คำบรรยายวันศุกร์ที่ 15 เมษายน 2022
เรื่อง “วันศุกร์ประเสริฐ”
โดย วราพร คงล้วน
เรื่องพิธีมหาสนิท โดย พาสเตอร์นคร เวชสุภาพร
วันนี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่เราได้มาฉลององค์พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา เราจะคุ้นเคยกับวันคริสตมาสดี แต่จริงๆ แล้ว เทศกาลนี้ เป็นเทศกาลที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าคริสตมาส ว่ากันตามจริงแล้ว ถ้าเผื่อเป็นผู้เชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว เข้าใจถึงข่าวประเสริฐแล้ว วันนี้เป็นวันสำคัญกว่าวันคริสตมาสอีกด้วยซ้ำ แต่ยังไม่ค่อยมีใครรู้จักความจริง คือไม่ได้เป็นคริสเตียน เขาก็ไม่ค่อยให้ความสนใจกับเทศกาลนี้เท่าไร? เทศกาลวันอีสเตอร์ ก็คือวันเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ก่อนจะเป็นขึ้นจากความตาย ก็ต้องตายก่อน ก็คือวันศุกร์ประเสริฐ
เทศกาลศุกร์ประเสริฐและวันอีสเตอร์ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ซึ่งวันนี้เราได้มีโอกาสมาร่วมฉลองชัยชนะ ฉลองความรักของพระเจ้าที่มอบให้กับเราทั้งหลายร่วมกัน ซึ่งเราจะย้อนหลังไป 2,000 ปี ให้เห็นว่าพระเยซูทำอะไรให้เรา และกระทำสิ่งนี้ เพื่ออะไร? ใครที่อยู่ที่บ้านเตรียมขนมปังและน้ำองุ่นหรือยัง?
ขนมปังกับน้ำองุ่น ก็คืออาหารของชาวยิวในยุคนั้น ซึ่งถ้ามาในยุคปัจจุบัน คนไทยเรา ก็คือข้าวกับน้ำ มีข้าวกับน้ำอยู่ที่บ้านไหม? เตรียมไว้นะ เพราะสิ่งนี้พระเยซูให้เราทำ เพื่ออะไร? เดี๋ยวเราจะได้เรียนรู้กัน
ในหนังสือ 1 โครินธ์ 11:23-26 ได้บันทึกถึงเรื่องราว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่พระเยซูได้กระทำ ถึงเทศกาลนี้ เมื่อ 2,000 ปีที่ผ่านมา บันทึกไว้อย่างนี้ ตอนต้นนี้ อาจารย์เปาโลเป็นผู้ได้รับการบอกเล่าจากพระเยซูคริสต์ว่าให้แนะนำ ให้คริสเตียนได้กระทำสิ่งนี้ สิ่งที่พระองค์ทรงกระทำจริงๆ ตอนที่เกิดเป็นมนุษย์ อยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่จะไปถูกเขาจับตรึงที่ไม้กางเขน และตายที่ไม้กางเขน และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตาย ก่อนนั้น พระองค์ทรงกระทำสิ่งนี้ คือ …
1 โครินธ์ 11:23-26 “23 เพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าถ่ายทอดแก่พวกท่านนั้น ข้าพเจ้ารับมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า คือในคืนที่เขาทรยศพระเยซูเจ้านั้น พระองค์ทรงหยิบขนมปัง 24 เมื่อขอบพระคุณพระเจ้าแล้ว ทรงหักและตรัสว่า “นี่คือกายของเรา ซึ่งให้แก่ท่านทั้งหลาย จงทำเช่นนี้เป็นที่รำลึกถึงเรา” 25 เมื่อรับประทานแล้วทรงหยิบถ้วยขึ้นกระทำอย่างเดียวกัน และตรัสว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ ด้วยโลหิตของเรา เมื่อใดที่พวกท่านดื่ม จงทำเช่นนี้เป็นที่รำลึกถึงเรา” 26 เพราะเมื่อใดก็ตามที่พวกท่านรับประทานขนมปังนี้ และดื่มจากถ้วยนี้ พวกท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา”
“เรา” หมายถึงใคร? พระเยซู
นี่คือสิ่งที่พระเยซูกระทำในคืนก่อนเขามาจับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน ตอนนั้นเขาเรียกเทศกาลปัสกา “ปัสกา” คือวันลบบาปของชาวยิว ที่ทำมาดั้งเดิม หลายพันปีแล้ว พระเยซูอยู่ในปัสกา ซึ่งปัสกา หลายพันปีก่อนชาวยิวทำ เล็งถึงพระเยซูคริสต์จะมาไถ่มวลมนุษยชาติให้พ้นจากความบาป พระเยซูคริสต์จะเป็นแกะปัสกา เป็นผู้รับบาปตัวจริง ตัวเป็นๆ คือพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เล็งถึงตรงนี้ พระเยซูตรัสว่าให้ทำพิธีนี้ เป็นที่ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำแล้ว ที่ไม้กางเขน
“ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จที่ไม้กางเขน”
ตอนที่กระทำครั้งแรก ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ ตอนที่กระทำปัสกากับพวกสาวกนั้น ตอนนั้น ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์จะทำ จะทำเมื่อไร? จะทำพรุ่งนี้ จะตายที่ไม้กางเขนแล้ว ให้ทำสิ่งนี้ กลัว เดี๋ยวเราลืม พระองค์ให้เราทำ เพื่อระลึกถึงนะ ระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน 2,000 ปีมาแล้ว ไม่ให้เราลืม พระองค์ไม่ได้สั่งให้เราทำพิธีนี้ เพื่อจะเกิดสิ่งอะไรขึ้นเลย แม้แต่นิดเดียว เพราะสิ่งที่ทำทั้งหมด เพื่อระลึกถึงสิ่งที่มันสำเร็จแล้ว คือพระเจ้า พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน มันไม่ใช่พิธีที่ทำ เพื่อให้สิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นจากการกระทำนี้
ยกตัวอย่างเช่น จะกินขนมปังและดื่มน้ำองุ่นนี้ ไม่ใช่กินและดื่ม เพื่อจะเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ไม่ใช่ การเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์นั้น ด้วยความเชื่อ ในการตายและการเป็นขึ้นจากความตายมากกว่า หรือไม่ใช่ เพื่อให้เราทำพิธีนี้แล้ว เดี๋ยวกินน้ำองุ่น กินขนมปังแล้ว เราจะได้สนิทกับพระเจ้ามากขึ้น ไม่มี มากเท่าเดิม ถ้าท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ท่านก็สนิทกับพระองค์สุดแล้ว ไม่มีมากกว่านั้น
ที่พระองค์ให้เราทำนั้น ทำเพื่อระลึกถึงสิ่งที่พระองค์ทำสำเร็จแล้ว ความบริสุทธิ์ของเรา ความเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ด้วยความเชื่อ ที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน
เพราะฉะนั้น การกระทำของเราตอนนี้ เป็นแค่ตามที่พระเยซูบอก เพื่อเป็นการประกาศความเชื่อ ในสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำให้แล้ว ที่ไม้กางเขน เราจึงทำสิ่งนี้ เพื่อเป็นการฉลอง เพื่อเป็นการเข้าใจและขอบคุณ ที่พระเจ้าได้กระทำให้สำเร็จแล้ว ขณะที่เรากินขนมปัง ดื่มน้ำองุ่น เรากำลังประกาศชัยชนะ ประกาศว่าเรากำลังอยู่ในพันธสัญญาใหม่ ด้วยโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่หลั่งออกมาที่ไม้กางเขน เราเป็นอิสระจากความบาป เราเป็นขึ้นจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว
พิธีมหาสนิทนี้ คือการระลึกถึงความสนิทที่สุดของพวกเราทั้งหลาย ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ สนิทขนาดไหน? สนิทถึงขนาดร่วมเป็นวิญญาณเดียวกับพระองค์เลยทีเดียว เป็นเมื่อเราเชื่อในข่าวดี เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ตายที่ไม้กางเขนและเป็นขึ้นจากความตาย และเรากระทำพิธีนี้ เพื่อระลึกถึงสิ่งที่มันเป็นแล้วนั่นเอง คือมาขอบคุณ มาสรรเสริญ มาฉลอง ทำได้ทุกเมื่อ ไม่ใช่เทศกาลอีสเตอร์เท่านั้น ทำได้ทุกวัน ท่านกินข้าว ท่านก็อธิษฐาน ก่อนกินข้าวท่านก็คิดในใจว่าท่านจะกินข้าว คิดถึงร่างกายของพระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน กินน้ำก็นึกถึงพระโลหิตพระเยซูคริสต์ กินวันละ 3 มื้อ ก็นึกถึง 3 มื้อ แล้วถ้าไม่กิน อยากจะนึกถึงได้ไหม? ได้ หลับตาอธิษฐานก็ได้ ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ตายที่ไม้กางเขน เพื่อลูก
เพราะฉะนั้น เราทำได้ทุกเมื่อ ไม่ต้องรอเทศกาล นี่เราเพียงแต่มาฉลองกัน เลยระลึกถึงประเพณีตอนนั้น ระลึกถึงในวันนั้น เหมือนเราระลึกถึงวันเกิดเรา เราระลึกถึงวันโน้น ย้อนกลับไป พระเยซูไม่ต้องการให้เราลืม เพราะฉะนั้น เราสามารถทำอย่างนี้ได้ทุกวัน ไม่ต้องมีข้าว ไม่ต้องมีขนมปัง ไม่ต้องมีน้ำองุ่น ไม่ต้องมีน้ำ เราตื่นขึ้นมา เราก็นึกได้แล้ว แล้วเราก็ทำพิธีมหาสนิทนี้ได้แล้ว ลืมตาขึ้นมา ก็ …
“ขอบคุณพระเจ้า ที่ทรงตายที่ไม้กางเขน เพื่อลูก หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับลูก เป็นขึ้นมาในวันที่ 3 ทำให้ลูกได้เป็นขึ้นมาใหม่ด้วย ขอบคุณพระเจ้า”
นี่คือทั้งวันทั้งคืน พิธีมหาสนิททำได้หมด เรียบร้อย
ในคืนวันนั้น พระเยซูทำเป็นตัวอย่าง คืนปัสกา ชาวยิวเขาก็กินปัสกากัน มาหลายพันปีแล้ว เพื่อระลึกถึงพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน แล้ววันนี้ ตัวจริง คือพระเยซูมาทำปัสกาที่เขาทำมาเป็นพันๆ ปี ทำด้วยตัวเองเลยว่าพระองค์เองนั้น คือปัสกานั่นแหละ คืนนี้เขาจะมาจับพระองค์ พระองค์ทรงทราบดีว่าถึงเวลาแล้ว นึกถึงภาพนะ พร้อมกันปุ๊บ พระองค์ก็หยิบขนมปังขึ้นมา แล้วก็ให้เล็งถึงร่างกายของพระองค์ เพราะทุกคนต้องมาเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์ เข้ามาเป็นขนมปังก้อนเดียวกัน เป็นวิญญาณเดียวกัน ขนมปังนี้ นึกถึงวิญญาณของพระเยซูและวิญญาณของเราจะต้องรวมกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน ในการเกิดใหม่ ในการไถ่บาป วันนี้เราจะกินขนมปังนี้ ระลึกถึงร่างกายของพระเยซูที่แตกหัก ที่ไม้กางเขน เพื่อเราจะได้เข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เข้าไปเป็นขนมปังก้อนเดียวกัน
ขนมปัง หมายถึงร่างกายของพระเยซูคริสต์ที่ตายที่ไม้กางเขน เรากินขนมปัง หมายถึงเราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับร่างกายของพระองค์ พระองค์ตาย เราก็ตายด้วย พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย เราก็เป็นขึ้นมาด้วย ในวันอีสเตอร์ อีก 3 วันข้างหน้า
พระองค์ทรงแจก แล้วก็ให้ทุกคนกิน
“ทรงหักขนมปัง (เพราะเป็นขนมปังไร้เชื้อ หักได้) แล้วตรัสว่า ‘นี่คือกายของเรา ซึ่งให้แก่ท่านทั้งหลาย จงทำเช่นนี้ เพื่อรำลึกถึงเรา’”
เรารับประทานขนมปังพร้อมกัน เรากำลังกินขนมปัง ระลึกถึงร่างกายของพระเยซู เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เพราะเรากินร่างกายของพระองค์ ก็คือเราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ทางวิญญาณ
“เมื่อทรงรับประทานแล้ว ทรงหยิบถ้วยขึ้น กระทำอย่างเดียวกัน ตรัสว่า ‘ถ้วยนี้ จอกนี้ คือพันธสัญญาใหม่ ด้วยโลหิตของเรา เมื่อใดที่พวกท่านดื่ม จงกระทำเช่นนี้ เพื่อรำลึกถึงเรา’”
ถ้วยน้ำองุ่น ถ้วยเหล้าองุ่น ซึ่งเป็นเครื่องดื่มประจำคนสมัยนั้น ในตอนนั้น คือน้ำบริสุทธิ์ที่จะดื่มหายาก แต่น้ำองุ่นมีเยอะมาก และมันก็กลายเป็นเหล้าทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เหล้าองุ่น เขาก็กินกันปกติ นึกถึงกินข้าว แล้วก็กินน้ำ พระองค์ก็หยิบเหล้าองุ่นขึ้นมา แล้วก็บอกว่าให้เราดื่ม เล็งถึงพระโลหิตของพระองค์ ที่จะหลั่งออกมา เพื่อจะชำระบาปให้กับเรา ให้เราดื่มพร้อมกันและระลึกถึงพระโลหิตของพระเยซูคริสต์
ท่านจะเห็นว่ามันเป็นภาพธรรมดา ทุกวันนี้เราก็ทำกันอย่างนี้ กินข้าว แล้วมันติดคอ ก็ต้องดื่มน้ำ ก็ธรรมดา ก็คือรับประทานอาหารนั่นเอง แต่ให้เราเล็งถึงการกระทำสิ่งนี้ ให้รำลึกถึงสิ่งที่พระเยซูกระทำ แล้วพระองค์ก็ตรัสต่อไปว่าเมื่อทรงรับประทานและทรงหยิบถ้วยขึ้น กระทำอย่างเดียวกัน ตรัสว่า …
“ถ้วยนี้ คือพันธสัญญาใหม่ ด้วยโลหิตของเรา เมื่อใดที่ท่านดื่ม จงทำเช่นนี้ เป็นที่รำลึกถึงเรา”
ดื่มหรือยัง? ดื่มแล้ว รำลึกถึงพระองค์แล้วหรือยัง? รำลึกถึงพระโลหิตของพระองค์ที่ทรงชำระบาปให้กับเรา ที่หลั่งพระโลหิตที่ไม้กางเขน ชำระเรา จากคนบาป กลายเป็นผู้ได้รับคำตัดสินว่าเป็นผู้ถูกต้อง เป็นผู้ชอบธรรม
พระองค์ตรัสต่อไปว่า “เมื่อใดก็ตามที่พวกท่านรับประทานขนมปังนี้และดื่มจากถ้วยนี้ พวกท่านกำลังระลึกถึงเรา พวกท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ พวกท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
คือพระองค์ทรงประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ตั้งแต่ตอนก่อนถูกตรึงที่ไม้กางเขนแล้ว
“พวกท่านก็ประกาศการวายพระชนม์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกว่าพระองค์จะเสด็จมา”
ก็คือกำลังประกาศว่า “ฉันเป็นอิสระแล้ว ฉันเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของฉัน ฉันได้ตายพร้อมพระองค์ และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และได้บังเกิดใหม่ในวันที่ 3 ร่วมกับพระองค์แล้ว ฉันมีชัยชนะเหนือความตายแล้ว”
นั่นเป็นการกระทำเช่นนี้ และพระองค์ทำเสร็จแล้ว ในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าเมื่อพระองค์ทรงกระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว หมายถึงว่าทำปัสกาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ลุกขึ้น กำลังจะเดินไปสวนเกเสมนี เพื่อให้เขาจับ เอาไปทุบตี ด้วยความโหดร้าย และเอาไปตรึงที่ไม้กางเขน วันรุ่งขึ้น คือวันศุกร์ ตอนก่อนที่จะลุกขึ้น พอกินเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์กับเหล่าสาวกร้องเพลง ความชื่นชมยินดีว่าเป็นวันที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับมวลมนุษยชาติ คือวันที่พระเจ้าเสด็จมาบนโลกใบนี้ เพื่อเกิดเป็นมนุษย์และตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อชำระบาป เพื่อช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้นออกจากความบาป และคำสาปแช่ง และความตายในนรก
ประกาศด้วยสิ่งเหล่านี้ และพระองค์ได้ทรงร้องเพลง ก่อนจะเดินทางไปให้เขาจับ เราจะร้องเพลงนี้ด้วยกัน เพลงนี้อยู่ในหนังสือสดุดี 118 พระเจ้าเผยพระวจนะไว้เรียบร้อยแล้ว พระเยซูบอกวันนี้แหละ คือวันที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ วันที่พระบุตรของพระเจ้า จะมาตาย เพื่อท่านทั้งหลาย …
“วันนี้เป็นวัน วันนี้เป็นวัน ที่พระเจ้าจัดไว้ ที่พระเจ้าจัดไว้
เราจะยินดี เราจะยินดี และเบิกบานในใจ และเบิกบานในใจ
วันนี้เป็นวันที่พระเจ้าจัดไว้ เราจะยินดี และเบิกบานในใจ
วันนี้เป็นวัน วันนี้เป็นวัน ที่พระเจ้าจัดไว้”
เป็นเพลงที่เขาร้องกันมาตั้งแต่สมัยปัสกาแรก ตั้งแต่สมัยโมเสสพาประชากรของพระเจ้าออกมาจากแผ่นดินอียิปต์ เขาร้องกันอย่างยินดีและดีใจ เขาออกจากอียิปต์แล้ว พระเยซูก็ดีใจด้วย เพราะว่ามาช่วยมนุษย์ ถึงวันที่เขารอคอยมาตั้งนาน กว่าพระองค์จะเสด็จกลับมา พระองค์เสด็จกลับมาช่วย ต้องรอกันเป็นพันๆ ปี นี่พระองค์มา พรุ่งนี้ก็จะทำสำเร็จเรียบร้อย ก็ต้องรื่นเริงยินดี ชื่นชมยินดี และยินดีตั้งแต่ก่อนพระเยซูจะมา ตั้งหลายพันปี เขาก็ยินดีกันแล้ว พอทำปัสกา ประจำปีเสร็จปุ๊บ เขาก็จะร้องเพลงนี้ด้วยกัน นึกถึงชาวอิสราเอลในคืนวันนั้น ที่เขากินปัสกากันวันแรกของโลกนี้เลย กินเสร็จ เขาก็ร้องเพลงนี้ ร้องด้วยความยินดี พรุ่งนี้พระเจ้าพาไปแล้ว เป็นเงาของเรื่องการไถ่ของพระเยซูคริสต์
******************
คำบรรยายจากพาสเตอร์วราพร คงล้วน
วันนี้ก็ศุกร์ประเสริฐ จริงๆ ถ้อยคำของพระเจ้าก็มีไม่เยอะ เรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า ของพระเยซูคริสต์ ก็มีที่เราคุยกันบ่อยๆ ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ เพราะว่าฤทธิ์เดชอำนาจนี้ ทำให้พวกเราทุกๆ คน ผู้เชื่อ ได้สามารถบังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า
ฉะนั้น วันคริสตมาส ก็เป็นวันดีที่พวกเราเฉลิมฉลองกัน วันที่พระเยซูประสูติ แต่วันศุกร์ประเสริฐก็เป็นอีกวันหนึ่ง ที่เรามาเฉลิมฉลองกันอีกว่าพระเยซูกำลังเข้ามาทำการงานของพระองค์ ที่พระเจ้าได้มอบหมายไว้ให้กับพระเยซูคริสต์ เพื่อมาชำระล้างพวกเราให้สะอาดบริสุทธิ์ เรามาดูในหนังสือยอห์น 3:16
ยอห์น 3:16 “พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่เชื่อวางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศตายนิรันดร์อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่มาเป็นลูกของพระองค์มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์”
ในยอห์น 3:16 พวกเราผู้เชื่อจะคุ้นเคยมาก เป็นถ้อยคำที่ประกาศความจริงของพระเจ้า ในเรื่องเกี่ยวกับการช่วยกู้ของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้เตรียมแผนการนี้ไว้ตั้งแต่วันแรก ที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระองค์ก็เตรียมแผนการนี้ว่าจะส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเกิดบนโลกใบนี้ เพื่อที่จะมาสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน เพื่อช่วยมนุษยชาติทั้งหมด ให้สามารถคืนดีกับพระเจ้าได้ ได้สามารถกลับบ้านของเราได้ เป็นบ้านจริงๆ ของเรา ซึ่งก่อนหน้านั้น ก่อนที่มนุษย์ล้มลงในความบาป เราก็อยู่กับพระเจ้าอย่างมีความสุข เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ต้องไประหกระเหินออกนอกบ้าน ต้องไปทุกข์ทรมาน ทำงานเหงื่อซกๆ แล้วพยายามที่จะแสวงหาวิธีการที่จะช่วยตัวเอง ให้สามารถเข้าสวรรค์
ซึ่งไม่ว่าวิธีการอะไรที่มนุษย์พยายามใช้กำลังของตัวเอง เพื่อที่จะทำให้ตัวเองครบถ้วน สมบูรณ์หรือชอบธรรม ที่จะให้พระเจ้ารับได้ เพื่อจะได้กลับคืนดีกับพระเจ้า หรือขึ้นสวรรค์ ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้เลย ฉะนั้น พระเจ้ารู้ดี เพราะว่ามนุษย์ทุกคน เมื่อล้มลงในความบาปปุ๊บ เขาติดเชื้อบาป มี DNA บาป ไม่ว่าเขาจะทำดีขนาดไหน? ก็ไม่สามารถเปลี่ยน DNA จากการเป็นคนบาป มาเป็นคนชอบธรรมได้ มีทางเดียวเท่านั้น ก็คือมนุษย์ต้องตาย แล้วก็เกิดใหม่ จึงสามารถเข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าได้ แล้วพระเจ้าก็วางแผนการนี้ไว้ ตั้งหลายพันปี จนวันที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ แผนการก็เริ่มค่อยๆ ก้าวมาถึงจุดที่วันนี้ พวกเราเข้ามาเฉลิมฉลอง คือวันที่พระเยซูคริสต์ได้ถูกตรึงบนไม้กางเขน
และในข้อที่ 16 ที่บอกว่า “พระเจ้าทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก” “โลก” หมายถึงมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้ สรรพสิ่งทั้งหมดบนโลกใบนี้ ที่พระองค์ทรงรัก ตั้งแต่เริ่มต้นที่พระองค์สร้างมา อย่างดี ให้เป็นแบบดีเลิศเลย แต่เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ มนุษย์ก็ทุกข์ยากลำบาก สรรพสิ่งทั้งหมดบนโลกใบนี้ ก็ทุกข์ยากลำบากไปหมด โลกนี้ก็เสียหายไปหมด จากที่ทุกวันนี้ ที่เราเผชิญกับปัญหาความทุกข์ยากลำบากต่างๆ หลายครั้ง เราคิดว่าเราทำผิดอะไรถึงต้องเจอเรื่องราวแบบนี้ แต่ในความเป็นจริง คือโลกนี้เสียหายไปแล้ว ต่อให้เราไม่ทำอะไร อยู่เฉยๆ เราก็เจอแจ๊กพ็อตได้เหมือนกัน ก็เจอความทุกข์ยากลำบาก เพราะว่าเกิดมาในบาปแล้ว ฉะนั้น พระเจ้าก็เลยวางแผนการว่าก่อนหน้านั้น ที่พระเจ้าทรงเลือกชาวอิสราเอล ให้คนอิสราเอลเชื่อในพระเจ้า เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง ถ้าเขาเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง เขาก็เป็นประชากรของพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็เตรียมแผนการไว้ให้คนอิสราเอลทำพิธีชำระบาป ในแต่ละปี ต้องเอาเลือดแพะ เลือดแกะมาถวายให้พระเจ้า เพื่อมาชำระบาปให้กับตัวเอง ปีต่อปี เหมือนมาผ่อนส่งดอกเบี้ย แล้วคนอิสราเอลก็ทำมาตลอด
จนวันหนึ่ง คำเผยพระวจนะ ที่พระเจ้าบอกไว้ให้กับคนอิสราเอลรับรู้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะส่งพระมาซีฮาห์มา เมื่อพระมาซีฮาห์มาปุ๊บ คนอิสราเอลไม่ต้องทำพิธีกรรมเหมือนเดิมอีกแล้ว แพะแกะไม่ต้องใช้แล้ว เพราะว่าพระเยซูคริสต์ทรงมาเป็นแกะปัสกา ให้กับมนุษยชาติทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะชาวยิวเท่านั้น แต่ทั้งหมดบนโลกใบนี้ แล้วพระเยซูก็ทำสำเร็จแล้ว 2,000 ปีที่แล้ว
สิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว มันมีผลทันที สำหรับมนุษยชาติ มนุษย์คนไหนก็ตาม ที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเขาบนไม้กางเขน แล้วก็เข้ามารับเอาความช่วยเหลือจากพระเจ้า มนุษย์คนนั้น ก็ได้รับความรอด ตามในข้อที่ 16 บอกว่าใครก็ตามที่เชื่อในพระเจ้า เชื่อในพระเยซูคริสต์ เขาก็จะได้บังเกิดใหม่ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยเขา จะเข้ามา ทำการงานในชีวิตของทุกคน ที่เปิดใจบอกพระเจ้าต้องการการช่วยเหลือ พระองค์เข้ามาบัพติศมา ฆ่าวิญญาณเก่าที่เป็น DNA เก่า ที่เป็นความบาป ให้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ถูกฝังไปพร้อมกัน และได้บังเกิดใหม่ เข้ามาในแผ่นดินของพระเจ้า พร้อมกับพระเยซูคริสต์ เป็นฤทธิ์เดชอำนาจอันเดียวกัน ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำในพระเยซูคริสต์ แล้วพวกเราที่ได้บังเกิดใหม่ เราก็มีวิญญาณใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ไม่มีบาปติดตัวอีกเลย
สิ่งนี้แหละ คือสิ่งที่พระเจ้าให้มนุษยชาติทุกคนประกาศออกไป เพื่อให้รับรู้ว่านี่คือความจริง นี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการ พระองค์ต้องการให้มนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ได้กลับคืนดีกับพระเจ้า
ดังนั้น ในยอห์น 3:16-18 ไม่ใช่มีไว้ให้สำหรับผู้เชื่อเท่านั้น แต่พระเจ้าทำเรียบร้อยไปแล้ว ให้กับมนุษย์ทั้งหมด บนโลกใบนี้ คือพระเจ้า พระเยซูคริสต์ตายครั้งเดียว เพื่อไถ่บาป ให้กับมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ครั้งเดียวจบเลย แล้วข่าวประเสริฐนี้ ก็ทำเสร็จสมบูรณ์ เรียบร้อย เมื่อ 2 พันปีที่แล้ว เมื่อพระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์ พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว
สำเร็จ คือแผนการทั้งหมดของพระเจ้า พระบิดาได้วางแผนไว้ ได้ทำสำเร็จ เสร็จสิ้นสมบูรณ์ในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ครั้งเดียว จบเลย ไม่ต้องทำอีก พระเยซูทำครั้งเดียว ทุกอย่างจบสิ้นหมด ของขวัญที่พระเจ้าให้กับมนุษยชาติ ก็เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รอใครก็ตามที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระเจ้า แล้วก็เปิดใจยอมรับความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เขาก็จะได้ของขวัญชิ้นนี้ไปเลย ได้ไปแบบฟรีๆ ไม่ต้องทำอะไร
ยอห์น 3:17 “เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอด จากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยทางความเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์”
ในยุคของพระเยซูคริสต์ กฎของพระเจ้า คือใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะได้รับความรอด เขาจะไม่ต้องพินาศ เขาจะไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ เพราะว่ามนุษย์ทุกคน ได้รับการพิพากษาลงโทษเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันแรก ที่อาดัมกับเอวาล้มลงในความบาป จากนั้น ลูกหลานเหลนโหลน อยู่ในการสาปแช่งหมดเลย อยู่ในการลงโทษเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น เมื่อพระเยซูมาครั้งแรก พระองค์ไม่ได้มาพิพากษามนุษย์ แต่มาเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด มาทำภารกิจใหญ่มาก ที่พระเจ้าได้มอบหมายไว้ให้ เพื่อใครก็ตามที่เชื่อวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ จะได้รับความรอด แต่ในอนาคตข้างหน้า เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง ที่พวกเรารอคอยอยู่ ใครก็ตามที่ไม่ยอมเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเขาบนไม้กางเขน ไม่ยอมเปิดใจ ยังคงพึ่งพาในความดีงามของตัวเอง พึ่งพาความชอบธรรมของตัวเอง คนเหล่านั้น ก็จะอยู่ที่เดิม คืออยู่ในการพิพากษาอยู่แล้ว เมื่อวิญญาณออกจากร่าง เขาก็ต้องไปถูกพิพากษา เที่ยวนี้เด็ดขาดเลย เป็นการพิพากษาครั้งสุดท้าย
ส่วนพวกเราผู้เชื่อ เราก็ไม่ต้องถูกพิพากษาอีกแล้ว ตั้งแต่บนโลกนี้ ไปจนถึงอนาคตข้างหน้า เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราก็ไม่ต้องถูกพิพากษาอีก เพราะว่าเราสะอาดบริสุทธิ์ หมดจด เหมือนพระเจ้าเลย นี่คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระองค์บอกไว้ ตอนนี้ในโลกวิญญาณ เราเป็นแบบนั้น
ยอห์น 3:18 “คนที่วางใจเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้วิญญาณพินาศหลังความตาย ส่วนคนที่ไม่ได้เชื่อวางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษในวิญญาณ อยู่ในความพินาศในความตายในความบาปเหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้เชื่อวางใจในพระนามพระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”
นี่คือความจริง ฉะนั้น เราเป็นผู้เชื่อ เราไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าถ้าเราอยู่บนโลกใบนี้ เกิดเราทำผิด โน่นนี่นั่น ซ้ำไปซ้ำมา แล้วเราจะรอดไหม? วิญญาณเราจะไปถูกพิพากษาหลังความตายไหม? ถ้อยคำพระเจ้าตรงนี้บอกเราชัดเจนเลย เมื่อเราบังเกิดใหม่ เกิดแล้วเกิดเลย เป็นลูกพระเจ้า เป็นแล้วเป็นเลย สะอาดบริสุทธิ์หมดจด โดยที่ตั้งแต่วันที่เราอยู่บนโลกใบนี้ จนถึงวิญญาณเราออกจากร่าง เราก็ยังสะอาดหมดจดเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ฉะนั้น เราไม่ต้องกลัวว่าหลังความตาย เราจะได้ไปถูกพิพาษาลงโทษ ไม่มีทาง
ส่วนคนที่ไม่ได้เชื่อวางใจ ในนี้แบ่ง 2 พวกนะ คนที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่ที่อยู่บนโลกใบนี้ เขาได้รับพระพรนานับประการในโลกวิญญาณ เขาได้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ได้ไปอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ในโลกวิญญาณ เรียบร้อยไปแล้ว ส่วนคนที่ไม่เชื่อ คนที่ยังคงต้องการพึ่งพาความสามารถของตัวเอง หรือพึ่งพาความชอบธรรมของตัวเอง วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อวิญญาณเขาออกจากร่าง เขาจะต้องพินาศ ได้รับการพิพากษา ก็คือวิญญาณเขาจริงๆ อยู่บนโลกใบนี้ ก็ตายไปแล้ว พระเยซูบอกว่าวิญญาณตายแล้ว จะเกิดใหม่ ก็คือต้องเข้ามาเชื่อพระเจ้า อยากเข้าสวรรค์ต้องมาเชื่อพระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น
ฉะนั้น วิญญาณของผู้ที่ไม่เชื่อ ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ เขาก็ตายไปแล้ว ถูกพิพากษาแล้ว พินาศแล้ว เพียงแต่เขาไม่รู้ตัว เขาคิดว่าเขายังดีอยู่ เพราะว่าดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เขาก็ไม่เห็นว่าเขาจะทุกข์ร้อนอะไร? เขาก็สามารถทำความดีได้ เขาก็ได้รับพร เขาโน่นนี่นั่น แต่นั่นเป็นเรื่องของโลกวัตถุ เฉพาะบนโลกใบนี้ ไม่ว่าเขาจะทำดีขนาดไหน? ก็ไม่สามารถเปลี่ยน DNA ที่เป็นคนบาป ให้มาเป็นคนชอบธรรมได้ พระเจ้ามอง ไม่ได้มองที่การประพฤติ แต่พระเจ้ามองที่เราเป็นใคร?
ดังนั้น ให้เรารับรู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ณ เวลานี้ เราเป็นลูกของพระเจ้า เราเป็นผู้ชอบธรรม เราเป็นความสว่าง เราเป็นเกลือ เราเป็นเหมือนกับพระเยซูคริสต์เป๊ะเลย นี่คือสิ่งที่ในโลกวิญญาณ ขณะนี้ ธรรมชาติใหม่ที่ผู้เชื่อเป็นอยู่ ฉะนั้น พระเยซูคริสต์บอกให้เราจดจ่อ รับรู้ความจริงเรื่องนี้ว่าพระเยซูคริสต์ได้ทำอะไรให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว แล้วให้เรารับรู้ความจริงว่าขณะนี้ เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เรามีธรรมชาติใหม่ ที่เต็มล้นไปด้วยความรัก เราเป็นความรัก ไม่ใช่มีความรัก เราเป็นเลย พอบังเกิดใหม่ปุ๊บ เราเป็นความรัก เราเป็นแสงสว่าง เราเป็นผู้ชอบธรรม เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกของพระเจ้า ทั้งหมดเกิดทันทีเมื่อเราเปิดใจ ยอมรับการช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ อันนั้น คือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ให้พวกเราประกาศ มีเรื่องเดียวที่พวกเรา จะประกาศ ไม่ว่าจะประกาศกี่ครั้ง ก็ต้องประกาศเรื่องเดียว คือเรื่องในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว เรามาดูในหนังสือฮีบรู 7:27 บอกว่า …
ฮีบรู 7:27 “พระเยซูไม่จำเป็นต้องถวายเครื่องบูชาทุกๆ วันเหมือนมหาปุโรหิตอื่นๆ ซึ่งตอนแรกต้องถวายเครื่องบูชา สำหรับบาปของตนเอง จากนั้นจึงถวายเครื่องบูชา สำหรับบาปของประชาชน พระเยซูทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา สำหรับบาปของเขาทั้งหลาย เพียงครั้งเดียวเป็นพอ”
ก่อนหน้าพระเยซูคริสต์เสด็จมาเกิดเป็นมนุษย์ คนอิสราเอลต้องถวายเครื่องบูชาเกือบทุกวัน ไม่นับวันที่สำคัญที่สุด ที่พระเจ้าบอกว่าใน 1 ปี ต้องมาถวายแกะ เพื่อลบบาปของตัวเอง ให้ปุโรหิตทำพิธี แต่ว่าในช่วงระหว่างปี คนอิสราเอล พอทำบาปปุ๊บ ในกฎหมายของพระเจ้าที่เขียนไว้ในเลวีนิติ ทำผิดอย่างนี้ ต้องเอาอันนี้มาถวายให้พระเจ้า ต้องไปกักตัวอะไร? เยอะแยะมากมาย กฎเยอะ คิดดูว่าหลายหมื่นคน หรืออาจจะเป็นแสน เป็นล้าน ก็ได้ 1 คนทำผิด ให้นับว่าเราทุกวันนี้ วันหนึ่งทำผิดกี่ครั้ง? สมมติว่าทำผิดวันละครั้ง ก็พอ แล้วคนเป็นหมื่นเป็นแสน ทำผิดวันละครั้ง ก็ต้องเอาเครื่องบูชามาให้ปุโรหิตถวายเป็นเครื่องบูชา เพื่อลบล้างบาปของตัวเอง แล้วคิดดูว่าพวกปุโรหิตต้องทำงานทุกวัน เหนื่อยมาก ก็คือยืนทำงานตลอดเวลา ไม่มีวันหยุดพักเลย เหน็ดเหนื่อย เพราะว่าต้องทำด้วยกำลังของตัวเอง แต่พระเยซูคริสต์บอกว่าเมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมา พระองค์ไม่ได้ถวายเลือดแพะเลือดแกะ แต่ว่าพระองค์ถวายพระโลหิตของพระองค์เอง เพื่อชำระล้างบาปของมนุษยชาติทั้งหมด โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ที่หลั่งออกเพียงครั้งเดียว ในพระคัมภีร์บอกว่าครั้งเดียวเป็นพอ ดังนั้น พระโลหิตของพระเยซูคริสต์มา เพื่อชำระล้างบาปของมนุษยชาติ ทั้งหมดบนโลกใบนี้ ตั้งแต่บาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปที่เรากำลังจะทำ ในอนาคตข้างหน้าด้วย
คริสเตียนเหมือนกัน เมื่อเรามาเชื่อวางใจในพระเจ้า ถ้อยคำของพระองค์บอกว่าพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ได้ชำระบาปของเรา เรียบร้อยไปแล้ว ทั้งหมดเลย ไม่ใช่ว่าชำระเฉพาะบาปในอดีต แล้วพอปัจจุบันเราทำบาป เราต้องมาสารภาพบาปกับพระเจ้าอีก แล้วพระเยซูคริสต์ต้องไปถูกตรึงบนไม้กางเขน เลือดออก เพราะลบล้างบาปของเราอีกไม่ต้อง เพราะพระเยซูทำเสร็จเรียบร้อย คำว่าสำเร็จแล้ว คือครบถ้วนสมบูรณ์ คริสเตียนทุกคนได้รับการชำระบาป ทั้งอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตข้างหน้าที่อาจจะทำ มันทำแน่ๆ นั่นแหละ พระเจ้าได้ชำระหมดเรียบร้อยไปแล้ว วันที่พระเยซูคริสต์ได้หลั่งพระโลหิต นั่นคือพระเมตตาของพระเจ้า และการหลั่งพระโลหิตตรงนี้ ไม่ใช่เฉพาะผู้เชื่อเท่านั้น แต่ชำระบาปให้มนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้วด้วย เพียงแต่ว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ จำเป็นต้องรับรู้ความจริงว่าเขาได้รับของขวัญชิ้นนี้เรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูคริสต์ได้ชำระบาปให้กับเขาเรียบร้อยไปแล้ว แต่เราขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เฉพาะหลั่งพระโลหิตชำระบาปเราเท่านั้น ถ้าแค่ชำระบาปเรา เราก็ยังเป็นคนบาปเหมือนเดิม มี DNA บาปเหมือนเดิม แค่ได้รับการยกโทษบาปเท่านั้น ค่อยๆ ประมวลภาพตาม แต่พระเยซูคริสต์ยังยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน นี่คือศุกร์ประเสริฐวันนี้
พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าแท้ และเป็นมนุษย์แท้ พระเยซูตายไม่ได้ พระเจ้าตายไม่เป็น แต่พระเยซูยอมตาย ทรงเป็นมนุษย์ จึงสามารถตายแทนพวกเรามนุษยชาติ เพื่อแผนการที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ สำหรับมนุษย์ว่าจะให้มนุษย์ได้บังเกิดใหม่ กลับคืนดีกับพระเจ้า แต่ถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ได้สิ้นพระชนม์ มนุษย์ก็บังเกิดใหม่ไม่ได้ เกิดใหม่ต้องตายก่อน พระเยซูจึงยอมสิ้นพระชนม์ เพื่อพวกเราทุกๆ คน ที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ จะได้เข้าไปตายพร้อมกับพระองค์บนไม้กางเขน
เราคุยกันหลายรอบว่าเรื่องของวิญญาณไม่มีเวลา เราไม่ต้องมาคิดหาเหตุผลว่าพระเยซูตายเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แล้วเราเพิ่งมาเชื่อเมื่อ 2,000 ปีหลัง แล้วเราจะไปตายพร้อมกับพระเยซูได้อย่างไร? อันนั้น ไม่ต้องคิดถึงเลย แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าในโลกวิญญาณ ไม่มีมิติเวลา เมื่อคนหนึ่งคนใดเปิดใจ เข้ามา ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า บอกพระเยซูคริสต์ว่า …
“พระองค์เจ้าข้า ช่วยลูกด้วย ลูกไม่ไหว ลูกต้องการความช่วยเหลือ”
ปุ๊บ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็จะเริ่มขบวนการของพระองค์ โดยนำเอาวิญญาณเก่าที่มี DNA บาปในอาดัมของเรา เข้าไปในพระเยซูคริสต์ ถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์ แล้วจากนั้น เอาเราไปฝังพร้อมกับพระเยซูคริสต์ เพื่อยืนยันว่าตายจริงๆ และหลังจากนั้น ให้เราบังเกิดใหม่เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ นี่คือขบวนการทั้งหมด ขบวนการการบังเกิดใหม่ และขบวนการนี้ เมื่อเราบังเกิดใหม่ เมื่อเรายอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระเจ้าก็ใส่ของประทานแห่งความเชื่อทั้งหมด ทำให้เรามีความสามารถเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์
ขบวนการนี้ คือมันยากเนอะ ยากสำหรับมนุษย์ แต่พระเจ้าจะสามารถให้เราเข้าใจได้ ดังนั้น ของประทานแห่งความเชื่อตรงนี้ พระเจ้าใส่เข้ามา ทำให้เราสามารถเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระมาซีฮาห์ แล้วจากนั้น เมื่อวิญญาณเราได้บังเกิดใหม่ปุ๊บ พระเจ้าก็ให้วิญญาณแห่งความรักเข้ามาในวิญญาณใหม่ของเรา พระเยซูกับเราเป็นหนึ่งเดียวกัน วิญญาณแห่งความรักมันเกิดขึ้นทันทีเลย โดยที่เราไม่ต้องพยายามทำให้มันเกิดขึ้น มันเป็นวิญญาณแห่งความรัก ความสะอาด ความบริสุทธิ์ ความชอบธรรม การเป็นลูกของพระเจ้า มันเกิดขึ้นในขบวนการทั้งหมดเลย เขาเรียกว่าขบวนการการบังเกิดใหม่
ตรงนี้แหละ ให้เรารับรู้ความจริงว่าเมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว ธรรมชาติใหม่ของเราเป็นแบบนี้ ที่พระเจ้าบอกเรา เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นความรัก เป็นความดีงาม เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย แล้วเราค่อยๆ พัฒนา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะค่อยๆ ฝึกฝนเรา ให้เราพัฒนาในการประพฤติให้เป็นไปด้วยกันกับตัวข้างในของเรา ก็คือวิญญาณที่เกิดใหม่ มันเป็นขบวนการ จะค่อยๆ เกิดขึ้น
เราจะสังเกตว่าคนที่เชื่อใหม่ๆ อาจจะทำอะไรที่สะเปะสะปะ เพราะยังเด็ก เป็นทารกฝ่ายวิญญาณ แล้วเมื่อเขาค่อยๆ เรียนรู้ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าว่าเขาเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ตอนนี้เขาเป็นอย่างไร? เมื่อเรียนรู้มากขึ้นเท่าไร? ผลของการประพฤติจะถูกส่งออกมามากขึ้นเท่านั้น
เรามาดูอีกถ้อยคำหนึ่งในเอเสเคียล 36:25-27 เป็นคำเผยพระวจนะ ตั้งแต่สมัยเอเสเคียล เพื่อที่จะบอกชาวอิสราเอลว่าในอนาคตข้างหน้า พระองค์จะกระทำสิ่งนี้ แล้วเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว สิ่งนี้ก็สำเร็จในพระเยซูคริสต์แล้ว แล้วตอนนี้ทุกอย่างที่เผยพระวจนะไว้ในหนังสือเอเสเคียล ก็สำเร็จเรียบร้อยแล้ว แล้วพวกเราผู้เชื่อ ก็ได้รับเรียบร้อยแล้วด้วย …
เอเสเคียล 36:25 “เราจะประพรมน้ำ ชำระลงบนเจ้า แล้วเจ้าจะสะอาด เราจะชำระล้างเจ้า จากมลทินโสโครกทั้งปวง และจากรูปเคารพทั้งปวงของเจ้า”
ตรงนี้ เป็นคำเผยพระวจนะที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าว่าในอนาคตข้างหน้า เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมา พระองค์จะทำการงานตรงนี้ คือเมื่อพระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระโลหิตของพระเยซูคริสต์จะชำระล้างเราให้สะอาดบริสุทธิ์ ก็คือร่างกายเราจะสะอาดบริสุทธิ์เลย ทำไมเรารู้ว่าร่างกายเราสะอาดบริสุทธิ์ เพราะถ้าไม่สะอาดบริสุทธิ์ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเราไม่ได้ ความบาปกับความบริสุทธิ์อยู่ด้วยกันไม่ได้ เพราะร่างกายเราถูกชำระล้าง จนสะอาดบริสุทธิ์ หมดจด พอที่พระเจ้าจะเสด็จเข้ามา อยู่ในเราได้ ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้า เพียงแต่ว่าพอร่างกายได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์แล้ว แต่เพราะเหตุที่ร่างกายเราอ่อนแอ เราก็เลยเผลอ ถ้าเผลอ ลืมตัว ไม่ระวังตัว เราก็จะติดเชื้อ เราอ่อนแอ บางครั้งเราก็จะโอนเอนตามระบบของโลกนี้ หรือความคิดเดิมๆ ที่มันเคยชิน แล้วเราก็ไปทำมัน แต่ให้เรารับรู้ว่าร่างกายเราถูกชำระให้บริสุทธิ์แล้ว ในวันที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน และพระโลหิตของพระองค์ชำระเราให้บริสุทธิ์แล้ว …
เอเสเคียล 36:26 “26 เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ”
ตรงนี้ คำเผยพระวจนะยังใช้คำว่า “จะ” เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า แต่วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ การงานของพระเยซูคริสต์สำเร็จ ณ เวลานี้ มนุษย์ทุกคนได้รับใจใหม่กับวิญญาณใหม่ ก็คือเปลี่ยนใหม่เลย พระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับมนุษย์เลย วิญญาณเก่าที่เป็นวิญญาณบาป อยู่ใน DNA ของอาดัม ได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว และพระเจ้าได้ให้วิญญาณใหม่ ให้กับพวกเรา เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และให้ใจใหม่ให้กับพวกเราด้วย
ตอนนี้มีอยู่ 3 อย่างในร่างกายของเรา คือวิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนใหม่แล้ว ความคิดจิตใจ เราก็ได้รับการเปลี่ยนใหม่แล้ว ร่างกายเราได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์แล้ว เพียงแต่ว่ายังเป็นร่างกายเดิมอยู่ ต้องรอเวลาให้ครบกำหนด ในโลกใบนี้ เพื่อเราจะได้ไปรับร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้กับพวกเรา
ฉะนั้น ในขณะที่เราอยู่ในร่างกายเก่านี้ เป็นร่างกายที่อ่อนแอ เผลอก็จะลืมตัว ถูกโน้มน้าวให้ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง ตามวิญญาณของเรา ซึ่งตอนนี้ ความเป็นจริงในวิญญาณ เราเป็นเหมือนพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย สะอาด บริสุทธิ์ มีความคิดที่ดี เป็นความรัก เป็นความชื่นชมยินดี เป็นเหมือนพระเจ้าเลย แต่ว่าเรามีโอกาสที่จะถูกหลอกล่อ ให้ออกนอกลู่นอกทาง ที่เราจะไม่เชื่อฟัง ไม่ทำตามพระวิญญาณหรือทำตามธรรมชาติใหม่ของเรา แต่ไปทำตามเนื้อหนัง หรือการหลอกล่อหลอกลวงของระบบของโลกใบนี้
ซึ่งไม่ว่าเราจะถูกหลอกล่อหลอกลวงเยอะขนาดไหน? พี่น้องจำตรงนี้ให้ชัดๆ นะว่าไม่ว่าเราจะทำผิดขนาดไหน? ก็ตาม พระเยซูคริสต์ได้ชำระเราเรียบร้อยไปแล้ว วิญญาณเราสะอาดเหมือนเดิม ความคิดจิตใจเราก็เป็นใหม่ เพียงแต่ความคิดจิตใจ เราคล้ายๆ กับตรงนี้เป็นศูนย์บัญชาการ ที่เราจะสามารถรับสื่อจากพระเจ้า และได้รับสื่อจากระบบของโลกใบนี้ เราเป็นผู้ตัดสินใจว่าเราจะฟัง หรือตัดสินใจจะทำตามที่พระเจ้าบอก หรือจะทำตามระบบของโลกนี้ โน้มนำหรือหลอกล่อ ให้เราไปทำตาม มันอยู่ตรงนี้ เป็นศูนย์บัญชาการ บังคับ ถ้าเราจดจ่อในเรื่องของพระเจ้า รับรู้ความจริงที่พระเยซูบอกว่าตอนนี้ …
“เธอเป็นใคร? เธอเป็นเหมือนฉันเลยนะ เป็นความรัก เป็นสิ่งที่สวยงาม เป็นผู้ชอบธรรม ไม่ไปทำเหมือนกับเมื่อก่อนทำนะ” … เราก็จะฟังแล้ว โอเค ตอนนี้เราเป็นแบบนี้
ทุกวันนี้เราในฐานะคริสเตียน ตื่นขึ้นมา เราเลือกเสื้อ เราคุยกันอยู่บ่อยๆ เอาเสื้อเก่าทิ้งไป เสื้อเก่าขาดๆ วิ่นๆ เสื้อเก่ามีอะไร? เสื้อเก่ามีตามในกาลาเทีย บทที่ 5 ตั้งแต่ข้อ 16 เป็นต้นไป คือความอิจฉาริษยา ความโกรธ ความเกลียด ความอะไรก็แล้วแต่ นั่นคือเสื้อเก่าที่เราเป็นอยู่ในธรรมชาติบาปเดิม แต่ตอนนี้ เราไม่ได้อยู่ในธรรมชาติบาปเดิมแล้ว เรามีธรรมชาติใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้า ฉะนั้น เสื้อพวกนั้น ถ้าเราเอามาใส่ มันก็ไม่สวย ขาดๆ วิ่นๆ เราก็ต้องเลือก บางวันเราเผลอ ลืม ไปหยิบมาใส่ออกไป เราจะรู้เลยว่าน่าเกลียด ไม่สวย ไม่เหมาะกับเรา เราก็ถอดมันทิ้ง แล้วก็ใส่เสื้อใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้เต็มตู้ให้กับเราเลย ไปรับรู้ความจริงว่าตอนนี้เราเป็นอย่างไร?
พระเจ้าบอกว่าตอนนี้เรามีธรรมชาติใหม่ เป็นอย่างไร? แล้วเราก็ฝึกฝนทุกวัน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยเรา เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ พระเจ้าไม่ได้ทิ้งเราให้ดำเนินชีวิตด้วยกำลังของเราเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์ จะคอยช่วยเหลือเรา คอยบอกเรา คอยแนะนำเราแต่ละวันว่า …
“ลูกทำอย่างนี้มันไม่โอเค มันไม่เหมือนตัวตนจริงๆ ของลูกเลยนะ”
เหมือนที่เราคุยกันว่าเป็นคน ลูกต้องเดินนะ ไปคลานอย่างนี้ ไม่เหมาะ อะไรประมาณนั้น
นี่คือลักษณะของการดำเนินชีวิต หลังจากที่เรารับเชื่อแล้ว แต่ให้เรารับรู้ความจริงตรงนี้ว่าหลังจากที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เราไม่ต้องกลัวว่าเมื่อเราทำบาป วิญญาณวิ่งกลับไปที่เดิม มันไม่มีทาง อย่างที่เราคุยกัน พี่น้องให้จำ 2 คำนี้ให้ได้ …
“เกิดแล้วเกิดเลย เป็นแล้วเป็นเลย”
เกิดเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ก็เป็นลูกพระเจ้าเลย ไม่ว่าเราจะทำอะไรไม่ดี มันจะวิ่งกลับไปเป็นลูกมารไม่ได้เด็ดขาด แต่สิ่งที่เราทำบนโลกใบนี้ ถ้าเรายอมถูกหลอกล่อ ให้ไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติใหม่ของเรา ที่พระเจ้าบอกเรา เราก็จะได้รับผล อย่าคิดว่าคริสเตียน เมื่อพระเจ้าบอกว่าไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราจะทำอะไรก็ได้ ไม่ใช่ พระเจ้าบอกว่าทุกอย่างที่เราทำบนโลกใบนี้ เราจะต้องรับผล เพราะกฎของโลกใบนี้มี กฎของความบาปและความตายมีอยู่ ก็คือเราต้องได้รับผล แล้วเราก็ทุกข์ทรมาน ในร่างกายนี้ แต่วิญญาณเราไม่เกี่ยวกันเลยนะ แล้วเราจะไปทำทำไม? ให้มันทุกข์ทรมาน อย่างที่บอก เราจะไปทำบาปทำไม เมื่อก่อนเราก็ทำบาปมาตั้งเยอะแล้ว พอเรามาเชื่อพระเจ้า เรายังจะไปทำมันอีกทำไม? ทำแล้วเหนื่อยนะ เวลาเราทำบาป มันก็เหนื่อย ทำบาปเสร็จ เราก็ทุกข์ใจ เพราะฉะนั้น ในพระคัมภีร์ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์เปาโล อาจารย์เปโตร เขาก็จะหนุนใจว่า …
“ตอนนี้เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราฝึกฝนตัวเองให้ดีๆ เราจะไปทำบาปทำไม? ทำไปก็เหนื่อย” อะไรอย่างนี้ ประมาณนี้
ฉะนั้น ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้า บอกเราไว้
เอเสเคียล 36:27 “เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้า ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”
เห็นไหม? พระเจ้าทำให้หมดเลยนะ “เราจะ” แล้วพอถึงยุคปัจจุบัน ยุคที่พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จแล้ว ก็คือทำเรียบร้อยแล้ว พระองค์ได้ใส่วิญญาณของพระองค์เข้ามาในวิญญาณของเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน โน้มนำเราให้ปฏิบัติตาม พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะทำการงาน ในวิญญาณของเรา ให้เราพร้อมที่จะปฏิบัติตามถ้อยคำของพระเจ้า เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว แล้วใส่ใจ รักษาบัญญัติ ก็คือพระเจ้าใส่ให้เราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อก่อนเราต้องพยายามทำด้วยกำลังของเราเอง แต่ตอนนี้ไม่ต้อง คือมันมีอยู่ในตัวเราเองแล้ว แค่เรารู้ว่ามันมี แล้วก็หยิบมันออกมาใช้แค่นั้นเอง
“เราจะใส่ใจใหม่และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า ก็คือวิญญาณที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎเดิม คือกฎของความบาปและความตาย วิญญาณที่ไม่ได้เป็นทาสของบาป ไม่ได้อยู่ในความพินาศอีกต่อไป”
นี่คือวิญญาณใหม่ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา ผู้เชื่อ แล้วให้กับมนุษยชาติทั้งหมดด้วย คือให้มาแล้ว เพียงแต่ว่าทุกคนจำเป็นต้องมารับเอาเอง รับแทนกันไม่ได้ด้วย ต้องมารับเอง รับรู้ความจริงว่าสิ่งเหล่านี้ พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว สำหรับมนุษย์ทั้งหมด บนโลกใบนี้ แค่ข่าวดีตรงนี้ ที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ให้เราประกาศออกไป เมื่อผู้คนได้รับรู้ความจริง เขารับรู้ไปเรื่อยๆ จนวันหนึ่ง เขาตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เขาจะได้เหมือนเราเลย ทันทีทันใด นี่คือพระคุณที่พระเจ้าให้กับเราเปล่าๆ เป็นความรอดที่เราไม่ต้องดิ้นรน หรือพยายามทำด้วยกำลังของเราเอง ซึ่งทำอย่างไร เราก็ทำไม่ได้ แต่พระเจ้าให้กับพวกเรา เป็นพระคุณซ้อนพระคุณ แล้วทุกครั้ง เมื่อเราระลึกถึงสิ่งนี้ อย่างที่พระเยซูบอก เราประกาศเรื่องของพระเยซูคริสต์ ประกาศการวายพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ที่พระเยซูคริสต์วายพระชนม์ ก็เพื่อพระองค์จะได้เป็นขึ้นจากความตาย เพื่อพวกเราทั้งหลายจะได้บังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า พระเจ้าอวยพรค่ะ
***************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
เรากำเนิดเกิดมาเป็น ตรงนี้เป็นหัวใจ เป็นพื้นฐานของความรอด ในพระเยซูคริสต์ที่ต้องจำไว้แม่นๆ ว่าเราได้รับสิ่งทั้งหมดเหล่านี้ เราเป็นคนดีพร้อม เพราะเรากำเนิด เกิดมาเป็นลูกพระเจ้า
พอพูดอย่างนี้ ก็รู้แล้วนะว่าไม่มีใครกำเนิดด้วยตัวเองได้ ต้องมีผู้ที่ให้กำเนิดเรา แล้วผู้ที่ให้กำเนิดเรานั้น ก็คือพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ โดยการประพฤติของตัวเราเอง ที่ทำให้เราเกิดใหม่ได้ รู้กันอยู่ เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
และพระเจ้าได้กระทำสิ่งเหล่านี้ สำเร็จแล้ว ตามพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ซึ่งผลของการกระทำเหล่านี้ ที่พระเยซูทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน พร้อมแล้วที่จะให้มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ มาใช้สิทธิของเขา ที่พระเจ้าได้ทรงกระทำให้ คือรับของขวัญนี้ไป โดยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิต หรือเรียกว่า “ได้รับการบังเกิดใหม่” ทันที หลังจากการเปิดใจต้อนรับสิทธินี้ในพระเยซูคริสต์ เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูช่วยได้ ช่วยให้คนไม่ดี กลายเป็นคนดีได้ ช่วยให้คนบาป กลายเป็นคนดีพร้อม กลายเป็นผู้คนชอบธรรม สามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้ สิ่งเหล่านี้ ถ้าเผื่ออยากได้ เปิดใจต้อนรับ พร้อมแล้วสำหรับท่าน พระเจ้าทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ที่ไม้กางเขน บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เป็นลูกของพระเจ้า
สำหรับผู้ที่เปิดใจต้อนรับสิทธิไปแล้ว หรือว่าเชื่อในพระเจ้าแล้ว ลองถามตัวท่านเองว่าท่านบังเกิดใหม่แล้วหรือยัง? ทุกคนก็ต้องมั่นใจว่าเราบังเกิดใหม่แล้ว เพราะว่าเราเชื่อในพระเยซู ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว อันนี้ตอบได้ไม่ยาก
ที่บอกว่า “เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว” ถามตัวเองดูสิว่าท่านสะอาด บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์เท่าไร? ตอนที่ท่านรับเชื่อในพระเจ้าแล้ว ขณะนี้เลย ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่บอกท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้ว ท่านสะอาด ศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์เท่าไร? …
“ฉันศักดิ์สิทธิ์ บริสุทธิ์เท่าไร?”
เรามาหาคำตอบกัน เมื่อลองถามตัวเองแล้ว คราวนี้ลองมาถามพระเจ้าดีกว่า มาดูในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าอย่างไร? ในขณะที่เรารับเชื่อแล้ว เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เป็นผู้เชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว เราบริสุทธิ์ เป็นลูกพระเจ้า บริสุทธิ์ขนาดไหน? เท่าเปาโลได้ไหม? หรือเท่าเปโตร? หรือบริสุทธิ์เท่าพาสเตอร์ที่เราชื่นชอบ? หรือบริสุทธิ์เท่าคนโน้นคนนี้ได้ไหม? และตัวเราเองทำอะไรบ้าง? ที่เรียกว่าเราบริสุทธิ์เท่านั้นได้ เรามั่นใจขนาดไหน?
อ่านข้อพระคัมภีร์นี้ ข้อเดียวเท่านั้นเอง ท่านจะตกใจเลย เป็นไปได้หรือ? เป็นไปแล้วสิ จริงๆ มันมีหลายข้อ ในพระคัมภีร์ที่บันทึกไว้ตรงนี้ ซึ่งเราอาจจะไม่ค่อยได้สังเกต แต่ข้อนี้มันชัดเจนมาก
1 ยอห์น 4:17 “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่เรามีขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่เหมือนกับชีวิตจิตวิญญาณของพระคริสต์”
ในบริบทก่อนหน้านี้ ที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ในหนังสือ 1 ยอห์น กำลังพูดถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้เข้าไปอยู่ในความรักของพระเจ้า พระเจ้าเป็นความรักและเขาเองก็เป็นความรัก ได้บังเกิดใหม่เป็นความรัก ความรักของเขาสมบูรณ์ เพราะเขาเข้าไปอาศัยอยู่ในความรักของพระเจ้า คือวิญญาณเขากับพระเจ้าเข้าสวมเป็นหนึ่งเดียวกัน ที่เราเรียกกันว่าบัพติศมา หมายถึงการเข้าส่วนร่วม วิญญาณของมนุษย์เข้าไปเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันเลย สะอาด บริสุทธิ์พร้อมเท่ากับพระเจ้าเลย
ความรักของพระเจ้าถึงสำเร็จตามเป้าหมายของพระองค์ตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ในพวกเรา เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา
จำได้ไหมตะกี้นี้บอก “ผู้พิพากษาของมหาจักรวาล คือพระเจ้าผู้บริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะชีวิตที่เรามีอยู่ในโลกนี้ เป็นชีวิตที่เหมือนกับชีวิตของพระคริสต์”
เพราะฉะนั้น เท่ากับเราบริสุทธิ์เท่ากันกับพระเยซู
กล้าพูดหรือยังคราวนี้ เราบริสุทธิ์เท่ากับพระคริสต์ เราไม่ได้บริสุทธิ์เท่ากับศิษยาภิบาลเท่านั้น รู้สึกว่าเขารู้เรื่องพระเจ้าเยอะ มีความเชื่อเยอะ เราไม่ได้บริสุทธิ์เท่ากันกับอาจารย์เปาโล หรือเปโตร อัครทูตเท่านั้น แต่ในพระคัมภีร์บอก ว่าเราบริสุทธิ์เท่ากันกับพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น เราจึงมั่นใจในการยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ในวันสุดท้าย วันที่เราจากโลกนี้ไป เราอยู่ในสวรรค์ได้ เพราะเรายืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ เพราะว่าเราบริสุทธิ์เหมือนพระคริสต์ เรามั่นใจพอๆ กันกับที่พระเยซูคริสต์มั่นใจ ท่านคิดว่าพระเยซูคริสต์มั่นใจไหมว่าพระองค์สามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้ เรามั่นใจเท่าพระเยซูคริสต์เลย
และข้อสำคัญ ก็คือเหมือนพระองค์ในโลกนี้ ก็แปลว่าเดี๋ยวนี้ ที่นี่ บนโลกนี้เลย เอเมน บางทีเราไม่ค่อยได้สังเกต พอเราสังเกต เราไปวิเคราะห์ดู ตกใจเลย ในโลกนี้ หลายคนก็รอว่าเราจะบริสุทธิ์เมื่อวันหนึ่งที่เราตายจากโลกใบนี้ไปแล้ว ออกจากร่างกายนี้แล้ว แต่พระคัมภีร์บอกเราว่าเราบริสุทธิ์เท่าพระเยซูคริสต์ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้เลย เพราะเรามั่นใจว่าเราอยู่บนโลกใบนี้ เราก็บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์แล้ว เราจึงมั่นใจว่าเราก็บริสุทธิ์อย่างนี้ เมื่อวันหนึ่งที่เราออกจากร่างนั่นเอง เป็นคนชอบธรรม เป็นคนดีพร้อมในสายพระเนตรพระเจ้า ก็คือเป็นแสงสว่างดั่งที่พระเยซูคริสต์บอกว่าเราเป็นแสงสว่าง เป็นความรักที่บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ครบถ้วนบริบูรณ์ เหมือนพระเยซู เหมือนพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้เป็นตรงนี้ และจะเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไป
เพราะฉะนั้น เราจึงมั่นใจในการพิพากษา 100% เลย มั่นใจเท่าๆ กับพระเยซูมั่นใจนั่นแหละ จริงๆ คริสเตียน ความเชื่อน่าจะเป็นอย่างนี้ว่าเราหวังไว้ว่าจะไปสวรรค์ไหม หลังความตาย? เราไม่หวังหรอก เพราะความหวังของเรา คือเราอยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้ มันน่าจะเป็นอย่างนั้น
ความหวังของเรา ก็คือความหวังที่เป็นเดี๋ยวนี้ Now ความหวังของเรา คือพระวิญญาณยืนยันกับเราว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้ และเราจะอยู่ในสวรรค์นี้ตลอดไป พระเจ้าไม่ให้ใครมาเอาเราออกจากพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ได้ ไม่ว่าใครก็ตาม ใหญ่ขนาดไหนก็ตาม มีฤทธิ์อำนาจขนาดไหนก็ตาม ไม่มีใครสามารถเอาเราออกไปจากพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้าได้ ในพระเยซูคริสต์ เอเมน
นี่คือความมั่นใจครับ พระเจ้าอวยพรครับ