คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม 2021
เรื่อง “ความจริงที่ขัดแย้งกับข่าวประเสริฐ”
โดย นคร เวชสุภาพร
หัวข้อการบรรยายในวันนี้ คือ “ความจริงที่ขัดแย้งกับข่าวประเสริฐ” อย่าเพิ่งงงนะ ตั้งใจฟังให้ดีๆ ความจริงที่ขัดแย้งกับข่าวประเสริฐ ท่านไม่ได้ฟังผิด และไม่ได้พิมพ์ผิดด้วย ท่านลองอ่านตามผมนะ ความจริงที่ขัดแย้งกับข่าวประเสริฐ
จากที่พวกเราได้เรียนรู้กันมาในเรื่องความหมาย และความเข้าใจในแก่นแท้ของข่าวประเสริฐของพระเจ้า หัวใจของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ซึ่งผมเชื่อว่าตอนนี้ สมาชิกของเราทุกคนจะมีพื้นฐานเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว พอสมควร ผมมั่นใจ และวันนี้เราจะยกระดับความรู้เรื่องข่าวประเสริฐ ความรู้เรื่องข่าวดีในพระเยซูคริสต์ ที่เราได้รับรู้เรียบร้อยไปแล้วบ้าง กระเถิบรู้ในพื้นฐาน ให้รู้มากขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง ซึ่งเราเรียกกันว่าเติบโตขึ้นมาในข่าวประเสริฐของพระเจ้า อีกขั้นตอนหนึ่ง ขั้นตอนเดิมที่เรารู้ไปแล้ว คืออะไร? พื้นฐานของข่าวดีของพระเจ้าคืออะไร? สั้นๆ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป ใครที่เปิดใจเชื่อในข่าวประเสริฐนี้ ในข่าวดีนี้ แค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เขาก็จะได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เข้าสู่สวรรค์นิรันดร์เลยทันที จากโลกนี้ไป ก็อยู่ในสวรรค์เหมือนเดิม ได้รับร่างกายใหม่ จบข่าว ข่าวประเสริฐมีแค่นี้ นี่พื้นฐาน
ฟังดูเหมือนง่ายๆ แป๊บเดียว แต่ไม่ง่าย เดี๋ยวลองตามไปดูว่าความจริงที่ขัดแย้งกับข่าวดีที่เราเพิ่งจะพูดไปสั้นๆ พื้นฐานมันคืออะไร? ก็แสดงว่ามันสรุปสั้นๆ จริงๆ แต่มันมีความหมายลึกซึ้ง
เรื่องที่เราจะเรียนรู้กันในวันนี้ ก็คือเราจะมาดูตัวอย่างคำพูด หรือวลี บางคำ ที่เราได้ยินได้ฟังมาเยอะมาก จนเป็นที่คุ้นเคยสำหรับเรา และเราก็เข้าใจว่าเป็นถ้อยคำในพระคัมภีร์ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ คุ้นหูเราด้วย คือตั้งแต่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็ได้ยินคำพูดเหล่านี้ จนชินหู ชินปาก แล้วก็เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เข้าใจว่ามาจากพระคัมภีร์ โดยที่ยังไม่เคยค้นคว้าศึกษา หาความจริงจากคำพูดเหล่านี้เลยว่าถูกต้องตามพระคัมภีร์จริงๆ หรือเปล่า? แต่พูดกันไปแล้ว เชื่อกันไปแล้วว่าเป็นอย่างนั้น คือพูด แล้วก็ฟังกันเยอะ จนกระทั่งเชื่อกันไป โดยปริยายว่าถูกต้องและเป็นจริงตามพระคัมภีร์แน่ๆ ลืมตระหนักถึงว่าตกลงในพระคัมภีร์ว่าไว้อย่างไร? ไม่ได้เอะใจ หรือสงสัยอะไรเลยว่าที่เชื่อนั้น ที่พูดจนชินปากนั้น มันตรงกับพื้นฐานข่าวดีที่ตะกี้เราสรุปรวมๆ แล้วหรือไม่? ลืมคิดไป เขาก็พูดกันอย่างนี้ทั้งนั้น เขาก็เชื่อกันอย่างนี้ทั้งนั้น ก็เลยพูดตามไปเลย
ยกตัวอย่างเช่น ก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้า เราทุกคนจะคุ้นหูกับคำว่า “ทำดีได้ไปสวรรค์ ทำชั่วตกนรก” ได้ยินกันตั้งแต่เด็กๆ เลย คนส่วนใหญ่ก็เชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้นแหละ ไม่ว่าศาสนาใด ก็เป็นอย่างนั้นแหละ นี่เราเชื่อไปแล้ว ใช่ไหม? ถูกไหม?
ซึ่งถามว่าคำพูดนี้มาจากไหน? ใครเป็นคนพูด เขียนไว้ที่ไหน? มีพื้นฐานความจริงหรือเปล่า? คนส่วนใหญ่ก็จะตอบไม่ได้ ไม่รู้สิ มาจากไหนก็ไม่รู้ แต่เชื่อกันต่อๆ มา ตามที่เราคุ้นเคย ได้พูดด้วยตัวเอง หรือได้ยินมาอย่างนั้น เป็นประเพณี เป็นวัฒนธรรมก็ว่าได้ ซึ่งคำพูดที่คุ้นชิน คุ้นเคยเหล่านี้ บางอันถึงแม้ว่าจะไม่มีพื้นฐานของความเป็นจริงที่ถูกต้อง แต่ถ้าไม่กระทบกระเทือน ไปบิดเบือนความจริงของพื้นฐานของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ มันก็ไม่อันตรายเท่าไร?
อย่างเช่น คำพูดที่ติดปาก ที่บอกว่า “กรรมตามทัน” หรือ “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วบนโลกใบนี้” ถึงแม้จะไม่ได้ปรากฏชัดเจนในข้อพระคัมภีร์มากสักเท่าใด เพราะข่าวประเสริฐไม่ได้เน้น สิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกวัตถุนี้มากนัก แต่มันก็ไม่ถึงกับทำให้ข่าวประเสริฐเสียหาย ถูกบิดเบือนไปมากมายนัก ก็ไม่ค่อยได้สำคัญมากเท่าไร?
สิ่งที่เราจะเรียนรู้กันในวันนี้ คือคำพูดที่คุ้นหู คุ้นเคย จนเหมือนเป็นจริง แต่เป็นความจริงที่ขัดแย้งกับแก่นแท้ของความจริงของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ทำให้ข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เกิดการบิดเบือน เสียหาย นี่ต่างหาก ที่จำเป็นต้องมาคุย อยากรู้แล้วใช่ไหมว่าเป็นอะไร? นี่คือสิ่งที่ผมตั้งเป็นหัวข้อนี้ขึ้นมาเลย ความจริงที่ขัดแย้งกับข่าวประเสริฐ มันก็เป็นความจริงสิ ก็ใช่ แต่ทำไมมันขัดแย้งกับข่าวประเสริฐ เรามาดูสิว่าเป็นอย่างไร? ทำไมสังคมคริสเตียนเราถึงพูดอย่างนั้น ถึงคิดอย่างนั้น มันเป็นความจริงนะ แต่มันขัดแย้งกับข่าวประเสริฐ อันนี้หัวใจสำคัญเลย ขัดแย้งกับข่าวประเสริฐนี้ ไม่ได้เลยนะ พื้นฐานของข่าวประเสริฐนั้น มีแค่นั้น แล้วทำไมขัดแย้งกับข่าวประเสริฐ มันจะทำให้เละ จะทำให้ข่าวประเสริฐไม่ส่งต่อออกไปถึงลูก หลาน เหลน โหลน และมันไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้า อะไรจริง ก็บอกว่าจริง อะไรไม่จริง ก็บอกว่าไม่จริง
เริ่มต้นที่คำพูดแรก ที่ผู้เชื่อทุกคนคุ้นเคยกันดี และหลายคนก็เชื่อแบบนี้มาตลอด คือคำพูดที่บอกว่า “เราทุกคนทำบาป และเป็นคนบาป” คริสเตียนนะ พูดอย่างนี้เสมอ เราทุกคนทำบาป และเป็นคนบาป เพราะโรม 3:23 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
โรม 3:23 “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า”
ถ้อยคำในพระคัมภีร์ตรงนี้ บอกว่า “ทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า” เสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า ก็คือเป็นคนบาปนั่นเอง ก็เลยพูดสั้นๆ ว่ามนุษย์ทุกคนทำบาป และเป็นคนบาป
ถามว่าคำพูดที่ว่า “เราทุกคนทำบาป และเป็นคนบาป” เป็นคำพูดที่ตรงตามข้อพระคัมภีร์ไหม? ก็ตรง ก็ใช่ คำตอบ ก็คือถูกต้อง ตรงตามถ้อยคำของพระเจ้า ในพระคัมภีร์ แต่เดี๋ยวก่อน สังเกตให้ดีๆ โดยที่ผมจะเน้นช้าๆ แต่ถูกต้องเฉพาะก่อนที่เราจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เท่านั้น ใช่หรือไม่? เป็นความจริงถูกต้องไหม? ถูกต้อง แต่เป็นความถูกต้องก่อนที่เราจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ก่อนที่เราจะเป็นคริสเตียน ใช่หรือไม่? คิดในใจไว้ ไม่ต้องตอบ คิดตามถ้อยคำพระเจ้า ใช่หรือไม่? คิดตามข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้รับความรอด เราเปิดใจต้อนรับพระเยซู มาเป็นคริสเตียน เราได้รับความรอดเรียบร้อยแล้ว
เพราะฉะนั้น ความจริงนี้ มันเป็นความจริงที่ไม่ถูกต้อง ถ้าเอามาใช้กับผู้ที่รับเชื่อแล้ว ถูกไหม? เรารับเชื่อเรียบร้อยแล้ว เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป แล้วทำไมบอกเราเป็นคนบาป นั่นสิ มันแย้งกันไหมล่ะ แย้งกันเพราะอะไร? เพราะว่าพื้นฐานของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ไม่ได้ถูกตอกย้ำเข้าไปในคนๆ นั้น
นี่คือเหตุที่ทำไมผมและผู้สอนในคริสตจักรแห่งนี้ ผู้ที่ขึ้นมาสอนท่าน เป็นครู หรือพี่เลี้ยงท่าน จึงพร่ำพูดแต่เรื่องข่าวประเสริฐ ย้ำแล้วย้ำอีก ก็เพื่อให้ท่านได้รู้ความจริงของความจริงอีกทีหนึ่ง ความจริงที่ไม่ขัดแย้งกับข่าวประเสริฐ ท่านจะได้รู้ว่าอะไรคือความจริงที่ขัดแย้ง อะไรคือความจริงที่ไม่ขัดแย้ง ไม่อย่างนั้นมันจะงง เพราะว่าสำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว ต้องใช้คำอย่างนี้
ต้องใช้คำว่า “เราทำบาป แต่ยังเป็นคนชอบธรรม” หรือ “เราเป็นคนชอบธรรม ที่ยังทำบาปอยู่” นี่ตามพระคัมภีร์ ตามข่าวประเสริฐของพระเยซูเลย ถ้อยคำพระเจ้าไม่ได้บอกว่าเราเป็นคนบาป เพราะเราทำบาป แต่เราเป็นคนบาป มาตั้งแต่ก่อนเกิดมา ก็เป็นแล้ว นี่คือพื้นฐานของข่าวประเสริฐ โรม 5:19 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
โรม 5:19 “เพราะการไม่เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียว ทำให้คนเป็นอันมากเป็นคนบาป”
“เป็นคนบาป” เราไม่ได้เป็นคนบาป จากการกระทำบาป เพราะเรายังไม่ได้กระทำอะไรเลย ยังไม่ได้เกิดด้วยซ้ำไป แต่เราเป็นคนบาป จากเชื้อบาปที่ส่งต่อกันมาจากบรรพบุรุษ คืออาดัม มนุษย์ทุกคนเกิดมาเป็นบาปแล้ว โดยที่ยังไม่ต้องทำอะไรเลย ก็เป็นบาปแล้ว แต่สิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำ ในข่าวดีของพระองค์ บนไม้กางเขนนั้นคืออะไร? คือได้ลบล้างเอาความบาปของเราไปจนหมดสิ้น เรียบร้อยแล้ว เมื่อความบาปในตัวเราหมดสิ้นลง เราก็ไม่ใช่เป็นคนบาปอีกต่อไป เราได้เป็นคนชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว และไม่มีวันที่จะกลับไปเป็นคนบาปได้อีกแล้ว เพราะเราเกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม เราเกิดแล้ว เกิดเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว แต่ในพระคัมภีร์ก็สอนเราบอกว่าแม้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว แต่อาจจะเป็นผู้ชอบธรรมที่บางครั้งยังทำบาปอยู่ นี่ต่างหาก เป็นความจริง เป็นพื้นฐานพระคัมภีร์มากกว่า
พระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนว่าพระคุณของพระเจ้า ที่ประทานพระเยซูคริสต์ เพื่อมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ทั้งหลายนั้น พระเยซูทำครั้งเดียวพอ ที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย การกระทำครั้งเดียวพอ ได้ทำให้มนุษย์ทั้งหลาย คนบาปที่เกิดมาบาป จากบรรพบุรุษนั้น ได้สามารถกลายมาเป็น … “กลายมาเป็น” ก็คือบังเกิดมาเป็นนั่นเอง ได้สามารถมาบังเกิดเป็นผู้ชอบธรรมนิรันดร์ได้ ในโรม 5:15-16 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …
โรม 5:15-16 “15 แต่ของประทานนั้น ต่างจากการล่วงละเมิด เพราะถ้าคนเป็นอันมาก ตาย เพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์เพียงคนเดียว ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระคุณของพระเจ้า และของประทาน โดยพระคุณของพระเยซูคริสต์เพียงผู้เดียวนั้น ย่อมล้นไหลไปสู่คนเป็นอันมาก 16 และของประทานจากพระเจ้า ก็ต่างจากผลของบาปของมนุษย์คนเดียว กล่าวคือการพิพากษาเกิดขึ้น หลังจากการทำบาปเพียงครั้งเดียว และนำไปสู่การลงโทษ แต่ของประทานเกิดขึ้น หลังจากการล่วงละเมิดหลายๆ ครั้ง และนำไปสู่การนับเป็นผู้ชอบธรรม”
ทำผิดครั้งเดียว บาป พูดง่ายๆ ทำผิดหลายๆ ครั้ง ก็ยังเป็นผู้ชอบธรรมอยู่ นี่สรุปสั้นๆ เกิดมาบาป ทำอะไรก็บาป เพราะมันเกิดมาบาป เกิดมาตรงกันข้ามกับบาป ก็คือเกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม ทำอะไรบาป ก็ยังเป็นผู้ชอบธรรม เพราะมันเกิดมาเป็น
พระคัมภีร์ยังมีบอกไว้ชัดเจนเลยว่าเราเป็นคนบาป โดยไม่ใช่จากการกระทำของเราฉันใด เราเป็นผู้ชอบธรรม ก็ไม่ได้มาจากการกระทำของเราฉันนั้น ทิตัส 3:5 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …
ทิตัส 3:5 “พระองค์ทรงช่วยเราให้รอด ไม่ใช่เพราะความชอบธรรมที่เราได้ทำ แต่เพราะพระเมตตาของพระองค์ พระองค์ทรงช่วยเราให้รอด ผ่านทางการชำระแห่งการบังเกิดใหม่ และการทรงสร้างขึ้นใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
“ผ่านทางการชำระแห่งการบังเกิดใหม่” ก็คือบริสุทธิ์สะอาด พ้นจากบาป โดยการบังเกิดใหม่ ไม่ใช่โดยการกระทำ เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม ดีงามเลย โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยฤทธิ์เดช ไม่ใช่โดยการกระทำของเรา แต่เป็นอัศจรรย์ เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า ที่กระทำการงาน เมื่อเราเปิดใจเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราได้บังเกิดใหม่ทันที ฤทธิ์อำนาจนี้เข้าไปทำงานทันที นำพาเราให้เกิดใหม่ เกิดใหม่ไปอยู่ไหน? เข้าไปอยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้า เข้าไปอยู่ในสวรรค์ของพระเจ้า เข้าไปเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้านั่นเอง ก็คือเข้าสวรรค์นั่นเอง ไม่ใช่โดยการกระทำเลย
เพราะฉะนั้น คติสำหรับการเข้าสู่สวรรค์ ได้เป็นลูกของพระเจ้า สำหรับผู้ที่เป็นมนุษย์ทั่วๆ ไปทั้งหมด ที่ยังไม่ได้เชื่อ หรือเหมือนเราในอดีต คือ “ความพยายามอยู่ที่ไหน? ความพยายามก็อยู่ที่นั่น” คติของเราในอดีต ที่เราแสวงหา จะไปอยู่ในสวรรค์ คือความพยายามจะไปสู่สวรรค์อยู่ที่ไหน? ความพยายามก็ยังคงอยู่ที่นั่น ไม่มีวันสำเร็จเลย แต่เมื่อมาเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ จะเปลี่ยนเป็น “ความเชื่อพระเยซูอยู่ที่ไหน? ความสำเร็จอยู่ที่นั้น” “ความพยายามอยู่ที่ไหน? ความไม่สำเร็จอยู่ที่นั้น” พระคัมภีร์บอกชัดเจนเลย ทำอย่างไรก็ไม่มีทางได้ ต้องเชื่อเท่านั้นเอง เชื่อในใคร? เชื่อในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น ที่พระเจ้าส่งมาให้
ความเชื่อในพระเยซูอยู่ที่ไหน? ความสำเร็จอยู่ที่นั่น พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว ผ่านทางเราสำเร็จเรียบร้อยแล้ว สู่สวรรค์ แต่ถ้าความพยายามอยู่ที่ไหน? คือทำด้วยตนเอง ความพยายามก็ทำต่อไป ไม่สำเร็จ นี่คือคติที่ฝากไว้
เพราะฉะนั้น สรุปว่าคำพูดที่เราคุ้นเคยกันมายาวนานว่า “เราทุกคนทำบาป และเป็นคนบาป” เป็นคำพูดที่ถูกต้องหรือไม่? ตามหลักพระคัมภีร์หรือเปล่า? นึกในใจ ตอบในใจ ใช่หรือไม่? คำตอบ ก็คือถูกต้อง (ถูกต้อง ตอนก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า” ถูกไหม? คิดตามนะ แต่หลังจากเชื่อแล้ว ไม่ถูกต้อง เอามาใช้กับฉันไม่ได้แล้ว ถูกหรือไม่ถูก? ความจริงที่ถูกต้อง สำหรับผู้เชื่อ คือเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไปแล้ว จากการมีส่วนร่วมในการตายพร้อมพระเยซูคริสต์ และได้บังเกิดใหม่พร้อมพระองค์เรียบร้อยไปแล้ว ในวันที่เราเปิดใจรับเชื่อ และเราได้เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมพระองค์ นั่งกับพระองค์ในสวรรคสถาน เราเป็นแค่อดีตคนบาป แต่ปัจจุบันเป็นคนชอบธรรม ที่บางครั้งทำบาป
เราเคยตอบใครอย่างนี้ไหม? เราเป็นคริสเตียนแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เคยตอบใครอย่างนี้ไหมว่าขณะนี้เราเป็นใคร? เราเคยบอกกับพระเจ้าไหมว่า …
“ขอบคุณพระเจ้า ลูกไม่สมควรเลย ที่จะเป็นลูกของพระองค์ ขอบคุณพระเจ้า ลูกเลว ไม่สมควรที่จะได้รับความรอดจากพระองค์เลย ขอบคุณพระเจ้าที่ลูกสกปรก เต็มไปด้วยความชั่วร้าย ไม่เหมาะสมที่จะเป็นลูกของพระองค์เลย ขอบคุณพระเจ้า แต่ว่า …”
มันต้องมีอย่างนี้ … “แต่ว่าขอบคุณพระเจ้า เดี๋ยวนี้ ด้วยพระคุณอันมหาศาลของพระองค์ ที่ทรงชุบให้ลูกเป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ ลูกจึงได้เป็นลูกของพระองค์ที่ชอบธรรมเรียบร้อยแล้ว เป็นลูกของพระองค์ที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์เหมือนพระองค์เลยทีเดียว ขอบคุณพระเจ้า ลูกเป็นผู้ชอบธรรม”
มันต้องเป็นอย่างนี้ ไม่อย่างนั้นเราอธิษฐานครึ่งเดียว ครึ่งแรก แล้วก็จบ ก็กลายเป็นผู้ชอบธรรม ที่เต็มไปด้วยความสกปรก โสโครก ลูกพระเจ้าโสโครกได้อย่างไร? มันขัดแย้งกันไหม? เห็นอะไรบางอย่างไหม? มันก็เป็นจริง เฉพาะในอดีต อธิษฐานได้ครั้งเดียว ก่อนมาเชื่อพระเจ้า …
“ฉันเลวขนาดไหน?”
แต่พอเชื่อปั๊บ ไม่เลวแล้ว มันต้องพูดตามถ้อยคำพระเจ้า ตามข่าวประเสริฐ ตามข่าวดีของพระเจ้า บอกว่าหลังจากนั้น เราได้บังเกิดใหม่อย่างไรบ้าง? เหมือนตะกี้นี้ที่เราเล่าสู่กันฟังมา ถูกไหม? พอเราเชื่อในพระเจ้า เราได้เกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว มีชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว มีหรือยัง? มีแล้ว เรามีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า นอกจากพระเยซูแล้ว เราไม่มีทางที่จะมีชีวิตนิรันดร์ คือการพยายามทำด้วยตนเองเลย เรายังคงสกปรก โสโครก เป็นคนบาปอยู่ แต่ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ได้ทำให้เรามีชีวิตนิรันดร์ ได้มีส่วนหนึ่งของชีวิตนิรันดร์ ของพระองค์ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา พระองค์แบ่งชีวิตให้กับเรา ซึ่งเราไม่มีชีวิตเลย ก่อนหน้านี้ เราเป็นคนตายอยู่ วิญญาณเราตายอยู่ คือไม่มีพระเจ้าอยู่ในนั้น เขาเรียกว่าไม่มีชีวิต ก็เหมือนกับไม่มีแสงสว่าง ไม่มีแสงสว่าง ก็ไม่มีความรัก ไม่มีความรัก ก็ไม่มีพระเจ้า เราอยู่ในความพินาศ พระคัมภีร์บอก เราอยู่ในนรก ในขณะนั้น ตายอยู่
แต่พอเรามาเชื่อในข่าวประเสริฐปุ๊บ เราได้กลับทันทีเลย มาเป็นผู้ที่พระเจ้าประทานชีวิตให้กับเรา ชีวิตนิรันดร์ ชีวิตที่จะเป็นชีวิตอย่างนี้ตลอดไป ไม่มีการกลับมาตายอีกแล้ว นี่คือชีวิตที่เราได้รับหลังจากเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ และข่าวดีของพระองค์ และได้บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว เอเมนไหม? นี่คือความเป็นจริงที่เราจะต้องใส่ใจ และไตร่ตรอง และสำนึกอยู่ตลอดเวลา เพื่อเราจะได้พูดข่าวประเสริฐ ให้มันตรงกับคำพูดที่ปากเราพูดออกไป ข่าวประเสริฐเป็นอย่างไร? เราก็พูดอย่างนั้น ตอบใคร ก็ตอบอย่างนั้น
ถ้าใครมาบอกว่า … “เธอเป็นคนบาป ไม่เหมาะสมที่จะได้รับความรอด”
“ใช่ แต่ตอนนี้ พระเจ้าประทานพระคุณให้ฉันรอดแล้ว ฉันเกิดใหม่แล้ว ฉันเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว”
และเมื่อเกิดใหม่ ในพระเยซูแล้ว เมื่อเริ่มต้นเชื่อ และได้เกิดใหม่แล้ว พระคัมภีร์บันทึกว่าเกิดแล้ว ก็เกิดเลย ไม่มีเกิดๆ ตายๆ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ก็เป็นเลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ถูกหรือไม่?
เราก็คิดในใจ ใช่เนอะ จะเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้อย่างไร? เป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าไม่ปล่อยเราออกมาจากมือของพระองค์แล้ว เพราะฉะนั้น เราไม่สามารถเป็นทั้งคนบาป และเป็นทั้งคนชอบธรรมในเวลาเดียวกันได้เลย ถูกหรือไม่ถูก?
นี่ไง หลายครั้ง เราไม่เข้าใจ เราได้ยินเขาพูดมาอย่างนั้น แต่ไหนแต่ไร เราก็เชื่ออย่างนั้น เราก็พูดออกไปอย่างนั้น เรากำลังพูดแย้งกับตัวเราเองว่าตอนนี้เราเป็นคนบาป ทั้งๆ ที่เราเป็นคนชอบธรรม สรุปแล้ว ตกลงเราจะเป็นอะไรกันแน่ ต้องเป็นสักอย่างหนึ่ง
มนุษย์หนึ่งคน มีได้แค่หนึ่งสัญชาติบนโลกฉันใด มนุษย์ 1 คนก็มีได้เพียง 1 สัญชาติในโลกวิญญาณฉันนั้น
ในโลกวิญญาณก็เหมือนโลกใบนี้ โลกใบนี้ท่านเป็นสัญชาติไทย ท่านก็เป็นไทย ก็ไม่สามารถเป็นสัญชาติอื่นได้ ในโลกวิญญาณยิ่งชัดเจนใหญ่ว่าท่านจะเป็นสัญชาติไหน? สัญชาติในโลกวิญญาณ คือเป็นคนบาป หรือเป็นคนชอบธรรม มีอยู่ 2 อันให้เลือกเท่านั้นเอง 2 สัญชาติ สัญชาติหนึ่งมาจากอาดัม เรียกว่าสัญชาติของคนบาป สัญชาติอันหนึ่งมาจากพระเยซูคริสต์ เรียกว่าชนชาติชอบธรรม
สัญชาติบาป ก็คือสัญชาติที่อยู่ในอาณาจักรของความมืด
สัญชาติชอบธรรม ก็คือสัญชาติที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในอาณาจักรหนึ่งที่เรียกว่าแสงสว่างที่มีพระเจ้าอยู่ ที่ไม่ต้องถูกลงโทษ ที่ได้รับการอภัยโทษทั้งสิ้น
มีอยู่แค่ 2 อันเอง ไม่สามารถอยู่ตรงกลางๆ ได้
เพราะฉะนั้น ชัดเจนแล้วนะว่าตัวอย่างคำพูดคุ้นหู ที่ขัดแย้งกับข่าวประเสริฐ หรือข่าวดี เป็นอย่างไร? อันแรกผ่านไปแล้ว “เราทุกคนทำบาป และเป็นคนบาป” สรุปสำหรับคริสเตียน เป็นคำพูดที่บิดเบือน เป็นคำพูดที่ไม่ถูกต้อง สำหรับผู้ที่เชื่อแล้ว เป็นคำพูดที่ทำลาย ให้ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เสียหาย เป็นคำพูดที่ปฏิเสธพระเยซู เป็นคำพูดที่กำลังกล่าวหาพระเยซูว่าพระองค์ทรงโกหก พระองค์ทรงบอกว่าสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน ชำระบาปให้กับเราเรียบร้อยแล้ว แต่เรายังบอกว่าพระองค์โกหก ไม่จริงหรอก เพราะเราพูดว่า “เรายังเป็นคนบาปอยู่”
มาดูตัวอย่างคำพูดคุ้นเคย ที่ไม่ตรงตามพระคัมภีร์อีกอันหนึ่ง ที่เด่นดังพอสมควร สับสนมากพอสมควร ก็คือ “ได้รับแล้ว แต่ต้องรอก่อน” ยกตัวอย่างให้เห็นชัดๆ เหมือนแม่สั่งให้เราซื้อก๋วยเตี๋ยว แล้วก็สั่ง Grab มาส่ง ปรากฏว่า Grab ส่งมาให้เรียบร้อยแล้ว วางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว จัดเรียบร้อยแล้ว แม่ถาม เราก็บอกว่ารอก่อน รออะไร? รอก๋วยเตี๋ยวมา ก๋วยเตี๋ยววางอยู่บนโต๊ะนั่นแหละ แล้วเราบอกรอก่อน อะไรประมาณนี้ มายัง มาแล้ว แต่รอก่อน ทั้งๆ ที่มันตั้งอยู่บนโต๊ะแล้ว รอก่อนอะไรล่ะ ไหนบอกมาแล้วไง งง คนพูดก็ไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร?
คริสเตียนเป็นอย่างนี้จริงๆ นะ ไม่เชื่อ เดี๋ยวผมจะพาไปดู ได้รับแล้ว แต่ต้องรอก่อน ซึ่งแน่นอน เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว อาจมีบางอย่างที่ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว พระคัมภีร์บอกว่าอย่างไร? พระองค์ได้ประทาน หรือจัดเตรียมให้เราแล้ว และเราจะได้รับเมื่อถึงเวลา ถูกไหม? มีหลายอย่างที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ประทานให้แล้ว และเราก็ได้รับมาเรียบร้อยแล้ว สำเร็จแล้ว ถูกไหม? มี 2 อย่าง มีอย่างหนึ่ง พระองค์บอกว่าจบแล้ว ได้รับไปเลย แต่มีอันหนึ่ง พระองค์สัญญาว่าแล้วจะได้รับทีหลัง เต็มไปด้วยความหวังที่มีกำลัง นี่เต็มไปด้วยความเชื่อ นี่คือข้อมูลจากข่าวดีของพระเยซูคริสต์ในพระคัมภีร์
ตัวอย่างสิ่งที่พระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ประทานให้แล้ว แต่ยังอยู่ในกระบวนการที่ต้องรอ ให้ถึงเวลาที่เหมาะสมก่อน คืออะไร? เช่นอะไรบ้าง? ในพระคัมภีร์บอกไว้ เช่น ให้รอก่อน ก็คือเป็นกระบวนการ พอเชื่อพระเจ้าปั๊บ เริ่มขบวนการนี้ทันเลย กระบวนการ ก็คือยังไม่ได้รับ แต่อยู่ในขบวนการ ค่อยๆ มา ค่อยๆ ไป อยู่ในความหวังที่เต็มไปด้วยความเชื่อในพระองค์ เช่น ให้รอ เป็นกระบวนการ ค่อยๆ เจริญเติบโตเรื่อยๆ เช่น สติปัญญาไง ความรู้เรื่องพระเจ้า ความรู้เรื่องข่าวประเสริฐไง ความเข้าใจในเรื่องของพระเจ้า ในเรื่องของการเป็นลูกของพระเจ้า เป็นอย่างไร? การเจริญเติบโตในทางของพระเจ้าเป็นอย่างไร? การเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่ ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจให้เหมือนพระเยซูไง สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่พระเจ้าสัญญาว่าพระองค์จะกระทำการงานของพระองค์ ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงสถิตอยู่ในเรา เมื่อวันแรกที่เราเริ่มต้นรับเชื่อ พระวิญญาณเข้ามาสถิตอยู่ด้วย และจะกระทำสิ่งเหล่านี้ ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสิ้นยุค
ทำเพื่อให้มันค่อยๆ เกิด ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกันด้วย ช้าหรือเร็ว ไม่เท่ากันอีกต่างหาก แต่ละคนที่มาเชื่อ แต่สิ่งเหล่านี้อยู่ในกระบวนการ การเจริญเติบโต การค่อยๆ ได้มาทีละนิด ทีละหน่อย การโต เห็นไหม?
หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง อันนี้ก็ชัดเจน ที่พระเจ้ายังไม่ให้ แต่จะให้ คืออยู่ในคำสัญญานั่นแหละ ก็คือร่างกายสวรรค์ ร่างกายใหม่ที่พระคัมภีร์ว่าหลังจากที่เราจากโลกนี้ไปแล้ว หลังจากที่วิญญาณออกจากร่างนี้เรียบร้อยแล้ว ร่างกายเก่านี้ มันเสื่อมสลาย กลายเป็นดินแล้ว หมดลมหายใจแล้ว เราจะออกจากร่าง และรับร่างกายสวรรค์ ร่างกายใหม่ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ทันทีเลย เมื่อออกจากร่าง เปลี่ยนมิติวิญญาณ ออกจากร่างปั๊บ ได้รับร่างกายใหม่ทันทีเลย
ถามว่าได้รับหรือยังร่างกายใหม่? ยัง ต้องรอไหม? รอ อันนี้ชัดเจนเลย
นี่คือบางตัวอย่างของสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าให้รอก่อน ด้วยความหวังที่เต็มไปด้วยความเชื่ออย่างชัดเจน เพราะว่าได้รับมา สิ่งที่ได้รับมาแล้ว อยู่ข้างใน เต็มไปหมดเลย ซึ่งเรากำลังจะมาดูต่อไปว่ามีอะไร?
ตะกี้นี้ ก็คือตัวอย่างของสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าให้รอก่อน แล้วจะได้รับ ให้มีความหวังไว้
คราวนี้มีหลายอย่างที่พระคัมภีร์บอกว่า “เราได้รับมาเรียบร้อยแล้ว” เวลาเราพูดอย่างนี้ ที่ผมให้พูดอย่างนี้ ฟังดูเหมือนง่ายๆ นะ แต่บอกท่านได้ว่ามันไม่ง่ายเลย สำหรับสังคมของคริสเตียนบนโลกใบนี้ ที่เรากำลังพูดตอนนี้ ถ้าท่านเชื่อตามที่ท่านพูดเมื่อสักครู่นี้ แล้วรับรู้ว่าอะไรที่ได้มาแล้ว ท่านจะสังเกตได้เลยว่าเมื่อท่านออกจากที่นี่ไป ไปสู่สังคมของผู้เชื่อ หรือคริสเตียนทั้งโลกนี้ …
“เอ๊ะ! ทำไมเขาพูดไม่เหมือน ตรงกับข่าวประเสริฐตรงนี้เลย” มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
สิ่งที่พระคัมภีร์บอกเราได้รับเรียบร้อยแล้ว สังคมข้างนอก ก็ยังมีการบิดเบือน คำพูดบิดเบือน คำสอนว่ายังได้ไม่ครบถ้วน ยังต้องรอก่อน จับตรงนี้ไปรวมกับที่รอ กลายเป็นไปรอด้วยกันเลย อันที่ได้ ก็เลยยังไม่ได้ ก็เลยรวมไปรออยู่กับรับร่างกายใหม่ แล้วค่อยได้ด้วย พอเข้าใจใช่ไหมครับ?
สิ่งที่พระคัมภีร์บอกว่าได้รับเรียบร้อยแล้ว แต่ความเท็จบอกว่ายังไม่ได้ครบถ้วน ยังต้องรอก่อน อะไรที่ได้รับมาเรียบร้อยแล้ว เช่น บอกว่า …
“เราได้รับความรอดแล้ว”
เมื่อเชื่อพระเจ้า เราได้รับความรอดหรือยัง? ได้รับแล้ว แต่มีคนบอกว่าเราได้รับความรอดแล้ว และให้เรารอจนถึงวันพิพากษา วันที่เราจากโลกนี้ไปแล้ว เราจึงจะได้ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์เขียนไว้ชัดเจนว่า ณ บัดนี้ เราได้นั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในสวรรค์สถานแล้ว
ฟังดูเหมือนต่างกันไม่เยอะ เดี๋ยวจะชี้ให้เห็นว่าต่างกันเยอะขนาดไหน?
ถ้ามีคนบอกว่าท่านได้รับความรอดแล้ว แล้วก็รอให้ได้รับความรอด ในวันพิพากษา ซึ่งท่านต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ ไม่เช่นนั้น ถึงวันพิพากษา ท่านอาจจะไม่รอด กับความเป็นจริง ในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเมื่อท่านเชื่อในพระเจ้าแล้ว ท่านรอดเข้าสู่สวรรค์เลยทันที นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรค์เรียบร้อยแล้ว มันต่างกันฟ้ากับเหวเลย แต่สิ่งสำคัญ ก็คือทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้าเสียหายไง มันกระทบถึงคำพูดของพระเยซูว่าพระองค์พูดไม่จริง พระองค์ทำไม่จริง เอเฟซัส 2:3-6 ได้อธิบายเรื่องนี้ชัดเจน …
เอเฟซัส 2:3-6 “3 ครั้งหนึ่งเราเคยมีชีวิต เหมือนกับผู้คนเหล่านั้นที่ (ไม่เชื่อ) ทำตามตัณหาของวิสัยบาปของเรา สนองความอยากกับความคิดของมัน ตามธรรมชาติบาปของวิญญาณที่ตายของเรา (ซึ่งไม่บริสุทธิ์ ไม่มีพระลักษณะของพระเจ้า) เราจึงควรแก่การถูกลงโทษสาปแช่งเหมือนคนอื่นๆ (ที่ไม่เชื่อไม่ได้ใช้สิทธิ์ในการไถ่บาปที่พระเยซูได้กระทำให้) 4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา กลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”
สรุปสั้นๆ ง่าย ก็คือ ข้อ 3 บอกว่า “ครั้งหนึ่ง” คือครั้งในอดีต ก่อนเรารับเชื่อ เราตายอยู่
ข้อ 6 บอกว่าและเดี๋ยวนี้เมื่อเราเชื่อแล้ว “แต่เดี๋ยวนี้ เราได้บังเกิดใหม่” และจบสุดท้ายบอกว่า “พระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นจากความตาย คือได้ให้เราบังเกิดใหม่” ก็คือเมื่อเราเชื่อพระเจ้าปั๊บ เราได้รับทันทีเลย คือการบังเกิดใหม่ แบบเป็นลูกของพระเจ้า วิญญาณเราเปลี่ยนทันทีเลย ได้บังเกิดใหม่ทันที การบังเกิดใหม่นั้น ก็คือการเข้าสู่สวรรค์ทันที และไปอยู่ที่ไหนล่ะ มันต้องมีที่อยู่ในสวรรค์ ก็คือเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ก็หมายถึงได้รับสิทธิอำนาจเท่าๆ กันกับพระเยซูคริสต์ อยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว ในวิญญาณเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ว่าเราจะเข้าใจในข้อความนี้หรือไม่เข้าใจก็ตาม แต่เราต้องเชื่อว่าในนี้เป็นอย่างนั้น แต่เราไม่เข้าใจ เพราะว่าเราเป็นมนุษย์ เราไม่สามารถจะเข้าใจได้ว่านั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์สถานเป็นอย่างไร? แต่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เราไม่เข้าใจจริงๆ แต่เรารู้อย่างเดียวว่าเราอยู่ในสวรรค์ เพราะในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เราอยู่ในสวรรค์ ในพระคริสต์
นี่คือข้อหนึ่งในจำนวนหลายๆ ข้อที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ พูดถึงเรื่องนี้ว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว สิ่งที่เราได้รับเรียบร้อยแล้ว ตามพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ มีนี่อีก โคโลสี 1:12-14 อีกข้อหนึ่ง …
โคโลสี 1:12-14 “12 ขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด (ในอาดัม) และได้ย้ายเราเข้ามา (บัพติศมาอาศัยอยู่ใน) อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ (พระเยซูคริสต์) 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”
“ขอบคุณพระบิดาผู้ได้ทรง ทำให้พวกท่าน” ภาษาเดิมตรงนี้หมายถึง “ได้ทรง” เป็นอดีตแล้ว ได้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสม ที่มีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากร ก็คืออยู่ในสวรรค์ ในอาณาจักรแห่งแสงสว่าง ก็คือในสวรรค์ได้หรือยัง? ได้แล้ว อยู่ในสวรรค์หรือยัง? อยู่แล้ว อยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างหรือยัง? อยู่แล้ว เป็นประชากรของพระเจ้าหรือยัง? เป็นแล้ว
“เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด (ในอาดัม) และย้ายเราเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ก็คือบัพติศมาเรา ให้อยู่ในพระเยซูคริสต์ พระบุตรอันเป็นที่รักของพระองค์ พระองค์ได้ทรงช่วยเรา” ได้หรือยัง? ได้แล้ว ย้ายจากอาณาจักรของความมืดหรือยัง? ย้ายแล้ว อยู่ในอาณาจักรของความสว่างแล้ว เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง ในพระเยซูคริสต์หรือยัง? ได้ย้ายแล้ว นั่งแล้ว อยู่ที่ตรงไหน? อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน
ในข้อ 14 บอก “ในพระบุตรนี้ คือในพระเยซูคริสต์ ในตำแหน่งนี้ เราได้รับการไถ่บาป หรือการอภัยโทษบาปของเราทั้งหมดแล้ว”
บาปทั้งหมด หมดยัง? หมดแล้ว พรุ่งนี้ ไปโกรธใคร? ไปเกลียดใคร? ไปอิจฉาใคร? ทำบาปหรือเปล่า? ทำหรือไม่ทำ? ทำ คิดหงุดหงิดเขา ทำไหม? ทำ ซึ่งเป็นบาปหรือเปล่า? เป็น การกระทำอย่างนั้น เป็นบาป แต่เราไม่ได้เป็นคนบาป เราเป็นคนชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้าที่เผลอ ที่ถูกล่อลวง ที่หลงไปเชื่อระบบของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ระบบของบาป โปรแกรมเก่าๆ ในสมองของเรา และก็ไปทำตาม ล้มลงไปในความบาป เรียกว่าประพฤติบาปเท่านั้นเอง ก็คือเราเป็นผู้ชอบธรรม บางครั้งทำบาปนั่นเอง เป็นลูกของพระเจ้า ซึ่งบางครั้ง ทำเป็นเหมือนไม่ใช่ลูกพระเจ้า อะไรประมาณนั้น
เราจะเห็นได้ว่าพื้นฐานของความจริง ของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ถ้าเผื่อพื้นฐานของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ไม่หนักแน่น ไม่ลึกซึ้ง ไม่แข็งแกร่งอย่างศิลาอย่างนี้ สิ่งที่พูด สิ่งที่อธิบาย มันจะขัดแย้งกันไปมาแบบนี้ เห็นไหมครับ ผมชี้ให้ดูวันนี้ รายละเอียดบางๆ ซึ่งเขาทำกันอยู่ ทุกวันนี้ก็ทำกันอยู่อย่างนี้ ต่อไปนี้ ท่านจะสามารถสังเกตดูได้มากขึ้น จากคำบรรยายในวันนี้
ความจริงที่ขัดแย้งกัน คือคนที่ไม่รู้ความจริง แล้วก็ไปพูดเรื่องถ้อยคำพระเจ้า ในที่อื่นๆ ในการประกาศ หรือในการสอน คือไม่รู้เรื่องข่าวประเสริฐจริงๆ ลึกซึ้ง แล้วไปทำการสอน และก็เอาความคิด เอาความคุ้นเคย ความเชื่อเดิมๆ ก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า ผสมผเสเข้าไป ก็เลยกลายเป็นเละตุ้มเป๊ะ คนที่เขาประกาศ หรือสอนแบบนี้ เขาก็แย้งตัวเอง และก็แย้งกันเองด้วย เช่นบอกว่า …
“ได้รับความรอดแล้ว แล้วก็บอกว่าต้องรอตายก่อน ถึงจะได้รับความรอด”
ไปโบสถ์นี้บอกว่าได้รับความรอดแล้ว แต่โบสถ์นี้บอกว่าได้รับความรอดแล้วก็จริง แต่ต้องรอให้ตายก่อน แล้วค่อยถึงจะพิสูจน์ว่ารอดจริงไหม? นี่เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น คนฟังก็เลยบอกว่า …
“แล้วตกลงผมจะเชื่อทางไหนดี? ตกลง รอดแล้ว ตายไป ผมไปสวรรค์จริงๆ หรือไม่?”
ผู้ที่สอนแบบไม่เข้าใจ เขาก็จะตอบไม่ได้ เขาก็จะบอกว่า …
“ก็ไม่รู้นะ ก็พยายามรักษาความรอดให้ดีแล้วกัน พยายามรักษาตัวให้ดีๆ ถึงวันนั้น แล้วจะรู้เองว่าเราจะรอดหรือไม่รอด” … มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ
ได้รับความรอดแล้ว แต่ยังไม่รอดจริง ต้องรักษาความเชื่อ รักษาความรอดด้วย อย่าพูดอย่างนั้นไปนะ มาเชื่อพระเจ้าแล้วบอกว่ารอดแล้ว รอดเลย ต้องรักษาความรอดให้ดีๆ จนถึงวันสุดท้าย อดทนให้ถึงที่สุดนะ ถ้าอดทนไม่ถึงที่สุด พระเจ้าจะคายท่านออกมา ตายเลยแบบนี้ เครียดไหมล่ะ สรุปเราเลยไม่รู้ว่ารอดหรือไม่รอด?
เพราะฉะนั้น เราต้องการย้ำว่าข่าวประเสริฐบอกให้ชัดๆ ตรงๆ อย่างนี้ว่าอะไร? อะไรที่ได้แล้ว ก็บอกว่าได้แล้ว เช่นบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว รอดนิรันดร์แล้ว ชีวิตนิรันดร์ได้รับแล้ว อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้ว นั่งที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์แล้ว สิ่งเหล่านี้เราต้องพูดตามนั้นว่าเราได้รับเรียบร้อยแล้ว มั่นอกมั่นใจเลย ใครมาถาม ใครมาประกาศให้กับใคร? บอกอย่างนี้เลย ชัดเจน อะไรที่ยังไม่ได้ ก็บอกว่ายังไม่ได้ เช่น ความรู้ ความเข้าใจในเรื่องของพระเจ้า ที่ต้องผ่านการค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป การเรียนรู้ เป็นขบวนการ อย่างนี้ต้องรอก่อน ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปนะ หรือไม่ก็เรื่องเกี่ยวกับร่างกายใหม่ โลกใหม่ที่เราจะอยู่กับพระองค์ในสวรรคสถานนิรันดร์ รับร่างกายใหม่ ต้องรอ อันนี้ต้องอดทน ถึงวันสุดท้ายนะ ไม่ใช่อดทนรักษาไว้นะ ไม่ต้องรักษา มันเป็นของเราอยู่แล้ว ด้วยความเชื่อ พระเจ้าเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว แต่ให้อดทนต่อความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้อีกนิดเดียว อีกแป๊บเดียว เดี๋ยวๆ มันก็ถึงวันนั้น แล้วก็ไปอยู่ในสวรรค์แล้ว รับร่างกายใหม่ อย่างนี้พูดได้ อย่างนี้รอได้ ตามพระคัมภีร์เลย รอด้วยการมีความหวังที่ชัดเจน ไม่ใช่เอามาผสมกัน อะไรที่ได้แล้ว ก็บอกว่าให้รอตายก่อน ถึงจะได้ เพราะฉะนั้น ท่านฟังจากข้อมูลข้างนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยูทูป ในอะไรต่างๆ เยอะไปหมด จะเป็นอย่างนี้ ท่านจะได้ไม่สับสน ในความเข้าใจผิดของผู้คนที่ใส่ข้อมูลเหล่านั้นเข้ามา ทำให้ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เสียหาย คำพูดที่แย้งกันเอง แย้งกันไปแย้งกันมา ก็อย่างที่บางคนสอนถ้อยคำพระเจ้าไป วันนี้พูดอย่างนี้ แต่พรุ่งนี้พูดอีกอย่างหนึ่ง โดยที่เขาก็ไม่คิด แต่พอเขามาคิดจริงๆ เขาก็คงงงเหมือนกัน แย้งกัน
ยกตัวอย่างเช่น ท่านมาเชื่อพระเจ้าแล้ว พอท่านเปิดใจเชื่อ พระเยซูคริสต์จะมาสถิตอยู่กับท่านเลยทีเดียว พระเจ้าจะมาสถิตอยู่กับท่านเลย พอตอนจบบอกว่าขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยนะ มันแปลว่าอะไร? บางทีเราฟังดูเล็กน้อย แต่เรากำลังจะบอกว่าตกลงสรุปแล้วตะกี้นี้ตอนเทศน์ บอกว่าเราเชื่อแล้ว เราเป็นคริสเตียนแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา สถิตอยู่จริงไหม? จริงสิ อ้าวจริง แล้วทำไมตอนจบ บอกว่า … “ขอพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย” … แสดงว่าขอพระองค์เข้ามาสถิตอยู่ด้วย
หรือไม่ก็ “ลูกทำบาปผิดไปแล้ว ขอพระองค์ทรงอย่าจากลูกไปเลย ขอพระองค์ทรงกลับมาอยู่เหมือนเดิม”
มีอย่างนี้ด้วยหรือ? แย้งกันใช่ไหม? เพราะถ้ารู้ความจริงตามถ้อยคำพระเจ้า ทุกอย่างมันจะลงตัวหมดเลย มันจะอธิบายได้หมด ทุกถ้อยคำมันจะเสริมกัน มันจะไม่ขัดแย้ง อะไรที่บอกว่ารอ ก็บอกรอ อันไหนที่ได้รับ ก็ได้แล้ว มันจะตรงกับข่าวประเสริฐหมดเกลี้ยงเลย ชัดเจน แจ่มแจ๋ว ไม่มีการแย้งกันเอง ตอบได้ทุกอัน
เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ต้องสำนึก แล้วก็เตรียมไว้ในการประกาศข่าวประเสริฐของเรา ใครถามเราเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า เราตอบได้ทันทีเลย ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คืออะไร? คือเมื่อท่านเปิดใจตอนนี้ เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาปที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษยชาติ เปิดใจต้อนรับพระองค์ พระองค์จะเข้ามา ทำให้ท่านบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม และเข้าสู่สวรรค์ทันทีเลย เดี๋ยวนี้ และเมื่อวันที่ท่านจากโลกนี้ไป วิญญาณท่านออกจากร่าง ท่านจะไปรับร่างกายใหม่ จากพระเจ้าที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เห็นตัวเองหน้าต่อหน้าว่า …
“หน้าตาฉันที่บังเกิดใหม่ หน้าตาเป็นอย่างไร?”
และท่านจะได้อยู่ในโลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างขึ้นใหม่ สะอาดหมดจด ไม่มีความบาป ไม่มีความชั่วร้าย ไม่มีสิ่งเลวร้าย ไม่มีน้ำตา ไม่มีความทุกข์ยากลำบากอีกต่อไปเลย ท่านจงอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก ในขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ ตอนนี้รอคอยสิ่งเหล่านี้นะ แต่ที่บอกว่าท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ท่านเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ต่อให้ท่านทำบาป ท่านก็ยังเป็นผู้ชอบธรรมอยู่ อะไรอย่างนี้
นี่คือข่าวประเสริฐ นี่คือสั้นๆ เอง คือเมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านได้รับทันทีเลย เข้าสู่สวรรค์ทันที ไม่ได้เป็นของโลกอีกต่อไป โลกไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของท่านอีกต่อไปแล้ว เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เมื่อวินาทีไหนก็ตาม ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซู ท่านเข้าสู่สวรรค์ทันที โลกไม่ใช่เป็นบ้านเมืองของท่านอีกต่อไปแล้ว ท่านมุ่งทางตรงกลับบ้านในสวรรค์ทันทีเลย ชีวิตท่านอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าทันที สวรรค์เป็นของท่านแล้ว เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ และมีชีวิตอยู่เพื่อสวรรค์อย่างเดียว โดยท่านไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะสวรรค์เข้ามาอยู่ในตัวของท่าน พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในตัวของท่าน และก็จะจูงมือท่านไป …
“เดินทางกลับบ้านเถิดลูก”
พระเจ้าอวยพรครับ
***********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
เกิดเป็นฝรั่ง อยากเป็นคนไทยต้องทำอย่างไร? … กรุณาเลือกคำตอบ …
- ย้ายมาอยู่เมืองไทย
- ขอเปลี่ยนสัญชาติ
- แต่งงานกับคนไทย
- ฝึกกินอาหารไทย
- ฝึกพูดภาษาไทย
- เรียนรู้ประเพณีไทย
- ตายแล้ว มาเกิดใหม่ในแผ่นดินไทย
แผ่นดินสวรรค์ของพระเจ้าก็เหมือนกัน …
ยอห์น 3:3-8 “พระเยซูตรัสตอบโดยประกาศว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครเห็นอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่บังเกิดใหม่” นิโคเดมัสทูลถามว่า “คนจะเกิดใหม่ได้อย่างไร เมื่อเขาแก่แล้ว? แน่นอน เขาไม่อาจเข้าไปในครรภ์มารดาเป็นครั้งที่สอง เพื่อเกิดออกมาใหม่!” พระเยซูตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าไม่มีใครสามารถเข้าอาณาจักรของพระเจ้าได้ ถ้าเขาไม่ได้เกิดจากน้ำ (ครรภ์มารดา) และจากพระวิญญาณ มนุษย์ให้กำเนิดมนุษย์ แต่พระวิญญาณให้กำเนิดวิญญาณ ท่านไม่ควรแปลกใจที่เราบอกว่าท่านต้องเกิดใหม่ ลมพัดไปที่ไหนก็ได้ตามใจชอบ ท่านได้ยินเสียงลม แต่ท่านไม่อาจบอกว่าลมมาจากไหนหรือจะไปที่ไหน ทุกคนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เช่นกัน”
โรม 6:3-6 … “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์? (ที่ไม้กางเขน) 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการได้เข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณและพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอนเราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาปในอาดัม) ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้นจะถูกขจัดไป เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”
โคโลสี 1:13-14 … “13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่บาป คือ การอภัยโทษบาปของเรา”
การงานของพระเจ้า ก็คือการย้ายวิญญาณของผู้ที่เชื่อในข่าวดี ออกจากในอาดัมสู่ในพระคริสต์ จากตายมาเกิดใหม่ จากทาสมาเป็นลูก ออกจากอาณาจักรของความมืด มาสู่อาณาจักรสว่างของพระบุตรที่รักของพระองค์ ก็คืออาณาจักรสวรรค์ มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้จะต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่งในโลกวิญญาณในอาดัมหรือในพระคริสต์ ไม่สามารถอยู่พร้อมๆ กันทั้งสองที่ได้ มนุษย์ทุกคนต้องตัดสินใจเลือกเอง
พระเจ้าอวยพรครับ