คำหนุนใจจาก Ps.เทพิน ชาติผดุง
เรื่อง “ความประพฤติของเราบนโลก มีผลตอบสนองแก่เรา”
วันที่ 2 เมษายน 2020
สวัสดีค่ะพี่น้องที่รักในพระเยซู เรามาคุยกันต่อในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ ก็ให้เราใกล้ชิดสนิทกับพระเจ้ามากขึ้น เรียนรู้วิถีทางของพระองค์ที่ชัดเจนมากขึ้น
ครั้งที่แล้วเราคุยกัน เราได้รับความรอด สมบูรณ์ทางฝ่ายวิญญาณ ในเรื่องของฝ่ายวิญญาณนี้ ไม่มีอะไรที่พระเยซูต้องทำเพื่อเราอีกแล้ว เพราะว่าถ้าตายวิญญาณก็ไปอยู่กับพระเจ้าได้เลย แต่ร่างกายเราที่ต้องอยู่ในโลกที่เสียหาย โลกแห่งความบาป โลกที่ผู้คนมากมาย ก็ต้องอยู่ใต้อิทธิพลของมาร รับใช้มาร เพื่อจะทำร้ายผู้อื่น อันนี้เราก็ต้องพึ่งพระเจ้า เพราะว่าพระคัมภีร์สอนเราแล้วว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับมนุษย์ เราไม่ได้ต่อสู้กับเลือดเนื้อ แต่เราสู้กับวิญญาณชั่วในสถานฟ้าอากาศ ซึ่งเขาก็ใช้มนุษย์เป็นเครื่องมือ เขาต้องการจะทำลายมนุษย์ของพระเจ้า ลูกๆ ที่พระเจ้ารัก ไม่ว่าใครจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่? ให้เรารับรู้ว่าในช่วงเวลาแห่งยุคพระคุณที่พระเยซูทำแทนเราสำเร็จแล้ว เป็นยุคที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ไม่ประสงค์ให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศ แต่อยากให้มาถึงความรอด และได้ชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตของพระเจ้า เอาไปเป็นของเขาเลย แต่ในขณะซึ่งร่างกายของเราต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลก ทั้งโลกที่เสียหาย มนุษย์ก็แปลกมากตรงที่ว่าอะไรเสียหาย อะไรเกิดไม่ดีขึ้น ก็บอกว่าพระเจ้าลงโทษ โทษพระเจ้าไปหมดเลย แต่ในพระคัมภีร์บอกพระองค์ไม่ประสงค์ให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศ แต่ต้องการให้มาถึงความรอด เพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร์ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่พระเจ้าแน่นอนเลย
พระเจ้าก็บอกแล้วว่าพระองค์มาเพื่อให้ชีวิต แต่มารมา เพื่อลัก ฆ่า และทำลาย เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่เกิดขึ้น เพื่อลัก ฆ่า และทำลาย ไม่ได้มาจากพระเจ้า ต้องแยกแยะให้ชัดเจน วิญญาณเราสมบูรณ์ได้รับความรอด เราสามารถมั่นใจในความรอด ที่พระเจ้าให้ แต่ร่างกายเรายังอยู่ในโลกนี้ พระเจ้าก็สอนเรา พาเราให้เติบโต ร่างกายนี้ คือสิ่งที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวัน ไม่ใช่เนื้อหนัง เนื้อหนังคือความคิดที่บาป ความคิดที่ไม่ถูกต้อง ความคิดที่ไม่ใช่ทางของพระเจ้า แล้วพระเจ้าบอกว่าให้เราควบคุมมันให้ดี ซึ่งเอาไว้เรามีโอกาสจะคุยกันต่อไปในวันข้างหน้า แต่วันนี้อยากให้ข้อพระคัมภีร์ที่พี่น้องจะได้ยึดเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต เราไปดูใน 1 เธสะโลนิกา 5:16-24 พระคัมภีร์บอกเราว่า …
1 เธสะโลนิกา 5:16-24 “16 จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ 17 จงอธิษฐานอยู่เสมอ 18 จงขอบพระคุณในทุกสถานการณ์ เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลายในพระเยซูคริสต์ 19 อย่าดับไฟแห่งพระวิญญาณ 20 อย่าลบหลู่คำเผยพระวจนะ 21 จงทดสอบทุกสิ่ง จงยึดมั่นในสิ่งที่ดี 22 จงหลีกห่างความชั่วทุกชนิด 23 ขอพระเจ้าเองผู้ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติสุขทรงชำระท่านให้บริสุทธิ์หมดจด ขอให้ทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายของท่านไร้ที่ติ เมื่อองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราเสด็จมา 24 พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้นทรงสัตย์ซื่อ และพระองค์จะทรงกระทำตามที่ตรัสไว้”
เรามีพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในกายแล้ว เราต้องรับทราบตรงนี้ เราไม่ต้องวิ่งไปหาพระวิญญาณที่ไหน? ไม่ต้องวิ่งไปหาผู้รับใช้ที่ประกาศว่ามารับพระวิญญาณ ตัวท่าน เมื่อเชื่อในพระเยซู รับรู้การสถิตอยู่ของพระเยซูที่ตายเพื่อท่าน ชุบชีวิตของท่านให้เป็นขึ้นมาร่วมกับพระองค์แล้ว มีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่แน่นอน
แล้วพระคัมภีร์บอกด้วยว่าไม่ใช่พระวิญญาณอย่างเดียว แต่ทั้งพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตร่วมกันในตัวท่าน เพราะว่าพระเจ้าสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่งได้ รอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทรงฤทธานุภาพสูงสุด พระองค์ไม่เหมือนมนุษย์ ที่มองออกไปผ่านกำแพง ก็ไม่รู้แล้วหลังกำแพงมีอะไร? แต่พระเจ้าไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าทรงทราบทุกสิ่งทุกอย่าง
เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระคัมภีร์สอนในหนังสือ 1 เธสะโลนิกานี้ คือให้เราชื่นบานในพระเจ้า ไม่ได้ชื่นบานในโควิด-19 ไม่ได้ชื่นบานในคนตาย ไม่ได้ชื่นบานในความทุกข์ยาก ที่หิวโหยอดอยาก ผู้คนเสียหาย ไม่ใช่ แต่ชื่นบานในพระเจ้าผู้ทรงช่วยเราได้ ผู้ทรงควบคุมทุกสิ่งอยู่
ถามว่าแล้วทำไมพระเจ้าไม่ทำลายกิจการชั่วทั้งหลายไป เพราะมันยังไม่ถึงเวลา มันมีเวลาสำหรับทุกสิ่ง มีวาระสำหรับทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ในช่วงเวลานี้ สิ่งที่เราควรทำ ก็ชื่นบานในองค์พระผู้เป็นเจ้า ชื่นบานอยู่เสมอ อธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ ขอบพระคุณในทุกกรณี เราจะเห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า การช่วยเหลือของพระเจ้าในยามวิกฤต ได้ชัดเจนกว่าในยามที่สบาย เป็นเรื่องจริงๆ ดิฉันได้พยายามที่จะฝึกตัวเอง โดยขอพระเจ้าว่าให้สอนด้วย ที่จะสามารถมีชีวิตอยู่ในตอนที่มีความยากลำบาก หรือคับแค้นเกิดขึ้น พระเจ้าก็สอนจริงๆ ก็อยากจะให้พี่น้องรับทราบว่าพระเจ้าทรงเลี้ยงดู ท่านอาจจะไม่ได้หรูหราฟู่ฟ่าเหมือนเดิม แต่พระเจ้าไม่ทิ้งแน่นอน และพระเจ้าก็จะสอนให้ท่านใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า อย่างสมกับเป็นลูกของพระเจ้า ขอบพระคุณในทุกกรณี
ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่บ้านดิฉัน เป็นสวน ก็จะมีผลไม้ออกบ้าง มีผักออกบ้าง เราก็จะแบ่งปันเพื่อนบ้าน แจกจ่ายให้ทานโดยทั่วกัน บ้านไหนไม่มี เราก็เอาไปให้ แล้วเขาก็มีอย่างอื่นที่เราไม่มีให้มา เมื่อวานเราเอามะละกอไปให้น้องที่ร้านกาแฟ เขาก็ใส่ตะกร้ากลับมาให้ยัดสั่นแน่นพูนล้นจริงๆ มีอาหารเพี๊ยบ มีผลไม้ มีทุกอย่างเลยที่จะสามารถอิ่มและอร่อย และชื่นบานได้ด้วย เป็นอะไรที่พี่น้องจะได้กลับไปใช้ชีวิตแบบธรรมชาติ แบบบ้านๆ ที่มีน้ำจิตน้ำใจ ไมตรีต่อกัน แค่นั้นเหรอ ไม่ใช่ แต่เราอธิษฐานขอบคุณในทุกกรณี เพราะเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับพวกเรา
ข้อที่ 19 สำคัญมาก อย่าขัดขวางพระวิญญาณ อย่าดูหมิ่นถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะ”
นี่หมายความว่าอะไร? ขัดขวางพระวิญญาณเป็นอย่างไร? พระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในตัวเรา พระองค์ประสงค์ให้เราทำอะไร? ประสงค์ให้เราทำ ย้อนไปดูข้อ 15 บอกว่า …
“อย่าให้คนใดทำชั่วตอบแทนการชั่ว แต่จงตอบแทนความดีเสมอ ต่อตัวท่านเอง และต่อคนทั่วไปด้วย”
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าเรารอดฝ่ายวิญญาณแล้ว วิญญาณเราปลอดภัย ขึ้นสวรรค์แน่นอนแล้ว เราจะใช้ชีวิตอะไรก็ได้ สนุกสนานอะไรไปก็ได้ ไม่ใช่ เพราะการกระทำของท่านบนโลกนี้ มีผลตอบสนอง เหมือนกับที่พระคัมภีร์บอกว่าท่านหว่านข้าว ท่านก็เก็บเกี่ยวข้าว ถ้าท่านหว่านวาจาที่หยาบคาย ไม่น่าฟัง ท่านก็ได้รับกลับมา ท่านขับรถไปฝ่าไฟแดง
“ฉันไม่สน วิญญาณฉันได้รับความรอดแล้ว ฉันเป็นชาวสวรรค์แล้ว เพราะฉะนั้นฝ่าไฟแดงเลย จะรีบไป”
ไม่ได้นะ ท่านก็จะได้รับจดหมายจากกรมการขนส่งทางบก ให้ไปจ่ายค่าปรับ เพราะมีกล้องวงจรปิด ถ่ายไว้ชัดเจน รถเบอร์ที่ท่านขับอยู่ เห็นหน้านิดหนึ่งด้วย
เพราะฉะนั้น มันมีผลทั้งสิ้น มันไม่หายไปไหน? แต่ว่าขณะซึ่งเราดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ พระวิญญาณจะนำพาเรา สอนเรา เช่น ถ้าเราพูดไม่ดี เราจะรู้สึกสะอึกเลย นี่แหละเป็นการดับพระวิญญาณ พระวิญญาณประสงค์ให้เราทำสิ่งที่ดี ทำดีอย่างไร? ทำดีต่อพวกเราเอง ผู้เชื่อทุกคนและต่อคนทั่วไปด้วย ทำดี เพื่อให้เขาได้เห็นพระเจ้า ในชีวิตของเรา ผู้คนมากมายที่ไม่รู้จักพระเจ้า เขาก็ยังทำดีกันมากมายเลย
ดิฉันได้อ่านเรื่องหนึ่งเมื่อเช้านี้ คือมีรองกงสุลใหญ่เบลเยี่ยม ได้ช่วยคนไทยที่ติดอยู่ที่สนามบินที่เยอรมัน แล้วก็ช่วยจนกระทั่งได้กลับบ้าน ถ้าพี่น้องมีเฟสบุ๊คก็ไปหาอ่านได้ในเฟสบุ๊คของดิฉันนะคะ ดิฉันได้แชร์ไว้ แล้วคนไทยถามว่า …
“ทำไมถึงช่วย”
รองกงสุลเขาบอกว่า … “ตอนก่อนนั้นเขาอยู่ญี่ปุ่น แล้วมีคนญี่ปุ่นช่วยเหลือเขา เขาเลยตั้งใจไว้แน่นอนเลยว่าถ้าเห็นใครที่ต้องการความเชื่อเหลือ เขาจะช่วย”
พี่น้องค่ะ เรายิ่งกว่านั้นอีก เรามีพระเจ้าอยู่ในใจ อยู่ในชีวิตเรา เราควรจะทำได้มากกว่านั้น
มีพี่น้องคนหนึ่งที่เบลเยี่ยม หญิงชราอายุ 90 กว่าปี เขายอมปฏิเสธเครื่องช่วยหายใจ เพื่อให้คนหนุ่มสาว คนที่อายุน้อยกว่าได้ใช้ เพราะเธอบอกว่าเธอเห็นโลกมาเยอะแล้ว จึงพร้อมที่จะจากไปแล้ว ในเมื่อเครื่องมือไม่พอ ก็ให้คนอื่นที่ยังจะสามารถมีชีวิตอยู่ ทำประโยชน์ให้กับแผ่นดิน ให้กับโลกได้มากกว่าเธอ
คริสเตียนก็ควรจะมีท่าทียิ่งกว่านี้อีก คือสามารถให้ได้มากกว่าที่คนอื่นเขาทำได้ เพราะว่าพระเยซูให้ชีวิต มอบให้ไปเลย แลกให้เลย เพื่อให้พวกเรา ได้ปลอดภัยจากการพิพากษาลงโทษ แล้วในโลกที่ชั่วร้าย นี้ แน่นอนว่ามีแต่เรื่องเสียหาย มีแต่เรื่องทุกข์ยากลำบาก มันไม่ดีขึ้นหรอก ไม่ต้องไปคิดเรื่องนั้น คิดว่าเรามีพระเจ้า เราทำอะไรได้ดีกว่าเป็นประโยชน์มากกว่า ที่จะช่วยเหลือคนอื่น ที่จะแบ่งปันให้คนได้เห็นว่าความรักของพระเจ้าอยู่กับพวกเรา ความดีงามของพระเจ้าอยู่กับเรา แล้วเราทำด้วยความขอบพระคุณว่าไม่ใช่ เพราะว่าเราอยากจะไปสวรรค์ เราได้ขึ้นแน่นอนแล้ว ทำไมเรารู้ล่ะ เพราะว่าพระเยซูบอกเราว่าเราจะได้ไปอยู่กับพระเยซูในแผ่นดินสวรรค์ อาจารย์เปาโลก็สอนว่าร่างกายเรารอคอยความรอด ตอนที่พระเยซูจะมารับเราไป มันถึงจะไปประกบกัน แต่ ณ ตอนนี้ ร่างกายเรายังอยู่ ยังเคลื่อนไหว ยังมีชีวิตอยู่ท่ามกลางผู้คน ทั้งที่รู้จักพระเจ้าและไม่รู้จัก ทั้งที่ดี ทั้งที่น่ารัก ทั้งที่ไม่น่ารัก เยอะแยะไปหมด ก็คือให้เราทำตามถ้อยคำและน้ำพระทัยพระเจ้า
“อย่าดูหมิ่นถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะ” คืออะไร? ถ้อยคำสั่งสอน ผู้เผยพระวจนะสอน “จงทำดี” อย่าเหนื่อยล้าในการทำดีเลย เพราะท่านจะได้รับการเก็บเกี่ยว เมื่อถึงเวลาอันควร และเว้นเสียจากสิ่งที่ชั่วทุกอย่าง
ทั้งหมดนี้ จะเป็นกำลังที่มาจากพระเจ้า โดยพระวิญญาณจะช่วยท่าน อะไรที่ทำไม่ได้ …
“พระเจ้าช่วยลูกด้วย ลูกไม่ผ่านตรงนี้ ขอกำลังให้ลูกสามารถผ่านได้ ทำได้”
พระเจ้าต้องการให้ท่านเป็นแสงสว่างในโลก และเมื่อท่านมีพระเยซู ก็คือมีความสว่างแล้ว อย่าเป็นตะเกียงที่ถูกถังครอบไว้ ให้เราเป็นความสว่างของพระเจ้า ที่ส่องไปในโลก ให้เห็นคุณงามความดีของพระเจ้า ผ่านตัวของเราที่กระทำอยู่ทุกๆ วัน
ในข้อ 23 บอกว่า … “ขอให้พระเจ้าแห่งสันติสุข ทรงชำระท่านทั้งหลาย ให้เป็นคนบริสุทธิ์หมดจดและทรงรักษาทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายของท่าน ให้ปราศจากการติเตียน จนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราเสด็จมา พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้นซื่อสัตย์ และพระองค์จะทรงทำให้สำเร็จ”
พี่น้องไม่ต้องอึดอัดใจว่า … “ยากจัง ฉันจะทำอะไรได้”
ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องทำ เหนื่อยยาก เหนื่อยใจ เพราะว่าการมาเชื่อพระเยซู ทำให้เราหายเหนื่อย เป็นสุข ถ้าพระเจ้าจะให้เราทำอะไร? เราจะชื่นชมยินดี เราจะมีความสุข และอยากทำ และมีกำลังจากพระเจ้า ถ้ายังไม่มีอะไรขับเคลื่อนมา เราก็นมัสการ อธิษฐาน ขอบพระคุณ ทำสิ่งที่ปกติในชีวิตประจำวัน พระเจ้าบอกพระวิญญาณดลใจให้เราไปช่วยใคร ก็ไป พระองค์จะให้กำลัง จะให้เรี่ยวแรงกับเราเอง ไม่ใช่เรื่องอะไรที่ยากเลย ไม่ใช่บัญญัติ ไม่ทำ ก็ไม่ตกนรกอีกต่อไป แต่ถ้าเราทำสิ่งที่ดี ที่ถูกต้อง ตามถ้อยคำพระเจ้า ผู้คนก็จะได้ชื่นชมยินดีในพระเจ้าของเราด้วย ได้รับความเมตตาผ่านเรา และพวกเราขอบคุณพระเจ้า เขาก็จะได้ขอบคุณด้วย
ก็ขอให้พี่น้องได้มีความหวังใจ และไม่ต้องห่วงกังวล เพราะชีวิตเราปลอดภัยในพระหัตถ์พระเจ้า พระเยซูแล้ว ยังไงก็ได้ไปสวรรค์แน่ ถ้าวันนี้ เขาบอกว่าให้เสียสละอะไรสักอย่าง ก็เดินออกไปได้เลย ไม่มีปัญหา ขอพระเจ้าทรงเมตตา ให้เรามีความกล้าหาญ มีจิตใจเหมือนพระเยซูที่รักมนุษย์ ขอพระเจ้าเมตตา เอเมน
************************