คำหนุนใจ Pre Sermon วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม 2017
เรื่อง “เราเป็นความสว่าง”
โดย นคร เวชสุภาพร
สวัสดีครับพี่น้อง วันนี้มีเรื่องมาเล่าให้ฟังต่อว่าเมื่อเดือนที่แล้ว พระเจ้ามีโอกาสพาไปดูธรรมชาติในเทือกเขาต่างๆ ในแถบสแกนดิเนเวีย ก็ได้เห็นการทรงสถิตของพระเจ้า และได้เห็นอะไรบางอย่างที่พระเจ้าเปิดตาใจของเราอีกนิดหนึ่ง สอนเราในเรื่องถ้อยคำของพระองค์ ขณะที่นั่งรถไฟความเร็วสูง ประมาณ 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง เร็วมาก แต่เรานั่งอยู่ในรถไฟ เหมือนช้าๆ มองออกไปข้างนอกเหมือนช้าๆ มันนิ่งมากเลย ถึงขนาดเขามาเสิร์ฟน้ำ เอาน้ำวางไว้บนโต๊ะ น้ำไม่หกเลย น้ำแทบจะไม่สั่นเลย มันนิ่งมาก เหมือนเรานั่งอยู่กับที่ นั่งอยู่ในห้อง
พระเจ้าก็สอนเราว่าให้เราดูสิว่านี่คือมิติต่างๆ ที่อะไรบางอย่างที่พอจะอธิบายให้เราได้เข้าใจอีกนิดหนึ่ง ถึงเรื่องสิ่งที่พระเจ้าสอนเรา ให้ผมสังเกตอะไรรู้ไหม? สังเกตดูสิว่าป้ายเขาบอกว่ารถไฟกำลังวิ่ง 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง แสดงว่ารถไฟ วัตถุที่เรียกว่ารถไฟ กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูง 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่เจ้าแก้วน้ำ วัตถุที่มีชื่อเรียกว่าแก้วน้ำ ความรู้สึกของวัตถุนี้ มันอยู่เฉยๆ มันไม่ได้ทำอะไรเลย
ตอนที่ผมเข้าห้องนอน เดินย้อนกลับไป รถไฟไปทางเหนือ ผมไปทางใต้ ผมไปเข้าห้องน้ำ ผมกำลังเดินด้วยความเร็ว 1 กิโลเมตร/ชั่วโมง ช้าๆ ถูกไหมครับ? ผมกำลังเคลื่อนไหว เห็นไหม? เวลาเดียวกัน เวลาที่ผมกำลังพูด ณ เสี้ยววินาทีนั้น เห็นๆ เลย เท่าที่เห็น วัตถุ 3 สิ่งนี้อยู่ในเวลาเดียวกัน แต่คนละมิติ สำหรับรถไฟ กำลังวิ่งลิ้นห้อยเลย สมมตินะ แต่ในขณะเดียวกัน แก้วน้ำมันบอกไม่มีอะไรเลย มันไม่ได้ไปไหนสักหน่อยเลย ฉันก็อยู่กับที่ฉันเฉยๆ สำหรับผมที่ลุกขึ้นมาเดิน ถ้าผมนั่งอยู่เฉยๆ ก็เหมือนแก้วน้ำ แต่ผมลุกขึ้นมาเดิน ผมก็เดินก็เคลื่อนไหวอยู่ 1 กิโลเมตร/ชั่วโมง มาถามผม
ผมก็เถียงหัวชนฝา … “ผม 1 กิโลเมตร/ชั่วโมง”
ไปถามแก้วน้ำ แก้วน้ำก็เถียงหัวชนฝา … “ผมไม่ได้ทำอะไรเลย ผมอยู่เฉยๆ”
ขณะเดียว ไปถามรถไฟ … “ใครบอก ฉันวิ่ง 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง”
แต่ทั้งหมดนั้น ก็ไปถึงจุดหมายเดียวกันหมดเลย คือปลายทาง ที่สถานีรถไฟ แล้วพระเจ้าสอนอะไร? พระเจ้าสอนหนังสือฮีบรู บทที่ 11 แล้วมันเกี่ยวอะไรกับฮีบรู บทที่ 11 ตัวหลักใหญ่ ก็คือพระเจ้าพอใจในผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าว่ามีชีวิตอยู่ คือเชื่อว่ามีพระเจ้าบนโลกใบนี้ และเชื่ออะไรอีก เชื่อว่ามีพระเจ้า สิ่งทั้งหลายที่มนุษย์มองไม่เห็น ที่เรียกว่าวัตถุ มันเกิดขึ้นจากสิ่งที่มองไม่เห็น สิ่งที่มองไม่เห็น มีอำนาจเหนือสิ่งที่มองเห็น แค่นี้เอง
ข้อความในฮีบรูนี้ขึ้นมา ทำให้ผมเห็น พระเจ้ากำลังจะบอกว่ามันมีโลกวิญญาณจริงๆ นะลูกเอ๋ย ใครก็ตามที่รู้จักพระเจ้า แล้วพระเจ้าพอใจในมนุษย์คนนั้นมาก นี่แค่เริ่มต้นเชื่อว่ามันมีโลกวิญญาณจริงๆ มันมีอีกมิติหนึ่งจริงๆ ซึ่งมิติ ถ้าเราไม่เข้าใจ ที่มองไม่เห็น มันมีอำนาจเหนือกว่ามิติที่เรามองเห็น วัตถุต่างๆ บนโลกใบนี้ มันมีอีกอันหนึ่ง ที่มันใหญ่กว่า เป็นผู้สร้าง เป็นผู้กำหนด มีอิทธิพลเหนือกว่าสิ่งที่เรามองเห็น
พอสอนแค่นี้ปุ๊บ ความกระจ่างในเรื่องถ้อยคำพระเจ้าต่างๆ ในพระคัมภีร์ มันก็โอ้โห เขาเรียกว่าความรู้มันขึ้นมา ความรู้ในทางพระเจ้า พระเจ้าสอนเราให้เห็น มิน่านะ มนุษย์พยายามถูกอะไรบางอย่าง ให้เฝ้ามองแต่สิ่งที่มองเห็นตลอดเวลา เฝ้ามอง จ้องแต่สิ่งที่มองเห็นตลอดเวลา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ความต้องการทั้งหมด ไปอยู่ในสิ่งที่มองเห็นตลอดเวลา ในขณะซึ่งสิ่งที่มองไม่เห็นนั้น สำคัญยิ่งกว่ามากนัก
พระคัมภีร์จึงบอกตั้งแต่หน้าแรกเลยว่ามนุษย์เป็นวิญญาณนะ มนุษย์ไม่ใช่วัตถุ มนุษย์เป็นวิญญาณ … วิญญาณ คือในมิติของวิญญาณ และพระคัมภีร์ทั้งเล่ม เกี่ยวกับเรื่องวิญญาณทั้งหมดเลย อ่านดูต้องอ่านทางวิญญาณทั้งสิ้น นี่แหละได้เห็น ผมจึงมิน่า พระเยซูพูดในถ้อยคำของพระองค์ว่า …
“ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก”
ในหนังสือมัทธิว 5:14-15 พระเยซูจึงบอกว่า … “ท่านเป็นความสว่างของโลก” … ไม่ใช่มีความสว่าง ท่านเป็นความสว่าง “เป็น” กับ “มี” ไม่เหมือนกันนะ
ในเอเฟซัสบอกไว้ว่าอย่างไร? ในเอเฟซัส 5:8 บอกว่า … “เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด” … ก่อนที่เราจะรับเชื่อพระเยซู เข้าบัพติศมาเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่ในจริงๆ นะ ตอนนี้เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ อยู่กับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์จริงๆ ก่อนหน้านั้น เราเป็นความมืด
เป็นอย่างไร? พอเราเข้าใจตรงนี้ เราถึงเข้าใจว่า “เป็นความมืด” เป็นอย่างไร? … “เพราะเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่เดี๋ยวนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำเนินชีวิตของลูกของความสว่าง”
แสดงว่าตอนนี้เราเป็นความสว่างแล้ว แต่ก่อนนี้ ก่อนเราเชื่อพระเยซู เราเป็นความมืด เราไม่ได้มีความมืด แต่เราเป็นความมืด แต่เดี๋ยวนี้เราเป็นความสว่าง ไม่ใช่มีความสว่าง
สมมติว่าถ้าเผื่อ เมื่อก่อนนี้ เรามีความมืด สมมตินะ ถ้าเรามีความมืด เราก็คงจะสามารถช่วยเหลือตัวเองให้ลดความมืดให้มันน้อยลงได้ สั่งสมอะไรบางอย่างให้มันน้อยลง หรือแต่ก่อนนี้ เรามีความสว่าง เราก็ทำสว่างให้มันมากขึ้นได้ แต่ไม่ใช่ นี่เราเป็น เราไม่สามารถทำให้มากขึ้น หรือน้อยลงได้ เพราะเราเป็นอย่างนั้น เหมือนเราจุดตะเกียง หรือจุดเทียน พอเราจุดเทียนปุ๊บ เทียนมันสว่าง เทียนมันติดสว่างขึ้นมา สว่างเพราะใคร? เพราะผมไปจุดมัน สามารถให้มันลุกโชติช่วงด้วยตัวเองไม่ได้ ผมจุดไว้เท่านี้ มันบอกผมจะเบ่งให้แสงมันเยอะขึ้น มันทำไม? ไม่ทำ มันก็สว่างแล้ว ในทำนองเดียว ผมเป่ามันดับ มันก็ดับแล้ว มันไม่สามารถที่จะบอกว่าผมจะดับน้อยลงหน่อย ดับนิดหนึ่ง ดับน้อย ดับก็คือดับ สว่างก็คือสว่าง ท่านรอดแล้ว ท่านเป็นความสว่าง ก็คือเป็นความสว่าง
แล้วพระเจ้าก็ให้ผมสังเกตเห็นว่าก็เหมือนกับที่มนุษย์เป็นผู้หญิง และเป็นผู้ชาย ท่านพยายามเป็นผู้หญิงได้ไหม? เกิดมาท่านพยายามเป็นผู้หญิงได้ไหม? ได้ มีหลายคนทำ แต่มันเป็นจริงไหม? มันก็ไม่เป็นจริง มันดูเหมือน แต่มันไม่ใช่ของจริง ของจริง คือมันเป็นอย่างไร? มันก็เป็นอย่างนั้น
ผมเกิดมามีผู้ชายนะ ถ้าผมมีผู้ชาย ผมก็พยายามเอาผู้หญิงเข้ามา ทำให้ผู้ชายน้อยลงได้ แต่ผมเกิดมาเป็นผู้ชาย ท่านเกิดมาเป็นผู้หญิง มัน “เป็น” มันไม่ใช่ “มี” มันเลยทำอะไรไม่ได้ มันต้องเป็นอย่างนั้นแหละ ท่านพอมองเห็นอะไรไหมว่าผมกำลังพูดถึงเรื่อง 2 โลกต่างๆ ที่พระคัมภีร์ทั้งเล่ม ถ้าเผื่อใครจับเคล็ดลับตรงนี้ได้ จะอ่านพระคัมภีร์ได้เห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทะลุปรุโปร่งมากยิ่งขึ้น และมันจะมีสันติสุข ถาวรนิรันดร์ เพราะว่าสวรรค์มันอยู่ที่นี่แล้ว อยู่ตอนนี้เลย ณ วินาทีนี้แล้ว สวรรค์เข้ามาตั้งแต่เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตั้งแต่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว ไม่ต้องไปหาที่ไหนแล้ว อยู่ที่นี่จริงๆ เหมือนที่ตะกี้นี้ที่ผมเล่าตอนแรกใช่ไหม? มันเป็นเพียงแต่เป็นมิติหนึ่งเท่านั้นเอง โคโลสี 1:12-14 ท่านลองอ่านดูนะ …
โคโลสี 1:12-14 ก็เหมือนกันบอกไว้อย่างนี้ … “12 ในการขอบพระคุณพระบิดา ผู้ทรงทำให้พวกท่านเหมาะสมที่จะมีส่วนในกรรมสิทธิ์ของประชากรของพระเจ้า ในอาณาจักรแห่งความสว่าง 13 เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ 14 ในพระบุตรนี้เราได้รับการไถ่บาป คือการอภัยโทษบาปของเรา”
เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า ถามว่าอยู่ที่ไหน? ในอาณาจักรแห่งความสว่าง คือมิติหนึ่ง อยู่เดี๋ยวนี้เลย อยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง
เพราะพระองค์ได้ช่วยเราแล้ว ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด ขณะที่เรายังอยู่ที่เดิม อยู่ประเทศไทย อยู่เมืองไทย อยู่กรุงเทพ นั่งอยู่ที่นี่เหมือนเดิม แต่เราได้ย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่างแล้ว แต่ก่อนเราอยู่อาณาจักรของความมืด
เหมือนตะกี้ที่ผมบอกไหม? เหมือนที่รถไฟ แก้วน้ำ และผมเดินบนรถไฟไหม? เหมือนกันเลย ในวินาทีเดียวกัน ตอนที่เรารับเชื่อพระเยซู ตอนนั้น เราได้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และพระองค์ทรงนำเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตรที่รักของพระองค์ ในพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่ คือการอภัยโทษบาปของเรา
เห็นไหมเนี้ย ขอบคุณพระเจ้า มันชัดเจนไหม? เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์จึงบอก เตือนเรา ให้เรามองไปที่เบื้องบน “เบื้องบน” หมายถึงที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ที่สวรรค์ ถามว่ามองไปถึงเมื่อไร? รอตายแล้ว ไปมอง ไม่ใช่ มองเดี๋ยวนี้ว่าเราอยู่ที่นั่นแล้วตอนนี้ เราอยู่ที่เบื้องขวา จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ก็ให้เชื่อว่าพระเจ้าสอนเราในเรื่องที่เป็นโลกวิญญาณ เป็นประโยชน์ต่อชีวิตเราว่า …
“ความจริง ลูกเอ๋ย ข้างนอกมันเป็นอย่างนี้ ในมิติต่างๆ มันเป็นอย่างนี้ ลูกไม่ต้องเข้าใจหรอก ถึงเข้าใจ ก็เข้าใจไม่ได้มาก เชื่อแล้วกัน”
นี่ไง ถึงต้องใช้ความเชื่อ มันหมายถึงอย่างนี้ เอเมน เพราะถ้าเราได้ตรงนี้ เราจะได้ทุกอย่างบนโลกใบนี้เลย คำว่า “ได้ทุกอย่าง” ไม่ใช่เกี่ยวกับวัตถุสิ่งของแล้ว เพราะเราเข้าไปอยู่ในมิติของโลกวิญญาณแล้ว เรารู้แล้ว เราก็ไม่กลัวแม้กระทั่งความตาย เพราะเรารู้ว่าขณะที่เรากำลังเตรียมตัวจะไปนั้น เราก็อยู่ที่นั่นแหละ เรากำลังจะย้ายมิติหนึ่ง ออกจากร่างนี้ เราไม่รู้ไม่เข้าใจ แต่พระคัมภีร์บอกเราว่ามันดีกว่าร่างกายเก่านี้เยอะ เราจะเข้าไปในมิติหนึ่ง อยู่ที่นี่ อยู่ที่เดิม ไม่ได้ไปไหนเลย เอเมน สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว สวรรค์เป็นของเรา สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว พระเยซูประกาศเสมอเลย ตั้งแต่วันแรก เดินมาบนโลกใบนี้ สวรรค์มาแล้ว สวรรค์กำลังมา สวรรค์อยู่ที่นี่ อยู่ที่ไหน? อยู่ในใจของท่าน คืออยู่ในวิญญาณของท่าน ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว เอเมน
พูดมาทั้งหมดนี้ อยากให้ท่านตื่นเต้นไปกับผมเท่านั้นเอง ท่านจะมองเข้าไปในอากาศเหมือนเดิม ท่านจะมองเข้าไปในบ้านเหมือนเดิม มองไปที่ผนังเหมือนเดิม มองออกจากรถเหมือนเดิม มองในสวนเหมือนเดิม แต่ท่านมองทะลุไปอีกอันหนึ่งว่าพระคัมภีร์เป็นจริง เข้าใจแล้ว ท่านจะเป็นอย่างนั้นแหละ คือท่านสามารถมองทะลุอีกมิติ โดยผ่านทางถ้อยคำของพระเจ้า พระเจ้าจะสอนเรา
เปาโลจึงบอกว่าข้าพเจ้าอธิษฐานวิงวอนพระเจ้าอยู่เสมอ ขอพระเจ้าทรงเปิดตาฝ่ายวิญญาณให้กับท่าน ประทานวิญญาณแห่งสติปัญญา ประทานวิญญาณแห่งการสำแดงความรู้ เปิดตาวิญญาณให้กับท่านได้รู้ว่าอะไรยิ่งใหญ่ในอาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย และนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระองค์ สูงยิ่งกว่าเหนือสิทธิอำนาจใดๆ เทพผู้ครอง ศักดิเทพทุกอย่างบนโลกใบนี้ทั้งหมด สูงส่งมากเลย และให้เรานั่งอยู่กับพระองค์ที่เบื้องขวานั้น เอเมน ขอบพระคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเยซูคริสต์ เข้าใจไม่เข้าใจไม่รู้ เชื่อเอา เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ
*************************