คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน 2017 เรื่อง “ความจริง จะทำให้เราเป็นไท” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน 2017

เรื่อง “ความจริง จะทำให้เราเป็นไท”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง เรากำลังเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณใช่ไหม? ถูกไหม? จำได้หรือเปล่าท่านเป็นอะไร? คุยกันได้ วันนี้จะสาธิตให้ต่อ ถ้าตอบไม่ถูก ก็จะไม่สาธิตให้ ท่านเป็นวิญญาณ ใช่ไหม? วิญญาณก็ต้องอาศัยในโลกของวิญญาณ สิ่งที่เรามองเห็นอยู่นี้ หน้าตาเรา คือวัตถุใช่ไหม? เพราะเราเห็น คือโลกวัตถุ เก้าอี้ อะไรต่างๆ นี่เรียกว่าโลกฝ่ายวัตถุใช่ไหม? นี่คือที่เราได้เรียนรู้กันในพระคัมภีร์สอนเราอย่างนั้น

พระคัมภีร์เป็นเรื่องความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท แค่รู้ความจริงนิดหนึ่ง ก็เป็นไทนิดหนึ่ง รู้มากขึ้น ก็เป็นไทมากขึ้นนิดหนึ่ง ความจริงรู้เยอะๆ ก็เป็นไทมากขึ้นเยอะๆ นี่คือเคล็ดลับเท่านั้นเอง และอันดับแรกที่เราควรรู้ความจริงนี้ ทำให้เราเป็นไท ก็คือรู้ว่ามันมีโลกฝ่ายวิญญาณจริงๆ มีจริงๆ พอในใจเรารู้ความจริงๆ ทำให้เรารู้ว่ามันมีจริงๆ เห็นไหม? มันตื่นเต้น

ซึ่งพระคัมภีร์ก็ได้บอกตั้งแต่หน้าแรกมาตั้งนานแล้ว บอกเป็นหลายพันปีแล้วว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เหมือนโลกกลม คล้ายๆ อย่างนั้น

เรามาเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณ ตกลงเชื่อไหมว่ามีโลกวิญญาณจริงๆ โลกที่เรามองไม่เห็น มันมีจริงๆ เชื่อไหม? ที่เรามองไม่เห็น จับต้องมองไม่เห็น จับต้องก็ไม่ได้ มองก็ไม่เห็น มันมีโลกนั้นจริงๆ เชื่อไหม? เชื่อ แล้วโลกนั้น เป็นโลกที่อยู่นิรันดร์ แต่โลกที่เรามองเห็นได้ วัตถุสิ่งของ มันอยู่แค่ชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ไปแล้ว นึกออกใช่ไหม?

แล้วเอาเก้าอี้มาทำไม? เอาเก้าอี้มา เพื่อจะพิสูจน์ว่าข้อพระคัมภีร์นี้ เป็นจริง และอธิบายข้อพระคัมภีร์นี้ให้ท่านได้รู้ คืออยู่ในหนังสือเอเฟซัส 2:1-6 เดี๋ยวลองอ่านดู ท่านจะรู้ซึ้งมากขึ้น เมื่อผมสาธิตให้ท่านเห็นว่าพอท่านรู้เรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ ท่านอ่านถ้อยคำนี้ ซึ่งอาจจะเคยอ่านมาก่อนหน้านี้ หลายครั้งแล้ว ในชีวิตคริสเตียน แต่ตอนนี้ ท่านรู้ว่าเข้าใจมากขึ้น? หมายถึงอย่างนี้เอง? เรื่องเป็นอย่างนี้เองหรือ?  เข้าใจแล้ว

นี่เป็นอย่างนี้นะ อันนี้สีดำ อันนี้สีขาว  แสดงว่าถูกต้องตาไม่บอดสี

สีขาว สัญลักษณ์ เราก็รู้อยู่แล้ว บริสุทธิ์ สะอาด ก็ต้องเป็นพระเจ้า ถูกไหม?

สีดำ ตรงกันข้าม ก็คือมาร มันหนีไม่พ้น

นี่ (สีขาว) ก็คือสว่าง  … นี่ (สีดำ) ก็คือมืด เราเรียนรู้มาตลอด ในโลกฝ่ายวิญญาณว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าสอนเราว่ามี 2 อาณาจักรเท่านั้นเอง โลกฝ่ายวิญญาณ มีอยู่ 2 อาณาจักร โลกทางวัตถุมีหลายอาณาจักรมาเลย มีทวีปโน้น ทวีปนี้ ประเทศโน้น ประเทศนี้  แต่โลกฝ่ายวิญญาณมีแค่ 2 อาณาจักร ยังไงก็มี 2 เชื่อหรือไม่เชื่อ? เราไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า เราไม่ได้เป็นคริสเตียน ในโลกฝ่ายวิญญาณมีกี่อาณาจักร ก็มี 2 เราไม่เชื่อ เราไม่สนใจเลย เรื่องโลกวิญญาณมีกี่อาณจักร ก็มี 2 เราไม่เชื่อเลยว่าโลกมันกลม โลกมันกลมไหม? กลม ถูกไหม? เราไม่เชื่อ เราไม่ได้เป็นคริสเตียน ในโลกฝ่ายวิญญาณ มีไหม? มี … มีกี่อาณาจักร? มี 2 นี่คือความจริง ต่อให้จะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

ในโลกฝ่ายวิญญาณ มี 2 อาณาจักร เราเรียนรู้แล้ว อาณาจักรหนึ่งเรียกว่าอาณาจักรของความสว่าง อีกอาณาจักรหนึ่งเรียกว่าอาณาจักรของความมืด อาณาจักรแห่งแสงสว่างเป็นของพระเจ้า อาณาจักรแห่งความมืดมารครอบครอง เห็นไหม? จบแล้ว กลับบ้านได้  เราต้องการเรียนรู้แค่นี้เอง  แล้วเราไปเรียนอะไรมันมากมาย จนกระทั่งเรางงไปหมด อะไรไม่รู้เรื่องเลย  ยิ่งภาษายากๆ อันนี้มันง่ายๆ

นี่สิ่งที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์เรียนรู้ อันดับแรกเลย ไม่ต้องมีศาสนา ไม่ต้องมีอะไรมาเกี่ยวข้องเลย ก็คือรู้แค่นี้ก่อน มันมีจริงๆ นะโลกฝ่ายวิญญาณ  มีแค่ 2 อันเอง บอกมาตลอดทั้งเล่ม มีอยู่แค่นี้

คราวนี้เราก็มารู้ว่าในข้อพระคัมภีร์ที่ผมบอกเมื่อสักครู่นี้ จะพูดถึงว่าเจ้า 2 อาณาจักรนี้เราไปเกี่ยวข้องตรงไหน? คนที่เชื่อพระเจ้า หรือคนที่ไม่เชื่อพระเจ้า มันเกี่ยวข้องตรงไหน? เราอยู่ในตำแหน่งไหน? ในอดีต หรือในปัจจุบัน เราอยู่ที่ไหน? เราต้องอยู่ในที่ใดที่หนึ่งแน่นอน ถ้าตรงนี้มันเป็นจริง ถูกไหม? มันจะบอกว่าเราไม่เชื่อหรอก ไม่อยู่ทั้งสองแห่ง เป็นไปได้ไหม? ก็เหมือนกับคนที่บอกว่า …

“ผมไม่เชื่อว่าโลกกลมหรอก  ผมจะเดินทางไปให้มันตกขอบโลกให้ได้”

แล้วตกไหม? ไม่ตก เพราะมันโค้งไปเรื่อยๆ เดินกลับมาที่เดิม ถูกไหม? เหมือนกัน

“ผมไม่เชื่อหรอก ไม่สนใจหรอก”

แต่จะสนใจหรือไม่สนใจ มันก็มี 2 อาณาจักร  คนที่บอกไม่สน เขาก็อยู่ในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นอันนี้ หรืออันนั้น ถูกหรือเปล่า?  ถูกไหม? เขาจะต้องอยู่ในนี้ แห่งหนึ่งใดแห่งหนึ่งเหมือนกัน

เพราะฉะนั้น ถามตัวเราเอง ในขณะนี้ว่าท่านอยู่ที่ไหน? ท่านอยู่ที่ไหน? จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม สมมติว่าท่านเชื่อก่อนเลยว่าตรงนี้มีจริงๆ แล้วท่านอยู่ที่ไหน?  และเดี๋ยวไม่เชื่อค่อยว่ากัน ท่านต้องอยู่ที่ไหนที่หนี่งแน่ในนี้ ท่านแน่ใจไหมว่าท่านอยู่ที่ไหน? คนในนี้ท่านแน่ใจไหมว่าท่านอยู่ที่ไหน? ถามว่าคนที่นั่งอยู่ที่นี่ มั่นใจว่าท่านอยู่ที่ไหน? อยู่ในความสว่าง ตั้งแต่เกิดหรือเปล่า? ไม่อยู่ แล้วก่อนหน้านี้ ท่านอยู่ที่ไหน? ตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน? ในความสว่าง แน่ใจ เพราะอะไร?  เพราะว่าถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น

บอกว่าพอเรามรับเชื่อในสิทธิในพระเยซูที่ได้ไถ่บาปให้กับเรา เรามาอยู่ตรงนี้แล้ว  เรามาอยู่ตรงนี้แล้ว อยู่ด้วยวิธีอะไร? พระเยซูทำให้ อยู่ด้วยวิธีอะไร? ในพระคัมภีร์บอกตอนนี้นะ เมื่อเรารับเชื่อพระเยซูคริสต์ แต่ก่อนเราอยู่อย่างนี้ เราบอก …

“พระเยซูลูกเชื่อในการไถ่บาปของพระองค์แล้ว”

อันนี้เอาง่ายๆ ก่อนนะ ไม่อธิบายอย่างละเอียด

“ลูกเชื่อว่าพระองค์มีจริงๆ แล้วส่งพระเยซูมาไถ่บาปให้ลูก ลูกเชื่อ เอาบาปลูกไปแล้ว ลูกสะอาดหมดจดแล้ว”

ไม่ใช่แค่นี้อย่างเดียว ไม่ใช่ยืนอย่างนี้ เราสะอาดหมดจดแล้ว  เราไม่ได้เดินเอง พอเราบอก เราเชื่อพระเจ้า แล้วพระเจ้าไถ่บาปเราแล้ว โดยพระเยซูคริสต์ พอเราพูดจบด้วยความเชื่อปุ๊บ สมมตินะพระเจ้าพาเราย้าย นี่พระเจ้าพาเรามานะ สบาย  … สบายไหมอย่างนี้  สบายกว่าที่เมื่อกี้ไหม? อย่างนี้เรียกว่าหายเหนื่อยและเป็นสุข สบายไหม? อยู่กับใคร? นั่งอยู่กับใคร? ความสะอาดทั้งหมดเลย ความบริสุทธิ์ทั้งหมดเลย พระเจ้า พระบิดา พระเจ้า พระบุตร พระเยซูคริสต์ พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้งหมด ทั้งผืนนี้ แล้วยังทูตสวรรค์ล้อมรอบ ทูตสวรรค์ไม่ได้มาเกี่ยวกับผ้านี้หรอก ทูตสวรรค์อยู่ล้อมรอบ คอยเป็นเหมือนคนรับใช้เรา เป็นผู้รับใช้เรา รับใช้ครอบครัวพระเจ้า  เราเข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นครอบครัวพระเจ้า

เพราะฉะนั้น เราสามารถทำอย่างนี้ได้ กระดิ๊กขาก็ได้  แต่ก่อนนี้เราอยู่ที่นี่ เรากระดิ๊กขาไม่ได้เลยนะ นี่คือเมื่อเรารับเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราเป็นอย่างนี้ ใครคลุมเราอยู่? พระเจ้า พระเจ้า 3 พระภาคคลุมเราอยู่ ไม่คุมนะ  ทั้งคลุมและคุม คลุมไม่เท่าไร? แต่คุมเรา ก็คือควบคุมเราเลย จับเราเลย  อยู่กับพระองค์เลย กลัวอะไรไหม?  อยู่กับเราเลย พระคัมภีร์ใช้คำว่าครอบงำเรา  ใช้คำเดียวกันกับตะกี้นี้ก่อนหน้านี้ ที่เราอยู่ทางนี้ ยึดตัวเรา สนิทอยู่กับเราเลย นำพาเราตลอดไป แต่ตอนที่เรายังไม่จากโลกนี้ไป ตัวนี้  ไม่ใช่ตัวจริงที่ท่านเห็นผม มันไม่ใช่ตัวจริงของผม ตัวจริงของผมมองเห็นไหมตะกี้นี้บอกแล้ว โลกฝ่ายวิญญาณมองเห็นไหม? ไม่เห็น ตัวผมท่านมองไม่เห็น แต่ตัวที่ท่านเห็นอยู่นั้น เป็นร่างกายที่ไม่ใช่ตัวจริงของผม วันหนึ่งมันต้องลงไปเป็นดิน มันต้องเสื่อมสลายไป แต่ตัวจริงผมเป็นวิญญาณนั่งอยู่ตรงนี้เหมือนกัน ท่านมองไม่เห็น เห็นไหม? ไม่เห็น ก็มันเป็นวิญญาณจะเห็นได้อย่างไร? เห็นไหม? ไม่เห็น แต่ร่างกายที่ท่านอยู่ เป็นโลกฝ่ายวัตถุ ซึ่งมันต้องเสื่อมละลายไป วันหนึ่ง นึกออกหรือยัง? มันต้องแก่ไป มันต้องตายไป แต่วิญญาณผมทำไม? นั่งยิ้มแป้นตลอด เป็นลูกพระเจ้า เจริญเติบโตขึ้นทุกวัน คุยกับพระเจ้ากระหนุงกระหนิง นึกออกใช่ไหม?

เรามาดูว่าแต่ก่อนเราอยู่ที่นี้ หน้าตามันเป็นอย่างไร?  ดูจากอะไรรู้ไหม? ดูจากพระคัมภีร์ เพราะพระคัมภีร์บอก พ่อเราสอนความจริงให้กับเราว่า …

“ลูกเอ๋ย มันเกิดอะไรขึ้นบนโลกใบนี้  โลกฝ่ายวิญญาณมันเป็นอย่างไร?”

ลองดูนะ ตะกี้นี้ที่บอก เอเฟซัส 2:1-2 บอกว่าอย่างไร? อ่านข้อแรกก่อน

เอเฟซัส 2:1-2 “1 ส่วนท่านทั้งหลายได้ตายแล้วในการล่วงละเมิด และในบาปทั้งหลาย 2 ซึ่งท่านเคยทำ เมื่อดำเนินชีวิตตามวิถีของโลกนี้ และวิถีของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศ ซึ่งเป็นวิญญาณที่บัดนี้ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟัง”

 

ผมจะแปลภาษาเดิมให้ท่านได้เห็นชัด

“ท่านทั้งหลาย แต่ก่อนนี้ ท่านตายแล้ว”

แต่ท่านเห็นผมไหม? ยังอยู่ไหม? นครยังอยู่ไหม? อยู่ แล้วบอกตายได้อย่างไร?  ตายในที่นี่ คือวิญญาณผมไม่ได้อยู่กับพระเจ้า ไม่ได้อยู่ตรงนี้ นี่แปลว่าตาย มิได้หมายถึงแต่ก่อนผมตาย ไม่ใช่ ผมยังเป็นคนเดิมอยู่ ร่างกายผมก็เหมือนเดิม อาจจะหนุ่มกว่านี้นิดหนึ่ง หนุ่มกว่า 30 ปี แต่ก็ยังเป็นนครที่สามารถจับต้องมองเห็นได้ด้วยตา ทุกคนสามารถจับต้องมองเห็นได้ มองเห็นผมได้ด้วยตา แต่วิญญาณของผมเห็นไหม? ไม่เห็น

ในนั้นบอกว่าวิญญาณของผมอยู่ในการล่วงละเมิด คือบาป เพราะฉะนั้น อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ ตาย เราเรียกว่าตาย

คราวนี้ท่านจะเข้าใจคำว่าตาย … คำว่า “ตาย” ในที่นี่ หมายถึงวิญญาณมันตาย วิญญาณที่ท่านมองไม่เห็นข้างในผม มันตาย ตายคือถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า มีกำแพงกั้นตรงนี้ ไม่เห็นความสว่าง มีแต่ความมืด คุยกับพระเจ้าไม่ได้ ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งสิ้น

แล้วดูนะ ในนั้นบอกว่า … “ท่านเคยดำเนินชีวิต”

ผมกำลังดำเนินชีวิตตามวิถีของโลกนี้ โลกของวัตถุนิยม  วัตถุต่างๆ บนโลกใบนี้ ตามเนื้อหนังที่ผมเห็น วิญญาณผมก็ไม่เชื่อ เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่ไม่สนใจเลย สนใจแต่เนื้อหนังข้างนอก เท่าที่เห็น

“และวิถีของจ้าวแห่งย่านฟ้าอากาศ ซึ่งเป็นวิญญาณที่บัดนี้ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟัง”

ภาษาเดิมตรงนี้ ก็คือมาร … มารซาตาน ผมดำเนินชีวิตอยู่ใต้จ้าวแห่งย่านอากาศ ก็คือโลกฝ่ายวิญญาณที่คลุมโลกนี้อยู่ ที่เรียกว่าความมืด นำโดยมารซาตาน ผมกำลังอยู่ในการครอบครองของมัน และมันก็คลุมผมเลย ดำหมด มันไม่ได้คลุมผมอย่างเดียว มันคุมผม บังคับผม ทุกอย่างผมเป็นทาสมันทุกอย่าง ผมไม่มีสิทธิ์ทำอะไรเลย อย่างไรผมก็ดำตลอด เห็นหรือยัง? ผมดำอย่างนี้ มันคุมผมอยู่ตลอด ผมเป็นทาสมัน มาร ตามองเห็นเนื้อหนัง ร่างกายผมยังเป็นเหมือนเดิม ไม่เห็นมีอะไรแตกต่างกันปัจจุบัน แต่วิญญาณผมเป็นอย่างนี้

เอเฟซัส 2:3 “ครั้งหนึ่งเราเคยใช้ชีวิตร่วมกับพวกนั้น บำเรอตัณหาแห่งวิสัยบาปของเรา สนองความอยากกับความคิดของมันตามวิสัย เราจึงควรแก่พระพิโรธเหมือนคนอื่น”

 

“ครั้งหนึ่ง ก็คือครั้งนี้ อดีตนครเคยใช้ชีวิตร่วมกับพวกนั้น (คือพวกมาร) บำเรอตัณหาแห่งวิสัยบาปของเรา (การกระทำบาปสบายๆ) สนองความยากของกิเลสตัณหาเนื้อหนัง ตามวิสัย (ภาษาเดิม ภาษาไทย มีฉบับเดิมๆ เวอร์ชั่นแรกๆ ของเมืองไทย เขาแปล แต่เดี๋ยวนี้เขาเห็นว่ามันหยาบคาย เขาเลยเอาออกไป แต่จริงๆ มันตรงเป๊ะ มันไม่หยาบหรอก มันชัดเจน คือตามสันดาน) ก็คือเนเจอร์ ก็คือธรรมชาติในวิญญาณที่ตาย มันสมควรแก่ความพิโรธ ก็คือมันไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้ ไม่ใช่พระเจ้าพิโรธเราหรอก หมายถึงเข้ากันไม่ได้ เข้าไปก็เด้งๆ เข้าไปถูกคอนซูม คือถูกเผาผลาญหมดเลย  เพราะว่าพลังความบริสุทธิ์ของพระเจ้ายิ่งใหญ่มาก เข้าใกล้พระเจ้าไม่ได้ มีอะไรบางอย่างกั้นตรงนี้อยู่ มีม่านเหล็กกั้นตรงนี้อยู่ นี่แปลว่าพระพิโรธ คือเราเข้าไปไม่ได้ เพราะโดยเนเจอร์ คือธรรมชาติของวิญญาณของเรา ของผม เป็นบาป คือต่อต้านกับพระเจ้า ไม่ชอบพระเจ้า เป็นทาสของมาร อยู่พวกมาร ทำอะไรพวกมารหมด อะไรที่ตรงข้ามกับพระเจ้า ผมทำหมดทั้งสิ้น (วิญญาณ) ต่อให้ข้างนอกทำดีบ้าง แต่วิญญาณมีสันดานบาป ไม่ได้ด่าตัวเอง พระคัมภีร์บอก”

พูดพร้อมกันนะ “อดีตเรามีสันดานบาป”

ไม่กล้าพูดหรือ? สันดาน พูดเรื่อยๆ มันชักชินปาก ไม่เห็นมีอะไรเลย  สันดาน ก็คือธรรมชาติ นึกออกใช่ไหม?

เอเฟซัส 2:4-5 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงทรงให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ”

 

ด้วยพระคุณความเมตตาของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ทำให้เราที่ตายแล้ว วิญญาณเราตายอยู่ กลับกลายเป็นมีชีวิตขึ้นมา แม้ว่าอดีตเราเคยตายลงในบาปไปแล้ว พระเจ้าพาเราข้ามมาฝั่งนี้  ที่เรารับเชื่อพระเยซูปุ๊บ เราย้ายมาตรงนี้

นี่ไงข้อนี้  ถามว่าที่เขียนว่า “ด้วยความรักใหญ่หลวง และความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา” เพราะเราไม่ได้ทำอะไรเลย  เราไม่ได้ทำอะไรสักนิดหนึ่ง เมตตาช่วยเราฟรีๆ นี่เขาถึงเรียกว่าพระคุณใหญ่หลวง

เอเฟซัส 2:6 “และพระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

 

ต้องกระดิ๊กขานิดหนึ่ง เพื่อให้ท่านเห็นว่ามันเป็นจริงตามนั้น เมตตาของพระเจ้า  โดยพระคุณ แปลว่าท่านไม่ต้องทำอะไร ให้ฟรีๆ พระองค์ทรงให้เราเป็นขึ้นมา วิญญาณเราเป็นขึ้นมากับพระเยซู และในพระเยซู พระเจ้าได้ให้เรามีสิทธินั่ง ในโลกวิญญาณ นั่งอยู่ที่สวรรคสถานกับพระเยซู … พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา คือพระเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น ทั้ง 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะฉะนั้น เรานั่งอยู่กับ 3 พระภาคอยู่อย่างนี้  ตรงพระคัมภีร์เป๊ะ

เพราะฉะนั้น จบตรงที่ท่านรู้ไหมว่าอดีต ย้อนกลับมาอดีตผมนั่งอยู่ตรงนี้ (ฝั่งมืด) ย้อนกลับมาว่าพระคัมภีร์บอกว่าอดีต ผมดำอย่างนี้ ผมนั่งอยู่กับมาร วิญญาณผมมืดตลอด ร่างกายที่ท่านเห็น ผมไปทำดีบ้าง? ทำไม? ทำ ผมอาจจะช่วยคนบ้าง? ทำดีไหม? ดี ทำคิดดีไหม? ดีบ้าง แต่ข้างในวิญญาณที่มองไม่เห็น มันทำไม? มันดำ พระคัมภีร์บอกไม่มีใครดีสักคนหนึ่งเลย  ทุกคนล้วนแต่ชั่ว บาป เพราะข้างนอกอาจจะได้ทำดีบ้าง  แต่วิญญาณมันบาป เข้าใจใช่ไหม? ข้างนอก อาจทำอะไรสิ่งที่เรียกว่าดี มนุษย์เห็นผมทำดี แต่ข้างในมันจะดีอย่างไร? ข้างในมันก็เป็นบาป  ไม่มีใครช่วยผมได้ เพราะมารมันรัดเอาไว้ ผมอาจจะทำดีบ้าง แต่ผมเป็นคน นี่พระคัมภีร์พูดอย่างนี้ ผมอาจจะทำสิ่งที่ดีบ้าง? แต่ผมเป็นคนบาป

พอผมรับเชื่อพระเยซู นี่ข่าวดีเหรอ ข่าวดีเรื่องพระเยซูมาเหรอ พระเยซูไถ่บาปให้กับผมแล้ว ผมไม่ต้องอยู่ตรงนี้แล้ว พระเยซูช่วยผมได้  แค่ผมรับสิทธิของผมในพระเยซู ที่ทำให้ผมเท่านั้น พระเยซูทำให้ผมจริงๆ หรือ? วันนี้ผมตัดสินใจแล้ว  ผมเชื่อเรื่องนี้แล้ว  เชื่อที่ไหนก็ได้  เชื่อในห้องน้ำ  เชื่อที่บ้าน เชื่อที่โน้นที่นี้ก็ได้ ไม่เกี่ยวกับไปรับบัพติศมาในน้ำ ไม่เกี่ยวกับมาโบสถ์ ไม่เกี่ยวกับอะไรทั้งสิ้น  วันนี้ผมได้ยินข่าวดีเรื่องนี้ พระเยซูมาช่วยผมจริงๆ ผมเชื่อแล้วล่ะ

พอเชื่อปุ๊บ พระเจ้า พระเยซูก็ย้ายผมมาฝั่งดี (ฝั่งความสว่าง) พอย้ายมาตรงนี้ปุ๊บ ผมอยู่กับพระเจ้า วิญญาณผมสะอาดขาวบริสุทธิ์อย่างนี้เลย ขาวมากเลย  2 โครินธ์ 5:17 บอกผมขาว ใหม่เอี่ยมเลย ดูสิ จงมองให้เห็นเถิด ทั้งสิ้นใหม่หมดเลย ที่วิญญาณ

พระคัมภีร์จึงบอกว่า … “จงมองให้เห็นเถิด”

เพราะว่ามนุษย์ ตาวิญญาณมองไม่เห็น แต่มองในวิญญาณจะเห็นว่ามันขาวจริง ตามพระคัมภีร์บอก สะอาดหมดจดเลย ตอนนี้วิญญาณผมทำไม? ใสกริ๊งเลย ใสปิ้งเลย  เหมือนพระเจ้า บริสุทธิ์สะอาดเป๊ะ เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเจ้า  มีเนเจอร์ มีสันดานที่เปลี่ยนไป สันดานผมไม่ใช่สันดานบาปอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นสันดานที่เป็นเหมือนพระเจ้า มีเนเจอร์ มีธรรมชาติเหมือนพระเจ้าแล้วตอนนี้ ข้างใน มองไม่เห็น แต่มีเนเจอร์เป็นเหมือนพระเจ้า พระเจ้าให้ผมร่วมเนเจอร์เดียวกับพระองค์ มีธรรมชาติเดียวกับพระองค์ เป็นลูกของพระองค์ แต่ข้างนอกผมคนเดียวหรือเปล่า? เปลี่ยนไปไหม? นอกจากดูหนุ่มขึ้นนิดหนึ่ง แล้วมีอะไรเปลี่ยนไปหรือเปล่า? ไม่มีเลย แถมแก่ลงอีก สิวก็ขึ้นเยอะขึ้น ผมก็หงอกมากขึ้น แต่ที่มองไม่เห็นทำไม? พระคัมภีร์บอก โลกฝ่ายวิญญาณผมทำไม? ใสสะอาดกริ๊งเลย สะอาดบริสุทธิ์เลย

ถามว่าตอนนี้ ผมข้างในบริสุทธิ์แล้ว ตัวข้างนอก ออกไปทำอะไรต่างๆ ทำสิ่งที่ชั่วบ้างไหม? ทำ ผมเป็นผู้บริสุทธิ์  สะอาด ที่บางครั้งทำชั่วบ้าง ก็ตะกี้เราก็ใช้คำว่าชั่ว แต่ตอนนี้ไม่กล้าพูด อดีตที่ตะกี้ผมบอกว่าผมเป็นคนทำ บางครั้งผมทำสิ่งที่ดีมาก ถูกไหม? แต่ข้างในผมชั่ว แต่ตอนนี้ข้างในผมสะอาดหมดจดบริสุทธิ์ แต่ผมทำชั่วบ้าง แล้วมันเกี่ยวไหมว่าผมทำชั่ว แล้วผมจะไปลงที่นี่ (ฝั่งมืด) วิญญาณกับร่างกายผมไม่เกี่ยวกัน เข้าใจใช่ไหม? ถ้าเกี่ยวกับเมื่อไร? พระเจ้าก็ไม่ต้องมาช่วยผมแล้ว  ผมนั่งอยู่นี้ ผมดำๆ อยู่ ผมก็ทำความดีๆ แล้วผมก็ย้ายของผมมา ย้ายได้ไหม? ไม่ได้ เพราะข้างในมันเปลี่ยนไม่ได้ มันก็มืดอยู่วันยังค่ำ แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อย้ายมาฝั่งนี้ (ฝั่งความสว่าง) คุณจะเป็นใครก็ตาม คุณจะไปคิดอะไรต่างๆ มากมายก็ตาม คุณก็เป็นคุณอยู่นั้น เป็นวิญญาณที่มันเป็นบริสุทธิ์ มันสะอาดแล้ว นี่คือข่าวดีที่มาถึงมนุษย์ทุกคน รับไปเถิด ง่ายๆ แค่นี้ ปรบมือขอบคุณพระเจ้าของเรา เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*********************