลาอันมีชีวิต  เพราะฉะนั้น เราจึงเหมือนศิลาที่มีชีวิตเช่นเดียวกับพระเยซู เหมือนกัน  ถ้าพระเยซูเป็นพระศิลา  ใส่ “พระ” เข้าไป เพื่อจะให้เห็นว่าเป็นพระเยซู เราก็เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เราก็เป็นศิลาเหมือนพระองค์ มีวิญญาณลักษณะเดียวกันเลย  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ซึ่งกำลังได้รับการก่อขึ้น เป็นวิหารฝ่ายวิญญาณ เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเมื่อเราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เรามาต่อกับพระองค์แล้ว เราก็ได้ถูกก่อขึ้น  เป็นส่วนหนึ่งของวิหาร  “วิหาร” ก็คือสถานที่สถิตของพระเจ้า  สถานที่ของพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ เป็นวิหารที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่

ตรงนี้มันจะรวมไปถึง พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับคนๆ นั้นด้วย นึกออกใช่ไหมครับ? เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูปุ๊บ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับคนๆ นั้น แล้วคนๆ นั้นก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ด้วย พูดง่ายๆ ว่าถูกก่อสร้างขึ้นเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในคริสตจักรของพระเจ้า  คริสตจักร ก็คือวิหารของพระเจ้า ก็คือ 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ทั้งพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณเข้ามาอยู่ในเรา และเราก็เข้าไปอยู่ใน 3 พระภาคนี้ เรียกว่าเรานั้นได้เป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์  วิหารของพระเจ้า คือพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย

คิดดูสิ พระเจ้ากำลังพูดอะไรกับเรา กำลังบอกถึงหัวกะทิ สาระสำคัญ  ในการที่เราจะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อย่างเต็มไปด้วยสันติสุข  เต็มไปด้วยชัยชนะอย่างแท้จริง เหนือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ได้ ก็โดยการรู้เรื่องความจริง  หัวกะทิ สาระสำคัญตรงนี้แหละ คือการบัพติศมา การเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน  แล้วอะไรเกิดขึ้นในพระเยซูคริสต์ เมื่อเราบัพติศมา เมื่อเราบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งคริสตจักรของพระเจ้ามีชื่อว่าวิหารของพระเจ้านั่นเอง  วิหารของพระเจ้าฝ่ายวิญญาณ ซึ่งมีหัวหรือว่าศีรษะ คือพระเยซูคริสต์

แล้วท่านทั้งหลาย ก็เป็นเหมือนอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายนี้ วิหาร เปรียบเหมือนร่างกาย พระเยซูคริสต์เป็นศีรษะของร่างกาย  เป็นศีรษะของคริสตจักร ท่านทั้งหลายก็เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายนี้ เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายก็เป็นเหมือนกับศิลาก้อนหนึ่ง ในอาคารนี้นั่นเอง ศิลาหัวมุม คือพระเยซู เป็นรากฐานสำคัญที่สุดในการก่อสร้างอาคาร

อาคารนี้เป็นอาคารคริสตจักร เป็นวิหารของพระเจ้า  เราทั้งหลายเป็นก้อนหิน  เป็นศิลาก้อนเล็กๆ  เข้ามาต่อ สร้างขึ้นมาเป็นวิหารของพระเจ้า  เพราะฉะนั้น พระคริสต์ทรงเป็นศีรษะของคริสตจักร ท่านทั้งหลายก็เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระคริสต์นี้ ก็คือท่านทั้งหลายเป็นหินก้อนหนึ่งนั่นเอง ในวิหารนี้ ตรงนี้กำลังพูดอย่างนั้น

พระเยซูเป็นหินก้อนใหญ่ เป็นศีรษะ ท่านทั้งหลายเป็นหินก้อนหนึ่ง มีลักษณะเดียวกันเลย เข้ากันได้ ที่เอามาต่อติดกับพระองค์ สร้างขึ้นมาเป็นวิหารฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า ท่านลองคิดดูสิ บริสุทธิ์ขนาดไหน? ชีวิตเราในพระเยซูคริสต์ ที่ได้บังเกิดใหม่นั้น บริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ และสำคัญขนาดไหน?  พระเจ้าให้เกียรติขนาดไหน? พอท่านเป็นส่วนหนึ่ง  เป็นหินก้อนหนึ่งในคริสตจักรของพระเจ้าฝ่ายวิญญาณนี้  ท่านเป็นศิลาก้อนหนึ่งในคริสตจักรของพระเจ้าฝ่ายวิญญาณ  ซึ่งมีพระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอก

ศิลามุมเอก ก็คือเป็นศีรษะที่สำคัญที่สุด ท่านทั้งหลายเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง หรือเรียกว่าเป็นศิลาก้อนหนึ่งที่ถูกก่อขึ้น เป็นคริสตจักรฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า หรือที่เรียกว่าวิหารของพระเจ้า ทั้งหมดนี้ มันเสร็จไปแล้ว มันเรียบร้อยไปแล้วอย่างที่ผมบอกว่าพระเจ้าต้องการให้เราเห็นถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงกระทำที่ไม้กางเขนนั้น เรียบร้อยไปแล้ว

และเกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้  และเขาจะได้รับสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำทั้งหมดเหล่านั้น แค่เปิดใจเชื่อและรับเอาเท่านั้นเอง  และเราทั้งหลายผู้ที่เชื่อและรับเอาแล้ว เราควรจะรู้ว่าเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์

ที่อธิบายเรื่องการเป็นหนึ่งเดียวกัน การเป็นศิลาในวิหารของพระเจ้า ทั้งหมดนั้น มันเป็นแล้ว มันเสร็จแล้ว ในขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ ความจริงในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนั้น อย่างตะกี้นี้เรียบร้อยแล้วจริงๆ และเมื่อเป็นแล้ว แล้วเป็นอะไรต่อในนี้ได้บอกไว้ว่าเมื่อเป็นศิลาก้อนหนึ่ง ในวิหารของพระเจ้า  เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง  ที่เรียกว่าศิลาก้อนหนึ่ง ในคริสตจักรของพระเจ้าแล้ว เราจึงได้เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์  มาอีกแล้ว

สิ่งเหล่านี้ในหนังสือเขียนเล็งไปถึงวัฒนธรรมของชาวยิว ในสมัยพระคัมภีร์เดิม คนยิวจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้หมดเลย แต่สามารถอธิบายได้  ขณะนี้ เมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เมื่อเราได้บัพติศมาเข้าเป็นส่วนหนึ่งในพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในคริสตจักรของพระเจ้า ที่มีพระเยซูคริสต์เป็นศีรษะแล้ว เป็นหินก้อนหนึ่ง ในวิหารของพระเจ้า  ที่มีศิลามุมเอกเป็นพระเยซูคริสต์แล้ว  เรายังเป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ ในตระกูลปุโรหิตหลวง

ปุโรหิตหลวง ที่มีพระเยซูคริสต์เป็นหัวหน้าปุโรหิต ทำหน้าที่ถวายเครื่องบูชารับใช้พระเจ้า  เข้าไปเป็นตระกูลเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และในพระคัมภีร์นี้เขียนว่าเป็นตระกูลปุโรหิตบริสุทธิ์  ถูกแยกออกมาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์  ที่พระองค์ทรงใช้ตามน้ำพระทัยของพระองค์ และพระองค์ทรงหวงแหนมาก เพราะรักดั่งแก้วตาดวงใจ

“กำลังพูดถึงใคร?”

“กำลังพูดถึงฉัน”

ฉันคือใคร? ฉันคือผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วางใจในการกระทำของพระเยซู  ไม่พึ่งพาการกระทำของตนเองอีกแล้ว

ปุโรหิต ผู้ที่ถูกแยกออกมาจากโลกที่สกปรก โลกที่เต็มไปด้วยความบาป โลกที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า เราได้ถูกแยกออกมาจากโลกแล้ว  โลกที่ถูกเรียกว่าอยู่ในอาดัม

ปุโรหิต คือผู้ที่ถูกแยกออกมาพิเศษ ชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ เอาไว้ให้พระเจ้าใช้โดยเฉพาะ  ต้องบริสุทธิ์เท่าพระเจ้า ถึงจะเข้าไปอยู่กับพระเจ้าได้

แปลตรงๆ ก็คือปุโรหิต คือผู้ที่ละทางโลกเรียบร้อยแล้ว  นึกออกใช่ไหม? มนุษย์ก็พยายามทำเหมือนกัน แต่นี่ไม่ใช่มนุษย์ทำ แต่เป็นพระเจ้าทำ  แยกเราออกจากโลกที่เต็มไปด้วยความบาป ละทางโลกแล้ว  แล้วได้กลายเป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ เข้ามาอยู่ในสวรรค์ บริสุทธิ์ ให้พระองค์ใช้  แยกออกมา ในฐานะเป็นลูก ไม่ใช่เป็นคนใช้  ไม่ใช่เป็นทูตสวรรค์ ไม่ใช่เป็นผู้รับใช้  แต่เป็นผู้รับใช้ในฐานะที่เป็นลูก ลูกที่รับใช้พ่อ  เพราะฉะนั้น จึงต้องบริสุทธิ์สะอาด  ศักดิ์สิทธิ์เหมือนพ่อ ซึ่งพระเจ้าได้ชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ จนสะอาดหมดจด  และได้บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว

พระเยซูตรัส จำได้ไหมว่าท่านไม่ได้เป็นของโลกนี้ เมื่อท่านมาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ ได้บัพติศมา เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว  ท่านไม่ใช่เป็นของโลกนี้อีกต่อไป  โลกนี้เป็นศัตรูกับท่าน โลกสกปรก แต่ท่านสะอาด โลกเต็มไปด้วยความมืด แต่ท่านเต็มไปด้วยความสว่าง  โลกคืออยู่ในอาดัม แต่ท่านอยู่ในพระคริสต์แล้ว

คราวนี้ปุโรหิตทำหน้าที่อะไร?  พอชาวยิวเขาอ่านพระคัมภีร์ตรงนี้ เขาก็เข้าใจแล้วว่าปุโรหิตทำหน้าที่อะไร? แต่เนื่องจากเราไม่ใช่ยิว  เราก็ต้องมาแปลนิดหนึ่ง  อธิบายให้กันฟังนิดหนึ่ง เพื่อให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้ช่วยเราให้หลุดรอดพ้นออกจากโลกใบนี้  ซึ่งเต็มไปด้วยความบาป ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรแห่งแสงสว่าง อยู่ตระกูลปุโรหิตหลวง อยู่ตระกูลเดียวกับพระเยซูคริสต์ ในฐานะเป็นลูกของพระองค์  และมันเป็นเช่นไร

ปุโรหิตทางฝ่ายวิญญาณทำหน้าที่อะไร?  ปุโรหิตในพระคัมภีร์เดิมทำหน้าที่อะไร? ปุโรหิตเป็นทูตของพระเจ้า เป็นคนกลางที่พระเจ้าจะใช้ ในการสื่อสารกับมนุษย์  ทำหน้าที่ถวายเครื่องบูชาฝ่ายวิญญาณ ก็คือยอมจำนนเชื่อฟังต่อพระเจ้า ผู้ทรงให้กำเนิดชีวิตของปุโรหิต หรือของคนๆ นั้น คือยอมเชื่อฟัง เหมือนดั่งทาส  แต่จริงๆ เป็นลูก

การเชื่อฟัง คือพระเจ้าพูดอะไร ในวิญญาณคนนั้น ก็เอเมนหมด  ใช่ ถูกต้อง  เพื่อถวายคำขอบพระคุณต่อพระเจ้าว่าพระองค์ทรงทำอะไรในพระเยซูคริสต์แล้ว ในวิญญาณมันจะรับรู้ทั้งหมดเลย เรียบร้อยแล้ว และตรงนี้ ปุโรหิตมีหน้าที่เป็นทูต เป็นคนกลาง นำเอาความจริงเหล่านี้ ออกไปยังบรรดามนุษย์ สื่อสารให้กับมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งตรงนี้ ภาษาเดิมแปลว่าอย่างนี้

ปุโรหิต คือผู้ที่ถูกแยกออกมา ทำหน้าที่เชื่อฟังต่อพระเจ้า  เป็นเหมือนดั่งทาส ยอมมอบถวายอวัยวะทุกส่วนในชีวิตทั้งหมด เป็นของพระองค์ ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจและวิญญาณ ซึ่งได้รับการชำระเรียบร้อยแล้ว บริสุทธิ์ สะอาดด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์แล้ว ถวายแด่พระองค์  เป็นที่ยอมรับได้ของพระองค์แล้ว  คือสะอาด บริสุทธิ์ เพียงพอแล้ว ที่พระองค์จะทรงสามารถใช้ได้ เข้ามาเป็นทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ได้ ซึ่งเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า และการได้ถูกชำระจนสะอาดหมดจดนี้ เป็นที่รับได้ของพระเจ้าตรงนี้ ทำให้เขาสามารถคืนดีกับพระเจ้า  เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าได้   และการจะได้สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ต้องผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ในการกระทำของพระเยซูคริสต์เท่านั้น

ดังนั้น ปุโรหิต คือผู้ที่ถูกแยกออกมา เป็นลูกที่คอยรับใช้พ่อ ที่บริสุทธิ์สะอาด ผ่านทางการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เป็นปุโรหิต ทำหน้าที่เหมือนพระเยซูคริสต์ทำ  พระเยซูคริสต์มาประกาศสวรรค์ มาช่วยเหลือมนุษย์  มารับใช้มนุษย์  และเราทั้งหลายเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นตระกูลปุโรหิตเหมือนกัน  เป็นเหมือนหัวหน้าเราเลย เราก็เป็นทูตของพระเจ้าเหมือนกัน ทำหน้าที่รับใช้พระเจ้า  ก็คือรับใช้มนุษย์

เพราะฉะนั้น คริสเตียนผู้เชื่อทั้งหลาย คือผู้ที่รับใช้มนุษย์ โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา  เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เราเป็นปุโรหิตที่บริสุทธิ์ พระเจ้าจะใช้เรา ใช้ในการเป็นสื่อกลางในการประกาศพระบารมี ประกาศการทรงสถิตอยู่ของพระองค์ ประกาศความรักของพระองค์ ประกาศแสงสว่างของพระองค์ ประกาศความดีงามของพระองค์  ด้วยชีวิตของเรา ด้วยตา หู จมูก ลิ้น กาย ความคิดของเรา  การดำเนินชีวิตของเราแต่ละวัน ทุกเสี้ยวของชีวิต ทุกลมหายใจเข้าออกเลย  ไม่เฉพาะออกไปประกาศข่าวดี ตะโกนที่ตลาด ไม่ใช่แค่นั้น แต่ตรงนี้หมายถึงชีวิตของเรา รู้หรือไม่รู้ก็ตาม แต่เป็นดังนั้นอยู่แล้ว  ท่านไม่รู้หรอก ท่านก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ท่านไม่รู้ว่าท่านกำลังประกาศอยู่ด้วยชีวิตท่าน ท่านก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องพยายามเป็นนักประกาศ ท่านเป็นนักประกาศทุกคน โดยกำเนิดเกิดมาเป็นทูตของพระเจ้า โดยกำเนิดเกิดมาเป็นผู้ประกาศอยู่แล้ว ส่วนจะประกาศด้วยลักษณะเช่นไร? แต่ละคนไม่เหมือนกันแล้ว แล้วแต่พระเจ้าจะแต่งตั้ง นำพาแต่ละคน ประกาศแบบไหน? อย่างไร? ก็ว่ากันไป

เหมือนโจรบนไม้กางเขนได้รับความรอด ก็มาเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนแป๊บเดียวเอง ก็ได้ประกาศข่าวดีให้กับเพื่อนที่ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  แต่ขณะเดียวกัน เหตุการณ์นี้ก็หนุนจิตชูใจ และเป็นพยาน   สำหรับผู้ที่จะเชื่อพระเยซูคริสต์ในยุคต่อๆ มาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน  นี่พระเยซู พระเจ้าก็ใช้อย่างนี้แหละ เพราะฉะนั้น จงรับรู้ว่าเรากำลังทำอยู่  ทำหน้าที่เป็นปุโรหิต

เพราะฉะนั้น สรุปของวันนี้ ก็คือเราได้รับบัพติศมา  หรือเรียกว่าการผ่าตัดวิญญาณก็ได้ มันมีการเปลี่ยนแปลงในโลกฝ่ายวิญญาณ เกิดขึ้นกับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ผู้ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ มันเป็นจริง และตรงนี้คือหัวกะทิของความจริงในเรื่องนี้ เป็นหัวกะทิของนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ เป็นถ้อยคำแห่งความจริง ถ้อยคำแห่งข่าวดีของพระเยซูคริสต์ที่เป็นข่าวดีแห่งพระคุณ คือพึ่งพาในการกระทำของพระเยซูคริสต์อย่างเดียวเท่านั้น ก็คือเราได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้าแล้ว ผมจะพูดทีละประโยค แล้วท่านตอบว่า “เอเมน” นะ จะได้ฝึกฝนไปด้วย เอเมนของท่าน ก็คือการดื่มน้ำนมฝ่ายวิญญาณ  ถ้าไม่จริงตามข่าวประเสริฐ ท่านก็ไม่ต้องเอเมน ก็คือท่านไม่ดื่ม ถ้าใครมาพูดอะไรที่แย้งกับความจริงในถ้อยคำพระเจ้า ท่านก็ไม่ต้องพูด ท่านก็เงียบๆ  ถ้าเขาพูดมาตรงกับถ้อยคำพระเจ้า ท่านก็ดื่มซะ ท่านก็บอกเอเมน … เอเมน คือท่านดื่ม ดูว่าท่านดื่มหรือเปล่านะ

“เราได้กลับมาคืนดีกับพระเจ้าแล้ว” … คำว่า “แล้ว” แปลว่าเสร็จแล้ว เป็นแล้ว

“เอเมน”

“เราได้บัพติศมาในพระเยซูคริสต์แล้ว”

“เอเมน”

“เราได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว”

“เอเมน”

“เราได้สามัคคีธรรม ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์แล้ว”

“เอเมน”

“เราได้รู้จักสนิทสนมกับพระคริสต์แล้ว”

“เอเมน”

สนิทแน่เหรอ? รู้จักแน่เหรอ? รู้จักละเอียดเลยไหม? เข้าใจหมดเลยไหม? เข้าใจไม่หมดหรอก ไม่เข้าใจหรอก แต่ในวิญญาณ มันเป็นอย่างนี้แล้ว เอเมน ในวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ จะเอาความเข้าใจของมนุษย์ มันเป็นไปไม่ได้ มันคนละเรื่องกัน นี่คือความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ เกี่ยวกับเรื่องข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณทั้งสิ้น  ไม่สามารถเข้าใจด้วยสติปัญญา เหตุผล ความเข้าใจแบบมนุษย์ได้ ครบ 100%

“เราได้รู้จักสนิทสนมกับพระคริสต์แล้ว”

ก็ได้รู้จักแล้วไง วันหนึ่ง วันพิพากษา

พระเยซูคริสต์ก็จะได้บอกว่า … “เราก็รู้จักเจ้า เพราะเจ้ารู้จักเรา”

ถ้าเราไม่รู้จักเจ้า วันพิพากษา พระเยซูคริสต์ก็จะบอกว่า … “เราไม่รู้จักกับเจ้าเลย เจ้ายังไม่ได้เข้ามาบัพติศมา เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกับเราเลย”

“พระคริสต์เป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นด้วยแล้ว”

“เอเมน”

“เราได้กลายมาเป็นศิลาก้อนหนึ่ง ที่ต่อติดกับศิลามุมเอก เป็นเหมือนศิลามุมเอก คือพระเยซูคริสต์แล้ว”

“เอเมน”

ต้องเติมคำว่า “แล้ว” เพราะพระองค์ทรงกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว

อันนี้ชอบมากเลย … “เราได้กลายมาเป็นศิลาก้อนหนึ่ง ที่ต่อติดกับศิลามุมเอก เป็นเหมือนศิลามุมเอกเลย คือพระเยซูคริสต์ เราได้กลายมาเป็น คือเราได้เกิดมาเป็นศิลาก้อนหนึ่งที่ต่อติดกับศิลามุมเอก เป็นเหมือนศิลามุมเอก คือพระเยซูคริสต์”

“ชีวิต จิตวิญญาณของเราที่ดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้  ก็โดยชีวิตของพระคริสต์”

“เอเมน”

อาจจะไม่เข้าใจ แต่ในวิญญาณมันเป็นจริง  พระเจ้าต้องการให้เรารู้ความจริงในโลกวิญญาณ ชีวิตจิตวิญญาณของเราที่ดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้  ก็โดยชีวิตของพระคริสต์  เอเมน ถ้าตายจากร่างกายนี้ ก็ดีกว่า เพราะจะได้เห็นพระคริสต์หน้าต่อหน้า เอเมน กลัวตาย กลัวส่วนกลัว แต่โลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ ในโลกวิญญาณ คือถ้าตายจากร่างกายนี้ วิญญาณออกจากร่าง ก็ดีกว่าอยู่ในร่างกาย เพราะว่าอยู่ในร่างกายนี้ มองพระเยซูก็ไม่เห็น มองพระเจ้าก็ไม่เห็น ต้องใช้ความเชื่อเอา แต่ถ้าตาย วิญญาณออกจากร่างเมื่อไร? ไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกต่อไปแล้ว เอเมนไหม?  เราจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกแล้ว  แล้วเราจะเห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า ตื่นเต้น เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ตื่นเต้น เห็นใครอีกคนหนึ่งน่าตื่นเต้นกว่าเลย เห็นตัวเองที่เต็มด้วยสิริที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เป็นร่างกายสวรรค์ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้ ไม่ตื่นเต้นหรือว่ามันจะเป็นลักษณะเช่นไร?

นี่แหละ คือเป้าหมายที่พระเจ้าต้องการให้ลูกๆ ของพระองค์เรียนรู้ และจดจ่ออยู่ จะได้ไม่ทุกข์ทรมานกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่ นี่แหละ คือน้ำนมฝ่ายวิญญาณ ที่เป็นหัวกะทิ ที่พระเจ้าต้องการให้เรารับรู้ในวันนี้ พระเจ้าอวยพรครับ

 

**********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

ฟีลิปปี 3:20-21 “20 แต่เราเป็นพลเมืองสวรรค์ และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า  21 พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์ โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์”

 

“แต่เราเป็นพลเมืองสวรรค์” … “แต่เรา” หมายถึงผู้เชื่อที่ยอมรับพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอดจากบาปแล้ว ได้เกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่เหมือนพระเยซูแล้ว อยู่กับพระเยซูในสวรรค์แล้วเป็นพลเมืองของสวรรค์แล้ว เป็นแล้วนะ

 

และเราเฝ้ารอคอยผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ “คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรานี้”

 

เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว บังเกิดใหม่แล้ว วิญญาณและจิตใจข้างในของเรา เป็นชีวิตนิรันดร์ที่เหมือนพระเยซูแล้ว แต่ร่างกายภายนอกนี้ จำเป็นต้องตาย เพื่อจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นนิรันดร์เหมือนพระเยซู เพื่อให้เข้ากันได้กับวิญญาณและจิตใจใหม่ที่เป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเยซูแล้วตอนนี้

 

พระเยซูจะเปลี่ยนแปลงกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์ ด้วยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์ ด้วยฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ คือพระสิริของพระเจ้า

 

เรามองทะลุความทุกข์ยากลำบาก มองไปที่รางวัลข้างหน้า ก็คือร่างกายใหม่ เต็มไปด้วยพระสิริ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนนี้ได้มัดจำไปแล้ว 99.99% ได้เกิดใหม่ข้างในแล้ว มีพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ข้างในของเรา เป็นพยานยืนยันว่ามันเป็นจริง เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ตามถ้อยคำของพระเจ้าเหล่านี้ ตามข่าวดีของพระเยซูเหล่านี้ แล้วเราก็มุ่งตรงไปข้างหน้าว่าทำงานให้พระเจ้าบนโลกนี้อีกไม่นาน ให้พระเยซูคริสต์ฉายแสงสว่างออกมาจากชีวิตของเรา แล้วแต่พระองค์จะนำไปที่ไหน ก็ตาม เราจะอดทนรอคอย เราไม่สนใจในโลกใบนี้แล้ว จะวิ่งไปที่เป้าหมายเดียวของเรา คือร่างกายใหม่ ร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์

 

เพราะฉะนั้น หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ความทุกข์ยากลำบากต่างๆ เราอาจจะไม่เข้าใจ ไม่มีคำตอบว่าเพราะอะไร? มันถึงเกิดขึ้น เราก็ไม่สนใจ สิ่งเดียวที่เรารู้และมั่นใจ และเป็น ความเชื่อและความหวังที่จับต้องมองเห็นได้ของเรา ก็คือ เรากำลังอยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้และพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้วตอนนี้ ตลอดเวลา ไม่เคยทอดทิ้ง ไม่เคยละเราเลย และพระองค์ทรงห่วงใย รักเราดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา ก็ยืนยันอย่างนั้น และเรารู้อยู่ว่าเราได้อยู่ในสวรรค์ เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นเชื่อแล้ว เราได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์ มีชีวิตนิรันดร์ อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว 99.99% แล้ว

 

รออีกนิดเดียวเอง ก็จะครบถ้วนบริบูรณ์ เมื่อเรารับร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ มาแทนร่างกายอันต่ำต้อยนี้ ในวันหนึ่งที่ทิ้งร่างนี้ หมดการงานบนโลกใบนี้แล้ว พระเจ้าอวยพรครับ