วารสาร Holy News ฉบับที่ 1359

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  เมษายน  2022

เรื่อง “การปลอบประโลมจากพระเจ้า  ท่ามกลางความทุกข์ลำบาก” ตอน 4

“พระเยซู คือถ้อยคำของพระเจ้า คือข่าวประเสริฐ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

 

เรายังอยู่ในหัวข้อบรรยายเรื่อง “การปลอบประโลมจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ลำบาก” วันนี้เป็น ตอนที่ 4 ผมใช้ชื่อเรื่องว่า “พระเยซู คือถ้อยคำของพระเจ้า คือข่าวประเสริฐ”

ถ้อยคำของพระเจ้า ข่าวประเสริฐ เป็นความหวังของเรา เป็นแสงสว่างแห่งชีวิตของเรา เป็นความรอดของเรา รวมแล้วมาอยู่ที่ที่เดียว คือพระนามพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ของเรา พระผู้ช่วยให้รอดของเรา

วันนี้เป็นตอนที่ 4 จากหนังสือ 1 เปโตร เราเรียนรู้กันแล้วว่าหนังสือนี้เขียนไปปลอบประโลมจิตใจของผู้ที่อยู่ในความทุกข์ยากลำบาก อย่างแสนสาหัส คือผู้เชื่อพระเจ้าในขณะนั้น ซึ่งเราเอามาใช้ได้ในชีวิตของเรา ในขณะนี้ด้วย อย่าลืมว่าการปลอบประโลมจากพระเจ้า ถึงบรรดาผู้คนที่ทุกข์หนักๆ อย่างนั้น เป็นกำลังใจอย่างดี เพราะฉะนั้น จึงเป็นเหมือนเคล็ดลับอันหนึ่ง ให้เรารู้ว่าถ้าเผื่อเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก แล้วเราควรจะทำตัวอย่างไร? ควรจะรับรู้เรื่องอะไรเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งเรียนมาแล้ว 3 ตอน วันนี้เป็นตอนที่ 4

เราได้เรียนรู้จากตอนที่แล้วๆ มาว่าเมื่อเราเปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เป็นผู้เชื่อ หรือเรียกว่าเป็นคริสเตียนแล้ว ด้วยการรับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า ผู้เป็นพ่อ โดยทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ผ่านในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ไม่ใช่ตัวเราเองเลย  ไม่ใช่การกระทำ และการได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่ดีพร้อมแล้วนั้น เป็นการบังเกิดใหม่ครั้งเดียว และไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกเลย บริสุทธิ์  สะอาด ดีพร้อม เหมือนพ่อ ที่เป็นพระเจ้าเลย  ความจริงนี้ ปลอบโยนจิตใจเราได้อย่างไร? ก็คือทำให้เรารู้สึก สบายใจ มั่นใจในความรอด ในชีวิตทางฝ่ายวิญญาณ คือชีวิตนิรันดร์ รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตาย ต้องไปอยู่ในความพินาศในนรกตลอดกาลนั่นเอง เราก็มีความสบายใจ มั่นใจในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ว่าตายแล้ว เราไม่ต้องกลัว เราอยู่กับพระเจ้า อยู่ในสวรรค์แล้ว อะไรประมาณนั้น

เพราะฉะนั้น เมื่อเรามั่นใจ ในการเป็นลูกของพระเจ้า ไม่กลัวความตาย ไม่กลัวการพิพากษาหลังความตาย  เพราะเราบริสุทธิ์สะอาด เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์สะอาด ทางวิญญาณ เรียบร้อยแล้ว เมื่อรับรู้อย่างนี้แล้ว ก็ให้ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์แล้วนั้น ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก็ให้ประพฤติตน สมกับที่ในวิญญาณนั้นเป็นลูกพระเจ้า ที่บริสุทธิ์สะอาด ดีพร้อมแล้ว ใหฝึกฝนในการประพฤติตัวอย่างนั้น เช่นเดียวกัน คือพูดถึงสมัยที่ถ้อยคำพระเจ้าได้เขียนไปให้กำลังใจ ผู้เชื่อที่ตกทุกข์ได้ยาก  ถูกเขาข่มเหง รังแก ใส่ความ ตามฆ่า จับไปลงโทษ หนึ่งในจำนวนนั้น คือให้เราประพฤติ เมื่อเรารู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว เราเป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์สะอาดแล้ว ให้เราประพฤติตัวดีพร้อม ก็คือให้เราอภัยให้คนที่ทำร้ายเรา  อภัยให้การข่มเหง ที่เขาข่มเหงเราอย่างไม่มีเหตุ ไม่มีผล  อย่างนี้เป็นต้น นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง  นี่คือการฝึกฝนในการประพฤติตนให้เป็นไปตามวิญญาณที่เราได้บังเกิดใหม่แล้วนั้น

เราจึงเห็นว่าการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด และเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนไม่สามารถที่จะทำได้  คือทำให้ตัวเองบังเกิดใหม่ มันเป็นไปไม่ได้ เมื่อเป็นไปไม่ได้ ก็ไม่มีใครสามารถทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ สะอาด เท่าเทียมพระเจ้า หรือเป็นที่พอใจของพระเจ้าได้เลย แม้แต่คนเดียว เพราะฉะนั้น พึ่งพาในการกระทำของตนเอง เป็นไปไม่ได้เลย แม้แต่นิดเดียว  และนี่คือข่าวดี ก็คือเราไม่ต้องทำ พระเจ้าทำให้เรา

ข่าวดี สั้นๆ ที่เราได้เรียนรู้กันมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พระเจ้าได้ทำให้เราบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม โดยพระองค์เอง ไม่ใช่เราเลยแม้แต่นิดเดียว  โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ ซึ่งเป็นข่าวดีที่สุดในมหาจักรวาล  ที่พระเจ้าประกาศข่าวดีนี้ ประกาศพระเยซูคริสต์นี้ ถ้อยคำแห่งข่าวประเสริฐของพระองค์นี้ ไม่ใช่เฉพาะกับชาวยิวเท่านั้น  แต่ให้กับมวลมนุษยชาติ ทุกๆ คน เป็นข่าวดีที่ว่ามนุษย์สามารถจะบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าได้ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย  เพราะพระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว  เรียกว่าข่าวดี  ข่าวไม่ดีหรือดีไม่พอ ก็คือทรงจะกระทำให้สำเร็จ คือพระคัมภีร์เดิมนั่นเอง  เพราะฉะนั้น พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์มาปรากฏแล้ว ตายที่ไม้กางเขนแล้ว หลั่งพระโลหิตแล้ว และได้เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เรียบร้อยแล้ว คือการกระทำให้สำเร็จของพระเจ้าที่ทำให้มนุษย์สะอาด หมดจด บริสุทธิ์แล้ว เพียงแต่รับรู้ความจริง แล้วก็ยอมเปิดใจ ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า แค่นั้นเอง

ซึ่งการที่พระเจ้า ทำให้ หรือต้องการให้มนุษย์สะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระองค์ เพื่อกลับมาเป็นลูกของพระองค์ เพื่อกลับมาคืนดีกับพระองค์ เข้ากับพระองค์ได้เหมือนเดิม เป็นความประสงค์ของพระเจ้าตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาแล้วว่าเป็นเช่นนั้น เมื่อมนุษย์ตกลงไปในความบาป หลุดออกจากพระเจ้าไปสู่ความตาย สู่คำสาปแช่ง พระเจ้าก็รอวันรอคืน ที่จะพามนุษย์กลับคืนมาสู่สภาพเดิม คือสู่ครอบครัวของพระองค์ มาเป็นลูกที่บริสุทธิ์สะอาดเหมือนกับพระองค์ วางแผนไว้ล่วงหน้า ก็บอกมาตลอดๆ เป็นพันๆ ปี ที่เราได้เรียนรู้ไปครั้งที่แล้ว ที่ยกตัวอย่างในหนังสือเลวีนิติ ที่พระเจ้าบอกว่า …

“เจ้าจะบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์”

เป็นการบอกล่วงหน้า เลวีนิติ ก็ประมาณสักพันกว่าปี ก่อน ค.ศ. ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ บอกก่อนล่วงหน้า ตลอดระยะเวลาเป็นพันๆ ปี บอกมาตลอด หนึ่งในจำนวนนั้น คือเลวีนิติที่บอกว่า …

“เจ้าจะบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์”

ก็เป็นการบอกล่วงหน้าว่าจะทำให้เจ้าบริสุทธิ์นั่นเอง เพราะไม่มีใครทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ได้

“เจ้าจะบริสุทธิ์ เพราะเราคือพ่อของเจ้า ผู้ให้กำเนิดเจ้าบริสุทธิ์ จำไว้” อะไรประมาณนั้น

ในเลวีนิติ ประมาณพันกว่าปี  ก่อน ค.ศ. ก่อนจะทำให้สำเร็จ เริ่มต้น ค.ศ. เมื่อพระเยซูมา พระองค์กระทำให้สำเร็จแล้ว ตอนนี้ห่างกันพันกว่าปี ตอนนี้มาอีกข้อหนึ่ง ห่างกันประมาณ 500 กว่าปี ก็บอกล่วงหน้าอีก ก็คือสัญญากับมนุษย์อีก เผยพระวจนะ บอกล่วงหน้าว่าพระเจ้าสัญญาว่าจะทำให้มนุษย์บริสุทธิ์นะ …

“ฉันจะทำให้เธอบริสุทธิ์ให้ได้ ฉันจะทำ ฉันสัญญา”

ยกตัวอย่างในเอเสเคียล 36:25-27 นึกภาพนะ ตะกี้เลวีนิติ 1,000 กว่าปี ก่อนจะทำให้สำเร็จ ตอนนี้มาเอเสเคียล 500 กว่าปีก่อนที่จะกระทำให้สำเร็จ ลองอ่านดูนะว่าพระเจ้าสัญญาไว้อย่างไรว่าจะกระทำให้มนุษย์บริสุทธิ์ ลักษณะเป็นแบบไหน? …

เอเสเคียล 36:25-27  “25 เราจะประพรมน้ำ  ชำระลงบนเจ้า  แล้วเจ้าจะสะอาด  เราจะชำระล้างเจ้า  จากมลทินโสโครกทั้งปวง  และจากรูปเคารพทั้งปวงของเจ้า 26 เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ  27 เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า  โน้มนำเจ้า ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”

 

นี่คือขบวนการการบังเกิดใหม่นั่นเอง  บังเกิดใหม่เพื่ออะไร? เพื่อมนุษย์จะได้สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้า ตามที่พระเจ้าสัญญาไว้ และบอกล่วงหน้าว่า “เจ้าจะบริสุทธิ์” มาเป็นพันๆ ปีแล้ว

“เราจะใส่ใจใหม่ และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า” เห็นไหม? ก็คือการเกิดใหม่ วิญญาณใหม่ คือวิญญาณที่ไม่ใช่วิญญาณเก่า วิญญาณเก่า คือวิญญาณที่อยู่ใต้กฎเดิม คือกฎของความบาปและความตายของคำสาปแช่ง เรียกว่าอยู่ในความพินาศ ในนรกที่ไม่มีพระเจ้านั่นเอง เพราะฉะนั้น วิญญาณใหม่ที่พระเจ้าให้เรา ก็คือวิญญาณที่ไม่ได้เป็นทาสของความบาป ไม่ได้อยู่ในความพินาศ ในนรกอีกต่อไปนั่นเอง ซึ่งปัจจุบันพระเจ้าทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย นั่นแหละผ่านทางพระเยซูคริสต์ ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย ซึ่งเป็นข่าวประเสริฐ

ตรงนี้ ทำให้มนุษย์ได้รับวิญาณใหม่ และจิตใจใหม่เรียบร้อยไปแล้ว เพียงแต่รู้หรือไม่? รู้แล้ว เปิดใจรับไหม? เท่านั้นเอง  ถ้ารับแล้วเกิดอะไรขึ้น  ก็ได้วิญญาณใหม่และใจใหม่ ที่จะอยู่นิรันดร์กาล หลังความตาย วิญญาณก็ยังอยู่ และเป็นวิญญาณที่อยู่กับพระเจ้า เพราะว่าเป็นวิญญาณที่สะอาดบริสุทธิ์ เหมือนกับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าได้แล้ว

ใน 1 ยอห์น 4:17-18 ได้บอกชัดเจนว่าถ้าใครที่ได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเยซูนี้ แล้วเปิดใจรับ อยากได้ ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า เปิดประตูหัวใจให้กับพระเยซูคริสต์ เขาก็จะได้รับสิ่งนี้แหละ คือได้รับวิญญาณใหม่ ใจใหม่ ก็คือได้การบังเกิดใหม่ โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์นั้นเอง  1  ยอห์น 4:17-18 อ่านแล้วลองสังเกตให้ดีๆ ว่าวิญญาณใหม่ จิตใจใหม่ ที่ได้บังเกิดใหม่ บริสุทธิ์ เป็นเหมือนพระเจ้าแล้วนั้น ในนี้บอกละเอียดขึ้นมาอีกนิดหนึ่งว่าเป็นเหมือนใคร? คอยสังเกตให้ดีๆ นะ นี่คือขบวนการบังเกิดใหม่แล้ว  ได้รับชีวิตใหม่ ได้รับการบังเกิดใหม่จากพระเจ้า …

1 ยอห์น  4:17-18 “17  “ในการได้เข้าส่วนร่วม  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้  (บังเกิดใหม่)  ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้น  อย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณและจิตใจ ที่เกิดใหม่นี้) เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา  ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม  ​ก็​เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา  ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจ  ที่​เหมือน​กับ​วิญญาณและจิตใจของ​พระคริสต์” 18  ไม่มีความกลัวในความรัก (อากาเป้แบบพระเจ้า) แต่ความรัก (อากาเป้แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน (ภายในวิญญาณและจิตใจใหม่) ขจัดความกลัวออกไปจนหมดสิ้น เพราะความกลัว (ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง) ทำให้เกิดความคิดฟ้องผิด (ว่าถูกตัดสินลงโทษ) ดังนั้น  ผู้ที่ยังกลัวอยู่ (ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง กลัวการถูกลงโทษในวันพิพากษา หลังความตาย)  คือผู้ที่ยังไม่มีความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน ภายในเขา”

 

นี่อาจารย์ยอห์นอธิบายละเอียดขึ้นอีกนิดหนึ่งว่าถ้าผู้ที่เปิดใจ รับเอาข่าวดีนี้ รับเอาการช่วยเหลือจากพระเจ้านี้ไป จะเกิดสิ่งนี้ขึ้น คือ …

“ในการการได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์”

การร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็หมายถึงการบังเกิดใหม่นั่นเอง  พูดสั้นๆ

ในการบังเกิดใหม่นี้ วิญญาณใหม่ของเรา จะเป็นวิญญาณที่เหมือนพระเจ้า  คือเป็นความรักเหมือนพระเจ้า ความรักแบบอากาเป้ แบบพระเจ้านั้น จึงเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ในตัวเรา ก็คือในวิญญาณใหม่นั้น ทั้งวิญญาณและจิตใจที่เกิดใหม่นี้ สมบูรณ์ครบถ้วน เป็นวิญญาณและจิตใจที่เต็มไปด้วยความรักที่สมบูรณ์แบบ คือเหมือนพระเจ้า เป็นอากาเป้เลย  เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา เห็นไหม? เพราะวิญญาณของเราใหม่เอี่ยมเลย ไม่มีบาป มีแต่ความรัก เป็นความรัก เหมือนพระเจ้า  เราจึงมั่นใจว่าเมื่อไรที่เราจากร่างนี้ ตายไป  เราอยู่ในสวรรค์ เพราะเราอยู่ในสวรรค์อยู่แล้ว เข้ากับพระเจ้าได้อยู่แล้ว

ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ แม้ว่ากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายเก่านี้ก็ตาม  แต่วิญญาณและจิตใจได้บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว ได้บังเกิดใหม่เลย เป็นความรักเหมือนพระเจ้า  ในนี้บอกว่าเป็นวิญญาณและจิตใจที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระเยซูคริสต์ ที่วิญญาณเราบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าเลย ตอนนี้อาจารย์ยอห์น อธิบายให้ละเอียดขึ้น คือที่บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์เลย

ข้อ 18 บอกว่าจึงไม่มีความกลัว ในความรัก แบบอากาเป้ เพราะวิญญาณเราเป็นความรักแบบอากาเป้  จึงไม่มีความกลัว  ก็คือความกลัวที่อยู่ในความพินาศ ในวิญญาณรู้ จิตใต้สำนึกรู้ ตอนนี้ในวิญญาณรู้ จิตใต้สำนึกรู้ เรารอดแล้ว เราเป็นความรักแล้ว จึงไม่มีความกลัว ในความรักแบบอากาเป้  แบบพระเจ้าในการบังเกิดใหม่นี้  ภายในวิญญาณและจิตใจใหม่นี้  เต็มไปด้วยความรักแบบอากาเป้แบบสมบูรณ์ ครบถ้วน และความรักแบบนี้  ไม่มีคาวมกลัวมาผสม เพราะเป็นความรักเหมือนพระเจ้า และมั่นใจการไปสวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว 100% เลย

นี่คือเหตุที่ไม่มีความกลัวอยู่ในนั้น พูดง่ายๆ คือถ้าบังเกิดใหม่ ก็ไม่มีความกลัวในการพิพากษา หลังความตาย ถ้ายังไม่ได้บังเกิดใหม่ ก็กลัวอยู่แล้ว อย่างไรก็กลัว คือลึกๆ ข้างใน ก็กลัวว่าตายไปแล้ว ต้องไปอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่ง ต้องชดใช้เวรกรรม อันนี้ คือเรื่องจริงของมนุษยชาติ พอเชื่อพระเจ้าแล้ว เราก็หมดความกลัวแล้ว มันเป็นอย่างนี้

อาจารย์ยอห์นได้พูดต่อไป แต่เราอ่านแค่นี้ แต่ในบริบทของอาจารย์ยอห์นที่พูดไว้ ใน 1 ยอห์น 4:17-18 เพราะฉะนั้น อย่างนี้ ถึงสามารถเรียกว่าเป็นข่าวดีอย่างยิ่งของมหาจักรวาลของมนุษย์ทุกๆ คนบนโลกใบนี้ ที่จะได้รับรู้ว่าขณะนี้ สภาพของวิญญาณของมนุษย์ทุกๆ คนอยู่ที่ไหน?  อยู่ที่ความพินาศ อยู่ที่การพิพากษาในวันที่ทิ้งร่างนี้ และวิญญาณออกจากร่าง แต่ข่าวดีนี้ ก็คือเขาไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นั่นตลอดไป  เพราะพระเจ้าได้ช่วยเขาให้หลุดพ้นออกจากความพินาศนั้น เรียบร้อยแล้ว เมื่อตอนพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และเป็นขึ้นจากความตาย ซึ่งกระทำไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อรับรู้ความจริง ก็เปิดใจ รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า รับของขวัญจากพระเจ้าเท่านั้นเอง ยอมรับคำเชิญจากพระเจ้าเท่านั้นเอง เชิญให้กลับบ้าน  เชิญให้กลับมาคืนดีกับพระองค์  เชิญให้เข้ามาเป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทของพระองค์ที่บริสุทธิ์ สะอาด เชิญมารับของขวัญจากพระเจ้า คือบังเกิดใหม่ ได้ตายพร้อมพระเยซูคริสต์ และเป็นขึ้นจากความตาย พร้อมกับพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ ได้วิญญาณใหม่และจิตใจใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์นั่นเอง เขาเรียกว่าได้บังเกิดใหม่

การบังเกิดใหม่จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เมื่อใครรู้อย่างนี้ ได้อย่างนี้ไป  มันก็มีกำลังใจในการดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ ไม่กลัวแม้ความตาย  แน่นอนทุกข์มันก็ต้องทุกข์ เจอความทุกข์ลำบาก มันก็ต้องทุกข์ลำบาก แต่ไม่เอะอะโวยวายจนเกินกว่าเหตุ ถูกไหม? เพราะมันมีฐานมั่นคงว่ามนุษย์ทุกคนต้องตายอยู่แล้ว  แต่เราไม่กลัวเลย แต่ก่อนนี้ เราไม่เชื่อพระเจ้า  เรายังไม่บังเกิดใหม่ เราก็กลัวว่าตายแล้ว เราจะไปไหน? เราไม่รู้ที่ไป แต่ตอนนี้เรารู้ว่าตายไปแล้ว เราก็อยู่ที่เดิม  อยู่ในสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าอยู่แล้ว เป็นเหมือนพระเยซู เพราะฉะนั้น เราก็สามารถทนกับความทุกข์ยากลำบาก บนโลกใบนี้ได้อย่างมั่นอกมั่นใจนั่นเอง

การได้บังเกิดใหม่ เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า  ได้รับการชำระล้างด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ได้รับการอภัยโทษบาปผิดทั้งหมด ที่ได้ทำ และเคยทำ และกำลังทำ หรือจะทำผิดพลาด แน่นอนในอนาคต ได้รับการยกโทษทั้งหมด แค่นั้นไม่พอ การบังเกิดใหม่ตรงนี้ นอกจากได้รับการอภัยโทษแล้ว  พระเจ้ายังประทานให้เราได้บังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ในการบังเกิดใหม่นี้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด  ล้ำค่าที่สุด

การบังเกิดใหม่ เป็นลูก ก็คือเป็นลูกเหมือนพระเยซูเลย มันเกินกว่าที่เราจะคิดเลยนะว่าเป็นถึงขนาดนั้น นั่นแหละเป็นถึงขนาดนั้น เป็นจริงๆ เขาถึงเรียกกันว่าพระคุณอันหาที่เปรียบไม่ได้ พระคุณอันอัศจรรย์ ที่มนุษย์ไม่สามารถหาคำพูดใดมาพูดได้ หยั่งรู้ได้ถึงพระคุณอันอัศจรรย์นี้ว่ารับเราเป็นลูกได้อย่างไร?  แต่มันก็เป็นไปตามนั้นจริงๆ  นี่คือข่าวประเสริฐ แห่งพระคุณของพระเจ้า ซึ่งถ้าคิดตามประสามนุษย์ แล้วมันเชื่อยาก เมื่อเชื่อยาก พระเยซูจึงยกตัวอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยกตัวอย่างนี้ให้กับชาวยิว ซึ่งมั่นใจในความดีงามของตัวเองเยอะ แสวงหาความดีงามด้วยตัวเองเยอะ จึงมีความรู้สึกว่าไม่ต้องทำอะไรเลยหรือ? รับไม่ได้อย่างนี้  จึงเป็นประตูแคบ สำหรับชาวยิว ซึ่งเราสามารถเอามาใช้ได้ว่าเป็นประตูแคบสำหรับมนุษย์ทุกคนที่คิดว่ามันเป็นไปได้หรือ?  ก็มันเป็นไปแล้ว มันเป็นไปได้จริงๆ ทุกวันนี้ คนมาเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เต็มไปหมดเลย ถามว่ามันเป็นไปได้ไหมล่ะ  ถ้าเป็นไปไม่ได้ เป็นเรื่องโกหก จะมีมาถึงขนาดนี้เหรอ  โกหกแบบน่าเกลียดมากแล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย แหม! ให้เราทำบ้าง ก็ให้มีส่วนทำอะไรบ้างนิดหน่อย ก็ยังดี นี่เป็นข่าวดีจริงๆ ข่าวดีอันยิ่งใหญ่ ข่าวดีอันมหัศจรรย์ อย่างนี้ เป็นอย่างนี้สิ ถึงเรียกว่าข่าวดีจริงๆ ข่าวดีของมหาจักรวาล แด่มนุษย์ทุกคนจริงๆ ก็มันเป็นอัศจรรย์ ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร? ได้เกิดใหม่  เพราะฉะนั้น ถ้าใครไม่ได้เกิดใหม่ ก็ไม่สามารถเข้าใจได้หรอก

ขบวนการการบังเกิดใหม่นี้ พระเจ้าได้ทรงกระทำให้สำเร็จเรียบร้อย สำหรับเราทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อแล้ว ผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับการช่วยเหลือเรียบร้อยแล้ว เรียกว่าผู้เชื่อ หรือเรียกว่า คริสเตียนแล้ว ได้รับสิ่งเหล่านี้เรียบร้อยแล้วในโลกวิญญาณ วิญญาณและจิตใจใหม่ เราได้รับเรียบร้อยแล้ว จะไม่มีการพิพากษาใดๆ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ เพราะกฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ทำให้เราพ้นจากกฎของความบาป และความตาย โรม 8:1 บอกไว้

กฎของวิญญาณ ทำให้เรารอดพ้น ย้ำยืนยันว่าเรารอดพ้นแน่นอน รอดพ้นจากการถูกพิพากษา นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้กันมา เมื่อ 3 ตอนที่แล้ว  ที่เป็นรากฐาน เป็นกำลังใจให้กับผู้คนของพระเจ้า  ผู้คนที่เรียกว่าผู้เชื่อทั้งหลาย  ที่ได้บังเกิดใหม่นั้น ให้สามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ได้อย่างสง่างาม ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก บนโลกใบนี้  (อย่างแสนสาหัสในช่วงนั้น) ซึ่งเราสามารถเอามาใช้ในช่วงนี้ได้ อย่างที่บอก ไม่ว่าความทุกข์ยากลำบากธรรมดา หรือความทุกข์ยากลำบากปานกลาง หรือความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐาน เมื่อเราเรียนรู้ รับรู้ความจริงในข่าวประเสริฐ ในพระเยซูคริสต์เหล่านี้ ว่าเราเป็นใครแล้ว ในโลกวิญญาณ มันจะทำให้เรามั่นคง และสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสง่างาม ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก

และวันนี้ เราจะมาเรียนรู้กันต่อจากครั้งที่แล้ว ครั้งที่แล้วเราจบกันที่ข้อ 17 เราได้เรียนรู้ถึงความแตกต่างระหว่าง “การเป็น” กับ “การประพฤติ” ต่างกันอย่างไร?

ความแตกต่างระหว่างการเป็นกับการประพฤติ ก็คือเรารู้แล้วว่าพระเจ้าได้กระทำให้เราเป็นผู้บริสุทธิ์แล้ว นี่หมายถึงผู้เชื่อนะ  ผู้ที่เชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว เราได้รู้ว่าพระเจ้าได้ทำให้เรา เป็นผู้บริสุทธิ์แล้วทุกคน ไม่ได้ด้วยตัวเอง พระเจ้าเป็นผู้ทำให้

“พระเจ้าทำให้ฉันบริสุทธิ์ และดีพร้อมแล้ว ฉันเป็นคนบริสุทธิ์ เป็นคนดีพร้อมแล้ว ฉันมีวิญญาณบริสุทธิ์ และมีวิญญาณที่ดีพร้อมแล้ว”

“เป็น” นะเป็น ตัวหลัก แต่ในเรื่องความประพฤติ ค่อยๆ คิดตามนะ …

“แต่ในเรื่องความประพฤติ ฉันประพฤติดีพร้อมแล้วหรือยัง?” … คิดในใจ แล้วค่อยตอบ

“ฉันเป็นผู้ดีพร้อมแล้ว พระเจ้าทำให้ แล้วฉันประพฤติดีพร้อมแล้วหรือยัง?”

ใครบอกดีพร้อม ยกมือขึ้น เราจะได้ช่วยกันอธิษฐานให้ท่าน ไม่ ถูกไหม? นี่คือความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ไม่ต้องตื่นเต้นว่าเวลาท่านคิดอะไรสกปรก คิดอิจฉาริษยา คิดโกรธ คิดเกลียดเขา  บางครั้งสบถสาบาน ไม่บริสุทธิ์ พูดง่ายๆ  ไม่เห็นจะดีพร้อมเลย  หงุดหงิดใส่เขา ดีพร้อมไหม? เคยกินเหล้ากินเบียร์ ไม่กินนานแล้ว เจอเพื่อน เผลอๆ กินเยอะไปหน่อย เมา  เมาดีพร้อมไหม? หรือโลภ ดีพร้อมไหม? มันไม่ดีพร้อม แต่อย่าตื่นเต้น เพราะนั่นคือความประพฤติ ถ้าท่านเกิดใหม่แล้ว ท่านดีพร้อม บริสุทธิ์แล้วในวิญญาณ แต่ความประพฤติท่านอาจจะตกๆ หล่นๆ บ้าง

ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ดีพร้อมแล้ว พระเจ้าทำให้เสร็จแล้วหรือยัง?  ในวิญญาณ เสร็จแล้ว เป็น พอถามถึง “เป็น” ท่านเป็นผู้ตอบนะ

“พระเจ้าทำให้ท่านบริสุทธิ์ดีพร้อมแล้ว ท่านเป็นหรือยัง?”

“เป็นแล้ว”

“พระเจ้าทำให้ท่านประพฤติดีพร้อมแล้วหรือยัง?”

“ยัง”

เพราะถ้าประพฤติดีพร้อม ต่อไปนี้ท่านก็ไม่คิดชั่วแล้ว แม้แต่คิด ก็ไม่คิดแล้ว  ไม่คิดอิจฉาริษยาใครแล้ว พร้อมเสมอเลย ดีพร้อมเสมอ  มันไม่ใช่อย่างนั้น ในเรื่องของความประพฤติ พระองค์กำลังทำอยู่ กำลังฝึกฝนเราให้ดีพร้อม  ให้เหมือนกับข้างใน กำลังสร้างเรา เหมือนเพลงที่เราเคยร้อง

“ขอทรงสร้างเรา ให้มั่นคงเถิด   ให้เราร่วมอยู่ในพระบุตร”

ในวิญญาณต้องสร้างไหม? ไม่ต้องสร้าง  ต้องขอไหม? ไม่ต้องขอ เพราะว่าสร้างเสร็จแล้ว มั่นคงเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว  จะไปสร้างอะไรอีกเล่า แข็งแกร่งแล้ว แต่ให้สร้างบุคลิกของเรา ฝึกสอนเรา ให้เป็นเหมือนกับพระเยซูมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วไปจนกระทั่งวันที่วิญญาณออกจากร่าง  ถึงวันนั้น สำเร็จไหม? ไม่สำเร็จ ได้แค่ไหนก็ไม่รู้ พระเจ้าก็นำไป สอนไปเรื่อยๆ  แต่มันจะสำเร็จวันสุดท้าย คือวันที่เราออกจากร่างแล้ว ได้รับร่างใหม่แล้ว นั่นแหละจบสิ้น ไม่ต้องสร้างแล้ว ร่างกายใหม่ไม่มีเชื้อบาป ไม่มีความทุกข์ทรมาน ไม่มีความชั่วร้ายใดๆ เป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย

ตอนนี้ร่างกายเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์หรือยัง? ยังไม่เป็น พอจะเห็นภาพไหม? เพราะฉะนั้น พระเจ้าก็นำพาเรา สอนเรา ในแต่ละวัน ผ่านทางพระวิญญาณของพระองค์ ให้เราฝึกฝนในการประพฤติ ให้สมกับวิญญาณเราเป็นลูกพระเจ้า ที่ดีพร้อมแล้วนั่นเอง

โอเค เรื่องที่เราจะมาเรียนต่อกันในวันนี้ ก็ยังเป็นเรื่องเดิม คือ “การปลอบประโลมใจจากพระเจ้า ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก” ตอนที่ 4 ซึ่งมีชื่อตอนว่า “พระเยซู คือถ้อยคำของพระเจ้า คือข่าวประเสริฐ” ว่ากันตามจริงแล้ว พระเยซู คือศูนย์กลาง เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นความหวังของเรา เป็นแสงสว่าง เป็นความรอดของเรา เป็นสวรรค์ เป็นความจริง เป็นทางนั้นที่เราจะไปสู่พระเจ้า แต่พูดสั้นๆ คือพระเยซู คือถ้อยคำของพระเจ้า คือข่าวประเสริฐ  เมื่อมีการประกาศข่าวประเสริฐ ต้องประกาศเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู เพราะข่าวประเสริฐ คือพระเยซู เมื่อพูดถึงการเผยพระวจนะ ถ้อยคำพระเจ้า สอนถ้อยคำพระเจ้า ต้องสอนถึงเรื่องเกี่ยวกับพระเยซู และเมื่อพูดถึงพระเยซู ต้องพูดถึงพระเยซูคริสต์

เพราะคำว่า “คริสต์” แปลว่าพระมาซีฮาห์ พระเยซูเฉยๆ ไม่ได้ ต้องพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ คือพระมาซีฮาห์ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ในการไถ่มนุษย์ คือหัวใจของข่าวดี นี่เอง เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่พูดถึงเรื่อง “พระเยซู” ไม่มี “คริสต์” ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องข่าวประเสริฐในการช่วยให้รอด ไม่ได้พูดถึงการไถ่ ไม่ได้พูดถึงการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู ไม่ได้พูดถึงการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์และเป็นขึ้นมาจากความตายว่ามันเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ  นั่นไม่ใช่ถ้อยคำของพระเจ้า ถ้อยคำพระเจ้าที่พูดในพระคัมภีร์ทั้งหมด เป็นถ้อยคำพระเจ้าที่เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ ว่าวางแผนการไว้อย่างไร? ต้องโยงมาถึงตรงนี้ให้ได้  ถ้าไม่โยงมาถึงตรงนี้ จะเป็นการพูดถึงประวัติศาสตร์ พูดถึงเรื่องเล่าอะไรต่างๆ ก็เป็นถ้อยคำเฉยๆ  ไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้า  ที่พูดถึงนี้  ผมจึงใช้ชื่อเรื่องว่า “พระเยซู คือถ้อยคำพระเจ้า คือข่าวประเสริฐ”

จะประกาศข่าวประเสริฐ จะร้องเพลงเพื่อข่าวดี จะร้องเพลงเกี่ยวกับนมัสการพระเจ้า นมัสการยกย่องพระเยซู ต้องเกี่ยวพันกับข่าวประเสริฐเท่านั้น ซึ่งก็หมายถึงเรื่องราวในหนังสือ 1 เปโตร 1 ที่เราได้เรียนรู้มา 10 กว่าข้อนี้ การบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ การได้เป็นลูก การเข้าสู่มรดกนิรันดร์  การบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้า อะไรประมาณนี้ นี่คือถ้อยคำของพระเจ้า ที่เรียกว่าถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ  นี่คือข่าวประเสริฐ ที่เรียกว่าข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์จริงๆ นี่คือพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์ เรื่องของพระองค์ ซึ่งเป็นหัวใจ เป็นความหวังของเรา  ผู้เชื่อ เพียงผู้เดียวเท่านั้น

เรายังอยู่ในหนังสือ 1 เปโตร บทที่ 1 วันนี้เราจะมาเริ่มต่อที่ข้อ 18 …

1 เปโตร 1:18  “ท่านจำเป็นต้องรู้ และระลึกอยู่เสมอว่าท่านได้รับการไถ่ จากการดำเนินชีวิต  แบบไร้ประโยชน์ ไร้ค่า (อยู่ในความพินาศ ในความบาปและในความตาย) ซึ่งเป็นสิ่งที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของท่าน (ตั้งแต่อาดัม) และการไถ่นี้ มิใช่การไถ่ด้วยสิ่งที่สูญสลายได้ เช่น เงินหรือทอง”

 

จำได้นะ ชื่อตอนคือ “พระเยซู คือถ้อยคำของพระเจ้า คือข่าวประเสริฐ”

“ท่านจำเป็นต้องรู้และระลึกอยู่เสมอ” รู้และระลึกอยู่เสมอ ถึงเรื่องพระเยซู ถึงเรื่องถ้อยคำพระเจ้า ถึงเรื่องข่าวประเสริฐ ก็มีอยู่แค่นี้เอง ไม่ใช่ไประลึกถึงประวัติศาสตร์ว่าอิสราเอลเดินทางมาอย่างไร? ปีที่เท่าไร? วันอะไร? ซึ่งไม่เกี่ยวกับข่าวประเสริฐ ท่านจำเป็นต้องรู้และระลึกอยู่เสมอว่าท่านได้รับการไถ่ จากการดำเนินชีวิตที่ไร้ประโยชน์ ไร้ค่า ก็คือชีวิตเดิมที่อยู่ในความพินาศ ในความบาป ในความตาย  อยู่ในอาดัม บรรพบุรุษ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของท่าน ก็คือตั้งแต่สมัยอาดัม พูดถึงในวิญญาณที่ตกทอดกันมา คือเต็มไปด้วยความบาป  และการไถ่นี้ มิใช่การไถ่ด้วยสิ่งที่สูญสลายได้ เช่น เงินหรือทอง ไม่ใช่มีคนเอาทรัพย์สินมีค่า วัตถุที่มีค่าเอาไปแลกชีวิตท่านมา ไม่ใช่แบบนั้น  นี่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการไถ่ การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  ก็คือเรื่องของข่าวประเสริฐนั่นเอง ท่านจำเป็นต้องรู้และระลึกอยู่เสมอ เรื่องพระเยซูคริสต์ ท่านต้องรู้จักพระเยซูคริสต์ให้มากขึ้น ก็แสดงว่าท่านต้องรู้จักถ้อยคำพระเจ้าให้มากขึ้น  ถ้อยคำพระเจ้า คือข่าวประเสริฐ ท่านต้องรู้ให้มากขึ้นถึงเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระองค์ แล้วจะรู้มากขึ้นได้อย่างไร? ท่านก็ต้องฟังวนเวียนเกี่ยวกับเรื่องข่าวประเสริฐ ตรงนี้แหละ ท่านอย่าคิดว่าท่านรู้แล้ว แล้วท่านก็ไปเรียนเรื่องอื่นอะไรเยอะแยะ วิชาความรู้ของโลกใบนี้ ของประวัติศาสตร์ ของประเพณีนิยม ก็ว่ากันไป คำพูด คำจาแบบมีปัญญา แบบมนุษย์ ฟังแล้วสนุกสนาน แต่ไม่เกี่ยวกับข่าวประเสริฐ มันเสียเวลาเปล่าๆ มันหมายถึงตรงนี้นะ ข้อ 19 ต่อเลย …

1 เปโตร 1:19  “แต่ท่านถูกซื้อด้วยพระโลหิตอันล้ำค่าของพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ ผู้เปรียบเสมือนลูกแกะบูชา  ที่ปราศจากตำหนิ  และจุดด่างพร้อยใดๆ”

 

แต่ท่านต้องรู้และระลึกอยู่เสมอว่าท่านถูกซื้อ ก็คือถูกไถ่ ด้วยพระโลหิตอันล้ำค่าของพระเยซูคริสต์ พระเมสิยาห์ คือพระบุตรของพระเจ้า ผู้ที่พระเจ้าแต่งตั้งไว้  เพื่อมาช่วยเหลือมนุษย์  ก็คือหัวใจของข่าวประเสริฐ  ผู้เปรียบเสมือนลูกแกะบูชาที่ปราศจากตำหนิ และจุดด่างพร้อยใดๆ  อันนี้โยงไปถึงหลักการดั้งเดิมของคนยิวในสมัยก่อนพระเยซูคริสต์จะกระทำให้สำเร็จที่ไม้กางเขน  พระเจ้าได้ให้กฎระเบียบเขาไว้ ก็คือให้เอาสัตว์ไปฆ่า แล้วก็เอาเลือดสัตว์ที่ไม่มีตำหนินั้นมา ไม่ใช่ ลบล้างบาปนะ มาผ่อนบาป มาปกปิดบาปไว้ชั่วคราว ปีต่อปี แต่ตอนนี้พระเยซูมาทำให้สำเร็จตลอด ครั้งเดียวเป็นพอ ตามหนังสือฮีบรูที่บอกไว้

เพราะฉะนั้น ในอดีตที่พระเจ้าบอกให้เอาสัตว์ที่ไม่มีตำหนิ เอาเลือดมาปะพรม เพื่อปกปิดบาป ไว้ปีต่อปีนั้น  เป็นเงาของข่าวประเสริฐนี้ “เงาของข่าวประเสริฐนี้” คือเป็นเงาของเรื่องพระเยซูคริสต์ มาตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต  ข่าวดีนี้ เห็นหรือยังครับ

ถ้าท่านพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการไถ่บาป การปกปิดบาป การชดเชยบาปในอดีต ว่าต้องใช้เลือดสัตว์ที่บริสุทธิ์สะอาด แล้วท่านพูดเฉพาะแค่นี้พอ  แล้วไม่พูดต่ออีกว่าพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด พระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ ท่านกำลังไม่ได้พูดถึงเรื่องถ้อยคำของพระเจ้านะ เพราะถ้อยคำพระเจ้า เป็นถ้อยคำพระเจ้าที่เกี่ยวกับพระเยซู ท่านไม่ได้พูดถึงพระเยซูเลย ท่านบอกว่าปกปิดบาป อะไรต่างๆ เหล่านี้ ทำพิธีอย่างโน้นอย่างนี้  ทำพิธีวันไหน?  ปีอะไร? ทำกี่ครั้ง? รู้หมดเลย  แต่ไม่มีประโยชน์เลย ท่านต้องต่อด้วยว่านั่นคือเงาของสิ่งที่พระเยซูคริสต์มากระทำที่ไม้กางเขน  ตรงนี้ถึงเรียกว่าข่าวประเสริฐ และท่านต้องวนเวียนอยู่ตรงนี้แหละ

เพราะในข้อ 18 ที่ตะกี้เราอ่าน บอกไว้แล้วว่าท่านจำเป็นต้องรู้และระลึกอยู่เสมอ เรื่องพระเยซูคริสต์ เรื่องถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ เรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ต่อไปข้อ 20 …

1 เปโตร 1:20  “มันเป็นความจริงที่พระเยซูทรงถูกเลือกและถูกเจิมไว้ ตั้งแต่ก่อนการวางรากฐานสร้างโลก  แต่พระองค์ได้ถูกนำมาเปิดเผย ให้ผู้คนทั้งหลายได้เห็น ในวาระสุดท้ายนี้  เพื่อประโยชน์ของพวกท่านทั้งหลาย”

 

“มันเป็นความจริงที่พระเยซูทรงถูกเลือกและถูกเจิมตั้งไว้” ถึงเรียกว่าพระมาซีฮาห์ ตั้งแต่ก่อนวางรากฐานสร้างโลก จะให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือเหมือนมนุษย์ที่มีลูก เรามีครอบครัวใหม่ ที่อยากจะมีลูก เขาเริ่มต้นจัดเตรียมห้องต่างๆ ไว้ให้กับลูก ซื้อข้าว ซื้อของต่างๆ ไว้ให้กับลูก ลูกเกิดหรือยัง? ยังไม่เกิด เตรียมรากฐานก่อนสร้างโลก คือเตรียมสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไว้ให้กับลูกที่มาเกิด เตรียมไว้ทั้งหมดเลย ก่อนลูกจะมาเกิด ฟังให้ดีๆ นะ ตรงนี้เตรียมไว้ด้วยไหม?  เขาเตรียมซื้อข้าวของไว้ให้กับลูก และเขาเตรียมรักลูกไหม? เตรียมถูกไหม? เขารักลูกไปแล้ว ตั้งแต่ลูกยังไม่เกิด เขารักแล้ว  แล้วเขาเตรียมไหมว่าถ้าเผื่อลูกเขาดื้อ ไม่เชื่อฟังเขา เขาก็จะรักเหมือนเดิม  เตรียมไหม? เตรียม  มันหมายถึงอย่างนั้นแหละ ตั้งแต่ก่อนวางรากฐานสร้างโลก ก่อนจะสร้างโลกใบนี้ขึ้นมาให้กับมนุษยชาติ พระเจ้าเหมือนจะมีลูก ก็คือมนุษย์  รักมนุษย์ ก่อนสร้างมนุษย์ก็รักแล้ว  สร้างบ้านให้เขาอยู่ คือโลกใบนี้ แล้วก็คิดรักเขาด้วย ถ้าวันใดวันหนึ่งที่เขาดื้อ ก็จะยังคงรักเขา และนี่เขาดื้อไหม? ดื้อ เขาไม่เชื่อฟัง ยังคงรักเขาหรือเปล่า?  ขนาดเขาไม่เชื่อฟัง ยังรักเขาอยู่ไหม?  อาดัมและเอวาไม่เชื่อฟัง ยังคงรักเขาอยู่หรือเปล่า?  เรารู้ได้อย่างไร พระเจ้ายังคงรักอยู่  พระคัมภีร์บอกว่าเพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก  จึงได้ประทานพระบุตร เพราะความรักของพระเจ้าสำแดงออกที่พระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ ขณะที่เรายังเป็นคนบาป ก็คือขณะที่เรายังดื้อ ไม่เชื่อพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า  พระเจ้าทรงส่งพระเยซูคริสต์มาตายที่ไม้กางเขน  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเลือกไว้ล่วงหน้า  มันแปลว่าอย่างนี้  และความจริงที่เลือกไว้ล่วงหน้า สำเร็จเมื่อไร? แต่พระองค์ได้ทรงนำมาเปิดเผยให้ผู้คนทั้งหลายได้เห็น ในวาระสุดท้ายนี้ “ในวาระสุดท้าย” คือในวาระที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขนจริงๆ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ถูกฝังไว้ในอุโมงค์และเป็นขึ้นมาจากความตาย นั่นแหละ

และสิ่งทั้งปวงเหล่านี้เกิดขึ้น เพื่อประโยชน์ของพวกท่านทั้งหลาย พวกท่านทั้งหลาย ก็หมายถึงผู้เชื่อทั้งหลาย จริงๆ “ท่านทั้งหลาย” ก็หมายถึงมนุษย์ทุกคนเลย   แต่ตรงนี้เน้นเอาคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับถ้อยคำของพระเจ้า ต้อนรับข่าวประเสริฐของพระองค์ ต้อนรับแสงสว่าง ต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์  เอ่ยนามพระองค์ “ช่วยทีๆ” นั่นแหละ เป็นประโยชน์ต่อพวกเขาทั้งหลาย เพราะเขาจะได้บังเกิดใหม่ บริสุทธิ์ สะอาด  อย่างที่เราได้เรียนรู้มาแล้ว  เมื่อตอนก่อนๆ มาต่อข้อ 21 …

1 เปโตร 1:21  “พวกท่านได้มาเชื่อและพึ่งพิงในพระเจ้า ผ่านทางพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าผู้นี้  คือผู้ที่ได้ชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และประทานพระเกียรติ และพระสิริ แด่พระองค์ เพื่อความเชื่อและความหวังใจของท่านจะได้ตั้งมั่น และได้พักสงบ อยู่ในพระเจ้า”

 

“พวกท่านได้มาเชื่อและพักพิงในพระเจ้า”  พวกท่านได้เข้ามาอยู่ในสวรรค์ เป็นลูกที่เชื่อฟังของพระเจ้า  ท่านไม่ได้ทำเองเลย  ท่านไม่ได้เชื่อด้วยตัวเอง  ท่านไม่ได้พึ่งพาในพระเจ้าด้วยกำลังของตัวท่านเอง  เพราะว่าตัวเองต้องการเข้าไป แต่ผ่านทางองค์พระเยซู พระเยซูทำให้ท่าน ท่านเพียงแต่เปิดใจต้อนรับของขวัญนี้ อย่าไปนึกว่า …

“ฉันมาเชื่อพระเจ้า ฉันวางใจในพระเจ้า” ไม่ใช่

ไม่มีใครในโลกนี้ สามารถวางใจในพระเจ้า  หรือเชื่อในพระองค์ได้ ด้วยตัวเขาเอง เป็นไปไม่ได้ อย่างมากก็ได้แค่ความคิดภายนอก  มันไม่ลงไปถึงวิญญาณและจิตใจหรอก ได้แค่ความคิดภายนอก ซึ่งมันอยู่ไม่ทนหรอก เดี๋ยววันนี้เชื่อ พรุ่งนี้ไม่เชื่อ วันนั้นเชื่อ วันนี้รู้สึกหงุดหงิด ไม่เชื่อ  วันนี้อากาศร้อนไปหงุดหงิด  ยังไม่เชื่อ  เจอความทุกข์ยากลำบาก ไม่เชื่อแล้ว  เจออัศจรรย์ เชื่อๆ  มันไม่ใช่ความเชื่ออย่างนั้น นี่หมายถึงความเชื่อในวิญญาณ เกิดขึ้นจริงๆ นะ มันต้องผ่านทางพระเยซูคริสต์ คือต้องเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ จึงบอกว่าพระเยซูคริสต์ เป็นหัวใจของข่าวประเสริฐ เป็นถ้อยคำของข่าวประเสริฐ เป็นถ้อยคำของพระเจ้า เป็นผู้ที่ให้เราบังเกิดใหม่ แล้วได้รับสิ่งเหล่านี้ บังเกิด แล้วได้มาเป็นผู้เชื่อและพักพิงในพระเจ้า  ผ่านทางพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าผู้นี้ คือผู้ที่ได้ชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย และประทานพระเกียรติ และพระสิริแด่พระองค์ ก็คือให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย  และประทานสิทธิอำนาจทั้งหมด  ในสวรรค์ก็ดี ในโลกก็ดี ทั้งหมดเลย  รวมทั้งพวกเราทุกคน มนุษย์ทุกคนบนโลกให้กับพระองค์ด้วย  พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น

“เพื่อความเชื่อและความหวังใจของท่านจะได้ตั้งมั่น และได้พักสงบอยู่ในพระเจ้า เพื่อว่าความหวังใจและความตั้งมั่น ในชีวิตของท่านจะได้อยู่ในพระเจ้า” ก็แสดงว่าแต่ก่อนนี้ ถ้าท่านไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ถ้าท่านไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ความเชื่อและความตั้งมั่นในหัวใจของท่านตั้งอยู่ที่ไหน? ตั้งอยู่ที่ตัวเอง การกระทำของตัวเอง การทำดีของตัวเอง แล้วท่านจะสงบไหมล่ะ  ไม่สงบ ท่านก็จะแสวงหาไปเรื่อยๆ จากพระเจ้านี้ ไปพระเจ้าโน้น พระเจ้าปลอม มหาจักรวาลนี้ มีพระเจ้าอยู่ผู้เดียว  ก็คือพระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์ พระบิดาของเราทั้งหลายนั่นเอง  พระเจ้าอื่นเป็นพระเจ้าปลอมทั้งหมด ในพระคัมภีร์ เขียนไว้อย่างนั้น  ไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากพระองค์

เพราะฉะนั้น ในอดีต ก่อนที่เราจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เรามีความหวังในการกระทำของตนเอง ตั้งมั่นอยู่ในการกระทำของตนเอง ซึ่งมันเหมือนไม้หลักปักขี้โคลน มันโลไปเลมา เหมือนกับชีวิตได้ถูกสร้าง หรือเราสร้างชีวิตเราบนทราย  เมื่อพายุพัดมา มันก็เอียงไปเอียงมา แล้วในที่สุด มันก็พัง  แทนที่จะมีชีวิตใหม่ วางใจในพระเยซู สร้างบนศิลา พระเยซูคือศิลา แข็งแกร่ง เมื่อวันที่พายุพัดมา  คือวันแห่งการพิพากษา  วันที่วิญญาณเราออกจากร่าง  วันที่เราตายจากโลกใบนี้ วันนั้นแหละ คือวันที่ลมพายุพัดมา ชีวิตท่านตั้งอยู่ได้ไหม? ถ้าท่านวางอยู่บนศิลา พระเยซูคริสต์ ท่านรอด แต่ถ้าท่านวางอยู่บนตนเอง มั่นใจในตนเอง บ้านนั้นก็จะพังทลายลง ไปสู่ความพินาศ พระเยซูยกตัวอย่างไว้  ต่อไป ข้อ 22 …

1 เปโตร 1:22 “และบัดนี้ โดยการที่ท่านได้เชื่อฟังความจริงของข่าวประเสริฐ ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วนั้น ท่านก็ได้รับการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ เพื่อที่จะมีความรักอันจริงใจ ให้กับพี่น้อง ซึ่งก็เห็นอยู่แล้วว่าท่านได้รักซึ่งกันและกัน  ด้วยใจที่บริสุทธิ์”

 

“และบัดนี้” หมายถึงอะไร? และบัดนี้ พวกท่านที่ยอมเปิดใจ ไม่เอาแล้ว ไม่วางใจในตัวเอง ไม่พึ่งพาในตัวเองแล้ว ช่วยตัวเองไม่รอดแน่ๆ ขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มาช่วยทีๆ นั่นแหละ บัดนี้ท่านยอมตัวเอง มารับความช่วยเหลือจากพระเจ้าแล้ว ก็คือบัดนี้ท่านได้เชื่อฟังความจริงของข่าวประเสริฐ

เห็นไหมครับ? เปิดใจต้อนรับ โอเค เชื่อในความจริงในข่าวประเสริฐ ก็คือเชื่อฟังในความจริงของพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์  พระองค์มาเดินบนโลกใบนี้ พระองค์บอก  พระองค์เป็นพระมาซีฮาห์  เป็นพระเจ้าผู้ทรงส่งพระองค์มา  ท่านเปิดใจต้อนรับพระองค์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์จริงๆ ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วนั้น

พอท่านเปิดใจ ท่านสังเกตดูไหมครับในนี้ ผมจะแยกให้ท่านเห็น ผมจะอ่านตรงนี้ก่อน …

“ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว ท่านได้เชื่อฟังความจริงของข่าวประเสริฐ” ถามว่าอะไรเกิดขึ้นก่อน ท่านได้เชื่อฟังความจริงของข่าวประเสริฐ เพราะว่าผ่านทางใคร? ใครเป็นคนช่วยให้ท่านเชื่อฟังพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณ เห็นชัดๆ ไหม?  โดยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณ ทำให้ท่านเชื่อฟังต่อข่าวประเสริฐ คือพระเยซูคริสต์ คือพระมาซีฮาห์  อย่างที่ผมบอก ไม่มีมนุษย์คนใดที่สามารถ ที่จะเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นไปไม่ได้ ไม่มีมนุษย์คนใดที่จะเชื่อข่าวดี ที่เหลือที่จะเชื่อ เป็นข่าวดีแห่งพระคุณ อันมหัศจรรย์เหลือล้น แห่งมหาจักรวาล ไม่มีใครเชื่อได้หรอก  นอกจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  คือพระวิญญาณของพระคริสต์นั่นเอง  ก็คือนอกจากพระคริสต์เท่านั้น ที่จะมาช่วยเขา ให้เขาสามารถเชื่อในข่าวประเสริฐของพระองค์ได้

และวิธีจะให้พระองค์เข้ามาช่วย ทำอย่างไร? พระคัมภีร์บอกแล้ว พระองค์ก็ขอร้อง เคาะประตูใจของเขาตลอดเวลา มนุษย์เปิดออกสิ เปิดออก แล้วพระองค์จะได้เข้าไปช่วย ด้วยพลังของตัวเอง ด้วยกำลังสติปัญญาของตัวเอง ไม่มีทางที่จะเชื่อข่าวประเสริฐแห่งพระคุณอันล้นเหลือตรงนี้ได้ เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ขอความช่วยเหลือสิ ขอเลยๆ

ผู้ใดที่แสวงหาพระวิญญาณบริสุทธิ์จากพระเจ้า  มันหมายถึงตรงนี้แหละ พระองค์ก็จะประทานให้กับผู้นั้น  ขนาดท่านเป็นมนุษย์ที่เป็นคนบาป ลูกมาขอปลา ท่านจะให้งูหรือ? ลูกขอขนมปัง ท่านจะให้ก้อนหินหรือ?  ท่านเป็นคนบาป ท่านยังรู้ว่าจะให้ของดีกับลูกๆ อย่างไร? แล้วพระบิดาผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรคสถาน จะให้อะไรกับท่าน เมื่อท่านขอพระวิญญาณของพระองค์ ก็ให้พระวิญญาณ พอท่านได้พระวิญญาณ อะไรเกิดขึ้น? สวรรค์ก็มาทันที ท่านสามารถเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ สามารถเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด  และการบังเกิดใหม่ ก็เกิดขึ้นทันที นั่นแหละ วินาทีนี้

เพราะฉะนั้น หัวใจมันอยู่ที่ได้ยินได้ฟัง แล้วข้างในต้องการการช่วยเหลือไหม? ต้องการความช่วยเหลือ ก็เปิดปาก

“พระเยซู ลูกขอพระองค์ทรงเข้ามาช่วยลูกด้วย” จบ

เพราะฉะนั้น หัวใจอยู่ที่พระนามของพระเยซูคริสต์ นามเดียวที่มาถึงซึ่งความรอด  ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ถ้อยคำพระเจ้า ก็คือพระเยซูคริสต์ ศูนย์กลางทั้งหมด อยู่ที่พระเยซูคริสต์ทั้งนั้น ผ่านทางพระเยซูคริสต์

ตอนนี้ก็คือ “ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ของพระเยซูคริสต์ ท่านจึงสามารถเชื่อฟังข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ได้  พอได้เสร็จปุ๊บ ท่านก็ได้รับการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์” เห็นไหม?  ท่านก็ได้รับการบังเกิดใหม่ มีวิญญาณใหม่ มีใจที่บริสุทธิ์ ตะกี้เราเรียนรู้มาแล้วว่าเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย บริสุทธิ์ ดีพร้อม เพื่อจะมีความรักอันจริงใจให้กับพี่น้อง

ท่านก็จะมีความรักจริงใจให้กับพี่น้อง ก็คือรักจากวิญญาณข้างในแล้ว มิได้พูดถึงการกระทำข้างนอก การกระทำข้างนอก บางครั้งเรายังรู้สึกเกลียดเลย รู้สึกรำคาญผู้เชื่อคนนี้ เรารู้ว่าเขาเป็นพี่น้องไหม? รู้ เป็นผู้เชื่ออยู่ในคริสตจักรเดียวกันด้วย  ทำงานอย่างนี้ เรารู้สึกหงุดหงิด หงุดหงิดได้ไหม? ได้ เพราะมันคือความประพฤติ

แต่ตรงนี้กำลังพูดถึงความเป็นความรักที่ส่งต่อกันมา  ในหมู่ของคนที่เป็นคริสเตียน วิญญาณได้เกิดใหม่แล้ว เป็นพวกเดียวกันแล้ว  รักกันจากข้างใน จากวิญญาณ  เป็นวิญญาณแห่งความรัก รักกันจากข้างในที่เป็นวิญญาณ  ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์เหมือนกัน ตรงนี้จึงบอกว่า “ซึ่งก็เห็นอยู่แล้วว่าท่านได้รักซึ่งกันและกัน ด้วยใจบริสุทธิ์” ซึ่งท่านก็รู้อยู่  ท่านรักกันและกัน เห็นไหม?  ท่านอิจฉาคนนี้ ท่านเกลียดคนนี้ ท่านรู้สึกว่าไม่ชอบใจคนนี้  แต่วิญญาณท่านรู้สึกรักเขา

ในนี้บอกว่า “ท่านก็เห็นอยู่แล้ว” เราก็รู้กันอยู่แล้ว  ไม่รู้ได้อย่างไร? ก็คนนี้เขาเชื่อพระเจ้าอยู่ที่มาซิโดเนีย ไกลจากเรา ตั้งเยอะ เรายังไม่เห็นหน้าเขา เราได้ยินว่าเขาเชื่อพระเจ้า เราดีใจ ขอบคุณพระเจ้า สำหรับชาวมาซิโดเนียที่รับเชื่อพระเจ้าแล้ว มาเป็นลูกของพระองค์ เหมือนกับเราแล้ว ไปอธิษฐานให้กับเขาทำไม? ใครไปบังคับท่าน

มายุคปัจจุบัน  เดี๋ยวนี้ก็ได้ พอเกิดเหตุ คริสเตียนที่อยู่ในที่ไกลๆ ถูกข่มเหงรังแก เราอยู่ในเมืองไทย เราก็อธิษฐาน เป็นห่วงเป็นใยเขา เห็นหน้ากันหรือ? รู้จักกันหรือ?  แล้วอธิษฐานให้เขาด้วยความรัก ร้องห่มร้องไห้ ส่งเงินไปช่วย ส่งอะไรต่างๆ เพราะอะไร?  เพราะวิญญาณเกิดใหม่ ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนั้น ซึ่งได้เห็นอยู่แล้วว่าท่านได้รักซึ่งกันและกัน ด้วยใจบริสุทธิ์ “ซึ่งกันและกัน” คือหมู่ชนของพลเมืองของพระเจ้า ที่ได้บังเกิดใหม่ เหมือนกัน อยู่ในครอบครัวเดียวกัน ในพระเยซูคริสต์ ในโลกฝ่ายวิญญาณนั่นเอง มีพระบิดาเดียวกัน คือพระเยซูคริสต์ ผู้ให้ชีวิต ผู้ให้เราบังเกิดใหม่  เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าพระบิดา  พระเจ้าพระบุตร และพระวิญญาณนั่นเอง  เราเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียว เป็นพี่น้องกัน ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนั้นนะ  เพราะมีจิตใจบริสุทธิ์เหมือนกัน เหมือนพระคริสต์ ต่อไป ข้อ 23 …

1 เปโตร 1:23 “เพราะท่านได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว มิใช่จากเมล็ดพันธุ์ที่เสื่อมสลายได้ แต่จากเมล็ดพันธุ์ที่เป็นอมตะ  ไม่มีวันเสื่อมสลาย  คือพระวจนะของพระเจ้า  ที่มีชีวิตถาวรนิรันดร์”

 

“เพราะ” คือก่อนหน้านี้ทั้งหมด ก่อนหน้าที่ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซู พระวิญญาณพระเยซูเข้ามา  ทำให้ท่านเชื่อ และพึ่งพิงในพระเจ้า  ทำให้ท่านเชื่อฟังข่าวประเสริฐ  ทำให้ท่านเกิดใหม่ สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมทั้งวิญญาณและใจ  จึงรักซึ่งกันและกัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และเป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้เชื่อทั้งหลาย คริสเตียนทั้งหลาย ทั่วโลก  ทั่วมหาจักรวาลนี้ ก็เพราะอย่างนี้แหละ เพราะท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว  ย้ำอีกที เพราะวิญญาณของท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว  นี่เขียนไปถึงคนที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก ลำบากลำบน หนีตะเลิดเปิดเปิง เขาตามล่า ตามฆ่า  เห็นความทุกข์ทรมานของบรรดาพี่น้องคริสเตียนด้วยกันกับตาเลย

นี่เป็นความหวังใจให้เขาได้เห็นถึงฝ่ายวิญญาณว่าเขาได้บังเกิดใหม่จริงๆ ในวิญญาณของท่านได้บังเกิดใหม่จริงๆ ให้ท่านเรียนรู้ และระลึกถึงในโลกวิญญาณตรงนี้ อย่างสม่ำเสมอ ตลอดเวลายิ่งดี เปาโลบอกว่าให้จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ ในสิ่งต่างๆ ที่อยู่เบื้องบน คือที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ นั่นหมายถึงอย่างนี้ คือที่ท่านบังเกิดใหม่แล้ว ตรงนี้

เพราะท่านได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว  และการบังเกิดใหม่ในวิญญาณของท่าน ไม่ใช่เกิดใหม่จากเชื้อของมนุษย์ แต่เกิดใหม่จากเชื้อของพระเจ้า  ผู้ทรงพระชนม์ ไม่ได้เกิดจาก DNA ของสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนโลกใบนี้  เป็นวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้  แต่เกิดจาก DNA อมตะของวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่ง 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกัน ท่านเข้าไปร่วมบังเกิดใหม่ เข้าไปร่วม DNA กับทั้ง 3 พระภาคนี้แล้ว ท่านลองคิดดูสิว่าคนกำลังตกใจกลัว ไม่มีความหวัง ได้ยินอย่างนี้ ฮึดสู้ไหม? ฮึดไหม? ความประพฤติเปลี่ยนไปไหม? เปลี่ยนนะ ที่เห็นๆ คือมีความมั่นใจมากขึ้น ตายเป็นตายสิ ให้มันรู้ไป

DNA ที่ท่านบังเกิดใหม่ เป็น DNA ของพระเจ้า เป็นอมตะนิรันดร์กาล ไม่มีวันสูญสิ้น ไม่มีวันเสื่อมสลาย ในนี้บอกไว้ชัดเจน คือพระวจนะของพระเจ้า คือถ้อยคำของพระเจ้า ที่มีชีวิตถาวรนิรันดร์ ถ้อยคำของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ คือพระมาซีฮาห์ ที่ท่านเชื่อนั่นแหละ  พระผู้ช่วยให้รอดของท่าน ที่ท่านไปเป็นหนึ่งกับพระองค์  ตอนบังเกิดใหม่นั่นแหละ

ท่านเกิดใหม่ด้วยพระเยซูคริสต์ พูดง่ายๆ ด้วยพระวจนะ ก็คือด้วยถ้อยคำของพระเยซูคริสต์เกี่ยวกับข่าวประเสริฐ ท่านถึงได้บังเกิดใหม่ ไม่ใช่ถ้อยคำของพระเจ้า ที่เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ตอนที่ท่านไปอ่านดูว่าพระเยซูเกิด เป็นญาติใคร? ท่านจำได้หมดเลย แล้วก็จบอยู่แค่นั้น ท่านไม่ได้คิดต่อเลยว่าพระเยซูมาทำอะไรที่ไม้กางเขน ท่านจำได้หมดว่าพระเยซูมีพี่น้องร่วมครอบครัวกี่คน? มาจากเชื้อสายใด? จำได้หมดทุกอย่าง  แต่ไม่รู้สิ่งที่สำคัญที่สุด คือแล้วพระเยซูมาตายที่ไม้กางเขน เพื่อใคร? เกิดอะไรขึ้น เมื่อตอนตายที่ไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์เพื่ออะไร? และทำไมต้องเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม เพื่ออะไร? และมันเกี่ยวอะไรกับชีวิตฉันด้วย นี่แหละคือข่าวประเสริฐ นี่แหละคือถ้อยคำพระเจ้าที่เขียนไว้ ก็คือพระวจนะของพระเจ้า ที่มีชีวิตถาวรนิรันดร์ หมายถึงตัวบุคคล หมายถึงพระเยซู มีชีวิตถาวรนิรันดร์ ให้ชีวิตได้ ไม่ใช่ถ้อยคำของพระเจ้าที่ท่านเคยคิดกันว่ามันอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล พูดถึงเรื่องพระเยซู มันคนละเรื่องกัน ต้องเป็นถ้อยคำพระเจ้าที่เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ พระคริสต์ พระมาซีฮาห์  ผู้ที่ได้ถูกเจิมตั้งไว้ ก่อนสร้างรากฐานของโลก เพื่อมาช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นจากความบาป ความตาย ให้กลับมาอยู่กับพระเจ้า ได้บังเกิดใหม่ บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระองค์ ต่อไปข้อ 24

1 เปโตร 1:24  “เพราะว่าบรรดาเนื้อหนัง (ร่างกายที่จับต้องมองเห็นได้นี้ อยู่เพียงชั่วคราว ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น)  ก็เป็นเสมือนต้นหญ้า  และเกียรติ และสง่าราศีของมัน ก็เป็นเสมือนดอกหญ้า  ต้นหญ้าก็เหี่ยวแห้งไป   และดอกก็ร่วงโรยไป”

 

ตอนนี้บอกให้ผู้เชื่อได้เห็น สังเกตถึงโลกที่เราอยู่บนโลกใบนี้ ที่ตามองเห็น ที่ถูกข่มเหงรังแก ที่เกิดความทุกข์ยากลำบากต่างๆ เหล่านี้  มันเป็นโลกวัตถุ มันอยู่ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น

“เพราะว่าบรรดาเนื้อหนัง ร่างกายที่จับต้องมองเห็นได้นี้อยู่เพียงชั่วคราว  ชั่วขณะหนึ่งเท่านั้น” เปรียบเหมือนต้นหญ้า และเกียรติและสง่าราศีของมันก็เหมือนดอกหญ้า ต้นหญ้าก็เหี่ยวแห้งไป และดอกไม้ก็ร่วงโรยไป ร่างกายของเรา ที่ได้รับความทุกข์ทรมาน  ที่ได้รับการข่มเหงรังแก ที่เกิดความทุกข์ยากลำบากในร่างกายนี้ มันอยู่แป๊บเดียวเอง มันเทียบอะไรกันกับชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ ตะกี้บอกไม่ได้เลย มันเป็นโลกวิญญาณ เป็นถ้อยคำของพระเยซูคริสต์ เป็นถ้อยคำของพระเจ้าที่เกี่ยวกับข่าวประเสริฐ  ให้ชีวิตถาวรนิรันดร์กับท่านจะอยู่ตลอดไป แต่โลกใบนี้มันสิ้นสุดลงในไม่ช้านี้ ก่อนโลกจะสิ้นสุดลง ร่างกายท่านจะสิ้นสุดลงก่อนก็ได้ มันอีกไม่นาน อีกไม่กี่ปี อีกแป๊บเดียวเอง ชั่วขณะหนึ่ง

เพราะฉะนั้น พอมองเห็นอย่างนี้แล้ว อย่าลืมที่จะเรียนรู้ และจดจำ และระลึกอยู่เสมอ นี่คือเกี่ยวกับข่าวประเสริฐเช่นเดียวกันว่าวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์นั้น เป็นวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเยซู มีชีวิตถาวรนิรันดร์ มันอยู่นิรันดร์กาลเลย ส่วนร่างกายที่ท่านกำลังทนทุกข์ทรมานอยู่บนโลกใบนี้  มันอยู่ชั่วคราว มันแป๊บเดียวเอง มันนิดเดียวเอง มันเหมือนสระอิ สระอะไรที่มันสั้นที่สุด มันเหมือนไม้เอก ในพระคัมภีร์ภาษาไทยทั้งเล่ม

ภาษาไทยทั้งเล่ม ท่านอ่านข้อความทั้งเล่มหนามาก สมมติคือชีวิตนิรันดร์กาลในสวรรคสถานที่วิญญาณท่านบังเกิดใหม่อยู่ในนั้นแล้ว ส่วนร่างกายที่ท่านอยู่บนโลกใบนี้ เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก มันเหมือนแค่ไม้เอก มันเทียบกันได้ไหมล่ะ หาไม้เอกอันหนึ่ง ติ่งหนึ่งอยู่ในหนังสือพระคัมภีร์ทั้งเล่ม มันหมายถึงอย่างนั้น ต่อไปข้อ 25 สุดท้าย …

1 เปโตร 1:25 “แต่ถ้อยคำของพระเจ้ายั่งยืนอยู่เป็นนิตย์  ถ้อยคำนั้น คือข่าวประเสริฐ  ที่ได้ประกาศให้ท่านทั้งหลายทราบแล้ว”

 

สรุปจบ ตามหัวข้อที่บอกไว้ ตอนนี้ ก็คือพระเยซูเป็นทุกสิ่ง เป็นความจริง เป็นชีวิต เป็นถ้อยคำ ข่าวประเสริฐ แต่ถ้อยคำของพระเจ้า ก็คือพระเยซู ก็คือถ้อยคำแห่งข่าวประเสริฐ ยั่งยืนอยู่เป็นนิตย์ อยู่นิรันดร์ พระเยซูอยู่นิรันดร์ พระมาซีฮาห์ คือขบวนการข่าวประเสริฐ  ถ้อยคำนั้น คือพระเยซูคริสต์ พระเยซูคือพระมาซีฮาห์ ซึ่งเรื่องพระมาซีฮาห์นี้ได้ถูกประกาศให้ท่านทั้งหลายทราบแล้ว แล้วท่านทั้งหลายก็เปิดใจต้อนรับพระมาซีฮาห์แล้ว บังเกิดใหม่แล้ว  ท่านจงมั่นใจ สบายใจว่าวิญญาณท่านรอดแล้ว รอดเลย วิญญาณท่านบังเกิดใหม่แล้ว อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ปกปักษ์ดูแลท่านอยู่ตลอดเวลา  สำหรับร่างกายภายนอกมันอยู่อีกแป๊บเดียว มันก็จะไปแล้ว อย่าไปสนใจมันมากนัก อะไรประมาณนั้น

สรุปว่าท่ามกลางความทุกข์บากลำบากบนโลกใบนี้ เราผู้เชื่อทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสมัยโน้น หรือสมัยปัจจุบัน ไม่ว่าจะถูกโรมข่มเหง หรือถูกโควิดข่มเหง ในขณะนี้ หรือเรื่องอื่นๆ อีก มากมายบนโลกใบนี้ ที่ทุกข์ยากลำบากบนร่างกายนี้ก็ตาม เราผู้เชื่อได้บังเกิดใหม่แล้ว เป้าหมายเราเรียนรู้จ้องมองระลึกถึงโลกฝ่ายวิญญาณที่เราได้บังเกิดใหม่นั้น เป็นเช่นไรในพระเยซูคริสต์ และให้เราอยู่บนโลกใบนี้ด้วยความอดทน อีกแป๊บเดียว อดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก ชั่วขณะเดียว อีกแป๊บเดียวเอง อดทนให้ไม้เอกหายไปก่อน  และเรากำลังมุ่งสู่หลักชัย ชัยชนะนิรันดร์ ได้รับมรดกของเรา คือมงกุฎแห่งชีวิตในสวรรค์สถาน นิรันดร์กาล เพราะนั่นเป็นเรื่องของความจริงในข่าวประเสริฐ และมั่นใจในพระเยซูคริสต์ของเรา เอเมน  พระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

โรม 6:1-6 “1 เราจะว่าอย่างไรในเรื่องพระคุณพระเจ้านี้? เราจะยังคงทำบาปต่อไป เพราะรู้แล้วว่าพระคุณมากมายสามารถปกคลุมไปถึงอย่างนั้นหรือ?  2  มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน เราได้ตายต่อบาปแล้ว เรายังคงอาศัยอยู่ในบาปต่อไปได้อย่างไร? (วิญญาณของเราไม่ได้ตายอยู่ในบาปในอาดัมแล้ว) 3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์? (ที่ไม้กางเขน)  4 ฉะนั้น  เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว  โดยการได้เข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณและพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอนเราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่)  6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาปในอาดัม) ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้วเพื่อตัวบาปเก่านั้นจะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

 

วิญญาณของมนุษย์ที่ตายอยู่  ได้รับการบังเกิดใหม่  เป็นอภิมหาบริสุทธิ์สะอาดที่สุด พระวิญญาณของพระเจ้า ได้เข้ามาบัพติศมาผู้เชื่อในพระเยซู  เพื่อให้ผู้นั้นสะอาดบริสุทธิ์หมดจดชำระ  ตั้งแต่ร่างกายความคิดจิตใจและวิญญาณได้เกิดใหม่บริสุทธิ์สะอาดศักดิ์สิทธิ์ เพื่อพร้อมที่จะเป็นบ้าน ให้พระเจ้าพระบิดา และพระเยซูเข้ามาสถิตอยู่ด้วยกันในวิญญาณที่เกิดใหม่นั้น  ธรรมชาติที่ได้เกิดใหม่นี้ จะมีปฏิกิริยาต่อต้าน เกิดอาการแพ้  เมื่อร่างกายเผลอไปทำบาป

 

พระเจ้าอวยพรครับ