คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 28 เมษายน 2024
เรื่อง “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหนก่อนและหลังเชื่อพระเยซู?” ตอน 6
โดย นคร เวชสุภาพร
เรามาต่อซีรี่ย์ Before and After คือวิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน ทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อพระเยซู ตอนที่ 6 เราได้เรียนรู้ไป 5 ตอนแล้ว จำอะไรได้บ้างครับ?
ตอนที่ 1 ก่อนเชื่ออยู่ในเนื้อหนัง หลังเชื่ออยู่ในพระวิญญาณ
ตอนที่ 2 ก่อนเชื่ออยู่ในอาดัม หลังเชื่ออยู่ในพระคริสต์
ตอนที่ 3 ก่อนเชื่อเป็นทาสบาป หลังเชื่อเป็นทาสพระคริสต์
ตอนที่ 4 ก่อนเชื่ออยู่ในความมืด หลังเชื่ออยู่ในความสว่าง
ตอนที่ 5 ก่อนเชื่อตายจากพระเจ้า มาอยู่ในบาป หลังเชื่อตายจากบาป มาอยู่ในพระเจ้า
วันนี้ตอน 6 ก่อนเชื่ออยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย หลังเชื่ออยู่ภายใต้กฎของวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์
ต่อจากตอนที่แล้ว ตอนที่ 5 บอกว่าก่อนเชื่อ เราได้ตายจากพระเจ้า มาอยู่ในบาป วันนี้จะมาต่อว่าอยู่ในบาป แล้วทำไม? อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ภายใต้กฎบัญญัติ เพราะฉะนั้น หลังเชื่อได้ตายจากบาป เกิดใหม่ในพระเจ้า แล้วได้ย้ายอยู่ภายใต้กฎวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ที่เรียกกันว่าพระคุณนั่นเอง
ก็คือก่อนเชื่อได้ตายจากพระเจ้า มาอยู่ในบาปใช่ไหม? อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ภายใต้กฎบัญญัติ หลังเชื่อ เราได้ตายจากบาป มาเกิดใหม่ในพระเจ้า อยู่ภายใต้กฎของวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ในพระคุณของพระเจ้า วันนี้เราจะมาเรียนรู้เรื่องนี้อย่างละเอียด จะได้รู้ว่าวิญญาณของเรา คริสเตียนอยู่ที่ไหน? ตอนก่อนเชื่อ และหลังเชื่อแล้ว วิญญาณเราอยู่ที่ไหน? อยู่ภายใต้กฎอะไร? 2 กฎนี้ ในโลกที่เรามองเห็นและโลกที่มองไม่เห็น มีกฎระเบียบนี้อยู่ มองเห็นแน่นอน เรารู้จากกฎหมายบ้านเมืองต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ เรามีกฎอยู่ด้วยจริงๆ เช่นเดียวกัน ถึงจะมองไม่เห็น มีอยู่จริง ซึ่งเราได้เรียนรู้กันมาตลอดว่าโลกที่สำคัญที่สุด คือโลกฝ่ายวิญญาณ ที่จะอยู่ตลอดไป เหมือนกับโลกที่มองเห็นนี้ เดี๋ยวมันก็สูญสิ้นไป เดี๋ยวมันก็หมดไปแล้ว แต่โลกวิญญาณนี้จะอยู่นิรันดร์ จะอยู่ตลอดไปเลย เราจะอยู่อย่างไร? อยู่ที่ไหน? อยู่ในอาณาจักรใด มี 2 แห่ง
เพราะฉะนั้น จึงมีกฎหมายทางฝ่ายวิญญาณ 2 แห่งเหมือนกัน หมายถึงมีกฎเหมือนกัน แต่กฎไม่เหมือนนะ วันนี้เราจะมาเรียนรู้
คำว่า “กฎ” คืออะไร? ในทางวิญญาณ ทางพระคัมภีร์ไบเบิ้ล พอพูดคำว่า “กฎ” หรือ “กฎบัญญัติ” ซึ่งเราคุ้นๆ กันอยู่หมายถึงกฎหมายที่บันทึกไว้ทางฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าบอกว่าวิญญาณมีกฎอยู่ เพราะว่าพระคัมภีร์จะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณเท่านั้น เน้นตรงนี้เลย ถ้าเทียบกับบนโลกใบนี้ ที่มองเห็น ก็เหมือนกับกฎหมายต่างๆ บนโลกใบนี้แหละ ที่มีอยู่ ที่เราเห็นๆ อยู่ เหมือนกฎหมายบ้านเมืองเรา คนไทย ก็อยู่ภายใต้กฎหมายไทย ถูกไหมครับ? เราอยู่ประเทศไทย ก็ภายใต้กฎหมายไทย ถ้าเราย้ายจากประเทศไทย ไปอเมริกา เราก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของอเมริกัน
เพราะฉะนั้น ในทางลักษณะเดียวกัน ทางโลกวิญญาณ มีอยู่จริงๆ แต่เรามองไม่เห็น คือพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าในทางวิญญาณคนที่เป็นคนบาป ในวิญญาณ หรือเรียกว่าคนบาปนั้น ก็อยู่ภายใต้กฎหมายของคนบาป คืออะไรกฎหมายของคนบาป ที่เราจะพอรู้ตามความจริงของพระเจ้าในไบเบิ้ลที่บันทึกไว้ ที่เราได้เรียนมา กฎหมายของคนบาป ก็คือกฎแห่งกรรม กฎแห่งความบาปและความตาย ที่บันทึกเอาไว้ อธิบายกฎแห่งการกระทำ ส่วนอีกทางหนึ่งอาณาจักรหนึ่งในโลกวิญญาณ เรียกว่าอาณาจักรของคนชอบธรรม คือพ้นจากบาป พ้นจากความผิด เรียกว่าคนชอบธรรม ก็อยู่ภายใต้กฎหมายของคนที่ไม่บาป คนที่ชอบธรรม ที่เรียกว่ากฎวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์นั่นเอง กฎหมายในโลกนี้ ก็มีคณะผู้พิพากษา เป็นมนุษย์ ดูแลให้เป็นไปตามกฎหมาย ซึ่งเป็นมนุษย์ แน่นอนเป็นมนุษย์ไม่เที่ยงตรง ไม่เที่ยงธรรมเท่าไร? เอียงไปเอียงมา เข้าข้างก็ได้ ลำเอียงก็ได้
ส่วนกฎบัญญัติ หรือกฎในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ มีพระเจ้าเป็นผู้พิพากษา ดูแลให้เป็นกฎของวิญญาณ พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์ไม่มีคนพิเศษ ไม่มีลำเอียง สัตย์ซื่อ ตรงเป๊ะ ทุกประการ ในโลกวิญญาณ มนุษย์ทุกคนเกิดมา พระคัมภีร์บอกว่าเกิดมาเป็นคนบาป อยู่ในบาป วิญญาณเป็นบาป อยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย ต้องกระทำตามที่ระบุไว้ทางฝ่ายวิญญาณ ในพระคัมภีร์ คือทำชั่วก็ได้ชั่ว ซึ่งกฎหมายระบุไว้ว่าทำชั่วเพียงครั้งเดียว ก็เป็นคนบาป ต้องรับโทษตามที่ผู้พิพากษาได้บันทึกไว้ เป็นกฎบัญญัติ คือถูกพิพากษา และในความเป็นจริง พระคัมภีร์บอกไม่มีมนุษย์คนใดเลย จะทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ โดยไม่พลาดเลย แม้แต่ครั้งเดียว ไม่ได้ทำชั่วทำบาปเลย สักครั้งเดียว
ดังนั้น มนุษย์ทุกคน ต้องได้รับโทษ อย่างเห็นได้ชัด ทำไมมนุษย์ถึงเกิดมาอยากจะทำดี แต่ทำดีอย่างไรก็ไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์เลย เพราะอะไร? มนุษย์คิดว่าเพราะเขาทำดี ฉันไม่ได้ฆ่าคน เขาบอกพระเยซูบอกว่าเราถือศีล เราไม่ได้ฆ่าคนเลย เราไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตใคร? แต่พระเยซูคริสต์บอกว่าแค่คิด ก็เป็นแล้ว แค่คิดโกรธเขา ว่าเขาว่าไอ้บ้า หงุดหงิดแค่นี้ ก็เท่ากับฆ่าคนตายแล้ว
เราคิดตามเลยนะ พระเยซูพูดถึงอะไร? เพราะว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเป็นคนบาป วิญญาณข้างใน เป็นบาปอยู่ ไม่ใช่เพราะว่าประพฤติ ฆ่าคนตาย เพราะว่าวิญญาณข้างในเป็นบาป หมายถึงอย่างนั้น แค่บอกไอ้บ้า หงุดหงิด มันมาจากข้างในวิญญาณเป็นคนบาป พระคัมภีร์ได้บรรยายต่อว่าเป็นคนบาป เพราะเป็นหนี้บาปจากบรรพบุรุษ อาดัม จึงต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของคนบาป ก็คือกฎแห่งกรรม กฎในการกระทำ เป็นลูกหลาน เป็นทาสของความบาป ต้องชดใช้หนี้บาป เวรกรรม คือถูกพิพากษาลงโทษไปแล้ว ตั้งแต่เกิดนั่นเอง ซึ่งการพิพากษาลงโทษนี้ ในพระคัมภีร์เรียกว่าคำสาปแช่ง
มนุษย์ทุกคนเกิดมา อยู่ภายใต้คำสาปแช่ง สมัยก่อนเราไม่รู้หรอก อยู่ภายใต้คำสาปแช่ง เพราะอะไร? คือคำเดียวกันกับถูกพิพากษาลงโทษ ให้ถึงตาย คำว่าพินาศ คือความหมายเดียวกัน มนุษย์ทุกคนเกิดมาอยู่ภายใต้การสาปแช่ง คืออยู่ภายใต้คำพิพากษาลงโทษ เป็นทาส เหมือนกับอะไร? ถ้าเทียบกับโลกมนุษย์ ปัจจุบัน เหมือนนักโทษอุกฉกรรจ์ที่ถูกพิพากษาเรียบร้อยแล้ว ให้ถูกประหาร ก็คือนักโทษประหารนั่นเอง แต่ยังถูกขังอยู่ในเรือนจำ รอวันสำเร็จโทษ ประหารนั่นเอง นี่คือสภาพของมนุษย์ที่เกิดมาบนโลกใบนี้ มีกิจวัตรประจำวันของนักโทษที่ต้องทำงานหนัก ไม่มีอิสระ ถูกขังอยู่ในคุกลึกๆ ถ้าช่วงไหนประพฤติตัวดี อยู่ในกฎระเบียบเรือนจำก็อาจมีความเป็นอยู่ดีขึ้นหน่อย ไม่ทรมานมากนัก แต่ถ้าประพฤติตัวไม่ดี ไม่อยู่ในกฎระเบียบ ก็ถูกลงโทษ แต่ถ้าเทียบกับโลกวิญญาณ คือไม่อยู่ในกฎบัญญัติเกิดอะไรขึ้น
เจ้าหน้าที่เรือนจำที่เปรียบเหมือนทางฝ่ายวิญญาณ เปรียบเหมือนเจ้ากรรมนายเวร เคยได้ยินใช่ไหมครับ? ที่ควบคุมอยู่ ก็จะลงโทษ ตามกฎของกรมราชทัณฑ์หนักขึ้น ต้องทำงานหนักขึ้น หรือถูกทรมานทั้งร่างกายและจิตใจมากขึ้นกว่าที่ควรเป็น ซึ่งมนุษย์ทุกคน วิญญาณข้างในเป็นบาปอยู่ใช่ไหม? เกิดมาเป็นบาป จึงมีแนวโน้มที่จะทำชั่ว ละเมิดกฎเกณฑ์ของพระเจ้า วิญญาณข้างในเป็นบาป ต่อต้านกฎเกณฑ์ของพระเจ้า ต่อต้านกบฏต่อความดีงามของพระเจ้า จึงมีแนวโน้มที่จะละเมิดกฎ นี่คือความจริง ในพระคัมภีร์ที่บอกเรามาตลอดว่ามนุษย์มักจะละเมิดกฎของพระองค์เสมอ ที่ในพระคัมภีร์บางครั้งบอกว่าพระองค์ทรงกริ้วช้า อะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่พอใจ ไม่ใช่พระเจ้าไม่พอใจมนุษย์ แต่พระเจ้าไม่พอใจบาป ที่อยู่ในตัวของมนุษย์ ที่อยู่ในวิญญาณของมนุษย์ ที่ทำให้มนุษย์เป็นอย่างนี้ มันหมายถึงอย่างนี้ พระเจ้าโกรธ พระเจ้ากริ้วมาก เพราะมนุษย์มักกบฏ ไม่ยอมรักษาสัญญาอะไรต่างๆ เหล่านั้น มักกบฏ เพราะตัวบาป ที่อยู่ในวิญญาณของเขา
สิ่งเหล่านี้ คือความจริง ในเรื่องข่าวดีของพระเจ้า ที่บอกเราทั้งหลาย ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่เราได้เรียนรู้ ข่าวดีของพระเจ้า ก็คือมนุษย์ทุกคนที่เป็นคนบาป ในวิญญาณเป็นบาปอยู่นั้น อย่าพึ่งพาการกระทำของตนเอง ซึ่งมันสายไปแล้ว เป็นปลายเหตุ ต้นเหตุ มันคือวิญญาณข้างใน ให้รีบตัดสินใจย้ายจากการอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย มาอยู่ภายใต้กฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ เพื่อให้พ้นโทษหลังความตาย โดยการเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ จะได้บังเกิดใหม่ เห็นภาพหรือยัง? ย้ายที่อยู่ มันก็ย้ายจากกฎของความบาปและความตาย มาอยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง และความจริงทั้งหมดนี้ เป็นกฎบัญญัติ ทางฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า ไม่มีใคร แม้แต่พระเจ้าเอง ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงกฎต่างๆ เหล่านี้ได้ ไม่สามารถเลย เป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น ใครประพฤติตาม ก็ได้อย่างนั้น ไม่ว่าจะดูว่าเขาประพฤติข้างนอกเลวทราม ชั่วช้าอย่างไรก็ตาม แต่ถ้าเขาวางใจในพระเยซูคริสต์ ทางโลกฝ่ายวิญญาณ เขาได้รับความรอด ไปสวรรค์ อยู่กับพระองค์
ยกตัวอย่าง เช่น โจรบนไม้กางเขน ทำชั่วมาตลอดเลย ไม่กี่อึดใจก่อนเขาจะตาย เขาวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาได้รับความรอด ไปสวรรค์เลย ยกตัวอย่างให้ฟัง
พระเยซูประกาศความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณนี้ แก่มวลมนุษย์ว่าคนที่เชื่อวางใจในพระองค์ เขาจะได้รับความรอด จากการถูกพิพากษาลงโทษ รอดจากการสำเร็จโทษ หลังความตาย ทางฝ่ายร่างกาย หลังหมดลมหายใจ ถูกสำเร็จโทษทุกคน ถ้าเผื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะว่าเขาได้รับการถูกพิพากษาลงโทษ ตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่ย้าย แต่ถ้าเขาวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะได้รับการอภัยโทษ จากการพิพากษาลงโทษให้ถึงตาย เขาไม่ได้เป็นนักโทษ ที่รอการประหารอีกต่อไป เห็นภาพนะ หลุดพ้นจากการเป็นนักโทษ รอประหารแล้ว
หลุดได้อย่างไร? จากการเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ นี่พระเยซูคริสต์เป็นผู้ประกาศเอง เขาสามารถมากลายเป็นลูกของพระเจ้าทันทีทันใด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ได้ย้ายมาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า ได้เกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ทันที ในขณะที่ยังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ย้ายมาทันทีเลย มาอยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ อย่างที่ตะกี้นี้บอก ตามหัวข้อเรื่อง เมื่อเขาเชื่อ หลังเชื่อ เขาได้ย้ายมาอยู่ในกฎของวิญญาณในองค์พระเยซูคริสต์ ได้เกิดใหม่ พระองค์ได้พูดไว้ในยอห์น 3:18 อย่างนี้ว่า …
ยอห์น 3:18 “คนที่วางใจเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษ (ครั้งสุดท้ายหลังความตาย) ให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้เชื่อวางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้เชื่อวางใจในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”
นี่พระเยซูประกาศเองเลย บอกตั้งแต่เริ่มต้น ปีแรกที่พระองค์ทรงประกาศ ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้ “คนที่วางใจ เชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษ” คือไม่ถูกสาปแช่ง เราเกิดมาเป็นผู้ถูกสาปแช่ง แต่มาเชื่อวางใจในพระบุตร ในพระเยซูคริสต์ จะไม่ถูกสาปแช่งอีกต่อไป และไม่ถูกสาปแช่งจนถึงครั้งสุดท้าย หลังความตายอีกด้วยต่างหาก ไม่ถูกสาปแช่ง พ้นจากการพิพากษา ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว วิญญาณนั้น พ้นโทษ วิญญาณนั้น พ้นคำสาปแช่ง ดำเนินชีวิตไปจนกระทั่งถึงหมดลมหายใจ วิญญาณออกจากร่าง วิญญาณก็ไม่ได้ถูกสาปแช่ง วิญญาณก็ไม่ต้องรับโทษใดๆ ทั้งสิ้น
“และส่วนคนที่ไม่ได้เชื่อวางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ” ก็คือถูกสาปแช่ง อยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว ก็คือพระองค์มาช่วย แล้วก็ไม่รับ เขาอยากอยู่ที่เดิม เขาก็อยู่ในกฎของความบาปและความตาย ถูกสาปแช่ง เพราะเขาไม่ได้เชื่อวางใจในพระนามของพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า นี่คือคำประกาศของพระเยซูคริสต์
“เหมือนเดิมอยู่แล้ว ก่อนเชื่อ ฉันเหมือนเดิมอยู่แล้ว”
เหมือนเดิม ก็คืออยู่ในคำสาปแช่ง อยู่ในการถูกพิพากษาลงโทษ เป็นนักโทษอุกฉกรรจ์ เป็นนักโทษรอการประหารชีวิตอยู่แล้ว ถูกสาปแช่งอยู่แล้ว กาลาเทีย 3:10-14 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
กาลาเทีย 3:10-14 “10 เพราะว่าคนทั้งหลายซึ่งพึ่งการประพฤติตามธรรมบัญญัติ ก็ถูกแช่งสาป เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าทุกคนที่มิได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อ ที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติก็ถูกแช่งสาป 11 เป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่าไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า ด้วยธรรมบัญญัติได้เลย เพราะว่าคนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ 12 แต่ธรรมบัญญัติไม่ได้อาศัยความเชื่อ เพราะผู้ที่ประพฤติตามธรรมบัญญัติ ก็จะได้ชีวิตดำรงอยู่โดยธรรมบัญญัตินั้น 13 พระคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นความแช่งสาปแห่งธรรมบัญญัติ โดยการที่พระองค์ทรงยอมถูกแช่งสาปเพื่อเรา (เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าทุกคนที่ต้องถูกแขวนไว้บนต้นไม้ต้องถูกสาปแช่ง) 14 เพื่อพระพรทางอับราฮัมจะได้มาถึงคนต่างชาติทั้งหลาย เพราะพระเยซูคริสต์ เพื่อเราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญา โดยความเชื่อ”
ข้อ 10 บอกว่าเพราะว่าคนทั้งหลาย ก็คือมนุษย์ทุกคน ซึ่งพึ่งการประพฤติ ก็หมายถึงพึ่งตัวเองในการทำความดี ตามธรรมบัญญัติ เพื่อจะได้พ้นโทษ พ้นจากการเป็นคนบาป พ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษชั่วนิรันดร์ หลังความตาย พึ่งในความดีของตนเอง
ในนี้บอกว่าคนเหล่านั้นซึ่งพึ่งการประพฤติ ตามธรรมบัญญัติ ก็คือกฎการทำดีทำชั่ว สะสมความดี ละความชั่ว คนที่พึ่งพาการกระทำของตนเอง ในการทำอย่างนี้ ก็ถูกแช่งสาป ก็คือยังถูกพิพากษาลงโทษ เหมือนเดิมอยู่ ช่วยอะไรไม่ได้เลย
เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าทุกคนที่มิได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อ ที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง ก็เพราะทำดีไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามที่พระเจ้าบันทึกเอาไว้ในกฎหมายของคนบาปนั่นเอง ทำดีไม่ได้ครบถ้วน เพราะวิญญาณข้างในเป็นบาปอยู่ เขานึกว่าเขาทำได้ เขานึกว่าเขาไม่ฆ่าคน แต่เขาลืมไป หรือเขาไม่รู้ หรือไม่เชื่อในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าถึงท่านไม่ฆ่า แต่บอกว่าไอ้โง่ ไอ้บ้า หงุดหงิด ก็คือข้างใน มันไม่สามารถทำดีได้ครบถ้วน บริบูรณ์หรอก ใครล่ะไม่หงุดหงิดเลย ใครสามารถเปลี่ยนวิญญาณของตนเอง จากการเป็นคนบาป ให้มากลายเป็นผู้ชอบธรรมได้ มันเป็นไปไม่ได้ พระเจ้ากำลังบอกอย่างนั้น
ในข้อ 11 พระเจ้าก็บอก นี่มันก็ชัดๆ อยู่ ดูกันเองก็ได้ ชัดอยู่ว่าไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้าด้วยความประพฤติ หรือการรักษาธรรมบัญญัติได้เลย
พอเรารู้ความจริงอย่างนี้ ก็เห็นชัดเจนว่าเมื่อพระเจ้าบอกว่ามันอยู่ที่ภายใน เพราะฉะนั้น ถ้าไม่แก้ไขภายใน ทำข้างนอกให้ตายอย่างไร? ก็ไม่มีผลอะไรเลย ไม่เกิดผลอะไรเลย นี่เห็นๆ อยู่แล้ว เพราะว่าคนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่ด้วยความเชื่อ ก็คือเพราะว่าพระเจ้าวางกฎเอาไว้แล้วว่าคนชอบธรรมได้หลุดพ้นจากโทษของความบาปและความตายได้ หลุดพ้นจากวิญญาณที่เป็นบาปได้ มีทางเดียวเท่านั้น คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ต้องใช้ความเชื่อและวางใจ ไม่ใช่การประพฤติ เห็นชัดเจนเลยอย่างนี้
แต่ธรรมบัญญัติไม่ได้อาศัยความเชื่อ เพราะผู้ที่ประพฤติตามธรรมบัญญัติ ก็จะได้ชีวิตดำรงอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัตินั้น ก็หมายถึงว่าแต่ผู้ที่ยังคงยึดมั่นในการทำดี ด้วยกำลังของตนเองอยู่ เขาก็ไม่ได้ใช้ความเชื่อ ถ้าเขาใช้ความเชื่อ เขาก็ไม่ต้องมาพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง เพราะเขารู้ว่าเขาทำอย่างไรก็ไม่ได้ดีครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะฉะนั้น เขามาพึ่งวางใจในพระเยซูคริสต์ มารักษาวิญญาณภายในเขาให้บังเกิดใหม่ดีกว่า
สำหรับคนที่ไม่ทำตามนี้ ยังคงยึดมั่นในกฎบัญญัติ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สะสมความดีไว้เยอะๆ เพื่อจะได้พ้นจากโทษ หรือพ้นจากคำสาปแช่ง เขาก็ไม่พ้น เพราะเขายังคงดำรงอยู่ในกฎของความบาปและความตายอยู่เหมือนเดิม อยู่ในกฎบัญญัติอยู่เหมือนเดิม ซึ่งเขานึกว่าเขาทำได้ แต่มันทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ 100% ไม่สามารถบริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะวิญญาณมันเป็นบาปอยู่
ข้อ 13 บอกเพราะพระคริสต์ทรงไถ่เรา ให้พ้นจากคำสาปแช่งหรือแช่งสาป แห่งธรรมบัญญัติ วางใจในพระเยซูต่างหาก ในนี้บอกว่าเพราะพระคริสต์ไถ่เรา ให้พ้นคำสาปแช่งเรียบร้อยแล้ว พระองค์ทรงยอม ถูกแช่งสาป เพื่อเรา ก็คือพระองค์ทรงยอมตาย เพื่อเรา พระองค์เองไม่ต้องตายหรอก พระองค์ไถ่บาปให้กับเราก็พอแล้ว ก็คือหลั่งพระโลหิต ชำระเรา อภัยในความบาปผิดให้กับเรา พอแล้วก็ได้ เพราะว่าพระองค์ไม่มีบาป ไม่ได้เป็นคนบาป ไม่ต้องบังเกิดใหม่หรอก แต่พระองค์ยอมตาย เพื่อมนุษย์ทั้งปวง เกิดมาเป็นคนบาป เกิดมามีวิญญาณบาป จะได้ตายไปพร้อมกับพระองค์ด้วย พระองค์เป็นตัวแทนของเราไง จริงๆ พระองค์ไม่ต้องตายหรอก แต่ว่าตาย เพื่อเราจะได้ตายกับพระองค์ เพื่อว่าจะได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์ นี่เราเรียนรู้ไปแล้ว
ข้อ 14 บอกไว้อย่างนั้น ตายเพื่อเราทั้งหลาย จะได้เกิดใหม่ เพื่อพระพรของอับราฮัมจะได้มาถึงคนต่างชาติทั้งหลาย ก็คือเพื่อพรที่บอกไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่สมัยหลายพันปีก่อนโน้นว่าพรเหล่านี้ จะมาถึงพวกเราทั้งหลายคนต่างชาติ ก็คือคนที่ไม่ใช่ชาวยิว เพราะพระเยซูคริสต์ เพื่อเราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญา โดยความเชื่อ ก็คือเมื่อวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว เราจะได้รับพระวิญญาณ ก็คือได้รับการบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ บังเกิดใหม่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วก็ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน หลุดพ้นจากการเป็นคนบาป เป็นวิญญาณบาปทันที เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า ซึ่งเราได้เรียนรู้อย่างละเอียดไปเรียบร้อยแล้ว
เพราะฉะนั้น เราควรที่จะพึ่งในการกระทำของตนเอง ให้ดีพร้อม หรือวางใจ พึ่งในการกระทำ ของพระเยซูที่ไม้กางเขน คิดดูเอาเองก็แล้วกัน โรม 8:1-2 จึงบอกไว้อย่างนี้ว่าการเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า โดยการพึ่งพาพระเยซูคริสต์ ในการกระทำของพระองค์บนไม้กางเขนนั้น มันทำให้เราหลุดพ้นอย่างไร? อยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิตได้อย่างไร? โรม 8:1-2 …
โรม 8:1-2 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป) 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย (คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง)”
ดังนั้น ตั้งแต่บัดนี้ หมายถึงเดี๋ยวนี้ พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว ใครก็ตามที่วางใจในพระเยซูคริสต์ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในวิญญาณของเขา วิญญาณภายใน ซึ่งสำคัญกว่า ซึ่งเป็นเคล็ดลับของความรอด จากการเป็นคนบาป จากการถูกพิพากษาลงโทษ ถูกสาปแช่ง ความรอดจากการถูกสาปแช่ง การเป็นคนบาปนิรันดร์นั้น เคล็ดลับอยู่ที่ไหน? พระเจ้าบอกเราตั้งแต่ตอนโน้น หลายพันปีก่อนแล้ว เคล็ดลับที่สำคัญที่สุด ก็คือพระเจ้าให้ความสำคัญ ดูที่วิญญาณภายใน ไม่ใช่ความประพฤติภายนอก บอกมาตั้งแต่โน่น บอกผ่านเรื่องราวต่างๆ พระคัมภีร์เดิม หลายพันปีก่อน ตั้งแต่ก่อนอับราฮัมอีก ไม่ดูความประพฤติ แต่ดูความเชื่อศรัทธา ภายในวิญญาณ เป็นลักษณะเช่นไร?
“พระเจ้าดูที่วิญญาณภายใน ไม่ใช่ความประพฤติภายนอก”
มนุษย์เห็นอะไร? เห็นความประพฤติภายนอก การกระทำภายนอก เราจึงให้ความสำคัญใหญ่เลย จะทำอย่างนี้ จะทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้จะได้ความรอดได้อย่างไร? ทำอย่างนี้จะไปสวรรค์ได้อย่างไร? แต่พระเจ้าดูที่วิญญาณข้างใน และเราเห็นไหม? ถ้าใครบอกว่าเห็น ออกมาอวยพรพวกเราหน่อย เราไม่เห็น เราได้แค่รับรู้และเชื่อ เริ่มต้นด้วยความเชื่อ แล้วก็รับรู้ต่อไปมากขึ้น ในโลกวิญญาณที่พระเจ้าบอกเรา ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่สถิตอยู่กับเรา แล้วก็เชื่อมั่นขึ้น รับรู้มากขึ้น เชื่อมากขึ้น รับรู้มากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ตาที่มองเห็น ความรู้สึกที่รู้สึกได้ มันต่อต้านตลอด อย่าไปนึกว่าเราจะมีความรู้สึก เป็นไปตามที่เรารับรู้ No รับรู้กับความรู้สึก มันอยู่ตรงข้ามกัน นานๆ ที หรือบางครั้ง มันอาจจะมาจ๊ะเอ๋กันก็ได้ หรือมันอาจจะมาตรงกันก็ได้ แต่ส่วนใหญ่มันจะไม่ตรงกันหรอก ความคิดและความรู้สึกของเรามันจะตรงกันข้ามกับความรู้เรื่องความจริงของพระเจ้า ที่อยู่ในวิญญาณของเราเสมอ นี่คือธรรมชาติของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ของคริสเตียนทั้งหลาย มันจะฝืนความคิดของเราอะไรต่างๆ …
“อะไร โจรบนไม้กางเขน ได้รับความรอด ในพระคัมภีร์บอกเขาได้รับรางวัล ก็คือสวรรค์ เปาโลทำงานจนเหนื่อย ประกาศจนเหนื่อย เสี่ยงตาย เสี่ยงชีวิต ทุกข์ทรมาน ก็บอกว่ารางวัลของเปาโล ก็คือได้รับความรอดเหมือนๆ กันเลย เท่าๆ กันเลย เป็นไปได้อย่างไร? เปาโลต้องได้รับรางวัลมากกว่าสิ เพราะทำงานเยอะกว่า มันเห็นๆ อยู่ โจรไม่ได้ทำอะไรเลย ได้เท่ากัน แต่ในพระคัมภีร์บอกได้เท่ากัน ไม่ว่าจะทำงานตอนตั้งแต่เช้าถึง 5 โมงเย็น หรือมาทำงานตอนเที่ยงถึง 5 โมงเย็น หรือจะทำงาน 4 โมงครึ่งถึง 5 โมงเย็น หรือจะทำงาน 4 โมง 59 นาที ถึง 5 โมงเย็น ก็ได้รางวัลคนละ 1 บาทเท่ากัน” สมมติ
สิ่งเหล่านี้ คือเคล็ดลับ ที่สำคัญที่สุด ที่พระเจ้าดูวิญญาณเราภายในมากกว่าให้ความสำคัญกับการกระทำภายนอก แล้วก็จะมีคนแย้งเรา แม้แต่ตัวเราเองก็ยังแย้ง …
“อย่างนี้ก็ไม่ต้องทำความดีสิ มารู้จักพระเจ้าแล้ว”
ก็ว่ากันไปเรื่อยเปื่อย แล้วมันเป็นไปได้ไหม? พอเรารู้อย่างนี้ แล้วเราก็ไม่ให้ความสำคัญกับความประพฤติหรือ? เป็นไปได้ไหม? เป็นไปไม่ได้ เพราะวิญญาณมันเกิดใหม่แล้ว วิญญาณมันเปลี่ยนไปแล้ว ข้างในมันเปลี่ยน เดี๋ยวข้างนอกมันก็เปลี่ยน ถ้าข้างในไม่เปลี่ยน ข้างนอกก็ไม่เปลี่ยน ถึงแม้จะดูดีตอนนี้ แต่มันแอบแฝงด้วยขยะที่อยู่ข้างใน เพราะว่าวิญญาณบาป หรือวิญญาณบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เหมือนพระคริสต์ต่างหากที่เป็นต้นเหตุ เป็นวิญญาณบาป หรือวิญญาณบริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์ เป็นต้นไม้ดี ต้นไม้เลว อย่างที่พระเยซูยกตัวอย่างต่างหากที่เป็นที่สำคัญที่สุด คือทางวิญญาณ ประพฤติภายนอกเราเห็นว่าทำดีจริง แต่พระเยซูบอกว่าไม่มีประโยชน์เลย เพราะว่าวิญญาณข้างใน มันเป็นต้นไม้เลวอยู่ ให้ผลเลวแน่นอน
อีกคนหนึ่งประพฤติตัวข้างนอกไม่ดี แต่เขาเป็นต้นไม้ดี เขาก็เป็นต้นไม้ดีอยู่ดี ต้นไม้ดี ก็ให้ผลดีแน่นอน ถึงแม้จะดูข้างนอกเลวก็ตาม มันยากนะ แต่สำหรับเราไม่ยาก เพราะว่าเรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายใน คอยบอกเราเรียบร้อยแล้ว
เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงจำเป็น ต้องพึ่ง เชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น เพื่อจะได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทางเดียวเท่านั้น ไม่สามารถรักษาความดี ประพฤติดี สะสมความดี รักษาบทบัญญัติอย่างเลิศเลย
บทบัญญัติเขามี 613 ข้อ รักษาได้ตั้งเยอะกว่าใครเพื่อนเลย ในโลกนี้ รักษาได้ 600 ข้อ ต่อให้รักษาได้หมดด้วย มีความเห็นจากผู้คนรอบข้างว่าเขารักษาได้หมดเลย รักษาได้ 613 ข้อ รักษาได้หมด เขาก็ไม่รอดอยู่ดี เพราะว่าพระเจ้ามองมา รักษาได้ 613 ข้อ มีอยู่ 500 กว่าข้อนั้น ทำไปโดยแรงจูงใจที่ไม่ถูกต้องจากข้างในวิญญาณ เขาไม่รู้ตัว เขาก็เลยชี้นิ้วบอกว่าเขาทำชั่วกว่าผม แต่ข้างใน พระเจ้ามองมา ทุกคนทำชั่วเท่ากันหมดเลย ไม่มีใครชั่วกว่าใคร? ชั่วเท่ากันหมด เพราะวิญญาณเกิดมาเป็นบาป จึงจำเป็นต้องเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น เพื่อจะได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นทางเดียวที่จะรอดพ้นจากคำสาปแช่ง การถูกแช่งสาป การถูกพิพากษาลงโทษ ประหารชีวิตนิรันดร์หลังความตายด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นพระคุณอันอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่มีต่อมวลมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง ไม่ต้องทำอะไรเลย ฉันส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาตาย มาเป็นตัวแทนให้มนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวง ได้สามารถบังเกิดใหม่อย่างนี้ได้ และกระทำเสร็จหรือยัง? เสร็จแล้ว
พระเยซูได้ถูกประทาน ส่งมาให้กับมนุษย์หรือยัง? ส่งแล้ว เมื่อไร? สำหรับโลกมนุษย์ นับได้ 2,000 ปี โลกฝ่ายวิญญาณเป็นมิติ เป็นอมตะนิรันดร์ ก็เป็นอยู่เดี๋ยวนี้แหละ พระเยซูได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้มาสถาปนากฎใหม่
“กฎใหม่” ที่มีชื่อว่า “กฎวิญญาณแห่งชีวิต” ในองค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งมีอำนาจอยู่เหนือกฎแห่งความบาปและความตายแล้ว มี ก็คือมีอำนาจอยู่เหนือคำสาปแช่ง ที่มนุษย์ถูกสาปแช่งไว้นั้น
ดังนั้น สำหรับเราทั้งหลาย ก่อนเชื่อข่าวดี เราอยู่ในกฎเดิม ที่เรียกว่ากฎแห่งความบาปและความตาย คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำของตนเอง พยายามกระทำดี ละเว้นการกระทำชั่วด้วยตนเอง ขณะที่ตนเองเป็นคนบาป เป็นวิญญาณบาป ต่อต้านพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา ต่อต้านความดีอยู่ตลอดเวลา ข้างใน เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะทำได้ นอกจากเราถูกโกหกหลอกลวง ความจริงว่าเราทำได้ ถ้าทำไม่ได้ เดี๋ยวชาติหน้ามาทำต่อ ถ้าทำไม่ได้ ก็ชาติหน้าๆ อีกหลายๆ ชาติรวมกัน อาจจะได้ ในพระคัมภีร์ พระเจ้าบอกทำไม่ได้ อย่างไรก็ไม่ได้ เพราะว่าวิญญาณเป็นบาปอยู่ มันต่อต้านเราอยู่ ต่อต้านความดีงาม ต่อต้านความบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ข้างใน
แล้วหลังเชื่อข่าวดีล่ะ ก็คือเป็นคริสเตียนแล้ว เหมือนเราทั้งหลาย เราก็ได้อยู่ในกฎใหม่ ที่เรียกว่ากฎวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ หรือเรียกว่ากฎแห่งพระคุณ พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์อย่างเดียว ได้เกิดใหม่ในวิญญาณทันทีเลย เอเมน ขอบคุณพระเจ้า มนุษย์ทุกคนสามารถที่จะเลือกดำเนินชีวิตอยู่ในกฎใด กฎหนึ่งนี้ได้ทันทีเลย เราต้องตัดสินใจก่อนตาย เพราะตายไปปุ๊บ มันเข้าสู่นิรันดร์ หมายถึงเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ ที่ไม่มีวัน เดือน ปีแล้ว เข้าสู่การพิพากษานิรันดร์ มันไม่สามารถตัดสินใจใหม่ได้แล้ว มันเป็นอยู่อย่างไร? มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น ถ้าเป็นบาปอยู่ ถูกสาปแช่งอยู่ เป็นนักโทษประหารอยู่ รอวันสำเร็จโทษ พอสิ้นลมหายใจ ตายจากร่างกายนี้ ไปเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ ก็ถูกสำเร็จโทษนั่นเอง
เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนต้องตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะเลือกทางไหน? เลือกกฎเอาเอง เลือกที่จะพึ่งพาการกระทำของตนเอง เพื่อให้ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ บริสุทธิ์ ดีพร้อม ได้ไปอยู่กับพระเจ้า พ้นจากความบาปผิดทั้งปวง ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เดี๋ยวนี้เลย ในขณะที่วิญญาณยังเป็นคนบาป ต่อต้านความดีงามของพระเจ้าอยู่ แล้วตัวเอง ก็ยังจะพึ่งในการกระทำของตนเอง คิดว่าไหวไหม? ถ้าเรื่องนี้เป็นจริง วิญญาณข้างในสำคัญมาก มีแนวโน้ม มีแรงจูงใจ ที่ต่อต้านความดีงามของพระเจ้า ถ้าค่อยๆ นั่งคิด ใคร่ครวญสิ่งเหล่านี้ จะรู้ว่ามันเป็นจริง เพราะว่าเรารักษาบทบัญญัติ กระทำดีมากเท่าไร? เราก็ยิ่งรู้ตัวเองว่าหลายสิ่งหลายอย่าง เรายังไม่พร้อม เราจะต้องทำเพิ่มกว่านี้ เราต้องทำให้สมบูรณ์มากขึ้น ต้องกระทำดีมากขึ้นๆ
และแทนที่เราจะเปลี่ยนใจ กลับมาคิดใคร่ครวญถึงอีกทางหนึ่ง เราก็ถูกหลอกว่าไม่เป็นไรหรอก ทำดีไม่ครบถ้วน เมื่อหมดลมหายใจ เราก็เกิดชาติใหม่ เราก็มาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ แล้วก็สะสมทำความดี เป็นเหมือนสะสมแสตมป์ รับรางวัลมากขึ้น ถ้าสะสมอีกหนึ่งชาติไม่ได้ เราก็ตั้งใจจริงที่จะสะสมไปทุกๆ ชาติไป คุ้นไหม?
แต่ถ้าได้ฟังความจริงโลกฝ่ายวิญญาณ จากถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แล้วเกิดความไม่แน่ใจ ถ้าไม่แน่ใจในการสะสมแสตมป์ความดีของตนเอง เพื่อจะรับรางวัลไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์นั้น พ้นจากโทษ การถูกสาปแช่งนั้น ถ้าไม่แน่ใจ ก็หันหลังกลับได้ หันกลับมาวางใจ หาพระเจ้า หาพระเยซูคริสต์ได้ เรียกว่ากลับใจใหม่ กลับความคิดเสียใหม่ กลับเป้าหมายในการดำเนินชีวิตของตนเองเสียใหม่ กลับมาหาพระเจ้า เริ่มต้นโดยการเชื่อและวางใจในพระเยซูตามที่พระเยซูประกาศมาตั้งนานแล้วว่าใครก็ตามที่เชื่อและวางใจในพระองค์จะได้รับความรอด กลับมาหา วางใจในพระเยซู โดยการพึ่งพาการกระทำของพระองค์ พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่ไม้กางเขน ที่พระเจ้าพระบิดาทรงประทานให้กับมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง เพื่อเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปของมวลมนุษยชาติ เพื่อว่ามนุษย์ทุกคนนั้น เมื่อวางใจแล้ว เขาก็จะได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกที่เชื่อฟัง อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า ในวิญญาณของเขาทันที ไม่ต้องรอให้ตายจากโลกนี้ ไปก่อน แล้วค่อยได้รับ ได้รับเดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้ ทันที แล้วก็รับต่อไป จนกระทั่งถึงวิญญาณออกจากร่าง เข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ โลกสวรรค์นิรันดร์ ก็ยังอยู่ในสถานะนี้เหมือนเดิม และยังได้เพิ่ม คือได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ สวมแทนร่างกายเก่าที่เน่าเฟะ ถูกเผาทิ้งไป สูญสิ้นไป เอเมน
ซึ่งพระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว คือสถาปนากฎของวิญญาณนี้ หรือกฎแห่งพระคุณนี้ โดยการสิ้นพระชนม์ หรือการตายของพระองค์บนไม้กางเขน และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นี่คือการสถาปนาตอกตรึงลงไปว่าสิ่งเหล่านี้ กฎใหม่นี้ได้ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว พระคัมภีร์ไบเบิ้ลจึงใช้คำว่าพันธสัญญาใหม่ คือกฎระเบียบ กฎหมายทางฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าให้กับมนุษย์ทั้งหลาย อันใหม่ ก็คือพระคุณนี้เริ่มต้นเมื่อวันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ไม่ได้เริ่มต้นที่วันที่พระเยซูคริสต์บังเกิดที่รางหญ้า ยังไม่ใช่วันนั้น วันที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 วันนั้นแหละ คือวันที่พันธสัญญาได้ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว พระเยซูคริสต์จึงได้ประกาศว่า “สำเร็จแล้ว” เอเมน
และเหล่านี้ คือข่าวดีสำหรับมวลมนุษย์ทุกคน ที่มนุษย์ทุกคนเมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว ควรจะเคารพยำเกรง กลัวจนตัวสั่น ครั่นคร้ามต่อผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ผู้นี้ ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย ในกฎต่างๆ ที่พระองค์ทรงตั้งขึ้น เพราะพระองค์ไม่ลำเอียง ไม่เข้าข้างผู้ใด เพราะฉะนั้น เมื่อได้ยินได้ฟัง ควรจะเคารพยำเกรง กลัวจนตัวสั่น ครั่นคร้ามในความรักอันอัศจรรย์ ในแผนการของพระเจ้า ในการช่วยให้รอดของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว นอกจากพระองค์ไม่มีพระเจ้าอื่นใดเลย และพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง อย่าเพิกเฉย ละเลยต่อกฎหมายทางวิญญาณที่พระองค์ทรงประกาศนี้ โดยคิดว่ามันไม่สำคัญหรอก เดี๋ยวไว้ตายไปก่อน แล้วค่อยมานั่งคิดอีกทีก็ได้
กฎทางวิญญาณนี้ส่งผลอย่างเด็ดดขาด เฉียบขาดต่อผู้ที่เคารพยำเกรง และเชื่อฟัง ปฏิบัติตาม คือวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตร ที่พระบิดา ผู้สถิตในสวรรค์ประทานให้กับมวลมนุษย์ทั้งปวง ด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่สุด เช่นเดียวกัน พระองค์ทรงรักและห่วงใยมนุษย์อย่างที่สุด ห่วงอย่างมาก ถึงกับได้ประทานพระบุตรของพระองค์ องค์เดียว คือพระเยซูคริสต์มายอมตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย แต่ขณะเดียวกัน พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ดูแลกฎทางฝ่ายวิญญาณ พระองค์ทรงบิดพลิ้วไม่ได้ พระองค์ต้องทำอย่างนี้ มหาจักรวาลมองดูที่พระองค์ตลอดเวลาว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม เที่ยงธรรม ไม่มีแปรผัน ไม่มีเงาแห่งความมืด ไม่มีความชั่วร้าย ไม่มีการเข้าข้างใคร ไม่มีการติดสินบนได้ บันทึกไว้อย่างไร ก็เป็นเช่นนั้น
บันทึกไว้ว่าถ้าพึ่งตนเอง อยู่ในความบาป เหมือนเดิม ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในคำสาปแช่งเหมือนเดิม แต่ถ้าเปลี่ยน เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ก็ย้ายมาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ภายใต้กฎของวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ มาเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้ จนไปถึงโลกหน้า ได้รับร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ได้ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในโลกใหม่ สวรรค์ใหม่ และสรรพสิ่งใหม่ๆ ที่พระองค์จะทรงสร้างขึ้นใหม่ แทนที่โลกเก่านี้จะสิ้นสุดไป และจะร่วมครอบครองอยู่กับพระองค์ในสวรรค์นั้น นิรันดร์ ไม่มีชาติหน้า ที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์อีกแล้ว ไม่มีเลย พระคัมภีร์พูดไว้เช่นนั้น พระเจ้าอวยพรครับ
**********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
โลกบอกว่า … “มนุษย์มีชาติหน้าหลังความตาย ที่จะสั่งสมความดีเพิ่มขึ้น”
แต่พระเจ้าบอกว่า … “มนุษย์ถูกกำหนด ให้ตายครั้งเดียว หลังจากนั้นต้องพบกับการพิพากษา”
ท่านเชื่อใครครับ?
ฮีบรู 9:27 … “เหมือนที่มนุษย์ถูกกำหนดให้ตายครั้งเดียว หลังจากนั้นต้องพบกับการพิพากษา”
พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และต้องได้รับโทษของความบาป ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ตายในวิญญาณ ไม่รู้จักกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่สามารถอยู่ร่วมกับพระเจ้าได้ ไม่สามารถเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ นี่คือโทษหรือคำสาปแช่งของบาป ซึ่งมนุษย์ทุกคนตกอยู่ในบาป พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้น และมีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์รอดพ้นจากโทษนี้ได้ ก็คือมนุษย์ต้องบังเกิดใหม่
ยอห์น 3:16-18 … “16 พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่เชื่อวางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์ 17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่ เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอด จากการถูกพิพากษาลงโทษ (หลังความตาย) นั้น โดยทางความเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ 18 คนที่วางใจเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ (หลังความตาย) ส่วนคนที่ไม่ได้เชื่อวางใจ ก็ถูกพิพากษา ลงโทษอยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้เชื่อวางใจ ในพระนามพระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”
พระเจ้าอวยพรครับ