วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1468

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  เมษายน  2024

เรื่อง “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหนก่อนและหลังเชื่อพระเยซู?” ตอน 6

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรามาต่อซีรี่ย์ Before and After คือวิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน ทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อพระเยซู ตอนที่ 6 เราได้เรียนรู้ไป 5 ตอนแล้ว  จำอะไรได้บ้างครับ?

            ตอนที่ 1 ก่อนเชื่ออยู่ในเนื้อหนัง หลังเชื่ออยู่ในพระวิญญาณ

            ตอนที่ 2 ก่อนเชื่ออยู่ในอาดัม  หลังเชื่ออยู่ในพระคริสต์

            ตอนที่ 3 ก่อนเชื่อเป็นทาสบาป หลังเชื่อเป็นทาสพระคริสต์

            ตอนที่ 4 ก่อนเชื่ออยู่ในความมืด หลังเชื่ออยู่ในความสว่าง

            ตอนที่ 5 ก่อนเชื่อตายจากพระเจ้า มาอยู่ในบาป หลังเชื่อตายจากบาป มาอยู่ในพระเจ้า

            วันนี้ตอน 6  ก่อนเชื่ออยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย       หลังเชื่ออยู่ภายใต้กฎของวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์

            ต่อจากตอนที่แล้ว ตอนที่ 5 บอกว่าก่อนเชื่อ เราได้ตายจากพระเจ้า มาอยู่ในบาป วันนี้จะมาต่อว่าอยู่ในบาป แล้วทำไม? อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ภายใต้กฎบัญญัติ เพราะฉะนั้น หลังเชื่อได้ตายจากบาป เกิดใหม่ในพระเจ้า แล้วได้ย้ายอยู่ภายใต้กฎวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ที่เรียกกันว่าพระคุณนั่นเอง

            ก็คือก่อนเชื่อได้ตายจากพระเจ้า มาอยู่ในบาปใช่ไหม?  อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย  ภายใต้กฎบัญญัติ หลังเชื่อ เราได้ตายจากบาป มาเกิดใหม่ในพระเจ้า อยู่ภายใต้กฎของวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ในพระคุณของพระเจ้า วันนี้เราจะมาเรียนรู้เรื่องนี้อย่างละเอียด จะได้รู้ว่าวิญญาณของเรา คริสเตียนอยู่ที่ไหน?  ตอนก่อนเชื่อ และหลังเชื่อแล้ว วิญญาณเราอยู่ที่ไหน?  อยู่ภายใต้กฎอะไร? 2 กฎนี้ ในโลกที่เรามองเห็นและโลกที่มองไม่เห็น มีกฎระเบียบนี้อยู่ มองเห็นแน่นอน เรารู้จากกฎหมายบ้านเมืองต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ เรามีกฎอยู่ด้วยจริงๆ เช่นเดียวกัน ถึงจะมองไม่เห็น  มีอยู่จริง ซึ่งเราได้เรียนรู้กันมาตลอดว่าโลกที่สำคัญที่สุด  คือโลกฝ่ายวิญญาณ  ที่จะอยู่ตลอดไป เหมือนกับโลกที่มองเห็นนี้ เดี๋ยวมันก็สูญสิ้นไป เดี๋ยวมันก็หมดไปแล้ว  แต่โลกวิญญาณนี้จะอยู่นิรันดร์ จะอยู่ตลอดไปเลย เราจะอยู่อย่างไร? อยู่ที่ไหน? อยู่ในอาณาจักรใด มี 2 แห่ง

            เพราะฉะนั้น จึงมีกฎหมายทางฝ่ายวิญญาณ 2 แห่งเหมือนกัน หมายถึงมีกฎเหมือนกัน แต่กฎไม่เหมือนนะ  วันนี้เราจะมาเรียนรู้

            คำว่า “กฎ” คืออะไร? ในทางวิญญาณ ทางพระคัมภีร์ไบเบิ้ล พอพูดคำว่า “กฎ” หรือ “กฎบัญญัติ” ซึ่งเราคุ้นๆ กันอยู่หมายถึงกฎหมายที่บันทึกไว้ทางฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าบอกว่าวิญญาณมีกฎอยู่ เพราะว่าพระคัมภีร์จะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณเท่านั้น เน้นตรงนี้เลย  ถ้าเทียบกับบนโลกใบนี้ ที่มองเห็น ก็เหมือนกับกฎหมายต่างๆ บนโลกใบนี้แหละ ที่มีอยู่ ที่เราเห็นๆ อยู่ เหมือนกฎหมายบ้านเมืองเรา คนไทย ก็อยู่ภายใต้กฎหมายไทย ถูกไหมครับ? เราอยู่ประเทศไทย ก็ภายใต้กฎหมายไทย  ถ้าเราย้ายจากประเทศไทย ไปอเมริกา  เราก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของอเมริกัน

            เพราะฉะนั้น  ในทางลักษณะเดียวกัน  ทางโลกวิญญาณ มีอยู่จริงๆ แต่เรามองไม่เห็น  คือพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าในทางวิญญาณคนที่เป็นคนบาป ในวิญญาณ หรือเรียกว่าคนบาปนั้น  ก็อยู่ภายใต้กฎหมายของคนบาป คืออะไรกฎหมายของคนบาป  ที่เราจะพอรู้ตามความจริงของพระเจ้าในไบเบิ้ลที่บันทึกไว้ ที่เราได้เรียนมา กฎหมายของคนบาป  ก็คือกฎแห่งกรรม กฎแห่งความบาปและความตาย  ที่บันทึกเอาไว้ อธิบายกฎแห่งการกระทำ ส่วนอีกทางหนึ่งอาณาจักรหนึ่งในโลกวิญญาณ เรียกว่าอาณาจักรของคนชอบธรรม คือพ้นจากบาป  พ้นจากความผิด เรียกว่าคนชอบธรรม  ก็อยู่ภายใต้กฎหมายของคนที่ไม่บาป  คนที่ชอบธรรม  ที่เรียกว่ากฎวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์นั่นเอง  กฎหมายในโลกนี้  ก็มีคณะผู้พิพากษา เป็นมนุษย์ ดูแลให้เป็นไปตามกฎหมาย  ซึ่งเป็นมนุษย์ แน่นอนเป็นมนุษย์ไม่เที่ยงตรง ไม่เที่ยงธรรมเท่าไร? เอียงไปเอียงมา เข้าข้างก็ได้ ลำเอียงก็ได้

            ส่วนกฎบัญญัติ หรือกฎในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ มีพระเจ้าเป็นผู้พิพากษา ดูแลให้เป็นกฎของวิญญาณ พระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง พระองค์ไม่มีคนพิเศษ ไม่มีลำเอียง สัตย์ซื่อ ตรงเป๊ะ ทุกประการ ในโลกวิญญาณ มนุษย์ทุกคนเกิดมา พระคัมภีร์บอกว่าเกิดมาเป็นคนบาป  อยู่ในบาป  วิญญาณเป็นบาป  อยู่ใต้กฎของความบาปและความตาย  ต้องกระทำตามที่ระบุไว้ทางฝ่ายวิญญาณ ในพระคัมภีร์ คือทำชั่วก็ได้ชั่ว ซึ่งกฎหมายระบุไว้ว่าทำชั่วเพียงครั้งเดียว  ก็เป็นคนบาป ต้องรับโทษตามที่ผู้พิพากษาได้บันทึกไว้  เป็นกฎบัญญัติ คือถูกพิพากษา และในความเป็นจริง พระคัมภีร์บอกไม่มีมนุษย์คนใดเลย จะทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ โดยไม่พลาดเลย แม้แต่ครั้งเดียว  ไม่ได้ทำชั่วทำบาปเลย  สักครั้งเดียว

            ดังนั้น มนุษย์ทุกคน ต้องได้รับโทษ อย่างเห็นได้ชัด ทำไมมนุษย์ถึงเกิดมาอยากจะทำดี  แต่ทำดีอย่างไรก็ไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์เลย เพราะอะไร?  มนุษย์คิดว่าเพราะเขาทำดี ฉันไม่ได้ฆ่าคน เขาบอกพระเยซูบอกว่าเราถือศีล เราไม่ได้ฆ่าคนเลย เราไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตใคร? แต่พระเยซูคริสต์บอกว่าแค่คิด ก็เป็นแล้ว  แค่คิดโกรธเขา ว่าเขาว่าไอ้บ้า หงุดหงิดแค่นี้ ก็เท่ากับฆ่าคนตายแล้ว

            เราคิดตามเลยนะ พระเยซูพูดถึงอะไร?  เพราะว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเป็นคนบาป  วิญญาณข้างใน  เป็นบาปอยู่ ไม่ใช่เพราะว่าประพฤติ ฆ่าคนตาย  เพราะว่าวิญญาณข้างในเป็นบาป  หมายถึงอย่างนั้น แค่บอกไอ้บ้า หงุดหงิด มันมาจากข้างในวิญญาณเป็นคนบาป  พระคัมภีร์ได้บรรยายต่อว่าเป็นคนบาป เพราะเป็นหนี้บาปจากบรรพบุรุษ อาดัม จึงต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของคนบาป ก็คือกฎแห่งกรรม กฎในการกระทำ เป็นลูกหลาน เป็นทาสของความบาป ต้องชดใช้หนี้บาป เวรกรรม คือถูกพิพากษาลงโทษไปแล้ว ตั้งแต่เกิดนั่นเอง  ซึ่งการพิพากษาลงโทษนี้ ในพระคัมภีร์เรียกว่าคำสาปแช่ง

            มนุษย์ทุกคนเกิดมา อยู่ภายใต้คำสาปแช่ง  สมัยก่อนเราไม่รู้หรอก อยู่ภายใต้คำสาปแช่ง  เพราะอะไร?  คือคำเดียวกันกับถูกพิพากษาลงโทษ ให้ถึงตาย คำว่าพินาศ คือความหมายเดียวกัน มนุษย์ทุกคนเกิดมาอยู่ภายใต้การสาปแช่ง  คืออยู่ภายใต้คำพิพากษาลงโทษ เป็นทาส เหมือนกับอะไร? ถ้าเทียบกับโลกมนุษย์ ปัจจุบัน เหมือนนักโทษอุกฉกรรจ์ที่ถูกพิพากษาเรียบร้อยแล้ว  ให้ถูกประหาร ก็คือนักโทษประหารนั่นเอง  แต่ยังถูกขังอยู่ในเรือนจำ รอวันสำเร็จโทษ ประหารนั่นเอง  นี่คือสภาพของมนุษย์ที่เกิดมาบนโลกใบนี้  มีกิจวัตรประจำวันของนักโทษที่ต้องทำงานหนัก ไม่มีอิสระ ถูกขังอยู่ในคุกลึกๆ ถ้าช่วงไหนประพฤติตัวดี อยู่ในกฎระเบียบเรือนจำก็อาจมีความเป็นอยู่ดีขึ้นหน่อย ไม่ทรมานมากนัก แต่ถ้าประพฤติตัวไม่ดี ไม่อยู่ในกฎระเบียบ ก็ถูกลงโทษ แต่ถ้าเทียบกับโลกวิญญาณ คือไม่อยู่ในกฎบัญญัติเกิดอะไรขึ้น

            เจ้าหน้าที่เรือนจำที่เปรียบเหมือนทางฝ่ายวิญญาณ เปรียบเหมือนเจ้ากรรมนายเวร เคยได้ยินใช่ไหมครับ? ที่ควบคุมอยู่ ก็จะลงโทษ ตามกฎของกรมราชทัณฑ์หนักขึ้น  ต้องทำงานหนักขึ้น  หรือถูกทรมานทั้งร่างกายและจิตใจมากขึ้นกว่าที่ควรเป็น ซึ่งมนุษย์ทุกคน วิญญาณข้างในเป็นบาปอยู่ใช่ไหม?  เกิดมาเป็นบาป  จึงมีแนวโน้มที่จะทำชั่ว ละเมิดกฎเกณฑ์ของพระเจ้า  วิญญาณข้างในเป็นบาป ต่อต้านกฎเกณฑ์ของพระเจ้า ต่อต้านกบฏต่อความดีงามของพระเจ้า จึงมีแนวโน้มที่จะละเมิดกฎ นี่คือความจริง ในพระคัมภีร์ที่บอกเรามาตลอดว่ามนุษย์มักจะละเมิดกฎของพระองค์เสมอ ที่ในพระคัมภีร์บางครั้งบอกว่าพระองค์ทรงกริ้วช้า อะไรต่างๆ เหล่านั้น ไม่พอใจ ไม่ใช่พระเจ้าไม่พอใจมนุษย์ แต่พระเจ้าไม่พอใจบาป  ที่อยู่ในตัวของมนุษย์ ที่อยู่ในวิญญาณของมนุษย์ ที่ทำให้มนุษย์เป็นอย่างนี้  มันหมายถึงอย่างนี้ พระเจ้าโกรธ พระเจ้ากริ้วมาก เพราะมนุษย์มักกบฏ ไม่ยอมรักษาสัญญาอะไรต่างๆ เหล่านั้น มักกบฏ เพราะตัวบาป ที่อยู่ในวิญญาณของเขา

            สิ่งเหล่านี้ คือความจริง ในเรื่องข่าวดีของพระเจ้า  ที่บอกเราทั้งหลาย ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่เราได้เรียนรู้ ข่าวดีของพระเจ้า ก็คือมนุษย์ทุกคนที่เป็นคนบาป  ในวิญญาณเป็นบาปอยู่นั้น  อย่าพึ่งพาการกระทำของตนเอง ซึ่งมันสายไปแล้ว เป็นปลายเหตุ ต้นเหตุ มันคือวิญญาณข้างใน ให้รีบตัดสินใจย้ายจากการอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย มาอยู่ภายใต้กฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ เพื่อให้พ้นโทษหลังความตาย โดยการเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ จะได้บังเกิดใหม่ เห็นภาพหรือยัง?  ย้ายที่อยู่ มันก็ย้ายจากกฎของความบาปและความตาย มาอยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง และความจริงทั้งหมดนี้ เป็นกฎบัญญัติ ทางฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า  ไม่มีใคร แม้แต่พระเจ้าเอง ก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงกฎต่างๆ เหล่านี้ได้  ไม่สามารถเลย  เป็นอย่างไร ก็เป็นอย่างนั้น ใครประพฤติตาม ก็ได้อย่างนั้น  ไม่ว่าจะดูว่าเขาประพฤติข้างนอกเลวทราม ชั่วช้าอย่างไรก็ตาม  แต่ถ้าเขาวางใจในพระเยซูคริสต์ ทางโลกฝ่ายวิญญาณ เขาได้รับความรอด ไปสวรรค์ อยู่กับพระองค์

            ยกตัวอย่าง เช่น โจรบนไม้กางเขน ทำชั่วมาตลอดเลย  ไม่กี่อึดใจก่อนเขาจะตาย เขาวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาได้รับความรอด ไปสวรรค์เลย ยกตัวอย่างให้ฟัง

            พระเยซูประกาศความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณนี้ แก่มวลมนุษย์ว่าคนที่เชื่อวางใจในพระองค์ เขาจะได้รับความรอด จากการถูกพิพากษาลงโทษ  รอดจากการสำเร็จโทษ หลังความตาย ทางฝ่ายร่างกาย หลังหมดลมหายใจ  ถูกสำเร็จโทษทุกคน ถ้าเผื่อไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะว่าเขาได้รับการถูกพิพากษาลงโทษ ตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่ย้าย แต่ถ้าเขาวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะได้รับการอภัยโทษ จากการพิพากษาลงโทษให้ถึงตาย เขาไม่ได้เป็นนักโทษ ที่รอการประหารอีกต่อไป เห็นภาพนะ หลุดพ้นจากการเป็นนักโทษ รอประหารแล้ว

            หลุดได้อย่างไร?  จากการเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ นี่พระเยซูคริสต์เป็นผู้ประกาศเอง เขาสามารถมากลายเป็นลูกของพระเจ้าทันทีทันใด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ได้ย้ายมาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า  ได้เกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์เลย ทันที ในขณะที่ยังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ย้ายมาทันทีเลย มาอยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ อย่างที่ตะกี้นี้บอก ตามหัวข้อเรื่อง เมื่อเขาเชื่อ หลังเชื่อ เขาได้ย้ายมาอยู่ในกฎของวิญญาณในองค์พระเยซูคริสต์ ได้เกิดใหม่ พระองค์ได้พูดไว้ในยอห์น 3:18  อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 3:18  “คนที่วางใจเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษ (ครั้งสุดท้ายหลังความตาย) ให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้เชื่อวางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้เชื่อวางใจในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            นี่พระเยซูประกาศเองเลย บอกตั้งแต่เริ่มต้น ปีแรกที่พระองค์ทรงประกาศ ตอนเดินอยู่บนโลกใบนี้  “คนที่วางใจ เชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษ” คือไม่ถูกสาปแช่ง เราเกิดมาเป็นผู้ถูกสาปแช่ง  แต่มาเชื่อวางใจในพระบุตร ในพระเยซูคริสต์ จะไม่ถูกสาปแช่งอีกต่อไป  และไม่ถูกสาปแช่งจนถึงครั้งสุดท้าย หลังความตายอีกด้วยต่างหาก ไม่ถูกสาปแช่ง พ้นจากการพิพากษา ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว วิญญาณนั้น พ้นโทษ วิญญาณนั้น พ้นคำสาปแช่ง  ดำเนินชีวิตไปจนกระทั่งถึงหมดลมหายใจ วิญญาณออกจากร่าง วิญญาณก็ไม่ได้ถูกสาปแช่ง  วิญญาณก็ไม่ต้องรับโทษใดๆ ทั้งสิ้น

            “และส่วนคนที่ไม่ได้เชื่อวางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษ” ก็คือถูกสาปแช่ง อยู่ในความพินาศ ในความตาย  ในความบาป  เหมือนเดิมอยู่แล้ว ก็คือพระองค์มาช่วย แล้วก็ไม่รับ เขาอยากอยู่ที่เดิม เขาก็อยู่ในกฎของความบาปและความตาย  ถูกสาปแช่ง  เพราะเขาไม่ได้เชื่อวางใจในพระนามของพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า นี่คือคำประกาศของพระเยซูคริสต์

            “เหมือนเดิมอยู่แล้ว ก่อนเชื่อ ฉันเหมือนเดิมอยู่แล้ว”

            เหมือนเดิม ก็คืออยู่ในคำสาปแช่ง  อยู่ในการถูกพิพากษาลงโทษ  เป็นนักโทษอุกฉกรรจ์ เป็นนักโทษรอการประหารชีวิตอยู่แล้ว ถูกสาปแช่งอยู่แล้ว กาลาเทีย 3:10-14 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        กาลาเทีย 3:10-14 “10 เพราะว่าคนทั้งหลายซึ่งพึ่งการประพฤติตามธรรมบัญญัติ ก็ถูกแช่งสาป เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าทุกคนที่มิได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อ ที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติก็ถูกแช่งสาป 11 เป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่าไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรม ในสายพระเนตรของพระเจ้า ด้วยธรรมบัญญัติได้เลย เพราะว่าคนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ 12 แต่ธรรมบัญญัติไม่ได้อาศัยความเชื่อ เพราะผู้ที่ประพฤติตามธรรมบัญญัติ ก็จะได้ชีวิตดำรงอยู่โดยธรรมบัญญัตินั้น 13 พระคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นความแช่งสาปแห่งธรรมบัญญัติ โดยการที่พระองค์ทรงยอมถูกแช่งสาปเพื่อเรา (เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าทุกคนที่ต้องถูกแขวนไว้บนต้นไม้ต้องถูกสาปแช่ง) 14 เพื่อพระพรทางอับราฮัมจะได้มาถึงคนต่างชาติทั้งหลาย เพราะพระเยซูคริสต์ เพื่อเราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญา โดยความเชื่อ”

            ข้อ 10 บอกว่าเพราะว่าคนทั้งหลาย ก็คือมนุษย์ทุกคน ซึ่งพึ่งการประพฤติ ก็หมายถึงพึ่งตัวเองในการทำความดี ตามธรรมบัญญัติ เพื่อจะได้พ้นโทษ  พ้นจากการเป็นคนบาป  พ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษชั่วนิรันดร์  หลังความตาย  พึ่งในความดีของตนเอง

            ในนี้บอกว่าคนเหล่านั้นซึ่งพึ่งการประพฤติ ตามธรรมบัญญัติ  ก็คือกฎการทำดีทำชั่ว สะสมความดี ละความชั่ว คนที่พึ่งพาการกระทำของตนเอง ในการทำอย่างนี้  ก็ถูกแช่งสาป  ก็คือยังถูกพิพากษาลงโทษ เหมือนเดิมอยู่ ช่วยอะไรไม่ได้เลย

            เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าทุกคนที่มิได้ประพฤติตามข้อความทุกข้อ ที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ ก็ถูกสาปแช่ง ก็เพราะทำดีไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามที่พระเจ้าบันทึกเอาไว้ในกฎหมายของคนบาปนั่นเอง ทำดีไม่ได้ครบถ้วน  เพราะวิญญาณข้างในเป็นบาปอยู่ เขานึกว่าเขาทำได้  เขานึกว่าเขาไม่ฆ่าคน แต่เขาลืมไป หรือเขาไม่รู้ หรือไม่เชื่อในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าถึงท่านไม่ฆ่า แต่บอกว่าไอ้โง่ ไอ้บ้า หงุดหงิด ก็คือข้างใน มันไม่สามารถทำดีได้ครบถ้วน บริบูรณ์หรอก  ใครล่ะไม่หงุดหงิดเลย ใครสามารถเปลี่ยนวิญญาณของตนเอง จากการเป็นคนบาป ให้มากลายเป็นผู้ชอบธรรมได้ มันเป็นไปไม่ได้ พระเจ้ากำลังบอกอย่างนั้น

            ในข้อ 11 พระเจ้าก็บอก นี่มันก็ชัดๆ อยู่ ดูกันเองก็ได้ ชัดอยู่ว่าไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรม  ในสายพระเนตรของพระเจ้าด้วยความประพฤติ หรือการรักษาธรรมบัญญัติได้เลย

            พอเรารู้ความจริงอย่างนี้ ก็เห็นชัดเจนว่าเมื่อพระเจ้าบอกว่ามันอยู่ที่ภายใน เพราะฉะนั้น ถ้าไม่แก้ไขภายใน ทำข้างนอกให้ตายอย่างไร? ก็ไม่มีผลอะไรเลย  ไม่เกิดผลอะไรเลย  นี่เห็นๆ อยู่แล้ว  เพราะว่าคนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่ด้วยความเชื่อ  ก็คือเพราะว่าพระเจ้าวางกฎเอาไว้แล้วว่าคนชอบธรรมได้หลุดพ้นจากโทษของความบาปและความตายได้ หลุดพ้นจากวิญญาณที่เป็นบาปได้ มีทางเดียวเท่านั้น คือเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ต้องใช้ความเชื่อและวางใจ ไม่ใช่การประพฤติ  เห็นชัดเจนเลยอย่างนี้

            แต่ธรรมบัญญัติไม่ได้อาศัยความเชื่อ  เพราะผู้ที่ประพฤติตามธรรมบัญญัติ ก็จะได้ชีวิตดำรงอยู่ภายใต้ธรรมบัญญัตินั้น  ก็หมายถึงว่าแต่ผู้ที่ยังคงยึดมั่นในการทำดี ด้วยกำลังของตนเองอยู่ เขาก็ไม่ได้ใช้ความเชื่อ  ถ้าเขาใช้ความเชื่อ เขาก็ไม่ต้องมาพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง  เพราะเขารู้ว่าเขาทำอย่างไรก็ไม่ได้ดีครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะฉะนั้น เขามาพึ่งวางใจในพระเยซูคริสต์ มารักษาวิญญาณภายในเขาให้บังเกิดใหม่ดีกว่า

            สำหรับคนที่ไม่ทำตามนี้  ยังคงยึดมั่นในกฎบัญญัติ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สะสมความดีไว้เยอะๆ เพื่อจะได้พ้นจากโทษ  หรือพ้นจากคำสาปแช่ง  เขาก็ไม่พ้น เพราะเขายังคงดำรงอยู่ในกฎของความบาปและความตายอยู่เหมือนเดิม อยู่ในกฎบัญญัติอยู่เหมือนเดิม ซึ่งเขานึกว่าเขาทำได้ แต่มันทำไม่ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ 100% ไม่สามารถบริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าได้ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะวิญญาณมันเป็นบาปอยู่

            ข้อ 13 บอกเพราะพระคริสต์ทรงไถ่เรา ให้พ้นจากคำสาปแช่งหรือแช่งสาป แห่งธรรมบัญญัติ วางใจในพระเยซูต่างหาก ในนี้บอกว่าเพราะพระคริสต์ไถ่เรา ให้พ้นคำสาปแช่งเรียบร้อยแล้ว พระองค์ทรงยอม ถูกแช่งสาป เพื่อเรา  ก็คือพระองค์ทรงยอมตาย เพื่อเรา พระองค์เองไม่ต้องตายหรอก  พระองค์ไถ่บาปให้กับเราก็พอแล้ว  ก็คือหลั่งพระโลหิต ชำระเรา อภัยในความบาปผิดให้กับเรา พอแล้วก็ได้  เพราะว่าพระองค์ไม่มีบาป ไม่ได้เป็นคนบาป  ไม่ต้องบังเกิดใหม่หรอก  แต่พระองค์ยอมตาย เพื่อมนุษย์ทั้งปวง  เกิดมาเป็นคนบาป เกิดมามีวิญญาณบาป จะได้ตายไปพร้อมกับพระองค์ด้วย  พระองค์เป็นตัวแทนของเราไง จริงๆ พระองค์ไม่ต้องตายหรอก แต่ว่าตาย เพื่อเราจะได้ตายกับพระองค์ เพื่อว่าจะได้ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์ นี่เราเรียนรู้ไปแล้ว

            ข้อ 14 บอกไว้อย่างนั้น ตายเพื่อเราทั้งหลาย จะได้เกิดใหม่ เพื่อพระพรของอับราฮัมจะได้มาถึงคนต่างชาติทั้งหลาย ก็คือเพื่อพรที่บอกไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่สมัยหลายพันปีก่อนโน้นว่าพรเหล่านี้ จะมาถึงพวกเราทั้งหลายคนต่างชาติ ก็คือคนที่ไม่ใช่ชาวยิว  เพราะพระเยซูคริสต์ เพื่อเราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญา โดยความเชื่อ ก็คือเมื่อวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว เราจะได้รับพระวิญญาณ ก็คือได้รับการบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ บังเกิดใหม่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วก็ถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน  หลุดพ้นจากการเป็นคนบาป เป็นวิญญาณบาปทันที เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า ซึ่งเราได้เรียนรู้อย่างละเอียดไปเรียบร้อยแล้ว

            เพราะฉะนั้น เราควรที่จะพึ่งในการกระทำของตนเอง ให้ดีพร้อม  หรือวางใจ พึ่งในการกระทำ ของพระเยซูที่ไม้กางเขน คิดดูเอาเองก็แล้วกัน  โรม 8:1-2 จึงบอกไว้อย่างนี้ว่าการเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า โดยการพึ่งพาพระเยซูคริสต์ ในการกระทำของพระองค์บนไม้กางเขนนั้น มันทำให้เราหลุดพ้นอย่างไร? อยู่ในกฎของวิญญาณแห่งชีวิตได้อย่างไร? โรม 8:1-2 …

        โรม 8:1-2 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป) 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์  กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย (คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง)”

            ดังนั้น ตั้งแต่บัดนี้  หมายถึงเดี๋ยวนี้ พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว ใครก็ตามที่วางใจในพระเยซูคริสต์ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นในวิญญาณของเขา วิญญาณภายใน ซึ่งสำคัญกว่า ซึ่งเป็นเคล็ดลับของความรอด จากการเป็นคนบาป จากการถูกพิพากษาลงโทษ ถูกสาปแช่ง ความรอดจากการถูกสาปแช่ง การเป็นคนบาปนิรันดร์นั้น  เคล็ดลับอยู่ที่ไหน? พระเจ้าบอกเราตั้งแต่ตอนโน้น หลายพันปีก่อนแล้ว เคล็ดลับที่สำคัญที่สุด ก็คือพระเจ้าให้ความสำคัญ ดูที่วิญญาณภายใน  ไม่ใช่ความประพฤติภายนอก บอกมาตั้งแต่โน่น  บอกผ่านเรื่องราวต่างๆ พระคัมภีร์เดิม หลายพันปีก่อน ตั้งแต่ก่อนอับราฮัมอีก ไม่ดูความประพฤติ แต่ดูความเชื่อศรัทธา ภายในวิญญาณ เป็นลักษณะเช่นไร?

            “พระเจ้าดูที่วิญญาณภายใน ไม่ใช่ความประพฤติภายนอก”

            มนุษย์เห็นอะไร? เห็นความประพฤติภายนอก  การกระทำภายนอก  เราจึงให้ความสำคัญใหญ่เลย จะทำอย่างนี้ จะทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้จะได้ความรอดได้อย่างไร? ทำอย่างนี้จะไปสวรรค์ได้อย่างไร? แต่พระเจ้าดูที่วิญญาณข้างใน และเราเห็นไหม?  ถ้าใครบอกว่าเห็น ออกมาอวยพรพวกเราหน่อย  เราไม่เห็น เราได้แค่รับรู้และเชื่อ เริ่มต้นด้วยความเชื่อ แล้วก็รับรู้ต่อไปมากขึ้น  ในโลกวิญญาณที่พระเจ้าบอกเรา ผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่สถิตอยู่กับเรา แล้วก็เชื่อมั่นขึ้น  รับรู้มากขึ้น เชื่อมากขึ้น รับรู้มากขึ้น  แต่ในขณะเดียวกัน ตาที่มองเห็น ความรู้สึกที่รู้สึกได้ มันต่อต้านตลอด  อย่าไปนึกว่าเราจะมีความรู้สึก เป็นไปตามที่เรารับรู้ No รับรู้กับความรู้สึก มันอยู่ตรงข้ามกัน นานๆ ที หรือบางครั้ง มันอาจจะมาจ๊ะเอ๋กันก็ได้  หรือมันอาจจะมาตรงกันก็ได้  แต่ส่วนใหญ่มันจะไม่ตรงกันหรอก  ความคิดและความรู้สึกของเรามันจะตรงกันข้ามกับความรู้เรื่องความจริงของพระเจ้า ที่อยู่ในวิญญาณของเราเสมอ นี่คือธรรมชาติของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ของคริสเตียนทั้งหลาย มันจะฝืนความคิดของเราอะไรต่างๆ …

            “อะไร โจรบนไม้กางเขน ได้รับความรอด ในพระคัมภีร์บอกเขาได้รับรางวัล ก็คือสวรรค์ เปาโลทำงานจนเหนื่อย ประกาศจนเหนื่อย เสี่ยงตาย เสี่ยงชีวิต ทุกข์ทรมาน ก็บอกว่ารางวัลของเปาโล ก็คือได้รับความรอดเหมือนๆ กันเลย เท่าๆ กันเลย  เป็นไปได้อย่างไร? เปาโลต้องได้รับรางวัลมากกว่าสิ เพราะทำงานเยอะกว่า มันเห็นๆ อยู่ โจรไม่ได้ทำอะไรเลย ได้เท่ากัน แต่ในพระคัมภีร์บอกได้เท่ากัน ไม่ว่าจะทำงานตอนตั้งแต่เช้าถึง 5 โมงเย็น  หรือมาทำงานตอนเที่ยงถึง 5 โมงเย็น หรือจะทำงาน 4 โมงครึ่งถึง 5 โมงเย็น  หรือจะทำงาน 4 โมง 59 นาที ถึง 5 โมงเย็น ก็ได้รางวัลคนละ 1 บาทเท่ากัน” สมมติ

            สิ่งเหล่านี้ คือเคล็ดลับ ที่สำคัญที่สุด ที่พระเจ้าดูวิญญาณเราภายในมากกว่าให้ความสำคัญกับการกระทำภายนอก  แล้วก็จะมีคนแย้งเรา แม้แต่ตัวเราเองก็ยังแย้ง …

            “อย่างนี้ก็ไม่ต้องทำความดีสิ มารู้จักพระเจ้าแล้ว”

            ก็ว่ากันไปเรื่อยเปื่อย แล้วมันเป็นไปได้ไหม? พอเรารู้อย่างนี้ แล้วเราก็ไม่ให้ความสำคัญกับความประพฤติหรือ?  เป็นไปได้ไหม? เป็นไปไม่ได้ เพราะวิญญาณมันเกิดใหม่แล้ว  วิญญาณมันเปลี่ยนไปแล้ว ข้างในมันเปลี่ยน เดี๋ยวข้างนอกมันก็เปลี่ยน ถ้าข้างในไม่เปลี่ยน ข้างนอกก็ไม่เปลี่ยน ถึงแม้จะดูดีตอนนี้ แต่มันแอบแฝงด้วยขยะที่อยู่ข้างใน เพราะว่าวิญญาณบาป หรือวิญญาณบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เหมือนพระคริสต์ต่างหากที่เป็นต้นเหตุ เป็นวิญญาณบาป หรือวิญญาณบริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์ เป็นต้นไม้ดี ต้นไม้เลว อย่างที่พระเยซูยกตัวอย่างต่างหากที่เป็นที่สำคัญที่สุด คือทางวิญญาณ ประพฤติภายนอกเราเห็นว่าทำดีจริง  แต่พระเยซูบอกว่าไม่มีประโยชน์เลย เพราะว่าวิญญาณข้างใน มันเป็นต้นไม้เลวอยู่ ให้ผลเลวแน่นอน

            อีกคนหนึ่งประพฤติตัวข้างนอกไม่ดี แต่เขาเป็นต้นไม้ดี  เขาก็เป็นต้นไม้ดีอยู่ดี ต้นไม้ดี ก็ให้ผลดีแน่นอน ถึงแม้จะดูข้างนอกเลวก็ตาม มันยากนะ  แต่สำหรับเราไม่ยาก เพราะว่าเรามีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายใน คอยบอกเราเรียบร้อยแล้ว

            เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงจำเป็น ต้องพึ่ง เชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น  เพื่อจะได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทางเดียวเท่านั้น  ไม่สามารถรักษาความดี ประพฤติดี สะสมความดี รักษาบทบัญญัติอย่างเลิศเลย

            บทบัญญัติเขามี 613 ข้อ รักษาได้ตั้งเยอะกว่าใครเพื่อนเลย ในโลกนี้ รักษาได้ 600 ข้อ ต่อให้รักษาได้หมดด้วย มีความเห็นจากผู้คนรอบข้างว่าเขารักษาได้หมดเลย รักษาได้ 613 ข้อ รักษาได้หมด เขาก็ไม่รอดอยู่ดี เพราะว่าพระเจ้ามองมา รักษาได้ 613 ข้อ มีอยู่ 500 กว่าข้อนั้น ทำไปโดยแรงจูงใจที่ไม่ถูกต้องจากข้างในวิญญาณ เขาไม่รู้ตัว เขาก็เลยชี้นิ้วบอกว่าเขาทำชั่วกว่าผม แต่ข้างใน พระเจ้ามองมา ทุกคนทำชั่วเท่ากันหมดเลย ไม่มีใครชั่วกว่าใคร? ชั่วเท่ากันหมด  เพราะวิญญาณเกิดมาเป็นบาป จึงจำเป็นต้องเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น เพื่อจะได้บังเกิดใหม่ โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นทางเดียวที่จะรอดพ้นจากคำสาปแช่ง การถูกแช่งสาป การถูกพิพากษาลงโทษ ประหารชีวิตนิรันดร์หลังความตายด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นพระคุณอันอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่มีต่อมวลมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวงนั่นเอง ไม่ต้องทำอะไรเลย  ฉันส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาตาย มาเป็นตัวแทนให้มนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวง ได้สามารถบังเกิดใหม่อย่างนี้ได้ และกระทำเสร็จหรือยัง? เสร็จแล้ว

            พระเยซูได้ถูกประทาน ส่งมาให้กับมนุษย์หรือยัง? ส่งแล้ว เมื่อไร?  สำหรับโลกมนุษย์ นับได้ 2,000 ปี โลกฝ่ายวิญญาณเป็นมิติ เป็นอมตะนิรันดร์ ก็เป็นอยู่เดี๋ยวนี้แหละ พระเยซูได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้มาสถาปนากฎใหม่

            “กฎใหม่” ที่มีชื่อว่า “กฎวิญญาณแห่งชีวิต” ในองค์พระเยซูคริสต์ ซึ่งมีอำนาจอยู่เหนือกฎแห่งความบาปและความตายแล้ว มี ก็คือมีอำนาจอยู่เหนือคำสาปแช่ง ที่มนุษย์ถูกสาปแช่งไว้นั้น

            ดังนั้น สำหรับเราทั้งหลาย ก่อนเชื่อข่าวดี เราอยู่ในกฎเดิม ที่เรียกว่ากฎแห่งความบาปและความตาย  คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำของตนเอง พยายามกระทำดี ละเว้นการกระทำชั่วด้วยตนเอง ขณะที่ตนเองเป็นคนบาป  เป็นวิญญาณบาป ต่อต้านพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา  ต่อต้านความดีอยู่ตลอดเวลา ข้างใน เป็นไปไม่ได้เลย ที่จะทำได้  นอกจากเราถูกโกหกหลอกลวง  ความจริงว่าเราทำได้ ถ้าทำไม่ได้ เดี๋ยวชาติหน้ามาทำต่อ  ถ้าทำไม่ได้ ก็ชาติหน้าๆ อีกหลายๆ ชาติรวมกัน อาจจะได้ ในพระคัมภีร์ พระเจ้าบอกทำไม่ได้ อย่างไรก็ไม่ได้ เพราะว่าวิญญาณเป็นบาปอยู่ มันต่อต้านเราอยู่ ต่อต้านความดีงาม  ต่อต้านความบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ข้างใน

            แล้วหลังเชื่อข่าวดีล่ะ ก็คือเป็นคริสเตียนแล้ว  เหมือนเราทั้งหลาย  เราก็ได้อยู่ในกฎใหม่  ที่เรียกว่ากฎวิญญาณแห่งชีวิต  ในองค์พระเยซูคริสต์ หรือเรียกว่ากฎแห่งพระคุณ พึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์อย่างเดียว ได้เกิดใหม่ในวิญญาณทันทีเลย เอเมน  ขอบคุณพระเจ้า มนุษย์ทุกคนสามารถที่จะเลือกดำเนินชีวิตอยู่ในกฎใด กฎหนึ่งนี้ได้ทันทีเลย เราต้องตัดสินใจก่อนตาย  เพราะตายไปปุ๊บ มันเข้าสู่นิรันดร์ หมายถึงเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ ที่ไม่มีวัน เดือน ปีแล้ว  เข้าสู่การพิพากษานิรันดร์ มันไม่สามารถตัดสินใจใหม่ได้แล้ว มันเป็นอยู่อย่างไร? มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น  ถ้าเป็นบาปอยู่ ถูกสาปแช่งอยู่ เป็นนักโทษประหารอยู่ รอวันสำเร็จโทษ พอสิ้นลมหายใจ ตายจากร่างกายนี้ ไปเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ ก็ถูกสำเร็จโทษนั่นเอง

            เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนต้องตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะเลือกทางไหน? เลือกกฎเอาเอง เลือกที่จะพึ่งพาการกระทำของตนเอง เพื่อให้ได้ครบถ้วนบริบูรณ์ บริสุทธิ์ ดีพร้อม ได้ไปอยู่กับพระเจ้า พ้นจากความบาปผิดทั้งปวง ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า เดี๋ยวนี้เลย ในขณะที่วิญญาณยังเป็นคนบาป ต่อต้านความดีงามของพระเจ้าอยู่ แล้วตัวเอง ก็ยังจะพึ่งในการกระทำของตนเอง คิดว่าไหวไหม?  ถ้าเรื่องนี้เป็นจริง วิญญาณข้างในสำคัญมาก  มีแนวโน้ม มีแรงจูงใจ  ที่ต่อต้านความดีงามของพระเจ้า ถ้าค่อยๆ นั่งคิด ใคร่ครวญสิ่งเหล่านี้ จะรู้ว่ามันเป็นจริง เพราะว่าเรารักษาบทบัญญัติ กระทำดีมากเท่าไร? เราก็ยิ่งรู้ตัวเองว่าหลายสิ่งหลายอย่าง เรายังไม่พร้อม เราจะต้องทำเพิ่มกว่านี้ เราต้องทำให้สมบูรณ์มากขึ้น ต้องกระทำดีมากขึ้นๆ

            และแทนที่เราจะเปลี่ยนใจ กลับมาคิดใคร่ครวญถึงอีกทางหนึ่ง  เราก็ถูกหลอกว่าไม่เป็นไรหรอก ทำดีไม่ครบถ้วน เมื่อหมดลมหายใจ เราก็เกิดชาติใหม่  เราก็มาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ แล้วก็สะสมทำความดี เป็นเหมือนสะสมแสตมป์ รับรางวัลมากขึ้น  ถ้าสะสมอีกหนึ่งชาติไม่ได้ เราก็ตั้งใจจริงที่จะสะสมไปทุกๆ ชาติไป คุ้นไหม?

            แต่ถ้าได้ฟังความจริงโลกฝ่ายวิญญาณ จากถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แล้วเกิดความไม่แน่ใจ  ถ้าไม่แน่ใจในการสะสมแสตมป์ความดีของตนเอง เพื่อจะรับรางวัลไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์นั้น พ้นจากโทษ  การถูกสาปแช่งนั้น  ถ้าไม่แน่ใจ ก็หันหลังกลับได้ หันกลับมาวางใจ หาพระเจ้า หาพระเยซูคริสต์ได้ เรียกว่ากลับใจใหม่ กลับความคิดเสียใหม่ กลับเป้าหมายในการดำเนินชีวิตของตนเองเสียใหม่ กลับมาหาพระเจ้า เริ่มต้นโดยการเชื่อและวางใจในพระเยซูตามที่พระเยซูประกาศมาตั้งนานแล้วว่าใครก็ตามที่เชื่อและวางใจในพระองค์จะได้รับความรอด กลับมาหา วางใจในพระเยซู โดยการพึ่งพาการกระทำของพระองค์ พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่ไม้กางเขน ที่พระเจ้าพระบิดาทรงประทานให้กับมนุษย์ทั้งหลายทั้งปวง เพื่อเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปของมวลมนุษยชาติ  เพื่อว่ามนุษย์ทุกคนนั้น เมื่อวางใจแล้ว เขาก็จะได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกที่เชื่อฟัง อยู่ในครอบครัวของพระเจ้า ในวิญญาณของเขาทันที  ไม่ต้องรอให้ตายจากโลกนี้ ไปก่อน แล้วค่อยได้รับ ได้รับเดี๋ยวนี้  บนโลกใบนี้ ทันที แล้วก็รับต่อไป จนกระทั่งถึงวิญญาณออกจากร่าง เข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณ โลกสวรรค์นิรันดร์ ก็ยังอยู่ในสถานะนี้เหมือนเดิม  และยังได้เพิ่ม คือได้รับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ สวมแทนร่างกายเก่าที่เน่าเฟะ  ถูกเผาทิ้งไป สูญสิ้นไป เอเมน

            ซึ่งพระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว คือสถาปนากฎของวิญญาณนี้ หรือกฎแห่งพระคุณนี้ โดยการสิ้นพระชนม์ หรือการตายของพระองค์บนไม้กางเขน  และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3  นี่คือการสถาปนาตอกตรึงลงไปว่าสิ่งเหล่านี้ กฎใหม่นี้ได้ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว พระคัมภีร์ไบเบิ้ลจึงใช้คำว่าพันธสัญญาใหม่  คือกฎระเบียบ กฎหมายทางฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าให้กับมนุษย์ทั้งหลาย  อันใหม่ ก็คือพระคุณนี้เริ่มต้นเมื่อวันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ไม่ได้เริ่มต้นที่วันที่พระเยซูคริสต์บังเกิดที่รางหญ้า  ยังไม่ใช่วันนั้น  วันที่พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน  เป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 วันนั้นแหละ คือวันที่พันธสัญญาได้ถูกกระทำให้สำเร็จแล้ว พระเยซูคริสต์จึงได้ประกาศว่า “สำเร็จแล้ว” เอเมน

            และเหล่านี้ คือข่าวดีสำหรับมวลมนุษย์ทุกคน ที่มนุษย์ทุกคนเมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว ควรจะเคารพยำเกรง กลัวจนตัวสั่น ครั่นคร้ามต่อผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ผู้นี้ ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย  ในกฎต่างๆ ที่พระองค์ทรงตั้งขึ้น เพราะพระองค์ไม่ลำเอียง ไม่เข้าข้างผู้ใด เพราะฉะนั้น เมื่อได้ยินได้ฟัง ควรจะเคารพยำเกรง  กลัวจนตัวสั่น ครั่นคร้ามในความรักอันอัศจรรย์ ในแผนการของพระเจ้า ในการช่วยให้รอดของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  เป็นพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว นอกจากพระองค์ไม่มีพระเจ้าอื่นใดเลย  และพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง อย่าเพิกเฉย ละเลยต่อกฎหมายทางวิญญาณที่พระองค์ทรงประกาศนี้  โดยคิดว่ามันไม่สำคัญหรอก เดี๋ยวไว้ตายไปก่อน แล้วค่อยมานั่งคิดอีกทีก็ได้

            กฎทางวิญญาณนี้ส่งผลอย่างเด็ดดขาด เฉียบขาดต่อผู้ที่เคารพยำเกรง และเชื่อฟัง ปฏิบัติตาม คือวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตร ที่พระบิดา ผู้สถิตในสวรรค์ประทานให้กับมวลมนุษย์ทั้งปวง ด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่สุด เช่นเดียวกัน  พระองค์ทรงรักและห่วงใยมนุษย์อย่างที่สุด ห่วงอย่างมาก ถึงกับได้ประทานพระบุตรของพระองค์ องค์เดียว คือพระเยซูคริสต์มายอมตายที่ไม้กางเขน  เพื่อเราทั้งหลาย แต่ขณะเดียวกัน พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาล ดูแลกฎทางฝ่ายวิญญาณ พระองค์ทรงบิดพลิ้วไม่ได้ พระองค์ต้องทำอย่างนี้ มหาจักรวาลมองดูที่พระองค์ตลอดเวลาว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม เที่ยงธรรม ไม่มีแปรผัน ไม่มีเงาแห่งความมืด ไม่มีความชั่วร้าย ไม่มีการเข้าข้างใคร  ไม่มีการติดสินบนได้  บันทึกไว้อย่างไร ก็เป็นเช่นนั้น

            บันทึกไว้ว่าถ้าพึ่งตนเอง อยู่ในความบาป เหมือนเดิม  ถูกพิพากษาลงโทษ อยู่ในคำสาปแช่งเหมือนเดิม แต่ถ้าเปลี่ยน เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ ก็ย้ายมาอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้า  อยู่ภายใต้กฎของวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ มาเป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสวรรค์กับพระองค์ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้ จนไปถึงโลกหน้า  ได้รับร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ได้ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในโลกใหม่ สวรรค์ใหม่ และสรรพสิ่งใหม่ๆ ที่พระองค์จะทรงสร้างขึ้นใหม่ แทนที่โลกเก่านี้จะสิ้นสุดไป และจะร่วมครอบครองอยู่กับพระองค์ในสวรรค์นั้น นิรันดร์ ไม่มีชาติหน้า ที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์อีกแล้ว ไม่มีเลย พระคัมภีร์พูดไว้เช่นนั้น  พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            โลกบอกว่า … “มนุษย์มีชาติหน้าหลังความตาย ที่จะสั่งสมความดีเพิ่มขึ้น”

            แต่พระเจ้าบอกว่า … “มนุษย์ถูกกำหนด ให้ตายครั้งเดียว หลังจากนั้นต้องพบกับการพิพากษา”

            ท่านเชื่อใครครับ?

            ฮีบรู 9:27 …  “เหมือนที่มนุษย์ถูกกำหนดให้ตายครั้งเดียว หลังจากนั้นต้องพบกับการพิพากษา”

            พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และต้องได้รับโทษของความบาป ถูกตัดขาดจากพระเจ้า ตายในวิญญาณ ไม่รู้จักกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่สามารถอยู่ร่วมกับพระเจ้าได้ ไม่สามารถเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าได้ นี่คือโทษหรือคำสาปแช่งของบาป ซึ่งมนุษย์ทุกคนตกอยู่ในบาป พระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้น  และมีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น ที่จะทำให้มนุษย์รอดพ้นจากโทษนี้ได้ ก็คือมนุษย์ต้องบังเกิดใหม่

            ยอห์น 3:16-18 … “16 พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่เชื่อวางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ  ตายนิรันดร์อยู่ในความบาป  แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์ 17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่ เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอด จากการถูกพิพากษาลงโทษ (หลังความตาย) นั้น โดยทางความเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ 18 คนที่วางใจเชื่อในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ  (หลังความตาย) ส่วนคนที่ไม่ได้เชื่อวางใจ ก็ถูกพิพากษา ลงโทษอยู่ในความพินาศ ในความตาย ในความบาป เหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้เชื่อวางใจ ในพระนามพระเยซูคริสต์พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1467

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  เมษายน  2024

เรื่อง “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหนก่อนและหลังเชื่อพระเยซู?” ตอน 5

โดย นคร  เวชสุภาพร

            กลับมาที่ซีรี่ย์ Before and After คือวิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน ทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อพระเยซู

            วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน? เรากำลังพูดถึงเรื่องวิญญาณ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ในพระคัมภีร์บอกไว้เลย  เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด มากกว่าโลกวัตถุที่มองเห็น ใน 2 โครินธ์ 4:8 ได้บอกไว้อย่างนี้ว่าเพราะฉะนั้น เรารู้อย่างนี้  เราจึงไม่มองในสิ่งที่มองเห็นอยู่ ก็คือวัตถุต่างๆ ที่เราจับต้องมองเห็นได้  แต่เรามองไปในสิ่งที่มองไม่เห็น ก็คือในโลกวิญญาณ  เพราะสิ่งที่มองเห็นอยู่นั้น มันเป็นอยู่เพียงแค่ชั่วคราว  เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนแปลง เดี๋ยวมันก็สิ้นสุดลงแล้ว แต่สิ่งที่มองไม่เห็น คือโลกวิญญาณนั้น มันอยู่ถาวรนิรันดร์ คืออยู่ไปตลอดเลย นี่สำคัญที่สุด

            แล้วพระคัมภีร์ยังได้บอกเรา ให้เห็นถึงสิ่งเหล่านี้ชัดเจน  ตั้งแต่เริ่มต้นเลยว่าถ้าเผื่อทางโลกวิญญาณ มันสำคัญอย่างนี้ ความจริงอันดับแรก ที่ไบเบิ้ลบอกให้มนุษย์ได้รู้ ก็คือมนุษย์นั้นเป็นวิญญาณ และอาศัยอยู่ในร่างกายนี้  เพียงชั่วคราว  นี่เห็นชัดเลย ร่างกาย วัตถุจับต้องมองเห็นได้  คือร่างกายที่เราเห็นอยู่นี้ มันอยู่แค่ชั่วคราวเอง  เราก็รู้อยู่ เดี๋ยวมันก็ต้องตายแล้ว จะตายเร็ว ตายช้า มันต้องตายแน่นอน แต่วิญญาณข้างในที่มองไม่เห็น มันอยู่นิรันดร์ ตรงนี้มันสำคัญมาก ให้เราสนใจ ให้เราได้เรียนรู้ว่าวิญญาณเรา เป็นอย่างไร? อยู่ในสถานะใด?  อยู่ที่ไหนในขณะนี้? อยู่ในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณที่ไหน? แล้วพระคัมภีร์ก็บอกว่าในโลกวิญญาณนั้น มีอยู่แค่เพียง 2 แห่งเท่านั้นเอง  นี่คือความจริงในพระคัมภีร์บอกไว้

            ในโลกวิญญาณมีเพียงแค่ 2 แห่งเท่านั้น ที่วิญญาณมนุษย์จะอยู่อาศัย  อยู่ที่ใดที่หนึ่ง ใน 2 แห่งนี้ เพราะฉะนั้น นี่คือความจริง … ความเท็จ ก็คือไม่มีอีกแล้ว ไม่มีอาณาจักรที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ไม่แห่งที่ 7 ที่ 8 มีแค่ 2 แห่งเท่านั้น ซึ่งเราได้เรียนรู้จากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมา 4 ตอนแล้ว ในซีรี่ย์นี้ว่า …

            ตอนที่ 1 : ก่อนที่เราจะเชื่อพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา  ก่อนเชื่อ วิญญาณของเราอยู่ในอาณาจักรของโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าอยู่ในเนื้อหนัง หลังเชื่อก็คือได้บังเกิดใหม่ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว หลังเชื่ออยู่ในพระวิญญาณ ส่วนรายละเอียดจะเป็นเช่นไร? เราเรียนมาแล้ว  ถ้าใครยังไม่เข้าใจตรงนี้อยู่ กลับไปฟังซีรี่ย์นี้ตอน 1 ได้

            และตอน 2 : เราได้เรียนรู้ว่าก่อนเชื่อ เราอยู่ในอาดัม  หลังเชื่ออยู่ในพระคริสต์ มันเป็นอย่างไร?  กลับไปฟังดู

            ตอนที่ 3 : ก่อนเชื่อเป็นทาสบาป  หลังเชื่อเป็นทาสพระคริสต์

            ตอนที่ 4 : ก่อนเชื่ออยู่ในความมืด หลังเชื่ออยู่ในความสว่าง

            มันจะมี 2 แห่งเท่านี้เอง ทั้งหมด มีแค่ 2 แห่ง ก่อนเชื่อและหลังเชื่อเท่านั้น

            วันนี้มาตอนที่ 5 เจ็บมากๆ เลย ก่อนเชื่อตายจากพระเจ้า มาอยู่ในบาป หลังเชื่อตายจากบาป มาอยู่ในพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น ในโลกวิญญาณมีอาณาจักรอยู่ 2 แห่ง ตอนนี้เรากำลังพูดถึงในตอนที่ 5 แห่งที่ 1 คือตายจากพระเจ้า มาอยู่ในบาป แห่งที่ 2 คือหลังเชื่อตายจากบาป มาอยู่ในพระเจ้า มีอยู่แค่ 2 แห่ง อย่าลืมนะ เน้นอีกที เรากำลังเรียนรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ  เพราะฉะนั้น ปรับความคิด เรากำลังคุยถึงเรื่องโลกวิญญาณ ไม่ใช่โลกวัตถุที่จับต้องมองเห็นได้  ซึ่งคริสเตียนทุกคนควรจะรู้ความจริงว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงในโลกวิญญาณบ้าง จากก่อนที่เราจะเชื่อพระเยซูคริสต์ มาเป็นหลังเชื่อพระเยซูคริสต์ เพราะว่าเมื่อเราเชื่อพระเยซู เราต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เราจะไม่รู้สึกเลยว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะมันไม่ได้ใช้ความรู้สึก ไม่ใช้ความรู้ แต่รับรู้ความจริง รู้และเชื่อในความจริงนั้น รับรู้ความจริง ไม่ใช่มาเชื่อในพระเยซู เปิดใจ แล้วรู้สึกไหม? รู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม?  ไม่ใช่ดำเนินชีวิตด้วยความรู้สึกอย่างโน้นอย่างนี้ หรือตามองเห็นอย่างโน้นอย่างนี้ ที่เปลี่ยนแปลงอะไรไป มาเชื่อแล้วดูในกระจกว่าเปลี่ยนแปลงไหม? มาเชื่อแล้วดูนิสัยใจคอ เปลี่ยนแปลงไหม?  ไม่ใช่มาดูตรงนั้น แต่มาดูในถ้อยคำพระเจ้า เขียนไว้ว่าก่อนเชื่อนั้นเป็นอย่างไร? และหลังเชื่อท่านเปลี่ยนแปลงในวิญญาณเป็นตรงไหนบ้างมากกว่า? เอเมน อย่าไปมองที่ตามองเห็น …

            “คนนี้มาเชื่อพระเจ้าได้อย่างไร? เชื่อมา 10 ปีแล้ว นิสัยยังไม่เปลี่ยนแปลงเลย”

            ถูกหรือผิด? ผิด

            “คนนี้เชื่อมา 1 ปีแล้ว เปลี่ยนแปลงเยอะเลย”

            ถูกหรือผิด? ผิดอีกแหละ เพราะคนไม่เชื่อ เขาเปลี่ยนแปลง มีเยอะแยะไป นี่เขาพูดถึงเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ ต้องเน้นตรงนี้

            เพราะฉะนั้น คริสเตียนทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้ความจริงตรงนี้อย่างมาก  ก็คือรู้จักตัวตน วิญญาณของเรา ตัวจริงๆ  ตัวเป็นๆ ตัวแท้ๆ วิญญาณของเราที่อยู่นิรันดร์นั้นว่า …

            “ฉันเป็นใคร? อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในโลกวิญญาณ เป็นลักษณะอย่างไร?”

             แล้วจะรู้ได้อย่างไร? รับรู้ด้วยความจริง ในถ้อยคำของพระเจ้าข้างในวิญญาณของท่าน  ไม่ใช่รับรู้ด้วยตามองเห็น  ไม่ใช่รับรู้ด้วยความรู้สึก เพื่อจะได้ไม่ถูกหลอก  ถูกขโมย  … ขโมยในสิ่งที่พระเจ้าได้ให้กับท่านในพระเยซูคริสต์ไปเรียบร้อยแล้ว ตอนที่ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นคริสเตียน ก็คือถูกขโมยพระคุณ และพระพรต่างๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ  ก็คือสันติสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ถูกขโมยไป ซึ่งไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นเลย  เรียนรู้ความจริงนี้มากเท่าไร? ท่านก็เป็นอิสระ จากการถูกหลอก ถูกขโมยมากเท่านั้น

            พระเยซูตรัสว่าใครที่จะเข้าสวรรค์ได้ ใครจะไปอยู่กับพระบิดาในสวรรค์ได้ ต้องได้รับการบังเกิดใหม่อีกครั้ง ก็คือเกิดอีกครั้งหนึ่ง จริงๆ แล้วไม่ใช่เกิดใหม่หรอก เขาเรียกว่าเกิดอีกครั้งหนึ่ง ท่านต้องเกิดอีก 1 ครั้ง พระเยซูกำลังพูดถึงอะไร? พูดถึงว่าเกิดอีกครั้ง หลังจากเกิดจากครรภ์มารดา พระเยซูกำลังบอกว่าหลังจากเกิด เป็นมนุษย์ ก็คือเกิดจากครรภ์มารดา  เป็นมนุษย์ใช่ไหม?  มนุษย์ทุกคนเกิดจากครรภ์มารดาทั้งนั้น จะต้องเกิดอีก 1 ครั้ง ก็คือเกิดมาอีกหนึ่งครั้ง  เป็นการเกิดทางวิญญาณ วิญญาณที่ได้เกิดจากครรภ์มารดานั้น แสดงว่าต้องไม่ดีแน่เลย พระเยซูจึงบอกว่าท่านต้องเกิดอีกครั้ง

            พระคัมภีร์บอกไว้ว่าวิญญาณที่ท่านเกิดจากครรภ์มารดานั้น  พอเกิดมา ท่านเป็นวิญญาณที่เรียกว่าคนบาป วิญญาณบาป ไม่ต้องทำอะไรเลย ก็เป็นบาป วิญญาณบาปนี้จะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงด้วยการฟื้นฟู ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงด้วยการซ่อมแซม แต่ต้องได้รับการบังเกิดใหม่เลย เปลี่ยนตัวใหม่ เพราะฉะนั้น วิญญาณเก่าที่เกิดในครรภ์มารดา ที่เป็นคนบาปนั้น วิญญาณนี้จะต้องถูกกำจัดออกไป จะต้องขจัดออกไป  จะต้องตายไปนั่นเอง มันจะต้องตายก่อน แล้วมันถึงจะได้บังเกิดใหม่ได้ไง มันจะเกิดใหม่ได้อย่างไร? มนุษย์จะมี 2 วิญญาณได้อย่างไร?  ไม่ได้ วิญญาณตัวตนของเรา เกิดในครรภ์มารดา เป็นวิญญาณบาป วิญญาณบาปนี้ พระเยซูบอกต้องตายไปก่อน แล้วมาบังเกิดใหม่ซะ นี่คือเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ

            ซึ่งเราได้เรียนรู้กันไปแล้วในหนังสือโรม 6:1-7 ได้พูดว่าการจะเกิดใหม่นี้ ก็คือการเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เมื่อตอนที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ถูกฝังในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 ได้ช่วยให้มนุษย์สามารถบังเกิดใหม่ได้ ซึ่งการเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขนนี้ ขบวนการนี้ พระคัมภีร์ใช้ชื่อว่า “บัพติศมา” เราเรียนรู้ไปแล้วนะ ในโรม 6:1-7 ได้พูดตรงนี้ว่าการบัพติศมาคืออะไร? การบัพติศมา คือการบัพติศมาในวิญญาณ  คือการเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเยซูคริสต์

        โรม 6:1-7 “เราได้รับบัพติศมา  เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์”

            “พระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? ฉันเป็นอย่างนั้นด้วย ฉันเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน”

            วันนี้เราจะเริ่มต้นที่โรม 6:8-9 จะเรียนรู้ว่าตอนที่ 5 ก็คือก่อนเชื่อตายจากพระเจ้า มาอยู่ในบาป หลังเชื่อตายจากบาป มาอยู่ในพระเจ้านั้นเป็นเช่นไร? …

        โรม 6:8-9 “8 แต่ถ้าเราได้ตายแล้วกับพระคริสต์ เราเชื่อว่าเราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ด้วย 9 เราทั้งหลายรู้อยู่ว่าพระคริสต์ที่ทรงถูกชุบ ให้เป็นขึ้นมาจากตายนั้นแล้ว จะหาตายอีกไม่ ความตายหาครอบงำพระองค์ต่อไปไม่”

            หลังจากที่อธิบายให้ฟังถึงเรื่องการบัพติศมา เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ตอนที่ถูกตรึงอยู่ที่ไม้กางเขน จนกระทั่งเป็นขึ้นจากความตาย เรียนรู้ไปแล้ว ในโรม 6:8 ต่อมา บอกว่า “แต่ถ้าเราได้ตายแล้วกับพระคริสต์” ตอนนี้เรารู้แล้วนะว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน ถ้าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน “ถ้าเราได้ตายแล้วกับพระคริสต์ เราก็เชื่อว่าเราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ด้วยเช่นกัน” ก็คือตายกับพระคริสต์ ก็ต้องเป็นขึ้นมาพร้อมกับพระคริสต์ ตายกับพระคริสต์ ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว เราทั้งหลายรู้อยู่ว่า เห็นไหมไม่ใช่เราทั้งหลายมีความรู้สึก

            เมื่อเราเข้าบัพติศมา เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว  ถ้าเราตายกับพระเยซูคริสต์ เราก็เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย เราทั้งหลายรู้อยู่ว่า รู้ข้างในว่าพระคริสต์ที่ถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตายนั้นแล้ว  จะหาตายอีกไม่ ไม่กลับไปตายอีก ไม่กลับไปถูกตรึงที่ไม้กางเขนอีกแล้ว เป็นขึ้นจากความตายชั่วนิจนิรันดร์ ครั้งเดียวเป็นพอ ความตายหาครอบงำพระองค์ต่อไปไม่ คือความตายไม่มีอำนาจอยู่เหนือพระองค์เลย คือพระองค์ไม่ต้องมาตายอีกที ไม่ใช่พระองค์ฟื้นจากความตาย ฟื้นมา แล้วก็ตายอีกได้  เหมือนกับมนุษย์บางคน ที่เราเคยได้ยิน  เหมือนกับลาซารัสที่พระเยซูเรียกเขาให้ฟื้นจากความตาย เดี๋ยวอยู่ไปอีก 50 ปี หรืออีก 20, 30 ปี เขาก็ต้องตาย อันนั้นเขาเรียกว่าฟื้น แต่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย คือมีชัยชนะเหนือความตาย  ไม่ต้องตายอีกแล้ว  อันนี้พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าเราทั้งหลายรู้อยู่ว่า เรารู้จากข้างใน  แต่เป็นความรู้ที่ง่าย  เพราะเรารู้อยู่ว่า ก็คือเรายังเห็นอยู่ เราเห็นพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน  คนเหล่านั้นเห็น เป็นหลักฐาน เราเห็นว่าพระเยซูคริสต์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และมีหลายคนได้เห็นพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย  มาปรากฏพระองค์ให้กับมนุษย์ทั้งหลาย ได้เห็นอีกเยอะแยะมากมาย  ถึง 40 วัน ก็เลยเชื่อตรงนี้ไม่ยากนัก เราทั้งหลายรู้อยู่ว่า ด้วยการมองเห็นด้วย ก็ง่าย ต่อไป โรม 6:10-11 …

        โรม 6:10-11 “10 ด้วยว่าซึ่งพระองค์ได้ทรงตายนั้น พระองค์ได้ทรงตายจากบาป หนเดียวเป็นพอ แต่ซึ่งพระองค์ทรงชีวิตอยู่นั้น พระองค์ทรงชีวิตอยู่ในพระเจ้าเพื่อพระเจ้า 11 ในทำนองเดียวกัน จงรับรู้ความจริงว่าตัวท่านเอง (คริสเตียนที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว) ตายจากบาป และมีชีวิตมาอยู่ในพระเจ้า เป็นลูกที่เชื่อฟังพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์”

            “ด้วยว่าซึ่งพระองค์ได้ทรงตายนั้น  พระองค์ทรงตายจากบาปเพียงหนเดียวพอ” ถูกตรึงบนไม้กางเขน ครั้งเดียวเป็นพอ  เกิดผลมากมายในโลกฝ่ายวิญญาณ  ที่เรากำลังเรียนรู้ “แต่ซึ่งพระองค์ทรงมีชีวิตอยู่นั้น” ก็คือเป็นขึ้นจากความตายนั้น ทรงชีวิตอยู่ในพระเจ้า เป็นขึ้นจากความตายปุ๊บ ได้รับชีวิตนิรันดร์จากพระเจ้า เข้ามาอยู่ในพระเจ้า มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า

            ข้อ 11 “ในทำนองเดียวกัน” หมายถึงเราที่เข้าบัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เป็นเหมือนกับพระเยซูคริสต์เลย  ลักษณะเดียวกันเลย  “ในทำนองเดียวกัน จงรับรู้ความจริงว่า” เห็นหรือยัง? ตอนนี้ไม่เหมือนตะกี้นะ ตะกี้นี้ เราทั้งหลายรู้อยู่ว่า รู้อยู่แล้ว เห็นๆ อยู่ ตอนนี้มองไม่เห็น “ในทำนองเดียวกัน” คือพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน  เป็นขึ้นจากความตาย เรามองเห็น  แต่ในนี้บอกทำนองเดียวกันเลย เราก็ตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ หนเดียวเป็นพอเหมือนกัน แล้วก็เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ อยู่ในพระเจ้าเหมือนกันเลย ลักษณะเดียวกันเลย  จงรับรู้ความจริงนี้ “จง” แล้ว คือไม่เห็น ต้องใช้ความเชื่อแล้วตรงนี้  เห็นหรือยัง?

            จงรับรู้ความจริงว่าตัวท่านเอง ก็คือคริสเตียนที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ที่เชื่อและเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูแล้ว บัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ก็คือคริสเตียนที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว ตัวท่านเองตายจากบาป  และมีชีวิตมาอยู่ในพระเจ้า  เป็นลูกที่เชื่อฟังพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ เหมือนกับพระเยซูคริสต์เลยไม่มีผิด เอเมน เหมือนเลย  เห็นไหม? ไม่เห็น รู้สึกไหม? ไม่รู้สึก แต่มันเป็นอย่างนั้นแหละ นี่แหละคือโลกฝ่ายวิญญาณที่เราต้องเรียนรู้ และมีชีวิตอยู่ในพระเจ้า เราได้ตายจากบาป และมีชีวิตมาอยู่ในพระเจ้า

            ตอนเกิด เราตายจากพระเจ้า มีชีวิตอยู่ในบาป แต่พอเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ในทำนองเดียวกันเลย เราได้ตายจากบาป และมีชีวิตมาอยู่ในพระเจ้า เหมือนพระเยซูไม่มีผิด อยู่ในพระเจ้า เพื่อพระเจ้าจะได้ใช้ชีวิตนี้ แล้วก็เป็นลูกที่เชื่อฟัง

            “ฉันเป็นลูกที่เชื่อฟัง”

            ถามว่าท่านเชื่อฟัง เพราะท่านเป็นคนดีหรือ? ไม่ใช่ เป็นลูกที่เชื่อฟัง เพราะอะไร? เพราะตัวเก่าที่ไม่เชื่อฟัง มันได้ตายไปแล้ว ตอนนี้ได้เกิดใหม่แล้ว  เป็นลูกที่เชื่อฟัง เพราะได้บังเกิดใหม่

            “ฉันได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกที่เชื่อฟัง ไม่ใช่ เพราะการกระทำของฉัน ไม่ใช่ เพราะฉันดี ไม่ใช่ เพราะฉันเป็นคนที่กตัญญูต่อพระเจ้า  ไม่ใช่ เป็นเพราะฉันอธิษฐานเยอะ ฉันจึงเชื่อฟัง แต่ฉันเป็น เพราะฉันเชื่อในพระเยซูคริสต์และได้เข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ได้บัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว ฉันเป็นเหมือนพระองค์ พระองค์เป็นอย่างไร? ฉันเป็นอย่างนั้น ในนี้บอกว่าในทำนองเดียวกัน ก็คือฉันเป็นไปตามทำนองเดียวกันกับพระเยซูคริสต์นั่นเอง พระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? ฉันเป็นด้วย”

            ถามว่าพระเยซูคริสต์เชื่อฟังพระเจ้าไหม? เชื่อฟัง เพราะเป็นเด็กดีหรือ? เพราะวิญญาณพระองค์ เป็นวิญญาณที่มาจากพระเจ้า

            พระคริสต์ตายจากบาป  ในนี้บันทึกไว้ว่าหนเดียว เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียน เมื่อเปิดใจรับเชื่อพระเยซู เราก็ตายจากตัวเก่าของเรา คือตายจากบาปเพียงหนเดียวเป็นพอ ไม่ต้องตายบ่อยๆ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ทันทีนั้น  โลกวิญญาณเราได้ตายไปแล้ว  เราตายจากบาปไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อเราตายจากบาป เราก็ไม่ต้องตายบ่อยๆ  ไม่ต้องอธิษฐานว่า …

            “พระเจ้า ลูกไม่ดี ลูกควรจะตายจากบาป”

            เพราะฉะนั้น ตรงนี้บอกว่าจงรับรู้ความจริงในเรื่องนี้ ใช้ความเชื่อเอา เชื่อถ้อยคำพระเจ้า  เพราะเป็นสิ่งที่อยู่ในโลกฝ่ายวิญญาณ  มันมองไม่เห็น

            พระเยซูได้แบกบาปของมวลมนุษย์ไว้ และเป็นตัวแทนของมวลมนุษย์ ตายบนไม้กางเขนนั่นเอง และพระองค์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์และในวันที่ 3 พระองค์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย  พระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นจากความตายด้วยตัวของพระองค์เอง แต่พระเจ้าได้ชุบพระเยซู ได้ทำให้พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 ด้วยพระวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า ที่ทรงประทานให้พระเยซูในวันที่พระองค์ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย  และเป็นวิญญาณนิรันดร์ ที่พระเยซูคริสต์ได้แบ่งปันให้กับผู้เชื่อทุกคน  คือคริสเตียนทุกคน ให้ได้รับส่วนของวิญญาณนิรันดร์นี้ ด้วยเช่นเดียวกันกับพระองค์ในทำนองเดียวกัน  เราก็ได้รับไปด้วย เอเมน

            ก็คือได้บังเกิดใหม่ด้วยวิญญาณนิรันดร์ วิญญาณนิรันดร์ที่เราได้รับ ซึ่งเราเรียกกันว่าชีวิตนิรันดร์ มาเชื่อพระเจ้าสิ จะได้รับชีวิตนิรันดร์ เราคุ้นกันบ่อยๆ  แต่ตรงนี้ จริงๆ แล้วมันหมายถึงมาเชื่อพระเจ้าสิ จะได้บังเกิดใหม่ และวิญญาณได้เป็นชีวิตนิรันดร์ เหมือนพระเจ้า  เป็นวิญญาณที่เกิดใหม่ จากหน่อเชื้อทางวิญญาณ DNA ทางวิญญาณของพระเจ้าที่เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์ ไม่ได้หมายถึงวิญญาณที่อยู่ไปตลอด  แต่วิญญาณนิรันดร์เป็นชื่อของลักษณะของวิญญาณของพระเจ้า  วิญญาณของพระเจ้ามีลักษณะที่เรียกว่าวิญญาณนิรันดร์  พระเจ้าประทานวิญญาณนิรันดร์ให้กับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์แบ่งวิญญาณนิรันดร์ให้กับผู้เชื่อทุกคน  ที่เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ก็คือวิญญาณที่มีพระลักษณะเป็นชีวิตที่เหมือนพระเจ้า เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้าแล้ว

            นี่กำลังพูดถึงคริสเตียนแต่ละคน กำลังพูดถึงฉันที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว กำลังพูดถึงเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว กำลังพูดถึงเราที่คิดว่าเรายังไม่บริสุทธิ์ดีพร้อม แต่ในพระคัมภีร์บอก …

            “เธอเป็นลูกฉันและสะอาด หมดจด บริสุทธิ์เหมือนฉันเลย” … นี่มันเป็นอย่างนี้

            2 เปโตร 1:4 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ บันทึกว่าพระคุณของพระเจ้า เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงเตรียมอะไรไว้ให้กับเรา …

        2 เปโตร 1:4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทานพระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนร่วมในพระลักษณะของพระเจ้า และพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาปที่อยู่ในวิญญาณ)”

            “พวกท่านจึงได้มีส่วนร่วมในพระลักษณะของพระเจ้า” ตามสัญญา  สัญญาคืออะไร?  ประทานพระบุตรของเรา คือพระมาซีฮาห์ให้กับเรา มนุษย์ทุกคน  ที่วางใจในพระองค์ และจะได้รับความรอด ได้รับชีวิตนิรันดร์ นี่คือสัญญา สัญญาว่าอย่างไร?  ใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ ก็คือเขาจะได้มีส่วนร่วมในพระลักษณะ วิญญาณนิรันดร์ของเรา  พวกท่านจึงได้มีส่วนร่วม มีหรือยัง? จะมีหรือเปล่า?  ไม่ใช่ พอทำตามสัญญาปุ๊บ  พระเยซูทำสำเร็จแล้ว  พระเจ้าทำสำเร็จแล้ว  คือพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน แล้วบอกสำเร็จแล้ว ใครก็ตามที่เข้าส่วนร่วมในสัญญานี้

            “พวกท่านจึงได้มีส่วนร่วมในพระลักษณะของพระเจ้า พ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว” ก็หมายถึงพ้นจากความเป็นคนบาปในวิญญาณ วิญญาณไม่บาปอีกต่อไปแล้ว  ดังนั้น ตัวตนแท้จริงของวิญญาณของเรา คริสเตียนผู้เชื่อแล้ว ไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป ไม่ได้สกปรก ไม่ได้มีมลทิน ไม่ได้มีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังเลย แม้แต่นิดเดียว ใช่หรือไม่ ตามถ้อยคำอันนี้ใช่ไหม? ใช่หรือ? แน่ใจหรือ? ไม่มีมลทิน  ไม่สกปรกเลย  ไม่มีกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังเลย อะไรเมื่อตะกี้นี้ ยังคิดอิจฉาเขาอยู่เลย ตะกี้ยังคิดโกรธ คิดเกลียดเขาอยู่เลย ยังโลภอยู่เลย นี่กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ สำคัญกว่า

            ถ้าถามว่าสภาวะที่เรามีส่วนร่วมในพระลักษณะของพระเจ้า  ที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์ เกิดขึ้นเมื่อใด? สภาวะบังเกิดใหม่ ด้วยวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า  เหมือนพระเจ้าแล้ว  สภาวะที่มีพระลักษณะของพระเจ้าอยู่ในตัวเราเรียบร้อยแล้ว  เป็นตัวตนแท้จริงของเราเรียบร้อยแล้ว  เกิดขึ้นเมื่อใด ต้องรอให้ตายจากร่างกายนี้ไปก่อนหรือไม่?

            พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นเหมือนพระองค์ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ไม่ต้องรอให้ตายจากร่างกายก่อน 1 ยอห์น 4:17 ได้บอกไว้อย่างนั้น “เราเป็นเหมือนพระองค์ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว” เรามีพระลักษณะของพระเจ้า  เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา คือตัวตนจริงๆ ของเราเป็นวิญญาณที่สะอาด หมดจด บริสุทธิ์  ดีพร้อมแล้ว เมื่อไร?  เดี๋ยวนี้ที่เดินอยู่บนโลกใบนี้  เดี๋ยวนี้ ขณะที่เราตวาดคน โกรธคน เกลียดคน เดี๋ยวนี้ ขณะที่เราไม่สมบูรณ์แบบในการกระทำ การประพฤติ กิริยามารยาทอาจจะยังไม่ดี  แต่วิญญาณของเราบริสุทธิ์แล้ว  ยากไหมที่จะรับ มันยากนะ ถึงบอกตั้งแต่แรกแล้วไง  พระคัมภีร์บอกว่าเราจึงไม่มองในสิ่งที่มันมองเห็นได้ เพราะมันอยู่เพียงชั่วคราว มันไม่ถาวรนิรันดร์ อะไรที่เราเห็น โกรธเขา เกลียดเขา  เห็นไหม? เห็น ประพฤติตัวไม่ดี เห็นไหม? เห็นนะ แต่อะไรที่มองไม่เห็น คือโลกวิญญาณ  เพราะมันอยู่นิรันดร์ สิ่งที่มองไม่เห็น คือวิญญาณข้างในเรา ตัวตนแท้จริงของเรานั้น เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์ เหมือนพระเจ้าเลย ให้เราปรบมือขอบคุณพระเจ้าของเรา

        1 ยอห์น 4:17 “เช่นนี้ ความรักจึงเต็มบริบูรณ์ ท่ามกลางเราทั้งหลาย เพื่อเราจะมีความมั่นใจในวันพิพากษา เพราะในโลกนี้ เราเป็นเหมือนพระองค์”

            เพราะฉะนั้น เราตายจากหนี้บาป และมีชีวิตอยู่ในพระเจ้า ได้เป็นลูกที่เชื่อฟังในพระเยซูคริสต์แล้ว เห็นไหมครับ? ได้เป็นลูกของพระเจ้าที่เชื่อฟังเลย จากการบังเกิดใหม่  ไม่ใช่เป็นลูกที่เชื่อฟัง เพราะว่าประพฤติตามศีลธรรมอันดีงาม ที่พระเจ้าสอน ไม่ใช่ ซึ่งการประพฤติที่ดีงาม ตามที่พระเจ้าสอน เป็นสิ่งดีไหม? ดี ไม่ใช่ไม่ดีนะ แต่มันคนละเรื่องกับเรื่องโลกวิญญาณตรงนี้  เพราะไม่มีใครที่จะประพฤติตามสิ่งที่พระเจ้าบอกได้  สิ่งที่พระเจ้าสอนได้ทั้งหมด 100% เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว โคโลสี 2:13 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ ความจริงให้เห็นชัดเจนเลย …

        โคโลสี 2:13 “และท่านทั้งหลายซึ่งก่อนเชื่อนั้น ได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นบาป อยู่ในบาป จึงทำบาป (ได้เป็นลูกที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า) คือการละเมิดกฎทั้งหลายของพระเจ้า”

            “ก่อนเชื่อนั้น ท่านได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ” เห็นไหม? พระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนมาก  “เพราะวิญญาณเป็นบาปอยู่” ก็คือตายจากพระเจ้า  มาอยู่ในบาป  จึงมีผลให้ทำบาป  ทำบาปออกจากใจเลย เพราะใจเป็นบาป ในขณะนั้น ท่านได้เป็นลูกที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า พอเกิดมาจากครรภ์มารดา ก็เป็นลูกที่ไม่เชื่อฟังเลย  ทำอะไรหรือยัง? ยังไม่ได้ทำเลย  ทำบาปหรือยัง? ยังไม่ได้ทำเลย  แต่ได้เป็นก่อนแล้ว เป็นลูกที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เป็นศัตรูต่อพระเจ้า  ต่อต้านพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น การเป็นลูกที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า การเป็นศัตรูกับพระเจ้า  การต่อต้านกับพระเจ้าทุกอย่าง ต่อต้านกับความจริงของพระเจ้า มาจากความคิดของเขาคนนั้น หรือเราในอดีต  หรือมาจากการเกิด ไม่ได้มาจากความประพฤติถูกไหม? นี่เห็นชัดเจนเลย  ได้เป็นลูกที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ก็คือจากการเกิดมาเป็นลูกที่ไม่เชื่อฟัง เกิดมาเป็นศัตรูกับพระเจ้า  ไม่ได้เกิดมาเป็นศัตรูกับพระเจ้า เพราะเราไปทำบาป ไม่ใช่ ถึงไม่ทำอะไรเลย เกิดมาเป็นศัตรูแล้ว นี่พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนี้ชัดเจน

            ในทำนองเดียวกัน อีกขั้วหนึ่ง ก็คือเมื่อมาเป็นผู้บริสุทธิ์ทางพระเจ้า ก็เช่นเดียวกัน มันก็เกิดมาเป็นลูกที่เชื่อฟัง เกิดมาเป็นลูกที่บริสุทธิ์สะอาด เกิดมาเป็นลูกที่มีชีวิตอยู่ เพื่อพระเจ้า ทำตามพระเจ้า มันเป็นธรรมชาติ มาจากการเกิดมาเป็น ไม่ใช่จากการประพฤติเลย ต่อมา โรม 6:12 …

        โรม 6:12 “ดังนั้น อย่าปล่อยให้บาปมาเป็นเจ้า ครอบครองร่างกายที่ต้องตายของท่านอีกเลย คือให้ความบาป ยุแหย่ ล่อลวง ทำให้ท่านต้องเชื่อฟัง และทำตามกิเลสตัณหาเนื้อหนังของมัน”

            อย่าทำตาม ดังนั้น อย่าปล่อยให้บาป ก็แสดงว่าท่านมีอำนาจอยู่เหนือมัน เขากำลังพูดถึง คริสเตียน  ที่วิญญาณนี้ไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป  ไม่ได้ตายอยู่ในบาปอีกต่อไป  ดังนั้น อย่าปล่อยให้บาปมาเป็นเจ้านาย  ครอบครองร่างกายที่ต้องตายของท่านอีกเลย  อย่าทำตามกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ก็คือระบบของโลก เป็นทางการดำเนินชีวิตของเราในอดีต ซึ่งเป็นคนบาป ตายจากพระเจ้า เป็นทางของความบาป คือเป็นศัตรูกับพระเจ้า อย่าให้มันมายุแหย่ ล่อลวง ให้ท่านต้องเชื่อฟังมัน  เห็นอะไรบางอย่างไหม?  แสดงว่ามันไม่ใช่ตัวเรา  กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังนี้มันไม่ใช่ตัวเรา  เพราะเราไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว เราไม่มีบาปแล้ว เราบริสุทธิ์แล้ว  แต่ความบาปและกิเลสตัณหาของเนื้อหนังนี้ต่างหาก มันเป็นศัตรูต่อต้านกับเรา ซึ่งเป็นคนบริสุทธิ์แล้วต่างหาก  คิดให้ดีๆ อย่าให้มันมาครอบครองเรา  อย่าให้มันมาเป็นเจ้านายเรา มันไม่ใช่ตัวเรา

            ตัวเรา คือวิญญาณของเรา  อยู่ภายใต้การเชื่อฟังพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ สะอาดแล้ว  นึกถึงภาพนี้ ชัดๆ เลย มี 2 ข้าง ข้างหนึ่งคือศัตรู มันจะมายุแหย่ให้เราดื้อต่อพระเจ้า ต่อต้านพระเจ้า ซึ่งจริงๆ แล้ว ตัวเป็นๆ ข้างในของเรา เชื่อฟังพระเจ้าอยู่แล้ว ดังนั้น ในกาลาเทีย 5:16 จึงได้บันทึกอย่างนี้ เห็นชัดเจนเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่เราเชื่อในพระเจ้าแล้ว  ทำไมเรายังทำสิ่งต่างๆ ที่ดูเหมือนกับชีวิตเดิมของเราอยู่ ไม่เห็นเปลี่ยนแปลงในความประพฤติ ไม่เห็นเปลี่ยนแปลงในการกระทำเลย เปลี่ยนแปลงบ้าง? ไม่เปลี่ยนแปลงบ้างอยู่เลย ทั้งๆ ที่วิญญาณของเรา พระคัมภีร์บอกเมื่อตะกี้นี้ บอกว่าบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม  เหมือนพระคริสต์ เหมือนพระเจ้าเลย  ตัวตนจริงๆ เราเหมือนพระเจ้าเลย  แล้วมันเกิดอะไรขึ้น  มาดูกาลาเทีย 5:16 …

        กาลาเทีย 5:16  “แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่าให้เราดำเนินชีวิต สนองต่อการนำของพระวิญญาณ แล้วท่านจะได้ไม่สนองต่อความต้องการของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง”

            “ท่านจะได้ไม่สนองความต้องการของกิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง” ก็แสดงว่ามันไม่ใช่ตัวเรา เห็นไหม? ถ้าท่านดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ก็คือตามตัวจริงๆ ของท่าน ที่อยู่ข้างในวิญญาณตามพระเจ้านั้น ที่อยู่ข้างในวิญญาณที่บริสุทธิ์สะอาด ท่านทำตามนั้นปุ๊บ แสดงว่าท่านไม่ได้ทำตามศัตรูที่คอยกระซิบอยู่ข้างหู ให้ท่านทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามนั่นเอง เพราะกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มันก็คืออิทธิพล พลังอำนาจของความบาปและความตาย  ที่กระทำการงานอยู่ในโลกนี้ ยังอยู่นะ เราหลุดพ้นออกมาจากมันจริง แต่มันยังอยู่นะ  พลังอำนาจนี้ถึงมองไม่เห็น  แต่มันมีอยู่จริงๆ ในโลกฝ่ายวิญญาณ  อย่างที่ผมเคยยกตัวอย่างแล้ว เหมือนกับแรงดึงดูดของโลก ที่มองไม่เห็น แรงดึงดูดของโลกมีอยู่จริงๆ ซึ่งมันทำงานอยู่ในโลกนี้ ซึ่งรวมทั้งร่างกายของเรา ที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้

            โลกวัตถุนี้ มันก็ยังอยู่ในเครือข่ายของอิทธิพลของพลังอำนาจของความบาปและความตาย กิเลสตัณหาของฝ่ายเนื้อหนัง มันสามารถมายุแหย่ มามีอิทธิพลอยู่ในร่างกายของเราได้ อยู่ในสมองของเรา สมองนะ  ก็คือหนึ่งในจำนวนร่างกายของเรา ที่เป็นตัววิเคราะห์ คิดอะไรต่างๆ เหล่านั้น ความเคยชินเดิมๆ ก่อนเชื่อ ที่เราประพฤติ ที่เราเคยใส่เมมโมรี่เอาไว้ เป็นโปรแกรมเอาไว้ว่าเราเคยประพฤติอย่างนี้ ตีมา เราตีกลับ อะไรอย่างนี้ แค้นนี้ต้องชำระ มันยังอยู่นะ ในสมองเก่าๆ มันยังอยู่ ในความคิดจิตใจเดิม ซึ่งมันมีพลังอำนาจ คอยผลักดัน ชักจูงให้เรา ทำตามกิเลสตัณหาของมัน ซึ่งเป็นศัตรูต่อต้านพระเจ้า  คือต่อต้านอะไรต่างๆ ที่พระเจ้าต้องการ  ที่อยู่ข้างในวิญญาณของเรา  คือต่อต้านความประสงค์ของพระเจ้า  ที่ต้องการให้เราทำอย่างนี้  แต่กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง อิทธิพลของเนื้อหนัง ระบบของโลกนี้ มันต่อต้านอยู่

            กาลาเทีย 5:17 อันนี้พูดให้เห็นชัดเลยว่าเพราะอะไร?  จะได้เห็นชัดเลยว่าเกิดอะไรขึ้นในวิญญาณของเรา  ที่สะอาด หมดจด บริสุทธิ์แล้ว …

        กาลาเทีย 5:17  “เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนัง มันต่อสู้กับความต้องการของพระวิญญาณ และความต้องการของพระวิญญาณ ก็ต่อสู้กับความต้องการของเนื้อหนัง  เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้น ท่านจึงถูกขัดขวางในการที่จะทำตามความปรารถนาในใจของท่าน  ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์”

            “ดังนั้น ท่านจึงถูกขัดขวางในการที่จะทำตามความปรารถนาในใจของท่าน ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์” ต้องการทำตามพระเจ้า ต้องการทำตามพระวิญญาณ แต่มีศัตรูมาขัดขวาง  เห็นหรือยัง? ชัดเจนเลยว่ามีศัตรูมาขัดขวาง ศัตรูนั้นก็คืออำนาจของความบาปและความตาย  หรือเรียกว่ากิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ระบบของโลกนี้ ซึ่งยังมีอิทธิพลอยู่ มันไม่ใช่ตัวท่าน ตัวท่านภายใน ต้องการทำตามพระเจ้า  ต้องการทำตามวิญญาณของท่านที่บริสุทธิ์ สะอาด และดีพร้อมเหมือนพระเจ้าแล้ว ต้องการทำตามอย่างนี้แหละ แต่ขณะเดียวกัน มีศัตรูอยู่ภายนอก  พยายามต่อต้าน สิ่งที่อยากกระทำ ท่านอยากจะให้อภัย อยากจะรัก แต่ภายนอก ระบบของโลกนี้ มีแต่การแก้แค้น มีแต่การโกรธเกลียด เกลียดชัง เห็นแก่ตัว

            วิญญาณภายในท่านอยากจะให้ วิญญาณภายนอกอยากจะโลภ เอา มันจะเป็นอย่างนี้แหละ  และใครชนะ ก็บอกแล้ว วิญญาณของเราเป็นนิรันดร์  แต่ภายนอกนั้น มันอยู่ชั่วคราว  ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเราเลย  เพราะฉะนั้น จงมั่นใจว่าท่านเกิดใหม่แล้ว แม้ว่าท่านจะดำเนินชีวิตหลายครั้ง หรือบางครั้ง แพ้ศัตรู ที่คอยขัดขวางท่าน ที่ท่านอยากทำ แล้วท่านไม่ได้ทำ  เพราะว่าสู้มันไม่ได้ก็ตาม ร่วงหล่นลงไปทำตามมัน  ไปโกรธ ไปเกลียด ไปอิจฉาริษยาเขา ไปโลภอะไรต่างๆ เหล่านั้น บ้างก็ตาม แต่ท่านจงมั่นใจว่าวิญญาณของท่านก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม เพราะได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์แล้ว เป็นนิรันดร์ ท่านจะไปอยู่ในสวรรค์นั้น  เมื่อวันหนึ่งท่านออกจากร่าง วิญญาณและความคิดจิตใจท่านไป แล้วก็ไปรับร่างกายใหม่ ท่านไม่ได้หอบเอาโลกใบนี้ และกิเลสตัณหาของโลกใบนี้ ไปด้วยเลย เพราะว่ากิเลสตัณหาของโลกใบนี้  และโลกใบนี้ มันต้องสูญสิ้นไป มันอยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น

            เพราะฉะนั้น การกระทำเหล่านี้ จึงไม่มีส่วนที่ทำให้ท่านเสื่อมเสียอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว  ท่านจงมั่นใจว่าท่านเกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์ บริสุทธิ์ดีพร้อม 100% แล้ว แน่นอน เอเมน  ไม่ว่าเป็นความคิดชั่ว หรือการกระทำผิด ทำบาป ทำชั่วอะไรต่างๆ มันไม่ได้มาจากตัวท่านเลย

            “ความคิดสกปรก ความคิดชั่ว  การกระทำบาป  ไม่ได้มาจากตัวฉันเลย”

            มันมาจากศัตรูข้างนอก มันไม่ใช่ตัวท่าน นี่คือพระคัมภีร์ ท่านเป็นลูกที่เชื่อฟังแล้ว ท่านเป็นลูกที่เชื่อฟัง แล้วที่ไม่เชื่อฟัง ท่านถูกหลอกไป  แต่ท่านเป็นลูกที่เชื่อฟัง ขณะที่ท่านเป็นลูกที่เชื่อฟัง ท่านถูกหลอกไปทำสิ่งที่ต่อต้านนั้น  ท่านไม่ได้เป็นลูกแห่งการต่อต้านพระเจ้า แต่ท่านเป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง ความประพฤติ การกระทำกับการบังเกิดใหม่ มันคนละเรื่องกัน  เป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์ อาจจะบางครั้งคลานเหมือนลิง  แต่เขาไม่ได้เป็นลิง เขาเป็นมนุษย์ แต่คลานเหมือนลิง เขาเป็นมนุษย์ แต่บางครั้ง ตบตีกันยังกับไก่แจ้ มนุษย์เขาไม่ทำกันอย่างนี้หรอก  แต่เขาก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ โรม 6:13 …

        โรม 6:13 “ท่านอย่ายอมให้บาปมันมาใช้ อวัยวะส่วนไหนก็ตามของท่าน เป็นเครื่องมือในการทำบาปชั่ว แต่ให้มอบชีวิตของท่านเองกับพระเจ้า ให้สมกับเป็นคนที่ตายไป และบังเกิดขึ้นมาใหม่แล้ว ดังนั้น ขอให้ท่านยอมให้พระเจ้า ใช้อวัยวะทุกส่วนของร่างกายท่านให้เป็นเครื่องมือในการทำความดี (ตามพระประสงค์อันดีงามของพระเจ้า)”

            “ท่านอย่ายอม” ก็คือท่านมีอิสระ ทั้งๆ ที่ท่านเป็นลูกของพระเจ้า  ที่พระเจ้าให้กำเนิด และพระเจ้าสถิตอยู่กับท่านข้างใน  แต่พระเจ้าไม่ได้ดูแลท่าน เหมือนกับทาส ที่บังคับท่าน ต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น เหมือนหุ่นยนต์ แต่เป็นลูกที่ให้สิทธิกับท่าน  มีอิสรภาพ ท่านจะทำอะไรก็ได้  ท่านจะยอมให้บาปมาใช้ก็ได้ อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของท่าน เป็นเครื่องมือกระทำความชั่ว ก็แสดงว่าร่างกายของเรา ก็ไม่ได้สกปรก เห็นหรือยัง? ร่างกายของเราไม่ชั่วเลย  ไม่สกปรก ไม่บาป ร่างกายของเรา  เป็นเหมือนเครื่องมือชิ้นหนึ่ง เครื่องมืออันหนึ่ง จะให้พระเจ้าใช้ หรือให้ระบบของโลกนี้ใช้  อย่ายอมให้บาปมันมาใช้  ก็คือจะให้บาปเอามาใช้ไหม?  หรือจะให้พระเจ้าที่สถิตอยู่ภายใน หรือวิญญาณของเราข้างในใช้ ใช้ไปทางไหนดี ร่างกายเราไม่ได้ชั่วช้าเลย ไม่ได้สกปรกเลย  มันอยู่ที่เราตัดสินใจว่าเราจะให้เครื่องมือนี้  ให้ฝ่ายไหนเป็นฝ่ายใช้ เพราะเรามีพระเจ้าสถิตอยู่ภายในแล้ว  พระวิญญาณสถิตอยู่ภายในแล้ว

            ยกตัวอย่างว่าร่างกายเราเหมือนกับมีด เรามีมีดอยู่ ตัวมีดเอง มันไม่ได้มีความหมายอะไรว่ามันจะชั่วหรือไม่ชั่วเลย ดีหรือไม่ดีเลย  เราสามารถตัดสินใจว่าจะเอามีดไปปอกผลไม้เย็นๆ ให้กับผู้คนเดินผ่านไปผ่านมา  ทำกับข้าวให้เขากิน  แล้วเราก็มีความสุข เขาก็มีความสุขด้วย หรือเราจะเอามีดไปไล่แทงคน  แล้วเขาก็มีความทุกข์ เราก็มีความทุกข์ และได้รับโทษด้วย  จะเอาอย่างไหน? ตัวมีดไม่ได้มีผลอะไรสักนิด จะไปบอกมีดเลวหรือ? ไม่ใช่มีดเลว มีดมันเป็นมีดเฉยๆ ลักษณะอย่างนั้น  อย่ายอมให้บาปมันมาใช้ ก็คืออย่ายอมให้ความคิดของโลกนี้  ฟังให้ดีๆ  บาป คือของโลกนี้  ตัวเราไม่มีบาปแล้ว เราไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว  อย่ายอมให้โลกนี้  ก็คือบาปที่อยู่ในโลกนี้ ความเลวทราม ที่อยู่ในโลกนี้ มามีอิทธิพล ใช้ร่างกายของเรานี้ ในการทำชั่ว  เห็นหรือยัง?  ชัดเจนนะ  แต่ทางตรงกันข้าม คือให้มอบชีวิตของท่านเองกับพระเจ้า  ให้สมกับคนที่ตายไปแล้ว  ท่านตายต่อบาปแล้ว  แล้วไปยอมมันอีกทำไม?

            ท่านบังเกิดใหม่แล้ว “ดังนั้น ขอให้ท่านยอมให้พระเจ้าใช้อัวยวะทุกส่วนของร่างกายของท่าน ให้เป็นเครื่องมือในการกระทำดี (ตามพระประสงค์อันดีงามของพระเจ้า)” มาทำตรงกันข้ามดีกว่า  เพราะท่านตายไปแล้วจากวิญญาณเก่า ท่านไม่ได้เป็นทาสบาปอีกแล้ว ท่านจะไปยอมมันอีกทำไม?  อย่าไปยอมมัน ท่านมีกำลังชนะมันแล้ว เพราะท่านไม่ได้เกิดมาเป็นลูกแห่งการไม่เชื่อฟังอีกแล้ว ท่านเป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง  เพราะฉะนั้น อย่าไปยอมมัน

            ทำความดีตามประสงค์อันดีงามของพระเจ้า คืออะไร? เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าอยู่ข้างในท่าน เป็นพี่เลี้ยงของวิญญาณของท่าน  ที่บริสุทธิ์ สะอาด และดีพร้อมแล้วนั้น นึกภาพนะ ทางโลกวิญญาณ ท่านเป็นลูกของพระเจ้าที่เชื่อฟัง   เพราะฉะนั้น ให้ทำดี  ตามพระประสงค์ของพระเจ้านี้ ก็คือทำตามพระวิญญาณข้างในใจของท่าน ที่เป็นลูกที่เชื่อฟังโดยธรรมชาติแล้ว ไม่ใช่ทำดีตามกฎบัญญัติ อันนี้มันเข้าใจยากมากเลย  ท่านทำดีตามพระประสงค์ของพระเจ้า คือทำดีตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างใน  ตามความบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในวิญญาณของท่าน ที่อยู่ข้างใน ตามความเป็นธรรมชาติที่ท่านเป็นลูกที่เชื่อฟังพระเจ้าแล้ว  ที่อยู่ข้างใน

            ความต้องการนี้บริสุทธิ์  ท่านจึงทำตามความดีนี้ ไม่ใช่ทำดี ตามกฎบัญญัติที่เขาบอกว่าท่านต้องทำอย่างนี้ ท่านต้องทำอย่างนั้น ไม่ใช่การทำดีตามบัญญัติ เพื่อจะเพิ่มเติมสถานะของการเป็นลูกของพระเจ้า ให้สมบูรณ์มากขึ้น  หรือเป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อม มากขึ้น  เพราะสิ่งเหล่านี้ เราได้เป็นแล้ว สมบูรณ์ เรียบร้อยแล้ว ด้วยความเชื่อ ในการงานที่สำเร็จแล้วของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนเท่านั้น เราทำดี เพราะว่าข้างในมันดี เราเชื่อในพระเยซู เพราะว่าพระองค์ทรงกระทำให้เราเป็นคนดี เราไม่ได้กระทำดีตามกฎ เพื่อว่าเราจะได้ดีมากขึ้น  เราจะได้สมบูรณ์แบบมากขึ้น เราจะได้ดีพร้อมมากขึ้น เพราะถ้าเราทำตามกฎและบัญญัติ แล้วความต้องการอย่างนี้ ก็แสดงว่าเราไม่เชื่อพระเยซูว่าพระองค์ทรงกระทำครั้งเดียวเป็นพอ สำเร็จแล้ว ทำให้เราบริสุทธิ์ ดีพร้อม เรียบร้อยแล้ว เหมือนพระองค์แล้ว  เราบอกยังไม่เหมือนหรอก เราจะต้องทำดี เพื่อจะได้ดีพร้อมเหมือนพระองค์ มันหลอก วิธีหลอกล่อของมัน หลายวิธีเหลือเกิน ซึ่งเมื่อเราทำไป มันก็เลยกลายเป็นระบบของโลก หรือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง แบบดูดี

            เรามาโบสถ์ เพื่อพระเจ้าจะรักเรามากยิ่งขึ้น  เพื่อว่าเราจะได้เป็นลูกของพระองค์ สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น  อย่างนี้ดูดี  เราอธิษฐาน เราอ่านพระคัมภีร์เยอะๆ มากๆ เพื่อให้พระเจ้าพอใจ เพื่อเราจะได้เป็นคริสเตียนที่สมบูรณ์พร้อม บริสุทธิ์ดีพร้อม ดูดี

            กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังที่ดูไม่ดี ก็คือเรายังคิดชั่ว เรายังคิดโกรธเขา เกลียดเขา  ไม่ให้อภัยเขา นินทาชาวบ้านเขาอยู่เลย  ไม่ควรทำอย่างนี้ อย่างนี้เขาเรียกว่าคิดชั่ว มันเห็นชัด  เพราะฉะนั้น ก็ต้องคิดให้ดีๆ ข้อสุดท้ายสำหรับวันนี้ โรม 6:14 …

        โรม 6:14 “เพราะบาปไม่ได้เป็นนายของท่านอีกต่อไป ด้วยว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้บทบัญญัติ (ไม่ได้เป็นทาสของมันแล้ว) แต่อยู่ใต้พระคุณ”

            เพราะว่าเราอยู่ใต้พระคุณ ไม่ได้อยู่ใต้กฎบัญญัติอีกต่อไปแล้ว

            “ก่อนเชื่อ เราได้ตายจากพระเจ้า มาอยู่ในบาป อยู่ภายใต้กฎบัญญัติ หลังเชื่อ เราได้ตายจากบาป มาเกิดใหม่อยู่ในพระเจ้า อยู่ภายใต้พระคุณ”

            พูดง่ายๆ ก็คือก่อนเชื่อ เราได้ตายจากพระคุณของพระเจ้า  มาอยู่ในบาป  อยู่ภายใต้กฎบัญญัตินั่นเอง พอหลังเชื่อ เราได้ตายจากบาป ได้ตายจากกฎของบัญญัติแล้ว มาเกิดใหม่ อยู่ในพระเจ้า อยู่ในพระคุณของพระเจ้านั่นเอง วิญญาณเก่าของเรา ที่อยู่ในบาป  อยู่ภายใต้พลังอำนาจของกฎของความบาป และความตาย คือภายใต้บทบัญญัติ กฎของการทำดีทำชั่ว  ที่เรียกว่ากฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ เราคุ้นกันดีเหลือเกิน  ซึ่งตัวตนเก่านี้ ได้ตายไป สูญสิ้นไปแล้ว เราไม่ได้อยู่ในความบาปและความตายนี้อีกต่อไป  เพราะว่าตัวเก่านี้ ตัวบาปนี้ได้สูญสิ้นไปแล้ว เราได้เกิดใหม่ในพระคริสต์แล้วต่างหาก

            เพราะฉะนั้น ตัวตนในวิญญาณใหม่นี้ ที่อยู่ในพระคริสต์ และอยู่ในพระเจ้านี้ อยู่ใต้พลังอำนาจเหมือนกัน แต่เป็นพลังอำนาจของกฎของวิญญาณแห่งชีวิตในพระคริสต์ เราเป็นอิสระจากพลังอำนาจของกฎของความบาปและความตาย กฎแห่งกรรมแล้ว  กฎแห่งกรรมมีไหม? มีอยู่ แต่เราเป็นอิสระจากกฎแห่งกรรมแล้ว  ไม่ใช่ว่ากฎแห่งกรรมไม่มี กฎแห่งกรรมมีจริง กฎแห่งการกระทำดีทำชั่วมีไหม? มีจริงๆ  นี่เรากำลังพูดถึงโลกวิญญาณนะ  แต่เราเป็นอิสระจากกฎเหล่านี้แล้ว ตอนนี้เราอยู่ในกฎวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ เราอยู่ภายใต้กฎแห่งพระคุณของพระเจ้า  ไม่ได้อยู่ในกฎแห่งการกระทำดีกระทำชั่วอีกต่อไป แต่เราอยู่ในกฎแห่งพระคุณของพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น เราดำเนินชีวิตด้วยตัวตนในวิญญาณใหม่ข้างใน ดำเนินชีวิตด้วยวิญญาณ มันแปลว่าอย่างนี้  ทำทุกสิ่งจากใจ มันแปลว่าอย่างนี้ จากใจที่ได้บังเกิดใหม่ ดำเนินชีวิตด้วยตัวตน ด้วยวิญญาณใหม่ ที่อยู่ในพระคริสต์ ซึ่งมีธรรมชาติเป็นลูกแห่งการเชื่อฟังของพระเจ้า  ธรรมชาตินี้จึงต้องการทำแต่ความดีงาม เหมือนพระเจ้า โดยมีอิสรภาพ เสรีภาพในการตัดสินใจ ไม่ได้อยู่ใต้การบังคับของกฎ หรืออะไรทั้งสิ้น พระเจ้าไม่ได้เอากฎมาตั้งให้เราอีกต่อไปแล้ว แต่เอาพระคุณอย่างเดียวว่าเชื่อมั่นในตัวเราว่าพระองค์ให้เราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ มีพระลักษณะของพระองค์ มีความบริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมเหมือนพระองค์แล้ว  เป็นลูกที่เชื่อฟังด้วยต่างหาก พระองค์มั่นใจตรงนี้มาก และให้เรามีอิสระเลย ไม่ต้องห่วงเลย เราอยู่ภายใต้พระคุณมันหมายถึงอย่างนี้  และพระองค์ประทานพี่เลี้ยงให้เราอีกต่างหาก คือให้พระวิญญาณบริสุทธิ์มาเป็นพี่เลี้ยง คอยนำทางเรา สถิตอยู่ในใจเรา

            เพราะฉะนั้น นี่คือความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ ใครมีหูจงฟังเถิด ใครมีตาจงมองให้เห็นเถิดว่านี่คือความจริงของโลกฝ่ายวิญญาณ ผู้ใดที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ โรม 8:1-2 บันทึกไว้ว่าอย่างนี้ …

        โรม 8:1-2 “ดังนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตได้ปลดปล่อยท่าน เป็นอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย”

            พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            โลกนี้บอกว่า … “ท่านต้องชดใช้หนี้บาปเวรกรรม”

            พระเยซูบอกว่า … “เราชดใช้หนี้บาปเวรกรรมให้ท่านแล้ว”

            ท่านเชื่อใครครับ?

            ท่านรู้หรือไม่ว่าหนี้บาปเวรกรรมที่มนุษย์ทุกคนต้องชดใช้นั้น พระเยซูคริสต์ได้แบกรับไปหมดเรียบร้อยมา  2,000 ปีแล้ว แค่รับรู้ความจริงนี้ และเปิดใจต้อนรับสิทธิของท่านในพระเยซูคริสต์เท่านั้น

            1 เปโตร 2:24 … “พระองค์เอง (พระเยซู) ทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกายบนไม้กางเขนนั้น (ยอมมอบชีวิตพระองค์เองแด่พระเจ้า เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาป เป็นแพะรับบาป ให้มวลมนุษย์) เพื่อเรา จะได้ตายต่อบาป (เป็นอิสระจากหนี้บาปเวรกรรม) และสามารถกลายมาเป็น ผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ด้วยบาดแผล (การตายด้วยความทุกข์ทรมาน) ของพระองค์ พวกท่าน (ผู้ที่เชื่อ)ได้รับการรักษาให้หาย (จากบาป)”

            2 โครินธ์ 5:21 … “พระเจ้าทรงกระทำพระองค์  (พระเยซู) ผู้ปราศจากบาปให้เป็นบาปเพื่อเรา เพื่อในพระองค์ เราจะกลายเป็นความชอบธรรมของพระเจ้า”

            ท่านเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป โดยการตายพร้อมพระเยซู และเป็นขึ้นใหม่ พร้อมพระเยซูแล้ว ขณะนี้  พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1465 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  เมษายน  2024

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 1

โดย วราพร  คงล้วน

            หนังสือกาลาเทีย บทที่ 1 ข้อที่ 1 บอกว่า …

        กาลาเทีย 1:1 “จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโล   ผู้เป็นอัครทูต ข้าพเจ้าไม่ได้ถูกส่งมาจากมนุษย์หรือโดยมนุษย์ แต่โดยพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย”

            แค่ข้อแรกอาจารย์เปาโล ทำไมต้องแนะนำตัวถึงขนาดนี้  เหมือนกับกำลังโอ้อวดตัวเองหรือเปล่าว่า …

            “ฉันเป็นอัครทูตนะ  มาจากพระเยซูคริสต์โดยตรง”

            ความเป็นจริงในบริบทของจดหมายฉบับนี้  ก็คืออาจารย์เปาโลถูกต่อว่า ส่วนใหญ่เป็นคนยิวด้วยกัน  ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า คนยิวจะมี 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งยังคงนับถือกฎเดิมอยู่ ก็คือที่เขานับถือกฎบัญญัติที่โมเสสตั้งไว้ แล้วยังคงเชื่อมั่นว่าตัวเองสามารถรักษากฎบัญญัติเหล่านั้นได้ ด้วยกำลังของตัวเอง สามารถประพฤติได้เยอะกว่าคนอื่น  กลุ่มนั้น เขาจะไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ คือพระมาซีฮาห์  แต่จะมีอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ฟังข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า  ที่พระเยซูคริสต์ได้ประกาศ แล้วเขาก็เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์จริงๆ  ตามที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับคนยิว ตั้งแต่เริ่มต้นว่าพระองค์ประทานบทบัญญัติ

            แต่อนาคตข้างหน้า พระองค์จะประทานพระมาซีฮาห์ ตามพระสัญญา ก็คือพระมาซีฮาห์มาปุ๊บ  คนยิวก็ต้องเปลี่ยนจากการเชื่อวางใจในกฎบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ มาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าส่งมา ก็คือก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์ถูกส่งมา คนยิวก็อยู่ในกฎบัญญัติ ที่พระเจ้าตั้งไว้แล้ว แล้วพระเจ้าก็เลือกคนยิวให้เป็นประชากรของพระองค์

            หมายความว่า ณ เวลานั้น ก่อนพระเยซูมา คนยิวประพฤติ ปฏิบัติตามกฎที่พระเจ้าพระบิดาตั้งไว้ คนเหล่านั้นจะเป็นประชากรของพระองค์ ตามที่พระองค์ตั้งเป้าไว้ ก็คือคนยิวทุกคนจะเชื่อฟังตามที่โมเสสบอกไว้ ให้อาโรน เป็นมหาปุโรหิต แล้วคนยิวทุกคน เมื่อถึงเวลากำหนด ก็ต้องเอาเครื่องบูชามาถวาย  ปีหนึ่ง ครั้งหนึ่ง เป็นการถวายใหญ่เลย ก็คือพระเจ้าตั้งไว้  จะเป็นวันหนึ่งที่คนยิวทุกคนจำเป็นจะต้องมาถวายเครื่องบูชาใหญ่ คือนำเอาแกะที่ไม่มีตำหนิ ตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ มาให้กับปุโรหิต แล้วมหาปุโรหิตผู้เดียวเท่านั้น ที่สามารถเข้าไปในอภิสุทธิสถานของพระเจ้า แค่ปีละครั้ง เข้าไปในอภิสุทธิสถานปุ๊บ ต้องรีบๆ ทำภารกิจของตัวเองให้สำเร็จ แล้วก็รีบๆ ออกจากสถานที่นั้น คืออภิสุทธิสถาน

            แล้วอภิสุทธิสถานตรงนี้ พระเจ้ากำหนดไว้แล้วว่าจะมีม่านที่กั้นไว้  ก็คือไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถเข้าไปได้เลย  ถ้าเข้าไปปุ๊บ ตาย เพราะว่าสถานที่นั้น เป็นสถานที่บริสุทธิ์ที่สุด  เป็นที่สถิตของพระเจ้า พระบิดา

            สิ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้ ก็คือมหาปุโรหิตผู้เดียวเท่านั้น ปีละครั้ง เข้าไปในอภิสุทธิสถานเพื่อที่จะนำเอาเครื่องถวายบูชา ไปถวายให้กับพระเจ้า  ก็คือนำเอาเครื่องถวายบูชาของประชากรทั้งหมดของคนอิสราเอล ที่มาถวายให้กับพระเจ้า เอาเลือดไปประพรมแท่นบูชา  เป็นกฎที่พระเจ้าตั้งไว้

            ดังนั้น เป็นหนึ่งอย่างที่ถูกกำหนดไว้ อย่างที่พระคัมภีร์บอก ถ้าไม่มีการหลั่งโลหิต ก็จะไม่มีการอภัยโทษบาป ในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เลือด คือชีวิต” ทำไมถึงพูดอย่างนั้น ถ้ามนุษย์คนหนึ่งเลือดไหลจนหมดตัว มนุษย์คนนั้นตาย ถ้าร่างกายเราไม่มีเลือดแม้แต่หยดเดียว  ก็คือตาย  ฉะนั้น พระคัมภีร์ใช้คำว่าเลือด คือชีวิต แล้วชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต ตรงนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ตามที่พระเจ้าบอกกับอาดัม เอวา ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ถ้าเจ้าขืนกินผลไม้ที่เราห้าม เจ้าจะตาย ก็คือไม่มีชีวิต

            ทันทีที่มนุษย์ล้มลงในความบาป ชีวิตนิรันดร์ ที่ได้ประทานให้กับมนุษย์คู่แรก ชีวิตที่เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ชีวิตที่สะอาด บริสุทธิ์ ชีวิตที่ไร้เดียงสามาก เมื่อความบาปนั้นเข้ามา ชีวิตนั้นมันหายไป  เท่ากับว่าความบริสุทธิ์ ความสะอาด ความชอบธรรมของพระเจ้าหลุดไปจากมนุษย์ ตั้งแต่วินาทีแรก ที่มนุษย์ตัดสินใจที่จะพึ่งในการกระทำของตัวเอง

            ทำไมเรารู้ว่ามนุษย์ตัดสินใจแบบนั้น เพราะพระเจ้าบอกกับอาดัม เอวา ตั้งแต่ต้นแล้วว่าเจ้าเป็นเหมือนเราเลย  เราสร้างเจ้าดีมาก  เป็นพระฉายของเราเลย  เจ้าไม่ต้องทำอะไร เจ้าทำอย่างเดียว ก็คือไปชื่นชมยินดีกับสิ่งที่เราสร้างไว้ให้ ก็คือสวนเอเดน ทุกอย่างเลย สิงห์ สาราสัตว์ เจ้าไปคลุกคลีตีโมงได้เลย ก็คือสัตว์สมัยที่มนุษย์ยังไม่ล้มลงในความบาป  มนุษย์สามารถเล่นได้กับสัตว์ทุกตัว สิงโตก็ไม่ดุร้าย ทุกอย่างเป็นเพื่อนกันหมดเลย แต่เมื่อความบาปเข้ามาในโลกปุ๊บ สถานะเปลี่ยนไป สัตว์ทุกตัวที่ดูเหมือนเชื่อง มันกลายเป็นสัตว์ที่ดุร้ายเรียบร้อยไปแล้ว มนุษย์ไม่สามารถที่จะไปเล่นหัวกับสิงโตได้เลย โดนงับพอดี

            นั่นคือภาพที่พระเจ้าให้เราเห็น  เห็นถึงความรุนแรงในคำสั่ง ที่พระเจ้าสั่งให้มนุษย์ทำ ถ้ามนุษย์คู่แรกเชื่อฟังสิ่งที่พระเจ้าบอก ก็จะไม่เกิดผลตรงนี้  แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือพระเจ้าให้อิสรภาพกับมนุษย์ ให้อิสรภาพกับผู้ที่พระองค์ทรงสร้างไว้ ให้เขามีสิทธิที่จะตัดสินใจเอาเองว่าจะเชื่อฟังใคร?  พระเจ้าบอกไว้เท่านั้นเองว่า …

            “อันนี้เธอกินได้หมดเลยนะ ยกเว้นต้นนี้ อย่ากินนะ  กินเมื่อไรเธอตาย”

            แล้วพระเจ้าก็ให้อิสระว่าจะเชื่อฟังดีหรือไม่เชื่อฟัง แต่ว่าเอวาถูกหลอก งูบอกว่า …

            “พระเจ้าไม่ได้หมายความอย่างนั้นหรอก ถ้าเธอกินผลไม้นั้น  เธอไม่ตายหรอก แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือตาเธอจะสว่าง แล้วเธอจะมีความสามารถทำทุกอย่างได้เทียบเท่าพระเจ้า  เธอจะสามารถรู้เรื่องความดีและความชั่ว เธอจะสามารถที่จะทำดีได้มากกว่านี้”

            ซึ่งมารมันหลอก หลอกเอวา แล้วเอวาก็เชื่อตามนั้นด้วย ที่เอวาตัดสินใจกินผลไม้อันนั้น เพราะว่าเขาอยากจะทำดี ไม่ได้อยากจะทำชั่วนะ พี่น้องอย่าคิดว่าเขาอยากจะทำชั่ว เขาอยากจะทำดี ด้วยกำลังของตัวเอง เพื่อให้พระเจ้าภูมิใจในตัวเขา เหมือนกับลูกๆ ในปัจจุบัน อยากจะทำสิ่งที่ดี เพื่อให้พ่อแม่ภูมิใจ ลักษณะเดียวกัน  ฉะนั้น เอวาก็ตัดสินใจที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า  แต่ไปเชื่อฟังการล่อลวงของมาร กินผลไม้ที่พระเจ้าห้าม

            พระเจ้าตั้งกฎไว้เรียบร้อย กินเมื่อไร เธอตายเมื่อนั้น คำว่า “ตาย” คือตายจากพระเจ้า  พระสิริของพระเจ้าที่เคยปกคลุมอยู่เหนืออาดัมกับเอวา มันหลุดหายไป  เท่ากับมนุษย์คู่แรก กำลังบอกกับพระเจ้าว่าขอพึ่งพาตัวเอง ขอพึ่งการทำดีของตัวเอง  ตอนนี้ขอลองสักตั้งหนึ่ง ทำดีด้วยตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพระเจ้าแล้ว  แล้วพระเจ้าก็บอกชัดเจน

            พระเจ้า คือความดีงาม  เมื่อความดีงามหลุดไปจากมนุษย์ปุ๊บ มนุษย์ทำดีไม่เป็น มันไม่มีทาง ที่อาดัมกับเอวาเป็นคนดี  พระเจ้าบอกเขาเป็นคนดี ถูกสร้างมาดีเลย มีพระสิริของพระเจ้าอยู่ในเขา เมื่อความดีงามของพระเจ้าหลุดหายไป ความชั่วร้ายมันเข้ามาแทนที่ทันที ความบาปเข้ามาแทนที่ พระสิริของพระเจ้าหายไป  มนุษย์ไม่สามารถที่จะอยู่กับพระเจ้าได้แล้ว เพราะว่ามนุษย์ทำบาปแล้ว

            นี่คือที่มาที่ไปที่มันเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้  แล้วประวัติศาสตร์นี้มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เมื่อพระเจ้าเขียนไว้แล้วว่าถ้าเจ้าขืนกิน เจ้าจะต้องตายกับตาย  มนุษย์ก็เลยต้องรับผิดตรงนี้ ตายอันดับแรก คือวิญญาณตายจากพระเจ้า ความดีงามของพระเจ้าตายจากมนุษย์ ความชอบธรรมของพระเจ้า ก็ตายไปด้วย ก็คือไม่อยู่กับมนุษย์แล้ว มนุษย์ก็เหลืออะไร ถ้าไม่มีความชอบธรรม  ก็เหลือแต่ความไม่ชอบธรรม คือความเลวร้ายทั้งหมด สิ่งที่เหลืออยู่ ณ เวลานี้

            เราเห็นภาพที่พระเจ้า เตรียมแผนการที่ล้ำเลิศให้กับมนุษย์ ภาพจากในปฐมกาล บทที่ 3  ที่เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาปปุ๊บ พระเจ้าให้ความช่วยเหลือทันที ไม่รอช้าเลย  ทันทีที่พระเจ้ารู้ว่ามนุษย์ ล้มลงในความบาป  จริงๆ พระเจ้ารู้อยู่แล้วว่ามนุษย์ มีสิทธิ์ที่จะล้มลงในความบาป

            อันดับแรกที่พระเจ้าทำ คือฆ่าสัตว์ตัวหนึ่ง ถ้าพี่น้องยังไม่เคยอ่านหนังสือปฐมกาล กลับไปอ่านดูอีกครั้งหนึ่งได้  ก็คือทันทีที่อาดัมกับเอวากินผลไม้ต้นนั้น พระสิริของพระเจ้าหายไปปุ๊บ อาดัมกับเอวามองหน้ากัน 2 คน ทำไมเธอไม่ใส่เสื้อผ้าล่ะ เธอโป้อยู่ ก่อนหน้านั้นมีพระสิริของพระเจ้า เป็นเครื่องนุ่งห่ม ไม่รู้สึกว่าตัวเองโป้  พอพระสิริของพระเจ้าหายไป โป้ แล้วทำอย่างไร?  อายไง เวลาโป้ มันรู้สึกอาย เมื่อก่อนบริสุทธิ์ สะอาด หมดจดเหมือนพระเจ้า อายไม่เป็น เกิดความอาย ก็เลยต้องไปใช้วิธีที่มนุษย์ใช้ ไปเอาใบไม้มาห่อหุ้มร่างกายไว้ เพื่อปกปิดความอาย  พี่น้องลองคิดดูว่าใบไม้เอามาห่อหุ้มตอนเช้า ตอนเย็นก็เหี่ยวเรียบร้อยแล้ว ก็คือมนุษย์ไม่สามารถใช้ความดีของตัวเอง ที่จะมาปกปิดร่างกายของตัวเองได้เลย แต่พระเจ้าใช้วิธีแรกเลย ตั้งแต่เริ่มต้นที่มนุษย์ล้มลงในความบาป ก็คือฆ่าสัตว์ตัวหนึ่ง ชีวิตชดใช้ด้วยชีวิต แล้วก็เอาหนังสัตว์นั้นมาห่อหุ้มร่างกายให้กับมนุษย์ ก็คือปกปิด ความน่าอายของมนุษย์คู่แรก  เป็นภาพที่พระเจ้าทำให้เห็นว่าอนาคตข้างหน้า ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมา พระองค์จะให้ทำพิธีกรรมนี้ ก็คือมนุษย์ต้องเอาสัตว์มาถวาย

            พี่น้องเคยได้ยินคำว่าแพะรับบาปไหม? ก็คือเอาสัตว์ตัวหนึ่งซึ่งไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เป็นสัตว์ที่ไร้ตำหนิ เอามาฆ่า ถวายให้พระเจ้า เพื่อเอาเลือดของสัตว์ตัวนั้นมาประพรม ที่แท่นบูชา แล้วก็ปกปิดความบาปให้กับมนุษย์คนนั้น 1 ปี แค่ 1 ปี ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป อันนั้น คือภาพที่พระเจ้าเตรียมการไว้แล้ว แล้วพระเจ้าก็เลือกมนุษย์กลุ่มหนึ่ง ที่เรียกว่าคนยิว จริงๆ ในพระคัมภีร์จะมีมนุษย์อยู่แค่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรก คือคนยิว  กลุ่มที่  2 คือคนต่างชาติ  … คนต่างชาติ ก็คือพวกเราทั้งหลาย ไม่ว่าประเทศไหน? อังกฤษ อเมริกา อิตาลี ประเทศอะไรก็แล้วแต่ที่ไม่ใช่อิสราเอล เราเรียกว่าคนต่างชาติ แล้ว ณ เวลานั้น สมัยที่พระเจ้าเลือกคนยิวมา เรียกว่าประชากรของพระองค์ คนยิวมีความภาคภูมิใจในการเป็นประชากรของพระองค์ แล้วคนยิวเหล่านี้ก็จะเหยียดคนต่างชาติ คือไม่เห็นคนต่างชาติในสายตา ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้าน ก็คือเหมือนหมู เหมือนหมา คือคนต่างชาติไม่มีระดับ ห้ามมายุ่งกับเราเลย เพราะเราเป็นคนของพระเจ้า  แล้วคนยิวก็ทำพิธีกรรมนี้มาตลอด ตามที่พระเจ้าสั่งไว้ ก็คือ 1 ปี เอาสัตว์มาถวายบูชา

            แล้วในระหว่างปีล่ะ พี่น้องลองคิดดูนะ ในระหว่างปี ก็ยังมีการทำผิดพลาดตลอดเวลา จริงไหม? เมื่อผิดปุ๊บ กฎบัญญัติที่พระเจ้าเขียนไว้ในหนังสือเลวีนิติ จะเขียนไว้ว่าถ้าคนยิวทำผิดเรื่องนี้ จะต้องเอาอะไรมาถวายให้พระเจ้า สมัยก่อนกฎเยอะนะ สมมติว่าไปด่าคน ไปเอาแป้งมากี่เท่าไร? มาถวายให้พระเจ้า หรือถ้าทำรุนแรงกว่านั้น ต้องเอาเครื่องบูชาอะไรที่พระเจ้ากำหนด มันเยอะมาก แต่ว่าคนยิวต้องทำ  แล้วถ้าไปทำอะไรนิดหนึ่ง เป็นมลทิน เข้ามาในวิหารของพระเจ้าไม่ได้ ต้องไปกักตัว

            แล้วสมัยก่อน ถ้าในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “ผู้ชาย” คือไม่มีนับผู้หญิงนะ ก็แสดงว่าต้องมีผู้หญิงพ่วงมา ก็ไม่มีการนับ แต่เป็นการรู้กันโดยปริยายว่าถ้ามีผู้ชาย เราบวกไปเลย ผู้หญิง ภรรยาย 1 คน ลูกอีก 2 คน ก็คือตอนที่พระเยซูเลี้ยงคน 5,000 คน เขียนว่านับผู้ชายได้ 5,000 คน หมายความว่า ณ ตรงนั้น จะมีคนไม่ต่ำกว่า 20,000 คน ที่ได้กินขนมปังอิ่ม นี่เป็นภาพ เรื่องปลีกย่อยฝอย จริงๆ แล้วไม่ได้สำคัญหรอก แต่เล่าให้ฟัง เพื่อเราจะได้รับรู้ว่ามันเป็นอย่างนี้นะ

            แล้วคนยิวก็ต้องมาถวายเครื่องบูชา  เวลาทำผิดนิดผิดหน่อย เป็นมลทิน เข้าวิหารไม่ได้ ต้องไปกักตัว 5 วัน 7 วัน 14 วันก็แล้วแต่ แต่ว่าการที่ทำผิดเล็กๆ น้อยๆ ฝอยๆ นี้ ไม่ต้องถึงมหาปุโรหิต ปุโรหิตธรรมดา เขาก็จะถวายเครื่องบูชารายวัน ในแต่ละวัน ก็คือเข้าไปในอภิสุทธิสถานไม่ได้ อยู่แค่ลานชั้นกลาง ก็คือวิสุทธิสถานเท่านั้น

            นี่เป็นภาพที่เราจะมองเห็น พอเราเห็นภาพพวกนี้ เราจะขอบคุณพระเจ้ามากๆ เลย ที่เราเกิดในยุคปัจจุบัน แล้วเราก็ไม่ได้เป็นคนยิวด้วย  ถ้าเราเกิดในยุคของสมัยพระเยซูคริสต์ ก่อนหน้าพระเยซูคริสต์ แล้วเป็นคนยิว เราต้องเข้าไปในกฎเกณฑ์เยอะแยะ มากมาย มหาศาลมาก

            ฉะนั้น กฎตรงนี้ พระเจ้าบอกวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะส่งพระมาซีฮาห์มาให้ และเมื่อพระมาซีฮาห์มาปุ๊บ  พระองค์จะเป็นแกะถวายบูชา  ในพระคัมภีร์หนังสือวิวรณ์จะเรียกพระเยซูคริสต์ว่าพระเมษโปดก เป็นแกะที่ถูกนำไปฆ่า เป็นแกะตัวเดียว บนโลกใบนี้  ที่ไม่มีเชื้อบาปเลย เป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ มาจุติในครรภ์ของหญิงพรหมจารี ที่ชื่อมารีย์ แล้วก็คลอดออกมา ตามธรรมชาติ เหมือนมนุษย์ทุกอย่าง แต่สิ่งที่ไม่เหมือน คือพระองค์ไม่มีเชื้อบาป  เลือดของพระเยซูคริสต์เป็นเลือดที่บริสุทธิ์ เป็นเลือดของคนผู้เดียวเท่านั้น ที่จะสามารถชำระล้างความผิดบาปให้กับมนุษยชาติบนโลกใบนี้ได้

            แล้วพระเจ้าก็เตรียมแผนการมาหลายพันปี ส่งคนแล้วคนเล่า ผู้เผยพระวจนะมาบอก เดี๋ยววันหนึ่งข้างหน้าพระมาซีฮาห์จะถูกส่งมา ถูกส่งมาแบบไหน? เป็นพระกุมาร จะเกิดในรางหญ้า จะเจริญเติบโตแบบไหน?  พระเยซูเกิดที่เบธเลเฮม แต่เขาไม่ได้เรียกพระเยซูว่าพระเยซูชาวเบธเลเฮม แต่เขาเรียกพระเยซูชาวนาซาเร็ธ เพราะว่าพระเยซูไปเจริญเติบโตที่นาซาเร็ธ

            ฉะนั้น พวกนี้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์หมดเลยทุกอย่าง เพื่อจะได้ให้คนยิวรับรู้ว่าสิ่งนี้พระเจ้าเตรียมการไว้แล้ว ถ้าเกิดมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น มนุษย์คนนั้นเกิดขึ้น ให้รู้ว่าคนนั้นแหละ คือพระมาซีฮาห์ที่พระเจ้าส่งมา  แต่พอถึงวันที่พระมาซีฮาห์มา คนยิวก็ไม่รับรู้ว่าพระเยซูคริสต์ คือพระมาซีฮาห์  ไม่เชื่อด้วยซ้ำไปว่าพระองค์มาจากพระเจ้า นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น

            เมื่อคนยิวไม่เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้ ข่าวดีของพระเจ้า ก็เลยถูกประกาศออกไปถึงคนต่างชาติ มาถึงเราแล้วนะ ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเป็นอัครทูตคนเดียวที่พระเจ้าเลือกไว้ให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ ก็คือพวกเรานั่นแหละ ที่ไม่ใช่ยิว  จดหมายฝากฉบับนี้  ที่อาจารย์เปาโลต้องพูดแบบนำเสนอตัวเองว่า …

            “ฉันเป็นอัครทูตนะ ฉันไม่ได้มาจากมนุษย์นะ แต่ว่าพระเยซูคริสต์เองเป็นผู้แต่งตั้งฉันมาเอง”

            เพราะเหตุว่าคนยิว เขาเหมือนดูถูกอาจารย์เปาโลว่าไม่ใช่อัครทูตหรอก อาจารย์เปาโลไม่ได้เดินกับพระเยซู คำว่า “อัครทูต” คือคนที่ได้เดินกับพระเยซู เจอหน้าพระเยซู ได้รับข่าวสาร โดยตรงจากพระเยซู แล้วอัครทูตถูกใช้เฉพาะพวกสาวก 12 คนกับบวกมาอีกคนหนึ่ง คืออาจารย์เปาโล

            อาจารย์เปาโลไปเจอพระเยซูตอนหลังจากที่พระเยซูได้สิ้นพระชนม์ ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว คือไม่ได้ติดตามพระเยซูตอนที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ ไม่เหมือนกับเหล่าสาวก 12 คน ฉะนั้น พวกคนยิวเขาเลยบอกว่าอาจารย์เปาโล ไม่ใช่อัครทูตแน่นอน จะมาสอนเรื่องของพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร? จะมาประกาศข่าวดีของพระเจ้าได้อย่างไร?

            อาจารย์เปาโลก็เลยมายืนยันตัวของท่านเองว่า … “ฉันเป็นอัครทูตจริงๆ ฉันได้เจอกับพระเจ้าหน้าต่อหน้า แล้วข่าวประเสริฐ ข่าวดีนี้ ที่ฉันได้รับ ไม่ได้ได้รับจากมนุษย์เลย ไม่ได้รับจากเปโตร หรือใครต่อใครที่เป็นอัครทูต แต่ฉันได้รับจากพระเยซูคริสต์โดยตรง”

            เราจำตอนที่อาจารย์เปาโลเดินทางไปที่ดามัสกัสได้ใช่ไหม? ตอนช่วงที่พระเยซูคริสต์ประกาศข่าวดีอยู่ อาจารย์เปาโลเป็นตัวต่อต้าน อาจารย์เปาโลอยู่กลุ่มของพวกธรรมาจารย์ พวกฟาริสี ซึ่งต่อต้านอย่างหนัก เพราะว่าเขารักพระเจ้ามาก เขานับถือบทบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ ผ่านทางโมเสสมากเลย ทุกกระเบียดนิ้ว แล้วเมื่อพระเยซูคริสต์มาประกาศว่าให้มาเชื่อพระองค์อย่างเดียว เราจะหลุดพ้นจากกฎบัญญัติเลย ถ้าเราเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เราได้บังเกิดใหม่ เข้ามาในพระคุณของพระเจ้าปุ๊บ บทบัญญัติก็ไม่ต้องใช้แล้ว

            อาจารย์เปาโลเคือง ไม่ได้ ต้องจัดการ เพราะว่าพระเยซูคริสต์กบฏกับพระเจ้า แล้วแถมยังมาอ้างตัวเองว่าเป็นลูกของพระเจ้าอีก แล้วใครก็ตามที่ติดตามพระเยซูคริสต์ก็กบฏกับพระเจ้าหมด ไม่ได้ เราต้องจัดการ เพราะอาจารย์เปาโลรักพระเจ้ามาก  คือรักมาก ก็เลยต้องจัดการ

            แต่ตอนที่อาจารย์เปาโลขอทหาร นั่นคือช่วงที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์แล้ว เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว อยู่กับสาวก 40 วันแล้ว  แล้วลอยขึ้นสวรรค์ให้คนเป็นจำนวนมากเลย ประมาณ 500 คนได้เห็นกับตาจะๆ เลยว่าพระเยซูลอยขึ้นไป  แล้วพระองค์ก็บอกว่าเดี๋ยวพระองค์จะกลับมาอีก

            อาจารย์เปาโลไม่ได้คุ้นชินกับพระเยซูตอนที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ แต่ตอนที่อาจารย์เปาโลขอทหาร ไปไล่ล่าพวกคริสเตียน  ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า ในพระคัมภีร์ตอนนั้น อาจารย์เปาโลจะใช้คำว่า “คนที่เชื่อทางนั้น” ทางนั้น ก็คือทางพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่ทางของพระเจ้าพระบิดา เขาก็จะไปจับพวกคริสเตียนมาติดคุก มาข่มเหง มาอะไรก็แล้วแต่ ระหว่างทางที่เดินทางไปดามัสกัส  พระเยซูมาพบอาจารย์เปาโล พบเลยนะ  ทำให้อาจารย์เปาโลตกจากม้า แล้วก็ตาบอดเลย แล้วพระเยซูพูดกับอาจารย์เปาโลตอนนั้น ชื่อเซาโลนะ ยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อ

            “เซาโล เจ้าข่มเหงเราทำไม?”

            คำพูดนี้ พี่น้องเห็นภาพไหมว่าใครก็ตามที่ข่มเหงคนของพระเจ้า ข่มเหงลูกของพระเจ้า  หรือจะเรียกว่าข่มเหงคริสเตียน คริสตจักรของพระเจ้า เท่ากับคนๆ นั้นกำลังข่มเหงพระเยซูอยู่ ทำไมเรารู้อย่างนั้น เพราะว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา เข้ามาอยู่ในเรา เราเป็นหนึ่งเดียวกันเลย ถ้าใครรังแกเรา ก็เท่ากับรังแกพระเยซูที่อยู่ในเรานั่นแหละ

            พระเยซูถึงบอก … “เปาโลเธอข่มเหงเราทำไม?”

            เพราะว่าเปาโลกำลังไปไล่ล่าผู้เชื่อ แล้วเปาโลก็ตกใจ ไปข่มเหงพระองค์ตอนไหน?  ไม่รู้เลย นั่นแหละ “ถ้าเจ้าข่มเหงคนของเรา  เจ้าก็ข่มเหงเรา ถ้าเจ้าถีบประตัก เจ้าก็เจ็บตัวเอง” คือถีบไปแรงๆ  มันก็เด้งกลับมาแรงๆ เหมือนกัน

            จากนั้น พระเจ้าก็เปิดตาใจอาจารย์เปาโลให้เห็นจริงๆ ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระเจ้า  ผู้ที่พระบิดาส่งมาจริงๆ อาจารย์เปาโลกลับใจใหม่เลย เชื่อวางใจในพระเจ้าเลย ทำไมอาจารย์เปาโลได้สิ่งนี้ได้ง่าย เพราะว่าเขารู้เรื่องของกฎบัญญัติเยอะมาก ถ่องแท้เลย รู้ตื้นลึกหนาบางทุกอย่าง รู้ถึงพระสัญญาที่พระเจ้าพระบิดาบอกไว้ชัดเจนมาก  เมื่อพระเยซูคริสต์เปิดตาใจให้กับเขาสามารถเห็นว่าพระองค์คือผู้นั้น คือพระมาซีฮาห์

            แล้วพระเยซูคริสต์พูดอีกคำหนึ่งว่า … “เจ้าเป็นภาชนะที่เราเตรียมไว้แล้ว”

            แปลว่าอาจารย์เปาโลถูกเตรียมไว้ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  แล้วเตรียมไว้ สำหรับที่จะไปประกาศกับคนต่างชาติ  แล้วเตรียมไว้ให้เป็นอัครทูตคนเดียวที่ถูกทรมานเยอะที่สุด  กว่าอัครทูตคนอื่นด้วย

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเมื่อเปิดใจต้อนรับปุ๊บ คือท่านเชื่อสนิทเลย  แล้วพระเยซูก็บอกให้ไปหาอานาเนีย เพื่ออธิษฐานให้ตาเปิดออก พอตาเขาหายบอดปุ๊บ กินข้าว กินปลา เสร็จทุกอย่าง แข็งแรงขึ้นปุ๊บ อาจารย์เปาโลไม่รอช้าเลยนะ ออกประกาศเลย ประกาศเรื่องของพระเยซูคริสต์

            ตรงนี้อาจารย์เปาโลยืนยันตัวเองชัดเจนว่าอาจารย์เปาโล ไม่ได้ถูกแต่งตั้งมาจากมนุษย์คนหนึ่งคนใด แต่โดยพระเยซูคริสต์โดยตรงเลย แล้วพระองค์ส่งอาจารย์เปาโลไป เพื่อที่จะไปประกาศกับคนต่างชาติ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้อาจารย์เปาโลถูกไล่ล่าฆ่าเหมือนเดิม เพราะว่าคนยิวไม่ยอม เพราะเขาคิดว่าตัวเองเป็นประชากรของพระเจ้า พระเจ้าเป็นของฉันคนเดียว เป็นของคนอื่นไม่ได้ จะให้คนต่างชาติ ซึ่งเป็นเหมือนหมู เหมือนหมา อยู่ดีๆ ให้มาเทียบเท่ากับเรา มันไม่ได้ มาเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนกัน มันไม่ได้ ทนไม่ได้

            นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างที่อาจารย์เปาโลรับใช้อยู่ แต่ไม่ว่าคนยิวจะยอมหรือไม่ยอมก็ตาม อาจารย์เปาโลบอกว่า …

            “ท่านไม่ยอม เรื่องของท่าน ฉันจะประกาศของฉัน เพราะฉันรู้ว่าพระเจ้าส่งฉันมา”

            แล้วอาจารย์เปาโลก็ไปประกาศทุกที่ ทุกหน ทุกแห่งที่มีโอกาส ที่จะประกาศนามของพระเยซูคริสต์ และเราจะเห็นจดหมายทุกฉบับที่อาจารย์เปาโลส่งไปถึงคริสตจักรต่างๆ ที่อาจารย์เปาโลไปบุกเบิก ไปประกาศข่าวดี แล้วคนเหล่านั้นเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แล้วเกิดมาเป็นคริสตจักรต่างๆ คำที่ไปหนุนใจคริสตจักรเหล่านั้น  มันไม่มีอะไรเยอะแยะมากมายเลย อาจารย์เปาโลยังคงยืนยันเหมือนเดิมว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า แล้วความรอดมาจากพระเจ้า เป็นพระคุณ ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติดีของคนหนึ่งคนใดเลย ที่จะทำให้ตัวเองสามารถรอดได้ …

        กาลาเทีย 1:2-3 “2 และบรรดาพี่น้องที่อยู่กับข้าพเจ้า ถึงคริสตจักรต่างๆ ในแคว้นกาลาเทีย 3 ขอพระคุณและสันติสุข  จากพระเจ้าพระบิดาของเราและจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามีแก่ท่านทั้งหลาย”

            คำว่า “ขอ” ไม่ต้องขอ ทันทีที่เราเชื่อ วางใจในพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระคุณของพระเจ้าอยู่ในเรา อยู่กับเรา พระเยซูคริสต์อยู่ในเรา พระเยซูคริสต์อยู่กับเรา  แล้วพระเยซูคริสต์ คือพระคุณ คือสันติสุข พระองค์เป็นสันติสุข เป็นความรัก เป็นความดีงาม เป็นความชอบธรรม คือตัวพระองค์เป็นทุกอย่างที่เรากล่าวมาทั้งหมด  แล้วพระองค์ผู้ซึ่งเป็นทุกอย่างนี้อยู่ในเรา แปลว่าทุกอย่างที่เราพูดมา ไม่ว่าจะเป็นพระคุณ สันติสุข ความชื่นชมยินดี ความดีงาม ทั้งหมดมันอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว ซึ่งเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มันมีในตัวเราเรียบร้อยไปแล้ว

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลก็เลยหนุนใจว่าให้รับรู้ความจริงตรงนี้ ว่าพระคุณและสันติสุขจากพระเจ้า พระบิดาของเรา และจากพระเยซูคริสต์นั้นอยู่ในท่านแล้ว  แค่รับรู้ความจริง เมื่อเรารับรู้ความจริงเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ เราก็จะสามารถสำแดงพระคุณตรงนี้ ออกไปจากชีวิตของเรา  แค่รับรู้ความจริง แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์จะทรงนำเรา ข้อที่ 4 …

        กาลาเทีย 1:4 “พระเยซูทรงสละพระองค์เอง  เพื่อบาปของเราทั้งหลาย ทั้งนี้เพื่อช่วยเราจากยุคอันชั่วร้ายนี้  ตามพระประสงค์ของพระเจ้าและพระบิดาของเรา”

            พระเยซูช่วยเรา โดยวิธีสละชีวิตของพระองค์ พระเยซูคริสต์ไม่ได้ช่วยเรา โดยเอาเงินเอาทอง เอาทรัพย์สมบัติทั้งหลายบนโลกใบนี้มาซื้อชีวิตของเรา เพราะจริงๆ แล้วทรัพย์สมบัติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ก็เป็นของพระองค์อยู่ดีนั่นแหละ พระเจ้าไม่ได้ใช้ทรัพย์สินเงินทองมาซื้อชีวิตของเรา  แต่พระเจ้าใช้ชีวิตของพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาซื้อชีวิตของพวกเรา  แล้วการซื้อชีวิตของพวกเรา  อย่างที่บอก พระเยซูตายครั้งเดียว ทุกอย่าง จบ ซึ่งพระเยซูบอกสำเร็จแล้ว  ก็คือสำเร็จจริงๆ พระองค์ทำการไถ่ถอนชีวิตมนุษยชาติบนโลกใบนี้ สำเร็จเรียบร้อย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว

            แล้วสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ มันก็ยังเป็นผลอยู่ เมื่อก่อนดิฉันเข้าใจว่าพระคุณตรงนี้  ความรอดตรงนี้ พระเจ้าให้เฉพาะผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น  ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด สิ่งที่พระเจ้าทำ ก็คือพระเจ้าทำให้กับมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้  ตามหนังสือยอห์น 3:16-18  บอกว่าเพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกนี้ยิ่งนัก โลกนี้ คือทุกอย่างบนโลกใบนี้ มนุษยชาติทุกคนบนโลกใบนี้ จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เพื่อทุกคนที่วางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเขา บนไม้กางเขน จะได้รับชีวิตนิรันดร์

            ชีวิตนิรันดร์ คือผล ที่เราได้รับ ทันทีที่เราบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าปุ๊บ เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์ทันที ชีวิตแบบเป็นเหมือนพระเจ้าเลย ทุกคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จะได้เท่ากันหมด คือชีวิตนิรันดร์ ได้รับความชอบธรรม ซึ่งมาจากพระเจ้า ได้เป็นผู้ชอบธรรม ได้เป็นบุตรที่รักของพระเจ้า ได้เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ และได้เป็นวิหารอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า ร่างกายเราเป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์

            สิ่งเหล่านี้ได้รับทันทีเลย เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มันเป็นเรื่องของโลกวิญญาณ เรามองเห็นไหม? ไม่เห็น  จับต้องได้ไหม? ไม่ได้ แต่เชื่อตามที่พระเจ้าบอก ฉะนั้น พระคัมภีร์บอกว่าผู้ชอบธรรมเริ่มต้นด้วยความเชื่อ เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอก สิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำให้กับพวกเราสำเร็จแล้ว ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ  คือตลอดเวลาที่เราเดินอยู่บนโลกใบนี้ ให้ความเชื่อตรงนี้ถูกปลูกฝังลงไปในวิญญาณของเราว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว พระเยซูคริสต์ได้ทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว แล้วจบลงด้วยความเชื่อ ก็คือหลังจากที่วิญญาณเราออกจากร่าง เราก็ได้ไปอยู่กับพระเจ้า เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้น เรียบร้อยไปแล้ว แค่เรารับรู้ความจริง แล้วก็ดำเนินชีวิตตามความจริงนี้ที่พระเจ้าบอกเรา  นั่นแหละ คือผู้ชอบธรรมของพระเจ้า

            แต่การรับรู้ความจริง บางครั้งเราก็เผลอลืมไปว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว บางทีเราก็เผลอลืมไปว่าเราเป็นลูกที่พระเจ้าทรงรักมากมาย เพราะว่าระหว่างช่วงเวลา การดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  บางทีเราก็หลงไปเชื่อคำโกหกหลอกลวง แล้วเราก็ไปหลงทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติใหม่  ที่มันเป็นของเรา  เราก็จะถูกหลอกด้วยถ้อยคำจากข้างนอกนั่นแหละ

            “เห็นไหม เธอทำบาปแล้ว เธอเป็นคนบาปแล้ว เธอไม่รอดแน่เลย  พระเจ้าไม่รักเธอแล้ว”

            อะไรก็แล้วแต่ มันจะมีข้อมูลถูกส่งเข้ามา  แต่พี่น้องยังคงต้องยืนกราน คำเดิม …

            “ไม่ว่าฉันจะเผลอทำผิดอีก แต่ฉันก็ยังเป็นลูกที่พระเจ้าทรงรักเหมือนเดิม”

            ก็คืออย่างที่บอกเมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว เกิดแล้วเกิดเลย  เกิดข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่มีอะไรบนโลกใบนี้ หรือการกระทำใดๆ ที่เราเผลอทำ จะสามารถทำให้เราถูกแยกขาดจากพระเจ้าได้เลย ทำไม่ได้ เพราะว่าเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เข้ามาเป็นก้อนเดียวกันเลย  ไม่มีใคร แยกเราออกจากพระเจ้าได้ แม้แต่ตัวเราเอง ก็ไม่สามารถที่จะทำได้เลย เอเมน ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            อยากเป็นลูกพระเจ้ามั้ยครับ? ง่ายนิดเดียว! แค่เชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น

            มนุษย์ผู้ใดก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยรอด เขาจะได้รับบัพติศมาเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณกับพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าตรีเอกานุภาพ

            เขาจะเข้าไปอาศัยอยู่ในพระคริสต์ และพระเจ้าตรีเอกานุภาพ จะเข้าไปอาศัยอยู่ในร่างกายเขา

            และทุกอณูเนื้อ ทุกเซลล์ในร่างกายของเขา จะถูกปกคลุมไปด้วยพระสิริ สง่าราศี ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายใน  จงมองให้เห็นเถิด!  เขาจะเป็นดวงสว่าง เปล่งรัศมีประกายเจิดจรัส บนโลกนี้ที่เต็มไปด้วยความมืดมิด

            กาลาเทีย 3:26-28 … “26 ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกท่านทั้งปวงผู้ได้รับบัพติศมาเข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์ 28 ไม่มียิวหรือกรีก ทาสหรือไท ชายหรือหญิง เพราะพวกท่านทั้งปวงเป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสต์”

            ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นกับท่าน แค่เชื่อในพระเยซูคริสต์เท่านั้น ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกเลย  พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1464

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  31  มีนาคม  2024

เรื่อง “พระเยซูคริสต์ตายบนกางเขน มวลมนุษย์ก็ตายด้วย

พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากตาย มวลมนุษย์ก็เป็นขึ้นจากตายด้วย”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            หัวข้อเรื่อง คือ “พระเยซูคริสต์ตายบนกางเขน มวลมนุษย์ก็ตายด้วย พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากตาย มวลมนุษย์ก็เป็นขึ้นจากตายด้วย”

            สาเหตุที่พระเยซูทรงเป็นพระเจ้ายอมมาเกิดเป็นมนุษย์  และยอมตายบนกางเขน เพื่อมนุษย์ทั้งปวง และเป็นขึ้นจากความตาย เพราะอะไร? พระคัมภีร์พูดชัดเจน เยอะเลย คือเพราะรัก รักใคร? มีใครให้รักบ้างบนโลกใบนี้ มีหรือไม่มี? เราอาจจะบอกว่าไม่มีเลย แต่ในพระคัมภีร์บอกมี พระองค์ทรงรักมนุษย์ยิ่งนัก โรม 3:23-25 ได้บันทึกถึงสาเหตุที่พระองค์ต้องยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ ยอม แสดงว่าไม่จำเป็นต้องตายก็ได้ ถูกไหม? ไม่จำเป็นต้องมาเกิดก็ได้ ลองอ่านดู …

        โรม 3:23-25 “23 เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระเกียรติสิริของพระเจ้า 24 และโดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงนับว่าพวกเขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า ด้วยการที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่พวกเขา 25 พระเจ้าทรงให้พระเยซู เป็นเครื่องบูชาลบบาป แก่ผู้ที่มีความเชื่อในพระโลหิตของพระเยซู”

            ก็เพราะว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมาเป็นคนบาป จึงทำบาปทุกคน การกระทำบาป เป็นผลมาจากวิญญาณข้างในที่เป็นคนบาป  มีธรรมชาติบาปกันทุกคน และการช่วยเหลือนี้ มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะพระคัมภีร์อ่านเมื่อสักครู่นี้บอกว่าพระเจ้าทำให้พระเยซูเป็นเครื่องบูชาลบบาป  เป็นแพะรับบาป เป็นเครื่องบูชายันต์ให้กับพระเจ้า  แล้วกับใครที่จะได้รับสิ่งเหล่านี้  แด่ผู้ที่มีความเชื่อในพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ก็คือผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์และยอมตาย เพื่อมนุษย์ทั้งปวง แค่นี้เอง คือแค่เชื่อ ไม่ต้องทำอะไรเลย  ในโรม 5:8-10 ได้บอกไว้ว่าเพราะรักมวลมนุษย์ยิ่งนัก  จึงยอมกระทำสิ่งเหล่านี้ เพื่อมวลมนุษย์ เพื่อฉันแต่ละคน ดังนั้น เมื่อเราเห็นพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เป็นสัญลักษณ์เมื่อไร? จงรับรู้เถิดว่านั่นสำแดงถึงความรักที่มีต่อฉัน สำคัญมากเลย  ไม่ใช่มวลมนุษย์เท่านั้น ตัวฉันแต่ละคน พระองค์สิ้นพระชนม์ ตายด้วยความทรมานบนไม้กางเขน  มองมาที่ใคร?  มองมาที่ฉัน …

        โรม 5:8-10 “8 แต่พระเจ้าได้แสดงความรักต่อเรา โดยยอมส่งพระคริสต์ มาตายเพื่อเรา ทั้งๆ ที่เรายังเป็นคนบาป (เป็นศัตรูกับพระเจ้า) อยู่  9 ตอนนี้ พระเจ้ายอมรับเรา (เป็นผู้ชอบธรรม) แล้ว เพราะเลือดของพระคริสต์ ยิ่งกว่านั้น เราจะรอดพ้นจากความโกรธ (การถูกลงโทษ เพราะบาป) ของพระเจ้า (ในวันพิพากษา) เพราะพระคริสต์อย่างแน่นอน 10 เพราะถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรู (บาป) ต่อต้านกับพระเจ้าอยู่นั้น เรายังได้รับการรักษาให้กลับคืนดี เข้ากันได้กับพระเจ้า  ผ่านทางการตายของพระบุตร แน่นอน มากกว่านั้นอีกสักเท่าไร ที่เดี๋ยวนี้ เราได้คืนดี เข้ากันได้กับพระเจ้าแล้ว เราก็ได้รับการปลดปล่อย ช่วยให้รอดจากการเป็นทาสของอำนาจของความบาป ผ่านทางการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ (พระเยซูคริสต์)”

            “แต่พระเจ้าได้แสดงความรักต่อเรา มวลมนุษยชาติ และตัวฉัน โดยยอมส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาตาย เพื่อเรา” เห็นไหม? ชัดเจนเลย  ตายเพื่อเรา ในขณะที่เราเป็นคนดี กระทำความดีมากๆ หรือ? เปล่า ในนี้บอกว่าทั้งๆ ที่เรายังเป็นคนบาปอยู่

            คนบาปคือใคร?  คนบาป คือคนที่เป็นศัตรูกับพระเจ้า  ต่อต้านพระเจ้า  ไม่เอาพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้  เกลียดพระเจ้า ในขณะที่เราเกลียดพระเจ้า  เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ เป็นคนบาป สกปรกเหล่านั้น พระเยซูคริสต์รักเรา ถึงขนาดยอมตาย เพื่อเรา  นี่เห็นชัดเจนเลยนะ

            ตอนนี้พระเจ้ายอมรับเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว  เพราะเลือดของพระคริสต์ ตอนนี้ คือตอนที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน วันศุกร์ประเสริฐ วันนั้นแหละ เป็นวันที่พระเจ้ายอมรับเราว่าเราไม่ได้เป็นคนบาป  เราไม่ได้เป็นหนี้บาป  เรารอดพ้นจากการเป็นศัตรูกับพระเจ้าแล้ว เราไม่ถูกลงโทษแล้ว ในวันพิพากษา ในนี้จึงบอกว่ายิ่งกว่านั้น เราจะรอดพ้นจากความโกรธ ไม่ใช่พระเจ้าโกรธ แต่ความโกรธ หมายถึงการลงโทษทัณฐ์ตามกฎบัญญัติของพระเจ้า ในทางฝ่ายวิญญาณ  คือคำพิพากษานั่นเอง  เราจะรอดพ้นจากคำพิพากษาลงโทษ  เพราะว่าเป็นบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า ก็เหตุเพราะพระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนอย่างแน่นอน  และถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรู เป็นบาป ต่อต้านพระเจ้าอย่างนั้น เรายังไม่ได้รับการรักษาให้กลับคืนดี เข้ากันได้กับพระเจ้า ผ่านทางการตายของพระเยซูคริสต์ พระบุตร แน่นอน มากกว่านั้นอีกสักเท่าไร ที่เดี๋ยวนี้เราได้คืนดีกันกับพระเจ้าแล้ว เราก็ได้รับการปลดปล่อย ช่วยให้รอดจากการเป็นทาสของอำนาจของความบาป  ผ่านทางการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์

            มี 2 อย่าง  นี่เป็นข่าวดีมาก ทั้งสองอันนี้ มนุษย์แค่เชื่อในข่าวดีเท่านั้น  นี่เป็นข่าวดีมาถึงมนุษย์ว่าพระเจ้าได้ทำอย่างนี้กับมนุษย์ พระเยซูจึงมาประกาศข่าวดี  ไม่ได้มาสอนให้เรากระทำความดี เพราะมีคนสอนเยอะแยะอยู่แล้ว โมเสสก็สอน เป็นต้นฉบับของคำสอนทางศีลธรรมของโลกนี้เลย ในบัญญัติที่เขียนไว้ แล้วก็มาเรื่อยๆ ศาสนาต่างๆ ก็สอนหมด เรื่องศีลธรรม พระเยซูไม่ได้มาสอนศีลธรรม  มาเพื่อประกาศว่าพระองค์จะตายบนไม้กางเขน  เพราะอะไร?  ยอมตาย เพราะอะไร? ยอมหลั่งพระโลหิตเพราะอะไร?  ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์เพราะอะไร?  และพระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 จริงๆ  แล้วก็บอกว่าท่านทั้งหลายจงเชื่อเถิด นี่เป็นข่าวดีจากพระเจ้า ท่านเชื่อในข่าวดีจากพระเจ้านี้หรือไม่? พระเจ้าอยากถาม พระเยซูคริสต์อยากถาม แล้วเราทั้งหลายคริสเตียน ก็อยากจะถามทุกคนบนโลกนี้ว่าท่านเชื่อในข่าวดี ที่กำลังพูดนี้หรือไม่? ข่าวดีนี้ มีเพียงแค่นี้ คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ ยอมตายบนไม้กางเขน และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ช่วยให้ท่านรอด ไปสวรรค์ได้ เอเมน  แค่เชื่อเท่านั้น

            ฮีบรู 9:12 ได้ระบุไว้ดังนี้ ชัดเจนว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตเพียงครั้งเดียว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว มีผลตลอดชั่วนิรันดร์ มีหลายข้อพระคัมภีร์เลย  ผมจะยกมาเพียงแค่ข้อเดียว คือฮีบรู 9:12 จริงๆ ในบทที่ 10 เราพูดยาวเหยียด ถึงเรื่องการกระทำของพระเยซูคริสต์ พระโลหิตที่หลั่งที่ไม้กางเขนของพระองค์ มีผลมาถึงมวลมนุษย์ตลอดไป เป็นนิตย์ ครั้งเดียวเป็นพอ …

        ฮีบรู 9:12 “พระองค์​เข้าไป​ใน​ห้อง​ที่​ศักดิ์สิทธิ์​ที่สุด​นั้น ​เพียง​ครั้งเดียว​ก็​พอ​สำหรับ​ตลอดไป พระองค์ไม่ได้​เอา​เลือด​แพะ​และ​เลือด​ลูกวัว​เข้าไป แต่​ได้​ถวายเลือด​ของ​พระองค์​เอง พระองค์​จึง​ทำให้​เรา ​เป็น​อิสระ​จาก​บาป​ตลอดไป”

            พระองค์ไม่ได้ถวายเลือดของพระองค์ทุกครั้งที่มนุษย์ทำบาป เปล่า! แต่ได้ถวายเลือดของพระองค์เพียงครั้งเดียว พระองค์จึงทำให้เราเป็นอิสระ จากความบาปตลอดไป ภาษาเดิม ที่เขาใช้ภาษาอังกฤษ Forever แปลว่าตลอดกาล

            เป็นอิสระจากบาป คือหมดหนี้เวรกรรม  คนเราเกิดมาต้องชดใช้หนี้เวรกรรม เมื่อไรจะหมดหนี้เวรกรรมสักที เราบ่นตลอดเวลา เมื่อสมัยที่เรายังไม่เชื่อในพระเยซูคริสต์ และมวลมนุษย์ที่ยังไม่ได้เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็จะบ่นอย่างนี้ ไม่ว่าจะออกจากปากหรือใช้ความคิดก็ตาม …

            “เมื่อไรจะหมดเวร หมดกรรมสักทีหนึ่ง”

            เพราะฉะนั้น ความจริงในเรื่องนี้ เราจึงเห็นว่าเพียงครั้งเดียวก็พอ สำหรับตลอดไป เข้าไปหาพระเจ้าในห้องศักดิ์สิทธิ์ เข้าไปหาพระเจ้าในสถานที่ประทับของพระเจ้า ในสวรรคสถาน เพียงครั้งเดียว ก็พอสำหรับตลอดไป  พระเยซูเข้าไปครั้งเดียว เอาเลือดของพระองค์เข้าไปถวายพระเจ้า  เพื่อชดใช้หนี้บาป เวรกรรมของมวลมนุษยชาติตลอดไป

            พระคริสต์หลั่งพระโลหิตของพระองค์ครั้งเดียวก็พอ ที่จะยกโทษบาปทั้งสิ้นของมวลมนุษย์ตลอดไป  เราเคยได้ยินบ่อยๆ ว่าพระเยซูตายเพื่อฉัน เคยได้ยินไหม? แต่เราไม่ค่อยได้ยินว่าฉันตายพร้อมพระเยซู น้อยมาก

            ตะกี้ที่เราอ่านในข้อพระคัมภีร์นี้ และในข้อพระคัมภีร์อื่นๆ ที่บอกไว้ว่าพระเยซูได้กระทำสิ่งเหล่านี้ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว โดยใช้ภาษา ซึ่งมี tense ซึ่งถ้าภาษาไทยเรียกว่ามีกาลเวลาที่เกิดขึ้น ในข้อความที่เขียน หมายถึงได้เกิดขึ้นและได้เกิดขึ้นต่อเนื่อง และได้เกิดขึ้นถึงปัจจุบัน คือได้เกิดขึ้นในอดีต และได้เกิดขึ้นในปัจจุบัน อยู่ต่อไปเรื่อยๆ มันแปลว่าอย่างนี้  โดยใช้คำภาษาไทยง่ายๆ ว่า “พระองค์ได้” ก็คือเป็นอดีตที่ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน  ได้ยกโทษบาปทั้งสิ้น  “ได้” เวลาอ่านพระคัมภีร์ตรงนี้ พยายามเน้น  เพราะบางครั้ง บางเวอร์ชั่นของภาษา แปลเป็นไทยแล้วตกหล่นคำว่า “ได้” มันก็เลยไม่ชัดเจน  แต่จริงๆ แล้วความสำคัญอยู่ตรงคำว่าได้ สำคัญมากเลย  เมื่อเรียนรู้ตรงนี้ ท่านจะรู้ว่าตรงนี้สำคัญจริงๆ นะ

            พระเยซูได้ไถ่บาปให้กับมวลมนุษยชาติ ได้ชำระมวลมนุษยชาติจากบาปทั้งปวง ทั้งสิ้น  ได้ไถ่บาปมาเรียบร้อยแล้ว ให้กับฉันมา 2,000 ปีแล้ว นั่นก็หมายความว่าฉันได้รับการอภัยโทษจากบาปทั้งหมดทั้งสิ้น  ตั้งแต่เมื่อ 2,000 กว่าปีที่แล้ว จนมาถึงปัจจุบันนี้ และจะไปถึงอนาคตนิรันดร์ เอเมน

            ก็หมายถึงตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ท่านเกิดเป็นมนุษย์หรือยัง? ยัง แต่ได้รับการไถ่แล้ว เห็นไหมมันสำคัญไหม? ท่านเชื่อพระเยซูว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เพื่อไถ่บาปมวลมนุษย์ รวมทั้งท่านด้วย  พระเยซูไถ่บาปกี่ปีมาแล้ว? 2,000 ปี ท่านเกิดหรือยัง? ยังไม่เกิด  แต่ว่าท่านได้รับการไถ่บาปตั้งแต่ก่อนเกิด ไถ่บาปในอนาคตไปเรียบร้อยแล้ว  แล้วทำไมตอนนี้ ท่านเกิดแล้ว รับเชื่อแล้ว ได้รับการไถ่บาปเรียบร้อยแล้ว ท่านจะไปกังวลถึงบาปในอนาคตว่าบาปพรุ่งนี้ มะรืนนี้ มะเรื่องนี้ ปีหน้า ปีโน้น  ทำบาปไป ก็ไปขออภัยจากพระเจ้า พระเจ้ายกโทษให้ลูก ลูกทำบาป  ซึ่งทำแน่นอน โกหก แค่คิด แค่อิจฉา นินทาชาวบ้านก็บาปแล้ว ท่านมานั่งคิดตลอดว่าฉันทำอะไรผิด ขอโทษ อภัยให้ฉันทุกวัน  ต้องตื่นขึ้นมา ขออภัยโทษจากพระเจ้าทุกเช้า ก่อนนอน ทุกเย็น ท่านลืมบ้าง? อะไรบ้าง? กังวลใหญ่เลย ยิ่งเชื่อพระเจ้าไปนานๆ ยิ่งมากเท่าไร ยิ่งกังวลว่าสะสมบาปไว้เยอะแล้ว อันนั้นยังไม่สารภาพ อันนี้ยังได้สารภาพ ฉันควรสารภาพ เหนื่อย  ทั้งๆ ที่บาปเหล่านั้นได้ถูกยก ถูกอภัยให้เรียบร้อยแล้ว  ก่อนฉันจะเกิดด้วยซ้ำไป  อภัยไปตลอดชั่วนิรันดร์ หมายถึงหลังจากวิญญาณออกจากร่าง ไปอยู่ในร่างกายใหม่แล้ว ฉันก็ได้รับการอภัยโทษ ตั้ง 2,000 ปีมาเรียบร้อยแล้ว

            เพราะฉะนั้น ไม่ว่าพระเยซูจะมาปรากฏให้กับฉันเมื่อไรก็ตาม จะปรากฎตอนที่พระองค์กลับมารับมวลมนุษยชาติ  ที่เชื่อในพระองค์ หรือกลับมาตอนที่วิญญาณฉันออกจากร่าง ฉันก็จะเห็นพระเยซูปรากฎ ด้วยความบริสุทธิ์ ชอบธรรม สะอาด ดีพร้อม ปราศจากบาปทั้งปวง เพราะฉันได้รับการอภัยโทษ จากบาปทั้งสิ้น  โดยพระโลหิตของพระเยซู ที่ชำระฉัน 2,000 ปีมาแล้ว  และจะเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดไป เอเมน

            เห็นหรือยัง ท่านก็สบายใจ ก็ไม่ต้องห่วงว่าวิญญาณต้องออกจากร่างเมื่อไร? เราไม่รู้ ออกไปอยู่ดีๆ สะอึกนิดหนึ่ง หายใจปุ๊บวิญญาณออกจากร่างทันทีสบาย ไม่ต้องกังวล ถ้าเกิดออกไปกระทันหันอย่างนั้น ฉันลืมสารภาพบาป ฉันจะทำอย่างไร?  แบกบาปออกไปพบพระเยซู ไม่มีบาปเลย เพราะว่าได้ถูกยกโทษบาปไปเรียบร้อยแล้ว ท่านไม่ต้องห่วง ท่านก็คิดว่าอย่างนี้ก็สบาย บางคนก็กำลังฟังอยู่ คิดอยู่ อย่างนี้ก็สบายสิ ฉันเป็นคริสเตียนฉันได้รับการอภัย ฉันก็ทำบาปตามสบาย พระเยซูบอกเชิญท่านทำไปเถอะ ท่านก็จะเป็นคริสเตียนที่ได้รับความรอด จากบาปเรียบร้อยไปแล้วจริงๆ แต่อยู่บนโลกใบนี้ ด้วยความเศร้าโศก เสียใจ ด้วยความทุกข์ใจ ไม่มีความสุขหรอก ขนาดไม่ใช่คริสเตียนทำบาป ยังไม่มีความสุขเลย  เป็นคริสเตียน แล้วทำบาปด้วย ฝืนธรรมชาติในวิญญาณของตัวเอง ที่เป็นผู้บริสุทธิ์ดีพร้อมแล้ว ยิ่งทรมานกว่าอีก  มันเป็นไปไม่ได้หรอก  อย่างนี้เป็นต้น

            เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้  ที่เกิดขึ้นนี้  อย่างที่พระคัมภีร์บอกเป็นข่าวดี เพราะว่ามนุษย์รับของขวัญนี้ ของประทานนี้ สิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำให้บนไม้กางเขน รับฟรีๆ ง่ายๆ  ก็คือแค่มนุษย์ผู้ใดเปิดใจเชื่อ และเปิดใจต้อนรับสิทธิของเขาต้อนรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์  เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับมวลมนุษยชาติ มานานมากแล้ว แค่เปิดใจต้อนรับเท่านั้นเอง กระบวนการเหล่านี้  ที่จะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นของชิ้นแรก หรือชิ้นที่ 2 ก็ตาม จะเกิดขึ้นในวิญญาณของเขาทันทีทันใด ก็คือได้รับการอภัยโทษ จากบาปทั้งสิ้น และได้รับการเป็นขึ้นจากความตาย ก็คือบังเกิดใหม่ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้

            พระคัมภีร์ใช้คำนี้ จะแปลให้ฟัง จะได้ง่ายขึ้น กระบวนการเหล่านี้เรียกว่าการบัพติศมา ในพระวิญญาณ หมายถึงการเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันในวิญญาณ ซึ่งคริสเตียนทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องนี้มากๆ เพื่อท่านจะได้มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  อย่างถวายเกียรติแด่พระเจ้า และเต็มไปด้วยสันติสุข เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ ในโรม บทที่ 6 ได้พูดถึงเรื่องนี้อย่างชัดเจนมาก  และใช้คำนี้ด้วย คำว่าบัพติศมา ซึ่งเมื่อไรก็ตามที่ท่านเห็นคำนี้ คำว่า “บัพติศมา” แปลเป็นไทยในสมองทันทีว่า แปลว่าการเข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน  เอาน้ำตาลใส่ลงไปในกาแฟ ก็คือเอาน้ำตาลบัพติศมาลงไปในกาแฟ เป็นแก้วกาแฟ มีน้ำตาลอยู่ในนั้น กาแฟและน้ำตาลเป็นหนึ่งเดียวกัน แยกกันไม่ออก โรม 6:3 …

        โรม 6:3 “ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ (รับบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า) ถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ (ที่ไม้กางเขน) ในการบัพติศมานั้น”

            “ท่านไม่รู้หรือว่า” แปลว่าท่านควรรับรู้ความจริงในเรื่องโลกวิญญาณนี้ ถูกไหม?  อาจารย์เปาโลกำลังบอกว่าสิ่งสำคัญ สำหรับคริสเตียน คือท่านควรจะรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณอันนี้ อันที่เขาบัพติศมา สำคัญมาก  ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐาน ที่คริสเตียนควรจะรับรู้ ไม่ใช่ต้องรับรู้ ถึงท่านไม่รับรู้ แต่ท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านก็ได้รับความรอดอยู่แล้ว แต่ถ้าท่านรู้ ทำให้ท่านมีสันติสุข มีชัยชนะ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  และได้ประกาศข่าวประเสริฐอันแท้จริง  100% ของพระเยซูคริสต์ในชีวิตของท่าน  เพราะฉะนั้น ท่านควรจะรับรู้ ควรจะถูกสอน  ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณนี้  พื้นฐานของคริสเตียนที่ควรจะรับรู้นี้  คือเรื่องการบัพติศมา เป็นหนึ่งเดียวกัน  แต่ท่านลองคิดดูสิ เท่าที่เราผ่านมา ประสบการณ์ของเรา

            เราเห็นคริสเตียนได้ถูกสอนในเรื่องนี้ไหม?  เราเองก็เคยผ่านเรื่องนี้มาตั้งแต่อดีต พอเชื่อพระเจ้า ไม่มีใครอธิบายเรื่องเหล่านี้ให้เราเห็นชัดเจน มีแต่ พอมาเชื่อพระเจ้าก็สอนเรื่องเฝ้าเดียว เรื่องอธิษฐาน เรื่องอ่านพระคัมภีร์ เรื่องให้เวลากับพระเจ้าเยอะๆ เรื่องถวายสิบลด ถวายอย่างไร?  เรื่องทำศาสนกิจทำอย่างไร?  ร้องเพลงนมัสการอย่างไร? ร้องเพลงในวิญญาณอย่างไร? ให้ออกไปรับใช้พระเจ้า ให้ออกไปประกาศข่าวประเสริฐ ให้มีความประพฤติที่ถวายเกียรติกับพระเจ้า ให้มีศีลธรรมที่ดี เป็นที่พอใจของพระเจ้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ไม่ดี  ไม่ใช่ว่าไม่สอน ไม่ใช่ มันดีอยู่ แต่ตัวสำคัญกว่านั้น ที่ควรจะรับรู้กลับไม่รู้ ซึ่งคริสเตียนในอดีต สมัยที่เปาโลกำลังเขียนจดหมายฝาก ส่วนใหญ่เขารับรู้เรื่องโลกวิญญาณในการบัพติศมา  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์มากกว่าเรื่องเหล่านี้ทั้งหมด เพราะเรื่องเหล่านี้ ที่ตะกี้นี้บอกว่าดีๆ  เป็นเรื่องที่มนุษย์ตั้งขึ้นมา ศาสนกิจต่างๆ เหล่านั้น เพราะไม่รู้จะสอนอะไร?  เพราะถ้าไม่สอนเรื่องโลกวิญญาณ มันก็ไม่รู้จะสอนเรื่องอะไร?  มันก็ต้องกลับมาสอนแบบที่มนุษย์เขาสอนกันทั่วๆ ไป ก็คือศีลธรรม ความดีงาม  ความประพฤติ อะไรต่างๆ ซึ่งพระคัมภีร์ไม่ได้เน้นถึงเรื่องนี้เลย

            พูดอย่างนี้ หลายท่านคงคิดว่าเราสอนให้ไม่สนใจความประพฤติหรือ?  ไม่ใช่  ไปอ่านพระคัมภีร์ดูก็ได้ว่าเขาเน้นเรื่องอะไรให้เรารู้ อาจารย์เปาโลเขียนในหนังสือเอเฟซัสบอกว่าข้าพเจ้าวิงวอนอธิษฐานเสมอๆ ตลอดเวลา เพื่อให้ท่านทั้งหลาย คริสเตียน ผู้เชื่อใหม่ มีวิญญาณแห่งสติปัญญา และวิญญาณแห่งการสำแดงคาวมรู้ เรื่องราวเกี่ยวกับพระคริสต์ เพื่อท่านจะได้รู้ว่าฤทธิ์เดชอำนาจ ความยิ่งใหญ่ของพระคริสต์ ตอนที่เป็นขึ้นจากความตาย และฤทธิ์อำนาจนี้กระทำการงานอยู่ในตัวท่านเป็นอย่างไร? พระคริสต์อยู่ในท่าน แล้วท่านอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นอย่างไร? บัพติศมาในพระคริสต์เป็นอย่างไร? ท่านควรจะรับรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้  ฉันอยากให้เธอรับรู้มากเลย  ฉันจึงอธิบายๆ จนกว่าจะรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญ

            เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่ามีคริสเตียนจำนนไม่น้อยเลย  ที่รู้เรื่องศาสนกิจ เคร่งครัด ช่ำชองในข้อพระคัมภีร์ต่างๆ เยอะแยะ หรือจะให้คนอ่านพระคัมภีร์เอย ศึกษาพระคัมภีร์ แต่ไม่รู้ ไม่เข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับการบัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ไม่เข้าใจ อาจารย์เปาโลจึงไม่อยากให้ท่านทำอย่างนั้น อาจารย์เปาโลจึงบอกผู้เชื่อใหม่ว่าอะไรก็ตามที่ท่านรู้หรือไม่รู้ ไม่สำคัญหรอก สำคัญที่ว่าท่านรู้หรือไม่ว่าพระคริสต์อยู่ในท่าน และท่านอยู่ในพรคริสต์ นี่คือพยานหรือหลักฐานสำคัญของคนเป็นคริสเตียน  ทุกวันนี้ท่านลองไปถามคริสเตียนเก่าแก่ หรือที่เป็นคริสเตียนแล้ว รู้สึกปฏิบัติศาสนกิจเคร่งครัดอะไรต่างๆ เหล่านั้น ลองไปถามดูว่าพระคริสต์อยู่ในท่านหรือไม่?  แล้วท่านอยู่ในพระคริสต์หรือไม่? ท่านมั่นใจขนาดไหน? ตรงนี้เป็นตัวสำคัญว่าเขาได้รับข่าวประเสริฐที่แท้จริงหรือไม่? อย่างไร?

            เพราะฉะนั้น เราต้องเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่มาบอกว่าอะไรดีกว่าอะไร? ไม่ใช่ แต่กำลังบอกว่าสิ่งสำคัญที่คริสเตียนควรเรียนรู้อยู่ที่ไหน? การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ การตายของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ไม่ใช่เฉพาะฤทธิ์อำนาจ ที่เกิดขึ้นเท่านั้น  แต่เป็นฤทธิ์อำนาจ ที่เกิดขึ้นในตัวของผู้เชื่อทั้งหลาย ที่เดินไปไหนมาไหน? ฤทธิ์อำนาจของการตายของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน  และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน อยู่ในตัวของผู้เชื่อทั้งหลาย  เราลองมาดูข้อต่อไป โรม 6:4 …

        โรม 6:4 “ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเอง ก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้า ได้ทรงให้พระคริสต์ เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา”

            “ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์” ตรงคำพูดเป๊ะ ไม่ใช่เปรียบเปรย ไม่ใช่อุปมา  แต่เป็นเรื่องจริงๆ ที่เกิดขึ้น ในโลกวิญญาณว่าดังนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันในความตาย

            ตะกี้นี้ ข้อ 3 บอกว่าเราตายพร้อมพระองค์ พระเยซูคริสต์ตายบนไม้กางเขน  อันนี้ใครๆ ก็สอนอย่างนี้  เราก็รับรู้อย่างนี้ พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อฉัน พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน  แต่รู้หรือไม่ว่าความจริง คือพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน  ฉันก็ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วย อันนี้ยากแล้ว  ไม่ยาก ถ้าเราเรียนรู้พื้นฐานไปเรื่อยๆ  เราจะเข้าใจในเรื่องนี้  แต่ยาก ถ้าเราไม่เข้าใจในเรื่องนี้  แล้วเราไปให้ความสนใจกับเรื่องอื่น มันก็ยากขึ้นเรื่อยๆ  เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ สนิทสนมกันขนาดไหน? เดี๋ยวเราจะได้เห็นชัดเจนขึ้นว่าเราสนิทสนมกันกับพระเยซูคริสต์มากขนาดไหน?  มากขนาดเราเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน เราถูกแยกออกมาหรือ?  ไม่แยกออกมา เราตายพร้อมกับพระเยซู ตายพร้อมกัน ตายร่วมกันเลย  พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เราร่วมกับพระเยซู พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น ฉันก็เชื่อตามนั้น ฉันไม่ใช้เหตุผลของมนุษย์ว่าฉันจะไปตายกับพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร? ฉันยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ พระวิญญาณจะค่อยๆ สำแดงให้ท่านได้เห็นชัดเจนว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

            เมื่อท่านรู้แล้ว ท่านก็จะเปลี่ยนไป ท่านก็ไม่แสวงหาความสนิทสนมกับพระเยซูคริสต์ ท่านก็จะไม่พยายามทำชีวิตให้ใกล้พระเยซูคริสต์หน่อยนะ วันอาทิตย์ก็ไม่ค่อยได้มา มาก็ไม่ได้มาประจำ ต้องมาให้ประจำ ท่านจะได้สนิทสนมกับพระเยซูคริสต์ อยู่ใกล้พระเยซูคริสต์มากขึ้น อย่างนี้ ท่านต้องอธิษฐานเยอะๆ นะ เพื่อจะได้อยู่ใกล้พระเยซูคริสต์ จะได้สนิทสนมกับพระเยซูคริสต์ ถึงท่านไม่ทำอะไรเลย แค่เปิดใจเชื่อและต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระองค์ก็สนิทอยู่กับท่าน เป็นหนึ่งเดียวกันกับท่านแล้ว เพียงแค่รับรู้เท่านั้นเอง  แล้วก็ให้พระวิญญาณนำท่านไป

            ดังนั้น เราทั้งหลายจึงได้ถูกฝังอยู่กับพระองค์ โดยการบัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย  เพื่อเราเองจะได้มีชีวิตบังเกิดใหม่ เช่นเดียวกันกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ โดยฤทธิ์อำนาจในพระวิญญาณ  และพระเกียรติสิริของพระองค์ ก็คืออย่างที่ตะกี้นี้บอก พระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน  เพื่อว่ามนุษย์ทั้งหลายจะได้ตายพร้อมพระองค์ เพื่อว่าเมื่อพระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3  เราอยู่ในพระคริสต์ เราตายพร้อมกับพระองค์ เราจะได้เป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระองค์ด้วย สมการง่ายๆ นิดเดียว  อย่างที่บอกว่าในพระคัมภีร์ตรงนี้เขียนชัดเจน ถึงกาลเวลาที่เกิดขึ้น

            ดังนั้น เราได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ กี่ปีแล้ว? 2,000 ปี พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตายมากี่ปีแล้ว? 2,000 ปี โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติ พระสิริ เพื่อว่าเราเองจะได้มีชีวิต จะได้ ก็คือ เราเองที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เราต้องเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้องรับสิทธิของเรา  เหตุการณ์เหล่านี้ถึงจะเกิดขึ้น ในชีวิตของเรา ก็คือเราก็จะได้ จะได้เมื่อเกิดเป็นมนุษย์แล้ว  ได้ยินข่าวดีนี้  เชื่อในข่าวดีนี้  แล้วก็เปิดใจต้อนรับสิ่งนี้ ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำที่ไม้กางเขน  เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เปิดใจรับเอาแค่นั้นเอง  ก็จะได้เป็นขึ้นจากความตาย พร้อมพระองค์ เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

            ง่ายนิดเดียวเองเห็นไหม?  ในโลกวิญญาณจึงไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย มาดูข้อ 5 ต่อไป เห็นชัดเจนยิ่งขึ้น โรม 6:5 …

        โรม 6:5 “ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ด้วยเช่นกัน”

            นี่ยิ่งชัดเจนเลย “ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วม” ก็คือได้บัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการตายที่ไม้กางเขน วิญญาณของเราตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน “แน่นอน เราก็จะมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ในการเป็นขึ้นจากตาย บังเกิดใหม่ด้วยเช่นกัน” พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย ฉันก็เลยเป็นขึ้นด้วย เอเมน

            พระเยซูบอกว่าอย่างไรตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ ประกาศข่าวประเสริฐ พระเยซูบอกว่าถ้าท่านไม่ปฏิเสธตัวเอง ก็คือปฏิเสธตัวตนเก่า  ก็คือรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป  และก็ไม่อยากจะเป็นคนบาป  ก็คือปฏิเสธตัวเอง ด้วยการแบกกางเขนของท่าน แล้วตามพระองค์มา พระเยซูบอกว่าท่านต้องปฏิเสธตัวเอง คือไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ เป็นคนบาปอย่างนี้ต่อไปแล้ว อยากจะมีชีวิตใหม่  ก็ให้ท่านแบกกางเขนของตน ก็คือแบกเอาความบาปของตนที่เป็นตัวเราเองเป็นคนบาป แล้วเราไม่อยากจะเป็นคนบาปต่อไปแล้ว  แบกกางเขนของตน แล้วตามพระเยซู ไปที่กลโกธา เนินเขาหัวกะโหลก ที่เขาตรึงพระเยซูคริสต์ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่เรากำลังมาฉลองนี้ มาฉลองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่กลโกธา พระเยซูคริสต์ประกาศให้โลกได้รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ และกำลังยอมหลั่งพระโลหิต และยอมตาย บนไม้กางเขน  ให้มนุษย์ทั้งหลายแบกกางเขนของตนเอง แบกความบาปของตนเอง ตามพระองค์ไปตายพร้อมพระองค์ ที่ไม้กางเขน  ตัวบาปของเรานั่น ตายไปพร้อมพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน  พิสูจน์โดยการถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ และในวันที่ 3 เราผู้ซึ่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ ที่ตายพร้อมพระเยซูคริสต์ไปแล้ว วันที่ 3 เราก็ได้รับการเป็นขึ้นจากความตาย เพราะเป็นส่วนหนึ่งของพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย เราจึงเป็นขึ้นจากความตายด้วยเช่นเดียวกัน เอเมน

                        –  พระเยซูเป็นอะไร? ฉันก็เลยเป็นด้วย เอเมน

                        –  พระเยซูคริสต์ตาย ฉันตายด้วย

                        –  พระเยซูคริสต์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ ฉันถูกฝังด้วย

                        –  พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย ฉันเป็นขึ้นด้วย

            โรม 6:6 ยิ่งชัดเจน …

        โรม 6:6 “เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาปในอาดัม) ได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะได้ถูกขจัดไป (ตายจากบาป) เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป”

            เห็นไหม? ชัดเจนไหม? เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา ที่เป็นบาปอยู่นั้น ที่เราแบกกางเขน ที่เราเอาตัวบาปที่อยู่ในอาดัม ที่เกิดมา บัพติศมาอยู่ในอาดัมนั้น เป็นหนึ่งเดียวกับอาดัม  อาดัม คือบรรพบุรุษคนแรกของเราที่นำบาปเข้ามา เชื้อบาปที่อยู่ในเรา ที่อยู่ในอาดัมนั้นได้ถูกตรึงไว้ ก็คือตายกับพระองค์แล้ว ตัวเก่าของเรา ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วอยู่ในบาปนั้น ได้ตายร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะได้ถูกขจัดไป ก็คือตายจากบาปไป  มันตายไปแล้ว หมดเลย  เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป  ก็คือเราไม่ได้อยู่ใต้บาป เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป เอเมน

            เราไม่ได้เป็นคนบาป เพราะว่าตัวเก่าเราที่เป็นบาปนั้น มันได้ตายไปแล้ว  เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ เราได้มีชีวิตอยู่ เป็นชีวิตของพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เป็นชีวิตของเราเลย ชีวิตเก่าของเราตายไปแล้ว …

        โรม 6:7 “เพราะว่าผู้ใดที่ตายแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป”

            พูดง่ายๆ ก็คือเพราะว่ามนุษย์ผู้ใด ที่วิญญาณเก่าของเขาตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ก็เป็นอิสระจากบาป ก็ไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป  เขาได้เกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว เพราะเขาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ เอเมน

            วันอีสเตอร์ เราจึงมาฉลองไง ที่ฉลองสำคัญที่สุด ก็คือไม่ใช่พระเยซูคริสต์ตาย  ไม่ใช่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตายเท่านั้น จึงฉลองได้  แต่ฉลองไปด้วยความเศร้าๆ  แต่ถ้าเรารู้ความจริง เราจะฉลองว่าพระเยซูคริสต์ตาย เราก็ตายด้วย  พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย เราก็ฉลอง แล้วเราฉลองหนักกว่านั้นอีก คือเราเป็นขึ้นจากความตายด้วยเช่นเดียวกัน เอเมน

            เมื่อวิญญาณเก่าเราตาย ตัวเก่าเราตายไปเรียบร้อยแล้ว บางคนบอกว่าทุกวันต้องคิดกำจัดตัวเก่า กิเลสตัณหาเก่าๆ มันครอบครองในใจ ต้องตายต่อตัวเอง ต้องตายต่อเนื้อหนัง ไม่ใช่ตายต่อเนื้อหนัง มันไม่มีเนื้อหนังในตัวเราแล้ว เราเป็นคนใหม่แล้ว  มันมีแต่อิทธิพลของโลกนี้ ที่เป็นกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ที่ไม่ใช่ตัวเรา  อิทธิพลนี้พยายามที่จะหลอกล่อ  ดึงดูด ผลักดันให้เรากระทำตามมัน  ไม่ใช่ตัวเราเป็น

            เพราะว่าคริสเตียน คือผู้ที่ได้แบกกางเขนของตน ตามพระเยซูไปที่กลโกธา ตายร่วมกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์แล้ว  ตัวเก่าที่เป็นคนบาป ติดเชื้อบาปจากอาดัม ได้ตายไปแล้ว ถูกขจัดออกไปแล้ว เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไปแล้ว ท่านเชื่อเรื่องนี้หรือไม่? ตอบว่า “เอเมน”

            ถ้าท่านได้ยินใครพูดในเรื่องถ้อยคำพระเจ้าให้ท่านฟังว่า …

            “ท่านยังเป็นคนบาปอยู่นะ ท่านยังเป็นคนสกปรก ยังทำบาปอยู่”

            ท่านตอบว่า … “ไม่เอเมน”

            “อ้าว! ไม่เอเมนได้อย่างไร? ตะกี้นี้เธอยังทะเลาะกับชาวบ้านเขาเลย เธอยังประพฤติไม่ดีเลย”

            “นั่นคือความประพฤติของฉัน แต่ฉันไม่ได้เป็นอย่างนั้น ฉันเป็นคนชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์”

            เราต้องยืนกรานไว้เช่นนั้น  ใน 1 ยอห์น 4:17 ได้บันทึกอย่างนี้ชัดเจนเลยว่าต้องยืนกรานไว้อย่างนี้ ในขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ฉันอาจจะประพฤติตัวอะไรต่างๆ ไม่สมกับการเป็นลูกของพระเจ้าก็ตาม แต่ในขณะนี้ ในโลกวิญญาณ ในถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นจริงนั้น  ขณะนี้กำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ฉันได้สะอาด บริสุทธิ์ ทั้งวิญญาณและจิตใจ เหมือนพระเยซูคริสต์เลย …

        1 ยอห์น 4:17 “ในการได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก​​ (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เรา​จึง​มี​ความ​มั่นใจ​ใน​วัน​พิพากษา ที่​เรา​มี​ความ​มั่นใจ​อย่าง​เต็มเปี่ยม ​ก็​เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลก​นี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจ ที่​เหมือน​กับ​วิญญาณ และจิตใจของ​พระคริสต์”

            “ในการได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้” ก็คือการบัพติศมาในพระเยซูคริสต์นี้ เป็นหนึ่งเดียวกันนี้ ทำให้เกิดอะไร? ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น  ท่านเป็นวิญญาณและจิตใจที่เป็นเหมือนกับวิญญาณ ความคิดจิตใจของพระคริสต์ เป็นเหมือนกันเลย สะอาดเท่ากับพระคริสต์ พระเจ้ารักท่านเท่ากับพระคริสต์ พระเจ้านับท่านเป็นคนชอบธรรมบริสุทธิ์ดีพร้อม เท่ากับพระคริสต์ พอไหม? ท่านต้องทำอะไรเพิ่มไหม?  ท่านต้องทำอะไรให้มันบริสุทธิ์เพิ่มไหม? หรือทำอะไรให้มันสมบูรณ์เพิ่มขึ้นไหม? เมื่อท่านเป็นเหมือนพระคริสต์แล้ว ไม่ต้อง ท่านต้องพยายามฝึกฝนในศาสนกิจต่างๆ ในการอดอาหาร ในการอดกิเลสตัณหาเนื้อหนัง ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ในการถวายทรัพย์ การอ่านพระคัมภีร์ ในการอธิษฐานระยะยาว  อะไรต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ท่านต้องพยายามทำสิ่งเหล่านั้น  เพื่อให้ท่านสมบูรณ์ครบถ้วนบริบูรณ์ บริสุทธิ์ ที่พระเจ้าจะรับท่านได้หรือไม่?  ตอบ ท่านก็รู้แล้ว

            และตัวใหม่ของเรา ที่บอกว่าเป็นเหมือนพระคริสต์ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ในโลกวิญญาณตอนนี้เราอยู่ที่ไหน?  เรามาอ่านตรงนี้  เอเฟซัส 2:4-6 พูดถึงเลยว่าตอนนี้เราอยู่ที่นี่ ตอนนี้ฉันอยู่ที่นี่ นี่คือถ้อยคำพระเจ้า นี่คือความจริงที่จะต้องเรียนรู้ ที่จะต้องรับรู้ เมื่อเป็นคริสเตียนแล้ว …

        เอเฟซัส 2:4-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา กลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษ จากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์”

            และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งอยู่ในสวรรคสถานกับพระคริสต์ ได้ทรงทำให้เรา ทำเสร็จเรียบร้อยหรือยัง? เรียบร้อยแล้ว  และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นจากความตายกับพระคริสต์ เป็นขึ้นหรือยัง?  เป็นขึ้นแล้ว

            เดี๋ยวผมจะอ่านและเน้นตรงนี้ให้ท่านฟังว่า “ได้” มันสำคัญอย่างไร?  “แต่เนื่องด้วยความรักอันใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา กลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดจากการลงโทษ จากคำสาปแช่ง โดยพระคุณ และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา บังเกิดใหม่กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์” เอเมน

            เพราะฉะนั้น ตอบ ท่านอยู่ที่ไหนตอนนี้? ตามตามองเห็น ร่างกายเราอยู่แพรกษา แต่ตามความเป็นจริงในโลกวิญญาณ พระคัมภีร์บอกไว้ว่าเราอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ใหญ่ขนาดไหน? ท่านคิดเอาเองก็แล้วกัน เราอยู่ในพระคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานร่วมกับพระคริสต์แล้ว

            โคโลสี 3:1-4 พระคัมภีร์จึงได้เขียนไว้อย่างนี้ว่าเมื่อมันเป็นอย่างนี้แล้ว มันเกิดขึ้นอย่างนี้แล้ว  เราเป็นคริสเตียน เราควรจะรับรู้เรื่องนี้ เป็นเรื่องสำคัญมากๆ กว่าอย่างอื่น ลองอ่านดู …

        โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่าน จดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ ในพระเกียรติสิริด้วย”

            นี่คือพระคัมภีร์แนะนำให้คริสเตียนทำอย่างนี้ ตลอดชีวิตของเราที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้  ทำอย่างนี้ คือในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว  คือเมื่อท่านรู้ความจริงเหล่านี้แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน ก็คือที่พระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์นั่นเอง  คิดใคร่ครวญถึงสิ่งเหล่านี้ จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก  บางคนคิดถึงสิ่งฝ่ายโลก ก็คือกิเลสตัณหา ความชั่วต่างๆ  มันไม่ใช่แค่ความชั่วอย่างเดียว มันหมายถึงความดีงามด้วย  อย่าจดจ่อไปที่ความดีอะไรต่างๆ  ต้องสะสมความดี ไม่ใช่ว่าไม่ทำดี  ไม่ใช่ไปส่งเสริมไม่ให้ทำดี  ไม่ใช่ พระคัมภีร์บอกให้เรากระทำดี ความประพฤติดี ให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า  แต่ไม่ให้จดจ่อ ก็คือไม่ให้เราไปจดจ่อที่ความประพฤติ การกระทำ เพราะเราจะถูกหลอกว่านี่คือความจริงของพระเจ้า ผู้ที่ได้เป็นแล้ว ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติบนโลกใบนี้  ไม่อย่างนั้นเราจะถูกหลอกในเรื่องศาสนกิจ เรื่องอะไรต่างๆ ของบนโลกใบนี้ อันนี้ก็ต้องทำ อันนั้นก็ต้องทำ เพื่อจะสะสมให้เราเป็นคนดีมากขึ้น เราก็จะมีความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า  ที่เกิดขึ้นแล้วในโลกวิญญาณน้อยไปเรื่อยๆ ข่าวประเสริฐก็จะเสียหายไปเรื่อยๆ  เราก็จะไม่ได้รับพระพรอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ในการเป็นคริสเตียน ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เต็มไปด้วยสันติสุขและเต็มไปด้วยชัยชนะอย่างแท้จริง เราก็จะเป็นคริสเตียน ที่หวาดหวั่น กลัวๆ ตลอดเวลา  เพราะท่านตายแล้ว ตัวเก่า  วิญญาณท่านตายไปแล้ว บัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า  ถูกซ่อนอยู่ หมายถึงเป็นหนึ่งเดียวกัน วิญญาณเรากับวิญญาณพระคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน เราถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์กับพระเจ้า พระเจ้าตรีเอกานุภาพ อยู่ในเรา เราอยู่ในพระองค์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน  คิดใคร่ครวญถึงสิ่งเหล่านี้ ตลอดเวลา มากกว่าที่จะ ใคร่ครวญถึงโลกใบนี้ว่า …

            “ฉันต้องทำอย่างนั้น เพื่อให้อยู่กับพระคริสต์ ใกล้ๆ ฉันต้องอธิษฐานเยอะๆ เพื่อจะได้อยู่ใกล้พระคริสต์ ฉันควรจะอ่านพระคัมภีร์มากๆ เพื่อจะได้อยู่ใกล้พระคริสต์ ฉันต้องรับใช้พระเจ้ามากๆ  เพื่อจะได้อยู่ใกล้ๆ พระคริสต์ ไม่ทำอะไรเหล่านั้นเลยแม้แต่นิดหนึ่ง ฉันก็อยู่ใกล้ที่สุดแล้ว คือเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในฉันและฉันอยู่ในพระคริสต์” เอเมน

            เพราะฉะนั้น เราต้องใคร่ครวญถึงสิ่งเหล่านี้ ตลอดวันคืนของเราบนโลกใบนี้ จนกว่าวิญญาณเราจะออกจากร่าง ไปพบกับความเป็นจริง ที่เราคิดอยู่นั้น มันเป็นจริงอยู่ นึกออกไหม? เราเป็นอยู่อย่างนั้นจริงๆ แล้ว วิญญาณเราออกจากร่าง คือเปลี่ยนมิติโลกวิญญาณ ก็เป็นเหมือนเดิมนั่นแหละ คืออยู่กับพระคริสต์ แล้วพระคริสต์อยู่ในฉัน สนิทสนมกันมาก ให้ท่านใคร่ครวญ จดจ่อสิ่งเหล่านี้

            สรุปให้ นี่คือตัวอย่าง หลับตาแล้วพูดตามผม … “ฉันอยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์ บังเกิดจากหน่อเชื้อ วิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า และพระคริสต์อยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ ที่ฉันได้เข้าส่วนร่วมรับกับพระองค์ ตั้งแต่บัดนี้  บนโลกนี้  จนถึงโลกหน้านิรันดร์ ได้สวมร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และเข้าครอบครองโลกใหม่กับสรรพสิ่งใหม่ ที่จะทรงสร้างขึ้น  ได้ครอบครองร่วมกับพระองค์นิรันดร์” เอเมน

                                    “เป็นขึ้นแล้ว  เป็นขึ้นแล้ว พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว

                                    เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว ฉันก็เป็นขึ้นพร้อมพระองค์”

            นี่แหละคือเป็นขึ้น แปลว่าอย่างนี้ ต่อไปนี้ ท่านร้องเพลงนี้ ท่านร้องได้เต็มที่เลย มันเกิดขึ้นแล้ว ฉันเป็นอย่างนี้แล้ว มันชื่นใจไหมล่ะ  ท่านก็จะฉลองอีสเตอร์จากนี้ต่อไปทุกปีๆ ทุกวันด้วยความชื่นชมยินดี ด้วยความเชื่อมั่นคงแข็งแกร่ง ไม่ใฝ่หา จดจ่อที่โลกใบนี้อีกต่อไป ไม่ว่าโลกนี้จะแย้งกับท่านอย่างไร? ท่านบอกว่าโน ไม่ใช่ ฉันเป็นอย่างนี้แหละ ที่ฉันคิด ที่เกิดขึ้นกับฉันแล้ว คือฉันเป็นขึ้นพร้อมพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูเป็นอย่างไร? ฉันเป็นอย่างนั้นด้วย เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระคริสต์ พระเจ้าตรีเอกานุภาพ สถิตอยู่ในท่านหรือเปล่า?

                        1. สถิตอยู่

                        2. ยังไม่สถิตอยู่

                        3. ไม่แน่ใจ

            เลือกหนึ่งข้อ

            โรม 8:10 … “ถ้าพระคริสต์สถิตในท่าน แม้ว่ากายภายนอกของท่านต้องตาย เพราะอยู่ใต้กฎของความบาป และความตาย แต่วิญญาณภายในของท่าน เป็นชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) เพราะความชอบธรรม (บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว)”

            โรม 8:11 … “และถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงได้ชุบพระเยซู ให้เป็นขึ้นจากความตาย สถิตอยู่ภายในท่าน พระเจ้าพระบิดาผู้ทรงชุบพระเยซู ให้เป็นขึ้นจากความตายนี้ ก็จะประทานชีวิตนิรันดร์ (ที่เหมือนพระเยซู) ให้แก่อวัยวะต่างๆ ของร่างกายภายนอก ที่กำลังเสื่อมสลายของท่านนี้ด้วยเช่นกัน โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน”

            ถ้าพระคริสต์ พระเจ้าตรีเอกานุภาพสถิตอยู่ในเราแล้ว

            ฟิลิปปี 3:20-21 … “20 เราก็เป็นพลเมืองสวรรค์  และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า 21 พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์ โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1463

คำบรรยายวันศุกร์ที่  29  มีนาคม  2024

เรื่อง “วันศุกร์ประเสริฐ”

โดย วราพร  คงล้วน

            คืนนี้เรามาดูในหนังสือฮีบรู บทที่ 9 หนังสือฮีบรูจะพูดถึงเรื่องของพระเยซูคริสต์ที่เสด็จมาบนโลกใบนี้ มาในฐานะมหาปุโรหิต  ก็คือจริงๆ แล้วมหาปุโรหิตบนโลกใบนี้ พระเจ้าได้ทรงเจิมตั้งไว้ สำหรับประกอบพิธีกรรมต่างๆ ในขณะที่มนุษย์ยังอยู่บนโลกใบนี้ พันธสัญญาใหม่ที่ยังมาไม่ถึง แต่พระเยซูคริสต์ถูกส่งมาเป็นมหาปุโรหิต ซึ่งเป็นพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วพระองค์ทำพิธีนี้เพียงครั้งเดียว จบสิ้นเลย ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว โดยที่ไม่ต้องทำต่อเนื่องเหมือนสมัยก่อน ในอดีต มหาปุโรหิต ต้องถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าทุกปีๆ จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ การถวายเครื่องบูชาก็จะจบสิ้นไป  ก็คือพระเยซูทำสำเร็จแล้ว  แล้วผลของการกระทำของพระเยซูคริสต์ก็มีผลบังคับใช้จนถึงปัจจุบัน แล้วก็อนาคตข้างหน้าด้วย เราดูในข้อ 11 …

        ฮีบรู 9:11 “เมื่อพระคริสต์ทรงมาในฐานะมหาปุโรหิต แห่งสิ่งประเสริฐต่างๆ ซึ่งได้มาถึงแล้ว พระองค์ทรงผ่านเข้าสู่พลับพลาที่ยิ่งใหญ่กว่าและสมบูรณ์กว่า ซึ่งไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ กล่าวคือไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ทรงสร้างนี้”

            ก่อนหน้าที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็มาทำการงานของพระองค์สำเร็จ พระเจ้าได้เลือกประชากรกลุ่มหนึ่ง  ที่เรารู้จักกัน ก็คือคนยิว  แล้วก็ได้เลือกคนกลุ่มหนึ่ง  คือชาวเลวีที่จะมาทำหน้าที่ปฏิบัติในเต็นท์นัดพบ หรือในพระวิหารของพระเจ้า  เพื่อถวายเครื่องบูชาให้กับพระเจ้า เรียกว่าเป็นการมาผ่อนส่งบาปให้กับคนอิสราเอล ปีต่อปี

            พระเจ้าทรงแต่งตั้งมหาปุโรหิตคนแรก คืออาโรน  แล้วจากนั้น ตระกูลของอาโรนก็จะสืบเชื้อสายมาทำหน้าที่ตรงนี้ มาตลอด แต่พระเจ้าก็ได้สัญญาไว้ว่าอนาคตข้างหน้า พระองค์จะประทานพระมาซีฮาห์ คือพระผู้ช่วยให้รอด มาให้กับมนุษยชาติ ณ เวลานี้พระเจ้าให้พวกมหาปุโรหิตทำการถวายเครื่องบูชาไปก่อน เป็นเงา สำหรับอนาคตข้างหน้า  เมื่อตัวจริงมา ก็คือพระเยซูคริสต์มา พิธีกรรมต่างๆ เหล่านี้ก็จบสิ้นไป  คือไม่ต้องทำอีกต่อไป นี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้เตรียมการไว้

            ดังนั้น พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้เข้ามาสู่พลับพลา โดยที่ไม่ได้เป็นพลับพลาที่สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ แต่เป็นพลับพลาที่เรียกว่าเป็นอภิสุทธิสถาน ซึ่งในโลกวิญญาณ วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนปุ๊บ ในพระคัมภีร์ที่บอกว่าม่านในวิหารขาดออก ตั้งแต่บนจรดล่าง หมายความว่าวันที่พระเยซูคริสต์ได้ตรัสว่าสำเร็จแล้ว ก็คือการไถ่บาปนิรันดร์ได้เกิดขึ้นแล้ว ได้ทำสำเร็จแล้วต่อแต่นี้ไป มนุษย์ไม่ต้องทำพิธีกรรมนี้อีกต่อไป จะไม่มีม่านในวิหารอีกต่อไป จะไม่มีการถวายเครื่องบูชาในวิหารอีกต่อไป  แปลว่ากลุ่มคนเลวีตกงาน  ไม่ต้องใช้แล้ว  พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว แล้วใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้วจนถึงปัจจุบัน เขาก็จะได้รับความรอดพ้นจากความผิดบาปทั้งหมด ไม่ต้องมาหาแพะ หาแกะมาถวายเป็นเครื่องบูชาปีต่อปี  เพราะว่าพระเยซูทำเที่ยวเดียวจบสิ้นขบวนการทั้งหมดเลย คือไม่ต้องมีการถวายเครื่องบูชา ไม่ต้องมีการลบล้างบาปอีกต่อไป แต่บาปของมนุษยชาติจะถูกลบล้างไปทั้งหมดเลย ตั้งแต่บาปอดีต ปัจจุบัน และบาปในอนาคตข้างหน้า

            แล้วสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับมนุษยชาติ ก็คือพระองค์ได้ให้วิญญาณใหม่กับพวกเรา สมัยก่อนคนยิวมาถวายเครื่องบูชา วิญญาณข้างในเขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่ จิตใจข้างในเขาไม่ได้มีความรู้สึกว่าเขาสะอาดบริสุทธิ์เลย เพราะว่าเมื่อเขาทำบาป เขาก็รู้สึกไม่สบายใจ แล้วเขาก็ต้องไปถวายเครื่องบูชา พอปีหน้าเขาก็ไปถวายเครื่องบูชาอีก ความรู้สึกของการหายจากบาปมันไม่มีในวิญญาณของคนยิวในยุคนั้น  แต่เมื่อพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จ ผู้เชื่อทุกคนเมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ข้างในวิญญาณเราจะรู้ว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม เราสะอาด เราบริสุทธิ์ เราหมดจด เราไม่ต้องไปทำพิธีกรรมใดๆ เกี่ยวกับเรื่องของวิญญาณ เพื่อทำให้เรารอดพ้นจากบาปเลย ตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            ฉะนั้น จุดสังเกต คือก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า เราแสวงหาทุกอย่างใครว่าอะไรดี เราจะไปหมด เพราะข้างในวิญญาณเรากระหายหาพระเจ้า แต่เราหาพระเจ้าเที่ยงแท้ ที่เป็นพระเจ้าจริงๆ ไม่เจอ เมื่อหาไม่เจอ ก็ต้องหาไปเรื่อยๆ  จนวันหนึ่ง เมื่อเราพบพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ แล้ววิญญาณได้ถูกเปลี่ยนเป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ตอนนี้เราจะหยุดแสวงหา วิญญาณเราจะนิ่ง แล้วเราจะมีสันติสุข เราจะรู้เลยว่าข้างในวิญญาณเรา เราไม่รู้สึกว่าตายไปแล้ว เราจะต้องไปชดใช้หนี้เวรกรรมอีกเลย  เพราะว่าข้างในวิญญาณเรารับรู้ความจริงว่าพระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราจะได้รับชีวิตนิรันดร์  แล้วเราก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษอีกเลย ตั้งแต่วินาทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            ฉะนั้น การพิพากษามันจะไม่มีเกิดขึ้น สำหรับผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า หลายคนอาจจะถูกหลอก โดยข้อมูลต่างๆ ที่ถูกส่งเข้ามาในความคิด บอกว่าถ้าเกิดเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ยังต้องถูกพิพากษาลงโทษ  แต่ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าวิญญาณเราสะอาดหมดจดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว การพิพากษาไม่มีสำหรับผู้เชื่ออีกต่อไป  แต่การพิพากษามันจะมีขึ้นเฉพาะบนโลกนี้เท่านั้น พี่น้องที่เป็นคริสเตียน อย่าคิดว่าเราเป็นคริสเตียนแล้ว เราทำอะไรก็ได้ เราทำผิดทำบาป แล้วเราไม่ต้องรับผลอะไร? มันไม่ใช่ มันยังต้องรับผลอยู่ เพราะพระเจ้าเป็นพระเจ้าที่ตั้งกฎทั้ง  2 อย่าง คือทั้งกฎฝ่ายวิญญาณ และกฎทางฝ่ายร่างกาย การเคารพทั้ง 2 กฎ ก็เป็นการยำเกรงพระเจ้า  ดังนั้น คริสเตียนเราเคารพทั้ง 2 กฎ กฎที่พระเจ้าบอกว่าเป็นกฎพระวิญญาณแห่งชีวิต เราเคารพ เราเอเมน เราสรรเสริญพระเจ้า เราเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่พระเจ้าบอกเราว่า ณ เวลานี้เราเป็นใครแล้ว  ณ เวลานี้ เราได้รับอะไรเรียบร้อยไปแล้ว ณ เวลานี้เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว แม้ขณะนี้ สมมตินะ ณ เวลานี้ ความคิดเราไปคิดชั่ว  เราก็ยังคงยืนกรานดังเดิมว่าวิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ เราเป็นผู้ชอบธรรม

            นี่คือการนมัสการพระเจ้า ด้วยจิตวิญญาณและความจริง ก็คือเราเอเมนกับทุกอย่างที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นอย่างนั้นแล้ว ยืนกรานตรงนั้น  เพื่อเราจะได้สามารถที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้า ยืนกรานในสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา

            หลายครั้ง คริสเตียนจะถูกหลอก ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องปุ๊บ  เราก็จะถูกหลอกว่าตอนนี้เราไม่ชอบธรรมแล้ว แต่ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า พี่น้องต้องยืนหยัด ให้มั่นเลยว่า …

            “แม้ฉันจะทำสิ่งที่ผิดพลาดไป แม้ตอนนี้ฉันกำลังด่าใครอยู่ แต่วิญญาณข้างในฉันเป็นผู้ชอบธรรม ฉันเป็นผู้ชอบธรรม ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันสะอาด ฉันบริสุทธิ์ ฉันหมดจด ฉันเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ฉันได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่สวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์”

            นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่เราจำเป็นจะต้องยืนหยัด แล้วก็ยึดมั่นในความจริงตรงนี้ ตามที่อาจารย์ยอห์นบอกให้นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและด้วยความจริงทุกอย่างที่พระเจ้าบอกเรา เราดูข้อที่ 12 …

        ฮีบรู 9:12 “พระองค์ไม่ได้ทรงเข้าไปด้วยเลือดแพะหรือเลือดวัว แต่พระองค์ทรงเข้าไปสู่อภิสุทธิสถาน ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้เพียงครั้งเดียวเป็นพอ และได้การไถ่บาปชั่วนิรันดร์มา”

            พระคัมภีร์จะเน้นคำว่า “ครั้งเดียวเป็นพอ”

            การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ได้ทำให้มนุษยชาติได้รับการไถ่ถอน จากบาปทั้งสิ้นชั่วนิรันดร์ ใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งนี้ เขาจะได้รับการอภัยโทษบาปทั้งหมด ไม่ว่าบาปที่คนนั้นทำตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน หรืออนาคตยังจะทำอยู่ ก็ได้รับการอภัยหมดสิ้น  เพราะถ้อยคำตรงนี้บอกว่า “ครั้งเดียวพอ” พระเยซูคริสต์ไม่ต้องมาตายแล้วตายอีก หลั่งพระโลหิตแล้ว หลั่งพระโลหิตอีก เพื่อที่จะชำระล้างความผิดบาปของเรา ข้อที่ 13-14 …

        ฮีบรู 9:13-14 “13 เลือดแพะเลือดวัวหรือเถ้าถ่านจากวัวตัวเมีย ที่ประพรมลงบนผู้มีมลทินตามระเบียบพิธีได้ชำระเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อเขาจะสะอาดภายนอก 14 แล้วยิ่งกว่านั้นสักเพียงใด  พระโลหิตของพระคริสต์ ผู้ถวายพระองค์เองอย่างปราศจากตำหนิแด่พระเจ้า โดยทางพระวิญญาณนิรันดร์ ย่อมชำระจิตสำนึกของเราจากการกระทำ อันนำไปสู่ความตาย เพื่อเราจะได้รับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่!”

            ก่อนหน้านั้น ก่อนที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ   ตอนนั้นคนยิว ที่ได้รับการชำระผ่านทางปุโรหิต ผ่านทางเลือดแพะเลือดแกะ แค่ชำระภายนอกเท่านั้น  แต่จิตใจภายในไม่ได้รับการชำระเลย เขายังคงรู้ว่าตัวเองยังเป็นคนบาปอยู่ แต่ปัจจุบันพวกเราเชื่อ วางใจในพระเจ้าแล้ว เราได้รับการชำระข้างในวิญญาณสะอาดบริสุทธิ์ เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเกิดมาเป็นผู้ชอบธรรมเลย ซึ่งบางครั้งอาจจะลืมตัว หรือหลง ถูกหลอกลวงไปทำบาป หรือทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่เรายังเป็นผู้ชอบธรรมอยู่

            ถ้าเป็นสมัยก่อน คนยิวหรือคนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ยิว เขาเป็นคนบาป อยู่ในอาดัม ต่อให้เขาทำดีขนาดไหนก็ตาม เขาก็ยังเป็นคนบาปเหมือนเดิม  ภาพ 2 ภาพนี้ ถ้าพี่น้องเห็นชัดปุ๊บ พี่น้องจะอ๋อ! เป็นอย่างนี้นี่เอง เมื่อก่อนไม่ว่าเราทำดีขนาดไหน? ข้างในเรายังไม่รู้สึกว่าเราบริสุทธิ์ สะอาด เราชอบธรรมเลย  แต่ปัจจุบัน เรารู้สึกเลยว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม เพราะพระเจ้าทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว แม้ขณะที่เราเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ข้างในวิญญาณเรายังรับรู้ว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมอยู่ ข้อที่ 15-22 …

        ฮีบรู 9:15-22 “15 ด้วยเหตุนี้ พระคริสต์จึงทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่  เพื่อบรรดาผู้ที่ทรงเรียกนั้น จะได้รับมรดกนิรันดร์ ซึ่งทรงสัญญาไว้ เพราะพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เป็นค่าไถ่ เพื่อปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระจากบาป ซึ่งได้ทำภายใต้พันธสัญญาแรก 16 ในกรณีของพินัยกรรม จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าผู้ทำพินัยกรรมนั้นสิ้นชีวิตแล้ว 17 เพราะพินัยกรรมจะมีผลบังคับใช้ ก็ต่อเมื่อผู้ทำตายแล้ว หากผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ พินัยกรรมจะไม่มีผลอะไร 18 ด้วยเหตุนี้ แม้แต่พันธสัญญาแรกจะมีผลบังคับใช้ ก็ต้องมีเลือด 19 เมื่อโมเสสประกาศบทบัญญัติทุกข้อ แก่เหล่าประชากรทั้งปวงแล้ว เขาก็นำเลือดลูกวัว พร้อมด้วยน้ำ ขนแกะสีแดงและกิ่งหุสบมาประพรมหนังสือม้วนและเหล่าประชากร 20 เขากล่าวว่า “นี่คือเลือดแห่งพันธสัญญา ซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาให้ท่านทั้งหลายรักษา” 21 และเขาใช้เลือดประพรมพลับพลา และทุกสิ่งที่ใช้ในพิธีต่างๆ เช่นเดียวกัน 22 อันที่จริงบทบัญญัติระบุให้ชำระแทบทุกสิ่งด้วยเลือด และถ้าไม่มีการหลั่งเลือด ก็ไม่มีการอภัยบาป

            นี่คือกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ ชีวิตชดใช้ด้วยชีวิต ต้องหลั่งเลือด ถึงจะมีการอภัยบาป ก่อนหน้านั้น เป็นเงาที่พระเจ้าทำไว้  ก็คือเอาสัตว์ตัวหนึ่งมาตายแทนมนุษย์ แล้วก็เอาเลือดของสัตว์นั้นมาถวายให้พระเจ้าปะพรมที่แท่นบูชา กฎนี้ยังอยู่ ฉะนั้น พระเยซูคริสต์มาทำให้กฎสมบูรณ์แบบ ก็คือพระองค์มาหลั่งพระโลหิตของพระองค์ ซึ่งตอนที่พระเยซูคริสต์นำเอาเลือด เข้าไปในอภิสุทธิสถาน ซึ่งไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ คือสวรรค์จริงๆ เลย  พระองค์ใช้เลือดของพระองค์เอง โดยที่ไม่ได้ใช้เลือดแกะเลือดแพะใดๆ เลย เลือดของพระองค์เอง ซึ่งบริสุทธิ์สะอาด หมดจด เลือดของพระองค์ ที่ได้ชำระทุกอย่างให้สะอาดบริสุทธิ์ มอบถวายให้พระเจ้า ทำให้พวกเรามนุษยชาติทั้งหมด สามารถที่จะได้รับการชำระให้สะอาด บริสุทธิ์ นิรันดร์

            การเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ได้รับการประพรมด้วยโลหิตของพระเยซูคริสต์ เราได้รับการชำระนิรันดร์ ก็คือโลหิตของพระเยซูคริสต์หลั่งครั้งเดียว แล้วมนุษยชาติไม่ว่าเราจะทำบาปขนาดไหน? คนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เลือดของพระองค์พร้อมตลอดเวลา ก็คือทันทีที่เราทำผิดปุ๊บ เลือดก็ชำระเราทันทีเลย ไม่ต้องรอช้า หรือไม่ต้องรอให้เรามาขอจากพระเจ้า มันเป็นสิ่งที่พระเจ้าตั้งไว้  แล้วมันจะอัตโนมัติมากๆ ที่พระเจ้าบอกแล้วว่ามนุษย์ทุกคนจะได้รับการชำระล้างให้สะอาดบริสุทธิ์ หมดจด พระเจ้าทรงยกโทษบาปให้กับพวกเราตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้า ซึ่งเรายังสามารถทำบาปอยู่ แม้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว  พี่น้องว่าจริงหรือไม่จริง? มีใครกล้าบอกว่าเชื่อพระเจ้าแล้วไม่เคยทำบาปเลย ไม่มี เราก็ยังทำบาป เยอะบ้าง? น้อยบ้าง? แล้วแต่

            แต่ถ้าเป็นกฎเดิม ไม่ว่าบาปเล็ก บาปน้อย บาปฝอย พระเจ้าถือว่าบาปหมด แต่มนุษย์เอามาตั้งเป็นกฎเกณฑ์ของมนุษย์เองว่าถ้าทำบาปแบบนี้ ไปนินทาชาวบ้าน ถือว่าเป็นบาปเล็ก ถ้าไปฆ่าคนตาย ถือว่าเป็นบาปใหญ่ ซึ่งในสายพระเนตรของพระเจ้า บาปก็คือบาป ไม่มีบาปเล็กบาปน้อย ถ้าเราทำบาป ก็คือบาปหมดเลย  ทำดี 99.99% ทำบาป 0.01% ก็ถือว่าบาป ดังนั้น ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถที่จะใช้ความดีงามของตัวเอง หรือการกระทำดีของตัวเอง เพื่อที่จะลบล้างความบาปของตัวเอง หรือถีบตัวเองไปถึงมาตรฐานของพระเจ้าได้ มันเป็นไปไม่ได้ ข้อที่ 23 …

        ฮีบรู 9:23 “ฉะนั้น จึงจำเป็นต้องชำระสิ่งต่างๆ อันเป็นแบบจำลองของสวรรค์ด้วยเครื่องบูชาเหล่านี้ ส่วนของในสวรรค์เอง ต้องชำระด้วยเครื่องบูชาที่ดียิ่งกว่า”

            ดียิ่งกว่า ก็คือเลือดของพระเยซูคริสต์ย่อมดีกว่าเลือดสัตว์แน่นอน  ข้อ 24-25 …

        ฮีบรู 9:24-25 “24 เพราะพระคริสต์ไม่ได้เข้าสู่สถานนมัสการ ที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งเป็นเพียงแบบจำลองมาจากของแท้ พระองค์ทรงเข้าสู่สวรรค์โดยตรง บัดนี้ ทรงปรากฏต่อหน้าพระเจ้า เพื่อเราทั้งหลาย 25 ทั้งไม่ได้ทรงเข้าสู่สวรรค์ เพื่อถวายพระองค์เองซ้ำแล้วซ้ำอีก แบบที่มหาปุโรหิตเข้าสู่อภิสุทธิสถานทุกๆ ปีพร้อมด้วยเลือด ซึ่งไม่ใช่เลือดของตัวเอง”

            อันนี้ชัดเจนเลยนะ ถ้าพี่น้องเห็นภาพในอดีตกับภาพในปัจจุบัน ที่พระเยซูคริสต์ทำให้สำเร็จแล้ว พี่น้องจะเห็นชัดมาก มหาปุโรหิตสมัยก่อนทำภารกิจไม่เสร็จสักที จะต้องทำแล้วทำอีก ทุกปีๆ  แต่พระเยซูคริสต์ทำครั้งเดียว และในพระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจของพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์ก็ประทับลงนั่ง

            เวลาเรานั่งพัก ก็คือทำงานเสร็จ ถ้าทำงานไม่เสร็จ พักไม่ได้นะ มหาปุโรหิตไม่เคยพัก ยืนทำอยู่นั่นแหละ ยืนประกอบพิธีตลอดเวลา ซึ่งไม่มีเวลาพัก แต่พระเยซูคริสต์ได้หยุดพักจากการงานทั้งหมดวันที่พระเยซูคริสต์บอกสำเร็จแล้ว  ก็คือสิ้นพระชนม์ เพื่อเราบนไม้กางเขน  และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ทำให้มนุษยชาติสามารถที่จะได้รับความรอด สามารถที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์ โดยผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน

            ก่อนหน้านั้นที่บอกพินัยกรรม  เวลาคนทำพินัยกรรม เหมือนกับพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ทวดมีมรดกเยอะ ก็จะทำพินัยกรรมไว้ให้ลูกหลาน  ดังนั้น พินัยกรรมนี้ ถ้าคุณพ่อคุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ พินัยกรรมนี้ก็ยังไม่มีผล ต้องรอให้คุณพ่อคุณแม่เสียชีวิต แล้วทนายความหรือคนที่ถูกมอบหมาย เขาก็จะมาอ่านพินัยกรรมว่าคุณพ่อคุณแม่ให้มรดก ให้กับลูกคนนี้เท่าไร? ลูกคนนั้นเท่าไร?  ก็จะมีผลบังคับใช้

            เช่นเดียวกัน พระเยซูคริสต์ประทานพินัยกรรมให้กับพวกเรา เป็นพินัยกรรมที่สุดยอด  ก็คือทุกคนจะได้เท่ากันหมด ไม่มีใครได้มาก ได้น้อย แล้ววันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ทันที พินัยกรรมฉบับนี้ สามารถที่จะใช้การได้เลย ใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ก็จะรับพินัยกรรมนี้ไป ก็คือได้รับชีวิตนิรันดร์เท่ากันหมด ทุกคนได้เท่ากันเลย  คือชีวิตนิรันดร์  เป็นแบบพระเจ้า ได้รับวิญญาณใหม่ทุกคนเหมือนพระเยซูคริสต์ ได้รับความคิดจิตใจใหม่  เหมือนพระเยซูคริสต์ทุกคน แล้วอนาคตข้างหน้า เรายังได้รับร่างกายใหม่ ซึ่งพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเรา ผู้เชื่อทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว อย่างนี้ ทุกคนจะได้เท่ากันหมด  แล้ววันที่วิญญาณเราออกจากร่าง เราก็จะไปรับร่างกายใหม่ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี  ที่เป็นเหมือนพระเจ้า  แต่สิ่งที่ไม่เท่ากัน ก็คือเขาเรียกว่าของประทาน ของประทานพระเจ้าจะให้แต่ละคนไม่เหมือนกัน  ไม่เท่ากัน บางคนได้เยอะ บางคนได้น้อย ไม่ว่าจะได้เยอะได้น้อย ก็มีผลเท่ากัน เหมือนกัน คนที่มีของประทานเยอะ ทำงานเยอะ ก็ไม่ได้ทำให้เราได้รับความรักจากพระเจ้าเพิ่มขึ้น หรือได้รับชีวิตนิรันดร์เพิ่มขึ้น ไม่ได้นะ เท่าเดิม พระเจ้ารักเราจนถึงที่สุดแล้ว ฉะนั้น ของประทานต่างๆ ที่พระเจ้าให้กับพวกเรา ก็คือให้เรา เพื่อที่จะรับใช้ซึ่งกันและกันเท่านั้น ข้อ 26 …

        ฮีบรู 9:26 “หากเป็นเช่นนั้น พระคริสต์คงต้องทนทุกข์ทรมานหลายครั้งนับตั้งแต่ทรงสร้างโลก แต่บัดนี้ พระองค์ทรงปรากฏในปลายยุคเพียงครั้งเดียวเป็นพอ เพื่อกำจัดบาปให้หมดสิ้น โดยถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา”

            ตรงนี้ ผู้เขียนได้อธิบายว่าถ้าหากว่าพระเยซูคริสต์ต้องทำเหมือนกับมหาปุโรหิต ที่ต้องถวายเครื่องบูชาทุกปี ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หมายความว่าพระเยซูคริสต์ต้องมาถวายตัวพระองค์เองซ้ำแล้วซ้ำเล่า มาถูกตรึงที่ไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย ตายอีก แล้วก็เป็นอีก อย่างนี้น่าจะทรมานน่าดู แต่ว่าความเป็นจริง คือมันไม่ได้เป็นอย่างนั้น พระเยซูคริสต์ทำครั้งเดียว แล้วก็ทนทุกข์ครั้งเดียวเท่านั้นจริงๆ แล้วพระองค์ปรากฎในปลายยุค ก็คือวันที่พระองค์สัญญาว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะเสด็จกลับมารับพวกเราทุกคนผู้เชื่อ ไปอยู่กับพระองค์ นี่คือพระสัญญาที่พระองค์ได้บอกกับเรา แล้วพระองค์ก็กำจัดบาปทั้งหมดเรียบร้อยไปแล้ว โดยการที่พระองค์ถวายตัวพระองค์เอง ฉะนั้น พระเยซูมาทำพิธีกรรมเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือมากำจัดบาป ให้กับมนุษยชาติทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว

            แล้วก็ให้เราทุกคนมั่นใจเลยว่าเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราเป็นวิญญาณใหม่ วิญญาณเราทำบาปไม่เป็น ไม่รู้จักเลยคำว่าบาป  คืออะไร?  มันเป็นความจริงในโลกวิญญาณ วิญญาณเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ วิญญาณข้างในเราปรารถนา เราอยากจะทำทุกอย่างตามที่พระเยซูคริสต์บอก เราเป็นวิญญาณที่เชื่อฟังพระเจ้าเลย เชื่อฟังอย่างไม่มีข้อแม้ด้วย ไม่มีวิญญาณกบฏเลย ในวิญญาณใหม่ของเราทุกคน นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

            เราจึงเข้ามาขอบพระคุณพระองค์ สำหรับคืนวันศุกร์ประเสริฐในทุกๆ ปีที่เราเข้ามาระลึกถึงพระคุณความรักของพระองค์ ที่ได้สิ้นพระชนม์ เพื่อเราบนไม้กางเขน  และระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว ก็คือชำระล้างบาปของเราตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตเรียบร้อยไปแล้ว อย่าให้แม้แต่คนหนึ่งคนใด โดนหลอกจากใครก็ตาม หรือจากคำอะไรก็ตามที่ส่งเข้ามาในความคิดของเราว่าเรายังมีบาปอยู่ เรายังเป็นคนบาปอยู่ พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เป็นลูกที่พระเจ้าทรงรักมาก ดังแก้วตาดวงใจ ไม่ว่าพฤติกรรมเราเป็นย่างไรก็ตาม ไม่สามารถทำให้พระเจ้ารักเราน้อยลง

            ดังนั้น การที่พระเจ้ามองผู้เชื่อทุกคน พระเจ้ามองที่เราเป็นใคร? ไม่ได้มองที่เราทำอะไร? อันนี้ชัดเจน  อันนี้สำคัญมาก  หลายคนเข้าใจว่าพระเจ้ามองว่าวันๆ เราทำอะไรอยู่ ซึ่งพระเจ้าไม่ได้มองตรงนั้น พระเจ้ามองว่าเราเป็นใคร?  ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราอยู่ที่ไหน? เราไม่ได้อยู่ในอาดัมแล้ว เราอยู่ในพระคริสต์ จำตรงนี้ให้ดีๆ  พระเจ้าไม่ได้สนใจเลยว่าเราทำอะไร? แม้แต่นิดเดียว าพระองค์รู้อยู่แล้ว เมื่อเราวางใจในพระเจ้า  เรามีธรรมชาติใหม่ที่เหมือนพระเจ้า เราปรารถนาที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่แล้ว เราไม่มีความรู้สึกอยากทำบาปเลย ถ้าวันไหนเราทำ แปลว่าเราโดนหลอกนิดเดียวเอง โดนหลอกเราก็ลุกขึ้นมา แล้วเราก็ถอยกลับมาแค่นั้นเอง  ไม่มีผลอะไรกับชีวิตนิรันดร์ที่เราได้รับมาแล้ว แม้แต่นิดเดียว  พระเจ้าอวยพรค่ะ

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ตั้งแต่เกิด มวลมนุษยล้วนแสวงหา การได้ไปอยู่ในสวรรค์  เพราะอะไร?

            จิตใต้สำนึกในวิญญาณของมนุษย์ทุกคน รู้ดีว่าตนเองเป็นคนบาป ไม่บริสุทธิ์ดีพร้อม ไม่สามารถเข้ากับพระเจ้าได้

            ปัญหาของมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่การประพฤติ การกระทำ แต่อยู่ที่การเกิดมาอยู่ในตระกูลอาดัม ซึ่งเป็นคนบาป

            ดังนั้น พระเจ้าแก้ปัญหาให้มนุษย์ ก็ไม่ได้อยู่ที่ความประพฤติ การกระทำ แต่อยู่ที่ทรงทำให้ได้ “บังเกิดใหม่” อีกครั้งเช่นเดียวกัน

            โรม 5:12 … “ฉะนั้น  เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก  เพราะมนุษย์คนเดียว  และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เอง ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป”

            – ไม่ต้องทำอะไร  ก็เท่ากับ   ได้ทำผิดบาป   เป็นนักโทษกบฏ ต่อพระเจ้าผู้สร้างแล้ว

            – เกิดมาก็ตายจากพระเจ้าทางวิญญาณ    เป็นศัตรูกับพระเจ้า

            – เกิดมาวิญญาณก็อาศัยอยู่ในบาป  เป็นคนอธรรม (คนชั่ว) แล้ว

            โรม 5:15-16 … “15 แต่ของประทาน (การบังเกิดใหม่) นั้น ต่างจากการล่วงละเมิด  เพราะถ้าคนเป็นอันมาก   ตายเพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์เพียงคนเดียว  ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด   พระคุณของพระเจ้า  และของประทาน (การบังเกิดใหม่)  โดยพระคุณของพระเยซูคริสต์ เพียงผู้เดียวนั้น ย่อมล้นไหลไปสู่คนเป็นอันมาก 16 และของประทาน (การบังเกิดใหม่ ) จากพระเจ้า  ก็ต่างจากผลของบาปของมนุษย์คนเดียว กล่าวคือการพิพากษาเกิดขึ้น  หลังจากการทำบาปเพียงครั้งเดียว   และนำไปสู่การลงโทษ  แต่ของประทาน (การบังเกิดใหม่ ) เกิดขึ้น  หลังจากการล่วงละเมิดหลายๆ ครั้ง   และนำไปสู่การนับเป็นผู้ชอบธรรม (พ้นจากการเป็นคนบาป)”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1461

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  17  มีนาคม  2024

เรื่อง “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหนก่อนและหลังเชื่อพระเยซู?” ตอน 4.2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน ทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อ ชื่อซีรี่ย์ว่า “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน ทั้งก่อนเชื่อและหลังเชื่อแล้ว”

            ตอนที่ 1 ก่อนเชื่อ อยู่ในเนื้อหนัง  หลังเชื่อ อยู่ในพระวิญญาณ

            ตอนที่ 2 ก่อนเชื่อ อยู่ในอาดัม        หลังเชื่อ อยู่ในพระคริสต์

            ตอนที่ 3 ก่อนเชื่อ เป็นทาสบาป     หลังเชื่อ เป็นทาสพระคริสต์

            ตอนที่ 4 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก่อนเชื่อ อยู่ในความมืด    หลังเชื่อ อยู่ในความสว่าง

            ครั้งที่แล้วเราได้เรียนรู้กันแล้วว่าก่อนเชื่อ อยู่ในความมืด หลังเชื่ออยู่ในความสว่าง  เราได้เรียนรู้ไปบ้างส่วนหนึ่ง  ในเรื่องเกี่ยวกับสถานที่อยู่ของเราว่าเราอยู่ที่ไหน?  มืดหรือสว่าง เราได้เรียนรู้ถึงเรื่องเกี่ยวกับความมืดและความสว่างว่าความมืดมาจากไหน?  ความสว่างมาจากไหน?  และความมืดและความสว่างนี้ หมายถึงอะไร? หมายถึงใคร?

            ทบทวนกันอีกนิดหนึ่ง  เพื่อจะได้เริ่มต่อวันนี้  ครั้งที่แล้วนั้น ได้เรียนรู้ว่าตอนที่พระเจ้าสร้างโลกนั้น พระองค์ทรงตรัสว่าเราจะสร้างมนุษย์ให้เป็นเหมือนเรา คือเหมือนพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกัน พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณ สร้างมนุษย์ให้เป็นเหมือนเรา และทรงให้พระคริสต์เป็นพลังชีวิต เป็นพลังแห่งความสว่างให้กับบรรดามนุษย์ ที่พระองค์ทรงสร้าง

            คำว่า “เป็นพลังแห่งชีวิต เป็นพลังแห่งความสว่าง” หมายความว่ามนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้าง จำเป็นต้องได้รับพลังนี้ เพื่อให้มีสภาพเหมือนพระเจ้า เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ เราได้เรียนรู้ครั้งที่แล้วนะว่าพระประสงค์ของพระเจ้า คืออะไร?  คือให้มนุษย์เป็นลูกของพระองค์ ดีงาม โดยที่พระองค์ทรงสร้างให้เขาดีงาม  โดยรับพลังชีวิต ความดีงาม  ความบริสุทธิ์จากพระคริสต์ จากพระองค์ แต่มนุษย์ไม่ทำตามนี้ ไม่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งการไม่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า  การตัดสินใจออกไปอยู่ด้วยตัวเอง เรียกว่าบาป จำได้ใช่ไหมครับ?

            ครั้งที่แล้วผมได้เปรียบเทียบให้ฟังว่าหลอดไฟที่ถูกสร้างขึ้นมา ถ้าเผื่อไม่มีพลังงานไฟฟ้า ไม่มีกระแสไฟฟ้า หลอดไฟ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าไม่มีพลังงานไฟฟ้า ที่ทำให้เกิดความสว่าง มันก็ไร้ค่าใช่ไหม? เหมือนครั้งที่แล้วที่ผมยกตัวอย่าง เหมือนเครื่องบิน จะสร้างลำใหญ่โตขนาดไหน? สวยงามขนาดไหน? ก็ไร้ค่าใช้ประโยชน์อะไรก็ไม่ได้เลย ถ้าไม่มีพลังงานจากน้ำมัน เชื้อเพลิง ที่ผู้ออกแบบสร้างไว้ว่าต้องมีตรงนี้  ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ  แต่เรามองดูด้วยตา สวยงามมากเลย  น่าจะอย่างโน้น น่าจะอย่างนี้  แต่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ไม่มีพลังงาน อยู่ในนั้น ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่ามนุษย์ทั้งหลาย  เป็นเหมือนตะเกียง ซึ่งพระเจ้าสร้าง ตะเกียงจะจุดติด และให้ความสว่างได้ ต้องมีน้ำมัน นี่พระเยซูยกตัวอย่างเอง

            มนุษย์ที่เปรียบเหมือนตะเกียง จึงจำเป็นต้องมีพระคริสต์ พระเยซูประกาศเองว่าท่านทั้งหลายต้องมีเรา  จึงจำเป็นต้องมีพระคริสต์ เข้ามาเป็นพลังชีวิต เป็นน้ำมันอยู่ ทำให้เกิดความสว่างได้ 

            “หลอดไฟที่ไม่มีพลังไฟฟ้า เครื่องบินที่ไม่มีน้ำมัน ไร้ค่าฉันใด มนุษย์ที่ไม่มีพระคริสต์ เป็นพลังแห่งชีวิต ก็ไร้ค่าฉันนั้น”

            ผมพยายามที่จะหาตัวอย่าง อธิษฐาน เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องโลกวิญญาณ  จะเข้าใจลำบาก ก็ต้องยกตัวอย่างสิ่งที่มันเกิดขึ้น ที่เราเห็นๆ กันอยู่ทุกวันนี้ แบบที่ตามองเห็นได้  เอามาเปรียบเทียบให้ดู เพื่อจะทำให้สิ่งที่เข้าใจยากในโลกวิญญาณ ให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น  เพราะข่าวประเสริฐของพระเจ้ามันไม่ได้ยากเย็น อะไรเลย มันง่ายนิดเดียว ถ้ารู้เคล็ดลับที่จะเข้าใจ เรื่องราวต่างๆ

            พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ที่สวยงามเหมือนพระองค์ และมีพระคริสต์เป็นแหล่งชีวิต เห็นหรือยัง? แต่มนุษย์ที่พระเจ้าสร้าง กลับต่อต้านพระองค์ ไม่ต้องการพึ่งในพระองค์ที่เป็นพระเจ้า  เห็นหรือยัง ชีวิตมาจากพระองค์ แต่มนุษย์ต่อต้าน ไม่อยากได้พระองค์ คือเราบอกไปตะกี้ว่าทำบาป ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่พระเจ้าตั้งใจไว้  มนุษย์ก็เลยกลับไปเป็นเหมือนตะเกียงที่ไร้น้ำมัน จุดไม่ติด ไม่มีความสว่าง พอความสว่างหายไป อะไรมาแทนที่ … มันก็เหลือแต่ความมืด  พระเจ้าไม่ได้สร้างความมืดนะ พระเจ้าสร้างความสว่าง เราเห็นห้องนี้ พอผมปิดไฟปุ๊บ มันเกิดอะไรขึ้น? มืด

            พระเจ้าสร้างความมืดไหม? ไม่ใช่ สว่างมันหายไป กลายเป็นความมืด และด้วยความรัก ความเมตตาของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  พระองค์จึงได้ทรงทำพระประสงค์ของพระองค์ให้เป็นไปตามนั้น โดยการเข้ามาช่วยเหลือให้มนุษย์กลับไปตามเป้าหมาย พระประสงค์ของพระองค์เหมือนเดิม คือต้องการให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างกลับมาสวยงาม ดีพร้อม บริสุทธิ์ เป็นแสงสว่างเหมือนพระองค์อย่างเดิม พระองค์จึงทรงประทานพลังชีวิต ประทานความสว่างให้กับบรรดามนุษย์อีกครั้งหนึ่ง ผ่านทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ถึงแม้พระเจ้าจะพยายามทุกวิถีทาง เพื่อให้มนุษย์รับพลังชีวิต คือได้รับแสงสว่างอีกครั้ง แต่ก็ยังมีมนุษย์ที่ไม่ยอมรับ ไม่ยอมพึ่งพาในพลังแห่งชีวิตนี้ ยังคงต้องการ หาวิธีปั่นไฟ หาน้ำมันด้วยตนเอง เพื่อจะเติมตะเกียงชีวิตของตนเอง ด้วยตนเองอยู่ ซึ่งเราก็เรียนรู้จากชีวิตในปัจจุบันแล้วว่ามันดูเหมือนได้บ้าง? ดูเหมือนเป็นความสว่างบ้าง?  แต่มันเป็นความสว่างที่ติดๆ ดับๆ เพราะมันปั่นเอง พอหมดแรงปั่น ก็ค่อยๆ หมด ค่อยๆ ทำไป ซึ่งไม่มีทางเลยที่มนุษย์จะทำได้  ให้เป็นแสงสว่างอันถาวรแบบที่พระเจ้าออกแบบสร้างให้ตั้งแต่แรก  เพราะว่ามนุษย์ถูกปิดบังความจริงในโลกวิญญาณ  ปิดบังความจริงว่า …

            “เธอต้องทำด้วยตัวเอง”

            ทั้งโลกมันเป็นอย่างนี้หมดเลย  ให้เราพึ่งพาในตนเอง เธอไม่ดีเลย เธอต้องทำอีก แต่ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์บอก …

            “เธอทำด้วยตัวเองไม่ได้ เธอต้องมาพึ่งฉันอย่างเดียวเท่านั้นเอง”

            นี่แหละง่ายๆ ข่าวประเสริฐ ทั้งโลกอยู่ในความมืด ถูกปิดบังตาให้เราพึ่งในตนเอง ปั่นให้ตนเอง ได้ไฟเยอะขนาดนี้  แต่ในที่สุด มันก็หรี่ลง วันที่จากโลกนี้ไป ก็ดับสนิท อยู่ในความมืดเหมือนเดิม แต่พระเยซูคริสต์มา เพื่อช่วยให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุขนั่นเอง

            นี่คือบทสรุปเนื้อหาจากครั้งที่แล้ว ที่บอกว่าก่อนเชื่อ เราอยู่ในความมืด หลังเชื่อเราอยู่ในความสว่าง ครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้กันไป  วันนี้เราจะมาต่อ 1 ยอห์น 1:5 …

        1 ยอห์น 1:5 “นี่เป็นเรื่องราว ซึ่งเราได้ยินจากพระองค์  และประกาศแก่ท่าน คือพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง ในพระองค์ไม่มีความมืดเลย”

            เห็นหรือยังที่ผมบอก ความมืด ไม่ได้มาจากพระองค์ ความมืดพระองค์ไม่ได้เป็นผู้สร้าง พระองค์เป็นความสว่าง ในความสว่าง ไม่มีความมืด  ความมืดมาจากไม่มีพระเจ้า  เกิดความมืดเอง

            พระเจ้าเป็นความสว่าง  ความสว่างเป็นความดีงาม เป็นความรัก  เป็นความบริสุทธิ์ ในพระองค์ไม่มีความมืด ไม่มีความชั่วร้ายทั้งปวง … ทั้งปวง ท่านคงเข้าใจนะว่าอะไรที่มันชั่วร้าย  ก็คือมนุษย์ถูกตัดขาดออกจากพระเจ้า  มนุษย์ทิ้งแสงสว่าง ดับไฟตัวเอง เหมือนเราปิดไฟในห้องนี้ ปิดด้วยตัวเอง ไม่มีใครมาบังคับเรา ปิด แต่เราถูกหลอกโดยมารซาตาน ให้ปิดไฟ แล้วก็อยู่ในความมืด  ปิดไฟ ก็คือให้พระเจ้าไปซะ นี่เปรียบเทียบให้เห็นง่ายๆ ปิดไฟให้พระเจ้าไปซะ เพราะว่าถูกหลอก ให้พึ่งพาในตนเอง พูดอย่างนี้ง่ายๆ ก็คือมารหลอกบรรพบุรุษของเรา อาดัมและเอวาว่า …

            “ปิดไฟ แล้วปั่นไฟด้วยตนเอง มันเท่ห์กว่าเยอะ  พ่อจะได้ภูมิใจในเธอ เธอทำได้อยู่แล้ว เธอยอดเยี่ยมอยู่แล้ว  พระเจ้าสร้างเธอมายอดเยี่ยมอยู่แล้ว”

            หลงคารม ในที่สุด ไปเชื่อฟัง ก็พระเจ้าเตือนแล้วว่าลูกเอ๋ยอย่า เหมือนเราสอนลูกอย่าเอามือแหย่ปลั๊กไฟ อย่านะๆ พอแหย่เข้าไป แล้วเป็นอย่างไร? ไฟช๊อต ตาย ตายฝ่ายวิญญาณ ก็คือตัดขาดออกจากพระเจ้า  ไม่มีพระเจ้าอยู่ในชีวิต คือไม่มีแสงสว่างอยู่ในชีวิตนั่นเอง แล้วพระเจ้าก็ต้องการให้เรากลับไปที่เดิม เห็นไหมครับ? มีอยู่แค่นี้เอง กลับไปที่เดิม ผ่านทางการส่งพระเยซูคริสต์มา เพื่อช่วยเหลือเราทั้งหลาย เพื่อที่จะย้ายเราทั้งหลาย เพื่อที่จะพาเราทั้งหลายกลับมาสู่แสงสว่าง ซึ่งคือตัวพระองค์นั่นเอง  ผู้สร้างเราทั้งหลาย  โคโลสี 1:13 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โคโลสี 1:13 “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยชูคริสต์) ที่รักของพระองค์”

            “ในโลกวิญญาณมีอาณาจักร แห่งความมืดและอาณาจักรแห่งความสว่าง”

            มีแค่ 2 อันเท่านั้นเอง  มันมีจริงๆ  เป็นอาณาจักรจริงๆ  เป็นอยู่จริงๆ  เพราะฉะนั้น ในขณะที่เรา ยังไม่ได้เชื่อ ในข่าวดี ก่อนเชื่อ วิญญาณเราต้องอยู่ที่ไหนสักแห่ง  เรารู้แล้ว ก็คือความมืด  หลังเชื่อ เราได้ถูกย้าย เข้ามาอยู่อีกที่หนึ่ง  ที่ไหน? อาณาจักรของพระบุตร คืออาณาจักรของพระคริสต์  ก็คือแสงสว่าง จึงได้เห็นชัดเจนเลยว่ามันมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น ขณะที่เราเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ โดยที่เราไม่รู้เรื่องอะไรเลยว่ามันไปอยู่ในโลกวิญญาณ  ตัวเราเองมองในกระจกก็ยังเหมือนเดิม อยู่ในบ้าน ก็บ้านเดิม อยู่ในประเทศไทย ก็เหมือนเดิม

            แต่ในนี้บอกว่าเราได้ถูกย้ายมาอยู่ในโลกวิญญาณอันใหม่ ที่มีชื่อว่าอาณาจักรแห่งพระบุตร  คือพระเยซูคริสต์ เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในแสงสว่าง ในพระคัมภีร์บอกว่าแสงสว่างนี้ คือสวรรค์ที่พระเจ้าสถิตอยู่ พระเยซูบอกไม่มีทางไหนเลย ที่ท่านจะได้รับแสงสว่างนี้ ท่านจะไปหาพระบิดา คือแสงสว่าง เจ้าของสวรรค์ได้ มีทางเดียวเท่านั้น คือวางใจในเรา เราเป็นทางเดียวเท่านั้น  เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ อยู่ในความสว่าง  หรือที่เรียกว่าพระคริสต์แล้ว  ในขณะที่เดินอยู่บนโลกใบนี้  ตั้งแต่วันแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้รับการชำระ แยกออกมาจากโลกแห่งความมืด  ทำไมต้องได้รับการชำระ เพราะว่าแสงสว่างจะไปอยู่กับแสงสว่างได้ มันต้องบริสุทธิ์ มืดๆ เข้าไปในแสงสว่าง มืดๆ ก็หายไป  มันเข้ากันไม่ได้  เพราะฉะนั้น ต้องเปลี่ยนความมืดนั้นให้เป็นความสว่าง  จึงเข้ามาอยู่ในความสว่างได้ เป็นความสว่างเหมือนๆ กัน นึกภาพออกนะ

            ซึ่งตั้งแต่วันนั้น วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราได้เข้าไปอยู่ในความสว่างของพระเจ้า เราไม่ได้เป็นพลเมืองของโลก ที่ปกคลุมด้วยความมืดอีกต่อไป แต่ได้เป็นพลเมืองของอาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรแห่งความสว่างในพระคริสต์แล้ว  ก็แสดงว่าตอนก่อนเชื่อ  ก่อนที่จะถูกย้าย เราอยู่ในที่เดิม  ก็แสดงว่ามนุษย์ทุกคนเกิดมา ก็อยู่ในที่เดิม  คืออยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด  ถ้าไม่ได้รับการย้าย ก็อยู่ในที่มืดนั้น ตลอดไป จนนิรันดร์ 

            เมื่อเราถูกย้ายมา เราก็ถูกนับว่าเป็นพลเมืองของสวรรค์แล้ว ตั้งแต่ที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เราเป็นพลเมืองของสวรรค์แล้ว เราเป็นประชากรของพระเจ้าแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ในสวรรค์แล้ว

            มันง่ายมาก จนไม่อยากจะเชื่อใช่ไหม?  แต่พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนี้จริงๆ ลองพูดตามสิว่าท่านเขินปากไหม?

            “ฉันเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้วเดี๋ยวนี้ และจะอยู่ตลอดไป  เป็นนิจนิรันดร์ เอเมน”

            เขินปากไหม? ไปพูดให้ข้างนอกฟัง

            วิญญาณเก่า ตัวเก่าของเรา ในอดีต ที่เคยอยู่ในโลกวิญญาณ  ที่เรียกว่าความมืด ในพระคัมภีร์บอกว่าตัวตนของเราเก่าๆ  ก็คือตัวตนทางวิญญาณ ได้ตายไปแล้ว ตายไปจริงๆ คือสูญสิ้นไปเลย เป็นศูนย์ไปเลย แล้วทุกวันนี้ได้เกิดใหม่ มีชีวิตอยู่ เป็นวิญญาณใหม่ คนใหม่ อยู่ในความสว่างในพระคริสต์ ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว กำลังเดินทางไปสู่การรับร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ และครอบครองโลกใบใหม่ ที่พระเจ้าสร้าง  และสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นใหม่ แทนโลกใบนี้ เมื่อโลกใบนี้สิ้นสุดลง  เรากำลังเดินทางไปที่นั่น

            เพราะฉะนั้น คริสเตียน คือคนที่อยู่ในสวรรค์แล้ว วิญญาณใหม่แล้ว ร่างกายยังเก่าอยู่ กำลังมีนัด โดยผู้นัด คือหมอใหญ่ คือพระเจ้า นัดให้เราไปเปลี่ยนร่าง คือร่างกายนิรันดร์  ที่ไม่มีวันเจ็บป่วย ไม่มีวันทุกข์ยากลำบาก ไม่มีวันตายอีกเลย ในเร็วๆ วันนี้ ถือใบนัดกันทุกคน ใบนั้น คือใบเปลี่ยนร่างกาย ให้เป็นเหมือนพระองค์ เพราะวิญญาณและใจของเราใหม่เอี่ยมอยู่แล้ว เพียงแต่สวมร่างกายใหม่เท่านั้น ก็จบกัน ทุกอย่าง เรายังอยู่ที่เดิม เอเมน

            ฉะนั้น คริสเตียน  เราได้เข้าส่วนร่วมในความสว่างด้วยกัน เราทั้งหมดที่เป็นคริสเตียนและพระคริสต์ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ในสถานที่เดียวกัน  อยู่ในอาณาจักรเดียวกัน และพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าในพระคริสต์ ในสวรรค์ ในความสว่าง ในที่คริสเตียนกำลังอยู่นี้ มันยิ่งใหญ่ขนาดไหนในโลกวิญญาณ  ที่เราพูดตะกี้นี้ว่าเราอยู่ที่นี่แล้ว เดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้แล้ว ในโลกวิญญาณเราอยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้แล้ว ในสวรรค์ ในความสว่างในพระคริสต์แล้ว  มันยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  การที่เราอยู่ในสวรรค์ ที่เรามองไม่เห็น  ยิ่งใหญ่ขนาดไหน? แล้วอยู่ที่นี่ไปจนกระทั่งนิรันดร์เลยนะ

            มาดูกันว่าเราอยู่ในความยิ่งใหญ่ขนาดไหนในพระคริสต์ เลือกให้ท่านอ่านดูแค่นี้ ท่านจะรู้ขณะที่อ่านไป ท่านจงมองให้เห็นเถิด ต้องบอกอย่างนี้  เพราะเป็นโลกวิญญาณ ไม่สามารถหาอะไรเปรียบเทียบให้มันชัดเจนได้ว่ามันเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ เปรียบเทียบได้ระดับหนึ่ง ในความยิ่งใหญ่ เวลาพูดไป จงเห็นภาพใหญ่ ไปตามถ้อยคำพระเจ้าที่เขียนไว้ ท่านอาจจะไม่เข้าใจ ผมอาจจะไม่เข้าใจ ตามภาษามนุษย์ แต่ให้ฟัง ให้อ่าน โดยใช้ “จงมองให้เห็นเถิด” คือให้เปิดตาฝ่ายวิญญาณ รับรู้ว่ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนี้ว่าเราอยู่ในนี้แล้ว เราเป็นอยู่ขณะนี้  เราเข้าส่วนร่วมกับพระคริสต์อย่างนี้ ในนี้ เดี๋ยวนี้ ทันทีแล้ว  และจะอยู่อย่างนี้ตลอดไปนิจนิรันดร์ โคโลสี 1:15-21  …

        โคโลสี 1:15-21 “15 พระบุตรทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า ผู้ที่เราไม่อาจมองเห็นได้ เป็นบุตรหัวปี เหนือสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง 16 เพราะโดยพระองค์ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นทั้งในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ทั้งสิ่งที่มองเห็นได้ และไม่อาจมองเห็นได้ ไม่ว่าบรรดาเทพผู้ครองบัลลังก์ หรือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ หรือเทพผู้ครอง หรือเทพผู้ทรงอำนาจ ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ 17 ทรงดำรงอยู่ก่อนทุกสิ่ง และในพระองค์ทุกสิ่งประสานเข้าด้วยกัน 18 พระองค์ทรงเป็นศีรษะของกาย คือคริสตจักร ทรงเป็นจุดเริ่มต้น เป็นบุตรหัวปี ที่เป็นขึ้นจากตาย เพื่อพระองค์จะทรงเป็นผู้สูงสุดในทุกสิ่ง 19 เพราะว่าพระเจ้าพอพระทัยที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นของพระองค์ อยู่ในพระบุตร 20 และให้ทุกสิ่ง ทั้งบนแผ่นดินโลกและในสวรรค์ กลับคืนดีกับพระองค์ ผ่านทางพระบุตร สันติภาพนี้ มีขึ้นโดยพระโลหิต 21 ครั้งหนึ่ง พวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้าและเป็นศัตรูกับพระองค์ อยู่ในใจ เพราะพฤติการณ์ชั่วของท่าน”

            ผมจะเน้นเฉพาะบางข้อ  “พระบุตรทรงเป็นพระฉายของพระเจ้า” พระบุตร คือพระคริสต์ ที่เราได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ในขณะนี้ เป็นส่วนหนึ่ง เข้าร่วมกับพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นวิญญาณเดียวกัน พระองค์เป็นศีรษะ เหมือนเป็นพี่ชายคนโต เหมือนเป็นเจ้าของสำมะโนครัว  และเราเป็นผู้อาศัยอยู่ในนั้น แต่จริงๆ ไม่ได้อาศัย เราเป็นผู้ร่วมสำมะโนครัวนั่นแหละ เป็นผู้ร่วมกับพระองค์ อยู่ในครอบครัวเดียวกัน

            ในนี้เปรียบเหมือนพระองค์เป็นศีรษะ แล้วเราเป็นกาย ดูร่างกายของเราสิ  พระคริสต์เป็นศีรษะ เราเป็นอะไรก็ได้ที่อยู่ในร่างกายนี้  แล้วเราคืออวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระคริสต์

            ความยิ่งใหญ่ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้  เราเข้าไปมีส่วน ไม่ใช่เรามีนะ เราเป็นอยู่ พูดง่ายๆ ว่าคุณนครไม่ใช่ศีรษะแค่นี้  แต่ว่านิ้วก้อย ก็คือคุณนครเหมือนกัน ไม่ใช่ฉันมีนิ้วก้อย เป็นอวัยวะนิ้วก้อยของคุณนคร  พระคริสต์เช่นเดียวกัน เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ หมายถึงอย่างนี้

            แล้วท่านลองคิดดูสิ  เป็นอยู่แล้วขณะนี้  เป็นอยู่ตรงนี้แล้ว  ยิ่งใหญ่ขนาดนี้แล้ว แล้วมีอะไรที่เอาเราออกไปจากที่นี้ได้ มีอะไรที่กระชากเราออกจากพระคริสต์ได้  พระคริสต์ยิ่งใหญ่ขนาดนี้  ที่ท่านอ่านเมื่อสักครู่นี้

            ข้อ 21 ที่สรุปว่า “ครั้งหนึ่ง พวกท่านเคยแยกขาดจากพระเจ้า  เป็นศัตรูกับพระเจ้า อยู่ในความบาป อยู่ในใจที่บาป”

            เห็นไหม? ครั้งหนึ่งเราอยู่ในความมืด  ก็คือก่อนเชื่อ  เราเกิดมา ก็อยู่ในความบาป  ถูกแยกขาดออกจากพระเจ้า ก็คือไม่มีพระเจ้า ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีพลังงาน ความสว่างอยู่เลย  ทุกอย่างแสวงหาด้วยตนเอง  พยายามแสวงหา ทำดีด้วยตนเอง ทำทุกอย่างด้วยตนเอง  พยายามกระเสือกกระสน มีชีวิตอยู่ ทั้งๆ ที่พระเจ้าบอกเราเป็นแหล่งพลังงานแหล่งชีวิต นี่คือก่อนเชื่อ อ่านข้อ 22 …

        โคโลสี 1:22 “แต่บัดนี้ ทรงให้ท่านคืนดีกับพระองค์ โดยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ เพื่อถวายท่านให้เป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากตำหนิ และพ้นจากข้อกล่าวหา ต่อหน้าพระองค์”

            “แต่บัดนี้ ให้ท่านคืนดีกับพระองค์” เห็นไหมครับ? คือแต่บัดนี้ ให้กลับมาเป็นแสงสว่างเหมือนกับพระองค์ แต่ก่อนนี้ท่านอยู่ในความมืด แยกขาด ตอนนี้กลับมาคืนดี กลับมาอยู่ในแสงสว่าง  ก็คือหลังเชื่อ เปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ ท่านก็ได้เข้ามาอยู่ในความสว่างนี้แล้ว เป็นคำพูด เป็นภาษาเขียนออกมา ที่พูดถึงปัจจุบัน ไม่ใช่พูดถึงอนาคตว่าท่านจะได้ จะเป็น แต่เป็นแล้ว

            ในโลกวิญญาณมีเพียง 2 สถานที่เท่านั้น  ที่ให้มนุษย์เลือกที่จะอยู่อาศัย เลือกได้ครั้งเดียว  คือเกิดมาปุ๊บ อยู่ในความมืด  แล้วแสงสว่าง ก็ส่องมาบนโลกใบนี้  คือพระเยซูคริสต์ มนุษย์ก็มีสิทธิ์เลือกว่าจะเอาแสงสว่างไหม? หรือจะอยู่ที่เดิม  จะเอาตัวช่วยไหม? ให้มีชีวิต คือพระคริสต์ หรือจะช่วยตัวเองเหมือนเดิม จะพึ่งพาพระเจ้าไหม? หรือจะพึ่งพาตนเองต่อไป มีแค่นี้เอง  มองภาพง่ายๆ เห็นชัดๆ ก็คือมีแค่ 2 สถานที่ และผู้ที่ตัดสินใจ  คือตัวเราเองนั่นแหละ  ตัวเราเป็นคนจัดการเอง  มารไม่มีอำนาจ ไม่มีการพูดถึงเลย  เขาเรียกว่านอกสายตา พระเจ้ายังทำอะไรเราไม่ได้เลย มารจะทำอะไรเราได้ ถ้ามารทำได้ พระเจ้าทำได้มากกว่า จริงหรือไม่จริง พระเจ้าบังคับเราให้มาเอาแสงสว่าง บังคับได้ไหม? ทำถึงขนาดส่งพระบุตรมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย บังคับเราได้ไหม? ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเองว่าเราเลือกที่จะอยู่ในความสว่างหรืออยู่ในความมืดต่อไป มันจึงเป็นสงครามของการโกหก หลอกลวง  และต่อสู้กับความจริงของพระเจ้า ข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ จึงเป็นข่าวดีเรื่องความจริงเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ที่ง่ายๆ เอง คือให้เลือกเอาระหว่าง พึ่งพระเจ้าหรือจะพึ่งตนเอง  จะอยู่ในที่มืดหรือจะอยู่ในที่สว่าง จะถูกตัดขาดออกจากพระเจ้านิรันดร์ ไม่มีพระเจ้านิรันดร์ ไม่มีแสงสว่างนิรันดร์ ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่าพินาศนิรันดร์ หรือจะมีชีวิตนิรันดร์ ในพระเยซูคริสต์ หายเหนื่อยและเป็นสุข ตั้งแต่เดี๋ยวนี้และต่อไปเป็นนิจนิรันดร์ถึงนิรันดร์เลย

            เรื่อง 2 อาณาจักรของโลกฝ่ายวิญญาณ ความมืดและความสว่าง ได้บอกไว้ตลอดมา ในพระคัมภีร์ได้บันทึกเรื่องนี้ตลอดมา ตั้งแต่ปฐมกาลจนกระทั่งถึงพระเยซูคริสต์มาเกิด จนไปถึงวิวรณ์ พระคัมภีร์ทั้งเล่ม เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณเรื่องนี้เท่านั้น สรุปแล้วมีแค่นี้ มืดกับสว่าง เลือกเอา และพระเจ้าก็ต้องการให้เราเลือกความสว่าง อย่างแน่นอน

            ผมจะยกตัวอย่างข้อความหนึ่ง ที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า ซึ่งเราเรียกกันว่าเผยพระวจนะ คือพระเจ้าบอกล่วงหน้า บอกว่าเราเตรียมแผนการนี้ไว้ แผนการเอาแสงสว่างมาบนโลกอีกครั้งหนึ่ง  เราเตรียมแผนการนี้ คือให้พระคริสต์เข้ามา เป็นแสงสว่างบนโลกใบนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้มนุษย์มีโอกาสได้เลือกด้วยตัวเขาเองว่าเขาจะมาอยู่ในความสว่างหรือไม่? บอกล่วงหน้ามาตลอด นี่คือหนึ่งในจำนวนที่บอกล่วงหน้า  ก่อนที่พระคริสต์จะมาเกิด แสงสว่างจะเข้ามาบนโลก บอกล่วงหน้าประมาณ 700 ปี ลองฟังดู นี่คือความจริง ที่พระเจ้าส่งความจริงเข้ามาบนโลกใบนี้ ส่งความจริงตลอด ทุกวันนี้ ก็ยังส่งความจริงมาตลอด สรุปทั้งหมด ทุกวันนี้ส่งความจริงมา เพราะว่าพระเยซูมาทำให้สำเร็จแล้ว ส่งความจริงมาที่ข่าวดีเรื่องพระคริสต์

            “ข่าวดีเรื่องพระคริสต์” จึงเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของเรื่องคริสเตียน  ข่าวประเสริฐของโลกใบนี้ ทั้งใบ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องศาสนาเลย แต่เป็นเรื่องข่าวดีของพระคริสต์ ข่าวดีในพระคริสต์ 700 ปี บอกก่อนล่วงหน้า ความจริงที่จะเกิดขึ้น อิสยาห์ 60:1-3 …

        อิสยาห์ 60:1-3 “1 เยรูซาเล็มเอ๋ย จงลุกขึ้นส่องสว่าง เพราะว่าความสว่างของเจ้า มาแล้ว และพระเกียรติสิริขององค์พระผู้เป็นเจ้าปรากฏขึ้นเหนือเจ้า 2 ดูเถิด ความมืดปกคลุมโลก ความมืดมิดอยู่เหนือบรรดาประชาชาติ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงปรากฏขึ้นเหนือเจ้า พระเกียรติสิริของพระองค์ ปรากฏขึ้นเหนือเจ้า 3 ประชาชาติทั้งหลายจะมายังแสงสว่างของเจ้า บรรดากษัตริย์จะมายังความเจิดจ้า ดั่งรุ่งอรุณของเจ้า”

            นี่เผยพระวจนะบอกล่วงหน้าว่าแสงสว่างจะเข้ามา  ก็คือพระเยซูคริสต์จะเข้ามาบนโลกใบนี้

            “เยรูซาเล็มเอ๋ย” ก็คือชาวยิว ชาวอิสราเอลเอ๋ย ที่พระเจ้าเตรียมแผนการไว้  ผ่านทางชาวยิว เพื่อจะให้พระเยซูคริสต์มาเกิด พระเยซูคริสต์ คือแสงสว่าง

            “จงลุกขึ้นส่องสว่างเลย  เพราะว่าความสว่างของเจ้ามาแล้ว  พระเกียรติสิริของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าปรากฏขึ้นเหนือเจ้า”  ก็คือพระเยซูคริสต์จะมาเกิด

            “ดูเถิด ความมืดปกคลุมโลก และความมืดมิดอยู่เหนือบรรดาประชาชาติ”  คืออยู่เหนือโลกใบนี้ทั้งใบ  เกิดมา ก็อยู่ในความมืดแล้ว คือความจริงที่พระเจ้าบอก เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ

            “แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าปรากฏขึ้นเหนือเจ้า” องค์พระผู้เป็นเจ้า คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์  เป็นแสงสว่างที่ส่องเข้ามาอยู่บนโลกใบนี้

            “พระเกียรติสิริของพระองค์ปรากฏขึ้นเหนือเจ้า” ก็คืออยู่ท่ามกลางประชากรชาวอิสราเอล

            “ประชาชาติทั้งหลาย” พูดถึงทั้งโลกเลยนะ รวมทั้งคนไทยด้วย  “ประชาชาติทั้งหลายจะมายังแสงสว่างของเจ้า” ก็คือจะมายังพระเยซูคริสต์ที่เกิดจากชนชาติยิว

            “บรรดากษัตริย์จะมายังความเจิดจ้า ดั่งรุ่งอรุณของเจ้า” คือพระเยซูคริสต์เป็นแสงสว่างที่เข้ามาฉายบนโลกนี้ และสิ่งนี้เกิดขึ้นจริงๆ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว

            หลังจากเผยพระวจนะนี้ 700 ปี พระเยซูคริสต์ก็มาเกิด ก็คือแสงสว่างมาเกิด  ส่องมาบนโลกใบนี้แล้ว เพราะฉะนั้น ส่องมาบนโลกใบนี้ 2,000 ปีแล้ว

            มวลมนุษย์และโลกเคยอยู่ภายใต้ความมืดอย่างเดียวเลย  ไม่มีความสว่าง แต่บัดนี้ความสว่างเข้ามาแล้ว 2,000 ปีแล้ว รับความสว่างนั้น ทำอย่างไร?  ต้องรักษาศีลธรรมดีขนาดไหน?  ต้องรักษาความประพฤติขนาดไหนถึงจะได้ตรงนี้ ท่านก็ทราบดีแล้ว จึงเรียกว่าข่าวดี ก็คือแค่ตัดสินใจ ย้ายข้าง แค่ตัดสินใจรับความสว่าง แค่ตัดสินใจเปิดใจต้อนรับความสว่างแค่นั้นพอ

            “เปิดใจต้อนรับแสงสว่างแค่นั้นพอ”

            แสงสว่าง คือพระคริสต์  เปิดใจต้อนรับพระคริสต์ แค่นั้นพอ พระเยซูคริสต์มาเคาะประตูอยู่หน้าบ้านตลอดเวลา ประตูใจอยู่ตลอดเวลา 2,000 ปีมาแล้ว  ก็คือแสงสว่างส่องเข้ามาตลอดเลย แต่มนุษย์อยู่ในโลกของความมืด ในโลกวิญญาณ แต่แสงสว่างอยู่รอบตัวเขาอยู่แล้ว เพียงแค่เขากดสวิตช์เปิด ความสว่างเข้าไปทันที พระเยซูคริสต์เข้าไปทันที เกิดใหม่ทันทีเหมือนเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ แต่สิ่งเหล่านี้จับต้องมองไม่เห็น พระเจ้าจึงให้เราใช้ความเชื่อในถ้อยคำของพระเจ้า  ไม่ใช่ใช้ตามองเห็น

            พอเปิดเข้ามาปุ๊บ พระคัมภีร์บอกท่านได้ตัดสินใจย้าย  พระเจ้าได้ย้ายท่าน ตัวเก่าตายไปเลยทันที ตัวใหม่ท่านได้ถูกย้ายมาที่เดิม  จากความมืดออกมาสู่ความสว่างในพระคริสต์ทันที  1 เปโตร 2:9 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 เปโตร 2:9 “แต่พวกท่านเป็นประชากรที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรร เป็นปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นพลเมืองของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้ประกาศพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ผู้ทรงเรียกท่านออกจากความมืด เข้าสู่ความสว่างอันล้ำเลิศของพระองค์”

            เห็นไหมครับ? นี่พูดถึงปัจจุบันขณะนี้ กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ รับแสงสว่างจากพระคริสต์เข้าไปในชีวิตของเขาเรียบร้อย ได้บังเกิดใหม่เรียบร้อยแล้ว เดินอยู่บนโลกใบนี้ เป็นตรงนี้แล้ว แต่พวกท่านเป็นประชากรที่พระเจ้าได้ทรงเลือกสรร เป็นปุโรหิตหลวง

            ปุโรหิตหลวง คือตระกูลของพระเยซูคริสต์นั่นเอง มีตำแหน่งหน้าที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์เลย ปุโรหิตหลวง คือผู้บริสุทธิ์สูงสุดที่จะเข้าออกกับพระเจ้าได้สนิทสนมมากๆ เลย

            “เป็นชนชาติบริสุทธิ์  เป็นพลเมืองของพระเจ้า เพื่อท่านจะได้ประกาศราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์”

            คำว่า “ประกาศราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์” คือท่านเป็นแสงสว่างของพระเจ้า เดินไปที่ไหน? เป็นแสงสว่างอยู่ ท่านจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม ท่านเป็นแสงสว่างอยู่ขณะนี้แล้ว เอเมน ไม่ใช่ว่าท่านมาเชื่อแล้ว ท่านต้องพยายามออกไปประกาศความยิ่งใหญ่ว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? อันนั้นทีหลัง แล้วแต่ว่าพระวิญญาณจะนำท่านได้มากน้อยเพียงใด  ก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่มันเป็นขึ้นในโลกวิญญาณ คือทันทีเลย ท่านได้เป็นแสงสว่าง ซึ่งคือพระสิริอันยิ่งใหญ่  อัศจรรย์อันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าได้ทำให้กับมนุษย์ทั้งหลาย คือทำให้มนุษย์ได้บังเกิดใหม่  เข้าไปในพระคริสต์ เข้าไปในแสงสว่าง อันมหัศจรรย์ของพระองค์ มันเกิดขึ้นทันที โดยการบังเกิดใหม่ มันเป็นอยู่อย่างนั้นเลย ไม่ว่าท่านจะเชื่อพระเจ้ามา 2 ปี 3 ปี หรือ 1 ปี หรือเพิ่งเชื่อเมื่อวานนี้ก็ตาม ท่านเป็นดวงสว่างเท่าๆ กันหมดเลย  เป็นส่วนหนึ่งในพระคริสต์เหมือนกันเลย ส่วนความประพฤติจะไปประกาศแบบมนุษย์อย่างไร? ก็แล้วแต่พระวิญญาณจะนำท่านไป ท่านเข้าใจใช่ไหม?

            ผมต้องการให้ท่านได้เห็นถึงความสมบูรณ์แบบที่พระเจ้าได้ทำให้กับพวกเราทุกคน โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย มันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เกิดใหม่แล้ว  เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าไหม?

            “ผู้ทรงเรียกท่านออกจากความมืด เข้ามาสู่ความสว่างอันล้ำเลิศของพระองค์” อันล้ำเลิศของพระองค์ คือความอัศจรรย์ อันยิ่งใหญ่สูงสุด  อันมหัศจรรย์ อันเหลือที่จะเข้าใจ เหลือที่จะคิดเลย เกิดเลย  เพราะฉะนั้น เพียงแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง ส่วนที่เหลือไม่ต้องทำอะไร เดี๋ยวพระวิญญาณจะนำท่านเอง ไม่อย่างนั้น เราอาจจะถูกหลอกต่อว่าให้เราปั่นไฟต่อ เราปั่นไฟต่อ เราก็ไม่มีโอกาสที่จะประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้าอย่างแท้จริง  เรานึกว่าเราประกาศอยู่ แต่มันขวางความจริง คือเรายังเพ่ง เน้นถึงการกระทำให้มันสว่าง  เราต้องรับรู้เสียก่อนว่าเราสว่างแล้ว  เรากำลังทำอะไรก็ตาม ที่สมกับฐานะความสว่างของเรา มันกลับกัน นี่คือข่าวประเสริฐ ข่าวประเสริฐที่เสียหายไป ก็คือเราจะเป็นความสว่าง จะสว่างมากขึ้น เมื่อเป็นคริสเตียนแล้ว จะสว่างมากขึ้น จะต้องทำอะไรเยอะขึ้น มากขึ้น จะต้องรักษาเนื้อตัวให้ดี เพื่อจะได้สว่างมากขึ้น มันไม่ใช่อย่างนั้น นั่นคือข่าวประเสริฐไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ นี่คือสิ่งที่ทำให้ข่าวประเสริฐมันง่ายหรือยาก คือวางใจในพระเจ้า  100% หรือยังพึ่งพาในตนเองอยู่

            สำหรับพี่น้องที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับแสงสว่าง ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซู พระคัมภีร์บอกว่าทุกวันนี้พระเจ้ากำลังขอร้องให้ท่านกลับมาหาพระองค์ซะ กลับมาคืนดีกับพระองค์ พระคัมภีร์เขียนอย่างนี้  “กลับมาคืนดี”

            กลับมาคืนดี แปลว่ากลับมาเป็นแสงสว่างเหมือนพระองค์ กลับมาเป็นอะไรก็ตามที่เข้ากันได้กับพระองค์แล้ว กลับมาเป็นลูกของพระองค์ กลับมาบริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระองค์ กลับบ้านแห่งแสงสว่าง นี่เป็นตำแหน่ง  สถานที่ที่เราควรที่จะอยู่ ที่เป็นไปตามน้ำพระทัย ความประสงค์ของพระเจ้า  ก็คือเราอยู่ในแสงสว่างของพระองค์ เป็นลูกของพระองค์นั่นเอง พระองค์ขอร้อง

            สำหรับเราคริสเตียน ที่ได้เปิดใจต้อนรับแสงสว่างแล้ว ทำอย่างไร? ลองคิดสิ เพราะเรารู้เรื่องจริง เรื่องนี้แล้ว  เรื่องข่าวประเสริฐนี้แล้ว เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเปิดใจแล้ว เรารับรู้เรื่องความจริงนี้แล้ว หน้าที่ของเรา เราควรจะทำอะไร? หลายคนคิดว่าหน้าที่ของเรา ต้องอธิษฐานเยอะๆ ต้องถวายเยอะๆ  ต้องมารับใช้เยอะๆ ต้องอันโน้น ต้องอันนี้ อีกหลายต้อง ต้องอดอาหารอธิษฐานเยอะๆ ต้องอ่านพระคัมภีร์มากๆ  ไม่ใช่ไม่ดีนะสิ่งเหล่านี้  แต่คิดให้ดีๆ ว่าในโลกใบนี้ เขาสอนกันอย่างนี้ใช่หรือไม่?  ไม่เกี่ยวกับข่าวประเสริฐเขาสอนกันแบบนี้  ให้ทำอันโน้นอันนี้  ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้  อย่าทำอย่างนี้ ให้ทำอย่างนี้ แต่ในพระคัมภีร์ไม่ได้บอกอย่างนั้น บอกว่าอย่างไร?

            เราเป็นคริสเตียนแล้ว  เราเริ่มรู้ความจริงเหล่านี้แล้ว หน้าที่ของเรา คือจงรับรู้เถิดว่า … จงมองให้เห็นเถิดว่าความจริงมันอย่างนี้  ท่านไม่รู้ความจริงหรือ? จงรู้ความจริงเสียเถิด ข้าพเจ้าวิงวอนขอต่อพระเจ้าทุกวัน เพื่อท่านทั้งหลาย จะได้เรียนรู้ความจริงที่เกิดขึ้น ในอาณาจักรของพระคริสต์ ที่ท่านได้อยู่นั่นแล้ว  ท่านได้นั่งอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว  ท่านอยู่ที่ตรงนี้แล้ว ข้าพเจ้าอธิษฐานขอพระเจ้า เปิดตาฝ่ายวิญญาณให้สติปัญญาท่านฝ่ายวิญญาณ และสำแดงความรู้ทางฝ่ายวิญญาณให้กับท่าน  เพื่อท่านจะได้เรียนรู้จักตรงนี้มากขึ้นๆ ทุกวันๆ  ซึ่งต่อให้จบถึงวันสุดท้ายบนโลกใบนี้ ก็ไม่มีทางครบถ้วนบริบูรณ์ได้หมดหรอก แต่อย่างน้อย ก็ได้รู้มากขึ้น มากขึ้นเท่าไร? ก็คือท่านกำลังประกาศพระบารมี ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเท่านั้น

            เพราะฉะนั้น หน้าที่ของเรา คือจงรับรู้เถิดคริสเตียนเอ๋ย ท่านอยู่ในแสงสว่าง อยู่ในความยิ่งใหญ่  ความอัศจรรย์อันล่ำเลิศ จนกระทั่งไม่สามารถจะเข้าใจได้ เรียนรู้ความจริงนี้ได้ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ รับรู้ว่าท่านอยู่ในความสว่าง ความยิ่งใหญ่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรคสถานแล้วจริงๆ แล้วจะอยู่ที่นี่ไปจนถึงนิรันดร์ จงยึดมั่นความจริงนี้ไว้ถึงที่สุด ภาษาพระคัมภีร์ ภาษาอังกฤษเรียกว่า Fight a good fight of faith มันเป็นคำที่เขาชอบเอาไปใช้กันหมด แต่เขาเอาไปใช้ในแบบโลกนี้ คือต้องรักษาความเชื่อให้สูงสุดเลย เพื่อที่จะได้วัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้ ได้ความแข็งแรง ได้ความร่ำรวย  ได้ความสำเร็จบนโลกใบนี้ มันไม่ใช่ตรงนั้น

            Fight a good fight of faith คือฉันยึดมั่นความจริงนี้ว่าฉันอยู่ในความสว่าง  อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรคสถานแล้ว ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรก็ตาม  นี่คือความจริง

            ซึ่งการยึดมั่นในความจริงไว้ที่สุดนี้ มันเป็นการประกาศความยิ่งใหญ่ มหัศจรรย์ของพระเจ้า ประกาศความรักของพระเจ้า ด้วยความเชื่อ ด้วยชีวิตของท่าน และเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริงนั่นเอง ที่พระเยซูบอก

            นมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ก็คือการรับรู้ในจิตวิญญาณถึงความจริงในถ้อยคำพระเจ้า  ที่ระบุไว้ เชื่ออย่างไม่มีเงื่อนไข เคารพ บูชา ยอมจำนน เชื่อฟัง เหมือนดั่งทาส ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก หรือสัมผัสได้ด้วยมือหรือตามองเห็น  หรือเหตุผลของมนุษย์

            มันแปลว่าอย่างนั้น นี่คือหน้าที่ของเราคริสเตียน  เช่น พระเจ้าบอกว่าเราได้ถูกย้ายจากอาณาจักรของความมืด มาอยู่ในความสว่างเรียบร้อยแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว อยู่ในพระคริสต์แล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานแล้ว เราก็รับรู้ในวิญญาณจิตของเราว่ามันเป็นอย่างนี้แหละ และเราก็บอกว่าเอเมน  เราคุ้นหูบ่อย แต่เราใช้ผิด เอเมน

            เอเมน แปลว่าใช่ เป็นไปตามนั้น  อย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆ เลย ไม่มีคำว่าแต่ ไม่ว่าเราจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม  จะทุกข์หรือสุข กำลังโกรธหรือกำลังยินดีก็ตาม กำลังหงุดหงิดหรือกำลังมีสันติสุข  ความสุขก็ตาม กำลังอารมณ์ดีหรืออารมณ์ร้าย อารมณ์ไม่ดีก็ตาม เราก็รับรู้ว่าความจริง คือเป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกไว้นั่นแหละ ไม่ใช่ตามองเห็น ไม่ใช่สัมผัสได้ ไม่ใช่ความรู้สึก ตรงนี้ต้องฝึกเอา ตะกี้เอเมนว่าเราเป็นลูกพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในความสว่างแล้ว เราเป็นความรัก เดี๋ยวออกไป แดดก็ร้อน ลูกก็ร้องไห้หิวข้าวอีก ชักหงุดหงิดขึ้นมา ลืมไปแล้วว่าเราอยู่ในความสว่าง อยู่ในความรัก พูดออกไป คนข้างๆ ก็บอก …

            “นี่เธอยู่ในความรักหรือ?  ทำตัวอย่างนี้”

            ก็ต้องตอบว่า “เอเมน ฉันยังอยู่ในความรัก” แต่ตอนนี้เนื้อหนังมันเกิดขึ้น มันหงุดหงิด ในขณะหงุดหงิดนั้น ยังอยู่ในความสว่างหรือเปล่า?  เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์อยู่หรือเปล่า? เป็นความรักไหม?  เป็นความสว่างไหม? นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานหรือไม่?  เราก็บอกเอเมน มารก็กระซิบข้างหู ส่งกระแสเข้ามาข้างหูเรา บอกว่า …

            “นี่หรือ ลูกพระเจ้าเป็นอย่างนี้หรือ?  อะไร แค่นี้ก็อดทนไม่ไหวแล้ว จะไปทำอะไร”

            เราก็ยังคงยืนยันตอบไปว่า “เอเมน ถ้อยคำพระเจ้าพูดไว้อย่างนั้น”

            เพราะฉะนั้น เมื่อพระเจ้าบอกเราว่า …

            “เราอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในความสว่าง  ไม่มีความมืดในเราเลย แม้แต่นิดเดียว ก็คือไม่มีความชั่วร้ายในเราเลย ไม่มีความเลวทรามในตัวเราเลย ไม่มีความสกปรกโสโครกในตัวเราเลย  ไม่มีความชั่วเลย แม้แต่นิดเดียว ไม่มีความเกลียดชังในตัวเราเลย  แม้แต่นิดหนึ่ง” เขินปากไหม? เขินน่า ยังใหม่ๆ อยู่ ต้องฝึกไปเรื่อยๆ

            “เราเป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ดีพร้อมแล้ว”

            “เอเมน”

            เอเมน ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไร? เอเมน

            “เราเป็นผู้บริสุทธิ์ชอบธรรม ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงตลอดนิรันดร์”

            “เอเมน”

            นี่ถ้อยคำพระเจ้าเขียนไว้อย่างนั้น  มันเป็นอย่างนี้  เราก็น้อมรับ นมัสการพระองค์ด้วยวิญญาณและความจริงว่าเอเมน พอท่านเอเมนเมื่อไร? ตามถ้อยคำพระเจ้าท่านกำลังนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง

            ท่านกำลังบอกพระเจ้าว่า … “ใช่ มันเป็นเช่นนั้นแหละ”

            สำหรับพี่น้องที่ยังไม่เปิดใจ ก็อยากจะเรียนให้ท่านทุกคนว่าท่านยังมีโอกาสอยู่ จนวันสุดท้ายบนโลกใบนี้ เมื่อไรก็ตามที่ท่านตัดสินใจย้ายข้าง เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงพร้อมแล้วอยู่ที่หน้าบ้าน พร้อมที่จะเข้าไป แสงสว่างพร้อมที่จะฉายเข้าไปในใจของท่าน  ขอให้เปิดใจเถิด พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และวันที่สามได้เป็นขึ้นจากความตาย เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ที่ช่วยให้ทุกคนที่เชื่อในข่าวดีนี้ได้รับความรอด อัครทูตเปาโลได้พูดกับผู้เชื่อที่ยังมีความเข้าใจผิดในเรื่องความรอดนี้ว่า …

            1 โครินธ์ 1:14-16 … “14 ขอบพระคุณพระเจ้า ที่ข้าพเจ้าไม่ได้ให้บัพติศมา  (ในน้ำ ) แก่ใครในพวกท่าน ยกเว้นคริสปัสกับกายอัส 15 จึงไม่มีใครพูดได้ว่าเขาได้รับบัพติศมา (ในน้ำ ) เข้าในนามของข้าพเจ้า 16 ใช่ ข้าพเจ้าให้บัพติศมา  (ในน้ำ) แก่คนในครอบครัวของสเทฟานัสด้วย นอกเหนือจากนั้น ข้าพเจ้าจำไม่ได้ว่า ได้ให้บัพติศมา (ในน้ำ ) แก่ใครอีก)”

            เพราะพิธีบัพติศมาในน้ำ ไม่ได้ช่วยใครให้รอดจากการเป็นคนบาป

            1 โครินธ์ 1:17 … “เพราะพระคริสต์ ไม่ได้ส่งข้าพเจ้ามา เพื่อให้บัพติศมา  (ในน้ำ ) แต่เพื่อให้ ประกาศข่าวประเสริฐ ไม่ใช่ด้วยวาทะคมคาย ตามสติปัญญาของมนุษย์ เพราะเกรงว่าไม้กางเขนของพระคริสต์ จะหมดฤทธิ์อำนาจ”

            แต่ข่าวดี เรื่องพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์  และวันที่สามได้เป็นขึ้นจากความตายต่างหาก ที่เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ที่ช่วยให้คนที่เชื่อในข่าวดีนี้ ได้รับความรอดจากการเป็นคนบาป บังเกิดใหม่ มาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า

            โรม 1:14-16 … “14 ข้าพเจ้ามีพันธะหน้าที่ต่อทั้งชาวกรีก และผู้ที่ไม่ใช่กรีก  ต่อทั้งคนมีปัญญาและคนเขลา 15 ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลาย ที่อยู่ในกรุงโรมด้วย 16 ข้าพเจ้าไม่ได้ละอายในข่าวประเสริฐ เพราะข่าวประเสริฐ คือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด คนยิวก่อน แล้วคนต่างชาติด้วย”

            มนุษย์ทุกคนสามารถได้รับความรอดโดยความเชื่อในข่าวดี เพียงอย่างเดียวเท่านั้น  โดยไม่ต้องพึ่งการกระทำตามพิธีกรรมใดใด หรือกระทำสิ่งใดใดเพิ่มเติมอีกเลย จริงๆ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1460

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  10  มีนาคม  2024

เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 35

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อหนังสือเอเฟซัส 6:9 …

        เอเฟซัส 6:9 “ผู้ที่เป็นนายจงปฏิบัติต่อทาสในทำนองเดียวกัน    อย่าข่มขู่เขาใน เมื่อรู้อยู่ว่าพระองค์ผู้ทรงเป็นองค์เจ้านายทั้งของเขาและของท่านนั้นอยู่ในสวรรค์ และพระองค์ไม่ทรงลำเอียงเข้าข้างใคร”

            คราวที่แล้วเราพูดถึงลักษณะการดำเนินชีวิตที่พระเจ้า บอกผ่านอาจารย์เปาโลว่าเมื่อเรามาเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เราอยู่ในสถานะไหน? ก็ให้เราอยู่ในสถานะนั้น  อย่าคิดว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ สถานะความเป็นอยู่ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องเปลี่ยนไป หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเยซูคริสต์บอกว่าเราเป็นอิสระแล้ว เราไม่เป็นทาสของความบาปและความตายแล้ว แล้วก็นำเอาเรื่องนี้มาใช้ในชีวิตประจำวัน

            สมัยก่อนพระคัมภีร์ตรงนี้ มีการค้าทาสอยู่ มีคนที่ตกเป็นทาสของเจ้านายเยอะแยะมากมาย  แต่ถ้อยคำของพระเจ้าตรัสสอนว่า ถ้าท่านอยู่ในสถานะเป็นทาส ก็ให้เป็นทาสต่อไป  แต่ว่าให้ดำเนินชีวิตที่ดี ทำดีกับเจ้านายของตัวเอง  อย่าคิดว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะทำให้เราไม่ได้กลายเป็นทาส

            แต่อีกนัยหนึ่ง คือถ้าพระเจ้าจะทำ พระองค์ทำได้ แต่ไม่ได้เป็นความต้องการของเราเองที่พยายามถีบตัวเองให้หลุดจากการเป็นทาส ฉะนั้น ให้เราอยู่ในสถานะอย่างนั้นแหละ  ตามที่พระเจ้าได้ให้ไว้กับเรา

            มาข้อที่ 10 เป็นข้อที่สำคัญมากๆ ในหนังสือจดหมายฉบับนี้ …

        เอเฟซัส 6:10 “สุดท้ายนี้จงเข้มแข็งในองค์พระผู้เป็นเจ้า  และในฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์”

            ตรงนี้อาจารย์เปาโลบอกว่า “จงเข้มแข็งในองค์พระผู้เป็นเจ้า” หมายความว่ามันเป็นเรื่องของวิญญาณข้างใน ที่พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในเราแล้ว  ข้างในวิญญาณเราเข้มแข็ง ตัวเราเองจะอ่อนแอก็ไม่เป็นไร แต่ว่าให้รับรู้ความจริงว่าวิญญาณข้างในของเรา พระเจ้าเป็นผู้ประทานความเข้มแข็งให้กับพวกเราในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ข้อ 11 …

        เอเฟซัส 6:11 “จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า  เพื่อท่านจะยืนหยัดต่อสู้แผนการทั้งหลายของมารได้”

            ในหนังสือตรงนี้ อาจารย์เปาโลย้ำกับคนเอเฟซัส เพราะว่าช่วงนั้นจะมีการโกหกหลอกลวงเยอะแยะทุกรูปแบบ ที่ถูกส่งเข้ามาในคริสตจักรของพระองค์ ในขณะเดียวกัน ไม่เพียงแต่ในยุคเดิมเท่านั้น  ในยุคของเราปัจจุบันก็มีโอกาสที่จะถูกส่งข้อมูลที่มันไม่ได้เป็นไปตามความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าเข้ามาในเราเหมือนกัน ฉะนั้น ผู้เชื่อทั้งหลายจำเป็นจะต้องสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อเราจะได้ยืนหยัดต่อสู้แผนการทั้งหลายของมาร  มารมีแผนทำอะไร? พระคัมภีร์บอกเราแล้ว มารมา เพื่อลัก ฆ่า และทำลาย ลักเอาความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าออกไปจากชีวิตของเรา ฆ่าเราโดยการส่งคำโกหกหลอกลวงเข้ามา ในสมองของเรา  เพื่อเราจะได้คล้อยตามมัน ทำลายทุกอย่างที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็น ซึ่งจริงๆ เราเป็นอยู่แล้ว ตามที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอก ทันทีที่เราบังเกิดใหม่ เราได้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เราได้เป็นผู้ชอบธรรม เราได้เป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว แต่มารจะพยายามส่งข้อมูลเข้ามาในสมองของเราว่า …

            “ไม่จริงหรอก เรื่องเหล่านี้เรายังไม่ได้รับหรอก ต้องรอก่อน รอให้ตายจากโลกนี้ไป เราค่อยไปรับ”

            แต่ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า คือทันทีที่เราบังเกิดใหม่ เราได้รับสิ่งเหล่านี้เรียบร้อยไปแล้ว เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเรียบร้อยไปแล้ว คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เรียบร้อยไปแล้ว พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเราเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ แต่ความจริงในถ้อยคำของพระองค์มันเป็นอย่างนั้น ก็คือพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ทำไมพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราได้ ในขณะที่ร่างกายเราอยู่บนโลกใบนี้  ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ สูงสุด ยิ่งใหญ่  ทำไมพระองค์จึงสามารถเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้ พระคำของพระองค์บอกว่าพระเจ้าได้ทรงชำระร่างกายของเรา ซึ่งร่างกายที่ยังอยู่ภายใต้ความบาปและความตายอยู่นี้ ที่วันหนึ่งจะต้องตายจากไป  แต่พระเจ้าทรงชำระให้สะอาดบริสุทธิ์  จนกระทั่งสามารถที่จะเป็นวิหารของพระเจ้าได้ เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้

            ถ้าร่างกายเรายังสกปรกอยู่ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ไม่ได้ ถ้าพระองค์เข้ามาอยู่ปุ๊บ เราตายทันที จำได้ใช่ไหมกฎพระคัมภีร์เดิม มนุษย์เข้าใกล้พระเจ้าไม่ได้ เข้าใกล้ปุ๊บ ตายทันที นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริง แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ หลังจากที่พวกเราได้บังเกิดใหม่แล้ว ก็คือเราได้รับวิญญาณใหม่ ซึ่งพระเจ้าเปลี่ยนให้เราใหม่เลย เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ความคิดจิตใจใหม่ ที่ถูกเปลี่ยนเหมือนพระเยซูคริสต์ด้วย ร่างกายที่ยังเป็นร่างกายเดิม แต่ถูกชำระให้สะอาดบริสุทธิ์ ให้พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเราได้ เราอยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์อยู่ในเรา นี่คือความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า

            ฉะนั้น ระบบของโลกนี้ ผ่านทางผีมารซาตานที่มาลัก ฆ่าและทำลาย พยายามที่จะส่งข้อมูลมาบอกเราว่าไม่จริงหรอก พระเจ้าไม่สามารถสถิตอยู่กับเราได้ ถ้าเผื่อเราทำบาป ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พระเจ้าไม่อยู่กับเราแน่ๆ  พระเจ้าก็จะลอยไปจากชีวิตของเรา  ซึ่งความเป็นจริง คือมันโกหกเรา ทำให้เรากลัวที่จะเข้ามาใกล้พระเจ้า ซึ่งความเป็นจริงแล้ว เราอยู่ใกล้พระเจ้าอยู่แล้ว เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าผู้เชื่อจะทำผิดแค่ไหนก็ตาม  พระเจ้ายังคงสถิตอยู่ในท่าน นี่คือความจริง ในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าก็สอนเราว่าให้เราดำเนินชีวิตให้สมกับที่เราได้บังเกิดใหม่ ก็คือสมกับที่เราเป็นลูกของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ให้ทำตัวให้ดีๆ หน่อย  แต่ไม่ว่าเราจะทำตัวได้ดีหรือไม่ดีขนาดไหนก็ตาม  พระเจ้าก็ยังคงรับเราเป็นลูกของพระองค์ เพราะการเป็นลูกของพระเจ้าไม่ได้เกิดจากการประพฤติดีของเรา  ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติเลย  แต่มาจากความเชื่อ  เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน  เชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า  เชื่อในพระโลหิตไถ่ของพระองค์ว่าชำระล้างความผิดบาปของเราเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่บาปอดีต บาปปัจจุบัน และบาปในอนาคตข้างหน้า ที่เรามีโอกาสทำอีก เราปฏิเสธไม่ได้เลย มีใครกล้าที่จะยกมือบอกว่าหลังจากเชื่อพระเจ้า เราไม่เคยทำผิดเลย โกหก ไม่จริง พระเยซูบอกว่าแค่คิดไม่ดีก็บาปแล้ว หรืออะไรก็ตามที่เราคิดว่าดี แล้วเราไม่ทำ ก็บาปแล้ว ถ้าใช้กฎเดิม คือพระคัมภีร์เดิม มนุษย์ไม่สามารถหลุดพ้นได้ เพราะทำผิดครั้งเดียว ถือว่าผิดหมด ต่อให้มนุษย์จะทำดีขนาดไหน? ทำดีได้ 99.99% ทำบาป 0.000001% ท่านก็บาปแล้ว  ตายลูกเดียว

            ฉะนั้น มนุษย์ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองให้หลุดพ้นจากความบาปได้ ไม่สามารถเข้าสวรรค์ได้ ด้วยการประพฤติดีของมนุษย์เอง  นี่คือเหตุผลหนึ่งที่พระเยซูคริสต์ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วเป็นมนุษย์ที่ไม่มีบาปด้วย เป็นมนุษย์ที่บริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีเชื้อของบาปอยู่เลย แล้วพระองค์ยอมสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลายจะได้สามารถตายพร้อมกับพระองค์ ถ้าวิญญาณเก่าที่เป็นบาปของเราไม่ตาย เราก็ไม่สามารถบังเกิดใหม่ได้

            ฉะนั้น วิญญาณบาปของเราได้ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว จะบอกว่าวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดก็ไม่ได้นะ เพราะจริงๆ พระเยซูคริสต์ทำเรียบร้อยเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  คือทุกอย่างสำเร็จแล้ว  เพียงแต่ว่าเรารับรู้ความจริงเมื่อไรก็ตาม เราก็จะได้รับผลตรงนั้นทันที ซึ่งพระเจ้าทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว

            ตัวเก่าที่เป็นบาปของเราได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ด้วยพิธีบัพติศมา ก็คือเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ถูกฝังพร้อมกัน แล้วเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย พวกเราทุกคนก็ได้เป็นขึ้นมาจากความตายด้วย ภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่าบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า  เข้ามาเป็นพลเมืองของสวรรค์ เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ นี่คือความจริงทั้งหมด ในโลกวิญญาณที่พระเจ้าเขียนไว้ว่าพระพรนานัปการ พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ผู้เชื่อทั้งหลาย หรือมนุษยชาติทั้งหลาย มีหน้าที่ทำอย่างเดียว คือเดินเข้ามารับเอาของขวัญนี้ ไปเป็นของเรา พระเยซูให้เป็นของขวัญ เป็นพระคุณ ให้เราเปล่าๆ โดยไม่เกี่ยวอะไรกับการทำดี ทำไม่ดีอะไรของเราเลย ไม่เกี่ยวกัน

            หลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้า  พระเจ้าก็ยังไม่บังคับเราอีก แต่พระเจ้านำเสนอ บอกกับเราว่าเมื่อเราได้บังเกิดใหม่แล้ว เมื่อเราได้เป็นผู้สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว เมื่อเราได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ก็ให้เราดำเนินชีวิตให้สมกับที่เราได้เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระเจ้าแล้ว  อันนี้เป็นการนำเสนอ หมายความว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์  จะเป็นผู้ประกอบกิจอยู่ในเรา แล้วเป็นผู้ให้กำลังเรา ที่เราจะสามารถพัฒนาชีวิตของตัวเราเองให้ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับความเป็นจริง หรือสอดคล้องกับธรรมชาติใหม่ ที่พระเจ้าได้เปลี่ยนเราเรียบร้อยไปแล้ว จะมากหรือน้อยไม่เป็นไร ให้เราพัฒนาไปเรื่อยๆ รับรู้ความจริงไปเรื่อยๆ เราก็จะสามารถพัฒนาความเป็นเหมือนพระเจ้าได้เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ ข้อที่ 12-13 บอกว่า …

        เอเฟซัส 6:12-13 “12 เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับเหล่าเทพผู้ครอง เทพผู้ทรงอำนาจ เทพผู้ทรงเดชานุภาพของโลกอันมืดมนนี้ และต่อสู้กับเหล่าวิญญาณชั่วในย่านฟ้าอากาศ 13 ฉะนั้น จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า เพื่อท่านจะยืนหยัดรับมือได้ เมื่อถึงวันอันชั่วร้าย และหลังจากท่านได้ผ่านทุกอย่างแล้ว ท่านก็ยังยืนหยัดอยู่ได้”

            เราจะยืนหยัดอยู่ได้ ก็ต่อเมื่อเรารับรู้ความจริงว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ฉะนั้น มารซาตานส่งข้อมูลการโกหกหลอกลวง ทุกรูปแบบ มันจะส่งเข้ามาตลอดเวลา ที่ความคิดของเรา ฉะนั้น ความคิดของมนุษย์ คือสนามรบ หรือจะเรียกว่าเป็นศูนย์บัญชาการรบของมนุษย์คนนั้น ฉะนั้น หน้าที่ของมารที่ทำงานผ่านใครก็ได้ ที่เราอ่านเมื่อกี้ เทพผู้ครอง ศักดิเทพ อิทธิเทพ เทพผู้มีอำนาจ ก็คือสิ่งเหล่านี้เขาทำผ่านมนุษย์ ส่งข้อมูลมา ให้เราเชื่อตามมัน ฉะนั้น ตรงความคิดของเรา ถ้าเราคล้อยตามมัน เราก็จะประพฤติตามมันด้วย แต่ถ้าเรามีถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้า  เรียกว่ายึดพื้นที่ในความคิดของเรา เมื่อไร? เราก็จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า  เราก็จะเป็นผู้ชนะ การรบตรงนี้ ไม่ใช่เป็นการรบว่าเราต้องไปสู้รบปรบมือ ทะเลาะวิวาทกับคนอื่น ไม่เกี่ยวกัน ตรงนี้ แค่เรารู้ความจริงแล้ว เราไม่ยอมมัน

            สมัยก่อน  ถ้าเรายังไม่เชื่อพระเจ้า เราไม่ยอมมัน ก็ต้องยอม นึกออกไหม? เราไม่มีกำลังพอ ที่จะต่อต้านขัดขืน ไม่มีกำลังพอที่จะพยายามทำสิ่งที่เราเรียกว่าทำความดีได้ ทำดีเดี๋ยวก็ล้ม เดี๋ยวก็ทำชั่ว แต่เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ สิ่งที่มันไม่เหมือนกัน คือเรามีพระเจ้าอยู่ในเรา  เรามีพลังอำนาจเพียงพอที่จะต่อต้านมัน คือไม่ยอมมัน คำว่า “ต่อต้าน” คือไม่ยอม ไม่ใช่ต่อต้าน โดยการไปถือดาบ ถือปืน ไปไล่วิ่ง ไม่ใช่ ต่อต้านด้วยวิธีไม่ยอม คำว่า “ไม่ยอม” หมายความว่าเราสามารถยืนอยู่ตรงที่ที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ข้อที่ 14 บอกว่า …

        เอเฟซัส 6:14 “ด้วยเหตุนี้  จงยืนหยัดมั่นคง โดยคาดเอวด้วยเข็มขัดแห่งความจริง สวมเสื้อเกราะแห่งความชอบธรรม”

            ความจริงเรื่องอะไร? ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า  ความจริงที่พระเจ้าบอกเราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ ความจริงที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าทันทีที่เราบังเกิดใหม่ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ความจริงที่ว่า ณ เวลานี้ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน  และพระเยซูอยู่ที่ไหน? เราอยู่ที่นั่นด้วย  พระเยซู ณ เวลานี้ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า  เราก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย ในโลกวิญญาณ นี่คือความจริง

            “สวมเสื้อเกราะแห่งความชอบธรรม” ในหนังสือเอเฟซัส อาจารย์เปาโลพยายามพูดให้คนในยุคนั้นได้เข้าใจ คนยุคนั้น ไม่เหมือนยุคนี้ ยุคนี้ถ้าเราจะสู้กัน เราจะฆ่าใครสักคน เราก็เอาปืนยิง ไม่อย่างนั้น เราก็ปล่อยจรวดปรมาณู แต่ว่าในยุคของเอเฟซัสตอนนี้ เขาสู้รบแบบโบราณ คือใส่ชุดเกราะ เวลาศัตรูยิงธนูมา ก็มีโล่ป้องกัน  ฉะนั้น เป็นภาพที่ให้เห็นชัดเจนว่ามันเป็นการสู้รบ แต่เป็นการสู้รบในโลกวิญญาณ

            ความชอบธรรมที่เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  ใส่เข้าไปในร่างกายของเรา  เพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูยิงธนูเข้ามาใส่เราได้ ป้องกัน ในขณะที่โลกนี้ ผ่านทางผีมารซาตานนั่นแหละ ส่งข้อมูลแห่งการโกหกหลอกลวง เข้ามาที่ความคิดของเรา  เหมือนยิง การโกหกหลอกลวงเข้ามา เราอย่านิ่งเฉย ยิงกลับไป ด้วยถ้อยคำของพระเจ้า  ถ้าเขาโกหกเราว่าตอนนี้ เราเป็นผู้เชื่อแล้วใช่ไหม? เราบอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา  พระเจ้าจะสถิตอยู่ในเราได้อย่างไร? ถ้าพระเจ้าอยู่ในเรา ทำไมเรายังทำบาปอยู่ นั่นแหละ คือการโกหกแล้ว เราก็เริ่มสงสัย …

            “จริง ถ้าพระเจ้าอยู่ในฉัน ฉันทำบาปได้อย่างไร? มันไม่น่าเป็นไปได้”

            แต่ความเป็นจริงที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าตัวตนแท้ๆ ของเรา ที่บังเกิดใหม่แล้ว เราไม่ได้ทำบาปเลย แต่ที่เราทำบาป เพราะเราถูกหลอก มันเป็นปรสิต ไม่ใช่ตัวเรา มันหลอกให้เราไปคล้อยตามมัน ทำบาป ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า ฉะนั้น เรายังคงยืนกรานเหมือนเดิม ในขณะที่เราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แล้วโลกนี้พยายามส่งข้อมูลเข้ามาในความคิดของเราว่า …

            “พระเจ้าไม่รักเธอแล้ว เธอแย่แน่เลย ถ้าเธอจากโลกนี้ไป เธอไม่ได้ขึ้นสวรรค์แน่ๆ เลย นิสัยแบบนี้ ทำโน่นก็ไม่ดี ทำนี่ก็ไม่ดี”

            เราทำอย่างไร? เขายิงธนูมาใช่ไหม? เราเอาโล่ป้องกัน โล่ คือความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า แล้วเราก็ยิงธนูกลับไปเลย  เราไม่ต้องเกรงใจนะ ยิงกลับไปเลยว่า …

            “ฉันไม่เชื่อแกหรอก  เพราะพระเจ้าบอกฉันว่าอย่างนี้”

            เราควรจะเชื่อพระเจ้า หรือเราควรจะเชื่อคำโกหกหลอกลวง

            “พระเจ้าบอกว่าฉันเป็นผู้ชอบธรรม พระเจ้าบอกว่าฉันเป็นลูกที่รัก เป็นดังแก้วตาดวงใจของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่ในฉัน  พระเจ้าจะคอยดูแลฉัน นำพาย่างเท้าของฉัน แม้บางครั้ง ฉันอาจจะหลงไปเชื่อฟังแก ไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ฉันก็ลุกขึ้นมาใหม่ เพราะว่าการทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะการเป็นลูกของพระเจ้าของฉันไปได้  ฉันยังคงเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิม  ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย พระเจ้าไม่ทิ้งฉัน ไม่ว่าฉันจะทำอะไร พระเจ้าอยู่ในฉัน” นี่คือความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า

            แล้วเมื่อเรายืนหยัดอยู่ตรงนี้ปุ๊บ เราจะสามารถทำลายป้อมปราการของผีมารซาตานผ่านทางมนุษย์ส่งข้อมูลเข้ามาในความคิดของเรา  ดังนั้น ข้อมูลเหล่านี้มันสามารถผ่านทางบุคคล หรือสามารถผ่านทางคริสเตียนด้วยกัน ด้วยซ้ำไป สามารถผ่านทางคนที่ไม่เชื่อ ผ่านทางข่าวสารต่างๆ  ที่เราไปเสพมัน ก็คือเราไปอ่านข่าวสาร อ่านข้อมูลอะไรก็ตามที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงที่พระเจ้าบอกเรา เราปฏิเสธไปเลย ไม่ต้องรับ ยืนหยัดในความจริง ในถ้อยคำของพระเจ้า ที่บอกว่า ณ เวลานี้ เราเป็นใครแล้วในพระเยซูคริสต์ แล้วไม่ต้องกังวลว่าเมื่อเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หลังความตาย เราจะไม่รอด  เราจะไม่สามารถไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้าได้ อันนั้น เขาก็โกหกเราอีก เพราะว่าพระเจ้าบอกเราว่าเราอยู่ที่สวรรค์ ตั้งแต่ขณะนี้แล้ว ตอนที่เราตัวเป็นๆ อยู่นี้  เราก็อยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว นี่คือความจริง

            ฉะนั้น ความจริงเหล่านี้ จะสามารถช่วยเรา ผู้เชื่อทั้งหลายที่จะผ่านพ้นการโกหกหลอกลวงทุกรูปแบบ ที่ถูกส่งเข้ามาในสมอง หรือในความคิดของเรา  ข้อ 15 …

        เอเฟซัส 6:15 “สวมรองเท้า   ที่ทำให้พร้อมประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข”

            ตรงนี้หลายคนกำลังเข้าใจผิด คิดว่าอาจารย์เปาโลกำลังสอนว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราต้องสวมรองเท้าแล้วออกไปประกาศข่าวดีของพระเจ้านะ ต้องออกไปทำนะ แล้วบางคนเอาข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่ง ที่อาจารย์เปาโลเป็นคนพูดไว้ว่า …

            “ข้าพเจ้าต้องประกาศ วิบัติแก่ข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศข่าวประเสริฐ”

            เอาข้อพระคัมภีร์ข้อนี้มาขู่คริสเตียน  ทำให้ทุกคนตกใจ  แย่แล้ว ถ้าฉันไม่ประกาศ  ฉันตายแน่ๆ เลย  เป็นวิบัติแน่ๆ เลย พี่น้อง เวลาเราอ่านถ้อยคำของพระเจ้า เราต้องอ่านบริบทให้ดีๆ  อ่านว่าถ้อยคำตรงนี้ พระเจ้ากำลังพูดกับใคร? แล้วอยู่ในช่วงเวลาไหน?  อย่างไร?  ตามถ้อยคำพระเจ้าพูดกับเราทุกคนหรือ? ไม่ใช่ แต่ถ้อยคำที่พระเจ้าพูดกับพวกเราทุกคน มีอยู่ในหนังสือยอห์น 3:16-18 นั่นพูดกับพวกเราทุกคน …

            “ใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์” นี่พูดกับทุกคนนะ  ทุกคนจะได้หมด ถ้าเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เขาจะได้รับความรอด ทุกคนได้เหมือนกัน แล้วถ้าใครไม่เชื่อ เขาก็อยู่ในการพิพากษาอยู่แล้ว  สำหรับคนที่เขาไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าไม่ต้องทำอะไรเขาเลย เขาอยู่ในความพินาศอยู่แล้ว เพราะว่ามนุษย์ทุกคนอยู่ในการพิพากษาของพระเจ้า สืบเนื่องจากบรรพบุรุษของเรา คืออาดัม ฉะนั้น มีทางเดียวเท่านั้น ที่มนุษย์จะหลุดพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษ ก็คือมาย้ายที่อยู่ใหม่ ย้ายจากอยู่ในอาดัมเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือย้ายจากการพึ่งพาการกระทำดีของตัวเราเอง มาพึ่งพาในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ข่าวดีของพระเจ้ามีแค่นั้นเอง

            ฉะนั้น คำว่า “วิบัติแก่ข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศข่าวประเสริฐ” บริบทตรงนี้ พระเจ้าพูดกับอาจารย์เปาโลคนเดียว แล้วอาจารย์เปาโลถูกสั่งให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ ซึ่งการประกาศกับคนต่างชาติในยุคนั้น  ยุคต้นๆ หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย  ยังอยู่ในการข่มเหงทุกรูปแบบ ซึ่งชาวยิวจะข่มเหงคริสเตียนมากๆ ใครที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาบอกว่าพวกนี้กบฏกับพระเจ้า เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ คือผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าส่งมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ฉะนั้น เขาจะคอยต่อต้านตลอดเวลา คนที่ต่อต้านหนักที่สุด คืออาจารย์เปาโลเองนั่นแหละ ต่อต้านทุกรูปแบบ แต่วันที่อาจารย์เปาโลได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือจะว่ากัน พระเจ้าเปิดตาใจให้อาจารย์เปาโลเห็นความจริงว่าความจริงแล้ว พระเจ้าได้ทำอะไรกับมนุษยชาติเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือเป็นแผนการที่พระเจ้าบอกไว้ตั้งแต่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าบอกว่าเราจะส่งพระผู้ช่วยให้รอดมาให้กับมนุษยชาติ

            ฉะนั้น เมื่ออาจารย์เปาโลเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ  พระเยซูสั่งอาจารย์เปาโลคนเดียว อัครทูตคนเดียวเท่านั้น ที่ถูกสั่งให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ ส่วนสาวกคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเปโตร ยากอบ ยอห์น พระเยซูคริสต์ให้เขาประกาศกับคนยิว  แล้วอาจารย์เปาโลก็พูดความจริงตรงที่ว่าจริงๆ แล้วข่าวดีของพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้มาถึงคนยิวก่อน คือประกาศกับคนยิวก่อนเลย แต่เพราะคนยิวไม่เชื่อ พระเจ้าก็บอกว่าไหนๆ ไม่เชื่อ เอาไว้ก่อน งั้นข่าวดีนี้ให้ไปถึงคนต่างชาติ แล้วหลังจากนั้นค่อยมาประกาศใหม่ คนยิวจะรับเชื่อหรือไม่รับเชื่อนั่นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่รู้ แต่ว่าข่าวดีของพระเจ้า จะถูกประกาศออกไปจนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก ก็คือคนต่างชาติ ซึ่งคนยิวดูถูกเหยียดหยามมาก คนยิวถือว่าคนต่างชาติเป็นเหมือนหมู เป็นเหมือนหมา ก็คือไม่สามารถมาเทียบระดับกับเขาได้เลย  เขาโกรธมากที่อาจารย์เปาโลประกาศว่าข่าวดีของพระเจ้าจะถูกประกาศไปถึงคนต่างชาติ  แล้วอาจารย์เปาโลก็ไปประกาศจริงๆ กับคนที่ไม่ใช่ยิว อาจารย์เปาโลจากการที่เป็นคนที่คนยิวนับหน้าถือตา กลายเป็นว่าเป็นศัตรูกัน คนยิวไล่ล่าฆ่าอาจารย์เปาโลทุกเวลา ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเสี่ยงมาก เสี่ยงกับความตายทุกวัน มีถ้อยคำที่อาจารย์เปาโลเขียนไว้ว่า …

            “ข้าพเจ้าตายทุกวัน” ก็คือมีโอกาสได้ตายทุกวัน เจอแจ็กพอร์ต โดนฟันตายเลย  เพราะว่าในยุคนั้น คนยิวเขาโกรธอาจารย์เปาโลมากๆ แต่ว่าทุกครั้งที่อาจารย์เปาโลประกาศข่าวดีของพระเจ้า อาจารย์เปาโลก็ยังพูดเหมือนเดิม

            “ข้าพเจ้าถูกเรียกมาให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ

            น้ำพระทัยของพระเจ้า คือพระเจ้าต้องการให้คนต่างชาติได้มีโอกาสเข้ามารับข่าวดีของพระเจ้า เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับชาวยิว ก็คือเป็นพลเมืองของพระเจ้า  เหมือนกับชาวยิวเลย ยิ่งไม่ไหว  โกรธ มันไม่ได้ คือคนต่างชาติจะมาเป็นระดับเดียวกันกับเราไม่ได้เลย แต่ความจริง คือพระเจ้ากำหนดไว้อย่างนั้นแล้ว แล้วอาจารย์เปาโลก็ไม่ได้สนใจ ท่านไม่ชอบ ก็ไม่ใช่เป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันไม่ประกาศ ต่อให้ท่านไม่ชอบ เรื่องท่าน ท่านจะฆ่าเรา ก็เรื่องท่าน มีปัญญาฆ่า ก็มาฆ่าไปเลย  ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาต ให้ใครคนหนึ่งคนใดตาย ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้นะ  เหมือนกับที่พระเยซูบอกว่า …

            “นกกระจาบ 2 ตัว เขาซื้อบาทเดียวนะ แต่ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาต ไม่มีใครยิงนกตัวนั้นตายได้เลย”

            พระเยซูกำลังพูดอะไร? กำลังบอกความจริงว่าทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระเจ้าได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว  แต่สิ่งที่พระเจ้าทำ คือพระเจ้าไม่บังคับ เราอยากให้พระเจ้าบังคับเรามากๆ เลย แต่พระเจ้าไม่บังคับ ถ้าพระเจ้าบังคับเรา เราก็ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าทุกอย่าง พระเจ้ากดรีโมตให้เราเชื่อฟังๆ จงเชื่อฟัง เราก็ตามนั้น เหมือนหุ่นยนต์ เราก็โอเคๆ เชื่อฟังๆ แต่พระเจ้าไม่ทำอย่างนั้น พระเจ้าให้อิสระเสรีภาพกับมนุษย์ทุกคน ตั้งแต่อดีต อาดัมเอวา จนถึงทุกวันนี้ เราผู้เชื่อ แม้เราถูกซื้อด้วยชีวิตของพระเยซูคริสต์ ซึ่งจริงๆ เราไม่สามารถหือได้เลย  ชีวิตเราไม่มีแล้ว พระเยซูคริสต์เป็นเจ้าของชีวิตเรา แต่พระเจ้าก็ยังคงความเป็นพระองค์เอง  ก็คือให้อิสรภาพกับมนุษย์ กับผู้เชื่อ ให้ตัดสินใจว่ามนุษย์คนนั้น เมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เขาจะเชื่อฟังพระองค์หรือไม่?  หรือเขาจะดื้อกับพระองค์ ดื้อกับพระองค์ ก็คือรับข้อมูลจากข้างนอก  คำโกหก หลอกลวงที่ถูกส่งเข้ามา แล้วก็คล้อยตามมัน  หรือจะรับข้อมูลจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ข้างในผู้เชื่อเหล่านั้น แล้วก็คล้อยตามที่พระเจ้าบอก

            ฉะนั้น สนามรบที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ คือความคิด ถ้าความคิดเราจดจ่ออยู่ที่พระเจ้า เราก็จะดำเนินชีวิตคล้อยตามพระเจ้า ให้สมกับที่เราเป็นบุตรที่รักของพระองค์ เราก็จะสามารถสำแดงความเป็นจริง หรือตัวตนแท้ๆ ของเรา ออกไปได้มากขึ้นๆ ทุกวัน แต่ถ้าเรายอมระบบของโลกนี้  การโกหก หลอกลวงทุกรูปแบบ ส่งเข้ามาในความคิดของเรา แล้วเราคล้อยตาม เราก็จะทำตามระบบของโลกนี้เช่นเดียวกัน  แต่ว่าถ้าเราเผลอทำตาม ยังคงบอกว่าไม่เป็นไร เพราะว่าพระเจ้ายกโทษให้กับเราทั้งหมดเรียบร้อยไปแล้ว  ไม่ต้องมาขออภัยนะ  วิญญาณของเราเป็นเหมือนพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น เวลาเราทำไม่ถูกต้อง พระเจ้าเป็นผู้ควบคุม 2 กฎใช่ไหม?  กฎทั้งวิญญาณ กฎทั้งบนโลกใบนี้ ถ้าเราทำไม่ถูกต้องตามน้ำพระทัยของพระองค์ มันก็จะมีกฎของโลกนี้ พิพากษาเราเอง

            ฉะนั้น หลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว ถ้าเราอ่านพระคัมภีร์ในจดหมายฝาก เขียนคำว่าพิพากษาเมื่อไร? ถ้าเป็นเรื่องของร่างกายบนโลกใบนี้  เราจะถูกพิพากษา เพราะว่าเราทำสิ่งที่ไม่ดี คนที่พิพากษาเรา คือคนรอบข้างนั่นแหละ  พิพากษาอย่างไร? …

            “เป็นคริสเตียนทำไมถึงนิสัยอย่างนี้ ไหนบอกว่าพระเจ้าเป็นความรักไง ขี้เหนียวจังเลย  ไม่เห็นมีความรักเลย  เจอใครก็ด่าอย่างเดียวเลย”

            นั่นแหละ เราถูกพิพากษาไปแล้ว ใช่ไหม? ถูกต้องไหม?  แต่คำว่า “พิพากษา” ไม่เกี่ยวกับวิญญาณของเรา วิญญาณเราจะไม่ถูกพิพากษาใดๆ เลย เพราะว่าวิญญาณเราได้ถูกเปลี่ยนใหม่ สะอาด บริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าแล้ว ฉะนั้น เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ เราคิดให้ดีๆ  อย่าให้ถูกหลอกว่าเราเป็นผู้เชื่อแล้ว วิญญาณเรายังสามารถถูกพิพากษาอีก  ไม่จริง เป็นคำโกหก และหลอกเราด้วย  แล้วผู้เชื่อหลายคนหลงเชื่อด้วย กลัวลานเลย …

            “แย่แล้วๆ  ถ้าเราตายไป เรายังจะรอดไหม? วิญญาณเราจะต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของพระเจ้าไหม?  เรายังต้องให้พระเจ้าพิพากษาว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้านะ ทิ้งเจ้าไป’”

            เป็นอย่างนั้นไหม?  ไม่จริง พระเจ้ารู้จักเราตั้งแต่เราอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ถ้าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ถ้าเราได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าพระเยซูคริสต์รู้จักเรา  ทำไมเราถึงรู้ว่ารู้จัก เพราะว่าพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราไง ถ้าไม่รู้จัก จะเข้ามาได้อย่างไร? นึกออกไหม? พระเจ้าบอกว่าเราเคาะที่ประตูใจของเจ้า ถ้าใครก็ตามเปิดประตูออก เราจะเข้าไปอยู่กับผู้นั้น  เราจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา แล้วเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา  หมายความว่ารู้จักคุ้นเคย เราเคยอยู่ดีๆ ไปบ้านคนแปลกหน้า แล้วก็ไปกินข้าวกับเขา มีไหม? ไม่มีนะ เราจะไปบ้านใคร?  ไปทานข้าวด้วยกัน เราต้องรู้จักมักจี่ ไม่ใช่รู้จักอย่างเดียว รู้จักเฉยๆ เราก็ยังไม่ไปทานข้าวด้วย มันยังไม่สนิท แต่ถ้าเมื่อไรที่เราไปทานข้าวบ้านใคร? แปลว่ามันสนิทน่าดูเลย เรายอมที่จะไปทานข้าวกับเขา  ไม่อย่างนั้น วางตัวไม่ถูก

            ภาพเดียวกัน พระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา รู้จักมักจี่เรา ตั้งแต่เราอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            ฉะนั้น เมื่อพระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา  เราอยู่ในพระองค์ เรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันปุ๊บ จะมีอะไรไหมบนโลกใบนี้ ที่จะสามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้าได้ หรือว่าหลังความตาย เราต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของพระเจ้า  เพื่อถูกพิพากษาอีกหรือ?  มันไม่ใช่แน่นอน ถ้าผู้เชื่อถูกหลอกว่าหลังความตาย เราต้องไปยืนอยู่หน้าบัลลังก์การพิพากษาจากพระเจ้า พระบิดา เพราะว่าหลังจากที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว  ผิดเล็ก ผิดน้อย ผิดฝอย ผิดอะไรเยอะแยะมากมายเลย เราต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ แปลว่าถ้าเรายืนอยู่ตรงนั้น พระเยซูต้องไปยืนกับเราด้วย  ต้องไปถูกพิพากษาด้วย  แล้วมันจริงไหม? ที่พระเยซูคริสต์ต้องถูกพิพากษาด้วย พี่น้องแค่คิดง่ายๆ เลย มันเป็นไปไม่ได้  เพราะพระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นพระเจ้า  พระองค์เป็นผู้บริสุทธิ์ พระองค์ไม่เคยทำบาป แล้วพระองค์ยอมที่จะเป็นคนบาป  เพื่อเรา  ตายเพื่อเรา นี่คือภาพที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ความจริง แล้วความจริงตรงนี้แหละ  จะทำให้เราเป็นไท

            ฉะนั้น การสวมรองเท้า พร้อมที่จะประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข หมายความว่าการดำเนินชีวิต เวลาเราดำเนินชีวิต เราจะออกไปข้างนอก เราเดินเท้าเปล่าได้ไหม? ไม่ได้ เราก็ต้องใส่รองเท้า อยู่ข้างในบ้าน เรายังต้องใส่รองเท้าเลย

            การดำเนินชีวิตของเรา ในแต่ละวัน ให้ชีวิตของเราได้ประกาศข่าวประเสริฐแห่งความรอดของพระเยซูคริสต์ หรืออีกนัยหนึ่งที่พระคัมภีร์บอกว่าท่านทั้งหลายเป็นตัวหนังสือของพระเยซูคริสต์ ซึ่งท่านเดินไปไหน? คนอื่นสามารถอ่านออกเลยว่านี่ใช่เลย เป็นลูกพระเจ้า แล้วคำที่พระเยซูคริสต์พูดอยู่ประโยคหนึ่ง คือคนจะรู้ว่าท่านทั้งหลายเป็นสาวกของเรา เมื่อท่านรักซึ่งกันและกัน

            คำว่า “รักซึ่งกันและกัน” ในโลกวิญญาณ คือเรารักแล้ว ทันทีที่เราเชื่อพระเจ้า  เรารักกันเลย ไม่ต้องพยายามทำ  เพราะว่าพระเจ้าเป็นความรัก  แล้วพระเจ้าผู้นี้ เข้ามาอยู่ในเรา อยู่ในผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า  ท่านก็เป็นความรัก  เมื่อท่านกับเราเป็นความรัก มีพระเจ้าอยู่ในทั้งท่านและเรา แปลว่าเราทั้งหมดนั่นแหละ บนโลกใบนี้ ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราเป็นหนึ่งเดียวกัน  และรักซึ่งกันและกันในวิญญาณเรียบร้อยไปแล้ว ส่วนการประพฤติคนละเรื่อง ความประพฤติเราค่อยๆ พัฒนาบุคลิกของเราให้สอดคล้องกับความเป็นจริง คือให้เหมือนกับที่เราได้บังเกิดใหม่แล้ว

            ท่านทั้งหลายจงดำเนินชีวิตเลียนแบบพระเจ้า ให้สมกับที่ได้เป็นบุตรที่รักแล้ว ถ้อยคำพระเจ้าบอกอย่างนั้น ฉะนั้น การดำเนินชีวิตของเราจะส่องให้คนอื่นได้เห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา

        เอเฟซัส 6:16 “นอกจากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จงยึดโล่แห่งความเชื่อ ซึ่งพวกท่านใช้ดับลูกศรเพลิงทั้งปวงของมารร้ายได้”

            ลูกศรเพลิงอธิบายไปแล้วนะ  คือคำโกหกหลอกลวงที่ส่งเข้ามาในความคิดของเรา เราใช้โล่แห่งความเชื่อ เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าเราเป็นใคร? ฉะนั้น ความเชื่อตรงนี้เป็นเกราะ เป็นโล่ เป็นที่คุ้มกันภัยให้กับพวกเรา

        เอเฟซัส 6:17 “จงสวมหมวกเกราะแห่งความรอด และถือดาบแห่งพระวิญญาณ คือพระวจนะของพระเจ้า”

            จริงๆ ทั้งหมดนี้ อาจารย์เปาโลกำลังให้พี่น้องเห็นภาพ ภาพของนักรบ สมัยนั้น พอจะออกรบต้องสวมชุดเกราะ ต้องมีโล่ ต้องมีดาบ ต้องมีธนู มีคันธนู มีครบเลย  เป็นภาพ ฉะนั้น ภาพตรงนี้ ที่อาจารย์เปาโลพูดถึง สวมหมวกเกราะแห่งความรอด  ก็คือทำไมต้องมีหมวก

            ทุกวันนี้เขารณรงค์ให้คนขี่มอเตอร์ไซด์ใส่หมวกกันน็อค เพื่อป้องกันศีรษะของเรา ถ้าเกิดพลาดพลั้ง เรารถล้ม เรายังปลอดภัยอยู่

            ทำไมรัฐบาลต้องรณรงค์ให้ใส่หมวกกันน็อค มันเป็นความปลอดภัยของเราเอง ไม่ได้เป็นอะไรเกี่ยวกับคนอื่นเลย ภาพเดียวกัน ที่พระเจ้าบอกเราว่าให้ใส่หมวกเกราะแห่งความรอด … ความรอดในพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าบอกเราว่ารอดแล้ว รอดเลย  ไม่ต้องมีมายึกยักว่ารอดแล้ว ตกลงพรุ่งนี้ ไม่รอดไหม? ถ้าทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มะรืนนี้ไปคิดไม่ดีกับเพื่อนอีก รอดไหมเนี้ย? ยืนยันเลยว่ารอดแล้ว รอดเลย เมื่อเราบังเกิดใหม่แล้ว บังเกิดใหม่เลย  เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ก็คือเข้ามาอยู่เลย  ไม่มีใครเอาเราออกจากพระเยซูคริสต์ได้อีกแล้ว

        เอเฟซัส 6:18 “และจงอธิษฐานในพระวิญญาณทุกโอกาส ด้วยการอธิษฐานและการวิงวอนทุกรูปแบบ โดยคำนึงถึงสิ่งนี้ จงเฝ้าระวังด้วยความมานะอดทน และด้วยการวิงวอนเผื่อประชากรทั้งปวงของพระเจ้าเสมอ”

            อธิษฐานในพระวิญญาณ หมายความว่าข้างในวิญญาณระลึกอยู่ตลอดเวลาว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ตลอดเวลา การอธิษฐานตลอดเวลา ทุกรูปแบบ ไม่ได้หมายความว่าพี่น้องต้องไปนั่งคุกเข่าอธิษฐานกับพระเจ้าทุกวัน ทุกเวลา วันละ 24 ชั่วโมง ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ไม่ใช่ การอธิษฐาน ท่านสามารถที่จะคุยกับพระเจ้า ที่ไหนก็ได้ เมื่อไรก็ได้  อยู่บนรถเมล์ก็คุยได้  อยู่บนท้องถนนเดินไป ก็คุยกับพระเจ้าได้  ระลึกอยู่ตลอดเวลาว่าเรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน ทำไมอาจารย์เปาโลต้องพูดให้คนเอเฟซัสอธิษฐานเผื่อท่านด้วย …

        เอเฟซัส 6:19  “และเผื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อว่าเมื่อใดที่ข้าพเจ้าเอ่ยปาก พระเจ้าจะประทานถ้อยคำให้ข้าพเจ้าสำแดงข้อล้ำลึกแห่งข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญ”

            อาจารย์เปาโลต้องการคำอธิษฐานมากๆ เพราะข้อล้ำลึกแห่งข่าวประเสริฐ ก็คือพระเจ้าได้เลือกชาวยิวก่อน แล้วหลังจากนั้น คนต่างชาติ ความรอดของพระเจ้ามาถึงทั้งสองกลุ่ม แล้วทั้งสองกลุ่มสามารถเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ได้ ซึ่งเป็นการประกาศที่ทำให้คนยิวไม่พอใจมาก ไล่ล่าฆ่านั่นแหละ ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกอธิษฐานเผื่อเราด้วยให้มีความกล้าหาญ

            กล้าตรงไหน? ไม่รู้แหละ แม้จะมีดาบมาจ่อที่คอ ก็ยังให้กล้าหาญที่จะพูดความจริงของข่าวประเสริฐออกไป

        เอเฟซัส 6:20 “เพราะข่าวประเสริฐนี้  ข้าพเจ้าจึงเป็นทูตที่ถูกล่ามโซ่อยู่ เพื่อว่าข้าพเจ้าจะประกาศข่าวประเสริฐอย่างกล้าหาญตามที่ข้าพเจ้าสมควรจะทำ”

            อาจารย์เปาโลถูกล่ามโซ่ ถูกจับ ถูกตี ถูกทุกรูปแบบ แต่ว่าอาจารย์เปาโลพูดว่าไม่มีโซ่อันไหนสามารถล่ามถ้อยคำของพระเจ้าได้ อยากล่ามโซ่ล่ามไป  อยากจับไปติดคุก เชิญตามสบาย  อยากเอาเข้าไปอยู่ในถ้ำลึกๆ  ก็ตามสบาย  อาจารย์เปาโลสามารถเขียนจดหมายออกมาหนุนใจผู้เชื่อทั้งหลายแหล่ในยุคนั้น ให้เขามั่นคงในความเชื่อนี้ ให้เขาระลึกว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในเรา

            แล้วอย่างที่บอก ที่เราคุยกันบ่อยๆ ก็คือคนในยุคนั้น ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เขาเข้าใจว่าพระเยซูคริสต์ใกล้จะเสด็จมาแล้ว ไม่เป็นไรหรอก อีกอึดใจเดียว  ถูกข่มเหง ก็ไม่เป็นไร ถูกจับไปตี ก็ไม่เป็นไร  ติดคุกก็ไม่เป็นไร  เดี๋ยวพระเจ้าก็มารับเรากลับบ้านแล้ว นั่นเป็นความรู้สึกของคนในยุคนั้น

            แต่พอถึงยุคของเราเหมือนกัน ไม่ว่าเราจะเผชิญกับอะไรก็ตาม ให้เราระลึกอยู่เสมอว่าความหวังใจเราไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้  พระเจ้าบอกว่าโลกใบนี้ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเรา  เป็นเพียงที่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น วันหนึ่งพวกเราผู้เชื่อจะต้องกลับบ้านถาวรของเรา ก็คือสถานที่ใหม่ โลกใบใหม่ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้ สำหรับผู้เชื่อทั้งหลายเรียบร้อยไปแล้ว แล้วรวมทั้งร่างกายใหม่ที่พระเจ้าทรงสัญญาว่าเป็นร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ตอนที่เป็นขึ้นมาจากความตาย เต็มไปด้วยสง่าราศี  ซึ่งพระเจ้าเตรียมไว้ให้กับผู้เชื่อทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อวิญญาณเราออกจากร่างปุ๊บ เราไปสวมร่างกายใหม่ทันที เหมือนกับที่ในพระคัมภีร์บอกว่าเราจะไม่เปลือยเปล่า ส่วนคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า วิญญาณออกจากร่างเขาเปลือยเปล่า เพราะว่าเขาไม่มีร่างกายใหม่ให้สวม เพราะเป็นวิญญาณที่ถูกพิพากษา รอวันที่จะถูกส่งไปในบึงไฟนรก

        เอเฟซัส 6:21-24 “21 ทีคิกัสน้องที่รัก ผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเล่าทุกอย่างให้ท่านฟัง เพื่อท่านจะได้ทราบด้วยว่าข้าพเจ้าเป็นอย่างไร และกำลังทำอะไรอยู่ 22 ข้าพเจ้าจะส่งเขาไปหาท่าน ก็เพราะจุดประสงค์ข้อนี้เอง คือเพื่อให้ท่านทราบว่าพวกเราเป็นอยู่อย่างไร และเพื่อเขาจะได้ให้กำลังใจท่าน 23 สันติสุขและความรัก   ด้วยความเชื่อจากพระเจ้าพระบิดา และจากองค์พระเยซูคริสต์เจ้ามีแก่พี่น้องทั้งหลาย 24 พระคุณดำรงอยู่กับคนทั้งปวง  ที่รักองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเราด้วยความรักอันไม่เสื่อมสลาย”

            ไม่ขอนะ เพราะว่ามันมีอยู่แล้ว สันติสุขที่พระเจ้าให้กับเรา ทันทีที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้า พระเจ้าให้เราเป็นสันติสุขเรียบร้อยไปแล้ว เป็นความรักเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือไม่ต้องขอนะ  มันมีอยู่ในตัวเราเรียบร้อยไปแล้ว

            คนที่รักพระองค์ หมายความว่าคนนั้นได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ฉะนั้น พระคุณของพระเจ้าสถิตอยู่ในผู้นั้นเรียบร้อยไปแล้ว  ไม่ต้องขออีก

            คำว่า “ความรักที่ไม่เสื่อมสลาย” หมายความว่าทันทีที่เรากลับใจใหม่ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ บังเกิดใหม่ปุ๊บ พระเจ้าแห่งความรักเข้ามาในวิญญาณของเรา วิญญาณของเราเป็นความรัก แล้วเป็นความรักที่ไม่เสื่อมสลาย เพราะว่าความรักนี้ เป็นความรัก ซึ่งพระเจ้าผู้เป็นความรักเข้ามาสถิตอยู่ในเรา ฉะนั้น พระเจ้าผู้นี้ ความรักที่ไม่เสื่อมสลาย จะอยู่ในวิญญาณที่บังเกิดใหม่เท่านั้น ฉะนั้น เราไม่ต้องไปกลัวว่าเราจะไม่รักพระเจ้า  ไม่ต้องกลัวนะ  เพราะวิญญาณข้างในเรารักพระเจ้า  100% 1,000% 10,000% ไปเรียบร้อยแล้ว  ไม่ใช่ที่เราจะรักพระเจ้า ด้วยกำลังของเรา  แต่เป็นพระเจ้าผู้กระทำให้เรารักพระองค์ เรียกว่ารักอย่างที่พระองค์ต้องการให้เราเป็น

            นี่คือความจริงทั้งหมดในโลกวิญญาณ  ที่อาจารย์เปาโลได้เขียนไว้ในหนังสือเอเฟซัส วันนี้เราก็จบหนังสือเล่มนี้ พระเจ้าอวยพรค่ะ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            บัพติศมาในน้ำ เป็นภาพของการบังเกิดใหม่ ทางฝ่ายวิญญาณ ในนามพระเยซูคริสต์

            1 เปโตร 3:21… “และบัพติศมา ซึ่งเป็นภาพของการช่วยให้รอด ทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่รอดโดยการขจัดความสกปรกของร่างกายภายนอก แต่โดยได้รับการชำระภายใน ได้บังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่ และใจใหม่ ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า ผ่านความเชื่อของท่าน ในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์”

            คริสเตียน … ท่านรอด มิใช่โดยความประพฤติภายนอก … แต่เป็นความเชื่อภายใน เรื่องการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ที่ทำให้ท่านได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ

            เอเฟซัส 2:8-9 … “8 เพราะโดยพระคุณความเมตตาและความโปรดปราน ของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษเนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติหรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวดและแอบอ้างความดีของตัวเองในความรอดของตนได้”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1459

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  มีนาคม  2024

เรื่อง “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหนก่อนและหลังเชื่อพระเยซู?” ตอน 4.1

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหน ทั้งก่อนและหลังเชื่อพระเยซู” วันนี้เป็นตอนที่ 4 …

            จากตอนที่ 1 เราได้รับคำตอบไปแล้วว่าวิญญาณของคริสเตียนก่อนเชื่ออยู่ในเนื้อหนัง หลังเชื่ออยู่ในพระวิญญาณ

            ตอนที่ 2 เราได้เรียนรู้แล้วว่าก่อนเชื่อวิญญาณของคริสเตียนอยู่ในอาดัม หลังเชื่ออยู่ในพระคริสต์

            ตอนที่ 3 เราเรียนรู้แล้วว่าถ้อยคำพระเจ้าบอกเราว่าก่อนเชื่อนั้น เราเป็นทาสบาป หลังเชื่อเป็นทาสพระคริสต์

            วันนี้มาตอนที่ 4 “ก่อนเชื่ออยู่ในความมืด หลังเชื่ออยู่ในความสว่าง”

            เรากำลังเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ หรือเป็นวิญญาณ แสวงหาพระเจ้า เรียนรู้จักพระเจ้าต้องเรียนรู้ทางวิญญาณเท่านั้น ไม่ใช่ตามองเห็น  เพราะฉะนั้น เรากำลังพูดถึงโลกฝ่ายวิญญาณ  ที่พูดมาทั้งหมด ทุกวัน เมื่อไรก็ตามอ่านพระคัมภีร์ เล่าให้คนอื่นฟัง หรือประกาศ หรือเข้าใจเอง หรือจะร้องเพลงเกี่ยวกับพระเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างต้องทำภายในวิญญาณเท่านั้น ด้วยจิตวิญญาณและความจริง ความจริง คือถ้อยคำของพระเจ้าที่อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลจริงๆ 

            ถ้อยคำ ก็คือพระเยซูคริสต์นั่นเอง ซึ่งพระเจ้าจะเปิดเผยในความจริงเหล่านี้ให้กับเราทั้งหลายได้รับรู้ เมื่อเราแสวงหาพระองค์อย่างจริงใจ  ก็คือจากวิญญาณและความจริง เกี่ยวกับความรู้ในเรื่องโลกวิญญาณ เกี่ยวกับพระองค์ และเราได้รับรู้ว่าวิญญาณของมนุษย์ก่อนที่จะเป็นคริสเตียน อยู่ในความมืด

            นี่คือความจริงอีกส่วนหนึ่ง ในโลกวิญญาณที่พระเจ้า แจ้งให้เรา บอกให้เราได้รับรู้ ซึ่งเราจะเรียนรู้ในวันนี้ว่าวิญญาณของมนุษย์ ก่อนที่จะเป็นคริสเตียนอยู่ในความมืด แต่หลังเชื่อแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว อยู่ในความสว่าง มันเป็นอย่างไร? อย่าลืมนะ เรากำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกฝ่ายวิญญาณ  อย่าเอาความคิด สติปัญญา ตรรกะ เหตุผลแบบมนุษย์มาใช้กับเรื่องราวต่อไปนี้ จากพระคัมภีร์ไบเบิ้ล จงคิด จงมองให้เห็นเถิดในโลกฝ่ายวิญญาณ เป็นเช่นนั้น ซึ่งเราอาจจะไม่เข้าใจหมดเลย  แต่เราเรียนรู้ไปทีละนิดทีละหน่อย  พระวิญญาณจะสำแดงสิ่งเหล่านี้ ให้กับเราทั้งหลายได้เข้าใจมากขึ้น  เราทั้งหลายผู้ซึ่งได้เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ ในข่าวดีของพระองค์ และได้เปิดใจต้อนรับข่าวดีแล้ว ได้เป็นคริสเตียน ได้เป็นผู้เชื่อแล้ว

            มาดูกันว่าที่เราคริสเตียนได้อยู่ในความสว่าง ความสว่างนี้ คืออะไร? คือใคร? ยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  ที่พระเจ้าได้ทำให้เรา ได้อยู่ในความสว่างนี้แล้ว  หลังเชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นอดีตไปแล้ว ได้รับเรียบร้อยไปแล้ว หลังเชื่อแล้ว  เราได้อยู่ในความสว่าง

            ความสว่างเป็นอย่างไรหนอ เราอยากเรียนรู้ ขอพระเจ้าทรงเปิดตา ประทานสติปัญญาฝ่ายวิญญาณ มันต้องใช้การรับรู้ทางวิญญาณ  ไม่ใช่ความคิดแบบมนุษย์ ขอพระองค์ทรงเมตตาช่วยเหลือเราทั้งหลายให้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ เถิด เริ่มต้นที่ยอห์น 1:1-5 และข้อ 10 …

        ยอห์น 1:1-5, 10 “1 ตอนเริ่มต้นก่อนที่โลกนี้จะเกิดขึ้นก็มีพระคำ (พระคริสต์) อยู่แล้ว พระคำนี้ (พระคริสต์นี้) อยู่กับพระเจ้า และเป็นพระเจ้าด้วย 2 พระคำ (พระคริสต์) อยู่กับพระเจ้าตั้งแต่เริ่มต้นก่อนที่โลกนี้จะเกิดขึ้น 3 ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอยู่นี้  เกิดมาจากพระคำ (พระคริสต์) ทั้งนั้น  ไม่มีอะไรเลย ที่ไม่ได้เกิดมาจากพระคำ (พระคริสต์) 4 พระคำ (พระคริสต์) เป็นแหล่งของชีวิตที่เที่ยงแท้ ชีวิตนั้นได้นำความสว่างมาให้มนุษย์ทุกคน 5 ความสว่างส่องเข้ามาในความมืดอยู่ แต่ความมืดไม่สามารถเอาชนะ ไม่สามารถเข้าใจ ไม่สามารถรับความสว่างนั้นได้ 10 พระองค์ (พระคริสต์) ได้อยู่ในโลกนี้ แต่โลกนี้ กลับไม่รู้จักพระองค์ ทั้งๆ ที่โลกนี้ ถูกสร้างผ่านทางพระองค์”

            พระเจ้าเริ่มพาเราไปเรียนรู้ความจริงตั้งแต่เริ่มต้นเลย จึงได้รู้ว่าเริ่มต้นที่เรามองเห็นทั้งหมด คือชีวิตต่างๆ ที่เรามองเห็นในโลกใบนี้ รวมทั้งตัวเราด้วย มันไม่ได้เกิดขึ้นก่อนสิ่งเหล่านี้  มีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นก่อนที่จะกำเนิดโลกใบนี้ด้วยซ้ำไป นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ

            ตอนเริ่มต้นก่อนที่โลกนี้จะเกิดขึ้น  มีพระคำอยู่แล้ว ก่อนจะมีสิ่งเหล่านี้ โลกนี้ทั้งใบ รวมทั้งมนุษย์ด้วย  พระคำคือใคร? คือพระเยซูคริสต์ พระเยซูแปลว่าพระผู้ช่วยให้รอด  พระคริสต์แปลว่าผู้ที่ถูกเจิม แต่งตั้งเอาไว้ ให้มาช่วยมนุษย์ให้รอด พระคำ คือชื่อที่พระเจ้าตั้งให้พระเยซู เพื่อจะทำให้มนุษย์ พอที่จะเข้าใจ แต่ว่าพระองค์มีหน้าที่ มาช่วยให้เรารอดอย่างไร? พยายามให้เราเข้าใจ จึงใช้คำว่าพระคำ จริงๆ แล้วพระเจ้าไม่มีชื่อ อย่างที่เคยเล่าให้ฟังแล้วว่าพระองค์เป็นพระเจ้า ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย มีมาก่อนสิ่งอื่นใดทั้งปวง ไม่มีอะไรเลย นอกจากพระเจ้า เพราะฉะนั้น ไม่มีใครสามารถตั้งชื่อพระเจ้าได้ ผู้สร้างกับผู้ถูกสร้าง ผู้ถูกสร้าง ไม่สามารถแต่งตั้งชื่อให้กับพระเจ้าได้ ก็เลยเรียกพระเจ้าตามพระลักษณะของพระองค์ พระเจ้าก็สำแดงให้มนุษย์ได้รู้ว่าพระองค์มี 3 พระลักษณะ คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราไม่เข้าใจหรอก มันเป็นอย่างไร?  แต่พระเจ้าก็อธิบายให้เราฟังว่าพระเจ้าพระบิดา มีหน้าที่ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง มีหน้าที่เป็นผู้บริหาร อาณาจักรของพระองค์ คืออาณาจักรสวรรค์ ตั้งแต่ก่อน

            พระบุตรมีหน้าที่เป็นผู้สั่งการ ทำงานต่างๆ  เป็นเหมือนกับสัญญาณบอกอะไรบางอย่าง ให้กับพระวิญญาณ พระวิญญาณมีหน้าที่ลงมือทำงาน ที่ผมเคยยกตัวอย่างให้ เหมือนเราปัจจุบันมนุษย์สร้างสิ่งนี้ขึ้นมา คือสั่งเป็นคำพูด รถสตาร์ท เราบอกสตาร์ท รถมันก็ติด เราเปรียบเหมือนพระบิดา เราต้องการให้รถสตาร์ท เราก็พูด คำพูดของเรานั่นแหละ คือพระคำ พอเราพูดปุ๊บ คำพูดนั้น ก็ไปสั่งการให้สวิทส์ สตาร์ทเครื่องให้ติด พลังงาน อำนาจที่ทำให้รถสตาร์ทเครื่องให้ติด คือพระวิญญาณ พอเข้าใจนะ ได้แค่นี้ อธิบายมากกว่านี้ ก็ไม่รู้เรื่องแล้วล่ะ แค่นี้ ก็ไม่รู้เรื่องแล้ว ฟังไปเรื่อยๆ

            เพราะฉะนั้น พระคำนี้  ก็คือพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นถ้อยคำของพระเจ้า  พระเจ้าให้มาช่วยเหลือเรา เหล่ามนุษย์

            ข้อ 2 บอกพระคำ หรือพระคริสต์นี้  อยู่กับพระเจ้าตั้งแต่ เริ่มต้นก่อนที่โลกจะเกิดขึ้น  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอยู่นี้ เกิดมาจากพระคำพระคริสต์ทั้งสิ้น  ไม่มีอะไรเลย ที่ไม่ได้เกิดมาจากพระคำ เห็นไหมครับ? เพราะฉะนั้น ผู้ที่ต้องการสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ขึ้นมา ก็คือพระบิดา พระบิดาต้องการอย่างนี้  ก็บอกให้พระเยซูคริสต์ ก็คือร่วมงานกับพระเยซูคริสต์ ให้พระเยซูคริสต์จัดการ สั่งการตามระบบ ผู้ที่ลงมือ คือพระวิญญาณ ลงมือสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย  เพราะฉะนั้น ตรีเอกานุภาพ คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ จึงร่วมกันสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา และในพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เรา” ตอนสร้างมนุษย์บอกว่าเราจะสร้างมนุษย์ให้เป็นเหมือนเรา … “เรา” คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์

            ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นอยู่นี้ เกิดมาจากพระเจ้าทั้งนั้น ไม่มีอะไรเลย  ที่ไม่ได้เกิดมาจากพระเจ้า พระคริสต์ เพราะฉะนั้น พระคริสต์ คือพระเจ้า ถูกไหม?  พระคริสต์ คือพระเจ้าผู้สร้าง และมีหน้าที่สั่งการดูแลให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า พระคัมภีร์บอกว่าพระคริสต์ทรงครอบครอง ควบคุมทุกอย่าง ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค พระคริสต์ทรงครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง  ควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่เริ่มต้น โลกใบนี้แล้ว  ตั้งแต่มนุษย์ยังไม่ตกลงไปในความบาป  พระคริสต์ก็ทรงครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง อยู่ในพระหัตถ์ของพระคริสต์ ก็คือพระเยซูคริสต์

            พระเยซู แปลว่าพระผู้มาช่วยให้เรารอด เพราะฉะนั้น จงมองให้เห็นเถิดว่าพระเยซูคริสต์ควบคุม ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง ยึดทุกสิ่งทุกอย่าง โดยพลังอำนาจ และชีวิตของพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ ทั้งโลกใบนี้ที่จับต้องมองเห็นได้ รวมทั้งโลกฝ่ายวิญญาณด้วย

            ข้อ 4 บอกว่าพระคำ คือพระคริสต์เป็นแหล่งแห่งชีวิต ที่เที่ยงแท้ ชีวิตนั้นได้นำความสว่างมาให้มนุษย์ พูดง่ายๆ ก็คือพระเยซูทรงเป็นแหล่งแห่งชีวิต ก็คือถ้าให้ยกตัวอย่างอย่างนี้ จะชัดขึ้น ก็คือพระเยซูทรงเป็นพลังอำนาจ เป็นชีวิตที่ให้กับบรรดาสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งหมด  พูดง่ายๆ ว่าสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างทั้งหมด รวมทั้งมนุษย์ด้วย  จำเป็นต้องได้รับชีวิต และพลังงานแห่งชีวิต และเรียกว่าความสว่างจากพระองค์ ถ้าพูดอย่างนี้ อาจจะไม่ค่อยเข้าใจ แต่ถ้ายกตัวอย่างอย่างนี้ จะเห็นชัดขึ้น เหมือนกับห้องนี้ ดูสวยใช่ไหม? สิ่งเหล่านี้มันสวยได้ เพราะว่ามันมีแสงสว่าง เรามองเห็น

            แสงสว่าง คือพระคริสต์ เอาแสงสว่างออกไป เห็นอะไรไหม?  ไม่เห็น ความสวยงามทั้งหมด  เราจะไม่เห็นเลย  พระองค์ทรงสร้างสิ่งสวยงามทั้งหมดเหล่านี้ขึ้นมา แต่ไม่มีใครเห็น มันไม่ปรากฎเลย จนกว่าพระองค์จะให้มีแสงสว่างมา  เห็น ใช่  มีอยู่จริงๆ

            หรือเปรียบกับเครื่องบินก็ได้ เครื่องบินสวย ออกแบบมาเป็นเครื่องบินไอพ่นอย่างดีเลย สวยงามเลย คนออกแบบ เขาออกแบบมาเรียบร้อยดีแล้ว  สวยอย่างไรก็ตามแต่ เขาออกแบบมาแล้วว่าต้องมีพลังงาน  หรือเรียกว่าชีวิตของมันอยู่ เขาเรียกว่ามีความสมบูรณ์ของสิ่งที่ถูกสร้าง และเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของเครื่องบินลำนั้น ที่เราอาจจะมองไม่เห็น  ก็คือน้ำมันเชื้อเพลิง ถ้าไม่มีน้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องบินลำนั้นมันก็ไร้ค่า มันก็จอดอยู่อย่างนั้นแหละ สวย แต่ไม่มีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้น พระองค์ คือแหล่งพลังงาน เป็นชีวิต เป็นน้ำมันเชื้อเพลิงของเครื่องบิน  เป็นเหมือนพลังงานไฟฟ้า สำหรับหลอดไฟ พระองค์ทรงสร้างหลอดไฟขึ้นมา  คือเราทั้งหลาย แล้วพระองค์ทรงให้พลังงานไฟฟ้า มันก็เป็นหลอดไฟที่มีความสว่าง

            พระองค์ทรงยกตัวอย่างว่าเราทั้งหลาย เหมือนตะเกียงที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมา  แต่มันจะจุดติดขึ้นมาได้ โดยต้องมีน้ำมัน น้ำมันต้องคู่กับตะเกียง  ตะเกียงเฉยๆ ไม่มีค่า ไร้ค่า  พูดง่ายๆ ก็คือขาดพระองค์ ก็ไม่มีประโยชน์ ก็ไร้ค่า พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น  ขาดพระเยซู พระคริสต์ ถ้อยคำที่เป็นพลังงาน เป็นชีวิต เป็นแสงสว่าง  มนุษย์ก็ไร้ค่า เรียกว่าตายอยู่

            เพราะฉะนั้น พระเยซูเข้ามาในโลกนี้ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ ไม่ใช่แค่อภัยความบาปผิดของมนุษย์ทั้งปวง  ได้เข้าไปอยู่ในสวรรค์เฉยๆ  แต่พระองค์เข้ามาให้พลังชีวิตกับเรา  เป็นแสงสว่างให้กับเรา  พระองค์เข้ามาอยู่ในเราเลย และเราอยู่ในพระองค์ มองเห็นภาพไหมครับว่าหลอดไฟ ต้องมีพลังงานเข้ามา  พอเป็นดวงสว่างเมื่อไรปุ๊บ เรามองไป เราไม่เห็น เราเห็นแต่หลอดไฟ แต่จริงๆ แล้วหลอดไฟและพลังงานนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน  เรากับพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน  อย่างนี้แหละ

            ข้อ 5 ได้บอกว่า “ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด”  พระเยซูคือความสว่าง แสดงว่าบนโลกใบนี้มีอะไรบางอย่างที่ปกคลุมอยู่ ทั้งโลกนี้อยู่ในความมืด  ความมืด คืออะไรก็ตามที่อยู่ตรงกันข้ามกับความสว่าง  “ความสว่างส่องเข้ามาในความมืด  แต่ความมืดไม่สามารถเอาชนะ ไม่สามารถเข้าใจ ไม่สามารถรับความสว่างนั้นได้  ก็คือไม่เข้าใจ ไม่รู้ ก็เลยปฏิเสธ … ปฏิเสธ คือเป็นศัตรูต่อต้าน ใครต่อต้าน โลกใบนี้ทั้งใบ  ที่อยู่ในความมืด  เห็นอะไรบางอย่างไหม? ต่อต้าน

            สิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง คือโลกใบนี้ทั้งใบ  ที่ตกลงไปในความมืด  พระองค์ทรงสร้างด้วยความรัก  แต่สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างด้วยความรักทั้งหมด ทั้งสิ่งที่มองเห็น และสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยนะ กลับปฏิเสธ ต่อต้านพระองค์ ผู้ทรงสร้างสิ่งเหล่านั้น ด้วยความรัก เพราะไม่รู้ความจริง  ถูกหลอก หลงไป หลุดออกไปจากพลังแห่งชีวิต คือพระคริสต์ หลุดออกไปจากแสงสว่าง ไปอยู่ในความมืด เมื่อไม่เข้าใจ ก็ต่อต้านพระองค์  ทั้งๆ ที่พระองค์จะเข้ามาช่วย

            บางทีเรานึกว่าต้องเป็นศัตรูกับพระเยซูคริสต์ด้วย ไม่ได้เป็นศัตรูในเชิงของความเกลียดชังอย่างนั้น  แต่เป็นศัตรูในลักษณะของ “ฉันอยากจะอยู่ของฉันอย่างนี้” เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นกับบรรพบุรุษของเรา คืออาดัมและเอวา คือปฏิเสธ พระองค์ผู้ทรงสร้าง ก็คือ …

            “ฉันอยากจะอยู่ด้วยตัวของฉันเอง ฉันอยากจะรับผิดชอบตัวฉันเอง ฉันจะรับผิดชอบทั้งดีและไม่ดี ฉันจะดูแลตัวเอง ในการกระทำดีและกระทำชั่ว ไม่พึ่งในพ่อแล้ว ฉันจะออกไป”

            นี่คือความหมายอย่างนั้น พูดง่ายๆ ว่าเหมือนกับครอบครัวเรา  เราเลี้ยงลูกมาด้วยความรัก ทะนุถนอมเลย พอเขาโตเป็นหนุ่มเป็นสาวปุ๊บ เขามาบอกเราว่า …

            “พ่อพ่อ แม่แม่ ลูกไปแล้วนะ ต่อไปนี้ ลูกจะอยู่ด้วยตนเองแล้ว พ่อแม่ไม่ต้องมาสอนแล้ว ไม่ต้องมายุ่ง ลูกจะไปพิสูจน์ตัวเองนอกบ้าน” … คล้ายๆ อย่างนั้นแหละ

            นี่คือการปฏิเสธความรัก ความหวังดีของผู้สร้าง พอมองเห็นไหมครับ?  เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นภาพของพระเยซูคริสต์มาตามหาพวกเรา เหมือนแกะหลงหาย มาตามง้อพวกเราให้กลับไป เราถูกหลอกแล้ว เรากำลังแย่แล้ว  เป็นลักษณะอย่างนี้ ทั้งๆ ที่พระองค์เป็นผู้สร้างเรานะ พระองค์มาเคาะประตูด้วยความรัก เพราะว่าพระองค์มีอำนาจ ฤทธิ์เดช พระองค์จะทำลายประตูเลยก็ได้ ไม่ต้องสนใจเราแล้ว  ไม่เคาะให้เปิดหรอก ไม่ต้องเปิดหรอก ฉันจะทำลายเข้าไปเลย ก็ได้  แต่พระองค์ไม่ทำอย่างนั้น  เพราะเป็นพระเจ้าแห่งความรัก เข้าใจเรา  แต่เราไม่เข้าใจพระองค์ เราปฏิเสธพระองค์

            ความสว่างเข้ามาในความมืด  แต่ความมืดไม่สามารถเอาชนะความสว่างได้  ไม่สามารถเข้าใจความสว่าง ปฏิเสธผู้สร้างเขา  ซึ่งมันเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต  ตั้งแต่ก่อนที่พระองค์จะทรงสร้างโลกใบนี้ด้วยซ้ำไป คือเกิดขึ้นในโลกวิญญาณกับสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง คือทูตสวรรค์

            ทูตสวรรค์ คือสิ่งมีชีวิต ที่พระเจ้าได้สร้างขึ้นมา ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ในพระคัมภีร์บอกว่าทรงสร้างด้วยความสวยงามทุกรูป ตามสถานะของแต่ละรูปที่จะใช้งาน คือลูซีเฟอร์  มีคาเอล  และกาเบียล มีอยู่ 3 รูปที่เป็นหัวหน้าทูตสวรรค์ มีตำแหน่งต่างๆ พระองค์ทรงสร้างด้วยความรัก ให้พลัง ให้อำนาจ ให้แสงสว่าง เป็นชีวิตของทูตสวรรค์ เป็นในลักษณะของทูตสวรรค์ แต่ละรูป ต้องขึ้นอยู่กับพระองค์ทั้งสิ้น  ปรากฏว่ามีอยู่รูปหนึ่งใน 3 รูปนี้ เกิดความเย่อหยิ่งขึ้นมา ก็เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับอาดัม ก็คือลูซีเฟอร์ อวดดี นึกว่าตัวเองแน่ บอกพระเยซูว่า …

            “ฉันจะออกมาเป็นเอกเทศ ฉันจะดูแลตัวเอง ฉันไม่ต้องการเธอ ฉันปฏิเสธพลังอำนาจของเธอ ชีวิตและแสงสว่างของเธอ ฉันไม่เอาแล้ว ฉันอยู่ด้วยตัวเองก็ได้”

            ทั้งๆ ที่สิ่งที่มีอยู่ทั้งหมดนั้น มาจากพระองค์เป็นผู้สร้างให้ เมื่อปฏิเสธพระองค์ ออกไปจากพระองค์ ขาดพระองค์ ก็คือขาดพลังงาน ขาดชีวิต ขาดแสงสว่าง ก็เลยตกกระป๋อง กลายเป็นทูตสวรรค์แห่งความมืด  เรียกว่าซาตาน  แล้วมันก็ไปหลอก ไม่ใช่ไปหลอกอาดัมและเอวาก่อน เพราะว่าอาดัมและเอวายังไม่ได้รับการทรงสร้างขึ้นมาเลย มันหลอกทูตสวรรค์ด้วยกันก่อน  ที่เป็นลูกน้องต่ำลงมา หลอกได้ไปจำนวนหนึ่ง  พระคัมภีร์บอกว่า 1 ใน 3 ของทูตสวรรค์ทั้งหมด สมมุติว่ามี 100 ก็เอาไป 33.33 รูป ไปเป็นสมุนของมัน  ไปเชื่อตามมัน  ก็คือไปปฏิเสธ เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ ผู้สร้างทูตสวรรค์เหล่านั้น  ทูตสวรรค์เหล่านั้น ก็ตกกระป๋องไปกับลูซีเฟอร์

            นี่แหละ ความมืดไม่สามารถที่จะเข้าใจความสว่างได้ และปฏิเสธ ก็คือถูกหลอกให้หลงไปตาม เหมือนกับที่เกิดขึ้นกับลูซีเฟอร์ และมาถึงอาดัมและเอวาก็ถูกหลอกเหมือนกัน หลอกให้ทำลักษณะเดียวกัน ก็คือปฏิเสธผู้สร้างเขา  ผู้ให้ชีวิตกับเขา ให้ความสว่างกับเขา ทำเหมือนลูซีเฟอร์เลย ทำเหมือนซาตานเลย คือ …

            “ฉันจะออกมาเป็นเอกเทศ ฉันจะเป็นตัวของฉันเอง ฉันจะพึ่งพาในการกระทำของตนเอง ฉันจะสร้างกฎของตัวเองขึ้นมา คือกฎแห่งการกระทำด้วยตนเอง”

            เรียกว่ากฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ ซึ่งทำไม่ได้ เพราะหารู้ไม่ว่าทั้งสิ้นนั้นมาจากแหล่งแห่งกำเนิด เกิดขึ้นมาโดยผู้สร้าง ก็คือพลังงานและชีวิต พูดง่ายๆ อาดัมและเอวากำลังบอกพระเจ้า บอกพระเยซูว่า …

            “ฉันจะออกมามีพลังชีวิตด้วยตัวเอง ฉันจะออกมาปั่นแสงสว่างด้วยตนเอง ฉันจะดูแลรับผิดชอบด้วยตัวเอง”

            พอออกมา ก็ไม่มีแสงสว่างแล้ว น้ำมันไม่มีแล้ว  ปั่นให้ตายก็ไม่ขึ้น  เข็นให้ตาย เครื่องบินก็ไม่ขึ้น  ปั่นให้ตาย หลอดไฟก็ริบหรี่ๆ เดี๋ยวก็ดับ เดี๋ยวก็บาป  ทำไม่ได้หรอก ก็เพราะว่าแหล่งพลังแห่งชีวิต คือพระเยซูคริสต์หายไป  ความสว่างหายไป  พระเยซูจึงมาทำให้เรากลับคืนสมบูรณ์ สู่สภาพดีเหมือนเดิม ก็คือความสว่างกลับมา แค่นั้นเอง ก็คือเอาความสว่างกลับมาเหมือนเดิม เราก็กลับเป็นเหมือนเดิม  เราก็ได้อยู่ในพระคริสต์ คืออยู่ในความสว่าง ตามหัวข้อที่เราเรียนกันวันนี้

            ทั้งสิ้น มาจากความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ ถูกหลอก ไม่สามารถเข้าใจสติปัญญา และความจริงของพระเยซูคริสต์ ของพระเจ้าได้นั่นเอง แค่นั้นไม่พอ  ไม่ใช่เฉพาะลูซีเฟอร์ ทูตสวรรค์ อาดัมหรือเอวาที่ปฏิเสธ ในข้อนี้ หมายถึงผู้ที่ปฏิเสธความสว่าง ไม่เข้าใจในความสว่างนั้น ยังมีอีกพวกหนึ่งที่ข้อพระคัมภีร์นี้เล็งไปถึง นอกจากมีพวกเหล่าทูตสวรรค์แล้ว  มีอาดัมและเอวา หมายถึงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์แล้ว ตรงนี้เล็งไปถึงชนชาติของพระองค์เอง ก็คือชาวยิว ประชากรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงรัก ในอดีตรักมากกว่าชาวต่างชาติ  เพราะเข้าไปใกล้ชิดมากเลย  ไปเตรียมแผนการต่างๆ ไว้อย่างดีเลย ไปช่วยเหลือ ปรากฏพระองค์เองให้กับพวกเขาได้รู้จักพระองค์ ตั้งแต่หลายพันปีก่อน ตั้งแต่บรรพบุรุษของเขา แล้วก็ค่อยๆ นำพาพวกเขามาเป็นพันๆ ปีเลย เพื่อให้เกียรติเขาว่าพระเจ้าผู้สร้าง คือพระมาซีฮาห์ พระเยซูคริสต์จะมาเกิดในเผ่าพันธุ์ ชนชาติของเขา  เขาเดินอยู่ในถิ่นทุรกันดาร หรือบนโลกใบนี้ หลายพันปีกับพระเจ้าผู้ทรงสร้าง ซึ่งต่างชาติไม่มี พระเจ้ารักเขาขนาดไหน? เตรียมให้เขาดีขนาดไหน? ให้พระเยซูคริสต์มาเกิดในเขา ปรากฏว่าพอพระองค์มาเกิด ทำความเสียใจให้กับผู้สร้างเหมือนเดิม เหมือนลูซีเฟอร์ …

            “ไม่เอา ฉันไม่เอา ฉันปฏิเสธ ฉันต่อต้าน”

            ทำไม? ในนี้บอก เพราะไม่เข้าใจ พระเจ้าเมตตาขนาดไหน?  ไม่ได้โกรธเคืองเลย บอกว่าเพราะความไม่เข้าใจ ไม่สามารถรับความสว่างนั้นได้ ไม่สามารถรับเอาความจริงที่พระเยซูมาประกาศข่าวดีให้กับเขาได้  ทั้งๆ ที่พระองค์มาช่วยเหลือน่าจะเป็นพวกแรกที่ได้รับเลย  เพราะว่าพระเจ้านำพาเผ่าพันธุ์ ชนชาติเขามาใกล้ชิด อย่างสนิทเลย เดี๋ยวก็มีผู้เผยพระวจนะ เดี๋ยวก็มีอัศจรรย์ตรงนี้ เยอะไปหมดเลย  เป็นหลายๆ พันปี  ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด  พอพระเยซูคริสต์มาเกิด ไม่เอา แล้วพระเยซูคริสต์เลยต้องไปให้ชนต่างชาติรับพระเยซูคริสต์ก่อนเยอะแยะเลย ทั้งๆ ที่ชาวยิวควรจะได้รับก่อน มันน่าเสียใจมากเลย แต่พระเจ้าเต็มไปด้วยความรัก  พระเจ้าป็นความรัก เป็นความอดทนนาน  พระเจ้ามีเมตตาตลอด แม้ว่ามนุษย์จะปฏิเสธพระองค์อย่างไร? ก็ตาม

            ข้อ 10 บอกว่า “พระองค์ ก็คือพระคริสต์ได้อยู่ในโลกนี้  แต่โลกนี้กลับไม่รู้จักพระองค์ ทั้งๆ ที่โลกนี้ถูกสร้างผ่านทางพระองค์”

            เห็นหรือยัง? โลกนี้ทั้งใบ คือมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ ทั้งทูตสวรรค์บนโลกใบนี้ ทั้งอิสราเอลที่พระองค์ทรงประคบประหงมมาตั้งแต่เริ่มต้น  ไม่เข้าใจ ปฏิเสธพระองค์ ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงเป็นผู้สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาทั้งสิ้นเลย  ยอห์น 1:11 ต่อไป …

        ยอห์น 1:11 “เมื่อพระองค์มาถึงบ้านเมืองของพระองค์เอง คนของพระองค์ก็ยังไม่ยอมรับพระองค์”

            ตรงนี้หมายถึงเมื่อพระองค์มาถึงบ้านเมืองของพระองค์ คือโลกใบนี้ ที่มวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างไว้ มวลมนุษย์ที่เป็นของพระองค์ พระองค์เป็นเจ้าของ พระองค์มาถึง มวลมนุษย์บอกใคร?  เจ้าของบ้านนะ นี่คือใคร? ไม่รู้จักพระองค์ คิดดูความอดทนของพระองค์ขนาดไหน?  ความรักของพระองค์มีมากขนาดไหน?  แล้วยังหมายถึงใครได้อีก หมายถึงตะกี้ที่บอก นอกจากมนุษย์ทั้งมวล ทุกๆ คนบนโลกใบนี้แล้ว ยังหมายถึงชนชาติยิวเป็นพิเศษ โดยเฉพาะชนชาติยิวที่ฉันประคบประหงมมาตลอดหลายพันปี ไม่รู้จักฉัน บอกมาตลอดเป็นพันๆ ปี  ผ่านทางผู้เผยพระวจนะมาตลอด  อัศจรรย์มาตลอด จนกระทั่งถึงวันนี้ ยังปฏิเสธฉันอยู่ และหมายถึงใครอีก?

            หมายถึงอันดับที่ 3 เขาว่าหมายถึงอันนี้ได้ด้วย ก็คือตอนที่พระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว แล้วก็เริ่มต้นกระทำการงาน ประกาศข่าวประเสริฐ สำแดงตนเองเป็นพระเจ้า พระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ตอนอายุ 30 เริ่มต้นนั้น พระองค์ประกาศที่บ้านของพระองค์ก่อน คือบ้านเมืองของพระองค์ที่นาซาเร็ธ แคว้นกาลิลีก่อน ซึ่งพระองค์เกิดที่นั่น  ไม่ได้เกิดที่นั่นหรอก แต่ว่าเจริญเติบโตที่นั่น  ท่ามกลางคนที่นั่นเห็นพระองค์เป็นมนุษย์ธรรมดา พอถึงวาระที่พระองค์จะทรงสำแดงเป็นพระเจ้ามาช่วยบรรดามนุษย์ให้รอดพ้นจากความมืดนี้แล้ว  เริ่มต้นประกาศ ทำอัศจรรย์ คนแถวๆ หมู่บ้านไม่เชื่อ

            “นี่ลูกช่างไม้ จะเป็นพระเจ้าได้อย่างไร?”

            หมายถึงอย่างนั้นด้วย คือกำลังพูดถึงความเป็นจริงที่พระเยซูเป็นใคร? ยิ่งใหญ่ขนาดไหน?  แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ มาช่วยเหลือเราทั้งหลาย แล้วเราทำกับพระองค์อย่างไร? นี่คือความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่มีให้กับบรรดามนุษยชาติ ที่สามารถที่จะสำแดงออกมาในข้อพระคัมภีร์ได้ ต่อไปยอห์น 1:12-14 …

        ยอห์น 1:12-14 “12 แต่ส่วนทุกๆ คน ที่ยอมรับและไว้วางใจพระองค์ พระองค์ให้สิทธิ์พวกเขา เป็นลูกของพระเจ้า 13 ลูกของพระเจ้านี้ ไม่ใช่ลูกที่เกิดมาจากเลือดเนื้อ หรือจากความต้องการของร่างกาย หรือจากความตั้งใจของพ่อที่เป็นมนุษย์ แต่เกิดมาจากพระเจ้า 14 พระคำ​ (พระคริสต์) ได้​กลาย​มา​เป็น​มนุษย์ และ​ใช้​ชีวิต​(ในสถานะมนุษย์) อยู่​ท่ามกลาง​พวกเรา พระคำ​ (พระคริสต์) นั้น​เต็ม​ไป​ด้วย ​ความ​เมตตา​กรุณา​และ​ความจริง พวก​เรา ​ได้​เห็น​ความยิ่งใหญ่​ของ​พระองค์ ซึ่ง​เป็น​ความยิ่งใหญ่​ของ​พระบุตร​เพียง​องค์​เดียว​ของ​พระบิดา”

            พระองค์เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา เป็นความจริง เราได้เรียนรู้เมื่อตะกี้นี้ ตามถ้อยคำเมื่อสักครู่นี้ว่าความอดทนของพระองค์ขนาดไหน?  ความเข้าใจของพระองค์ในการปฏิเสธ การต่อต้าน การเป็นศัตรูที่มนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นมาด้วยพระองค์เอง ต่อต้าน  ปฏิเสธพระองค์ ถึงขนาดข่มเหง ทำร้าย ถึงขนาดฆ่าพระองค์ให้ตาย  ด้วยความเกลียดชัง

            แต่ส่วนทุกคนที่ยอมรับ และไว้วางใจในพระองค์ พระองค์ได้ให้สิทธิกับเขาเป็นลูกของพระเจ้า  คนจำนวนมากมายไม่เชื่อ ปฏิเสธพระองค์ แต่ใครก็ตามในมวลมนุษย์เหล่านี้ ที่ยังไม่รับพระองค์ ที่ยังไม่รู้จักพระองค์ แต่ส่วนคนที่ยอมรับ และไว้ใจในพระองค์ ก็คือไว้ใจในถ้อยคำของพระองค์ พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นใคร?  เป็นพระบุตรของพระเจ้า  เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป  มาสู่ชีวิต เป็นแสงสว่างที่ส่องมาบนโลกใบนี้  ความมืดมาช่วย  ใครก็ตามที่ยอมรับพระองค์ว่าพระองค์ทรงเป็นทางนั้น เป็นทางไปหาพระบิดา  ไปสู่สวรรค์ได้  คนนั้นก็ได้สิทธิ ได้พลังงาน แห่งชีวิต สิทธิตัวนี้ หมายถึง Power หมายถึงฤทธิ์อำนาจ หรือพลังงานอำนาจ ที่ตะกี้ผมยกตัวอย่าง และรวมถึงชีวิต เข้าไปในชีวิตของเขา  ก็เหมือนดวงไฟที่มีพลังงาน จากโรงงานไฟฟ้าวิ่งมาปุ๊บ มันก็ติดเป็นดวงสว่างออกมา ก็คือความรอด กลายมาเป็นลูกของพระองค์ เพราะเป็นความสว่างเหมือนพระเจ้า  โดยได้รับพลังงานชีวิตจากพระองค์ แสงสว่างจากพระองค์ เมื่อมาจากพระองค์ ก็เป็นเหมือนพระองค์ เป็นเซลเดียวกัน เซลในทางฝ่ายวิญญาณ  คือเซลพลังงานของพระคำ คือพระคริสต์ เป็นชีวิตของพระคำ คือพระคริสต์ เป็นแสงสว่างของพระคำ คือพระคริสต์ พูดง่ายๆ พระคริสต์เป็นชีวิต เป็นพลัง เป็นแสงสว่าง เป็นตัวเราที่ยอมรับพระองค์

            ยอมรับ หมายถึงเชื่อในข่าวดี  เมื่อเชื่อในข่าวดี ก็คือเปิดประตูใจ ที่พระองค์มาเคาะหัวใจของเราตลอดเวลา ขอให้พระองค์เข้ามา  เรายอมเปิดใจต้อนรับ พอเปิดใจ พระองค์ก็เข้ามา

            ลูกของพระเจ้านี้ ไม่ใช่ลูกที่เกิดจากเลือดเนื้อ หรือความต้องการของร่างกาย  หรือจากความตั้งใจของพ่อที่เป็นมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า  นี่กำลังเทียบให้เห็นว่าบังเกิดใหม่ในวิญญาณ เห็นไหม? เป็นโลกวิญญาณ พระคำพระคริสต์นี้ ได้กลายมาเป็นมนุษย์ พระคำพระคริสต์ ก็คือพระเยซูคริสต์ได้กลายมาเป็นมนุษย์  จากวิญญาณ ซึ่งเป็นพระบุตรของพระเจ้า ได้มาจุติ เกิดในหญิงพรหมจารี ชื่อแมรี่  เรียกว่ามาเกิดเป็นมนุษย์

            พระเจ้ายอมมาเกิดเป็นมนุษย์  และใช้ชีวิต แบบสถานะมนุษย์ อยู่ท่ามกลางพวกเรา ก็คือท่ามกลางพวกคนที่ต่อต้าน ก็คือมนุษย์บนโลกใบนี้  พระคำนั้น เต็มไปด้วยความเมตตา กรุณา และความจริง เห็นหรือยัง? นี่กำลังสรุปให้เห็นว่าพระเยซูมา ทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด มาก่อนที่จะมีอะไรทั้งปวงเลย  แล้วพระองค์ถูกทำให้เป็นอย่างนี้  นี่คือพระเจ้าแห่งความรักจริงๆ ไม่มีการโกรธ ไม่มีการโทษ ไม่มีการโมโห เข้าใจเราหมดทุกอย่าง  ทั้งๆ ที่ได้รับการตอบสนองจากพวกเรา และทูตสวรรค์อย่างนี้

            ตรงนี้จึงเขียนคำว่าพระองค์เต็มไปด้วยความเมตตา กรุณาและความจริง พวกเราได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ นี่แหละ คือความยิ่งใหญ่ตรงนี้ ในความรักของพระองค์ ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์ ท่ามกลางเหล่าสาวกในช่วงแรกๆ อันนั้นเป็นแค่น้ำจิ้ม แต่คนเหล่านี้ อัครทูตเหล่านี้  ที่หลังจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามา ทำให้เขาได้บังเกิดใหม่แล้ว  เขาได้รับรู้ความจริง เหมือนกับเราที่กำลังรับรู้ความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณในขณะนี้ เพราะเราเกิดใหม่แล้ว วิญญาณเราสาารถรับรู้เรื่องราว  สติปัญญา ความจริงจากพระเจ้าได้แล้ว เราจึงเข้าใจพระเจ้ามากขึ้น

            อัครทูตเหล่านี้ เขาก็เข้าใจพระเจ้ามากขึ้น เขาจึงเขียนคำนี้ว่า … “เราได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์” คือความรัก  ยิ่งใหญ่ที่เห็นด้วยตา ที่ทำการอัศจรรย์ มันไม่มีอะไรหรอก ซาตานหรืออะไรต่างๆ มันยังทำได้บ้าง ซึ่งเป็นความยิ่งใหญ่ของพระเยซู พระบุตรของพระองค์ พระบิดาส่งลงมา  พระบุตร คือพระคำ เป็นผู้สร้างสรรพสิ่งเหล่านี้ ด้วยตัวของพระองค์เอง ทรงฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่  ครอบครองทุกสิ่งทุกอย่าง  ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในมือของพระองค์ พูดง่ายๆ จะกำก็ตาย จะคายก็รอด แล้วพระองค์ตัดสินใจอย่างนี้  ยอมหมดทุกอย่างเลย ทั้งๆ ที่พระองค์บังคับอะไรก็ได้หมดเลย แต่ยอม พระบุตรองค์เดียวของพระบิดา คือพระเยซูคริสต์ ได้ทำความยิ่งใหญ่ คือยอมเสียสละ เริ่มต้นจากเสียสละสถานะพระเจ้า ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ต่ำต้อย เห็นสภาพหนักแล้ว ลงมายังถูกต่อต้าน  ไม่มีชิ้นดีเลย

            เพราะฉะนั้น เราจึงได้รู้ว่าถ้อยคำเหล่านี้ ทำให้เราได้เห็นว่าพระคำ ก็คือพระคริสต์ ผู้ทรงเต็มไปด้วยความรักอันยิ่งใหญ่ เป็นพระบุตรของพระเจ้า ได้ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อว่ามนุษย์ทั้งหลาย ทั้งหมด  ที่ตายไปแล้วในความบาป จะได้เกิดใหม่  มาเป็นลูกของพระเจ้า

            พระองค์  พระบุตรของพระเจ้า  หรือพระคริสต์ผู้ครอบครองสรรพสิ่งทั้งหลาย ผู้ทรงสร้าง สรรพสิ่งทั้งหลาย ได้ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อยกว่าเยอะเลย  เพื่อว่ามนุษย์ที่ต่ำต้อยนั้น จะได้สามารถเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าได้ สลับที่กัน

            พระคำ คือพระคริสต์ คือพระเจ้าพระบุตร  คือแสงสว่างของพระเจ้า  เป็นพระเจ้า เป็นแสงสว่าง เป็นชีวิต  เป็นพลังงานอำนาจ ให้กำเนิดสรรพสิ่งทั้งหลาย ทั้งหมด  ทั้งในโลกที่มองเห็น และโลกที่มองไม่เห็น  คือทั้งในโลกวัตถุและในโลกวิญญาณ  ผู้เป็นศูนย์กลางของสิ่งทั้งมวลในมหาจักรวาลนี้ ทั้งโลกที่มองเห็นและมองไม่เห็น ผู้เป็นศูนย์กลางที่ยิ่งใหญ่  ตอนนี้ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์   เพื่อว่าเราจะได้มาเป็นลูกของพระเจ้า  และตอนนี้ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดผู้นี้อยู่ที่ไหน? ผู้เป็นแสงสว่าง เป็นพลังอำนาจ เป็นพระบุตรของพระเจ้า  เป็นพระคำ ตอนนี้อยู่ในเราทั้งหลาย ผู้เชื่อศรัทธา  พระเจ้าผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่เรากำลังเล่ากันมาตามพระคัมภีร์ เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ เห็นความรัก  ความอดทนของพระองค์ตอนนี้ อยู่ในเราทั้งหลาย ผู้เชื่อ มันเหลือเชื่อเลยนะ  แต่มันเป็นจริงไปแล้ว

            ก็เลยอยากจะบอกว่าสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ยังต่อต้าน ไม่ว่าจะต่อต้านมากหรือน้อยก็ตาม เมื่อยังไม่ยอมรับแสงสว่าง ไม่ยอมรับคำเชิญของพระเยซู ไม่ยอมรับพระเยซูคริสต์ ก็มีค่าเท่ากับกำลังต่อต้าน เพราะว่าอยู่ในโลกแห่งความมืด โลกแห่งความมืดต่อต้านความสว่าง ไม่มีทางที่จะเขากันได้เลย 1 ยอห์น 1:5  ปิดด้วยข้อความนี้ว่า …

        1 ยอห์น 1:5 “นี่เป็นเรื่องราว ซึ่งเราได้ยินจากพระองค์ และประกาศแก่ท่าน คือพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง ในพระองค์ไม่มีความมืดเลย”

            “พระเจ้าทรงเป็นความสว่าง ในพระองค์ไม่มีความมืดเลย” มันตรงกันข้ามเลย ถ้าเป็นพระเยซูคริสต์ก็จะเต็มไปด้วยความสว่าง เต็มไปด้วยความรัก ความดีงาม  แต่ถ้าไม่ใช่พระเยซูคริสต์ ไม่ใช่แสงสว่าง ก็เป็นความชั่วร้ายทั้งสิ้น อยู่ที่เราตัดสินใจว่าเราจะอยู่ฝ่ายไหน? สว่างหรือมืด พระเจ้าเป็นความสว่าง เป็นความรัก เป็นความดีงาม ในพระองค์ไม่มีความมืด  ไม่มีความชั่วร้ายทั้งปวงเลย  ไม่มีความเกลียดชัง ไม่มีการขโมย ฆ่า และทำลาย ไม่มีการงอนกับเรา ไม่มีการมาทารุณจิตใจเรา ไม่มีการมาบังคับเรา ไม่มีการมาวางแผนชั่วร้ายให้กับเรา มีแต่ความรัก ความเมตตา ความกรุณา ความดีงามทั้งสิ้น เพราะว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งความรัก เป็นพระเจ้าแห่งความสว่าง  เป็นพระเจ้าแห่งความดีงาม “เป็น” ไม่ใช่พระองค์ “มี” พระองค์เป็นอย่างนั้น เมื่อเป็นอย่างนั้น  พระองค์ไม่มีอะไรเลยที่เป็นความมืด ก็คือไม่มีการขโมย ฆ่า และทำลาย  ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอะไรต่างๆ  อยู่ในพระองค์เลย  พระองค์อดทนได้ทุกอย่าง  พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ความเชื่อในพระคริสต์เป็นของประทาน แต่การเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นสิ่งที่ท่านต้อง “ตัดสินใจ”

            คริสเตียน! ท่านบังเกิดใหม่แล้ว ด้วยความเชื่ออันบริสุทธิ์ในพระคริสต์ ที่พระเจ้าทรงประทานให้ท่านในวิญญาณ  เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นอัศจรรย์ฤทธิ์เดชของพระเจ้า มนุษย์ที่เป็นคนบาปอย่างเรา ไม่สามารถมีความเชื่ออันบริสุทธิ์นี้ได้

        1 เปโตร 1:3-9 …  “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และ (ได้เป็นทายาท) เข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย  หรือเลือนหายไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว เพื่อพวกท่าน 5 โดยความเชื่อ (ในพระเยซู)   พระเจ้าได้ทรงปกป้องพวกท่านไว้ ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ จนถึงความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งพร้อมแล้วที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย 6 พวกท่านชื่นชมยินดียิ่งนักในเรื่องนี้ แม้ขณะนี้  ท่านต้องท้อใจ เครียด และทนความทุกข์โศกชั่วระยะหนึ่ง จากการทดลองสารพัดอย่าง 7 เพื่อทดสอบความเชื่อแท้ของท่าน (ทดสอบผลของความเชื่อนี้) ว่าล้ำค่ายิ่งกว่าทองคำบริสุทธิ์ ซึ่งสามารถเสื่อมสลายไปได้ แม้ได้หลอมให้บริสุทธิ์แล้วด้วยไฟ ผลของความเชื่อนี้ ก่อให้เกิดคำสรรเสริญ  เกียรติ  และศักดิ์ศรี  ในการดำเนินชีวิตของท่าน  เมื่อพระเยซูคริสต์ (ผู้สถิตอยู่ในท่าน) ปรากฏ (ผ่านทางความประพฤติของท่าน) 8 แม้ท่านไม่เห็นพระองค์ แต่ก็รักพระองค์ แม้ขณะนี้ท่านไม่ได้เห็นพระองค์ แต่ก็เชื่อในพระองค์ และเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี ในชัยชนะอันยิ่งใหญ่  มหัศจรรย์สุดจะพรรณนา 9 ท่านได้รับผลของความเชื่อของท่าน คือวิญญาณของท่านได้รับความรอดแล้ว”

            พระเจ้าอวยพรครับ