คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน 2017 เรื่อง “จงฝักใฝ่ในเรื่องวิญญาณ” โดย นคร เวชสุภาพร

คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 17 กันยายน 2017

เรื่อง “จงฝักใฝ่ในเรื่องวิญญาณ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สวัสดีครับพี่น้อง

ให้บอกคนข้างๆ สิว่า … “คุณเป็นวิญญาณ”

คราวนี้ให้บอกตัวเอง … “จงฝักใฝ่ในเรื่องวิญญาณเยอะๆ มากๆ ทุกวินาที จงฝักใฝ่ในโลกวิญญาณ เพราะฉันเป็นวิญญาณ”

ไม่อย่างนั้นเราลืมอยู่เรื่อย  เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบัน เราจะเห็นว่าทำให้เราทั้งหลายมันอดไม่ได้ที่จะเริ่มรู้สึกหวั่นไหว ถ้าเราไม่มองไปที่โลกวิญญาณ เราจะหวั่นไหว เราจะเริ่มตั้งคำถามว่า …

“เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงเป็นแบบนี้”

แบบนี้ ทำไม? มีแต่ข่าวร้ายๆ ข่าวความไม่สงบ ข่าวระเบิด ข่าวก่อการร้าย ตามที่ต่างๆ มีให้เห็นไม่เว้นในแต่ละวัน ในทุกมุมโลกเลย จนทุกวันนี้ แทบจะพื้นที่สงบไม่ได้เลย และยังถูกซ้ำเติมด้วยภัยธรรมชาติอีก ตอนนี้ที่อเมริกาก็ภัยธรรมชาติ ที่ตุรกี มีทุกแห่ง เยอะแยะ ทั้งพายุ น้ำท่วม แผ่นดินไหว อากาศเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิเปลี่ยนแปลง วุ่นวายไปหมดเลย มลภาวะ นี่ยังนับไม่หมดนะ ยังไม่นับจำนวนที่ต้องเผชิญกับปัญหาส่วนตัวอีก นี่ยังไม่เกี่ยว เป็นปัญหาข้างนอกนะ และยังมีปัญหาตัวมีอะไร? ท่านลองคิดสิ ท่านมีปัญหาอะไรอยู่ตอนนี้ การเงินมีปัญหาไหม? บางคนมี บางคนไม่มี สุขภาพมีปัญหาไหม? มีทุกคนเลย  ทำไมเดี๋ยวนี้เจ็บป่วยกันเยอะ แล้วโรคก็แปลกๆ ด้วยนะ  ไม่ใช่โรคของเราเองคนเดียว แล้วยังแถมคนที่เรารักยังเป็นโรคอีก โรคแปลกๆ ไปหมอ หมอก็เป็นโรคเหมือนกัน ไม่รู้ใครรักษาใคร ยุ่งไปหมดเลย แล้วรักษาไม่หายด้วย มลพิษแทบจะรอบตัวหมด แทบจะกินอะไรไม่ได้ อันนี้ก็เป็นพิษ อันนั้นก็เป็นพิษ แล้วจะกินอะไร? ก็ไม่รู้เหมือนกัน ทุกคนต้องระวังตัวเสี้ยววินาทีเลย

สรุป คือชีวิตเราบนโลกใบนี้ มันทุกข์ลำบากรายล้อมไปหมดเลย วิกฤตปัญหาเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ทั้งปัญหาระดับโลก ระดับประเทศ ระดับสังคม จนกระทั่งถึงระดับครอบครัว ตัวเราเองด้วย นี่ปัญหาเยอะแยะ

แล้วคำถามที่ตามมากับปัญหาเหล่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เชื่อพระเจ้าทั่วโลก คืออะไรครับ? พอได้เห็นอย่างนี้ปุ๊บ ความรู้สึก อาจจะไม่ตั้งคำถามมาจากคำพูดของตัวเอง  แต่ในใจอาจจะถามว่าแล้วทำไมพระเจ้าจึงปล่อย อนุญาตให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น และมันเกิดขึ้นได้อย่างไร? มีพระเจ้าจริงหรือ?  บางคนก็คิด ยิ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดขึ้นกับปัญหาตัวเอง มันอดไม่ได้ที่ถาม แล้วมีพระเจ้าจริงหรือ? แล้วทำไมปล่อยให้อย่างนี้ เกิดขึ้นกับเรา หรือกับฉันได้

พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงรักโลกและมนุษย์ยิ่งนัก ทรงประทานพระเยซูคริสต์ให้กับเรา แล้วทำไมโลกมันเลวร้ายขนาดนี้ รักโลก รักเรา แล้วทำไมปล่อยให้เป็นอย่างนี้ ไม่เว้นแต่ละวัน ที่มีความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ ใครที่กำลังเผชิญกับปัญหาอย่างนี้อยู่ หรือใครก็ตามที่กำลังเผชิญปัญหาร้ายแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับส่วนตัว ก็จะคิดอย่างนี้เสมอ ไม่ว่าจะพูดหรือไม่พูดก็ตาม มันอดคิดไม่ได้

ซึ่งวันนี้จะมาหนุนใจท่าน สรุปคำตอบสั้นๆ  อธิบายให้ท่านฟังตามหลักพระคัมภีร์ว่าความชั่วร้ายต่างๆ เหล่านี้ ที่เราพูดกันเมื่อสักครู่นี้ ที่มันเกิดมากขึ้นทุกวันๆ มันมาจากไหน? มาจากพระเจ้าหรือ? แล้วพระเจ้าอนุญาตให้มันเกิดขึ้นหรือ? ทำไมมันต้องเกิดขึ้นกับฉันด้วย? ทำไม? คิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่สรุปพอให้ท่านมีกำลังใจ ที่จะทำในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ และสามารถอดทนอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยความทุกข์และสันติสุขข้างในได้ โรม 8:18-25 ผมแปลให้ท่านจากภาษาเดิมจริงๆ อธิบายให้ละเอียดขึ้น

โรม 8:18-25 “18 ข้าพเจ้าเห็นว่าความทุกข์ยากของเราในปัจจุบัน เทียบไม่ได้เลยกับพระเกียรติสิริ ซึ่งจะทรงสำแดงในเรา 19 สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างจดจ่อรอคอยให้บรรดาบุตรของพระเจ้าปรากฏ 20 เพราะสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างได้ถูกทำให้ผิดเพี้ยนไร้ค่าไป ไม่ใช่โดยความสมัครใจของมันเอง แต่โดยความตั้งใจของผู้ที่บังคับให้มันต้องตกอยู่ในภาวะดังกล่าว ด้วยมีความหวัง 21 ว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นจะได้รับการปลดปล่อย จากการผูกมัดให้ต้องเสื่อมสลาย และจะถูกนำเข้าสู่เสรีภาพอันรุ่งโรจน์ของบรรดาบุตรของพระเจ้า 22 เรารู้ว่าสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างกำลังคร่ำครวญ ราวกับเจ็บท้องจะคลอดบุตรจนถึงปัจจุบันนี้ 23 ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่เราเอง ผู้มีผลแรกของพระวิญญาณก็ยังคร่ำครวญอยู่ภายใน ขณะที่เราจดจ่อรอคอยการทรงรับเราเป็นบุตร คือการไถ่ร่างกายของเราให้รอด 24 เพราะว่าในความหวังนี้ เราได้รับความรอดแล้ว แต่ความหวังที่เห็นได้นั้น ไม่ใช่ความหวังเลย ใครเล่าหวังในสิ่งที่ตนเองมีอยู่แล้ว? 25 แต่ถ้าเราหวังในสิ่งที่เรายังไม่มี เราย่อมรอคอยสิ่งนั้น ด้วยความอดทน”

 

“ไม่มีความหวัง” คืออะไร? รอดพ้นจากเนื้อหนังร่างกายที่มันต้องตาย มันต้องทุกข์ทรมานนี้ โลกใบนี้นั้นเอง

สังเกตข้อ 20 ที่บอกว่า … “เพราะสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ได้ถูกทำให้ผิดเพี้ยน ไร้ค่า ไม่ใช่โดยความสมัครใจของมันเอง แต่โดยความตั้งใจของผู้ที่บังคับให้มันต้องตกอยู่ในภาวะดังกล่าว”

โลกใบนี้ทั้งใบ มันมีชีวิตนะ พระเจ้าสร้างให้มันมีชีวิต ทั้งสัตว์ พืช วัตถุต่างๆ มีชีวิต มันไม่อยากจะเป็นอย่างนี้หรอก มันทรมานมาก มันก็อยากจะได้รับการปลดปล่อยเหมือนกัน พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น

ตรงนี้ คำอธิบายความชั่วร้ายทั้งหมดมาจากไหน? อยู่ตรงนี้ เราจะเห็น มันถูกบังคับโดยอะไร? สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้สร้าง ตั้งแต่สมัยปฐมกาล ไปฟังดู ไปอ่านดู ล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าอย่างไร? ตอนสร้างพระองค์บอกว่าดี … ดีหมดเลย  แต่มันถูกทำให้ผิดเพี้ยนไป (แปลจากภาษาเดิม) เสียหายไป เน่าไป เละไป เน่าเละไป ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้าเป็นผู้กระทำ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างชัดเจน แต่ต้นตอของผู้ที่ทำให้มันเกิดความเสียหายนี้ ก็คือมนุษย์ บรรพบุรุษของเรา  มนุษย์คนเดียว คนแรก คนเดียวเท่านั้น ที่มีชื่อว่าอาดัม ซึ่งถูกหลอกโดยมาร

นี่คือแก่นสารของความทุกข์ลำบาก และความชั่วร้ายทั้งหมด ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ เพราะโลกทั้งใบนี้ ได้ตกอยู่ภายใต้ความชั่วร้าย ที่เรียกว่าความบาป คำสาปแช่ง ผลของความบาป

สาปแช่ง คือไม่มีพรนั่นเอง ไม่ดี เสียหาย อันเป็นผลมาจากการล่วงละเมิดของมนุษย์เพียงคนเดียวที่มีชื่อว่าอาดัม  ต่อพระเจ้าของเขา  อาดัมไปเอาเชื้อบาป เชื้อสกปรก ทำให้โลกนี้เน่าเละไปหมดเลย รวมทั้งมนุษย์ทั้งหลายก็เละไปหมด ถ้าพระเจ้าไม่มาช่วย ประทานพระเยซูคริสต์มาช่วยเรา เราจะอยู่อย่างนี้ ตลอดไปนิรันดร์ ความทุกข์ลำบาก ความเน่าเละ

การที่มนุษย์ล้มลงไปในความบาป  ทำให้ถูกตัดสินพิพากษา คือเป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้าสู่ความตาย อนิจจัง ไร้ค่า ไร้ประโยชน์ ไม่แน่นอน ไม่หยั่งยืน ไม่มีจุดหมาย นี่ความหมายเดิมแปลว่าอย่างนี้

มนุษย์ล้มลงในความบาป แล้วเกิดอันนี้ขึ้น รวมความ ก็คือมนุษย์ต้องเป็นความทุกข์ ต้องอยู่กับความทุกข์ยากลำบาก ความชั่วร้าย ความเศร้าโศก ที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญกับชีวิตของเขาบนโลกใบนี้ และตลอดไป  ถ้าเผื่อไม่มีพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด

เวลาบอกว่าพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด รอดจากที่ผมพูดทั้งหมดนี้ ความเน่าเละ ทั้งวิญญาณก็เละ ทั้งโลกก็เละ ตัวเราก็เละ ข้างนอกก็เละ สิ่งรอบข้างเละหมด ทั้งโลกเละหมดเลย ไปในทางเสื่อมโทรม ไปในทางตาย ไปสู่ภาวะทุกข์ลำบากทั้งนั้น

ในข้อ 23 บอกว่า “ไม่เพียงเท่านั้นแม้แต่เราเอง ผู้มีผลแรกของพระวิญญาณยังคร่ำครวญอยู่ภายใน ขณะที่เราจดจ่อรอคอยการทรงรับเราเป็นบุตร คือการไถ่ร่างกายของเราให้รอด”

ก็คือเราที่เชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว เรามีผลแรกของพระวิญญาณ ก็คือพระวิญญาณก็เข้ามาอยู่กับเราเลย ทันทีทันใด ในวินาทีนั้น ที่เรารับเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วย เป็นพระผู้ไถ่ปุ๊บ พระวิญญาณเข้ามาเป็นผลแรก เราเกิดใหม่ในวิญญาณทันที นั่นแหละ คือตัวเรา ผู้มีผลแรกของพระวิญญาณ ขนาดเราเกิดใหม่แล้วนะ เป็นลูกพระเจ้านะ ก็ยังคร่ำครวญอยู่ภายใน ข้างในมันทุกข์ทรมาน เพราะอึดอัดอยู่ในร่างกายเก่านี้ ที่ต้องเจ็บป่วย ทั้งทุกข์ ต้องลำบาก ต้องกังวล ต้องทำบาปอีก ต้องสู้กับมันทุกอย่าง

นี่แหละ คือความทรมานของมนุษย์ แม้ว่าจะเป็นคริสเตียน ก็เป็นอย่างนี้ นี่เห็นชัดเลยนะ แม้กระทั่ง เราเป็นประชากรของพระเจ้า  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เรายังไม่ได้รับการยกเว้นว่าจะไม่ทุกข์ มันอยู่บนโลกใบนี้ มันเป็นความทุกข์ น่าจะดีใจด้วยว่าถ้าเป็นทุกข์อย่างนั้นจริง แสดงว่าพระคัมภีร์เป็นจริง เพราะพระคัมภีร์บันทึกไว้ตั้งแต่ปฐมกาลแล้วว่าพระเยซูจะมา เชื่อไหม? เชื่อ แต่ก่อนพระเยซูจะมาบอกแล้ว พระเยซูมา เพราะโลกนี้ ตกอยู่ในความบาป ตกอยู่ในความทุกข์ยาก ถ้าเชื่อ ต้องได้ 2 อัน จะได้อันเดียวไม่ได้ เชื่อว่าพระเยซู พระเจ้าส่งมาได้ แต่ก็ต้องเชื่อด้วยว่าส่งมา เพราะว่าโลกมันตกลงไปในความบาป ยังไง เราก็ต้องอยู่ในความทุกข์ หนีไม่พ้น มีวิธีหนีได้อย่างเดียว ก็คือไปอยู่กับพระเจ้า อธิษฐานขอพระเจ้าทุกวัน รับไปเร็วๆ แล้วทำไหมล่ะ ก็ไม่ทำอีกแหละ ใช่ไหม?

เราต้องเผชิญกับความทุกข์ลำบากแน่นอน เพราะฉะนั้น มันมีวิธีการ แม้ว่าเราเป็นคริสเตียนก็ตาม  เราไม่มีสิทธิ์ เราไม่มีอำนาจ พูดง่ายๆ ที่จะหนีจากความทุกข์ยากลำบากที่เราต้องเผชิญบนโลกใบนี้ได้ ไม่มีทาง แต่เรามีความหวัง

ถามว่าเรามีความหวังอย่างไร? ในการรอคอยวันที่ได้รับการปลดปล่อยให้พ้นจากความทุกข์ ความบาปบนโลกใบนี้ เราอยู่ เรารู้ว่ามันแป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ต้องทิ้งร่างนี้ … ทิ้งร่างนี้ แล้วเป็นอย่างไร? เราหลุดรอดพ้นสบายแล้ว เราจบงานจบการเสียทีหนึ่ง เราได้พักเสียทีหนึ่ง เราเห็นชัดเจน เรามีร่างกายใหม่รอเราอยู่ เรามีโลกใหม่รอเราอยู่ เราจึงมีความหวัง คริสเตียนจึงมีความหวัง

แล้วความหวังตรงนี้ ทำให้เกิดความอดทน อยู่ได้ อดทนหน่อย พูดกับกระจก …

“กระจกเอ๋ย อดทนหน่อย อีกไม่นานเลย แป๊บเดียวเอง อดทนนิดหนึ่งๆ”

อย่างนี้แหละ เขาเรียกขอบคุณพระเจ้า พอรู้ความจริง ความจริงจะทำให้เราเป็นไท เราสงบได้ ถ้าเราไม่รู้ความจริง เราก็นึกว่าพระเจ้าทำไมปล่อยให้อันนี้เกิดๆ เราก็จะมัวแต่กังวล ทำไมเป็นอย่างนี้ๆ ความหวังในอนาคตตามถ้อยคำพระเจ้า เราก็แห้งหายไป ไม่ชัดเจน ไม่เห็นชัด มันรางไปทุกที เพราะมัวแต่มามองสิ่งที่มองเห็นได้  ที่เกิดความทุกข์ยากๆ ไม่มองไปที่พระเจ้า พระองค์สัญญาไว้อย่างไร? และเราเกิดใหม่อย่างไร? เราเป็นวิญญาณอย่างไร? วิญญาณเราเกิดใหม่แล้วนะเนี้ย เราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราจะเป็นลูกพระเจ้าตลอดไป เอเมน

นี่ก็มาหนุนใจกัน เพราะฉะนั้น โดยวิธีนี้เอง ที่เราจะสามารถอดทนอยู่กับความทุกข์ยากลำบากอยู่บนโลกใบนี้ได้ ซึ่งต่อจากนี้ไป ต่อจากพระคัมภีร์ตะกี้ในโรม บทที่ 8  ข้อที่ 28 เป็นข้อที่เราจำกันได้ ท่องกันได้หมดเลย ในโรม 8:28 จึงรวมที่ตะกี้ ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้ พอมาถึงข้อ 28 บอกว่า … พระเจ้าทรงกระทำให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ มันไม่ว่าดีหรือเลว ไม่ว่าทุกข์ลำบาก ไม่ว่าน้ำท่วม ทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นระเบิดที่เขาระเบิดมา ไม่ว่าจะเป็นภูเขาระเบิด น้ำท่วม เฮอร์ริเคนอะไรต่างๆ พระเจ้าให้เราได้รับรางวัลดีๆ ทำงานประสบผลสำเร็จ ได้เงิน ร่ำรวยมาก มีสุขภาพแข็งแรงมาก  พระเจ้าทำให้สิ่งทั้งหมดนี้ ร่วมกันให้เกิดเป็นผล สำหรับผู้ที่รักพระองค์ ก็คือผู้ที่เชื่อพระองค์ ผู้ที่พระองค์ทรงเรียกมา ตามพระประสงค์ของพระองค์ เรียกมาในพระเยซูคริสต์ เอเมน ก็คือเราทั้งหลาย

เราไม่สามารถรักพระเจ้าได้หรอก จะบอกให้ฟัง คำนี้ มันแปลว่าพระเจ้าให้เราได้รับความรอดแล้ว วิญญาณเราเกิดใหม่ เราจึงรักพระเจ้าได้ ไม่อย่างนั้นคุณไม่มีทางรักพระเจ้าหรอก อย่าดีใจว่าฉันรักพระเจ้า พระเจ้าทำให้คุณรักพระองค์ ถ้าไม่มีวิญญาณเกิดใหม่เหมือนพระเจ้า ไม่มีการรักของแท้ รักใครก็ไม่เป็น อย่าว่าแต่รักพระเจ้าเลย  รักตัวเองยังไม่ได้เลย รักคนข้างๆ ก็ไม่ได้ มันของเทียมทั้งนั้น

ความรักแท้ มีอยู่ที่เดียว คือในวิญญาณพระเจ้า แล้ววิญญาณพระเจ้าได้ใส่เข้ามาในวิญญาณเรา ให้วิญญาณเราใหม่ พระคัมภีร์บอกให้วิญญาณเราใหม่แล้ว โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ พอวิญญาณเราเกิดใหม่ เราจึงรักเป็น เราจึงมีรักแท้ คราวไม่ใช่รักพระเจ้าแท้ๆ แล้ว แต่รักใครก็ได้ แท้หมดทั้งโลกเลย เอเมน

พอเรารู้ความจริง ก็ว่ากันไป แล้วก็หนุนใจชูใจกันไปแต่ละวันๆ ว่านี่คือความหวังใจของเราทั้งหลาย ที่เรียกว่าผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

*************************