คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม 2018 เรื่อง “จงยึดตามความจริงในถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม 2018

เรื่อง “จงยึดตามความจริงในถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ สัปดาห์ที่แล้ว เราไปค่ายกัน สนุกไหมครับ? คนที่ไปมา สนุกไหม?  สนุก ปีหน้าไปอีกไหม? ไป ปีนี้สนุกนะ  คือไม่ได้ไปทำอะไร สนุกดี  ปีหน้าไปอีกนะ ปีหน้าใครที่ยังไม่เคยไป ปีนี้ ก็ไปปีหน้า แต่จะอีกหรือเปล่า ก็ไม่รู้นะ แล้วแต่พระเจ้า

พูดถึงคำอธิษฐานที่บอกว่าเรากำลังจะย้ายสถานที่ไปไหน เราไม่รู้นะ? หมายถึงที่นี่จะหมดสัญญาอีก 3-4 ปีกว่า เราก็จำเป็นต้องย้าย เพราะฉะนั้น ก็มีการจัดเตรียมตามลักษณะของปัญญามนุษย์ทุกคน ก็ต้องเคลื่อนไหว เตรียมตัวบ้าง ไม่ใช่เชื่อพระเจ้า แล้วก็ไม่ทำอะไรเลย ก็เลยถือโอกาสนี้ มานั่งคุยกันตรงนี้ นิดหนึ่งว่าหลายคนเข้าใจผิดว่าพอเป็นโบสถ์ หรือเป็นคริสเตียน ทำอะไรแล้ว มีพระเจ้าอยู่แล้ว มันต้องสำเร็จอยู่เรื่อยไป มันต้องสำเร็จแน่ เพราะใคร? พระเจ้าเรายิ่งใหญ่ ก็อ้างไปเยอะแยะมากมาย สรุปแล้ว คือความสำเร็จ คือสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด เมื่อมารู้จักพระเจ้า เขาคิดว่าอย่างนั้น ซึ่งจะถูกหรือผิด ก็ขึ้นอยู่กับว่าพระคัมภีร์ว่าอย่างไร?

ก็นำเรื่องนี้มาเล่าให้ท่านฟัง เหมือนตัวอย่างที่ผมเล่าให้ท่านฟังว่าที่เคยบอกว่าเวลาเราฟังอะไร สิ่งสำคัญที่สุด ต้องฟังให้ครบถ้วนบริบูรณ์ แล้วจึงสรุปได้ว่าเรื่องนี้มันเรื่องอะไร? อย่าเหมือนกับคำพังเพย ที่เขาบอกว่าฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด ฟังไม่รู้เรื่อง แล้วก็พูดแล้ว จบแล้ว สรุปว่าตัวเองคิดว่าอย่างนี้  พอมันผิด มันผิดไปเรื่อยๆ ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้น  ในทางวงการคริสเตียน ก็คือเมื่อตะกี้ที่เล่าให้ฟังว่าเป็นคริสเตียน ต้องสำเร็จ มันต้องยิ่งใหญ่ ต้องอย่างนั้น ต้องอย่างนี้ เสมอๆ

จำเรื่องนี้ได้ไหม? เรื่องซึ้งจัง … ซึ้งจังเป็นคนญี่ปุ่น เป็นเจ้าของร้านกาแฟ สวยงาม น่าหลงใหล มีเสน่ห์ที่สุด ตั้งแต่ผมเคยพบมา เกิดมาไม่เคยพบอะไรอย่างนี้เลย ตั้งใจว่าวันหนึ่ง จะต้องกลับไปหาซึ้งจังให้ได้

จบแค่นี้ก่อน ยังไม่ได้อ่านต่อ ผมอาจจะถูกบอกว่าไปหลงผู้หญิงอีกเหรอ ถูกไหม? ฟังดูเหมือนอย่างนั้นใช่ไหม? แต่คุณรู้ไหมว่า ถามจริงๆ ที่พูดเมื่อตะกี้ทั้งหมด ท่านคิดว่าอะไร? ซึ้งจังสวยไหม? เพราะยังไม่ได้อ่านตอนต่อไป ท่านก็เอาไปกระเดียดแล้ว

“นี่นะเป็นอย่างนี้นะๆ คนนี้เขาไปที่นั้น เจอซึ้งจัง คงจะสวยมาก คงจะมีเสน่ห์ คงจะสวยงาม คงจะน่ารัก”

คงจะอะไรต่างๆ คิดไปใหญ่โต จังไปกระเดียดแล้ว โดยที่ยังไม่รู้ ยังไม่อ่านตอนจบเลย บทมันยังไม่จบเลย  อ่านไปเศษหนึ่งส่วนสี่บท แล้วก็จบแล้ว แล้วก็จบไปกระเดียดแล้ว เหมือนเราอ่านพระคัมภีร์เพียงแค่วรรคเดียว แล้วเอาไปใช้ เช่นบอกว่าต้องสำเร็จแน่ เพราะพระคัมภีร์บอกไว้ว่าข้าพเจ้าสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ โดยพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า ทุกคนก็ร้องพร้อมกันว่าเอเมน ทุกคนร้องพร้อมกัน เพราะอยากได้คริสตจักรใหญ่ๆ อยากได้แอร์เย็นๆ อยากได้สบายๆ เหมือนกันทั้งสิ้น  มนุษย์เป็นอย่างนี้ทั้งนั้นเลย ไม่ผิด ก็เลยเอเมนกันใหญ่ คนเชียร์ก็เชียร์เต็มที่ เอาอ้างพระคัมภีร์ขึ้นมา  อย่างนี้มันชัดดี ในพระคัมภีร์ฟีลิปปี 4:13 บันทึกอย่างนี้ ขึ้นพระคัมภีร์ให้เห็นเลย ทุกคนก็เชื่อเลย 4:13 คือประโยคเดียว ในจำนวนพระคัมภีร์ฟีลิปปีอีกตั้งหลายหน้า หลายบท หลายบทไม่พอ แล้วพระคัมภีร์ฟีลิปปี ก็เป็นหนึ่งในหนังสือพระคัมภีร์ใหม่ ที่ยังอยู่ในจำนวนพระคัมภีร์ใหม่อีกหลายเล่ม ยังอ่านไม่จบเลย  เหมือนซึ้งจังเมื่อตะกี้

สรุปแล้ว ซึ้งจังสวยไหม? เราต้องไปอ่านต่อ เพราะถ้าอ่านต่อไป ตะกี้นี้ เราอ่านจบที่ตรงไหนนะ … ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากจะไปพบซึ้งจังอีกครั้งหนึ่ง เพราะหลงใหล เสน่ห์ของเธอมาก ถูกไหม? เสร็จแล้วอ่านต่อไป บอกว่า … แม้ว่าซึ้งจังจะอายุ 90 แล้วก็ตาม ทั้งตาเข่ ทั้งขาสั้นข้าง ยาวข้าง แต่ทุกเช้า ตลอดระยะเวลา 7-80 ปี เธอไปเก็บชาด้วยตัวเอง ในภูเขาที่เต็มไปด้วยหมอกสดใส เธอชงชาด้วยตัวเอง บรรยากาศของร้านกาแฟนั้น ทำอย่างหรูหรา แบบธรรมชาติ ที่ใครไปแล้ว ต้องหลงใหลทุกคน

รอดไปแล้ว เห็นไหม? กลายเป็นที่พูดมาทั้งหมด ตั้งแต่ต้น กำลังพูดถึงอะไร? คนหรือสถานที่? สถานที่ ไปคนละเรื่องเลย เห็นไหม? แค่นี้เอง เห็นอะไรบางอย่างไหม? นี่ยกตัวอย่างให้ท่านดูชัดๆ ว่าเป็นไปได้เยอะแยะ และในปัจจุบันเยอะมากเลยแบบนี้ เพราะปัจจุบัน เป็นโลกแห่งการสื่อสาร สื่อสารกันง่าย เพราะฉะนั้น โอกาสที่จะไปกระเดียดอย่างที่ผมบอกเยอะเลย ฟังเขามานิดหนึ่ง อ่านในไลน์มานิดหนึ่ง ก็ไปกระเดียด อะไรก็ไม่รู้เลย กระเดียดแล้ว บางคนเอาข่าวเก่ามา ลืมอ่านไป ในนั้นเขาบอกว่าเมื่อปี 2015 เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ไปอ่านแต่ตอนต้น ตอนจบไม่อ่านว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไร? ไปเตือนกันใหญ่เลย

“ไฟกำลังจะไหม้ที่นี้ ที่นี่เมืองกำลังจะถล่ม”

ไปดู เป็นข่าวเก่า อย่างนี้เป็นต้น อีกเยอะแยะมากมาย อย่างนี้ต้องระวัง

กลับมาที่ตะกี้นี้บอกว่าพระคัมภีร์บอกว่าฟีลิปปี บท 4 บอกว่า … ข้าพเจ้าสามารถกระทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเสริมกำลัง  …

เพราะฉะนั้น เราอยู่ในพระเยซู ทุกคนในนี้ พระเยซูเสริมกำลังเราทุกคน ต้องทำโบสถ์ให้ดียอดเยี่ยม พระเจ้าเรายิ่งใหญ่ จะมาให้นั่ง แบบไม่มีแอร์ได้อย่างไร? เห็นไหม? แล้วคริสเตียนทั้งหมด มีแอร์ไหม? ทั้งโลก แล้วพวกเราทำไมอยู่ได้อย่างนั้น  เราไม่คิดถึง เราไม่ได้ไปค้นความจริงว่ามันคืออะไร?

โอเค ค้นใกล้ๆ นิดหนึ่ง แบบซึ้งจังเมื่อตะกี้ ในพระคัมภีร์บทนี้ บทที่ 4 พูดถึงเรื่องอะไร? ก่อนที่จะมาจบด้วยว่า … ข้าพเจ้าสามารถกระทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเสริมกำลัง  … สรุปรวมๆ ในข้อนี้ มันอยู่ในบทความยาวๆ อันหนึ่ง ที่เปาโลกำลังบอกว่าชีวิตคริสเตียน เมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราไปรอดแล้ว เราไม่ต้องห่วงอะไร? มีอะไรอยู่อย่างสงบ สันติสุข อธิษฐานกับพระเจ้าทุกสิ่ง อย่ากังวลในสิ่งใดๆ เลย ฝากไว้ที่พระเจ้านะ เสร็จแล้วอะไรต่อไป เสร็จแล้วก็บอกคริสเตียนต่อไปว่าท่านคิดถึงข้าพเจ้า อยากจะมาร่วมงานข้าพเจ้าดีแล้ว เตรียมเงินต่างๆ เหล่านั้นไว้ กลัวว่าข้าพเจ้าจะไม่มีกินใช่ไหม? เพราะได้ยินข่าวว่าข้าพเจ้าอดๆ อยากๆ จะบอกให้ฟังนะ ตัวนี้ เขาเรียกว่าตัวสำคัญ สาระสำคัญที่สุด ในบทนี้ เขียนว่าอย่างไร?

“ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ในการที่จะพึ่งพอใจในทุกสถานการณ์ที่ข้าพเจ้าอยู่นั้น ในพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าพึ่งพอใจในทุกสถานการณ์ๆ ทุกสถานะที่ข้าพเจ้าอยู่ ไม่ว่าจะอดอยาก หรือร่ำรวย หรือมีกิน มีใช้ พอเพียง มีชื่อเสียง ไม่มีชื่อเสียง อยู่ในคุกหรืออยู่ข้างนอก  รวมทั้งหมด ข้าพเจ้าสามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์เหล่านี้ได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ผู้เสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า เอเมน

เปลี่ยนไปไหม? เปลี่ยนเลย  เอาข้อความนี้มาพูดตะกี้นี้ บอกว่าฮาเลลูยา เอเมน คริสตจักรจะเป็นอย่างไรในอีก 4 ปี จะมีแอร์หรือไม่มีแอร์ ข้าพเจ้าก็พึ่งพอใจอย่างนั้นแหละ แล้วแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าก็ทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน เอเมน

แต่ไม่ใช่ไม่ถวายเลยนะ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ คนละเรื่องอันนะ การถวาย ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เข้าใจใช่ไหมว่านี่มันคือบริบท  คือเหมือนกับตะกี้เราอ่านจดหมายฉบับหนึ่ง เรื่องเกี่ยวกับซึ้งจัง นี่คือความจริงอย่างนั้น ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเสริมกำลัง และชอบเอาคำนี้ ไปใช้ทั่วไปหมด แล้วก็บอกว่ามาจากพระคัมภีร์ๆ ทำให้ผู้คนเข้าใจผิด ดูถูกพระเจ้าของเราว่าพระเจ้าไม่แน่จริง

“ไหนล่ะ สัญญาไว้อย่างนี้ ไม่เห็นทำตามเลย”

จริงๆ ไม่ได้สัญญาเรื่องนี้สักหน่อย สัญญาว่าเมื่อเรารอดความบาป ในพระเยซูคริสต์ช่วยเรารอดจากความบาป ชีวิตเราได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณแล้ว เราสบายแล้ว ตรงนั้นมากกว่า ส่วนชีวิตบนโลกนี้ เดี๋ยวพระเจ้าจะนำเราไปทีละก้าวๆ เอง ไม่ได้สัญญาว่าอยู่บนโลกนี้ แล้วมันจะสบาย  เมื่อเชื่อพระเยซูแล้ว มันจะสำเร็จ ทุกอย่าง ทำอะไรก็สำเร็จ ป่านนี้เราคงเห็นคริสเตียนเป็นเจ้าของตึกใหญ่โต บริษัทร่ำรวย ทั้งหลายเป็นคริสเตียนหมดเลย แล้วผู้คน ก็เข้าคิวมาที่โบสถ์กันหมดเลย มาเพื่อสมัครขอเป็นสมาชิก ขอรับเชื่อในพระเยซู เพราะต้องการพระเยซู ถูกหรือไม่ถูก? ไม่ถูก เพราะต้องการความสำเร็จในชีวิต แล้วมาไหมล่ะ มีใครมาบ้าง? ไม่มาสักคนหนึ่ง เพราะเขารู้ว่ามันไม่ใช่

แล้วไม่ใช่ เรายังมาโกหกกันเองอีก หยุดสักทีหนึ่ง หยุดพูดตรงนี้สักทีหนึ่ง มาเพื่อเชื่อพระเยซู แล้วไม่เจ็บป่วยเลย  พอกันสักทีหนึ่งได้ไหม?  มาเชื่อพระเยซู ทำอะไรก็สำเร็จหมด พอสักทีได้ไหม? ยอมรับความจริงอย่างนั้นได้ไหมว่าพระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้จริงๆ ไม่เชื่อ ไปค้นดูก็ได้  ค้นดูไม่พอ ดูชีวิตคนตั้งแต่อดีต มาจนถึงปัจจุบันนี้ ที่เชื่อพระเจ้า เป็นอย่างนั้นหรือไม่? มีทั้งคนที่เจริญเติบโต เป็นเจ้าของธุรกิจใหญ่โต มี มีคนที่เป็นขอทาน ก็มี เป็นคนที่แข็งแรง ถึงระดับยักษ์ใหญ่ก็มี เป็นคนที่เจ็บป่วยตั้งแต่เริ่มต้น พิการตั้งแต่เริ่มต้น ก็มี แต่คนเหล่านี้ มีสิ่งเดียวที่เหมือนกัน คือเขาสันติสุข มีความพึ่งพอใจในสิ่งที่เขามีอยู่ เอเมน ตรงนี้มีเท่ากันหมดเลย  แต่ส่วนที่อยู่บนโลกใบนี้ เราไม่รู้ เราไม่เข้าใจ พระเจ้าไม่ได้พูดไว้ในสัญญาตรงนั้น ก็อย่าไปกระเดียดพูดสิ พูดตามที่พระเจ้าบอก จบ จบตรงไหน? ตรงนั้น ไม่ต้องเอาไปกระเดียดต่อ

นี่คือวิธีการ ไม่อย่างนั้น เราจะเห็น เอะอะอะไร ก็จะมาบอกว่าพูดไปสิ พูดไปให้เกิดกำลังใจนะ แล้วจะทำให้สำเร็จ ในนามพระเยซู ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันต้องทำให้สำเร็จ แล้วสำเร็จไหม? ไม่สำเร็จ ถ้าสำเร็จจริง ป่านนี้ทั้งโลกคงเข้ามาที่โบสถ์ มาเรียนรู้วิธีนี้ แล้วก็เรียนรู้ ไม่ต้องมีโรงเรียนแล้ว มาเรียนตรงนี้ดีกว่า เรียนตรงนี้เรื่องเดียว รับรองทำทุกอย่างสำเร็จแล้ว แล้วไปเรียนทำไม  โรงเรียน ด็อกเตอร์อะไรต่างๆ ไม่ต้องเรียนแล้ว มาเรียนเรื่องวิธีเอาถ้อยคำพระเจ้ามาพูด มาอธิษฐาน เพื่อให้สำเร็จดีกว่า จริงหรือไม่จริง มันใช่อย่างนั้นไหมล่ะ มันก็ไม่ใช่

พระคัมภีร์ก็บอกว่าโลกใบนี้มันวิปริตไปแล้ว มันพิสดารไปแล้ว มันเสียหายไปแล้ว มันอยู่กันอย่างนี้แหละ อยู่แบบกลับหัวกลับหาง แต่ในโลกวิญญาณพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว มันคนละเรื่องกัน โลกใบนี้มันวิปริตไปแล้ว รอวันที่พระองค์จะทรงสร้างโลกนี้ใหม่ แล้วเมื่อนั้นแหละ ทุกสิ่งจะสวยงาม เรามีความหวังนิรันดร์ในอนาคต ตอนนี้เรามีความหวังแน่นอนในปัจจุบัน คือในโลกวิญญาณเท่านั้น ส่วนชีวิตในปัจจุบัน ในโลกที่มองเห็น ก็ตั้งใจทำตามถ้อยคำพระเจ้าที่เตือนเรา  บอกเรามากที่สุด  ส่วนผลจะออกมา สำเร็จหรือไม่สำเร็จในทางตามนุษย์มองเห็นอย่างไร? ไม่ได้เป็นสิ่งสำคัญ เราสามารถผจญ เผชิญ ทุกสถานการณ์ได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า เอเมน น้อยลงแล้วเห็นไหม? พิสูจน์ได้เลย ไม่มีชีวิตชีวาเลย ไม่มีความหวัง

ถ้าตะกี้บอกว่า “ในนามพระเยซู เราสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ ท่านทำอะไรร่ำรวยแน่นอน อย่าพูดนะว่าไม่ร่ำรวย ต้องดี ต้องสำเร็จ ทำงานทุกอย่าง ออกไปทำธุรกิจทุกอย่าง ทำอะไรก็ต้องเจริญลูกเดียว”

ทุกคนพูดพร้อมกันว่าเอเมน เพราะอยากได้ อันนี้เรื่องธรรมดา ไม่เป็นไร ไม่ว่ากัน แต่ให้รับรู้ความจริงว่าเป็นอย่างนั้น เพราะพูดถึงความจริง ชีวิตคนเราก็ต้องเป็นอย่างนี้ อาจจะเจ็บป่วยบ้าง อาจจะแข็งแรงบ้าง ชีวิตมันก็อย่างนี้ ทุกข์ๆ สุขๆ ทุกข์ๆ แต่ทั้งหมดนี้ เราสามารถเผชิญได้ เพราะพระเยซูคริสต์สถิตอยู่กับเรา และพระองค์ทรงเสริมกำลังให้เรา ให้เราสามารถเผชิญสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้  เอเมน ไม่ค่อยเอเมน ไม่อยากจะเอเมน ใครอยากจะเอเมนล่ะ มันไม่อยาก แต่จะอยากหรือไม่อยากก็ตาม ความจริงในถ้อยคำพระเจ้า มันเป็นเช่นนั้น สุขภาพร่างกายมันก็ต้องเจ็บป่วยเป็นเรื่องธรรมดา และถ้าท่านไปหวังในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น? ผิดหวัง อันนี้หนักกว่าเก่าอีก

“ทำไมพระเจ้าไม่รักษาฉัน”

เอะอะโวยวาย ก็เลยไม่มีการเรียนรู้ในการพึ่งพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ไม่เรียนรู้ก็ไม่ได้ ไม่ได้อะไร? ไม่ได้ความพึ่งพอใจ ไม่ได้สันติสุข ไม่ได้ความสุขที่สุดในชีวิตเท่าที่ทำได้ พลาดไป แม้ว่าจะได้รับความรอด ก็ตาม นี่พูดถึง

จำเพลงนั้นได้ไหม? นึกถึงเพลงนี้เลย เอามาแปลเป็นไทย

“ในโบสถ์เล็กๆ ที่ฉันเข้าไปอธิษฐาน        น้ำตาไหลพรากด้วยความยินดี

ฉันได้เรียนรู้ความพึ่งพอใจ ดี                     แค่นี้มีพระเจ้า ฉันสุขจริงๆ”

จำได้แค่นี้ แค่นี้ก็เหลือเชื่อว่าจำได้ เพราะผมชอบคำว่า “ฉันได้เรียนรู้ความพึงพอใจ ดี แค่มีพระเจ้า ฉันสุขจริงๆ” ร้องได้ไหม? ร้องออกจากวิญญาณท่านได้ไหม? ท่านเชื่อตรงนี้ไหม? ตอนที่ท่านเจ็บป่วย ตอนที่กิจการมันพังพินาศลงเลย ไหนพระเจ้าอวยพรมา 10 ปี มันพังไม่เหลืออะไรเลย ยังร้องตรงนี้ได้ไหม?  เหมือนที่เปาโลบอก ทำได้ เพราะพระเจ้าสัญญาแล้วไงว่าพระเจ้าสัญญาแล้วงว่าเราจะเผชิญทุกสถานการณ์ได้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระองค์เสริมกำลังในวิญญาณให้กับเราผ่านพ้นไปได้  แต่ไม่ได้หมายถึงทุกคนต้องผ่านตรงนั้น แล้วแต่พระเจ้าจะนำเรา พระองค์ทรงทราบดีว่าใครกำลังพอขนาดไหน? เรียกมา ใช้เขาในทางไหน? อย่างไร? ไม่เหมือนเปาโลทุกคนหรอก อ้าว! ร้องอีกที …

“ในโบสถ์เล็กๆ ที่ฉันเข้าไปอธิษฐาน        น้ำตาไหลพรากด้วยความยินดี

ฉันได้เรียนรู้ความพึ่งพอใจ ดี                     แค่นี้มีพระเจ้า ฉันสุขจริงๆ”

เพราะฉะนั้น โบสถ์เราในอีก 3 ปีข้างหน้า เล็กหรือใหญ่นะ แล้วแต่พระเจ้า ถ้ามันเล็ก ฉันก็จะไปอธิษฐาน แบบน้ำตาไหลพรากนั้น แต่ฉันผ่านทุกอัน

นี่คือความสุขใจ สันติสุขและความจริงในชีวิตที่จะทำให้เราเป็นไท ไม่ใช่ มาโกหกเรา เอาใจเรา ให้เราเป็นไท เปล่า เอาใจเรา ให้เราเสียคน แล้วจะแย่ หนักขึ้น แต่เจ็บเดี๋ยวนี้เลย รู้ว่าไม่ได้ในสิ่งที่เราต้องการ ไม่เป็นไร พระเจ้าจะปลอบโยน นำพาเราผ่านไปเรื่อยๆ แล้วเราจะนิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนไปถึงชีวิตนิรันดร์ เอเมน

 

***********************