คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม 2018
เรื่อง “เป็นลูกพระเจ้า แต่ยังไม่เชื่อในการไถ่”
โดย นคร เวชสุภาพร
สวัสดีครับ ลองฟังเรื่องนี้ดูว่านึกถึงใคร? ลูกชายของเศรษฐีนักธุรกิจรายหนึ่ง อยากออกมาใช้ชีวิตส่วนตัว ไม่อยากช่วยงานธุรกิจของครอบครัว เหมือนทายาทเศรษฐีทั้งหลายทั่วโลก เป็นอย่างนี้ ก็เลยลุกขึ้นมา ขอเงินแบ่งจากพ่อ แล้วก็ออกจากบ้านไป ใช้ชีวิตอิสระเป็นตัวของตัวเอง ปรากฎว่าชายหนุ่มคนนี้ ก็ใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็ประสบผลไม่สำเร็จ ก็ล้างผลาญทรัพย์สมบัติที่ได้มา จนหมด ไม่ใช่แค่หมดเท่านั้น แถมยังเป็นหนี้เป็นสินอีกมากมาย ทั้งจากการสุรุ่ยสุร่าย เล่นการพนัน และการใช้เงินเกินตัวด้วย มั่นใจตัวเองมาก พอเงินหมด ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร? เจ้าหนี้ก็มาทวงทุกวันๆ ไม่ใช่มาทวงธรรมดา ทั้งทวง ทั้งข่มขู่ ข่มเหง รังแกด้วย บ้านที่เอาไปวาง ที่ดินที่เอาไปวางเป็นหลักประกันก็จะโดนยึด คราวนี้จะทำอย่างไรดี?
เมื่อตอนอยู่กับพ่อก็ซ่าส์ เย่อหยิ่ง อยากจะมีชีวิตที่เป็นอิสระ อยากออกจากบ้าน เป็นตัวของตัวเอง อยากจะคิดเอง ทำเองทุกอย่าง แต่พอออกไปแล้ว เป็นไง เจอตอเข้า เจอปัญหา เจอความทุกข์ยากลำบาก เจอของจริงเข้า ก็นึกถึงใคร? นึกถึงบ้าน นึกถึงพ่อ ชายหนุ่มคนนี้ พอเจอการทวงนี้ การข่มขู่ที่รุนแรงเข้า ก็เลยต้องกลับไปขอการช่วยเหลือจากพ่อ พอไปถึงพ่อ พ่อช่วยไหม? ช่วยอยู่แล้ว
ความรักของพ่อที่มีต่อลูก ก็แน่นอน มันจะขนาดไหนก็ตาม จะผิดหรือจะถูกอย่างไรก็ตาม เมื่อลูกกลับมา เราช่วยอะไรได้ เราช่วยเต็มที่ นี่เป็นมหาเศรษฐี ทำไมจะช่วยไม่ได้ เมื่อลูกกลับมา ก็ดีใจ พ่อพร้อมที่จะอ้าแขนรับ และช่วยเหลือ พ่อก็เลยไปช่วยเจรจากับเจ้าหนี้ แล้วก็ไถ่หนี้ให้ทั้งหมด จนครบหมด หมดเกลี้ยงเลย พ่อก็เลยกลับมาบอกลูกชายว่าพ่อทำการไถ่หนี้ให้หมดแล้ว หนี้ที่ไปสร้างไว้เยอะแยะ ตอนนี้ไถ่หมดแล้ว จ่ายหมดแล้วๆ ลูกเป็นอิสระแล้ว ลูกก็พยักหน้า ดีใจ เชื่อ ดีใจ แต่ปรากฏว่าดีใจ สบายใจอยู่ไม่นาน สิ้นเดือน เจ้าหนี้มาทวงเหมือนเดิม ยังมาข่มขู่อีก มาทวงเหมือนเดิมอีก ส่งคนมาทวง ข่มขู่ ก็เลยชักไม่แน่ใจ ก็จ่ายให้ไป กลัว ก็จ่ายให้ไป จ่ายหนี้ เดือนต่อไป ก็มาข่มขู่อีก ชักไม่แน่ใจแล้ว คราวนี้ก็เลยไปถามพ่อ พ่อก็ยืนยันว่าจ่ายหมดแล้ว แถมยังเอาใบเสร็จมาให้ดู ไปจ่ายมาเอง เรียบร้อยแล้ว และก็บอกลูกชายว่าคราวหน้า ถ้ามันมาทวงอีก เอานี้ให้มันดูเลย ใบเสร็จ รู้ไหม? รู้ครับ
แล้วเจ้าหนี้ก็กลับมาอีก สิ้นเดือนมาแล้ว คราวนี้ขู่หนักเลยว่าถ้าไม่ผ่อนหนี้ต่อไป คราวนี้จะทำให้รุนแรงขึ้น อาจเจ็บตัวได้นะ ปัญหาหนักขึ้นนะ ข่มขู่ร้ายแรงเลยคราวนี้ ลูกชายก็ทำตามที่พ่อบอก ก็รีบไปเอาใบเสร็จมา โชว์ให้เจ้าหนี้ดูเลยนะครับ พูดเสียงแข็งเลยนะ …
“นี่คือหลักฐานการใช้หนี้หมดแล้ว พ่อฉันจ่ายหมดแล้ว”
แต่ว่าเจ้าหนี้ก็ยังทำไม? ขู่ต่อไปว่า … “ดูให้ดีๆ ใบเสร็จนี้มันไม่ใช่ของจริง มันเป็นของปลอม ถ้าพ่อแกมีเงินจริง ไถ่บ้าน ไถ่ที่ดินอย่างนี้นะ คงไม่ปล่อยให้แกอยู่อย่างนี้หรอก”
ฟังให้ดีๆ “ถ้าพ่อแกมีเงินเยอะจริงๆ ขนาดมาไถ่หนี้ ถึงขนาดในใบเสร็จนี้ เป็นหลายร้อย หลายสิบล้านอย่างนี้จริงๆ แล้วทำไมปล่อยให้แกอยู่บ้านโทรมๆ อย่างนี้ ดูสิปลวกยังขึ้นอยู่เลย สีก็ไม่ได้ทา ถ้ามีเงินขนาดนี้จริงๆ บ้านแกมันต้องสวยกว่านี้ตั้งเยอะนะ มันไม่กี่ตังค์เอง ถ้าทำใหม่”
ชักน่าคิด ลูกก็หันกลับไปดูที่บ้าน มันก็จริงนะ คิดตามภาษามนุษย์ธรรมดาว่ามันมีเหตุผล แล้วก็บอกตัวเองว่าที่เจ้าหนี้พูด มันก็น่าจะเป็นจริง งั้นแสดงว่าพ่อคงยังไม่ได้ไถ่หนี้ให้เราแน่ๆ เลย คิดไปคิดมา เลยเถิดไปว่าพ่อเราจริงหรือเปล่า? หรือเราถูกหลอก หลอกเราเล่นหรือเปล่า? ใช่พ่อเราไหมเนี้ย ชักไม่ค่อยแน่ใจ ก็ทำอย่างไร? ผ่อนต่อ จ่ายต่อ
แล้วก็คิดต่อไป … “ถ้าเป็นพ่อของเราจริงๆ มีเงินขนาดนี้เยอะแยะ ไถ่หนี้ให้กับเรา บอกว่าที่ดินทั้งหมดนี้ หนี้สินไปจ่ายเขาหมดเรียบร้อยแล้ว ป่านนี้บ้านเราคงไม่อยู่อย่างนี้หรอก จะมาปล่อยให้เราอยู่บ้านหลังเก่าอย่างนี้ทำไม? ซื้อหลังใหม่ให้เราก็ได้ ถ้าไม่ซื้อหลังใหม่ให้เรา แสดงว่าไม่มีจริง ถ้าเป็นพ่อเราจริง ไถ่ให้เราอย่างนี้จริงๆ น่าจะให้เราอยู่ดี กินดีกว่านี้ ไม่ใช่ให้มาขัดสนลำบากลำบนอย่างนี้ ปล่อยให้เราอยู่อย่างทุรักทุเลตามมีตามเกิดแบบนี้ คงไม่ปล่อยให้เราอยู่บ้านโทรมๆ อย่างนี้ ลำบากอย่างนี้หรอก เพราะฉะนั้น ไม่น่าใช่ ที่ไถ่อะไรให้เราทั้งหมดแล้ว คงไม่จริง”
พอคิดแบบนี้ ก็สรุปเลยว่าพ่อยังไม่ได้ไถ่ให้เราจริงๆ เราอาจถูกหลอก เรายังไม่ได้มีอิสรภาพจากหนี้สินจริงๆ ตามที่พ่อบอก ถ้าขืนเรายังไม่จ่ายหนี้ต่อไป อาจเจ็บตัว เจ้าหนี้คงมาทวงอีก อาจเจ็บตัว เดี๋ยวหนักๆ เข้า คราวนี้ รุนแรงถึงชีวิตได้ เดือดร้อนใหญ่เลย ก็เลยจำใจต้องก้มหน้าก้มตาใช้หนี้ต่อไปเหมือนเดิม
คิดให้ดีๆ นะ ใช้หนี้ต่อไปเหมือนเดิม ขณะที่ใบเสร็จอยู่ในมือแล้วนะ คุ้นๆ นะ
เรื่องลูกชายเศรษฐีคนนี้ ถามว่าเหมือนใครครับ? เหมือนคนที่มาเชื่อพระเจ้า มาเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พระเจ้าบอกว่าไถ่หนี้ให้หมดแล้ว พระเยซูไถ่บาปให้แล้ว ปลดเราให้เป็นอิสรภาพจากหนี้บาป เวรกรรมแล้ว แต่พอมีเจ้าหนี้มาเริ่มทวงอีก เราก็ทำไร? เมื่อเจ้าหนี้มาทวง เจ้าหนี้บอกว่าอะไร?
“แกต้องชดใช้บาปเวรกรรม ที่แกมีอยู่ในใจนั้นต่อไปนะ”
บอกทำไม บอกเมื่อไร ทุกเดือนเหรอ ไม่ใช่ ทุกวัน เผลอๆ ทุกชั่วโมง เดี๋ยวเผลอนิดหนึ่ง อาบน้ำอยู่ เดินไป กินข้าวอยู่ เดี๋ยวแว๊บมาแล้ว โดยแว๊บ ผ่านทางโน้น ผ่านทางนี้ ผ่านทางความคิดเรา มันใช่เหรอเนี้ย เราหมดบาปเวรกรรมแล้วจริงๆ ตามที่พระเจ้าบอกหรือ? หรือเราจะต้องจ่ายหนี้ของเราอยู่เหมือนเดิมทุกวัน เพราะอะไร? เพราะเราไม่มีความมั่นใจในการไถ่ของพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง เพราะถ้ามั่นใจ เราคงไม่คิดและไม่ทำอะไรแบบนี้ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อไป ความไม่มั่นใจนี้ ทำให้เกิดอะไรขึ้น ไม่มั่นใจ เพราะอะไร? เพราะเราใช้ความคิด ตรรกะแบบเหตุและผล แบบมนุษย์ ใช้ตามอง ใช้สิ่งที่สามารถจับต้องมองเห็นได้ มาเป็นเครื่องพิสูจน์ วัดว่าพ่อเราไถ่เรา โดยพระเยซูคริสต์จริงไหม? พระเจ้าไถ่บาปเราโดยพระเยซูคริสต์จริงไหม? เหมือนเรื่องเมื่อตะกี้นี้ คิดตามเหตุผลเลย
ถ้าพ่อเรา หรือพระเจ้าประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์องค์เดียว มาไถ่บาปให้เราจริงๆ ตามที่พระองค์ทรงพูดไว้ตามพระคัมภีร์นั้น ทำให้เรามากมายถึงขนาดนี้จริงๆ ถ้าเราได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ แล้ว เราก็ควรจะอยู่ดี กินดีกว่านี้นี่น่า จริงหรือเปล่า? หรือไม่มีใครเคยคิดบ้าง แล้วเราก็ควรจะอยู่ดีกว่านี้ เป็นลูกพระเจ้า ทำไมมันโทรมอย่างนี้ ถูกไหม? ก็เหมือนเรื่องเมื่อตะกี้ ก็ในเมื่อพ่อของเรา คือพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงควบคุมและครอบครองสรรพสิ่งทั้งหลายทั่วจักรวาล ถ้าเราเป็นลูกของพระเจ้าที่กล่าวมานี้ เราก็ไม่ควรจะมีชีวิตแบบนี้เลย นี่คือการทวงนี้แบบเข้ามาในสมองเรา แล้วเราก็ชอบคิดแบบนี้ มันก็เลยตามไป บางทีคิดตอนอาบน้ำ คิดตอนกินข้าว บางทีคิดก่อนนอน บางคิดตอนทำงาน บางทีคิดตอนไม่สบาย บางทีคิดตอนมีปัญหา บางทีคิดตอนอะไรแล้วแต่ อะไรเยอะแยะ คิดตอนโลภ เยอะแยะไปหมดเลย คิดไปเรื่อย เพราะเรามีชีวิตที่ไม่มั่นใจในความรอดในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าให้กับเรา
“มีที่ไหน ลูกพระเจ้าต้องไปติดหนี้ ยืมสินเขา มีเหรอ?”
มีไหม? เราเป็นลูกพระเจ้าไปติดหนี้ยืมสินเขาเหรอ? หัวเราะตายเลย มีที่ไหน ลูกพระเจ้าต้องมาทุกข์ทรมาน จากโรคภัยไข้เจ็บ ไหนบอกพระเจ้าเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ มีที่ไหนลูกพระเจ้าต้องมาแบกปัญหาภาระ 108 1009 บนโลกใบนี้ ยุ่งวุ่นวายไปหมด เผลอๆ หนักกว่าคนอื่นเขาอีก เคยคิดบ้างไหม? ต้องเคยล่ะ มากหรือน้อยก็ตาม
“ลูกพระเจ้า ทำไมยังกังวล ยังกลัว ยังวิตกอยู่เลย”
บางคนหนักกว่านั้น … “ทำไมลูกพระเจ้ายังเป็นโรคซึมเศร้าอยู่เลย ทำไมลูกพระเจ้าคนนี้ฆ่าตัวตายได้ ทำไมลูกพระเจ้าคนนี้ ทำอย่างนี้ได้ สงสัยไม่ใช่ลูกพระเจ้ามั้ง”
สงสัยไปกันใหญ่ สิ่งเหล่านี้ ที่ทำทั้งหมด คือไม่เชื่อ กำลังบอกว่าเรากำลังผ่อนหนี้เขาต่อ เขามาทวง เราก็ผ่อนหนี้เขาต่อ นี่คือผ่อนหนี้ การผ่อนนี้ คือเราไม่เชื่อพระเจ้า กำลังผ่อนหนี้ ยอมรับง่ายๆ ว่าเราเป็นหนี้จริง พอเราเป็นหนี้จริง เราก็จะคิดแบบนี้ เราเป็นลูกพระเจ้า ลูกพระเจ้าอะไร ทำไมยังโกรธ ยังเกลียด ยังอิจฉาริษยา ยังโลภอยู่เลย ลูกพระเจ้าได้อย่างไรอย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น เรากำลังบอกว่าเราไม่สมควรเป็นลูกพระเจ้า ทั้งๆ ที่พระคัมภีร์พระเจ้า พ่อเราบอกว่า …
“แกบริสุทธิ์สะอาด ไร้ที่ตำหนิ เหมือนพระเยซูคริสต์เลย”
เราบอก … “ไม่ใช่ ลูกพระเจ้าจะเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร? ลูกพระเจ้าจะโกรธได้อย่างไร? เมื่อเช้าฉันก็หงุดหงิด ลูกพระเจ้าจะหงุดหงิดอย่างนี้ได้อย่างไร?”
เป็นไหม? นี่แหละ คือการผ่อนหนี้อยู่ … “มันเป็นไปไม่ได้” … เรากำลังผ่อนหนี้อยู่ “เป็นไปไม่ได้” ก็คือเราไม่ได้รับอิสรภาพ เรายังเป็นหนี้สินอยู่ เรายังเป็นหนี้สินอยู่
“ใช่ แกพูดถูกแล้ว”
เรายังเป็นหนี้ เราผ่อนวิธีการนั้น ก็คืออย่าหนี ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ มันก็จะไปเรื่อยๆ
เพราะฉะนั้น ในความคิด เราก็จะสรุปว่ามันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ ที่พระเจ้าองค์นี้จะเป็นพ่อของเรา และยิ่งพอเจอปัญหา เจอความทุกข์ยากลำบากหนักๆ เข้า ก็เลยคิดเลยไปใหญ่ว่าพระเจ้าที่ได้ยินมา ได้ฟังมา ได้เรียนรู้มานั้น ไม่มีจริงด้วยซ้ำไป เป็นความอยากได้ของมนุษย์มากกว่า พระเจ้าไม่มีจริง หรือมี ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างที่พระคัมภีร์พูดจริงๆ หรอก นั่นคือจินตนาการของมนุษย์ อยากให้พระเจ้ายิ่งใหญ่ แต่จริงๆ ไม่มีหรอก อะไรคนเราทำผิดทำบาปเยอะแยะ อยู่ดีๆ มาเชื่อพระเยซูจะไปรอด สมควรไปอยู่สวรรค์ เป็นไปไม่ได้ ใครๆ ก็บอกเป็นไปไม่ได้ คนข้างบ้านก็บอก เพื่อนก็บอก รวมทั้งตัวฉันเอง ในที่สุด ฉันก็เลยบอกด้วยคนว่าไม่จริงหรอก ก็จบข่าวประเสริฐตรงนั้น
เห็นไหม? นี่คือวิธีการที่มารจะมาขโมยข่าวประเสริฐจากเรา การที่เราใช้หนี้ทุกวัน ที่เราบอกว่าพระเจ้าใช้หนี้เราหมดแล้ว แต่พอแต่ละเดือนแต่ละวันเขามาทวง เราก็ยังจ่ายอยู่ จ่ายก็คือวิธีนี้ ยังจ่ายอยู่ ยังคิดอย่างนี้อยู่ พอคิดอย่างนี้อยู่ ก็จ่าย วิธีจ่ายของเรา ก็คือจะทำอะไรก็ตาม เป็นพิธีกรรมอะไรก็ตามที่เป็นแรงจูงใจจากจิตใจ คือต้องการจะเป็นอิสระ นั่นแหละ คือการใช้หนี้เขา
ยกตัวอย่างเช่น ง่ายๆ เช่นท่านมาโบสถ์ เพราะอะไร? ท่านคิดว่าท่านมาโบสถ์ เพราะว่ามันจะได้สมควรที่จะไปสวรรค์เหรอ? เสร็จแล้ว ท่านกำลังผ่อนให้เขาอยู่ ถ้าท่านมาโบสถ์ เพราะว่าเราจะได้มาหนุนจิตชูใจกัน สรรเสริญพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าที่เป็นอิสรภาพแล้ว อย่างนี้คนละจิตใจ มาเหมือนกันนะ แต่คนละแรงจูงใจไม่เหมือนกัน ท่านต้องเป็นอย่างนี้ ฉันต้องอดอาหารอธิษฐาน ไม่ใช่ไม่ดี ดี แต่ฉันอดอาหารอธิษฐาน เพื่อแสวงหาอะไรบางอย่าง ในเรื่องความจริงแห่งถ้อยคำพระเจ้า ไม่ใช่อดอาหารอธิษฐาน เพราะว่าฉันจะได้บริสุทธิ์ ฉันจะได้บังคับตัวเอง ฉันจะได้บังคับตัวเอง ไม่ใช่อันนั้นเป็นการบังคับตัวเอง เหมือนถวายเหมือนกัน ท่านให้เงินไป ท่านให้เพราะอะไร? เพราะพระเจ้าให้มา อยากจะให้ต่อ คนให้มีความสุข คนรับมีความสุข พอแล้วแค่นั้น ไม่ใช่ให้เพราะว่าฉันจะได้สมควรไปสวรรค์ พระเจ้าจะได้รักฉันเยอะๆ เสร็จเลย
นี่คือการผ่อนไง และอื่นๆ อีกมากมาย เยอะแยะไปหมด ตลอดทั้งวันทั้งคืนที่เราทำ ไปพิสูจน์กันเองแล้วกัน ของใครของเขาว่าอะไรที่เราทำในทุกวันนี้ เป็นการยังผ่อนอยู่ไหม? พระเจ้าบอกเป็นอิสระแล้ว ตื่นขึ้นมา มีคนมาทวง ผ่อนอีกไหม? หรือเราบอกมันว่า …
“ไปให้พ้นนะ ฉันเป็นอิสระแล้ว ไปไกลๆ เลย”
หรืออย่างไร? ท่าทีไหนของเราที่เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า ให้ท่านกลับไปคิดเอาเอง ตัวใครตัวเขาแล้วกัน เอเมน
**********************