คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม 2018
เรื่อง “การให้ที่แท้จริง”
โดย นคร เวชสุภาพร
สวัสดีครับ เราเป็นคริสเตียน เรามักติดปาก พูดกันอยู่เสมอว่าชีวิตคริสเตียน คือชีวิตที่เป็นความรัก เพราะว่าพระเจ้าเป็นความรัก เราเป็นลูกพระเจ้า เพราะฉะนั้น เราจึงมีลักษณะเหมือนพระเจ้าของเรา คือเราก็เลยเป็นความรักเหมือนพระเจ้า อ้าว! แล้วทำไมเมื่อเช้าโกรธเขาอยู่เลย เมื่อตะกี้นี้เห็น ขึ้นรถเมล์มายังรู้สึกหงุดหงิดอยู่เลย คนขับรถมาก็เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตาม เราเป็นลูกของพระเจ้า เราก็เป็นเหมือนพ่อของเรา พระเจ้าเป็นความรัก เราก็เลยเป็นหรือเปล่า? “เป็น” ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ถ้ามี หายไปหมด เราเป็น ไม่มีวันเปลี่ยน และการสำแดงออกถึงความรัก ก็คือการให้ การสำแดงออก บางที บางคนฟัง งง การสำแดงออกของความรัก คืออะไร? การสำแดงออก ก็คือธรรมชาติของความรักจริงๆ คืออาการในการให้ เขาเรียกว่าธรรมชาติ เหมือนประโยคที่เรานำมาพูดกันบ่อยๆ …
“ท่านสามารถที่จะให้ โดยปราศจากความรัก แต่ท่านไม่สามารถที่จะรัก (อย่างแท้จริง) โดยปราศจากการให้”
นึกออกใช่ไหม? เพราะมันธรรมชาติของความรัก คือการให้ ท่านไม่สามารถบอกว่าท่านเป็นความรัก แต่ฉันไม่ให้ มันเป็นไปได้อย่างไร? ไม่ใช่แล้ว
พระคัมภีร์บอกว่าอย่างนี้ การให้ เป็นเหตุให้มีความสุขมากยิ่งกว่าการรับ เอเมนไหม? อ้าว! ทำไมทุกคนรอที่จะรับอย่างเดียว การให้ เป็นเหตุให้มีความสุขมากยิ่งกว่าการรับ คำพูดของใคร? คำพูดของพระเยซูเอง และการให้ที่แท้จริง ก็คือการให้แบบเสียสละ คือไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ รู้ไหม? ถามใคร? ถามตัวเองนั่นแหละ รู้ไหม? รู้ แล้วยังหวังไหม? ยังหวัง
เพราะว่าถ้าเราหวังสิ่งตอบแทนจากการให้ออกไป ฟังให้ดีๆ นะ ถ้าเราให้ออกไป แล้วเราหวังสิ่งตอบแทน เขาเรียกกันว่าลงทุน มีการลงทุนแบบธรรมดา ก็มี แล้วก็มีการลงทุนแบบพิเศษ หวังผลประโยชน์ทับซ้อน เคยได้ยินไหม? ผลประโยชน์ทับซ้อน คือผลประโยชน์ที่มันมีอะไรลับลมคมใน มองไม่เห็น แต่ในที่สุดก็ได้ผลประโยชน์ แบบธรรมดาชัด หวังนี้เลย แบบพิเศษ ก็คือหวัง แต่ไม่ให้คนอื่นเห็น แต่ข้างในวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว ในที่สุด ก็คือหวังผลประโยชน์ ถ้าเป็นอย่างนี้ เขาไม่เรียกว่าการให้ เขาเรียกว่าการลงทุน ในลูกา 14:12-14 พระเยซูได้สอนพวกเราอย่างนี้นะ ถึงเรื่องเกี่ยวกับเรื่องนี้ พระเยซูได้ตรัสดังนี้ …
ลูกา 14:12-14 “12 จากนั้นพระเยซูตรัสกับผู้ที่ทูลเชิญพระองค์ว่า “เมื่อท่านจะจัดเลี้ยงมื้อกลางวันหรือมื้อค่ำ อย่าเชิญมิตรสหาย ญาติ พี่น้องหรือเพื่อนบ้านที่ร่ำรวย ถ้าท่านทำอย่างนั้น พวกเขาอาจจะเชิญท่านกลับคืนบ้าง เป็นอันว่าท่านได้รับการตอบแทนแล้ว 13 แต่เมื่อท่านจัดงานเลี้ยง จงเชิญคนจน คนพิการ คนง่อยและคนตาบอด 14 แล้วท่านจะเป็นสุข ถึงแม้พวกเขาไม่อาจตอบแทนท่าน แต่ท่านจะได้รับผลตอบแทน เมื่อผู้ชอบธรรมเป็นขึ้นจากตาย”
เอเมนไหม? เพราะฉะนั้น ตอนนี้ มีงานเลี้ยงอะไร? เชิญใคร? เชิญคนมั่งมี เพราะหวังว่าวันหลังเขาจะให้อะไรเราตอบแทน บางคนให้ ไม่ใช่เรื่องทรัพย์สินเงินทองอย่างเดียว แต่มันหมายถึงอะไรเยอะแยะ ลองเชิญคนที่เราคิดว่าเขาให้อะไรเราไม่ได้ ไม่สามารถให้อะไรเราได้อีกแล้ว เป็นประโยชน์กับชีวิตเรามากกว่า พระเยซูสอนเรา
ถ้าเราให้โดยไม่หวัง ไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน ให้ด้วยความรักแท้จริง เราก็จะเปี่ยมไปด้วยความสุข ถ้าลงทุน หวังจะได้สิ่งตอบแทน แม้บางครั้ง มันจะได้กลับมาบ้าง มีความสุขบ้าง ให้ไป แล้วหวัง มันมีความสุขบ้าง เขาชมเรา อะไรต่างๆ หรือเราได้อะไรกลับมาบ้าง แต่มันไม่หยั่งยืน และในที่สุด ผลมันจะกลายเป็นความทุกข์ เพราะเราให้ไปด้วยความเห็นแก่ตัว ถ้าเราไม่ให้จริง มันก็คือการเห็นแก่ตัว เพราะการให้ของเรา ก็คือเราให้ เพราะความต้องการจะเอากลับมา มากขึ้นๆ เอาอีกๆ
“เอาอีก ฉันจะเอาอีก”
คุ้นไหม? คุ้นๆ นะ ในใจชอบพูดอย่างนี้ เอาอีก ไม่พอ เขาเรียกภาษาพระคัมภีร์และภาษาทั่วโลก เขาเรียกว่า “โลภ” คือจะเอา ฉันจะเอา สังเกตดูนะ เพราะพระเยซูสอนเราสิ่งเดียวนี้ เราต้องละเอียดกับสิ่งเหล่านี้ นี่คือหัวใจของการมาเชื่อพระเจ้า พระเยซูจะสอนเราเสมอว่าจงระวังเรื่องความโลภทุกชนิด เมื่อเราถวายพระเจ้า และอธิษฐานหวังสิ่งตอบแทน อยากได้กลับมามากขึ้นๆ อธิษฐานกับพระเจ้านะ เราบอกถวายให้กับพระเจ้า แล้วอธิษฐาน หวังจากพระเจ้าว่าจะให้เรากลับคืน ตอบแทนเรามากขึ้นๆ กว่าที่เราให้ออกไปอีก นั่นแหละ เขาเรียกว่าโลภ ไม่ใช่ความเชื่อนะ เขาเรียกว่าโลภ
ซึ่งมันไม่ใช่วิถีทางของพระเจ้า เรียกว่าวิถีทางแห่งความรักเลย ที่จะนำเราไปสู่สันติสุข ความสงบสุข ล้นสุข เปี่ยมสุข แบบตลอดไปเลย มันไม่ใช่ ถ้าวิธีนั้น มันผิดหมด มันต้องไม่หวังสิ่งตอบแทนใดๆ เลย มันถึงจะเปี่ยมสุข ล้นสุขตลอดไป มัทธิว 6:1-4 บันทึกไว้อย่างนี้ พระเยซูสอน ..
มัทธิว 6:1-4 “1 “จงระวัง อย่าทำดี เพื่อเอาหน้า ถ้าทำเช่นนั้น ท่านจะไม่ได้รับบำเหน็จจากพระบิดาของท่านในสวรรค์ 2 “ดังนั้น เมื่อท่านให้ทานแก่คนขัดสน อย่าตีฆ้องร้องป่าวเหมือนที่คนหน้าซื่อใจคดทำในธรรมศาลา และตามถนนหนทางเพื่อให้ผู้คนยกย่องชมเชย เราบอกความจริงแก่ท่านว่าเขาได้รับบำเหน็จของตนเต็มที่แล้ว 3 แต่เมื่อท่านหยิบยื่นแก่คนขัดสน อย่าให้มือซ้ายรู้สิ่งที่มือขวาทำ 4 เพื่อการให้ของท่านเป็นความลับ แล้วพระบิดาของท่านผู้ทรงเห็นสิ่งที่ทำเป็นการลับจะประทานบำเหน็จแก่ท่าน” เอเมน
ทำดี การให้เหมือนกับทำดี อะไรแล้วแต่ ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติอย่างเดียว ให้ความช่วยเหลือ ให้ความเมตตา ให้อะไรสักอย่าง แต่ข้างในใจเราคิดอะไร? ดูข้างนอกเหมือนกันหมด ให้เหมือนกัน ดูข้างนอก ก็ให้เหมือนกัน แต่ข้างในใจ คิดอะไรอยู่ หวังอะไรไหม? บางคนอาจจะหวังชื่อเสียง เราไม่รู้ว่าเขาหวังอะไร? ดูข้างนอก เหมือนกันหมด แต่บางคนเขาไม่ได้หวังอะไรเลย ทำด้วยใจจริง ก็ไม่เห็น แต่ข้างนอก ดูเหมือนกัน พระเยซูบอกจงระวัง ให้เราดูแลตัวเอง ไม่ใช่ไประวังคนข้างๆ นะ ระวังตัวเราเอง
อย่าให้รู้ ไม่ให้ใครรู้ แม้แต่ตัวเราเองยังไม่ให้รู้เลย อย่าให้รู้ ลืมซะ ให้ไป แล้วก็ให้ไปเลย ถือว่าให้ไป เพราะว่าธรรมชาติของฉัน ตัวฉันจริงๆ เป็นความรัก ความรักต้องคู่มากับการให้ ถ้าเราถวายพระเจ้า โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แล้วอะไร หวังอะไร? ทำเพื่ออะไร? ก็เพราะเราทำ เพื่อ แสดงออกถึงความไว้วางใจ ความเชื่อฟังต่อพ่อของเรา พระเจ้าของเราว่าให้เราให้ออกไป แล้วเราจะมีสุขมากกว่าการรับ ให้ออกไป แล้วทำไม? ไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่วางใจในพระเจ้า เชื่อในคำสัญญาของพระเจ้าว่าจะเลี้ยงดูเรา จะจัดหาทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเรา จากคลังทรัพย์อันมั่งคั่งของพระองค์ในพระยซูคริสต์ เพราะเราเป็นลูกของพระองค์แล้ว พระองค์จะให้สิ่งดีกับเราเสมอ และเราจะมีพร้อมทุกอย่างในการสนับสนุนเรา ในการกระทำดีต่อๆ ไป ตามน้ำพระทัยพระเจ้าที่จัดเตรียมไว้ให้กับเรา ชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน เอเมน
มันไม่ใช่เงินอย่างเดียวนะ ที่เวลาพร้อม มันต้องพร้อมทุกอย่าง เรี่ยวแรง สติปัญญา ทุกอย่าง พระเจ้าจะจัดเตรียมให้กับเรา เมื่อถึงเวลานั้น เพื่อจะได้ทำดี เพื่อจะถวายเกียรติต่อพระเจ้าต่อไป ตามน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่ใช่ตามตัวเราเองคิด 2 โครินธ์ 9:7-8 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …
2 โครินธ์ 9:7-8 “7 ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ ไม่ใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย ไม่ใช่ให้ด้วยการจำใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี 8 และพระเจ้าสามารถประทานพรทุกอย่าง แก่ท่านทั้งหลายอย่างเหลือล้น”
ทุกอย่าง ไม่ได้หมายถึงทรัพย์สินเงินทองอย่างเดียว อาจจะไม่มีทรัพย์เลย เพราะฉะนั้น อย่าหวังว่าจะได้ทรัพย์เยอะแยะมากมาย อาจจะไม่มีทรัพย์เลย แต่มีอย่างอื่น พร้อมทุกอย่าง มันดีกว่าทรัพย์มาก ดีกว่าตั้งเยอะ ทรัพย์ซื้อทุกอย่างไม่ได้ แต่พระองค์ให้ทุกอย่างกับเราได้ ยกเว้นทรัพย์อย่างเดียว เอาอย่างไหนดี? เป็นท่าน ท่านจะตัดสินใจอย่างไรดี? เป็นท่าน ท่านก็เอาทรัพย์ก่อนอยู่แล้วล่ะ เพราะเราเป็นคน พระเจ้าสอนเรา อะไรดีกว่า ในเมื่อทรัพย์เราก็รู้แล้ว ซื้ออะไรไม่ได้บนโลกใบนี้ หลายอย่างซื้อไม่ได้ ยกตัวอย่าง ซื้อความสุข ก็ไม่ได้ ซื้อความสุขใจก็ไม่ได้ ซื้อความรัก ความสามัคคีกัน ในกลุ่ม ในครอบครัว ก็ไม่ได้ แต่พระเจ้าสามารถให้เราทุกสิ่งได้ โดยไม่มีเงินนะ เอาอะไรดี? เอาไม่มีเงินดีกว่า แต่มีพร้อม เมื่อต้องการจำเป็นต้องใช้เงิน มันก็มา ทีอย่างนี้ พูดกันได้ทุกคน เมื่อจำเป็นต้องใช้เงิน เงินก็มา เมื่อจำเป็นต้องใช้คน คนก็มา เมื่อจำเป็นต้องใช้สุขภาพ สุขภาพก็มา เมื่อจำเป็นจะต้องใช้อะไรบางอย่างที่ไม่ใช่เงิน แต่สำคัญ สติปัญญา มันก็มา เมื่อจำเป็นต้องหาคนมาเข็นรถ เพราะอยู่สี่แยก รถมันตายพอดี คนก็มา มาพร้อมรถลาก มันจะพร้อมทุกอย่างไง เงินซื้อไม่ได้ตอนนั้น เป็นเศรษฐีก็ไม่ได้ ถูกไหม?
เราจึงเห็นว่าพระคัมภีร์พูดไว้ชัดเจนว่าเพื่อว่าเราจะได้มีพร้อม มีเหลือล้น เพื่อว่ามีทุกอย่างเพียงพออยู่เสมอ ท่านจะมีเหลือล้น สำหรับการดีทุกอย่างด้วย ในนี้เขียนไว้อย่างนั้น มีทำการดีได้ทุกอย่าง เพราะบางทีมีเงินทำการดีไม่ได้บางครั้ง มันไม่ได้อาศัยเงินในช่วง ในขณะนั้น แต่ท่านสามารถที่จะทำสิ่งที่ดีได้ เอเมนนะ
เพราะฉะนั้น เราเชื่อและวางใจอย่างนี้ ซึ่งเราไม่เรียกความเชื่ออย่างนี้ว่าความคาดหวังสิ่งตอบแทน จากการให้ออกไป เราไม่คาดหวัง เราฝากไว้ที่พระเจ้า แล้วแต่พระองค์จะให้ อะไรก็ได้ พระองค์ทรงรู้ว่าตอนนั้น เราจำเป็นต้องได้อะไร? เราจำเป็นต้องใช้อะไร? จำเป็นไหม? ไม่ใช่ให้ไป ก็ตั้งใจ หวังจะรวยอย่างเดียว ในที่สุด ก็ซวย ชีวิตตกทุกข์ลำบาก คิดอยู่แค่นั้น ไม่หลุดอยู่อย่างนั้น กลายเป็นเกาะกินชีวิตไป ทุกข์ทรมาน เห็นมาหลายรายแล้วอย่างนี้
การฝึกฝนให้ออกไป มันไม่ใช่วิธีนั้น ไม่ใช่วิถีทางของพระเจ้า ของพระเจ้าต้องไม่หวัง บางคนบอกไม่หวังได้อย่างไร? หวังพระพร ไม่ใช่หวังทรัพย์สินเงินทองตามที่เราคิด พระพรอาจไม่ใช่สิ่งที่เราคิด ก็ได้ หมายถึงไม่ใช่สิ่งที่เราคิดอย่างเดียว มันเป็นอย่างอื่น ก็ได้ ก็เป็นพระพร แต่พระเจ้ารู้ว่าอะไรที่เป็นดี สำหรับเรา เมื่อเรามี อะไรที่ให้เรา แล้วมันดีสำหรับเรา อย่างนั้นแหละ เขาเรียกพระพร คิดเองว่านี่ดีสำหรับเรา มันอาจจะเป็นผลร้ายสำหรับชีวิตของเรา ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นชื่อเสียง ดีไหมชื่อเสียง? เราก็คิดว่ามีชื่อเสียงทำไมไม่ดี พระเจ้าบอก ไม่ใช่ขณะนี้ ขณะนี้เอาไปตายแน่เลย แล้วเรารู้ไหมว่าขณะนี้ ขณะนี้ คือขณะไหน? ก็ไม่รู้ เราอาจจะแบกชื่อเสียงนั้นไม่ได้ สถานการณ์อย่างนั้น ถ้าเราเอาชื่อเสียงนี้ไป เราก็เย่อหยิ่งจองหอง เราก็หลงไป ทุกข์หนัก เจ็บตัว ตอนนี้ อยากได้เงิน มองดู พระเจ้าบอกเด็กไป ถ้าเอาเงินไปตายแน่ เราก็บอกไม่ตายหรอกทำได้ แต่พอให้ แล้วเกิดอะไรขึ้น ให้เราไปจริงๆ เราก็ดูแลไม่ได้ เราเจ็บตัว เพราะทรัพย์สมบัติเหล่านั้น ให้พระเจ้าดูแลเราดีกว่า เอเมนไหม?
ซึ่งแน่นอน ในสายตาของคนภายนอก ที่ไม่ใช่คริสเตียน ที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขาดูเรา เขาอาจจะว่าเราขาดแคลน เป็นคริสเตียน ดูทำไมขาดแคลน เขาดู แบบมนุษย์ไง ขาดแคลนอะไร? ก็คือเงิน รู้สึกไม่ค่อยมีเงิน รถก็เก่าๆ บ้านก็ยังเช่าเขาอยู่ พระเจ้าให้เรามากกว่านั้น เรามีเยอะกว่านั้นอีก แต่เขามองไม่เห็น ในพระพระเหล่านั้น เพราะฉะนั้น ไม่ต้องสนใจ เพราะเรารู้ว่าเราไม่เคยขาดอยู่แล้ว เอเมน ถามท่านวันนี้ บางท่านยังผ่อนบ้าน ผ่อนรถอยู่ ถามว่าท่านขาดอะไร? ณ วันนี้ มาถึงวันนี้ ท่านรู้จักพระเจ้ามา ท่านขาดอะไร? มีไหม อดอาหารไป 3 วัน ไม่มีข้าวจะกิน อย่างนี้ มันไม่ขาดอยู่แล้ว เพียงแต่มันไม่สะใจเรา เราอยากได้อีกแบบหนึ่ง ใช่ไหม? แต่ไม่ขาด วางใจในพระเจ้า ให้พระองค์นำไปดีกว่า เพราะเราจะไม่ขาดของดีใดๆ เลยในชีวิต เพราะพระเจ้าสัญญาไว้อย่างนั้น มันเป็นสัญญา และไม่ใช่สัญญาธรรมดา แต่มันเป็นกฎของพระเจ้าที่พูดออกจากเลย มันจะเป็นอย่างนี้ ใครหว่านออกไป เขาจะได้อย่างนี้ แต่ต้องหว่านจริงๆ นะ
หว่านจริงๆ ก็คือให้จริงๆ คือให้ด้วยไม่หวังสิ่งตอบแทน เขาเรียกว่าให้ หวังสิ่งตอบแทน เขาเรียกว่าลงทุน พระเจ้าบอกให้ ถึงจะได้รับสันติสุข ความสงบสุขในชีวิตตลอดไป ไม่ใช่ลงทุนแล้วจึงจะได้ เอเมนไหม?
เพราะฉะนั้น ต้องฝึกฝน สิ่งเหล่านี้ฝึกฝนได้ คริสตจักรจึงมีหน้าที่ให้เราฝึกฝน ไม่ใช่ว่าถึงวันอาทิตย์มาเปิด เดินถุงถวาย เราลำบากมากแล้ว เราแย่มาก ต้องช่วยกันถวายหน่อย โบสถ์จะไม่มีเงินใช้ ไม่ใช่ ให้โอกาสท่านฝึกฝน ท่านจะไม่ฝึกก็ได้ เรื่องของท่าน ท่านคุยกับพระเจ้าเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย เราต้องให้ท่านมีโอกาสได้ฝึกฝน เพราะสิ่งเหล่านี้มันฝึกได้ เริ่มต้นจากการให้ออกไป ตามวิธีการของพระเจ้า เมื่อตะกี้นี้ ให้ด้วย ตั้งใจไว้เลย คำว่าตั้งใจ แปลว่าอะไร? ไม่ใช่ตั้งใจจะเอาอีก จะเอาอีก จะเอาเยอะๆ ไม่ใช่ตั้งใจ ตั้งใจหมายถึงฉันจะฝึกในการที่ให้ แล้วไม่สนใจเลย ฉันให้ไปแล้วจริงๆ พระเจ้าจะให้ลูกกลับคืนเท่าไร? อะไร ไม่สนใจ ลูกจะให้ด้วยความรัก และให้ออกไปจริงๆ นี่คือธรรมชาติของลูก ลูกเป็นความรัก ให้ออกไป วันนี้ทำได้แค่นี้ ก็ทำไป ให้ออกไปบาทหนึ่ง ก็ยังมีดีกว่าให้ไปร้อยหนึ่ง แล้วหวังอีกพันหนึ่งกลับคืน หมื่นกลับคืน แต่ให้ไปบาทหนึ่ง ทำใจไปเลย แล้วก็ค่อยๆ ฝึกมากขึ้นไปเรื่อยๆ รู้สึกสละ อย่างนี้เรียกว่าเสียสละ ให้ของแท้ ฝึกฝนนะ
เริ่มต้นตั้งใจไว้เลยว่าตัวเราเองสามารถทำได้เท่าไร? ไม่ต้องฝืนใจ ทำได้เท่าไร? ก็เท่านั้นแหละ ไม่จำเป็นต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่น คนอื่นเขาต้องเท่านั้นเท่านี้ ไม่ต้องสนใจ เราดูตัวเราเองนั้นแหละ แล้วตัดสินใจให้ออกไปจริงๆ ให้จริงๆ คิดในใจให้ดีๆ ให้ลงทุน พอถุงเดินมาปุ๊บ ใส่ลงไปเลย ลงทุน ไม่ใช่ ควักขึ้นมาใหม่ ให้ๆๆๆๆๆ โอเค ให้หมายถึงอะไร? ให้ หมายถึงเสียสละ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับมันอีกเลย ไม่ใช่ให้ แล้วก็ตาม โบสถ์เอาไปทำอะไรบ้าง? นี่ให้ไหม? ไม่ใช่ให้ จะลงทุน แล้วตามไปดูอีกว่าเขาทำอะไร? ให้กับองค์กรนี้ องค์กรนี้ไปทำอะไรบ้าง? เงินของฉันทั้งนั้น อะไรอย่างนี้ เงินของฉัน ให้ไป ก็คือให้เขาไปแล้ว แล้วเราจะบอกว่าเป็นเงินของเราได้อย่างไร? ยกตัวอย่างให้ฟัง
ให้ โดยไม่คิดว่าจะได้อะไรกลับคืน คิดในใจไว้เลย ตั้งใจไว้เลย …
“ฉันไม่ได้ให้ เพื่อฉันจะหวังว่าจะได้ร่ำรวย หรือต้องมีอะไรมาชดใช้ให้ฉัน ฉันให้ออกไป ฉันไม่หวังเลย ฉันให้ เพราะเชื่อฟังพระเจ้า วางใจในพระเจ้า ไม่หวังสิ่งตอบแทน ไม่หวัง แม้กระทั่งชื่อเสียง ทรัพย์สินเงินทอง คำชมต่างๆ ฉันให้ด้วยความรักที่อยู่ในใจ ไม่มีใครรู้”
แล้วถ้าท่านฝึกอย่างนี้ ผมจะบอกให้ท่านฟัง มันจะมีบททดสอบชีวิตท่านเข้ามา จะทดสอบว่าตรงนี้ท่านจะได้รับคำชม ถ้าเผื่อท่านเปิดเผยนิดหนึ่ง ท่านจะเอาไหม? ท่านจะเปิดเผยไหมว่าท่านเป็นคนทำ เพราะบางทีให้ออกไป ไม่ได้เป็นทรัพย์อย่างเดียว ทรัพย์เป็นส่วนประกอบเท่านั้นเอง แต่ในชีวิตท่านสามารถให้อะไรเยอะแยะมากมาย ให้ความรัก เมตตา การให้อภัย การช่วยเหลือ แรงกายแรงใจทุกอย่าง มันจะมีบททดสอบมาว่าถ้าท่านประกาศออกไป ท่านจะได้รางวัล ท่านจะได้ชื่อเสียง แต่ถ้าท่านเงียบๆ ไว้ จะไม่มีใครรู้เลย ท่านจะเอาอะไร ท่านจะเชื่อพระเจ้า หรือจะเชื่อมนุษย์ดี ถ้าท่านเปิดเผยมา ท่านก็จะเป็นฮีโร่เลย ดังเลย แต่ถ้าท่านเงียบๆ เฉยๆ ท่านก็มีสุขใจ แต่ถ้าพระเจ้าจะเปิดเผย โดยที่ท่านไม่ได้พูดอะไรเลย อันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะอันนั้นเกินกว่าที่เราจะควบคุมแล้ว มันจะมีทดสอบเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ในการฝึกฝนแต่ละครั้ง แต่ละตอน เอเมน
******************************