คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2018 เรื่อง “ตรึงไว้กับพระคริสต์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2018

เรื่อง “ตรึงไว้กับพระคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับ เวลาเราจะไปไหน?  เราจะได้ยินเสียงตั้งแต่ 2,000 ปีมาถึงทุกวันนี้ เราจะได้ยินเสียงทางวิญญาณ  เสียงของใครรู้ไหมครับ? เสียงของพระเยซู พระเยซูจะว่าตะโกนก็ได้นะ บอกว่า ..

ใครบ้างที่อยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุข พระองค์พูดตั้งแต่ตอนที่ถึงเวลากำหนด เวลาที่พระเจ้ากำหนดไว้ว่าจะมาไถ่ถอนมนุษย์ พระเยซูก็ถูกส่งมา บังเกิดเป็นมนุษย์ พอเป็นมนุษย์ปุ๊บ เดินอยู่บนโลกใบนี้ พระองค์ก็ได้เริ่มเชื้อเชิญคน และท้าทาย และคำถามให้ทุกคนทราบว่า …

“ใครอยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุขบ้าง”

พูดมาตลอด จนกระทั่ง ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ทำงานสำเร็จแล้ว  จนถึงทุกวันนี้ โลกวิญญาณก็จะพูดผ่านทางคริสตจักร ผ่านทางคนที่เชื่อในพระองค์ว่าใครอยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุขบ้าง

การหายเหนื่อยและเป็นสุข คือการหายเหนื่อยทางวิญญาณ คือหมดเวรหมดกรรมเสียทีหนึ่ง นั่นแหละ คนไทยเราจะรู้จักกันดีเลย หายเหนื่อยและเป็นสุข คือหายจากอาการเหนื่อยทางวิญญาณ ต้องแสวงหาการหลุดพ้น ต้องชดใช้หนี้บาปเวรกรรม เมื่อไรมันจะหมดสักที เจ้ากรรมนายเวรตามล่าตลอดเวลา เมื่อไรมันจะหมดสักที มันเหนื่อย พระเยซูบอกใครที่เหนื่อยอย่างนี้ ทั้งโลกเลย มนุษย์ทุกคน ใครเหนื่อยจงมาหาพระองค์ พระองค์จะทำให้หายเหนื่อยและเป็นสุข หายเหนื่อยหรือยัง? เพราะว่าเราได้เชื่อในพระเยซูแล้ว

คราวนี้พระเยซูก็บอกว่าใครอยากจะหายเหนื่อยเป็นสุขบ้าง? บางคนก็เฉยๆ  บางคนก็อยากจะหายเหนื่อย  พระองค์เลยบอกวิธีการทำอย่างไรถึงจะหายเหนื่อยและเป็นสุข พระเยซูบอกประโยคเดียว ตอนเดินอยู่ ขณะนั้น ใครอยากหายเหนื่อยและเป็นสุขบ้าง? จงมาหาเรา แล้วแบกกางเขน แล้วตามเรามา นี่คือพระเยซูจะบอก …

“ใครอยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุขบ้าง ยกมือขึ้น?”

“ต้องทำอย่างไร?”

“แบกกางเขน”

อ้าว! แบกกางเขน มันหนักขึ้น แล้วจะหายได้อย่างไร? และตามพระองค์ไป  ถามว่าพระเยซูตอนพูดนี้ เดินอยู่ พระองค์บอกตามพระองค์ไป ถามว่าตามไปไหน? แบกตามไปไหน?  พระองค์พูดไปไม่ถึงประมาณไม่เกิน 3 ปี ตามพระองค์ไป ตามพระองค์ไปไหน?  พระองค์ก็สูงขึ้นไปเรื่อยๆ  ออกจากกรุงเยรูซาเล็มไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเนินเขา ที่เรียกว่าเนินเขาหัวกะโหลก หรือในภาษาสมัยนั้น เขาเรียกว่าโกละโกธา ไปทำอะไร? แบกไปทำอะไร? แบกไป เพื่อให้เขาตรึงพระองค์ เพื่อพระองค์จะได้ตาย  คนที่ตามมาทำอะไร? แบกตามมา เพื่ออะไร? ตามเราไป ก็ต้องตามถึงที่สุดเลย คือพระองค์ตาย เราก็ตายด้วย  แบกตามไป  พระองค์ตาย เราก็ตายด้วย  พอพระองค์ 3 วันเป็นขึ้นมาใหม่ เราก็เลยเป็นด้วย หายเหนื่อยและเป็นสุข มันแปลว่าอย่างนี้

หนังสือกาลาเทีย 2:20-21 อธิบายเรื่องนี้ไว้ มันชัดมาก นึกภาพตะกี้นี้ถูก ผมแสดงให้ดูนะ กาลาเทีย 2:20-21 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

กาลาเทีย 2:20-21 “20 ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหากทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้  ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงรักข้าพเจ้า และประทานพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า 21 ข้าพเจ้าไม่ได้ปัดพระคุณของพระเจ้าทิ้ง เพราะถ้าความชอบธรรมสามารถได้มา โดยทางบทบัญญัติ  พระคริสต์ก็วายพระชนม์ โดยเปล่าประโยชน์”

 

“แล้ว” แปลว่าทำไปแล้ว เป็นอดีตแล้ว

“ข้าพเจ้า” ตรงนี้หมายถึงวิญญาณ

ตรงนี้สามารถเอามาพูดเป็นตัวเราเองได้ เพราะตรงนี้ เปาโลพูดในลักษณะของเป็นผู้ที่เชื่อในพระเยซู เป็นคริสเตียน เราเป็นหรือเปล่า? ถ้าเป็นใช้อันนี้ได้

วิญญาณของผมถูกตรึงไว้กับพระเยซูคริสต์แล้ว … แล้ว แปลว่าได้ถูกตรึงไปแล้ว

“ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป” วิญญาณนะ วิญญาณของนคร วิญญาณของเปาโล วิญญาณของท่าน วิญญาณตัวเก่าไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว เพราะมันถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูไปแล้ว

“พระคริสต์ต่างหากมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า” พระคริสต์ คือวิญญาณบริสุทธิ์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในนคร อยู่ในเปาโล อยู่ในพวกท่านที่เชื่อในเรื่องนี้

“ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกลายนี้” หมายถึงชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในความบริสุทธิ์ ที่มันเกิดใหม่นี้ ในกายนี้ หมายถึงวิญญาณนี้ มันไม่ได้หมายถึงร่างกาย หมายถึงในวิญญาณนี้ ชีวิตที่ข้าพเจ้าที่บริสุทธิ์ ที่อยู่ในกาย ที่ท่านเห็น วิญญาณข้างในตัวจริง ที่มันบริสุทธิ์แล้ว ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า คือเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ เห็นไหม? ผู้ทรงรักข้าพเจ้า และประทานพระองค์เอง เพื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้ปัดพระคุณของพระเจ้าทิ้ง

“ปัด” แปลว่าข้าพเจ้าไม่ได้ปฏิเสธพระคุณของพระเจ้าทิ้งไป ไม่ได้ปฏิเสธข่าวดีของพระเยซูทิ้งไป  แต่ข้าพเจ้ารับไว้ด้วยความเชื่อ

“เพราะถ้าความชอบธรรมสามารถได้มาโดยทางบทบัญญัติ” แปลว่าเพราะว่าถ้าเผื่อความบริสุทธิ์ ไร้มลทิน พ้นจากบาป ในวิญญาณของข้าพเจ้า หมดเวรหมดกรรมนี้  ถ้ามันหมดเวรหมดกรรมได้ โดยมาทางการกระทำของข้าพเจ้าเอง  การกระทำดีของข้าพเจ้าเอง ถ้าเป็นอย่างนั้น การตายของพระเยซูที่ไม้กางเขน ก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย  แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นใช่ไหม?  เพราะการตายของพระเยซูคริสต์มีประโยชน์ คือทำให้ข้าพเจ้ากลายเป็นผู้ชอบธรรม ผู้ชอบธรรม คืออะไร?  วิญญาณบริสุทธิ์ สะอาดหมดจด ไร้มลทิน ไม่มีตำหนิ เหมือนลูกพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้า เป็นวิญญาณแห่งความรัก สะอาดหมดจดเลย บริสุทธิ์ ตลอดเวลา เอเมน

นี่พูดถึงใคร? พูดถึงเรา ผู้เชื่อทั้งหลาย อย่างนี้เขาเรียกว่าหายเหนื่อย และเป็นสุข แต่ต้องทำอะไร? แบกกางเขน และตามพระองค์ไป

ในโรม 6:5-6 ก็บอกอย่างนี้ไว้ ชัดเจนเลย …

โรม 6:5-6  “5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์ 6 เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว  เพื่อกายบาปนั้น  จะถูกขจัดไป  เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

 

ถ้าเราร่วมเดิน แบกกางเขนไปกับพระองค์ แล้วก็ตายที่โกละโกธาพร้อมกับพระองค์เลย แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์ด้วย วันที่ 3 พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย เราก็เป็นด้วย ถ้าเราไม่ยอมไปตายกับพระองค์ ก็ไม่ต้องเป็นขึ้นมากับพระองค์ด้วยสิ เอ้อ! ใช่ ง่ายๆ อยากจะเป็นขึ้นมากับพระเยซู ก็ต้องตาย อยู่ดีๆ มาเป็นขึ้นมาใหม่ได้อย่างไร? มันต้องตายก่อน  เหมือนเมล็ดพืช ก่อนที่จะเป็นต้นใหม่ มันต้องเน่า ต้องทิ้งลงไปในดิน ให้มันเน่า มันก็ขึ้นรากใหม่ขึ้นมา เป็นต้นใหม่

“เพราะเรารู้ว่า” ถามว่าเพราะเรารู้ว่าอะไร? เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเราถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว ถามว่าตัวเก่าของเราคือใคร? ตัวเก่าของท่านคือใคร? วิญญาณเก่าของท่าน ที่เป็นวิญญาณบาป ที่แบกภาระและเหน็ดเหนื่อยตลอดเวลา ตั้งแต่เกิดตลอดเวลา นั้นแหละที่แบกกางเขน เหน็ดเหนื่อยตามพระองค์ไปๆ จนตายร่วมกับพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่แล้ว ตัวเก่ามันถูกตรึงไว้ที่กางเขน พร้อมกับพระเยซูไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีก่อนนั้น พอมองเห็นภาพไหม? ไม่น่าเห็นหรอก

ถามว่าตรึงเพื่ออะไร? เพื่อกายบาปนั้น มันจะได้ตายต่อบาป ถูกขจัดออกไป บาปทำอะไรมันไม่ได้อีกแล้ว เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป ไม่ใช่เป็นคนบาปอีกต่อไป เอเมน เห็นภาพไหม? นี่อย่างนี้เรียกว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเราทุกวันนี้ ต้องทำอะไร? ต้องแบกกางเขนตามพระเยซูไปไหม? ต้องไหม? ไม่ต้อง เราแบกไปแล้ว ถ้าท่านยังไม่แบกตาม นั้นหมายถึงท่านยังไม่เชื่อ ถ้าท่านเชื่อ แสดงว่าท่านแบกตามไปแล้ว ท่านเชื่อจนกระทั่งพระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาปให้กับท่าน นั่นแหละ คือท่านร่วมตายไปกับพระองค์ และเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่  คือท่านเป็นขึ้นมาใหม่กับพระองค์ เสร็จแล้ว

ถามอีกที ตอนนี้ท่านต้องแบกอีกไหม? ต้องไหม? ไม่ต้อง ถ้าใครบอกว่าต้อง ก็ไม่เป็นไร แสดงว่ายังไม่เชื่อ ก็เรียนรู้ต่อไป เดี๋ยววันหนึ่งท่านจะได้รู้ ไม่ต้องแล้ว ไม่ต้องแบก มันจึงหายเหนื่อยและเป็นสุข ถ้าแบกอยู่จะหายเหนื่อยและเป็นสุขได้อย่างไรเล่า ไม่เข้าใจเลย พระคัมภีร์บอกว่าคนไหนแบกภาระหนักและเหน็ดเหนื่อยจงมาหาเรา เราจะให้เขาหายเหนื่อยและเป็นสุข แบกกางเขน และตามเรามา ตามเพื่ออะไร? เพื่อจะไม่ต้องแบกอีกต่อไป เดี๋ยวพระองค์จัดการให้เรียบร้อย พร้อมกับเราเลย เป็นหัวหน้าเรา

สรุปอีกครั้ง จะต้องแบกกางเขนอีกต่อไปไหม? ไม่ต้อง แต่ต้องทำอะไรทุกวัน? อยู่เฉยๆ แล้วมองไปให้เห็นเถิดว่ามันเกิดขึ้นอย่างนี้ทุกวันเช้าตื่นขึ้นมาปุ๊บบนที่นอน เห็นอะไร? เห็นกางเขนนั้น เพื่อจะได้รู้ว่าฉันได้แบกกางเขนตามพระเยซูไปแล้ว ฉันได้แบกกางเขนไปที่โกละโกธาร่วมกับพระเยซู ประวัติศาสตร์บันทึกไว้อย่างชัดเจนว่าพระองค์ทรงตรึงตายที่ไม้กางเขน อย่างนั้นแน่นอน หลั่งพระโลหิตออกมา ฉันถูกตรึงร่วมกับพระเยซูแล้ว วันที่ 3 พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ฉันเป็นขึ้นมาใหม่ด้วย ฉันมีอิสระ เสรีภาพ ฉันได้บังเกิดใหม่ วิญญาณฉันใสกริ๊ง เป็นลูกของพระเจ้า วิญญาณที่บริสุทธิ์ สะอาด ไร้ที่ตำหนิใดๆ ที่ปวง ไม่ต้องมีบาป มีเวรกรรมที่ต้องชดใช้อีกต่อไป ฉันเป็นอิสระแล้ว หายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว จากนี้ต่อไป ก็ลุกขึ้นมา ทำหน้าที่ประจำวันไป แต่ในใจนึกตลอดเวลาว่าฉันเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ฉันหายเหนื่อยและเป็นสุขแล้ว พูดให้ตัวเองฟัง นี่แหละ คือหน้าที่ของคริสเตียนทั้งหลาย รับพระคุณ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว แล้วจากนั้น ให้พระเจ้านำพาชีวิตเราไปแต่ละวัน จะทำอะไร เดี๋ยวพระองค์ก็พาไปเอง ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้ทำ ส่วนใหญ่ เราจะทำเกินมากกว่า ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ทำ ที่เราทำเกิน เพราะอะไร? เพราะเราอยากจะหายเหนื่อยและเป็นสุขอีก

ทั้งๆ ที่มันหายเหนื่อยแล้ว เพราะเราไม่รู้ ถ้าเรารู้ เราก็ไม่ต้องทำแล้ว แล้วทำไม? ก็เฉยๆ ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ เดี๋ยววิญญาณข้างในที่บริสุทธิ์ สะอาด ผุดผ่อง ที่เป็นลูกพระเจ้า เดี๋ยวมันจะออกไปเอง มันเป็นแสงสว่าง ที่พระเยซูบอกมันจะฉายออกไปเอง ไม่ต้องพยายามฉาย  เขาจุดตะเกียง มันต้องสว่างของมันเองเลย เดินไปที่ไหนมันสว่าง ไม่ใช่ เดินไปที่ไหน ต้องไขลาน สว่าง ให้มันสว่าง ไม่ต้อง เดี๋ยวมันสว่างเอง เพราะว่าข้างในมันสว่าง มันเป็นดวงสว่าง พระเยซูไม่ได้บอกว่าจงออกไป ทำตัวเองให้สว่าง ไม่ใช่ พระเยซูบอกจงออกให้แสงสว่างในตัวท่านฉายไป  คือตัวท่านไม่ต้องทำอะไร ท่านออกไป มันก็ฉายแล้ว

ไม่ได้บอกว่าจงออกไป แล้วทำตัวเองให้เป็นแสงสว่าง อย่างนั้นเหนื่อย  จงออกไปเถอะ พระเจ้าจุดตะเกียงไว้แล้ว  ไม่มีใครเอามาครอบหรอก เดี๋ยวมันก็สว่าง ถ้ามันเป็นของจริงนะ มันสว่างเอง แต่ถามว่ามันจริงไหม? เราเชื่อจริงไหม? ถ้าเราเชื่อจริง มันอยู่ในนี้ เดินไปที่ไหน มันก็เป็นแสงสว่าง เอเมน

 

************************