คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม 2018
เรื่อง “อีสเตอร์”
โดย นคร เวชสุภาพร
ผมอยากให้ทุกคนได้ระลึกถึงตรงนี้มากกว่าวันคริสตมาสด้วยซ้ำไป คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยพูดถึง และก็ไม่พูดถึงรายละเอียดลึกซึ้ง ที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวพันกับพวกเราทุกคน และมนุษย์ทุกคน เราจำเป็นต้องเรียนรู้ เพราะเรามีหน้าที่ประกาศข่าวดี ทุกคนมีหน้าที่ประกาศข่าวดี
ประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ สรุปสั้นๆ คือวันศุกร์ประเสริฐกับวันอีสเตอร์ 2 วันคือข่าวดีมาถึงมนุษย์ทุกคน เราจะได้มาย้อนกันว่าพระเยซูทำอะไรให้กับเราในวันนั้น
ผมจะเล่าให้ฟังว่าทุกวันนี้ คนเป็นอย่างนี้กันเยอะเลย คือวางแผนการในชีวิตว่าจะทำอะไรบางอย่าง แล้วก็จะทำให้มันสำเร็จ แล้วก็มุ่งมั่น ทำมันต่อไป ผมเองในอดีต ตอนแรกทำมาหากินได้ ก็ว่าเป้าแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ทุกคนในที่นี่ อยากจะมีรถสัก 1 คัน มีบ้านสักหลังหนึ่ง ส่วนใหญ่รถ ไม่ค่อยสำคัญเท่ากับบ้าน อยากจะมีบ้านของตัวเองสักหลังหนึ่งใช่ไหม? นี่คือความฝันใช่ไหม? เล็กๆ ก็ยังดี ไม่มีบ้าน ก็อยากจะมีบ้านสักหลังหนึ่ง เช่าเขาอยู่ ก็อยากจะมีบ้านสักหลังหนึ่ง ก็ทำทุกสิ่งทุกอย่าง ช่วยกันทุกสิ่งทุกอย่าง ไปดาว์นบ้านสักหลังหนึ่ง ถูกไหม? ส่วนใหญ่จะเป็นอย่างนี้
ดาว์น เพื่อจะเป็นเจ้าของบ้านในวันหนึ่งข้างหน้า เพื่อลูกหลานและตัวเราเองจะได้อยู่อย่างมีความสุขสักที ความคิด เป็นอย่างนั้น เพื่อเผื่อลูกหลานด้วย เราก็ทำ แล้วก็ตั้งมั่น ตั้งใจ ทำมาหากิน อดทนทุกอย่าง เพื่อจะเงินไปผ่อนบ้าน ผ่อนทุกเดือนๆ ไม่มีก็ต้องผ่อน กินน้อยลงนิดหนึ่ง ก็ต้องผ่อน เพื่อแผนการจะได้สำเร็จ เราจะได้เป็นเจ้าของบ้าน จะได้เป็นอิสระสักที เป็นหนี้เขาอยู่ตอนนี้ ไปซื้อบ้านมา 1 ล้าน จ่ายเงินค่าดาว์นไป แล้วต้องจ่ายไปเรื่อยๆ ทุกเดือนๆ จ่ายไป หวังว่าเมื่อไรหนอ ทุกเดือนก็จะมาดูบิล ไปจ่ายก็มาดู เงินต้นเหลืออยู่อีก 7 แสน สมมติว่าผ่อนเดือนละ 5,000 บาท จ่ายไป 5,000 บาท ลบเงินต้นจาก 7 แสน เหลือ 695,500 บาท หายไป 500 เอง เมื่อไรจะหมดสักที คิดในใจ ไม่เป็นไร โอเค ถึงไม่หมด เดี๋ยวลูกหลานเราก็ผ่อนต่อ ในที่สุด บ้านก็เป็นของเราแล้ว เราก็คิดอย่างนั้นแหละเนอะ
นี่คือความสุขใจ ความหวังใจว่าเมื่อไรมันจะหมดสักที? เมื่อไรมันจะเสร็จสักที? แผนการนี้ แผนการความหวังของเรา พระเจ้าก็คิดอย่างนั้นแหละ พระคัมภีร์บอกมนุษย์ตกลงไปในความบาป มนุษย์ตกลงไป ไม่มีบ้านจะอยู่แล้ว บ้านแตกสาแหลกขาด แล้วต้องทำอะไร? ก็ต้องผ่อนหนี้ ผ่อนทุกวันๆ ทุกเดือน ทุกปี พระคัมภีร์เดิม ก็คือมนุษย์ผ่อนนี้ ผ่อนบาป ปีละครั้ง ผ่อนอยู่นั้นแหละ แล้วก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าลูกหลานเมื่อไรหนอ ไปถึงลูกหลาน ลูกหลานจะผ่อนได้หมด ไปถึงลูกหลาน ลูกหลานก็บอกว่าเมื่อไรจะผ่อนหมดสักที ไม่หมดสักที
จนกระทั่ง วันหนึ่ง แผนการที่จะให้บ้านเป็นอิสระ มนุษย์เป็นอิสระเมื่อไร? เมื่อนั้น เป็นแผนการของพระเจ้า และแผนการของมนุษย์ทุกคน ก็มีลูกหลานของมนุษย์ผู้หนึ่งมาทำการผ่อน จบหมดสิ้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว คนนี้ชื่อเยซู มาเกิด แล้วก็เมื่อ 2,000 ปีได้บันทึกไว้ว่าเขาได้เดินทางมาตามแผนการให้มันสำเร็จ ก็คือมาผ่อน แต่เที่ยวนี้ผ่อนสุดท้ายแล้ว ก็คือเขาเอาตัวของเขาเอง ไปตายที่ไม้กางเขน และหลั่งพระโลหิต ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบอกว่าตอนที่เขาทำสำเร็จเรียบร้อย เขากางแขน ตายที่ไม้กางเขน แล้วก็พูดคำว่า …
“สำเร็จแล้ว”
ในนั้น ไม่ได้บอกว่าพูดดังขนาดไหน? แต่ผมว่าในใจคงเต็มไปด้วยพลังมากเลย ก็เหมือนเราผ่อนบ้านงวดสุดท้าย จบแล้ว ผ่อนมาตั้งแต่สมัยพ่อแม่เรา จนมาถึงเราแล้ว งวดสุดท้าย สมมติเหลืออยู่ประมาณ 3 แสน เราเผอิญโชคดี มีเงินเยอแยะมาตอนนั้น ได้เงินมา 3 แสน ไปที่ธนาคาร เอาเงิน 3 แสนไปจ่ายหมด กลับมาที่บ้านบอกว่าเสร็จแล้ว จบแล้วนะ เราไม่ต้องผ่อนใครแล้ว เราเป็นอิสระแล้ว
พระเยซูก็ทำอย่างนั้น วันนั้น วันที่ไม้กางเขน พระคัมภีร์บันทึกไว้ ยอห์น 19:30 ในวันนั้น วันที่พระองค์ผ่อนชำระหมด ให้กับมนุษย์ทั้งปวง เราจ่ายหนี้ให้หมดแล้วนะ ในนั้นบันทึกว่า …
ยอห์น 19:30 “เมื่อทรงรับน้ำนั้นแล้ว พระเยซูก็ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” จากนั้นพระองค์ก้มพระเศียรลง และสิ้นพระชนม์”
ตอนนี้ถูกตรึงอยู่ที่ไม้กางเขนนะ ประมาณสักบ่าย 3 โมง ในวันศุกร์นั้น พระเยซูอยู่บนไม้กางเขน รับน้ำที่คนเขาชูขึ้นมาให้ น้ำที่อยู่ในฟองน้ำ เสร็จแล้วก็พูดว่า … “สำเร็จแล้ว” จะดังหรือเบาไม่รู้ จากนั้นพระองค์ก้มศีรษะลง และสิ้นพระชนม์ ก็คือจ่ายงวดสุดท้าย จบสักที
ชีวิตพระองค์ คือราคาที่จ่ายเพื่อเรา มนุษย์ทั้งปวงจะได้เป็นอิสรภาพสักที ไม่ต้องชดใช้บาปเวรกรรม ไม่ต้องผ่อนหนี้เวรกรรมอีกต่อไปแล้ว เอเมน
เพราะฉะนั้น คำนี้ แล้วแต่คนจะคิดนะ ผมเอง ผมมีความรู้สึกในใจ สำหรับร่างกายพระเยซูทุกข์ทรมานมาก หมดแรง คงจะพูดแบบเบาๆ เพราะกำลังจะหายใจไม่ออกแล้ว กำลังจะสิ้นพระชนม์ เพราะถูกตรึงอยู่ที่ไม้กางเขน ตั้งแต่ 9 โมงเช้าจนถึงตอนนี้ 6 ชั่วโมงแล้ว หายใจไม่ได้ ทรุดลงไปทุกที คงจะพูดเบาๆ แต่คิดว่าในใจคงจะตะโกนดังลั่นเลย เหมือนเราทั้งหลายที่ไม่ได้อยู่บนไม้กางเขน แต่เราได้รับข่าวดี รู้จักพระเจ้า โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขนนั้น เรารู้ว่าคำนี้ ในใจพระองค์คงพูดดีใจมากๆ พูดอย่างไร?
“สำเร็จแล้ว” (พูดแบบอ่อนแรง)
ถูกล๊อตเตอร์รี่ รางวัลที่ 1 พูดว่าอย่างไร? … “ถูกแล้ว วันนี้ถูกล๊อตเตอร์รี่รางวัลที่ 1 เลยนะเนี้ย”
ถ้าถูกหมดทุกใบ ได้เท่าไร? ประมาณกี่บาท 180 ล้าน ดีใจไหม? นี่ 180 ล้าน ยังวิ่งไปทั่วบ้านทั่วเมือง จากปากซอยถึงก้นซอย ตะโกนลั่นเลย แล้วนี่มันมากกว่าเท่าไร? ที่เราไม่ต้องใช้หนี้ ใช้กรรมแล้ว ทั้งหมดเลยนะ มวลมนุษยชาติ ทั้งหมด ทั้งในอนาคต ในอดีต ทั้งหมดเลย มาถึงพวกเราด้วย ไม่ต้องใช้หนี้ ใช้บาป ใช้เวร ใช้กรรมอีกต่อไปแล้ว
เพราะฉะนั้น ควรจะตะโกนว่าอย่างไร? พระเยซูอยู่บนไม้กางเขน ก่อนสิ้นพระชนม์ พระองค์รู้ว่าจบสิ้นกันสักที พวกเราทั้งหลาย พระองค์เป็นตัวแทนของมนุษย์ พวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหลาย ต่อไปนี้ ไม่ต้องชดใช้เวรกรรมอีกต่อไปแล้ว พระองค์กำลังพูดคำนี้ว่าจ่ายครั้งสุดท้าย บอกว่า … “สำเร็จแล้ว” … ตะโกนสุดเสียงเลย วิ่งตั้งแต่ปากซอยถึงท้ายซอย นี่แหละคือข่าวดีไง เขาให้ออกไปประกาศข่าวดี คืออย่างนี้ เหมือนท่านถูกล๊อตเตอร์รี่ ท่านออกไปประกาศข่าวดี ถ้าท่านถูกกิน ท่านก็ไม่พูดกับใคร? ถ้าถูกถึงไปพูด พอถูกกิน …
“ฉันถูกกิน”
แต่ตอนถูกล๊อตเตอร์รี่พูดมากกว่าตั้งเยอะ
สมัยก่อนไม่รู้จักพระเยซู เราพูดทุกวัน พูดบ่อยๆ … “เมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรมสักที”
ทีทุกวันนี้ หมดเวรหมดกรรมแล้ว เมื่อเชื่อพระเยซู ไม่เห็นพูดสักคำหนึ่งเลย พูดหรือเปล่า? พูดน้อยกว่าแต่ก่อนตั้งเยอะ จริงหรือไม่จริง? จริง
เมื่อก่อน “เมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรมสักทีหนึ่ง”
ทำไมเดี๋ยวนี้ไม่ทุบดินไป ทำงานเหนื่อย แล้วก็บอกว่า “หมดเวรแล้ว หมดกรรมแล้ว โอ๊ย! เหนื่อยจริง หมดเวรหมดกรรมสักทีหนึ่ง จบแล้ว”
ทำไมไม่พูดล่ะ ทีแต่ก่อนนี้ทำงานหนักไป “เมื่อไรหมดเวรหมดกรรมสักที”
คนเรานี่ก็แปลก
นี่เอาความจริงมาให้ท่านเห็นว่าเราก็แปลก พระเยซูจึงบอกให้พวกเราออกไปประกาศข่าวดี นี่คือข่าวดี ประกาศอย่างไร? เคยประกาศข่าวร้ายอย่างไร? เดี๋ยวนี้ก็ทำเหมือนกันแหละ ไม่ต้องไปหาใครก็ได้ อยู่ว่างๆ บ่นกับตัวเองว่า …
“เมื่อไรหมดเวรหมดกรรม”
คราวนี้ก็บ่นกับตัวเองบ้างสิ … “เดี๋ยวนี้เป็นอิสระแล้ว ขอบคุณพระเจ้า เป็นอิสระแล้วในพระเยซู เป็นอิสระแล้ว”
นี่แหละ ประกาศข่าวดี คนก็แอบได้ยิน ทำงานอย่างไร ทำไมยิ้มแย้มแจ่มใส เหนื่อยจะตาย เจอปัญหามากมาย หน้าตาบู้บี้ ปากยังพูดเลยว่า …
“หมดเวรหมดกรรมแล้ว”
เอเมน นี่คือข่าวดี
พระเยซูอยู่บนไม้กางเขน จึงประกาศว่าสำเร็จแล้ว
“สำเร็จแล้ว” ภาษาเดิมสมัยนั้น พระเยซูพูดคำนี้ เป็นภาษากรีกในสมัยนั้น ตะกี้เราพูดภาษาไทย ภาษากรีกอ่านเป็นภาษาไทยว่า “เทสเทเรสสไตล์” แปลว่า “จ่ายหมดแล้ว” ไม่ใช่สำเร็จแล้วนะ เขาเอาไว้สำหรับเป็นชื่อที่ปั้มลงไปในเอกสารของชาวกรีกในสมัยนั้น เมื่อเราไปธนาคารหรือไปที่ไหน? ซื้อของเขาเรียบร้อย เอาบิลเรียบร้อย แล้วเราจ่ายเงินเรียบร้อย บิลเขาจะพิมพ์คำว่าเทสเทเรสสไตล์ แปลว่าจ่ายหมดแล้ว ท่านไปซื้อของ 1,150 บาท ปุ๊บ ท่านจ่ายเงิน 1,150 บาท เขาก็เขียนบิลให้ท่าน แล้วก็ปั้มคำว่าเทสเทเรสสไตล์ แปลว่าท่านไม่ได้เป็นหนี้เขาอีกแล้ว ท่านก็เดินออกมาฟรีๆ
เอเมน ตอนนี้ ชีวิตเราได้ถูกปั้มแล้วว่าเทสเทเรสสไตล์ แปลว่าจ่ายหนี้หมดแล้ว
เพราะฉะนั้น จำตรงนี้ไว้ ทั้งวันทั้งคืน อยากจะบ่น บ่นตรงนี้ไปเลย รู้สึกเซ็งในชีวิต บ่นตรงนี้ไปเลย เหมือนแต่ก่อนนี้
“เมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรม”
กลายเป็น พออยากจะบ่น อยากจะเหนื่อย อยากจะพูดอะไร ก็พูดไปเลยว่า …
“เทสเทเรสสไตล์แล้ว หมดเวรหมดกรรมแล้ว ฉันเหนื่อยอีกแป๊บเดียวเอง เพราะว่ามันหมดเวรหมดกรรมไปแล้ว จะเหนื่อยอีกแป๊บหนึ่ง ก็โอเค เพราะว่ามันหมดเวรหมดกรรมไปแล้ว”
แต่ก่อนนี้มันไม่มีความหวัง เหนื่อยก็เหนื่อย แถมยังเมื่อไรจะหมดเวรหมดกรรม ชาติหน้าหนักกว่านี้อีก แต่เดี๋ยวนี้เหนื่อยอย่างไร? ประสบปัญหา อุปสรรคอย่างไร? ก็พูดว่าเทสเทเรสสไตล์ มันจ่ายหมดแล้ว ทนอีกนิดเดียว มันจบแล้ว เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราจะอยู่สวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาลตลอดไป เอเมน
พูดอีกครั้งหนึ่งว่า … “เทสเทเรสสไตล์” แปลเป็นภาษาไทยว่า … “จ่ายหมดแล้ว”
แต่นี่หมายถึงโลกวิญญาณนะ ทุกวันนี้ ใครเป็นหนี้ธนาคารอยู่ ไปจ่ายเหมือนเดิมนะ ไม่ใช่บอกว่า …
“อ้าว! เห็นคุณนครบอกว่าจ่ายหมดแล้ว ฉันเลยไม่ได้มาผ่อน”
มันคนละเรื่องกันนะ แต่ว่าในทางวิญญาณ หมดแล้ว มันไม่มีหนี้แล้ว เอเมน
****************************