วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1480 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  28  กรกฎาคม  2024

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 5

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 2 …

        กาลาเทีย 2:15-16 “15 เราซึ่งเป็นคนยิวโดยกำเนิด ไม่ใช่ ‘คนบาปต่างชาติ’ 16 ยังรู้ว่าไม่มีใครถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมได้  โดยการถือรักษาบทบัญญัติ แต่เป็นได้โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น เราเองจึงเชื่อในพระเยซูคริสต์เพื่อจะได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อในพระคริสต์ ไม่ใช่โดยการทำตามบทบัญญัติ เพราะว่าไม่มีใครถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมได้โดยการทำตามบทบัญญัติเลย”

            อาจารย์เปาโลชัดมาก ไม่มีใครสามารถถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม โดยการประพฤติปฏิบัติตามบทบัญญัติ เพราะบทบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ หมายความว่าใครก็ตามที่จะเป็นผู้ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้าได้ ต้องรักษาบัญญัติทุกข้อที่พระเจ้าเขียนไว้ ตั้งแต่สมัยโมเสส 600 กว่าข้อ ต้องถือรักษา จุดหนึ่ง ขีดหนึ่ง ไม่สามารถที่จะพลาดได้ และก็รักษาไม่เพียงแต่เป็นเทศกาล แต่การรักษากฎบัญญัติตรงนี้ หมายความว่าทุกเวลา ทุกวินาทีตลอดชีวิตของคนๆ นั้น ซึ่งไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถที่จะทำได้เลย อย่างที่พระเจ้าบอก มนุษย์ไม่มีคนไหนสามารถเป็นผู้ชอบธรรม โดยการกระทำ หรือโดยการรักษาบทบัญญัติด้วยตัวเองได้

            ฉะนั้น นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ทำไมพระเจ้าจึงต้องส่งพระเยซูคริสต์ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยพวกเราทั้งหลาย ให้สามารถที่จะเป็นผู้ชอบธรรม โดยผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ไม่มีใครสามารถทำตามกฎบัญญัติ  เพื่อที่จะเป็นผู้ชอบธรรมได้  ตรงนี้ชัดเจนมาก ถ้าโดยการประพฤติ ก็เท่ากับว่าเราไม่ได้พึ่งพระเจ้า หล่น พ้นจากพระคุณ ฉะนั้น การประพฤติกับพระคุณ มันต้องแยกกัน ถ้าเรารับพระคุณจากพระเจ้า หมายความว่าพระองค์ทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว บนไม้กางเขน ที่พระเยซูประกาศว่าสำเร็จแล้ว หมายความว่าแผนการไถ่มนุษยชาติ ที่พระเจ้าพระบิดาวางไว้ ตั้งแต่ปฐมกาล ได้ถูกทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ สำเร็จ โดยพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว

            ฉะนั้น จากนี้ต่อไป วันที่พระเยซูสิ้นพระชนม์และถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตาย คนยิวก็ไม่สามารถที่จะทำตามกฎเดิมได้อีกต่อไป ซึ่งกฎเดิมที่พระเจ้าตั้งไว้สำหรับคนยิว มันเป็นเงา ที่พระเจ้าให้รักษาไว้ก่อน เพื่อรอวันที่พระเจ้าจะส่งพระผู้ช่วยให้รอด คือพระเมซิยาห์มาให้กับมนุษยชาติ เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดมาแล้ว กฎระเบียบต่างๆ  ที่พระเจ้าได้ตั้งไว้ตั้งแต่ยุคสมัยพระคัมภีร์เดิม ตั้งแต่โมเสส อับราฮัม ยาวมาจนถึงวันที่พระเยซูคริสต์ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ กฎเหล่านั้น ได้ถูกยกเลิกไปเรียบร้อยแล้ว  โดยที่พระเยซูคริสต์ พระองค์ได้ตั้งกฎใหม่ขึ้น

            กฎใหม่ที่พระเยซูคริสต์ตั้งขึ้นมา ก็คือใครก็ตามที่ได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และเปิดใจยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามา เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนที่ไม่มีใครนับหน้าถือตา เป็นใครก็ได้ เดินตามถนนหนทาง ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีอะไรเลย แต่คนนั้นได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คนได้เข้ามาอยู่ในพระองค์ และได้เข้ามารับสถานะใหม่ในโลกวิญญาณของผู้นั้น ก็คือได้เข้ามาเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  ได้เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ ได้เข้ามารับมรดกกับพระเยซูคริสต์ โดยเป็นทายาทร่วมกัน ได้เข้ามานั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว แล้วพวกเราผู้เชื่อทุกคน ก็ได้รับพระพรนี้เรียบร้อยไปแล้วด้วย เราไม่ต้องรอว่าวิญญาณเราออกจากร่าง เราค่อยไปอยู่ในสวรรค์

            ซึ่งความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราบังเกิดใหม่ วิญญาณเก่าที่เป็นบาปของเรา ได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เราได้รับวิญญาณใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย แล้วพระเจ้าได้ชำระร่างกายของเรา ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คือร่างกายยังเป็นร่างกายเดิม ที่วันหนึ่ง ก็ต้องตาย ต่อให้เราแข็งแรงขนาดไหน ถึงเวลา เราก็ต้องตายจากโลกนี้ไป วิญญาณเราออกจากร่าง เราต้องไปสวมร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว

            ฉะนั้น ความหวังใจของผู้เชื่อขณะนี้ ก็คือพวกเรารอคอยว่าเมื่อไรที่พระเจ้าจะบอกว่า …

            “วราพร งานเธอสำเร็จแล้ว กลับบ้านได้”

            ทุกคนรอคำนี้  และเมื่องานเราสำเร็จแล้ว พระเจ้า พระเยซูคริสต์ก็จะมารับวิญญาณของเรา ไปอยู่กับพระองค์ ไปสวมร่างกายใหม่ นี่คือความหวังใจของผู้เชื่อทุกคน เมื่อเราชัดเจนในเรื่องนี้ปุ๊บ เราเป็นผู้ชอบธรรมตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป ตรงนี้หลายคน ยังคิดว่าตัวเองยังเป็นคนบาปอยู่ มีใครคิดว่าตัวเองยังเป็นคนบาปอยู่ไหม?  ถ้าเราไม่เป็นคนบาป แล้วทำไมเรายังทำบาปอยู่ล่ะ  เราเป็นคนบาปแน่ๆ เลย

            ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราว่าเราไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว ตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แต่เราเป็นผู้ชอบธรรมที่บางครั้งเผลอไปทำบาป มันต่างกันมากเลยนะว่าเราเป็นคนบาป เกิดมาเป็นคนบาปตั้งแต่ก่อนเชื่อพระเจ้า พอเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราเกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม

            การเป็นผู้ชอบธรรม หมายความว่าเรามีโอกาสเผลอไปทำบาปได้ แต่ไม่ว่าผู้เชื่อจะทำบาปมากน้อยขนาดไหน? ก็ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะของเรา จากการเป็นผู้ชอบธรรมไปกลายเป็นคนบาปได้ อันนี้ต้องชัดเจนเลย  ถ้าไม่ชัดเจน เราก็จะถูกหลอก เวลาเราเผลอทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เวลาเผลอไปนินทาใคร? หรือเวลาเราเผลอไปโกรธใคร? เราเผลอไปตวาดใคร? หรือเผลอแอบคิดไม่ดีกับใคร? เราก็จะ …           

            “แย่แล้ว เราเป็นคนบาป เราทำผิดตรงนี้ เราต้องสารภาพบาปกับพระเจ้า”

            ซึ่งเมื่อก่อนเราถูกสอนมา ดิฉันก็สอนด้วย ดิฉันสอนถ้อยคำของพระเจ้ามา 30 กว่าปี แล้วเราก็สอนว่าคริสเตียนต้องสารภาพบาป นั่นเป็นความเชื่อ ที่เมื่อก่อนคิดว่าเรายังเป็นคนบาปอยู่ เราไม่ชัดเจนในความจริงที่พระเจ้าบอกเราว่าพระเจ้าปลดปล่อยเราให้เป็นไทแล้ว คนบาปคนเดิมที่อยู่ในอาดัมของเราได้ตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เราไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว เมื่อเราไม่ได้เป็นคนบาป เราจะเอาบาปตรงไหน? ไปสารภาพกับพระเจ้า พี่น้องคิดดีๆ ว่าถ้าเราไม่ได้เป็นคนบาป มันไม่มีบาป

            พระเจ้าบอกว่า …  “เธอไม่มีบาป  เธอเป็นเหมือนฉัน เธอสะอาด เธอบริสุทธิ์ เธอชอบธรรม”

            แล้วเราก็บอกว่า … “พระองค์เจ้าข้า ลูกเป็นคนบาป ขอยกโทษให้ลูกด้วย”

            มันขัดไหม? ขัดกับถ้อยคำของพระเจ้า ซึ่งเมื่อเราอธิษฐานแบบนั้นปุ๊บ

            พระเยซูก็คงนั่งงง … “ทำอะไรลูก ฉันยกโทษให้เธอหมดแล้ว ไม่ต้องมาสารภาพบาป”

            แต่คริสเตียน ถ้าคิดว่าอยากจะสารภาพ มันเกิดความเคยชิน เมื่อก่อนดิฉันสอน แล้วดิฉันก็อธิษฐานด้วย … “พระองค์เจ้าข้า ขอยกโทษความผิดบาปให้กับลูก เมื่อกี้ลูกลืมไป ลูกไปตวาดคนโน้น”

            พอตกกลางคืน ดิฉันก็จะอธิษฐาน … “พระองค์เจ้าข้า ขอพระองค์ทรงช่วยเหลือ ยกโทษความผิดบาปให้กับลูกด้วย ทั้งความผิดที่ลูกตั้งใจทำ และไม่ได้ตั้งใจทำ หรือความบาปบางอันที่ลูกลืมไปแล้ว ตั้งแต่ตอนเช้าว่าลูกทำอะไรไป ตลอด 16 ชั่วโมง 8 ชั่วโมง ทำอะไรไปบ้าง นึกไม่ออก นึกไม่ทัน จำไม่ได้ อันที่จำไม่ได้ขอพระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย”

            เมื่อก่อนอธิษฐานแบบนี้จริงๆ แล้วไม่ใช่อธิษฐานคนเดียว ไปสอนคนอื่นอธิษฐานด้วย ซึ่งมันขัดกับความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า เราขอบคุณพระเจ้า เมื่อพระองค์เปิดตาใจ ให้เราเห็นความจริงตรงนี้ เราจะไม่ถูกหลอกอีกต่อไป คริสเตียนจะสารภาพได้อย่างเดียว ไม่ใช่สารภาพบาป เราสารภาพบาปวันแรกที่เราเข้ามาหาพระเจ้า …

            “พระองค์เจ้าข้า ลูกเป็นคนบาป ลูกต้องการการช่วยเหลือ ขอเมตตา ช่วยเหลือลูกด้วย”

            แล้วเมื่อเราอธิษฐานอย่างนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็จะวิ่งเข้ามา  ทำขบวนการของพระองค์ ซึ่งเราไม่รู้เรื่องเลย วันที่เราอธิษฐานรับเชื่อพระเจ้า มันเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่ามันมีขบวนการหนึ่งที่มหัศจรรย์มากเกิดขึ้นในวิญญาณของเรา ซึ่งเราไม่รับรู้ เราสัมผัสไม่ได้  เราจับต้องไม่ได้  แต่ความจริง คือพระเจ้าทำการงานของพระองค์ พระวิญญาณของพระเจ้าได้นำเอาวิญญาณเก่าที่เป็นบาปของเราอยู่ในอาดัม เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ และได้นำไปตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ตามที่อาจารย์เปาโลบอกว่า …

            “ข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป ชีวิต ณ เวลานี้ ที่เราเป็นอยู่ ก็คือเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ ชีวิตเก่าเราตายไปแล้ว”

            เมื่อชีวิตเก่าของเราที่เป็นบาปตาย เราปลุกมันขึ้นมาไม่ได้ มันตายแล้ว ปลุกขึ้นมา เพื่อที่จะทำบาป มันเป็นไปไม่ได้ พระเจ้าบอกว่า ณ เวลานี้ ผู้เชื่อทุกคน มีวิญญาณใหม่ ที่เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเจ้า วิญญาณเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า อยู่ในสถานะที่พระเจ้ารับได้ ถ้าเรายังเป็นคนบาปอยู่ พระเจ้ารับเราไม่ได้ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสถิตอยู่ในเราไม่ได้ พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ อยู่กับความบาปไม่ได้

            ฉะนั้น เมื่อพระเจ้าสามารถเข้ามาสถิตอยู่ในเราได้ แปลว่าเราไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว  เราเป็นผู้ชอบธรรม  พระเยซูคริสต์ได้ถวายเราเป็นเครื่องบูชาให้กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ผ่านทางพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขน พระเจ้าทำสำเร็จแล้ว แล้วเราไม่จำเป็นที่จะถูกหลอกอีกต่อไปว่าทุกวันเรายังคงต้องสารภาพบาปอยู่

            ถ้าอย่างนั้น เมื่อเราทำผิดทำบาป เราทำอย่างไร? ทุกคนคงอยากจะถามว่า … “ถ้าสารภาพไม่ได้ แล้วถ้าฉันทำผิด ฉันจะอธิษฐานกับพระเจ้าแบบไหน?”

            เราอธิษฐานได้ ถ้าเกิดเราทำผิดพลาดไป เราก็อธิษฐาน … “พระองค์เจ้า ลูกขอโทษ”

            ขอโทษนะ เพราะเรารู้สึกผิด ขอโทษที่เราเผลอทำไป  … “ลูกขอโทษ ขอพระเจ้าเมตตาให้กำลังลูกด้วย ที่คราวหน้า ถ้าลูกเจอเหตุการณ์อย่างนี้ ลูกจะระวังมากขึ้น ลูกจะสำแดงความรักที่เป็นตัวตนจริงๆ ที่พระเจ้าได้ให้กับลูกแล้ว ออกไปมากขึ้น”

            ถ้าเราสามารถสำแดงตัวตนจริงๆ ของเรา ออกไปมากขึ้น เราก็จะทำผิดน้อยลง เอเมนไหม? มันเป็นความจริง รับรู้ความจริงมากเท่าไร? เราก็ถูกหลอกน้อยลง รับรู้ความจริงน้อย เราก็ถูกหลอกเยอะ ถ้าเราไม่อยากให้ถูกหลอก โดยระบบของโลกนี้ ผ่านทางมาร มันไม่ต้องการให้คริสเตียนรู้ความจริง ทำไมมันไม่ต้องการ เพราะพระเยซูบอกว่าถ้าท่านทั้งหลายรู้ความจริง ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท คือเป็นอิสรภาพ ไม่ต้องตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ต่างๆ ที่โลกนี้พยายามส่งเข้ามา พยายามที่จะยัดเหยียดเข้ามาให้เรา ต้อง ต้อง และต้อง

            แต่พระเยซูบอกว่า … “ไม่ต้องแล้ว เธอเป็นอิสระแล้ว ฉันทำให้เธอเสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยหมดแล้ว”

            ต่อแต่นี้ไป สิ่งที่เราทำได้ ก็คือยอมพระเจ้า ยอมพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ในเรา ให้พระองค์ทำงาน

            “พระองค์เจ้าข้า ลูกอยู่ตรงนี้ ได้โปรด ขอพระเจ้าทรงเมตตา กระทำตามน้ำพระทัยของพระองค์”

            แต่แม้ว่าเราจะอธิษฐานแบบนี้ แต่บางทีเราก็ดื้อกับพระเจ้าเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่เราจะดื้อกับพระเจ้าน้อยลง  เราจะยอมให้พระเจ้ามากขึ้น พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่สุภาพ เราอาจจะคิดว่าพระเยซูซื้อชีวิตของเราแล้ว ตอนนี้พระเยซูเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเราแล้ว พระองค์จะทำอะไรกับชีวิตเราก็ได้ ความเป็นจริงมันได้นะ  แต่พระองค์ไม่ทำ  เพราะพระลักษณะของพระเจ้า พระองค์เป็นความรัก ความรักไม่มีการบังคับ เรียกว่าพระองค์รัก พระองค์ก็เลี้ยงเราเป็นลูก ไม่ใช่เลี้ยงเราเป็นทาส ถ้าเลี้ยงเราเป็นทาส ก็ล่ามโซ่เราไว้  ไม่ให้ทำอย่างนี้ใช่ไหม? ล่ามเอาไว้ …

            “เธอจะได้ไม่ออกไปทำ”

            แต่ไม่ใช่ พระเจ้าเลี้ยงเราเป็นลูก  พระเจ้าให้อิสรภาพกับลูกของพระองค์ ที่จะตัดสินใจว่าเราจะทำตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในนำเรา หรือวันนี้เราจะทำตามระบบของโลกนี้ ที่ส่งเข้ามาผ่านความคิดของเรา เราอยู่ตรงกลาง เรามีสิทธิ์เลือกได้

            ความคิดตรงนี้แหละ เป็นจุดศูนย์กลางว่าพอระบบความคิดเราเปลี่ยน เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ความคิดมันนจะสั่งการลงมาที่ร่างกายของเรา แล้วร่างกายของเรา ก็จะทำตามความคิดนั้น ถ้าความคิดเราถูกหลอก โดยระบบของโลกนี้ อย่างเช่น โลกนี้เขาส่งอะไรมา แค้นนี้ต้องชำระ …

            “เขาเหยียบขาเธอ เธอยอมไม่ได้ ไปเหยียบตอบ เขาเหยียบเบาๆ เราเหยียบแรงๆ จะได้สะใจ”

            โลกนี้เขาจะส่งมาแบบนี้ แต่ข้างในวิญญาณที่พระองค์บอกว่าพระองค์ทรงเป็นความรัก ความรักมันอยู่ในเราแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะเตือนเรา บอกเรา …

            “ลูกเอ๋ย ลูกเป็นความรักนะ”

            ให้อภัยเขาซะ  แต่ ณ เวลานั้น เราได้ยินหรือเปล่า? บางที ณ เวลานั้น เลือดขึ้นหน้า เราไม่ได้ยินเสียงของพระเจ้า แต่เราได้ยินเสียงของโลกนี้ ที่ส่งเข้ามา ต้องแก้แค้นๆ ต้องทำให้สะใจ ไม่อย่างนั้น มันเสียเปรียบมากเลย ไม่ได้

            แต่พระเจ้าบอกว่า … “อย่าเลยลูก มันเหนื่อย”

            เราแก้แค้นไป เรามีความสุขไหม? ไม่มีความสุขหรอก ทำไมเรารู้ว่าไม่มีความสุข  เพราะว่าข้างในวิญญาณของเราเป็นความรัก พอเราทำอะไรที่ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงในใจของเรา เราไม่มีความสุข …

            “ไม่น่าเลย”

            พี่น้องเคยเป็นไหม?  พอทำออกไปแล้ว … “ไม่น่าเลย” สะใจแค่เสี้ยววินาที มานั่งเสียใจ ตั้งเป็นวัน …

            “พระองค์เจ้าข้า ลูกไม่น่าทำแบบนี้เลย ไม่น่าเลย”

            อะไรแบบนี้ มันเป็นธรรมชาติใหม่ที่มันเกิดขึ้น ในวิญญาณของผู้เชื่อทุกคน ฉะนั้น พี่น้องไม่ต้องกลัวว่าเมื่อเรา เรียนรู้ความจริง หรือสอนแต่ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า เราเหมือนกับมาส่งเสริมให้ผู้เชื่อไปทำบาป เป็นอย่างนั้นไหม? มันไม่มีทางอยู่แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ ส่งเสริมได้อย่างไร? ในเมื่อธรรมชาติใหม่ของเราไม่มีบาปแล้ว ไม่มีการส่งเสริม คือความเป็นจริง ตัวตนแท้ๆ ของเรา ไม่อยากทำบาปอยู่แล้ว เหมือนปลาอยู่ในน้ำ มีปลาตัวไหนอยากกระโดดออกนอกน้ำ ถ้ากระโดดออกมานอกน้ำ คือปลาที่ถูกจับขึ้นเขียง แล้วก็ถูกฆ่า นั่นแหละ ภาพที่พี่น้องเห็น  ปลาอยู่ในน้ำ เป็นเรื่องจริง

            ฉะนั้น ผู้เชื่อที่ได้กลับใจใหม่  ได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  ก็มีธรรมชาติใหม่ที่เป็นเหมือนพระเจ้าเลย คือเป็นธรรมชาติ ที่เรียกว่าตามแบบอย่างพระเจ้าเลย สะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ชอบธรรมเหมือนพระเจ้า นี่คือธรรมชาติใหม่ แล้วธรรมชาติที่พระเจ้าใส่เข้ามา คือความรัก พระเยซูเป็นความรัก พระเจ้าเป็นความรัก ทันทีที่เราบังเกิดใหม่ พระเจ้าใส่เข้ามา คือความรักชนิดเป็นแบบของพระเจ้า ความรักนี้ ที่พระเยซูบอกว่า …

            “เราให้บัญญัติใหม่แก่เจ้า ก็คือให้เจ้าทั้งหลายรักซึ่งกันและกัน เหมือนอย่างที่เราได้รักเจ้า”

            ก็คือไม่เป็นภาระ ทำไมบอกไม่เป็นภาระ? เพราะมันเป็นธรรมชาติของเรา มันเป็นปกติวิสัยของเราอยู่แล้ว ที่พระเจ้าใส่เข้ามา ความรัก เหมือนเขาบอกคริสเตียนทำดี มันเป็นธรรมชาติของเราอยู่แล้ว ทำดี แล้วเรายืด ภาคภูมิใจ …

            “เปล่า ไม่ใช่ ธรรมชาติฉันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว จะให้ฉันไม่ทำดี มันก็คงไม่ได้”

            หรือเป็นคน ธรรมชาติ ก็คือพอหัดเดินได้ เราก็อยากจะเดิน  เราเดินไปไหนมาไหนได้ ไม่ใช่ ธรรมชาติเราเป็นคน เดินได้ กินได้ หยิบจับอะไรได้

            “วันนี้ฉันไม่อยากทำตามธรรชาติ ฉันไม่อยากเดิน ฉันไม่อยากหยิบของ ฉันไม่อยากกิน ฉันไม่อยาก”

            มันเป็นไปไม่ได้ คือธรรมชาติมันจะออกมาเอง  ตื่นเช้าขึ้นมา เราก็ทำความสะอาดร่างกายของเรา  เราจะแปรงฟัน นอกจากเด็กเท่านั้น เด็กๆ จะไม่ชอบแปรงฟัน พ่อแม่ก็ต้องเคี่ยวเข็ญ แต่พอเขาโตขึ้นไม่ต้องเคี่ยวเข็ญแล้ว มันเป็นธรรมชาติของเขา ที่เขารู้ความจริงว่า …

            “ฉันต้องแปรงฟัน ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวฟันผุ เดี๋ยวฉันจะกินอาหารไม่อร่อย

            เด็กก็เลยตื่นขึ้นมา โตระดับหนึ่ง รู้ความจริง เขาก็จะแปรงฟัน โดยธรรมชาติ เด็กต้องถูกจับอาบน้ำตอนที่เขายังเล็กอยู่ แต่พอเขาโตระดับหนึ่ง เขาก็ไม่ต้องถูกจับอาบน้ำ  ถึงเวลา เขาก็ถือผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำ อาบน้ำ ออกมามีความสุข ออกมาก็มานั่งโต๊ะ รอคุณพ่อคุณแม่เอาข้าวมาให้กิน  นั่นคือปกติ ธรรมชาติ

            นั่นเป็นภาพเดียวกับธรรมชาติของผู้เชื่อ พระเจ้าได้ทำให้เราสะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระเจ้าแล้ว มันจะออกมา โดยธรรมชาติ

        กาลาเทีย 2:17-19 “17 “ถ้าขณะที่เรามุ่งจะให้พระเจ้าทรงนับเรา  เป็นผู้ชอบธรรมในพระคริสต์ ก็ปรากฏชัดว่าเราเองเป็นคนบาป นั่นหมายความว่าพระคริสต์ส่งเสริมบาปหรือ? ไม่ใช่อย่างนั้นแน่นอน! 18 หากข้าพเจ้าสร้างสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำลายลงแล้วขึ้นใหม่ ก็แสดงว่าข้าพเจ้าเป็นคนละเมิดบทบัญญัติ 19 เพราะโดยทางบทบัญญัติ ข้าพเจ้าได้ตายต่อบทบัญญัติแล้ว เพื่อว่าจะได้มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้า”

            อาจารย์เปาโลพูดชัดเจน  ผู้เชื่อทุกคนได้ตายต่อบทบัญญัติเรียบร้อยไปแล้ว เราไม่ได้อยู่ภายใต้ บทบัญญัติอีกแล้ว เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายที่พระเจ้าตั้งขึ้นอีกแล้ว แต่เราเข้ามาอยู่ภายใต้กฎใหม่ ที่พระเจ้าได้ตั้งให้กับพวกเรา คือกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราตายจากกฎเก่าเรียบร้อยไปแล้ว ก็คือตัวเก่าที่เป็นบาปของเราตาย ไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ต่อแต่นี้ไป กฎของความบาป ไม่มีอำนาจ เหนือเราอีกแล้ว

            ถ้าพูดอีกนัยหนึ่ง ให้ชัดเจน ก็คือเราอยู่ในประเทศไทย เราอยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศไทย ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่  ถ้าเราทำผิดกฎ เราก็จะถูกลงโทษ จริงไหม? ถ้าเราไปฆ่าคนตาย เราถูกจับ เราก็จะถูกลงโทษ ประหารชีวิต แต่ว่าวันหนึ่ง เมื่อเราตายจากโลกนี้ไป ตายจากประเทศไทย ก็คือวิญญาณเราออกจากร่าง ตายไปปุ๊บ เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศไทยแล้ว มีใครทำแบบนี้บ้าง …

            “คนนี้ เมื่อก่อนเคยทำไม่ดี แต่ตอนนี้เขาอยู่ในโลงแล้ว ไม่ได้ เราต้องไปขุดเขาขึ้นมา เพื่อที่จะรับโทษ”

            มีใครทำแบบนี้ไหม? มันไม่มีแน่นอน เมื่อเขาตาย ทุกอย่างจบ จบวันที่เขาตายไป กฎหมายอะไรต่างๆ ที่บังคับเขาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ไม่มีผลบังคับใช้ในชีวิตของเขาแล้ว ภาพเดียวกัน ในโลกวิญญาณ เมื่อวิญญาณเก่าเราตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์ แล้วเราบังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่ เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎหมายของวิญญาณเก่า กฎเก่า กฎบัญญัติที่ตั้งไว้อีกต่อไป แต่เราเข้ามาอยู่ในกฎใหม่ คือกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระเจ้าบอกว่าพระเยซูคริสต์ได้ทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว มีใครบนโลกใบนี้ที่จะสามารถเอาเรากลับไปเป็นคนอธรรมได้อีก ไม่มีทางมันเป็นไปไม่ได้  เราเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นแล้ว เป็นเลย พี่น้องต้องจำคำนี้ให้ดี ไม่ใช่วันนี้เป็นลูกพระเจ้า พรุ่งนี้เผลอไปด่าใครเข้า …

            “วันนี้ฉันยังเป็นลูกพระเจ้าอยู่ไหม? สงสัย ฉันตกกระป๋องไปเป็นลูกอาดัมเหมือนเดิมแล้ว”

            เป็นไปได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน เมื่อเราบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นแล้วเป็นเลย สถานะนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรบนโลกใบนี้ก็ตาม ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะ เป็นลูกของพระเจ้า ของเรา กลายเป็นอื่นได้เลย ไม่มีทาง เรายังคงเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ อย่างที่ดิฉันบอก เราเป็นลูกของพระเจ้าที่บางครั้งเผลอ ถูกหลอก ถูกล่อ โดยโลกนี้  ที่กรอกหูเรา “แค้นนี้ต้องชำระๆ” แล้วเราเผลอ ชำระสักหน่อย ก็แล้วกัน  นั่นแหละ เราเป็นผู้ชอบธรรมที่โดนหลอก โดยไม่รู้ตัว โดยอะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าต่อให้เราถูกหลอก เราจะรับผล ไม่ใช่หมายความว่าพอเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราทำอะไรบนโลกใบนี้ ก็ได้ โดยที่เราไม่ต้องเก็บเกี่ยวผล เรายังคงต้องเก็บเกี่ยวผลของโลกนี้อยู่ หมายความว่าเราไปฆ่าคนตาย ผลของโลกนี้ ก็คือถูกพิพากษาลงโทษ ให้ถึงตาย ร่างกายเราจำเป็นจะต้องไปติดคุก ไปถูกลงโทษให้ตาย แต่วิญญาณของเรายังอยู่กับพระเจ้าอยู่ วิญญาณของเรายังนั่งอยู่ที่เดิม คือที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์อยู่

            ฉะนั้น พี่น้องอย่าคิดว่าถ้อยคำของพระเจ้า กำลังสอนเราให้ทำอะไรก็ได้ ทำไปเถอะ พระเจ้าไม่ลงโทษแล้ว แน่นอน ด้านวิญญาณพระเจ้าไม่ลงโทษ แต่ด้านของร่างกายนี้ เรายังต้องเก็บเกี่ยวผล ฉะนั้น พระเจ้าบอกกับเราว่าเมื่อเรารู้ความจริง รู้ถึงพระคุณของพระเจ้า ก็ให้เราปรับปรุง เปลี่ยนแปลงความคิดของเรา  เมื่อเปลี่ยนแปลงความคิดของเราได้มากเท่าไร? เราก็จะสำแดงตัวตนแท้ๆ ของเราออกไปมากเท่านั้น

            พระคัมภีร์ พระเยซูบอกว่า … “เราเป็นแสงสว่าง”

            “เป็น” นะ ไม่ใช่ “มี” เมื่อเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราเป็นแสงสว่าง พระเจ้าจุดตะเกียงดวงนี้แล้ว ให้ความสว่างเรียบร้อยไปแล้ว ไม่มีใครเอาถังมาครอบไว้ได้

            ดังนั้น ความสว่างตรงนี้ พระเจ้าเป็นผู้จุด แล้วแต่พระเจ้าจะนำพาเราแต่ละคนไปวางไว้ที่ไหน? เพื่อให้แสงสว่างที่พระเจ้าจุดนั้น ได้ฉายแสงให้คนรอบข้างแถวนั้น เราไม่รู้ตรงไหน? เขาได้เห็นแสงสว่างในชีวิตของเรา ฉะนั้น เราเป็นเหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เราสามารถที่จะสำแดงตัวตนแท้ๆ ของเรา โดยการยอมให้พระเจ้าเป็นผู้ขับเคลื่อนในชีวิตของเรา และให้สิ่งนั้นถูกสำแดงออกไป

            ในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นผู้ที่ใส่ความปรารถนาในใจให้กับพวกเราทุกคน  เพื่อเราจะยอมทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าตัวช่วยเยอะมาก คือช่วยเราทุกอย่างเลย เพื่อให้เราสามารถที่จะสำแดงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ผ่านทางชีวิตของพวกเราทุกๆ คน ..

        กาลาเทีย 2:20-21 “20 ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหากทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้ ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงรักข้าพเจ้าและประทานพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า 21 ข้าพเจ้าไม่ได้ปัดพระคุณของพระเจ้าทิ้ง เพราะถ้าความชอบธรรมสามารถได้มา  โดยทางบทบัญญัติ พระคริสต์ก็วายพระชนม์ โดยเปล่าประโยชน์!”

            ชัดเจน ถ้าใครยังคิดจะพึ่งการกระทำของตัวเอง พระคุณก็จะไม่เป็นพระคุณอีกต่อไป คำว่า “พระคุณ” ที่พระเจ้าให้กับเรา หมายความว่าพระองค์ให้เราเปล่าๆ  แล้วพระองค์ทำให้สำเร็จแล้ว

            พระเยซูคริสต์บอก … “ฉันทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอแค่ทำอย่างเดียว คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด”

            ซึ่งพวกเราได้ทำเรียบร้อยไปแล้ว ต่อจากนั้น เราก็แค่ให้พระเจ้าใช้เรา ส่วนใหญ่เราชอบใช้พระเจ้าเนอะ เป็นไหม? ตอนเราเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เราชอบใช้พระเจ้ามาก …

            “พระองค์เจ้าข้า วันนี้ เราจะมีงานนะ อย่าให้ฝนตกเลยนะ” เรากำลังสั่งพระเจ้าอยู่เนอะ

            “พระเจ้าอย่าให้ฝนตกเลย เดี๋ยวเดินทางลำบาก”

            อะไรแบบนี้ เราก็สั่งพระเจ้า เราเผลอ เราลืม  แต่ความเป็นจริงแล้ว เรียกว่าถ้าเรายอมให้พระเจ้าใช้  พระองค์จะมีน้ำพระทัยเยอะแยะมากมาย ที่จะสามารถใช้เราแต่ละคนตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ไม่ว่าใช้เราแบบไหนอย่างไร?

            บางคนคิดว่า “ฉันเป็นแม่บ้านเฉยๆ อยู่บ้าน แล้วพระเจ้าจะใช้ฉันได้อย่างไร?”

            เป็นแม่บ้าน พระเจ้าก็ใช้ได้ เราเป็นแม่บ้าน เรามีลูก มีสามี  พระเจ้าก็ใช้เราเลี้ยงดูลูกเราให้รับรู้ความจริงของพระเจ้า ดูแลปรนนิบัติพัดวีสามี นั่นคืองานรับใช้ หลายคนคิดว่ามันไม่ใช่ เราอยู่บ้าน ปรนนิบัติสามี ดูแลลูก มันไม่ใช่งานรับใช้ มันไม่จริง นั่นคืองานรับใช้

            หรือบางครอบครัวมีคุณพ่อคุณแม่ที่มีอายุเยอะ เราก็ดูแลท่าน นั่นก็เป็นอีกส่วนหนึ่งของงานรับใช้ ซึ่งงานรับใช้เหล่านี้ พระเจ้าจัดเตรียมให้กับพวกเรา สามารถที่จะเป็นพรให้กับคนอื่นมากมาย

            หรือบางคนอาจจะคิดว่าเราเจ็บป่วยอยู่ เราจะไปรับใช้พระองค์ได้อย่างไร? บางคนเจ็บป่วย แต่สามารถที่จะหนุนใจคนอื่น เวลาเราไปเยี่ยมคนป่วย เราไม่ได้หนุนใจเขา แต่เขากลับเป็นคนหนุนใจเรา  คือเขาเจ็บป่วยอยู่ แต่เขาสามารถที่จะเข้มแข็ง  เราเห็นความรัก พระคุณที่พระเจ้าให้กับเขา เขาสามารถยืนหยัด เขาสามารถที่จะหนุนใจเรา ไปถึงแทนที่เราจะไปหนุนใจเขา เขากลับหนุนใจเรามากเลย ทำไมเขาเจ็บถึงขนาดนี้  เขายังสามารถที่จะมีกำลังใจที่จะยืนหยัดต่อไป  นั่นแหละ พระเจ้าก็จะใช้เขาได้  คือทุกสิ่งทุกอย่าง พระเจ้าสามารถหยิบจับมาใช้ได้หมด ขึ้นอยู่กับว่าเรายอมให้พระเจ้าใช้หรือไม่?  แค่นั่นเอง

            จริงๆ เราขอพระเจ้าได้ อย่างที่ดิฉันบอก เราสามารถขอได้สารพัดสิ่ง แต่มันจะจบลง “แล้วแต่น้ำพระทัย” เราขอ ถ้าพระเจ้าให้ ก็เอเมนนะ ขอบคุณพระเจ้า ถ้าพระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐาน อย่างที่ใจเราขอ เราก็เอเมนเหมือนกัน ตามน้ำพระทัย

            เหมือนกับที่พระเยซูคริสต์อธิษฐานกับพระเจ้า 3 ครั้ง เราจำได้ใช่ไหม? ที่สวนเกทเสมเน

            พระเยซูคริสต์บอกว่า … “ถ้าเป็นไปได้ ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปได้ไหม? มันทรมาน พระองค์เป็นพระเจ้า รู้ทุกสิ่ง แล้วพระองค์รู้ว่าจะไปเจออะไรบ้าง? ขอได้ไหม?”

            แต่พระเจ้าไม่ตอบ ไม่ตอบแปลว่า “ไม่ได้” แล้วพระเยซูก็อธิษฐานอีก พอถึง 3 ครั้ง พระเยซูรู้ว่าอย่างไรก็ไม่ได้ เพราะว่าแผนการนี้ พระเจ้าเตรียมไว้ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป  แล้วมีเพียงพระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้นที่จะสามารถทำให้แผนการนี้สำเร็จได้ พระองค์ผู้เดียวเท่านั้น แต่ถ้าพระองค์ไม่ยอม พระเจ้าก็ไม่บังคับ เราขอบคุณพระเจ้า พอพระเยซูอธิษฐานครั้งที่ 3

            พระองค์บอก … “โอเค ถ้ามันเลื่อนไม่ได้ ก็ให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์เถิด”

            นี่คือสิ่งที่พวกเรารับรู้ และพวกเราสามารถเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้ เหมือนเราอธิษฐานอะไรก็ได้ พี่น้องอธิษฐานไปเถอะ อยากจะขออะไร? ก็ขอไปเถอะ แต่ว่าตบท้ายด้วยคำว่า “ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า” ถ้าพระเจ้าตอบตามคำอธิษฐานของเรา เรา เฮ! ไหม? เฮ! ขอบคุณพระเจ้า แต่ถ้าพระเจ้าไม่ตอบตามคำอธิษฐานของเรา  เรายังจะขอบคุณพระเจ้าได้ไหม? ขอบคุณพระเจ้า

            เวลาดิฉันไปยืนรอรถเมล์ ดิฉันก็อธิษฐานทุกครั้งแหละ … “พระองค์เจ้าข้า ขอรถคันนี้มาเร็วๆ ลูกไม่ต้องรอนาน”

            แล้วก็นั่งรออยู่ที่ป้ายรถเมล์ ดิฉันก็ร้องเพลงในใจ ไม่เป็นไร เราก็ขอนั่นแหละ ปรากฎว่าบางครั้งนั่งไปหนึ่งชั่วโมง ที่เราขอ มันยังไม่มาเลย ไม่เป็นไร? มีบางครั้ง 1 ชั่วโมง ขี้เกียจไปแล้ว เดินกลับโบสถ์ดีกว่า อะไรประมาณนี้ ก็คือมันโอเคไง เราสามารถที่จะโอเค แล้วมีความสุขกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ซึ่งเรารู้ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยกับเรา พระองค์ไม่เคยให้ร้ายเรา พระองค์ไม่เคยโยนอะไรที่แย่ๆ มาใส่เรา  ไม่มีทาง พระองค์คอยดูแล คอยช่วยเหลือ คอยปกป้องคุ้มครองเรา  เพราะว่าโลกนี้มันอยู่ภายใต้คำสาปแช่งเรียบร้อยไปแล้ว ตราบใดที่เรายังมีร่างกาย มีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้ เราหนีไม่พ้นหรอก

            อย่างที่พระเยซูบอก … “บนโลกใบนี้ท่านจะประสบกับความทุกข์ยาก แต่ให้ชื่นใจเถิด ท่านชนะโลกนี้แล้ว”

            โลกนี้ทำอะไรท่านไม่ได้ ตายเป็นตาย ถ้าวันไหนทุกข์ทรมานจนตาย เราก็สบาย อย่างที่อาจารย์เปาโลบอก … “อยู่เพื่อรับใช้ ตายก็ได้กำไร” เราก็ได้พักผ่อน

            ฉะนั้น พระเจ้ามีวิธี มีแผนการ มีกำลังให้กับพวกเราเสมอ แม้ว่าบางครั้ง เราดูเหมือนไม่ไหว …

            “พระองค์เจ้าข้า มันไม่ไหว ตายแน่ๆ”

            แต่พระเจ้าก็ยังอุ้มเราไว้ กอดเราไว้ แบกเราไว้  แล้วให้เราเดินไป ให้น้ำพระทัยของพระองค์ในชีวิตของเราสำเร็จแน่นอน เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

******************************

จากใจศิษยาภิบาล

            คริสเตียน! … “พระเจ้าผู้สถิตอยู่ภายในท่านนั้น ใหญ่กว่าอุปสรรคปัญหา ความทุกข์ยากลำบากที่อยู่ในโลก”

            1 ยอห์น 4:4 … “ลูกที่รัก ท่านมาจากพระเจ้าและได้ชนะคนพวกนั้น เพราะพระองค์ผู้ทรงอยู่ในท่านยิ่งใหญ่กว่าผู้นั้น ซึ่งอยู่ในโลก”

            นี่คือคำสัญญาและสาบานจากพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ คำสัญญาจากพระเจ้า คือพระเจ้าทั้งสามพระภาคสถิตอยู่ด้วยเสมอภายในท่าน และพระองค์ยิ่งใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก ใหญ่กว่าอุปสรรคปัญหา ความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ที่อยู่บนโลก พระองค์จะจูงมือเรา นำพาเราผ่านอุปสรรคปัญหา ความทุกข์ยากลำบาก ที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดา และต้องเกิดขึ้นกับทุกคนบนโลกนี้ ตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกนี้ ยังดำเนินชีวิตบนโลกนี้ ที่เต็มไปด้วยความสาปแช่ง ถูกพิพากษาลงโทษให้อยู่ในความทุกข์ยากลำบากตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว  เราหนีไม่พ้นกับความทุกข์ยากลำบาก ที่บางครั้งเกินกว่าที่เราจะมีแรงรับได้ แต่พระเจ้าได้สัญญาว่าจะเสริมกำลังให้กับเรา เป็นสติปัญญาให้กับเรา นำพาเราผ่าน ให้เราวางใจในพระองค์ ผู้ทรงสถิตอยู่ภายในเรา

            พระองค์ไม่ได้สัญญาว่าชีวิตที่ดำเนินบนโลกนี้ จะสุขสบาย ราบรื่น เหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เพราะตกอยู่ใต้คำสาปแช่ง ตกอยู่ใต้กฎแห่งกรรม กฎแห่งความบาปและความตาย ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นแล้ว แต่จะทรงอยู่ด้วยเสมอ  ไม่ทอดทิ้งให้เป็นเด็กกำพร้า  ไม่ปล่อยเราให้อยู่ลำพัง แต่จะทรงดูแลใกล้ชิด ด้วยความรักอยู่ตลอดเวลาจนถึงนิรันดร์ เพราะเราได้เป็นลูกของพระองค์แล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

            โรม 8:35-39 … “35 ใครเล่าจะพรากเราจากความรักของพระคริสต์ได้?  ความทุกข์ร้อน ความยากลำบาก การข่มเหง การกันดารอาหาร การเปลือยกาย ภยันตราย หรือคมดาบอย่างนั้นหรือ? 36 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผชิญความตายวันยังค่ำ ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกนับว่าเป็นแกะที่จะเอาไปฆ่า 37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใดในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเรา ไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1479

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  21  กรกฎาคม  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 4 “คริสเตียนแท้อาศัยอยู่ในพระคริสต์

ดำเนินชีวิตด้วยความรักของพระองค์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “1 ยอห์น” ตอนที่ 1 “พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าและยอมถ่อมลงมา  เกิดในร่างมนุษย์จริงๆ”

            “1 ยอห์น” ตอนที่ 2 “พระเจ้าได้ลบล้างบาปทั้งปวง ไม่ใช่เพียงบาปของคริสเตียนเท่านั้น แต่บาปทั้งปวงของคนทั้งโลกด้วย 2,000 ปีมาแล้ว”

            “1 ยอห์น” ตอนที่ 3 “คริสเตียนเป็นความรัก เหมือนพระเยซูเป็นความรัก”

            เราได้เรียนรู้กันมา 3 ตอนแล้ว สำหรับซีรี่ย์หนังสือ 1 ยอห์น” นี่คือความจริงที่เรียนรู้ไปแล้ว วันนี้ “1 ยอห์น” ตอนที่ 4 “คริสเตียนแท้อาศัยอยู่ในพระคริสต์ ดำเนินชีวิตด้วยความรักของพระองค์

            จากการบรรยายครั้งที่แล้ว  ที่เราเน้นว่าเราได้รับการชำระล้างบาปหมดแล้ว ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน รวมถึงบาปในอนาคตด้วย เพราะฉะนั้น คริสเตียนจึงไม่จำเป็นต้องสารภาพบาปกับพระเจ้าอีก เพราะว่าเป็นคริสเตียน ก็ทำการสารภาพบาป เพียงครั้งเดียวว่าตัวเองเป็นคนบาป ต้องการหาหมอ หมอทางฝ่ายวิญญาณ ก็คือพระเยซูคริสต์ พอสารภาพปุ๊บ พระเจ้าก็ทำตามสัญญา  ก็คือได้เกิดใหม่ ลบบาปหมดเลย ทั้งบาปอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ไปจนนิรันดร์เลย เราเรียนรู้ นี่คือความจริง

            ก็เลยมีคำถามมาถามว่า “แล้วเผื่อเป็นคริสเตียนแล้ว แต่ติดการอธิษฐานสารภาพบาปผิดไหม?”

            ตกใจ หลายคนคิดในใจมันติดปาก มันติดใจ หรือมันเคยชินกับคำสอนมาก่อนหน้านี้ พอทำอะไรผิด

            ก็ “พระเจ้าขอยกโทษให้ด้วย”

            “อ้าว! แล้วที่เรียนรู้ว่าพระเจ้ายกโทษให้แล้ว จะหมายถึงอย่างไร?”

            ก็เลยมีความแคลงใจ มาถามว่า “พาสเตอร์ มันจะผิดไหม? แล้วจะทำอย่างไร?”

            ก็อยากจะบอกว่าการสารภาพบาปกับพระเจ้าของคริสเตียนนั้น ไม่ใช่เรื่องที่จะเรียกว่าผิดหรือถูก มันไม่ใช่ความผิด แต่มันขึ้นอยู่กับท่าทีภายในจิตใจ ในการอธิษฐานของเราว่าท่าทีนั้น มันอยู่ในความจริงของถ้อยคำพระเจ้าหรือเปล่า? ทั้งหมด ทั้งมวลอยู่ที่ท่าทีภายในของเราในการอธิษฐานนั้น ถ้าเราเข้าไปด้วยสำนึกว่าเราได้พลั้งพลาด ทำผิดไป เสียใจในการกระทำ ตรงนั้น ก็เป็นสิ่งที่น่าจะกระทำได้  เพราะเป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า  แต่ไม่ใช่อธิษฐานสารภาพด้วยความกลัวว่าเราจะสูญเสียความนิรันดร์ไป  เพราะว่าเราได้ทำผิดบาป เราต้องขอโทษกับพระเจ้า ยกโทษให้เราด้วยเพราะเรากลัวโดนลงโทษ

            ไม่ใช่การสารภาพบาปภายใต้จิตสำนึกหรือความคิด เพื่อจะได้รับการยกโทษบาปอีก  เพราะเราได้รับเรียบร้อยหมดไปแล้ว  ไม่ว่าจะเป็นการขอยกโทษบาปเป็นประจำ ที่เราเคยถูกสอนมา หรือเคยเข้าใจผิด พอทำบาปปุ๊บ ต้องอธิษฐาน ยกโทษบาปเลยทันที  ทุกครั้งที่ทำบาปไป ทำผิดไป หรือทุกครั้งที่คิดขึ้นได้ว่าเราทำอันนั้นไป เมื่อ 3 ชั่วโมงที่แล้ว ขอโทษดีกว่า ให้พระเจ้าลบทิ้ง  หรือคิดว่าต้องอธิษฐานยกโทษบาป จากพระเจ้าทุกวัน วันละ 3 เวลา หรือบางคนก็ตั้งเป้าไว้ว่าเดือนละ 1 ครั้ง หรือทุกปี ปีละ 1 ครั้ง แล้วแต่จะตั้งกันเอง บางคนตั้งเป็นเดือน เป็นปี ก็มี นึกออกใช่ไหม?

            อย่างเป็นปีชัดเจน เช่น วันเกิดเมื่อไร? ก็จะได้สารภาพบาป ให้มันล้างสักที ทั้งปีหนึ่ง ปีที่แล้วทำอะไรผิดบ้าง พระเจ้ายกโทษ

            “ยกโทษให้ลูกด้วยเถิด ปีใหม่ขอพระองค์ยกโทษให้ลูกด้วยเถิด”

            คุ้นๆ ไหม? เพราะเราติดศาสนาเดิมมา  เราติดพิธีกรรมเดิมมา เราก็เลย คิดว่ามันสำคัญ เพราะมนุษย์คิดขึ้นมาเองว่าวันสำคัญ  แต่พระเจ้าเหมือนกันทุกวัน ยกโทษอภัยบาปนิรันดร์ อภัยหมดเรียบร้อยแล้ว แต่เราคิดขึ้นมาว่าพอเป็นวันพิเศษวันนั้น เราก็ตั้งเป้าไว้ นัดกันไว้ว่าวันนี้เราจะทำพิธีขอโทษยกบาปจากพระเจ้าให้ล้างบาปให้กับเรา เช่น วันเกิด เป็นต้น อย่างนี้ ลบล้างบาปที่เราได้กระทำไปแล้ว ตั้งแต่ต้น ทั้งปี หรือทั้งเดือน หรือทั้งวัน แล้วแต่บาปในอดีตที่เราได้กระทำ หรือบาปในปัจจุบันที่ได้กระทำอยู่ และแม้กระทั่งคิดไปถึงอธิษฐานขอพระเจ้าว่าบาปที่ตัวเองจำไม่ได้ด้วย  มีไหม? คุ้นไหม? อธิษฐานขอพระเจ้ายกโทษบาป

            “ที่ลูกทำไปแล้ว แต่ลูกจำไม่ได้”

            คิดถึงขนาดนี้ ขนาดจำไม่ได้ ก็ไปขอยกโทษ  เพราะความกลัว

            เพราะฉะนั้น การสารภาพบาปกับพระเจ้า มันไม่ใช่ความผิดของคริสเตียน ที่เป็นคริสเตียนแล้ว แต่มันขึ้นอยู่กับท่าทีในการอธิษฐานภายในของเราคริสเตียนว่าการอธิษฐานนั้น มันเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง หรือเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นหรือเปล่า? มันเป็นประโยชน์ไหม? ถ้ามันเป็นประโยชน์ก็ทำไป แต่ถ้ามันไม่เป็นประโยชน์ มันเป็นโทษ ก็อย่าทำ เหมือนครั้งที่แล้ว ที่อธิบายไป 

            เพราะฉะนั้น ผมเพียงแต่นำเสนอความจริงเหล่านี้ให้ท่านลองพิจารณาดู ด้วยความสุภาพ ไม่ได้ตั้งใจจะติเตียนอะไรท่าน มันติดไปแล้ว จะให้ทำอย่างไร? ไม่ได้ตั้งใจจะคิดอย่างนั้นนะ ให้ท่านลองพิจารณาดู เสนอด้วยความรักในพระคริสต์ เพราะไม่ว่าท่านจะทำหรือไม่ทำ? จะเชื่อแบบไหนก็ตาม จะสารภาพบาปทุกวันหรือไม่ก็ตาม? ถ้าท่านเชื่อพระเจ้าจริงๆ และสารภาพครั้งแรกที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้วนั้น ท่านก็ได้รับความรอด เหมือนๆ กัน จะสารภาพบาปทุกวันหรือไม่? ก็ได้รับความรอดนิรันดร์อยู่ดีนั่นแหละ เอเมนไหม?

            ท่านลองพิจารณาดู เพียงแต่ถ้าท่านรู้ความจริง กระทำถูกต้องตามถ้อยคำแห่งความจริง ท่านก็จะสามารถเดินอย่างเป็นอิสระ ไม่ต้องแบกกางเขนให้เหนื่อยในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โดยได้รับอิสรภาพ เอากางเขนนั้น ตรึงไว้กับพระเยซูบนไม้กางเขน ที่พระเยซูทรงแบกเอาไว้ให้เรานั่นแหละ ท่านก็จะได้เป็นอิสระ เดินสบาย ตัวปลิวเลย

            ผมนึกถึง คนปีนเขา เคยเห็นคนปีนเขาเป็นทีมไหม? เขาต้องมีสายเชฟตี้ยาวๆ ผูกกันไว้หมดเลย คนใดคนหนึ่งล้มไป ที่เหมือนยังเกาะอยู่ ไม่ตกลงไปตาย เรามีหัวหน้า คือพระเยซู … พระเยซูมองลงมาข้างล่างตลอดเวลา

            “ไม่ต้องกลัว ตามฉันมาเลย” เดินไปทุกวัน ทุกวินาที “ไม่ต้องกลัว” เพราะบนโลกใบนี้ ลมมันแรง คำสาปแช่งมันยังอยู่บนโลกใบนี้  โลกใบนี้มันวุ่นวาย อาจจะถูกเตะขา ตัดขา อะไรต่างๆ เพราะฉะนั้น เราอาจจะพลั้งเผลอ พลาดหล่นลงไป แต่ให้เรารู้ว่าไม่ต้องกลัว เชฟตี้อยู่ หล่นลงไปเมื่อไร ก็ไม่ตาย เอเมนไหม?

            กับอีกคนหนึ่ง ไม่รู้ว่ามีพระเยซูอยู่ด้วย ทั้งๆ ที่พระเยซูก็อยู่ข้างบน เชือกก็ยังห้อยอยู่ แต่นึกว่าไม่มีเชือก พอตกลงไปทีหนึ่ง ก็ร้องโวยวาย ตาย ทุกวันตายหมดเลย จนมาถึงยอดเขา ถึงยอดเขาไหม? ถึงเหมือนกัน แต่เหนื่อยไหม? เหนื่อย ผมเรียกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา มันขึ้นภูเขานั่นแหละ แต่แทนที่จะขึ้นแบบสบายๆ เป็นอิสระ บินปร๋อเลย เอเมนไหม?

            พระเจ้ามองภายในวิญญาณ ตัดสินที่ภายในวิญญาณ ที่มองไม่เห็น แต่มนุษย์และระบบของโลกนี้ มองที่ภายนอก ตามความประพฤติ การกระทำที่มองเห็นอยู่ อาจารย์ยอห์นจึงเขียนจดหมายฉบับนี้ เขียนเรื่องราวเหล่านี้ ชี้ให้เห็นความจริงในโลกวิญญาณว่าสถานะเป็นเช่นไร? ถ้าท่านเป็น คริสเตียนแล้ว

            ในโลกวิญญาณ ถ้าท่านเป็นคริสเตียน อาจารย์ยอห์นได้อธิบายในหนังสือ 1 ยอห์นว่าท่านเป็น คริสเตียน ท่านจะอาศัยอยู่ในอาณาจักรหนึ่ง  ที่แตกต่างกับโลกที่มองเห็นนี้ ที่เรียกว่าอาณาจักรวิญญาณนั่นเอง อาจารย์ยอห์นชี้ให้ผู้เชื่อทั้งหลาย และผู้ที่อ้างว่าเป็นคริสเตียนนั้น ชี้ให้เห็นว่า …

            “ถ้าคุณเชื่อในพระเจ้า เป็นคริสเตียนจริงๆ อยู่ในอาณาจักรโลกวิญญาณ คุณจะอยู่ในความสว่าง คุณเป็นความสว่าง”

            มันมองไม่เห็น แต่นี่เป็นความจริง คุณกำลังอาศัยอยู่ในพระคริสต์ เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระคริสต์ คุณรู้จักสนิทสนม สามัคคีธรรม สัมพันธ์อันลึกซึ้งฝ่ายวิญญาณกับพระคริสต์ และคุณจะรู้ความจริง และความจริงอยู่ในตัวคุณ

            นี่คือบทสรุปคร่าวๆ ที่อาจารย์ยอห์น พยายามจะชี้ให้ชาวยิวที่เป็นคริสเตียน และอ้างว่าตนเองเป็นคริสเตียน ได้เห็นความเป็นจริงว่าถ้าคุณเป็นคริสเตียน คุณจะดำเนินชีวิตอยู่ในพระคุณความรักของพระคริสต์ และความรักของพระคริสต์จะอยู่ในคุณ คุณจะรักพระเจ้า พี่น้องคริสเตียน เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ทั้งหมด ทั้งโลกนี้เลย  เพราะสถานะของคุณนั้น คุณอยู่ในพระคริสต์ และคุณจะอยู่ในสถานะพระคริสต์อย่างนี้ เป็นความรักอย่างนี้ เป็นความสว่างอย่างนี้ ตลอดไปชั่วนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว เอเมน

            นี่คือบทสรุปที่อาจารย์ยอห์นเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา ซึ่งครั้งที่แล้ว เราได้เรียนรู้ใน 1 ยอห์น บทที่ 1 พูดถึงชาวยิวส่วนใหญ่ ที่เป็นคริสเตียนและคนที่อ้างว่าเป็นคริสเตียน บอกว่าคนที่อ้างตัวเป็นคริสเตียน อ้างว่าเขารู้จักพระเจ้า แต่เขาไม่รู้จักหรอกในโลกวิญญาณ อาจารย์ยอห์นก็เลยบอกว่าเพราะว่าเขาปฏิเสธการเป็นมนุษย์ อยู่ในร่างกายของมนุษย์ของพระเจ้า ที่มีนามว่าพระเยซูคริสต์ เขาปฏิเสธ เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า หรือเชื่อว่าเป็นพระเจ้า แต่ไม่เชื่อว่าเป็นมนุษย์ หรือเชื่อว่าเป็นมนุษย์ แต่ไม่ได้เป็นพระเจ้า และเชื่อว่าเขาเองไม่ได้เป็นคนบาป เขาไม่ต้องการพระเยซู มาช่วยเขาในเรื่องการไถ่บาป เพราะฉะนั้น เขาไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้จริง แต่เขารู้จักพระเจ้า พระบิดา อะไรอย่างนี้ ถ้าเขาสารภาพบาป ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป และต้องการผู้ช่วย คือพระเยซูคริสต์ ยอมรับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อมาช่วยเหลือคนบาป เขาก็จะได้รับการช่วยเหลือ นี่คือ 1 ยอห์น บทที่ 1

            พอ 1 ยอห์น บทที่ 2 ที่เราเรียนรู้กัน ก็บอกอย่างนี้ 1 ยอห์น 2:1-2 …

        1 ยอห์น 2:1-2 “1 ลูกที่รักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้มาถึงท่าน เพื่อท่านจะไม่ทำบาป แต่ถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ ผู้ทูลแก้ต่างต่อพระบิดา เพื่อเราทั้งหลาย คือพระเยซูคริสต์องค์ผู้ชอบธรรม 2 พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบบาปทั้งปวงของเราทั้งหลาย และไม่ใช่เพียงบาปทั้งปวงของเราเท่านั้น แต่บาปทั้งปวงของคนทั้งโลกด้วย”

            “พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบบาปทั้งปวงของเราทั้งหลาย และไม่ใช่เพียงบาปทั้งปวงของเราเท่านั้น แต่บาปทั้งปวงของคนทั้งโลกด้วย”

            “เรา” ในที่นี้ หมายถึงยิว กำลังบอกพี่น้องชาวยิวด้วยกันว่า …

            “ไม่ใช่ยกโทษบาปให้กับพวกเรายิวอย่างเดียวนะ จะบอกให้ ความรอดนี้ ข่าวประเสริฐนี้ ไปถึงคนที่ไม่ใช่ยิวด้วย”

            คนไม่ใช่ยิว คือต่างชาติทุกคน ฉะนั้น มนุษย์มีอยู่ 2 พวก พวกหนึ่งเรียกว่ายิว อีกพวกเรียกว่าพวกไม่ใช่ยิว จบข่าว ดังนั้น คือทุกคน

            ยอห์นบอกว่าเหตุที่เขียนเรื่องพระคุณของพระเจ้าเหล่านี้ขึ้นมา ว่าพระเจ้าทรงรักท่านด้วยพระคุณมากเพียงใด อภัยในความผิดบาปของท่าน ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเรียบร้อยไปแล้ว รับท่านเข้ามาเป็นลูก อยู่ในแสงสว่างแล้วขณะนี้  ท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระบุตร คือพระเยซูคริสต์แล้ว โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เป็นพระคุณ แค่สารภาพบาปว่าตนเองเป็นคนบาป ต้องการการช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เราได้เปล่าๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เรียกว่าพระคุณของพระเจ้า

            อาจารย์ยอห์นเริ่มต้นเขียนอย่างนี้ เขียนเพื่อท่านจะได้รู้จักพระคุณของพระเจ้า เพื่อจะได้รู้ความจริงเหล่านี้  และรู้ถึงสถานะทางฝ่ายวิญญาณ ที่ท่านได้รับจากพระคุณของพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่ถูกล่อลวงให้ทำบาป  เพราะว่าถ้าท่านไม่รู้ความจริงเหล่านี้ ท่านก็จะทำบาป ยิ่งรู้ว่าตัวตนแท้จริงท่านนั้น เป็นอะไร? เป็นใครในพระเยซูคริสต์มากเท่าไร? โดยพระคุณของพระเจ้าที่ทำให้ท่านมากเท่าไร?  ท่านก็จะถูกล่อลวงให้ทำบาปน้อยเท่านั้น คือรู้จักพระคุณของพระเจ้าที่ทำให้กับท่านแล้ว  มากเท่าไร? ท่านก็ยิ่งจะทำบาปน้อยเท่านั้น พระเยซูตรัสว่าความจริงจะทำให้ท่านเป็นอิสระ เป็นไท ไม่ถูกหลอก ล่อลวง ให้ทำบาป อาจารย์เปาโลก็พูดในลักษณะเดียวกันอย่างนี้ เหมือนกัน ในหนังสือโรม บทที่ 6 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

            “ท่านไม่รู้หรือว่าโดยพระคุณของพระเจ้า ทำให้ท่านบังเกิดใหม่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์แล้ว  ตัวเก่าของท่านที่เป็นคนบาป ได้ตายไปแล้ว”

            มันตายไปแล้วตัวเก่า มันจึงเป็นไปไม่ได้เลย ที่ท่านจะดำเนินชีวิตอยู่ในบาปอีกต่อไป  เพราะท่านได้เกิดใหม่อยู่ในพระคริสต์แล้ว ในขณะนี้ ท่านบริสุทธิ์ สมบูรณ์ ดีพร้อมแล้ว โดยพระคุณของพระเจ้า

            “สมบูรณ์ ดีพร้อมแล้ว โดยพระคุณของพระเจ้า”

            ในโรม 12:1-2 ก็สรุปอย่างนี้ อาจารย์เปาโลบอกว่า …

        โรม 12:1-2 “เพื่อเห็นแก่พระคุณของพระเจ้า ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านมอบร่างกายอวัยวะทุกส่วน ที่สะอาดหมดจดบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว ยอมให้พระเจ้าใช้ด้วยการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ให้สอดคล้อง สมกับเป็นคนใหม่ สะอาดบริสุทธิ์ ดีพร้อม เรียบร้อยแล้ว”

            ท่านจะเห็นพระคุณของพระเจ้าได้ ท่านต้องรู้ความจริง จะอธิบายความจริงให้ฟัง อย่างนี้นะ ก็คือเห็นแก่พระคุณของพระเจ้า ที่ผมอธิบายให้ท่านฟัง “ข้าพเจ้า” หมายถึงเปาโล ยอห์น  หรืออัครสาวกต่างๆ ที่เขียนพระคัมภีร์ใหม่ จะพูดลักษณะเดียวกันเลยว่า เพื่อเห็นแก่พระคุณของพระเจ้าเหล่านี้ ข้าพเจ้าขอร้องให้ท่านมอบร่างกาย อวัยวะทุกส่วน ที่สะอาด หมดจด บริสุทธิ์ เรียบร้อยแล้ว โดยพระคุณของพระเจ้า ยอมให้พระเจ้าใช้ โดยการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ให้สอดคล้อง สมกับเป็นคนใหม่ ที่สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม เรียบร้อยแล้ว เอเมน สมบูรณ์แล้ว แล้วก็ให้ทำตาม เท่านั้นเอง

            คือการเห็นตัวเองตามความเป็นจริง การรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง จากถ้อยคำพระเจ้า  ถึงเรื่องเกี่ยวกับพระคุณของพระเจ้าว่าเราบริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว มันเปรียบเหมือนเราเห็นตัวเราเองเป็นเจ้าสาว ใส่ชุดเจ้าสาว ยืนอยู่หน้ากระจก ท่านลองคิดดูว่าท่านเป็นเจ้าสาว ใครเป็นผู้ชาย นึกภาพตัวเองแต่งตัวเป็นผู้หญิงนิดหนึ่งคราวนี้ จะได้เห็นภาพ เจ้าสาวใส่ชุดอะไรมาตรฐานทั่วโลก สีขาว บริสุทธิ์ สะอาด เรียบร้อย มองอยู่หน้ากระจก แต่งตัวเสร็จปุ๊บ กำลังจะออกเดินทางไปนอกบ้าน ไปพิธีแต่งงาน  แต่งงานกับพระเยซู เจ้าบ่าวรออยู่ เรากำลังเดินทางไป ท่านเห็นตัวเองใช่ไหมเมื่อตะกี้นี้ ในกระจก สีขาวหมดเลย ท่านระวังตัวไหม? ท่านเดินไปขึ้นรถ ลงรถ ฝนตกแฉะๆ ท่านจะเดินแบบไม่ระวังไหม? ไม่สนใจอะไรเลยหรือเปล่า? ท่านจะระวังสุดชีวิตเลย ความสกปรกนั้น ไม่สามารถทำอะไรให้ท่านเปลี่ยนไปจากการเป็นเจ้าสาวได้ แต่ท่านรู้ตัวเองว่าเราใส่ชุดสีขาวมา เราต้องระวังเหลือเกิน

            เปลี่ยนใหม่ ถ้าท่านจะไปแต่งงาน แบบวัยรุ่นๆ แต่งชุด สมมติเป็นชุดพรางแล้วกัน  ชุดทหารพราน สีกลืนกับต้นไม้ไปเลย สีเทาๆ น้ำตาลๆ ดำๆ สกปรกๆ หน่อย ทาหน้า แบบแอบไป ท่านจะระวังไหม? เวลาท่านเดินออกจากบ้าน ท่านอาจจะระวัง แต่ระวังนิดเดียว ไม่ค่อยระวังหรอก  เพราะท่านถือว่าสกปรกไปแล้ว ให้สกปรกไปเลย ช่างมัน เหมือนกันอย่างนั้นแหละ เห็นภาพหรือยัง?

            เพราะฉะนั้น เราควรจะรู้จักความจริง เรื่องตัวเราเองในพระคริสต์เป็นอย่างไร? เรื่องความรักและพระคุณของพระเจ้าที่มีต่อเรา และทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว นั้นเป็นเช่นไร? ซึ่งเป็นความรักและพระคุณของพระเจ้าที่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ เราควรจะเรียนรู้จักพระคุณนี้ให้มากที่สุด เท่าที่จะมากได้ เป็นประโยชน์กับชีวิตเราเหลือเกิน เอเมนไหม? ชัดเจนเลยนะ

            ต่อจากครั้งที่แล้ว เราเรียน 1 ยอห์น 2:3 ที่พูดถึงว่า …

        1 ยอห์น 2:3 “ถ้าเรารักษาพระบัญญัติของพระองค์ เราก็รู้ว่าเรารู้จักพระองค์”

            เราเรียนรู้ไปแล้วว่าตรงนี้ บัญญัติหรือคำสั่งของพระเยซู ก็คืออะไร? ในยอห์น 13:34 …

        ยอห์น 13:34 “เราให้บัญญัติใหม่เพียงบัญญัติเดียวไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เราได้รักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น

            พระเยซูให้มาบัญญัติเดียว “เราได้รักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร? เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น”

            วันนี้เรามาต่อ 1 ยอห์น 2:4 …

        1 ยอห์น 2:4 “ผู้ใดที่กล่าวว่าข้าพเจ้ารู้จักพระองค์ แต่ไม่ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ ผู้นั้นเป็นคนโกหก และความจริงไม่ได้อยู่ในผู้นั้น”

            ความหมายคืออะไร? ความหมาย ก็คือผู้ใดที่อ้างว่า เห็นไหม? อาจารย์ยอห์นกำลังชี้ให้เห็นถึงโลกวิญญาณว่ามองดูข้างนอก ไม่ออกนะที่ประชุม คริสตจักร ไม่รู้คนไหนเป็นคริสเตียนแท้หรือไม่แท้ กำลังจะชี้ให้เห็นว่าถ้าเป็นคริสเตียนแท้ มันจะเป็นอาการอย่างนี้แหละ แต่ถ้าไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้ เป็นตัวแอบอ้างมานะ จะปฏิเสธพระเยซูอย่างนี้แหละ และจะมีอาการในวิญญาณแบบนี้แหละ

            “ผู้ใดที่อ้างว่าตนเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์ รู้จักพระเยซู ได้สามัคคีธรรมทางฝ่ายวิญญาณกับพระเยซู แต่ไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยความรักต่อพี่น้องคริสเตียนด้วยกัน  และต่อคนทั้งโลก ผู้นั้น ก็เป็นคนมุสา”

            ก็คือโกหก ไม่จริง  คือไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้จริงนั่นเอง ตะกี้นี้หมายความว่าอย่างนี้

            อาจารย์ยอห์นกำลังจะบอกว่าคนที่เป็นคริสเตียนและคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน  เช็คดูตัวเองว่าใช่ไหม? ท่านเป็นคริสเตียนผู้เชื่อในพระเยซูคริสต์หรือไม่? ใจของท่านรักพี่น้องคริสเตียนผู้เชื่อด้วยกันและรักคนทั้งโลกหรือเปล่า? ทุกคนสะดุ้งเลยคราวนี้  แต่เดี๋ยวก่อน ฟังอาจารย์ยอห์นชัดๆ แล้วเดี๋ยวจะอธิบายให้ฟัง ใจของท่านรักพี่น้องคริสเตียน ที่เชื่อด้วยกัน และรักคนทั้งโลกหรือไม่? อะไรของท่านที่รักคริสเตียนด้วยกัน และรักคนทั้งโลก อะไรนะเมื่อกี้นี้ที่ผมพูด “ใจ”  ความจริงอยู่ตรงนี้ ใจของท่านรักพี่น้องหรือเปล่า? รักอยู่ในใจ ในนี้กำลังบอกว่าเงื่อนไข คือรักอยู่ในใจ เดี๋ยวจะพาไปเรื่อยๆ จะเห็น

            ใจของท่านรักพี่น้องไหม? รักอยู่ในใจ แต่ภายนอก ความประพฤติต่างๆ นั้น อาจจะไม่ชอบ หลายคนยิ้มสบาย เมื่อกี้นั่งหน้าเครียดหมด รักไม่ไหว ถ้าอย่างนี้รักได้  แล้วมันเรื่องจริงด้วย รักจริงๆ เลย แต่ไม่ชอบ ใช้น้ำหอมคนละกลิ่น บุคลิกคนละอย่าง ความประพฤติคนละเรื่อง ชอบอาหารคนละอย่าง มันไม่สามารถจะชอบกันหมดทุกอย่างได้ รักในใจ รักเพราะอะไร? เพราะเขาประพฤติดีหรือ? ไม่ใช่ ไม่รู้จักเลยว่าเขาเป็นใคร? ไปเจอกันที่ขั้วโลกเหนือ เจอเป็นครั้งแรก ไม่รู้เรื่องเลย  แต่รู้ว่าเขาเป็นคริสเตียน ข้างใน ทำไม? แอบรักเธออยู่ในใจแล้ว รักในใจ ที่เขาเป็นตามบัญญัติพระเจ้าที่บอกเมื่อตะกี้ เป็นคริสเตียนจริง รักที่เขาเป็นมนุษย์คนหนึ่งของโลกนี้  ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา  แต่อาจจะไม่ชอบบางอย่างที่เขาทำก็ได้ ไม่ชอบความประพฤติบางอย่างของเขาก็ได้ เช่น ขับรถเวียนหัว อาจจะมาชาร์ทเงินเขาเกินกว่าที่สมควร ก็ได้  ทั้งๆ ที่เป็นคริสเตียน เป็นไปได้ไหม? นี่ผมพูดเกินเหตุไปนะ จะได้เห็นชัดๆ เป็นไปได้

            ในข้อนี้เน้นถึงความสำคัญในการดำเนินชีวิต เป็นความรักอย่างแท้จริง ทางวิญญาณ เป็นความรัก ไม่ใช่มีความรัก เป็นความรัก ไม่ใช่คิดว่าจะรักเขา แต่ท่านเป็นความรัก ในวิญญาณท่านมันเป็น สถานะทางวิญญาณ เป็นความรัก  ในฐานะคริสเตียน ผู้เชื่อ ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูแล้ว เราถูกนำให้ดำเนินชีวิตในความรักนี้ ในความสว่างนี้ และดำเนินชีวิตให้สมกับฐานะของลูกพระเจ้านี้ ก็คือมีความประพฤติตามความเป็นจริงของวิญญาณ

            ซึ่งตรงนี้ไม่ได้หมายความว่าเราต้องอยู่ภายใต้กฎบังคับ ให้เรารัก ต้องรักเขานะ ต้องชอบเขา ไม่ใช่ หรือให้เราพยายามรักษาบัญญัติของพระเจ้าว่าต้องรักเขา  เพื่อให้ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า ให้เราทำตามบัญญัติ จะได้พระพร แต่จริงๆ แล้วเป็นการแสดงถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในวิญญาณของเรา ผ่านการได้รับการบังเกิดใหม่  และการร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ คือได้รู้จักกับพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์

            เมื่อเรามีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง สนิทสนมกับพระเยซูคริสต์อย่างแท้จริงอย่างนี้ เป็นคริสเตียนอย่างแท้จริง เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์อย่างนี้ ความรักและความจริงของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ที่อยู่ในเราที่เกิดใหม่นั้น  ก็จะไหลผ่านเรา อย่างเป็นธรรมชาติ ออกมา ในการดำเนินชีวิต นำเราให้ดำเนินชีวิตในลักษณะที่แสดงถึงพระลักษณะของพระเจ้า ซึ่งเป็นความรัก เหมือนกับเราเลย  เราเหมือนกับพระองค์เลย เอเมน มันก็ไม่ได้เป็นภาระเลย ถูกไหม?

            นี่ไม่ใช่เป็นการสอน  หรือเป็นการบังคับ จากถ้อยคำพระเจ้า ที่อาจารย์ยอห์นบอก ไม่ใช่เป็นการให้เชื่อฟังอย่างเคร่งครัด แบบศาสนาว่าท่านต้องรักซึ่งกันและกัน ท่านเป็นศิษย์ของเรา ท่านต้องรักซึ่งกันและกัน ไม่ใช่แบบนั้น ไม่ใช่เป็นการบังคับ ฝืนใจ ถ้าไม่ทำ จะถูกลงโทษ  ถ้าไม่ทำ ไม่ได้พระพร แต่เป็นเรื่องของผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายในเรา และผลของวิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระองค์เข้ามาสถิตอยู่กับเรา ภายในเรา ดำเนินชีวิตไปกับเรา นำพาเรา ในการดำเนินชีวิตตามธรรมชาติ คือเป็นความรัก แบบธรรมชาติ

            เพราะฉะนั้น การกระทำของเรา ความประพฤติของเรา เป็นเพียงการตอบสนองต่อความรัก แสดง สำแดงถึงพระคุณของพระเจ้า ที่กระทำในวิญญาณของเราออกมา ซึ่งวิญญาณของเราเป็นความรักนั้น เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว  บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ใช่เป็นการที่จะแสวงหา หรือการจะได้รับความรักจากพระเจ้ามากขึ้น ไม่ใช่ ไม่ต้องแสวงหาแล้ว สำแดงออกมาสิ มีอยู่แล้ว สำแดงออกมา ไม่ต้องไปแสวงหาความรักให้มากขึ้น  จะพยายามรักคนนี้ให้มากขึ้น ขอพระเจ้าประทานความรักมาให้กับเรา ไม่ต้องแล้ว ขอพระเจ้าประทานสติปัญญาให้กับเรา ที่จะสามารถสำแดงความรัก ที่เราเป็นความรักนี้ออกมาต่างหาก ตรงนี้สำคัญกว่าเยอะ

            เพราะความรักเป็นของประทานจากพระเจ้า มนุษย์สร้างเองไม่ได้ กำลังพูดถึงความรักจริงๆ ความรัก แบบที่พระคัมภีร์เรียกว่าความรักแบบอากาเป้ ในภาษาเดิม ความรักที่พูดถึงตรงนี้ จะมีลักษณะ เป็นความรักชนิดไหน? ไม่ใช่เป็นความชอบ ชอบพอ แต่เป็นความรักแบบอากาเป้ คือแบบพระเจ้า อธิบายเป็นภาษามนุษย์ ไม่สามารถเข้าใจได้ เรียกว่าความรักแบบอากาเป้ หรือความรักแบบสมบูรณ์แบบ คือแบบพระเจ้านั่นเอง

            ความรักแบบสมบูรณ์อย่างนี้ เป็นความรักที่เป็นของประทาน มาจากพระเจ้าอย่างเดียว มีในพระเจ้าเท่านั้น เราไม่สามารถรักพระเจ้าได้มากกว่านี้อีกแล้ว เพราะว่าความรักที่พระเจ้าให้กับเรานั้น เป็นความรักที่มาก และสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว เป็นแบบอากาเป้แล้ว ไม่มีมากกว่านี้อีกแล้ว และพระเจ้าก็ไม่สามารถรักเราได้มากกว่านี้อีกแล้ว เพราะพระองค์ทรงรักเรา เป็นความรักที่สมบูรณ์แบบอากาเป้เรียบร้อยไปแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่ตายที่ไม้กางเขน มันเรียบร้อยไปหมดแล้ว จะมาขอให้พระเจ้ารักเรามากขึ้น ไม่มีแล้ว มันหมดแล้ว เข้าใจหรือเปล่าครับ? มันจบแล้ว มันไม่มีแล้ว  ไม่ต้องไปขอมากขึ้น พระเจ้ารักเราหมดแล้ว แล้วเราก็มีความรักแบบนี้แหละ เพราะพระเจ้าใส่ความรักเหล่านั้นมาให้กับเรา ตอนเราบังเกิดใหม่ เราก็รักพี่น้องเหมือนกันอย่างนั้นเลย ภายในใจ

            เพราะความรักของพระเจ้าที่เรามีอยู่ในวิญญาณ เป็นอมตะนิรันดร์  เป็นความรักที่เหมือนพระเจ้า เป็นความรักที่สุดๆ แล้ว สมบูรณ์แบบแล้ว พระเจ้าเป็นผู้ใส่ความรักชนิดนี้ เข้ามาในวิญญาณของเรา ซึ่งอยู่ในใจของเรา ตอนบังเกิดใหม่ ในหนังสือเอเฟซัส 6:23-24 ได้พูดในลักษณะนี้ …

        เอเฟซัส 6:23-24 “ขอพระคุณดำรงอยู่กับคนทั้งปวง ที่รักองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยความรักอันไม่เสื่อมสลายนิรันดร์”

            เหมือนกับผมอธิษฐานให้กับท่านตอนนี้ หรือว่าบอกท่านตอนนี้ คริสเตียนรักพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ ที่ไม่เสื่อมสลาย เอเมน นี่คือความสามารถของท่าน ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียนแล้ว ความสามารถนี้ได้มาเมื่อไร? ต้องฝึกฝนท่านนานเท่าไร? ได้มาวิธีเดียว ไม่ต้องฝึกฝนเลย ก็คือได้มาตอนที่ท่านเปิดใจสารภาพบาปว่าเป็นคนบาป แล้วต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามา ความรักนี้เข้ามา สมบูรณ์อยู่ในตัวท่านเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน จากนี้ต่อไป เป็นเรื่องเวลาของการฝึกฝน ที่จะให้ความรักนี้ออกมาได้ด้วยวิธีใด ด้วยความประพฤตินั่นเอง

            เพราะฉะนั้น ในฐานะคริสเตียนผู้เชื่อ ต้องจำแล้วจำอีกเลย พูดง่ายๆ ว่าพยายามยัดเหยียดใส่ความจริงเหล่านี้เข้าไปในความคิดเดิมๆ ของเรา ความคิดเก่าๆ ที่ติดอยู่กับระบบของโลกนี้ ระบบศาสนา ระเบียบอะไรต่างๆ บัญญัติต่างๆ เยอะแยะไปหมด ใส่ตรงนี้เข้าไป ฉันเป็นความรักแล้ว แม้ว่าฉันเกลียดคนนี้ก็จริง จริงๆ ในใจฉันไม่ได้เกลียดเขาสักหน่อยเลย เอเมนไหม? ต้องจำตรงนี้ไว้ให้ดีๆ เพราะเราเป็นคริสเตียนผู้เชื่อแล้ว เพราะเราได้รับการอภัยเรียบร้อยแล้ว ได้รับความรักครบถ้วนบริบูรณ์จากพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว  และความสามารถนี้ก็อยู่ในตัวเราอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เรามีความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบกับพระเจ้า ก็คือเรารักพระเจ้าด้วยสุดหัวใจจริงๆ เพราะพระเจ้ารักเราก่อน และให้ความรักของพระองค์ใส่ในตัวเรา เราก็เลยสามารถที่จะรักพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ

            เพราะฉะนั้น เราสามารถรักพระเจ้าด้วยสุดหัวใจ เพราะเราดี  เพราะเราอธิษฐานเยอะ ใช่หรือไม่? ไม่ใช่ อธิษฐานเยอะๆ ท่านจะได้รักพระเจ้ามากๆ ใช่หรือไม่ใช่? ไม่ใช่ เรารักพระเจ้าได้สุดๆ เพราะว่าพระเยซูคริสต์กระทำการงานสำเร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน ทำให้เราได้บังเกิดใหม่ สมบูรณ์แบบ เป็นเหมือนพระองค์ เอเมน

            และตัวตนใหม่ของเรา ที่เป็นความรัก ที่อยู่ในพระคริสต์ ทำให้เขามีพลัง ในการดำเนินชีวิตด้วยความรัก ตามพระบัญญัติของพระเยซู แล้วคราวนี้ จากแรงบันดาลใจของความรักและความกตัญญู ไม่ใช่ความจำเป็น ฝืนใจ ต้องการทำตามกฎบัญญัติ  ไม่ใช่เลย เรามีอิสรภาพ แต่ในใจเราเป็นอย่างนี้เอง คือแอบรักเธออยู่ในใจ ต้องแอบจริงๆ คือรักอยู่ในใจ แต่ภายนอก อย่างที่บอก อาจจะไม่ชอบหลายอย่าง ภายในวิญญาณและใจนั้น มันสมบูรณ์แบบเรียบร้อยไปแล้ว  แต่ความประพฤติที่บอก ความประพฤติต้องฝึกฝน ปฏิบัติตน พระคัมภีร์จึงบอกให้เรา ปฏิบัติ ประพฤติตน ให้สมกับที่เป็นคริสเตียน เป็นความรัก เป็นลูกแห่งความสว่าง เป็นผู้ที่ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว ให้ท่านประพฤติ ปฏิบัติตัวให้สม

            “สม” แปลว่าอะไร? ก็ให้ฝึกฝนไปสิ  แล้วจะฝึกฝนไปถึงเมื่อไร? จนกว่าจะหมดลมหายใจบนโลกใบนี้แหละ แล้วหมดลมหายใจบนโลกใบนี้ จะทำสำเร็จไหม? ไม่สำเร็จหรอก บอกให้ฟังเลย ไม่มีวันสมบูรณ์แบบหรอก  จะสมบูรณ์แบบเมื่อท่านหมดลมหายใจ เมื่อวิญญาณท่านออกจากร่าง หายใจเฮือกสุดท้ายนั่นแหละ สมบูรณ์แบบทันที เพราะว่าเมื่อวิญญาณท่านออกจากร่าง พระเจ้าเตรียมร่างกายใหม่ให้กับท่าน เป็นร่างกายที่เหมือนกับพระเยซูคริสต์ คราวนี้แหละ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ทั้งวิญญาณ จิตใจและร่างกาย ขอบคุณพระเจ้า เรามีความหวัง ….

        1 ยอห์น 2:5-6 “แต่ถ้าผู้ใดเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ ความรักของพระเจ้า ก็เต็มบริบูรณ์อยู่ในผู้นั้นด้วยวิธีนี้ เราจึงรู้ว่าเราอาศัยอยู่ในพระองค์ คือผู้ใดอ้างว่าอยู่ในพระองค์ผู้นั้น ต้องดำเนินชีวิต อย่างที่พระเยซูได้ทรงดำเนิน”

            อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นอีกแล้วว่าคนที่อ้างเป็นคริสเตียนไม่แท้กับคนที่เป็นคริสเตียนแท้ ดูตรงไหน? … “ด้วยวิธีนี้ เราจึงรู้ว่าเราอาศัยอยู่ในพระองค์ คือพระคริสต์ คือผู้ใดอ้างว่าอยู่ในพระองค์ ผู้นั้น ต้องดำเนินชีวิตอย่างที่พระเยซูทรงดำเนิน “ต้อง” เลยนะ เห็นหรือยัง? ชัดเลย  ต้องโดยอะไร? ต้องโดยบังเกิดใหม่

            เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นคริสเตียน บังเกิดใหม่ อาศัยอยู่ในพระคริสต์แล้ว ก็คือเราคนนั้น ดำเนินชีวิตด้วยความรักของพระเจ้า รักแบบอากาเป้ รักแบบสมบูรณ์ท่วมท้นล้นอยู่ในใจ ไม่ใช่ล้นอยู่ในความคิด  มันเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ล้นอยู่ในความรู้สึก มันเป็นไปไม่ได้ ไม่ใช่ล้น …

            “ฉันรู้สึกรักเธอเหลือเกิน” ไม่ใช่

            ไม่ใช่ล้นอยู่ด้วยตามองเห็น  “ฉันรักคนนี้มากเลย เขาเป็นคนดีมากเลย ทำดีมากเลย” ไม่ใช่

            แต่รักเพราะ “มันเป็นคุณสมบัติของฉันในใจที่เกิดใหม่ต่างหาก” มันเป็นอย่างนั้น

            ก็คือคนนั้น ต้องดำเนินชีวิตด้วยความรักแบบพระเจ้า ท่วมท้นล้นอยู่ในใจ รักใคร? รักจากในวิญญาณ ต่อผู้คนทั่วๆ ไปรอบข้าง

            แล้วรู้ได้อย่างไรว่ารัก? ก็อย่างที่ตะกี้นี้ที่บอกว่าไปที่ไกลๆ ไม่รู้จักกันเลย แต่พอรู้ว่าเป็นคริสเตียน ก็ทำไม? ก็รู้สึกว่ารักเขาเหรอ? ไม่ใช่ เพราะรู้สึกอาจจะไม่ชอบด้วยซ้ำ  ทำอะไรบางอย่างไม่ดี แต่พอรู้ว่าเขาเป็นคริสเตียน ข้างใน เซนต์อะไรบางอย่าง เซนส์ตรงนี้ ข้างในลึกๆ พระคัมภีร์ไม่รู้จะบอกว่าอะไร? ภาษาไทย เขาเรียกว่า …

            “ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ

            ไม่ใช่ … “ข้ารู้ เพราะอยู่ในความคิด” … “ข้ารู้ เพราะอยู่ในความรู้สึก” … “ข้ารู้ เพราะอยู่ในบัญญัติ” … “ข้ารู้ เพราะว่าพาสเตอร์สั่งให้มา” … “ข้ารู้ เพราะข้าต้องทำ” … “ข้ารู้ เพราะเขาทำดี” ไม่ใช่

            “ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ”

            เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่าเราเป็นคนที่ลำเอียง ไม่ยุติธรรมเท่าไร? ข้ารู้ เพราะข้ารักคริสเตียนมากกว่า

            เราเป็นความรัก เรารักทุกคนหมดบนโลกใบนี้ เหมือนพระเยซู พระเยซูทรงรักมนุษย์ทุกคน บนโลกใบนี้ ไม่ใช่ชาวยิวอย่างเดียว  แต่คนที่ไม่ใช่ยิวด้วย ก็คือคนทั้งโลก พระเยซูทรงรักคริสเตียนเท่าๆ กันกับคนที่ไม่ใช่คริสเตียน เพราะพระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน สละพระโลหิตของพระองค์เอง เพื่อคนทั้งปวง คือคนที่เป็นคริสเตียน และคนที่ไม่ใช่คริสเตียนด้วย รักเท่าๆ กันหมดเลย  เพียงแต่เขาไม่รู้ความจริง  เพราะฉะนั้น เราเป็นเหมือนพระเยซู เราจึงรักคนทั้งโลก เหมือนกับพระองค์ แต่นิดหนึ่ง เรารักคนที่บังเกิดใหม่แล้วมากกว่า เพราะว่า “ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ” ไม่รู้จักกันเลย แต่รัก ยอมได้ อะไรต่างๆ เหล่านั้น รักและอภัยให้ได้เสมอ เหมือนกับที่พระเยซูได้ยกตัวอย่างให้กับเปโตรว่าพระเจ้าต้องการอย่างนี้ ท่านทำได้ไหม?

            เปโตรถามว่า “ถ้าพี่น้องทำผิดต่อข้าพระองค์ ข้าพระองค์ต้องอภัยให้เขากี่ครั้ง? 7 ครั้งได้ไหม?

            7 ครั้ง ก็คือสมบูรณ์แบบมนุษย์แล้วนะ หมายเลข 7 เป็นหมายเลขแห่งความสมบูรณ์ 7 ครั้งได้ไหม? เปโตรกำลังบอกว่าอภัยให้เขา รักเขา ทำสุดความรักของมนุษย์ คือพยายามเต็มที่ ตามศาสนาแล้ว ได้ 7 ครั้ง ถือว่าสมบูรณ์แบบ 7 ครั้งก็ทำไม่ได้แล้ว

            พระเยซูบอกว่า “ใครบอกเธอ 7 ครั้ง ฉันจะบอกให้พระเจ้าต้องการให้เธอยกโทษ อภัยให้เขา 70x7 ครั้ง ไม่มีทางทำได้เลย พระองค์กำลังจะบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก ทำไม่ได้หรอก นอกเสียจากเธอจะได้บังเกิดใหม่ พระเจ้าใส่ความรักของพระองค์เข้ามาในวิญญาณเธอ นั่นแหละ เธอถึงทำได้” เอเมน

            แล้วคนก็ไม่เข้าใจ ก็เอาไปประพฤติใหญ่เลย พระเยซูสั่งให้ 70×7 ครั้ง เพราะฉะนั้น เราต้องอภัยๆ เขาตบข้างขวามา เราต้องหันแก้มซ้ายให้เขาตบ เขาอยากได้เสื้อ เราเอาเสื้อคลุมให้เขาเลย ทำหรือเปล่า? ไม่ได้ทำสักหน่อยเลย ทำไม่ได้ ใครทำได้บ้าง? ยกมือขึ้น มาทดลองดูสักหน่อยสิ มันทำไม่ได้ พระเยซูไม่ได้มาสอนให้เราทำ กำลังมาชี้ให้เห็นว่าเราทำไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้น ต้องพึ่งพระองค์ วางใจในพระองค์ พอเกิดใหม่นั่นแหละ ถึงทำได้ ในใจๆ เกิดใหม่แล้ว 1 ยอห์น 2:6 …

        1 ยอห์น 2:6 “ผู้ใดที่อ้างว่าเขาอยู่ในพระองค์  ผู้นั้นจะดำเนินชีวิตเหมือนที่พระองค์ ได้ดำเนินชีวิต”

            ผู้ใดที่คิดว่าตัวเองเป็นคริสเตียน เกิดใหม่แล้วจริงๆ ก็คือเขาอยู่ในพระองค์ อ้างว่าเขาอยู่ในพระองค์ คือเขาเป็นคริสเตียน ผู้ใดที่อ้างว่าเป็นคริสเตียน อาศัยอยู่ในพระคริสต์ ในสมัยนั้นนะ ก็มีคนอ้างว่าเขาก็ได้รู้จักพระเยซูคริสต์ เขาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์เหมือนกัน เขาก็เป็นคริสเตียนนะ อาจารย์ยอห์นก็เลยบอกว่าผู้ใดที่อ้างว่าเขาเป็นคริสเตียน อาศัยอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้น ก็จะดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์

            คนนั้นต้องดำเนินชีวิตเหมือนพระเยซูคริสต์ที่ได้ดำเนินชีวิต ตรงนี้หมายถึงอะไร? คนก็เอาไปใช้ ดำเนินชีวิตเหมือนพระเยซูคริสต์ ก็หมายถึงทำอัศจรรย์เหมือนพระองค์ ต้องไล่ผีเหมือนพระองค์ วางมือรักษาโรค ทำการอัศจรรย์ในพระองค์ สั่งต้นไม้ให้มันตายได้ สั่งภูเขาให้ลงไปในทะเล สั่งอะไรต่างๆ เหล่านั้น ใช่หรือเปล่า? เรารู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่ นี่เขาพูดถึงอะไร?

            อย่างที่เคยบอกไง มันต้องดูบริบท ในนี้เขาพูดถึงอัศจรรย์บ้างไหมเนี้ย ตั้งแต่เรียนมา ตั้งแต่ 1 ยอห์น บทที่ 1 เริ่มต้นมา เขาพูดถึงอะไรตอนนี้ ความรักๆ ความรักแบบอากาเป้ ความรักแบบพระเจ้า ความรักที่สมบูรณ์แบบ การดำเนินชีวิตด้วยความรัก พระเยซูดำเนินชีวิตด้วยความรัก รักมนุษย์ทุกคน รักคนที่เป็นคริสเตียน และไม่ได้เป็นคริสเตียนเท่ากันทั่วโลก รักคนทั้งหมดทั่วโลก จึงยอมตายที่ไม้กางเขน เพื่อเราทั้งหลาย ไม่ว่าจะยิวหรือไม่ยิวก็ตาม รักหมดทุกคนเลย สมัยก่อนยิวไม่ชอบคนที่ไม่ใช่ยิว เรียกว่าคนต่างชาติ รังเกียจเขา แต่อาจารย์ยอห์นกำลังบอกว่าถ้าเป็นคริสเตียนแล้ว รักหมด เหมือนพระเยซูรัก เพราะพระเยซูรักพวกเธอชาวยิว บอกว่ารักมากเท่าไร? พระเยซูก็รักคนต่างชาติที่เธอเกลียดนั่นแหละมากเท่านั้น เพราะฉะนั้น พระเยซูรักหมด ตอนนี้ เธอต้องดำเนินชีวิตด้วยความรักอย่างนี้ คือรักคนที่เป็นคริสเตียนและไม่ใช่คริสเตียน ก็รักหมดเลย แล้วเธอทำได้ด้วย เพราะฉันเป็นคนใส่ความรักนี้ ลงไปในตัวเธอ ให้เธอเหมือนกับฉัน พยายามดำเนินชีวิตบนโลกนี้แล้ว เอเมน แล้วก็เอาไปทำตาม แล้วมันเกิดไหมล่ะ ท่านรู้อยู่แล้ว อัศจรรย์เกิดไหม? ดำเนินชีวิตเหมือนพระเยซูสิ ต้องมีอัศจรรย์เกิดขึ้น เอาว่ากันไป

            พระเยซูดำเนินชีวิตด้วยความรัก แต่เรากำลังบอกว่าเราดำเนินชีวิตด้วยการอัศจรรย์ ท่านคิดดูก็แล้วกัน อาจารย์ยอห์นกำลังบอกว่าให้ดำเนินชีวิตด้วยความรัก เพราะถ้าท่านไม่ได้เป็นคริสเตียน ท่านจะอยู่ตรงกันข้าม ถ้าท่านเป็นคริสเตียน ท่านต้องดำเนินชีวิตด้วยความรักแบบพระเยซูคริสต์ รักคนทั้งโลก รักคนที่อยู่รอบข้าง และสำคัญที่สุด รักพระเยซู ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ทำอย่างนี้ไม่ได้ ก็คือคุณไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้จริง คุณอยู่ในความเกลียดชัง ในใจคุณมีแต่ความเกลียดชัง เกลียดชังใคร? เกลียดชังมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ตรงกันข้ามเลย คุณอยู่ในความมืด  อยู่ในความเกลียดชัง แม้ข้างนอก คุณทำตัวเหมือนรักกัน แต่ในใจคุณเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เต็มไปด้วยฆ่า ขโมย และทำลาย ทั้งพระเยซูคุณก็เกลียด ปฏิเสธพระเยซู คุณเกลียดโลกใบนี้ คุณทำอะไรก็หงุดหงิดไปหมด  ไม่มีอะไรดีสักอย่าง คุณอยู่ตรงกันข้าม คุณไม่ใช่คริสเตียนนั่นเอง  และความเกลียดชังนี้อยู่ภายในคุณ ตรงกันข้ามกับคริสเตียนนะ ความรักอยู่ภายในเรา ความเกลียดชังอยู่ภายในคุณ  พระเยซูบอกว่าโลกนี้เกลียดชังเราอย่างไร? โลกนี้ก็เกลียดชังท่าน คือคริสเตียนอย่างนั้น  เพราะมันอยู่ตรงกันข้ามกัน ความมืดกับความสว่าง ยอห์น 4:17 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 4:17 “ในการได้ (บังเกิดใหม่) เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์”

            เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์ คือเราคริสเตียนเป็นความรักเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย ภายในวิญญาณและจิตใจ โรม 8:29 ก็บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 8:29 “เพราะว่าบรรดาผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงรู้จักได้รัก และได้เลือกสรรไว้ล่วงหน้าแล้วนั้น พระองค์ได้ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ก่อนสร้างโลกแล้วว่าเขาทั้งหลายจะได้รับการเปลี่ยนแปลง(บังเกิดใหม่) จนกระทั่ง ให้เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์ (พระเยซู) และเข้าส่วนร่วมในความบริสุทธิ์ ปราศจากบาป อย่างสมบูรณ์ที่สุดเหมือนพระองค์”

            “เขาทั้งหลายจะได้รับการเปลี่ยนแปลง หรือได้บังเกิดใหม่ จนกระทั่งให้เป็นเหมือนพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซู และได้เข้าส่วนร่วมในความบริสุทธิ์ ปราศจากบาป อย่างสมบูรณ์ที่สุด เหมือนพระองค์ ก็คือพระองค์เป็นความรัก ไม่ใช่เกลียดชัง โกรธเคืองกัน ทำร้ายทำลายโลกและมนุษย์ด้วยกันเอง  อยู่ตรงกันข้ามกัน  แต่เหมือนพระองค์ ก็คือรักมนุษย์ทั้งปวง ด้วยความรักของพระเจ้า

                        “ฉันรักคุณด้วยความรักของพระเจ้า

                        ฉันเห็นภายในคุณ ราศีของพระเป็นเจ้า

                        ฉันรักคุณด้วยความรักของพระเจ้า”

            เราจะเห็นราศีของพระเจ้าไม่ใช่แค่ในชีวิตคริสเตียนอย่างเดียว ถึงแม้เขาไม่ได้เป็นคริสเตียน เราก็เห็นราศีของพระเจ้าอยู่ในชีวิตของเขาแล้ว เพียงแต่เขาไม่รู้ เขายังไม่ได้มาใช้สิทธิของเขา  แต่พระเยซูก็รักเขา พระเยซูมองเขา ตอนที่เขายังไม่เชื่อพระเจ้า ตอนที่เรายังไม่ได้เป็นคริสเตียนนั้น มองเราอย่างไร? มองเราว่าเต็มไปด้วยราศีของพระเจ้า เราเป็นลูกของพระองค์ที่หลงหายไป เขาก็เป็นลูกของพระองค์ที่หลงหายไปเท่านั้นเอง พูดตรงๆ เราต้องรักเขามากกว่ารักคริสเตียนด้วยซ้ำ แต่นี่มันไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติ เขาคือราศีของพระเจ้าที่หลงหายไป เหมือนเราในอดีต พระเจ้าอวยพรครับ

******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

                        “เพราะพระคริสต์ทรงอยู่    เราเผชิญพรุ่งนี้ได้

                        เพราะพระคริสต์ทรงอยู่      ความกลัวสิ้นไป”

            แค่เพียงยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือ แล้วเปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์ เข้ามาสถิตอยู่ภายในใจเท่านั้น

            ฮีบรู 13:5 … “จงรักษาชีวิตของท่าน ให้เป็นอิสระจากการรักเงินทอง และจงพอใจในสิ่งที่ตนมี (คือมีความสุขในทุกสถานการณ์) เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งท่าน เราจะไม่มีวันละทิ้งท่าน”

            พระเจ้าตรัสว่าพระองค์จะไม่ละเราให้อยู่ลำพัง ไม่ทอดทิ้งเราให้เป็นลูกกำพร้า เมื่อก่อนเราเป็นคนบาป ไม่มีพระเจ้า แต่ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระองค์จะไม่ทอดทิ้ง พระองค์จะดูแลเอาใจใส่ ประคับประคองเรา

            ดังนั้น ให้เราพอใจคือ มีความสุขได้ เพราะว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในฉัน ฉันพอใจแล้ว ฉันได้รับสารพัดทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่รออีกแป๊บนึง ชั่วขณะเดียวเท่านั้นเอง

            เราจึงอดทนรอคอย ที่จะได้รับพระเกียรติสิริ ร่วมกับพระเยซูคริสต์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์นั่นเอง

            โคโลสี 1:27 … “คือพระคริสต์สถิตในท่าน  เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”

            ให้เราดำเนินชีวิต ด้วยการตระหนัก รับรู้ความจริงนี้อยู่เสมอว่า …

            – พระคริสต์สถิตในฉัน เป็นความหวังที่ฉันได้รับเกียรติสิริร่วมกับพระองค์ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ บนโลกนี้จนถึงโลกหน้านิรันดร์ เมื่อฉันจากโลกนี้ไปแล้ว

            – ขณะนี้พระคริสต์สถิตในฉัน จะนำพาฉันผ่านทุกๆ สถานการณ์บนโลกใบนี้

            – พระคริสต์สถิตในฉัน ฉันจึงไม่กลัว

            – พระคริสต์สถิตในฉัน ฉันจึงไม่วิตกกังวลในเรื่องใดๆ เลย

            – พระคริสต์อยู่ในฉัน และฉันอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกันชั่วนิรันดร์

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1477

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  7  กรกฎาคม  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 3 “คริสเตียนเป็นความรัก เหมือนพระเยซูเป็นความรัก”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            ซีรี่ย์ “หนังสือ 1 ยอห์น ตอน 3 คริสเตียนเป็นความรัก เหมือนพระเยซูเป็นความรัก”

            1 ยอห์น ตอนที่ 1 คือเรื่อง “พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และยอมถ่อมลงมาเกิดในร่างกายมนุษย์จริงๆ”

            1 ยอห์น ตอนที่ 2 คือเรื่อง “พระเจ้าได้ลบบาปทั้งปวง ไม่ใช่เพียงบาปของคริสเตียนเท่านั้น แต่บาปทั้งปวงของคนทั้งโลกด้วย 2,000 ปีมาแล้ว”

            วันนี้มาถึง 1 ยอห์น ตอนที่ 3 คือเรื่อง “คริสเตียนเป็นความรัก เหมือนพระเยซูเป็นความรัก”

            การได้รู้ความจริงในเรื่องโลกวิญญาณที่พระเจ้าได้กระทำให้เราเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นพระคุณ เขาเรียกกันว่าข่าวดีแห่งพระคุณ ก็คือความจริงในเรื่องของพระเยซูคริสต์นี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระคุณของพระเจ้า  ที่ได้อภัยในความบาปทั้งปวง ทั้งสิ้น ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต จนถึงนิรันดร์ให้กับมวลมนุษย์ทั้งปวงเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือพระคุณ ทำให้เรารู้ความจริงเหล่านี้ รักและระลึกถึงพระคุณของพระองค์อย่างมากมาย ยิ่งรู้มาก ยิ่งระลึกถึงกตัญญูถึงพระคุณของพระองค์มากขึ้น

            แล้วถามว่า … “การรู้ความจริงเหล่านี้ ทำให้เราทำบาปมากขึ้นหรือ?”

            จากการเรียนรู้เมื่อตอนที่แล้ว ท่านก็สามารถตอบว่า “ไม่ใช่เลย” ไม่ใช่รู้แล้ว ก็ไปทำบาปมากขึ้น คำตอบก็คือมันเป็นไปไม่ได้ เราเรียนรู้ไปครั้งที่แล้ว ตรงนี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นอย่างนั้น ในหนังสือ 1 ยอห์น บทที่ 2 ครั้งที่แล้วที่เราได้เรียนรู้ อาจารย์ยอห์นก็ได้บอกว่าที่ให้ท่านได้เรียนรู้ถึงพระคุณความจริงเหล่านี้ เขียนให้ท่านมารับรู้ซึ่งพระคุณเหล่านี้ของพระเจ้า  ไม่ใช่ เพื่อท่านจะไปทำบาป เราได้เรียนรู้ไปแล้วนะ อาจารย์ยอห์นก็ยังบอก ไม่ใช่ เพื่อท่านจะไปทำบาป  แต่เขียน เพื่อท่านรู้ แล้วท่านจะไม่ทำบาป ถ้าไม่รู้ ท่านก็ทำบาป ถ้ารู้มาก ท่านก็ทำบาปน้อย ถ้ารู้น้อย ท่านก็ทำบาปมาก นี่อาจารย์ยอห์นพูดเลย

            เพราะฉะนั้น มันเป็นไปไม่ได้ที่เราจะคิดว่ามารู้ความจริงเหล่านี้ พระเจ้าอภัยในความบาปผิดให้กับเราเรียบร้อยแล้ว  ทั้งอดีต ปัจจุบัน ถึงอนาคต  อนาคตจะทำอะไรต่างๆ ก็ไม่ต้องถูกลงโทษแล้ว ท่านรู้อย่างนี้ ก็ทำบาปเยอะแยะเลย นี่คิดแบบมนุษย์ แต่ลึกๆ ในวิญญาณ อาจารย์ยอห์นยืนยันตามนี้  และเราก็รู้และยืนยันตามนี้จริงๆ  พระเยซูตรัสว่าได้มาก ก็ให้มาก  รู้ถึงพระคุณมาก  ก็สามารถให้ได้มาก รู้ถึงพระคุณว่าพระองค์ทรงกระทำให้กับเรามาก  ก็กตัญญูมาก รู้น้อย ก็กตัญญูน้อย  พระเยซูตรัสเช่นนั้น ตอนที่เดินสอนอยู่บนโลกใบนี้ รู้ถึงพระคุณความรักของพระเจ้าที่ให้เราเปล่าๆ ฟรีๆ เลย จากการเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย พอเรารู้ตรงนี้ปุ๊บ เราจะไม่ทำบาป

            ซึ่งถ้าไม่รู้ เราก็นึกว่าเราได้พระคุณครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่ง เราเป็นคนดีเอง เราปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบเพิ่มเติมขึ้น เพราะฉะนั้น พระเจ้ารักเราดีครึ่งหนึ่งด้วย แล้วเราก็คอยชี้นิ้วคนอื่นว่าคนอื่นทำไม่ค่อยดีเลย เราดีกว่า เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ ก็จะทำบาปมากขึ้นกว่าคนที่รู้พระคุณของพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น การสอนเรื่องความจริงเรื่องพระคุณของพระเจ้าอย่างนี้ อย่างที่เรากำลังเรียนรู้จากอาจารย์ยอห์นเหล่านี้ คือการอภัยโทษบาปทั้งสิ้นของมวลมนุษยชาติ รวมทั้งตัวเราด้วยที่รับรู้และรับเชื่อแล้ว เป็นการอภัยโทษบาปทั้งหมดทั้งสิ้นที่พระเยซูได้กระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว สำเร็จแล้ว มันไม่ได้เป็นการส่งเสริมให้คริสเตียน ผู้เชื่อทำบาปมากขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว เอเมน แต่มันเป็นการเน้นถึงพระคุณความรัก ความเมตตาของพระเจ้า ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจ เป็นพลัง เป็นความหวังให้กับคริสเตียน หรือผู้เชื่อทั้งหลาย ให้เราดำเนินชีวิตในทางที่ถูกต้องตามความจริง

            ความจริงจะเป็นฤทธิ์เดชอำนาจจะทำให้เราเป็นอิสระ เป็นไทจากการถูกล่อลวงของมาร ให้เรายอมให้มันนำไปทำบาป เอเมนไหม? เหมือนกับตอนนี้ เขาเอาความจริง การหลอกลวง ล่อลวงของมิจฉาชีพในโซเซียสมีเดียมาเปิดเผยความจริงให้เรารู้ เรารู้มากเท่าไร? เราก็ถูกหลอกน้อยเท่านั้น ถ้าเราไม่รู้ เรารับโทรศัพท์ แล้วก็ทำตามเขา ก็ถูกหลอก ก็เหมือนกัน ไม่มีผิดเลย

            พระคัมภีร์บอกเราอย่างนี้ ในทิตัส 2:11-12 ดูพระคัมภีร์นิดหนึ่ง …

        ทิตัส 2:11-12 “11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าที่นำไปถึงการปลดปล่อย ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาป และความรอดนิรันดร์ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว 12 พระคุณนี้สอนเราที่จะฝึกฝนปฏิเสธการทำบาป และไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับการได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม (บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าแล้ว)”

            ชัดเลยนะ “เพราะพระคุณของพระเจ้า ที่นำไปถึงการปลดปล่อย ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาป” เพราะพระคุณนี้ เราจึงเป็นอิสระ รู้ถึงพระคุณมากเท่าไร? ก็เป็นอิสระมากเท่านั้น  พระคุณนี้ ก็คือความจริงในเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ที่กระทำสำเร็จแล้ว รู้มากเท่าไร? พระคุณนี้จะสอนเรา อ่านชัดๆ ในข้อ 12 พระคุณนี้ สอนเราที่จะฝึกฝนปฏิเสธการทำบาป เห็นไหม? ไม่ใช่พระคุณนี้ สอนให้เราฝึกฝนและสบายใจในการทำบาป  ไม่ใช่  ให้เราปฏิเสธการทำบาป และไม่ทำตามโลกียตัณหา ก็คือไม่ทำตามการหลอกลวง อิทธิพลของบาป ที่ยังครอบอยู่บนโลกใบนี้ ทำอย่างนี้ เพื่อให้เราประพฤติปฏิบัติสมกับความเป็นจริง  คือสมกับการที่ได้เกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า  เราเป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า เป็นลูกของพระองค์แล้ว รู้มากเท่าไร? ยิ่งทำบาปน้อยเท่านั้น  พระเยซูจึงฝึกสอนเราในแต่ละวัน เพราะพระองค์ทรงสถิตอยู่กับเรา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่เรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตอยู่ภายในเราตลอดเวลา พระวิญญาณนี้คอยเป็นพี่เลี้ยงเราด้วยความรัก ดูแล เลี้ยงดูเรา ทนุถนอมเราดังแก้วตาดวงใจ  เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตอย่างสมศักดิ์ศรีในฐานะลูกของพระเจ้า น้องๆ ของพระองค์ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อม สะอาด ชอบธรรมในพระเยซูคริสต์ เรียบร้อยแล้ว จากการทำงานสำเร็จของพระองค์บนไม้กางเขน

            การสอนความจริงที่สมบูรณ์ของพระเจ้า ในเรื่องเกี่ยวกับพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่เป็นการอนุญาตให้ทำบาป  แต่เป็นการสอนให้ปฏิเสธการทำบาป  และดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม ที่คริสเตียนได้เป็นอยู่แล้วภายใน เอเมนไหม?

            พระคัมภีร์กล่าวไว้ในหนังสือเอเสเคียลอย่างนี้ ดูสิว่าพระเจ้าทำอะไรให้กับเราบ้าง? ชีวิตเราเมื่อเชื่อพระเยซูคริสต์ เชื่อในข่าวดี รู้ความจริงเหล่านี้  แล้วรับเอาความจริงเหล่านี้แล้ว มันเกิดอะไรขึ้น  เอเสเคียล 36:26-27 …

        เอเสเคียล 36:26-27 “พระเจ้าตรัสว่า “เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้าให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”

            และสิ่งเหล่านี้ คือสิ่งที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ว่า “เราจะ” ก็คือ … “เราสัญญาว่าจะให้ใจใหม่แก่เจ้า  และจะใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า จะขจัดใจหินออกไปจากเจ้า  และให้เจ้ามีใจเนื้อ  และเราสัญญาว่าจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้าให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”

            ฟังดีๆนะ นี่สัญญาไว้ แล้วพระองค์ก็ทรงทำสำเร็จแล้ว พระเยซูตรัสบนไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว หลังจากที่พระเยซูกระทำสำเร็จแล้วตามสัญญา เราได้ใส่วิญญาณนี้ คือการสิ้นพระชนม์ของพระองค์บนไม้กางเขน  และการเป็นขึ้นจากความตาย พระเจ้าได้กระทำตามสัญญา คือพระเจ้าได้ใส่ใจใหม่ ใจเนื้อ ใจที่เชื่อฟังแทนใจเก่าที่เป็นคนบาป ดื้อด้าน เหมือนหิน  กลายมาเป็นวิญญาณและจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์  ได้บังเกิดใหม่จากวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า มีพระลักษณะเหมือนพระเจ้าแล้ว พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว เอเมน

            เมื่อผู้ใดเชื่อ ก็คือเมื่อเขาคนนั้น หรือเราได้รับพระคุณพระเจ้า เราได้รับใจใหม่ วิญญาณใหม่ ที่ทำให้เรามีความปรารถนาในใจ ที่จะดำเนินชีวิตตามธรรมชาติที่เหมือนพระเจ้า ที่อยู่ในวิญญาณ อยู่ในใจใหม่ของเรา พระคัมภีร์จึงยืนยันว่าเราเป็นอิสระจากกฎอะไรต่างๆ ที่เขาบอกว่าให้ทำโน่นทำนี่ เราดำเนินชีวิตด้วยใจใหม่ และวิญญาณใหม่นี้ต่างหาก โรม 10:4 ได้บันทึกอย่างนี้ …

        โรม 10:4 “เพราะว่าพระคริสต์ทรงเป็นจุดจบของธรรมบัญญัติ เพื่อให้ทุกคนที่มีความเชื่อในพระคริสต์ได้รับความชอบธรรม”

            เราคริสเตียนผู้เชื่อ ไม่ได้อยู่ภายใต้บทบัญญัติต่อไป บทบัญญัติท่านอาจจะคิดถึงโมเสส แต่อยากจะบอกว่าบทบัญญัตินี้ ก็คือกฎแห่งกรรม กฎแห่งการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กฎแห่งการพึ่งพาการกระทำของตนเองนั่นเอง เมื่อเป็นคริสเตียน เราเป็นอิสระจากกฎเหล่านี้  แต่เราอยู่ภายใต้กฎใหม่ ซึ่งเรียกว่ากฎพระคุณของพระเจ้า ซึ่งทำให้เรามีความปรารถนา ที่อยู่ในใจใหม่ของเรา ที่จะดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง ก็คือดีเหมือนพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น เราจึงเห็นว่าการสอนความจริงเรื่องพระคุณของพระเจ้าอย่างนี้ว่าเรามีใจใหม่แล้ว เรามีวิญญาณใหม่แล้ว เราเป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ เป็นลูกพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว ได้รับการอภัยโทษบาปทั้งหมด ทั้งสิ้น ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องห่วงเลย พระเยซูคริสต์กระทำให้เราสำเร็จเรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขน การรับรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไม่เป็นการส่งเสริมให้เราทำบาป แต่เป็นการเน้นถึงความรักของพระเจ้า และความเมตตาของพระเจ้า ซึ่งจะเป็นแรงบันดาลใจ เป็นพลังอำนาจยิ่งใหญ่ ทำให้เราดำเนินชีวิตในทางที่ถูกต้อง และฝึกฝนในการประพฤติปฏิบัติดีในชีวิต ตามพระวิญญาณที่สถิตอยู่ข้างใน  ปฏิเสธการถูกล่อลวง โดยมารที่อยู่บนโลกใบนี้ให้เราทำบาป มันเป็นอย่างนี้ต่างหาก และถ้าเราคริสเตียนไม่สนใจล่ะ  ไม่สนใจถึงพระคุณนี้ ยังคงดื้อ ไม่ยอมเข้าใจในความจริงนี้ เมื่อไม่เข้าใจในความจริงนี้ รู้ไม่หมด ก็จะปฏิเสธความจริงนี้  ก็ไม่เป็นอิสระ  ก็ถูกหลอกนั่นเอง

            ถูกหลอกให้ไม่เข้าใจพระคุณของพระเจ้า เรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐแห่งพระคุณนี้ เราก็เสียโอกาส ทำให้เสียหาย โดยการไม่เข้าใจถ้อยคำของพระเจ้า ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เมื่อไม่เข้าใจ ก็ไม่เชื่อ แปลความหมาย ถ้อยคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์ โดยใช้ความคิด ความเข้าใจของมนุษย์ คือของตนเอง นั่นเอง มันก็เกิดการขัดแย้งกันขึ้น เช่น ตีความข้อความ แทนที่จะตีตามบริบทของพระเจ้า ในพระคัมภีร์เขียนว่าบริบทนี้ ในข้อความนี้ มันหมายถึงใคร? ไม่ได้หมายถึงตัวเรา  หรือหมายถึงตัวเรา ก็เหมาเอาว่ากำลังพูดถึงเรา  ก็เลยปฏิบัติตาม เช่น พระคัมภีร์เขียนถึงคนที่ไม่เชื่อ แต่เราก็เอามาใช้  เป็นคนที่เชื่อ พระคัมภีร์เขียนอย่างนี้จริงๆ  แต่เขากำลังเขียนให้กับคนที่ยังไม่เชื่อ เขาพูดถึงคนที่ไม่เชื่อ  เราเชื่อแล้ว ไม่เกี่ยวกันแล้ว  เราก็ดันทุรังว่าเขียนถึงเรา เราก็เอามาใช้  แล้วก็เอาไปสอนต่อว่าเป็นคริสเตียนแล้ว ต้องทำอย่างนี้

            อย่างเช่น อาจารย์ยอห์นยกตัวอย่าง ใน 1 ยอห์น 1:9  อ่านทวนหน่อย เราเรียนรู้ไปแล้ว …

        1 ยอห์น 1:9 “ถ้า​เรา (มนุษย์ผู้ใด) ยอมจำนนรับว่าเราเป็นคนบาป และเรา​สารภาพ​บาป​ของ​เรา พระ​องค์​เป็น​ผู้​รักษา​คำมั่น​สัญญา ​และ​มี​ความ​เที่ยงธรรม พระ​องค์​จะ​ยกโทษ​บาป​ทั้งหมดแก่​เรา และ​ชำระ​เรา​ให้​บริสุทธิ์  พ้น​จาก​ความ​ไม่​ชอบธรรม​ทั้ง​ปวง”

            ถ้อยคำของพระเจ้าตรงนี้ มีไว้สำหรับคนที่ไม่เชื่อ ใช่ไหม? เราได้เรียนรู้ไปแล้ว พูดกับคนที่ยังไม่เชื่อ  ปฏิเสธข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ปฏิเสธพระเยซู แต่ผู้ที่เชื่อแล้วบางคนก็หลง ถูกหลอก ไม่เข้าใจความจริงที่แท้จริง ก็เอาไปใช้กับตัวเอง เพราะว่าเขาสอนมาอย่างนี้ นี่มันถ้อยคำพระเจ้า มันจริงๆ นะ  ก็เลยถูกหลอก นึกว่ากำลังพูดกับตัวเขาเอง ซึ่งเชื่อพระเจ้าแล้ว ก็เลยปฏิบัติตาม  เดี๋ยวจะพาไปดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น  ปฏิบัติตาม แล้วเกิดผิดพลาดอะไร?  ทำไมมารถึงมาหลอกตรงนี้ เพื่ออะไร? เพื่อเราจะได้ไม่รู้ความจริง  เพื่อลูกของพระเจ้าบนโลกใบนี้จะไม่รู้ความจริง ก็ทำตาม ก็คืออธิษฐานซ้ำบ่อยๆ  ขอการอภัยโทษจากบาปบ่อยๆ เมื่อทำผิดบาปไป

            พระคัมภีร์บอกแล้วนะ อาจารย์ยอห์นบอกว่าพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว ได้ยกโทษอภัยบาปทั้งสิ้น  ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ไปจนถึงนิรันดร์ ไปจนหลังความตาย ก็ยกโทษไปหมดแล้ว คริสเตียนทำบาปเมื่อไร ก็ถูกลบออก โดยออโตเมติก โดยอัตโนมัติเรียบร้อยแล้ว  แต่ไม่รู้ความจริง ก็อธิษฐานขอยกโทษบาปซ้ำเดิมๆ เพราะไม่รู้ความจริงว่าพระเจ้าให้อภัยหรือยัง? ที่ทำไปเมื่อวาน ที่ไปโกหกชาวบ้านเขา ไปโกงชาวบ้านเขา ไปทำอะไรไม่ดีไว้ พระเจ้ายกโทษหรือยัง? นึกออกใช่ไหม? มันก็เกิดปัญหาขึ้น พออธิษฐานซ้ำไปมากๆ ทุกวัน เกิดความเชื่อ เชื่อว่าบาปยังไม่หมด ต้องสารภาพทุกวัน  ตอนแรกๆ สารภาพแต่ตอนเช้าอย่างเดียว ตอนหลังต้องสารภาพบ่ายด้วย  และกลางคืนก่อนนอน กลัวลืม เพราะมันอยู่ข้างใน  ความคิดมันถูกหลอก

            ถูกหลอกถึงขนาดว่าถ้าเราสารภาพไป แล้วเกิดมีคนมาถามผม ถ้าเกิดเราสารภาพไปๆ อันไหนลืมสารภาพ เกิดตายกะทันหันขึ้นมา ทำอย่างไร?  นึกภาพออกไหม? ตายกะทันหันยังไม่ได้สารภาพเลย  มาถามว่าคริสเตียนคนนั้นเขาเชื่อพระเจ้าแล้ว  เกิดอุบัติเหตุทันทีทันใด  ในการเดินทาง ตกเครื่องบินตาย  เขาไปอยู่กับพระเจ้าหรือเปล่า?  เขาได้รับความรอดไหม?  นี่ไง มันก็เป็นอย่างนี้ เขาจะรอดหรือไม่?

            “ฉันจะรอดหรือเปล่า?” หรือ “ฉันไม่รอด”

            “หลังความตายฉันจะไปอยู่ในสวรรค์หรือไม่ได้อยู่”

            ก็เกิดความกังวลและกลัวในชีวิตคริสเตียน ซึ่งควรจะเป็นอิสระ กลายเป็นความกลัว  ซึ่งความจริงในข้อพระคัมภีร์เมื่อสักครู่นี้  ใน 1 ยอห์น 1:9 นี้ กำลังเขียนถึงคนที่ยังไม่เชื่อ อาจารย์กำลังจะบอกว่าคนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ไม่ได้เชื่อนะ ถ้าเขายอมสารภาพว่าตัวเองเป็นคนบาป  ต้องการการช่วยเหลือ ยอห์นบอกว่าให้เขามาได้เลย  พร้อมสำหรับเขา ยอห์นกำลังเชื้อเชิญผู้ที่ยังไม่เชื่อ  ผู้ที่ยังไม่ได้รับความจริงของพระเจ้า ผู้ที่ยังปฏิเสธพระเยซูคริสต์อยู่ ให้เขายอมจำนนต่อความจริงว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ช่วยท่านได้  ให้พ้นบาป ลบล้างบาปให้กับท่านได้ ตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคตไปถึงนิรันดร์เลย ให้ท่านมาใช้สิทธิของท่าน  พระเจ้ารักท่าน รักคนทั้งโลก และอภัยบาปให้กับคุณเรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ที่ไม้กางเขน ตั้งแต่ที่ท่านยังไม่เกิด ให้มารับสิทธิของท่านเสีย

            อาจารย์ยอห์นไม่ได้เขียนเรื่องนี้ พูดเรื่องนี้กับคนที่เป็นคริสเตียน ที่เชื่อแล้ว เพื่อให้คริสเตียนประพฤติ ปฏิบัติตามนี้ ต้องสารภาพอยู่นั่นแหละ และก็เกิดความกลัว อย่างที่ตะกี้นี้บอก  เพราะยิ่งอธิษฐานสารภาพบาปอย่างนี้เท่าไร? เกิดอะไรขึ้น? เดี๋ยวจะพาไปเห็นความเสียหายที่เกิดขึ้น เพราะยิ่งอธิษฐานสารภาพบาป สารภาพความผิดที่ได้กระทำไปมากขึ้นเท่าไร? ยิ่งเพิ่มความไม่เชื่อมากขึ้น แทนที่จะเชื่อการเป็นอิสระ การลบบาปจากพระเยซูคริสต์ ทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว  กลายเป็นเพิ่มความเชื่อว่าตัวเองยังเป็นคนบาป

            ก็คือแทนที่จะเชื่อว่า … “พระเยซูแบกรับบาปของฉันไว้ที่พระองค์บนไม้กางเขนหมดไปแล้ว”

            ก็กลายเป็น … “ฉันต้องมาแบกรับบาปด้วยตัวฉันเองอยู่เลย”

            ถูกหรือไม่ถูก? มันแบกไว้ มันเหนื่อย  เพิ่มความเชื่อว่าตัวเองเป็นคนสกปรกอยู่ มีมลทินอยู่ ยังไม่ได้เกิดใหม่เลย แย้งกับถ้อยคำพระเจ้าทั้งหมดเลย ซึ่งเท่ากับการกล่าวหาว่าพระเยซูโกหก ที่ไม้กางเขน พระองค์บอกว่าทำสำเร็จแล้ว โกหก พระเจ้าทำตามสัญญาแล้ว ไม่จริง การสารภาพบาปของคริสเตียน มีความหมายว่าอย่างนั้น ยิ่งสารภาพบาป ก็เท่ากับยิ่งกลัวการสูญเสียความรอดมากเท่านั้น ยิ่งอธิษฐาน ยิ่งกลัว เพราะฉะนั้น หลังความตาย ยิ่งกลัวใหญ่ว่าจะรอดหรือไม่? และข้อสำคัญ คือการอธิษฐานสารภาพบาปอย่างนี้ ที่เป็นคริสเตียนแล้ว สารภาพ การกระทำบาปบนโลกนี้ นิดหน่อย ก็จริง แต่คิดให้ดีๆ สิ มันเท่ากับเรากำลังทำบาป  พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว เราบอกไม่สำเร็จ พระเยซูบอกให้แล้ว เราบอกยังไม่ให้  ถ้าให้ แล้วเราจะมาขอทำไม?  ยังกังวลเรื่องการทำบาป อย่างนี้เป็นต้น

            เราไม่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ข่าวดีบอกว่าพระเยซูได้แบกรับบาปทั้งสิ้น ทั้งมวล ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตออกไปหมดเรียบร้อยแล้ว หมดเกลี้ยงแล้ว เกลี้ยงตั้งแต่เมื่อไร? ตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว  ก่อนท่านจะเกิดอีก ท่านได้รับการลบบาปไปหมดแล้ว  ท่านไม่เชื่อในข่าวดีทั้งหมด  ก็เท่ากับกำลังทำบาป  แล้วท่านก็มานั่งคิดตอนนี้ว่าอ้าว? คริสเตียนทำบาป แล้วทำอย่างไร?  คริสเตียนทำบาปทุกคน  บาปเล็กบาปน้อย พระเจ้าถือว่าบาปทั้งสิ้น จะฆ่าคนตาย หรือด่าเขาว่าไอ้โง่ ไอ้บ้า หรือหงุดหงิดใส่เขา เครียดใส่เขา โกรธเขา  มีค่าเท่ากับฆ่าคนตาย บาปทุกคน ชี้นิ้วไป เข้ามา เราทำบาปกันทุกคน แต่พระเยซูคริสต์ พระโลหิตของพระองค์ชำระเราเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่อดีต 2,000 ปีแล้ว ตอนนี้ทำบาปปุ๊บ ก็ถูกลบล้างออกหมดสิ้น  เราเป็นอดีตคนบาป และปัจจุบันไม่ได้เป็นคนบาปแล้ว แต่ยังทำบาปอยู่ แต่บาปที่ทำนั้น ได้ถูกยกโทษเรียบร้อยไปแล้ว  ไปจนถึงนิรันดร์เลย  เอเมน

            แล้วคริสเตียนทำบาป แล้วทำอย่างไร? หัวเราะหรือ? อ้าว! ทำบาป แล้วทำยังไง? ท่านก็คงคิด ทำอย่างไร? ก็คือขอกำลังจากพระเจ้า ขอสติปัญญาจากพระเจ้า ขอการนำจากพระเจ้า  เพราะในใจท่านไม่อยากจะทำอีกแล้ว  แล้วทำอะไร? ขอบคุณพระเจ้าในการอภัยโทษบาปให้แล้ว ตรงนี้แหละสำคัญ ทำทุกครั้งให้มีความรู้สึกว่าขอบคุณพระเจ้า พระองค์ทรงยกโทษบาปให้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งมันฝืนกับความคิดของมนุษย์ที่โลกใบนี้ สติปัญญาบนโลกใบนี้ เฮ้อ! ทำบาป แล้วยังมาขอบคุณพระเจ้าอีก สบายใจ เราเรียนรู้แล้วนะ พระคุณสอนเราให้กตัญญู ให้มีพลังในการปฏิเสธการหลอกลวงให้ทำบาป  ต่างกันเยอะ เห็นไหม?  ฉะนั้น เราก็ขอกำลัง ขอสติปัญญา การนำจากพระเจ้า แล้วก็ขอบคุณพระเจ้าบ่อยๆ ในการอภัยโทษบาปผิดให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต 2,000 ปีมาแล้ว เราสะอาดหมดจดแล้ว ทำอะไรก็ไม่ต้องกลัวอะไรเลย มันฝืนไหม?  ฝืนมากเท่าไร? ก็เท่ากับของเก่าเราถูกหลอกมากเท่านั้น

            นอกเหนือจากนั้น เราทำอะไรได้อีก  ขอกำลังจากพระเจ้า ขอสติปัญญาจากพระเจ้า ขอการนำจากพระเจ้าและสามารถที่จะสารภาพบาป อยากสารภาพบาปใช่ไหม? ได้ สารภาพบาปกับใคร? ไม่ใช่พระเจ้า สารภาพบาปกับเพื่อนของเรา ที่เป็นคริสเตียนด้วยกัน ที่สนิทสนมกัน สามารถไว้ใจเขาได้ และเข้าใจเราได้

            “เราทำอันนี้ไป ในพระคัมภีร์บอกให้เราอธิษฐาน ถ้าเราทำผิดพลาดไป ให้เราอธิษฐานกับพี่น้อง”

            มันเหมือนกับการชำระความคิด ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า CBT คือการบำบัดทางความคิด ไปโรงพยาบาลได้ ไปหาหมอที่เชี่ยวชาญในด้านการบำบัดทางความคิด เขาก็จะมาบอกว่าเราคิดอย่างนี้ๆ ไม่ถูก เพื่อนที่เราไว้ใจได้ เขาก็จะบอกเราคิดให้ถูกต้อง อันดับแรก เพื่อนเราก็จะบอกว่าไม่ต้องห่วง พระเจ้าอภัยให้เสมอ ตลอดเวลา นี่คือไว้ใจได้ หมายถึงอย่างนี้ ไว้ใจได้ ไม่ใช่ แค่เก็บความลับของเราเท่านั้น  ไม่ใช่แค่นั้นอย่างเดียว  แต่หมายถึงเขาเข้าใจในเราว่าไปทำแบบนี้ อย่างนี้มา เพราะฉะนั้น พระเจ้าจะลงโทษเธอ อย่างนี้ตายแน่ ไม่ได้รับการรักษาแน่ ไม่ใช่ CBT คือปรับความคิดให้

            “คิดอย่างนั้นไม่ได้นะ เธอต้องคิดใหม่แล้ว  เธอได้รับการอภัยโทษเรียบร้อยแล้ว  ถูกต้องแล้ว  แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น เรามานั่งคิดกัน  เรามาอธิษฐานกับพระเจ้าด้วยกัน ให้พระเจ้าทรงนำ ให้มีสติปัญญา”

            นี่อย่างนี้สารภาพบาปได้  ไม่ใช่สารภาพกับพระเจ้า แล้วสารภาพกับใครได้อีก? อันนี้ ชัดเลย ผมสังเกตเห็นชัดมาก แทนที่จะสารภาพบาปกับพระเจ้า สารภาพบาปกับมนุษย์สำคัญกว่าเยอะ บ่อยๆ ได้เลย สารภาพบาปกับพระเจ้าไม่ต้องแล้ว ขอบคุณพระเจ้าลูกเดียว  แต่กับมนุษย์ สารภาพบาป ขออภัยกับมนุษย์ผู้ที่เราทำให้เขาเสียหาย ผู้ที่เราไปละเมิดสิทธิ์เขา ทีอย่างนี้ไม่รู้จักคิดทำ พูดถึงตัวเองนะ ไม่ได้ว่าท่านนะ ทีอย่างนี้อายที่จะทำ ไม่อยากจะทำ นี่ถูกหลอกขนาดไหน? ทีสารภาพบาปกับพระเจ้า

            “พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย”

            พระเจ้าบอก … “ยกโทษให้แล้ว เธอไปหาคนนั้น คนนั้นเขายังไม่ยกโทษให้เธอ”

            แล้วไปไหม? ไม่ไปหรอก ก็เขาสมควรได้รับอย่างนั้นแล้ว เขาคงไม่ให้อภัยแล้ว หรืออะไรต่างๆ ก็หาข้ออ้างต่างๆ  ที่จะไม่ไปทำ

            สารภาพบาป แสดงความเสียใจต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไป อย่างนี้สามารถทำได้กับพระเจ้าแล้ว  แทนที่จะสารภาพบาป ขออภัย

            “พระเจ้าลูกเสียใจ ลูกไม่น่าทำอย่างนั้นเลย ลูกเครียดเกินไป ลูกเลยตวาดเขา ลูกเสียใจ เดี๋ยวพรุ่งนี้ ลูกจะไปขอโทษเขา ให้เขายกโทษให้”

            อย่างนี้ควรทำ ในทำนองอย่างนี้ ทำได้อีกหลายๆ อย่าง ยกเว้นอย่างเดียวที่ไม่ควรทำ คือการสารภาพ ขออภัยโทษจากพระเจ้า ในบาปที่กระทำไปอีก เพราะว่าได้รับการอภัยไปเรียบร้อยแล้ว  โดยการงานที่สำเร็จแล้วของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน เอเมน ขอบคุณพระเจ้าของเรา

            โอเคไหม? โอเคเลย ชัดเจนมาก หวังว่าคงไม่มีใครสารภาพบาปกับพระเจ้าอีกแล้วนะ หันพุ่งไปสารภาพบาปกับใคร?

            มาต่อในวันนี้ ต่อบทที่ 2 เป้าหมายของหนังสือ 1 ยอห์น  บทที่ 1 บทที่ 2 ที่เราขุดหาความจริงเหล่านี้ คืออาจารย์ยอห์นยืนยันการเป็นพระเมซิยาห์ของพระเยซูคริสต์ ที่มาลบล้างบาปทั้งปวงให้กับมนุษย์ทุกคนทั้งโลก ทั้งคนยิวและไม่ใช่ยิวด้วย ทั้งคริสเตียนและไม่ใช่คริสเตียน

            อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นถึงสถานะทางโลกฝ่ายวิญญาณของมนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ ทั้งที่เป็นคริสเตียนและไม่ใช่คริสเตียน ที่อยู่ตรงข้ามกันอย่างเด็ดขาด 100% เลย ระหว่างคนที่เป็นคริสเตียน ผู้เชื่อกับผู้ที่ไม่เชื่อ ผู้ที่ปฏิเสธพระเยซูว่าเป็นพระมาซิฮาห์  ก็คือไม่ได้เป็นคริสเตียน อยู่ตรงกันข้ามกัน ปฏิเสธว่าพระเยซูเป็นพระเมซิยาห์ นี่พูดกับยิวชัดๆ เลย จริงๆแล้ว ในหนังสือยอห์นจะพูดตรงไปกับคนที่เชื่อและไม่เชื่อ ที่เป็นชาวยิวซะส่วนใหญ่ พูดในลักษณะที่ชาวยิวควรจะรับรู้สิ่งเหล่านี้ มากกว่าคนต่างชาติ ชาวยิวที่ไม่ยอมรับพระเยซู ก็คือไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์  พอบอกพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์ คนยิวเขาจะเข้าใจคำนี้เลยว่าก็คือผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าสัญญาไว้  คือพระบุตรของพระองค์ ที่จะมาช่วยมนุษย์ทั้งปวงให้รอดพ้นจากความบาปผิด มนุษย์ทั้งปวง นี่คือความรู้ของชาวยิว

            อาจารย์ยอห์นจะชี้ให้เห็นถึงถ้าเป็นคริสเตียนจริง ถ้ามาเชื่อพระเจ้าจริงๆ แล้ว เขาเรียกว่าคริสเตียน เราเรียกกันว่าคริสเตียน อาจารย์ยอห์นบอกว่าถ้ามาเชื่อพระเจ้าจริงๆ ไม่ได้ใช้คำว่าคริสเตียนหรอก  เพราะถ้าคุณเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเมสิยาห์จริงๆ มีสถานะในวิญญาณของคุณ จะอยู่ในความสว่างแล้ว จะอยู่ในความจริง จะถูกย้ายเข้ามาอยู่ในความบริสุทธิ์ อยู่ในความรักของพระเจ้า อย่างนี้เป็นต้น ไม่ใช่คุณบอกว่าคุณมายอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว คุณเชื่อแล้ว แต่สถานะทางวิญญาณคุณยังอยู่ในความมืด อยู่ในความเท็จ อยู่ในความบาป อยู่ในความเกลียดชัง ตรงกันข้ามเลย ไม่มีย้ายไปย้ายมา ไม่มีอย่างละครึ่ง ถ้าคุณยังไม่เชื่อ คุณก็อยู่ในความมืด ในความเท็จ ในความบาป ในความเกลียดชัง ถ้าคุณเชื่อ คุณอยู่ในความสว่าง อยู่ในความบริสุทธิ์ อยู่ในความรักของพระเจ้า แน่นอน 100% ไม่มีการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแล้ว มนุษย์ทุกคนสามารถเปลี่ยนได้แค่ครั้งเดียว ก็คือยังไม่เชื่อ เปลี่ยนมาเป็นเชื่อ จบ

            เรามาเริ่มต้นวันนี้ 1 ยอห์น บทที่ 2 ครั้งที่แล้วเราจบลงที่ 1 ยอห์น 2:2 วันนี้มาต่อข้อ 3 …

        1 ยอห์น 2:3 “ถ้าเรารักษาพระบัญญัติของพระองค์ เราก็รู้ว่าเรารู้จักพระองค์

            บัญญัติหรือคำสั่งของพระเยซูคืออะไร? ท่านคิดถึงอะไร? ส่วนใหญ่ที่อ่านอย่างนี้ปุ๊บ ก็คิดถึง นี่เฉพาะชาวยิวนะ ชาวยิวเขาได้ฟัง บัญญัติ คำสั่งของพระเยซู พอบอกบัญญัติ คำสั่งของพระเจ้า ก็คือบัญญัติ ที่พระเจ้าได้ประทานให้โมเสสเขียนขึ้นมา ก็คือกฎระเบียบ 613 ข้อ  เขาก็จะคิดอย่างนี้แหละ  และถ้าเราไม่ใช่ชาวยิว เราปรับเอามาใช้กับเราว่าถ้าเราเป็นคริสเตียน พระเยซูบอกว่าให้รักษาบัญญัติของพระองค์ บัญญัตินั้นคืออะไร? เราไม่ได้เกี่ยวกับชาวยิว แล้วเราไม่ได้เกี่ยวกับ 613 ข้อนี้ แล้วบัญญัตินี่คืออะไร? บัญญัตินี้ ก็คือกฎแห่งการกระทำ คือการพึ่งการกระทำของตนเอง ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว  และก็ไม่มีใครทำดีได้หมด ทำบาปแน่นอน อยู่ในบาป พึ่งพาในตนเอง  ก็คิดถึงตรงนี้แน่นอน เดี๋ยวผมจะพาไปดูว่าอาจารย์ยอห์นว่าอย่างไร? ยอห์น 13:34 ฟังพระเยซูพูดเองเลยว่าบัญญัตินี้คือบัญญัติ 613 ข้อหรือ? สำหรับชาวยิวนะ แต่สำหรับเราที่ไม่ใช่ชาวยิว บัญญัตินี้หมายถึง 217 ข้อของศาสนาหรือ? หรือ 80 ข้อของความเชื่ออย่างนี้หรือ? หรือต้องอะไร? ยอห์น 13:34 พระเยซูตรัสอย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 13:34 “เราให้บัญญัติใหม่ เพียงบัญญัติเดียวไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เราได้รักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น”

            เราผิดแล้วหรือเนี้ย? ไม่ใช่ 613 ข้อ นี่คือคนยิวตกใจ  คนยิวชัดเลย พอฟังพระเยซูพูด พอบอกว่ารักษาบัญญัติ ต้องรับ 613 ข้อ พระเยซูมาให้กำลังกับเรา รักษาได้หมดครบถ้วนบริบูรณ์ ที่เราเคยทำไม่ได้ เราเคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  เราเคยโกหกชาวบ้านเขา  ตอนนี้พระเยซูจะช่วยเราไม่ให้โกหก เราเคย เขาตบหน้ามาข้างขวา เราตบข้างซ้ายใส่เขาเลย เขาชกเรา เราชกกลับเลย แต่พระเยซูบอกว่าเขาชกมา อย่าให้เราชกตอบ เราทำไม่ได้ พระเยซูช่วยเรามั้ง เราคิดอย่างนั้น แบบมนุษย์ แต่ไม่ใช่ เพราะเราให้บัญญัติใหม่เพียงบัญญัติเดียว แสดงว่าข้อเดียว ข้อนั้นคืออะไร? ยอห์น 14:15 …

        ยอห์น 14:15 “ถ้าพวกท่านรักเรา พวกท่านจะเชื่อฟัง สิ่งที่เราบัญชา”

            “เชื่อฟังสิ่งที่เราบัญชา” พระองค์บัญชาไว้ว่าอย่างไร? เมื่อตะกี้เราอ่านรู้แล้ว  คือ “ท่านรักกันและกัน” สิ่งที่พระองค์บัญชา สิ่งที่พระองค์สั่งข้อเดียว คือรักซึ่งกันและกัน ถ้าท่านเกลียดชัง ปฏิเสธ เป็นศัตรูกัน หรือศัตรูกับเรา ไม่ยอมรับเราเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ไม่ได้บังเกิดใหม่  พวกท่านก็จะไม่เชื่อฟังสิ่งที่เราบัญชา  คือไม่รักซึ่งกันและกันนั่นเอง เป็นตรรกะเลย ความหมายของข้อนี้ อย่างลึกๆ ก็คือถ้าพวกท่านได้บังเกิดใหม่ “ถ้า” อีกแล้วนะ ถ้าพวกท่านได้บังเกิดใหม่  เชื่อในเรา ไม่ปฏิเสธเรา ถูกไหม? เหมือน 1 ยอห์น 1:9 ถ้าท่านสารภาพว่าท่านเป็นคนบาปนะ นี่ก็เหมือนกัน ถ้าพวกท่านได้เชื่อในเรา ได้บังเกิดใหม่ในเรา เป็นความรักเหมือนเรา พวกท่านจะเชื่อฟังสิ่งที่เราบัญชา คือรักซึ่งกันและกัน  และรักคนทั้งโลก  เหมือนเราที่รักคนทั้งโลก  ท่านจะสามารถทำได้ ถูกไหม?

            ท่านสามารถเชื่อฟังและรักเราได้ เพราะได้รับการบังเกิดใหม่ และท่านได้อาศัยอยู่ในเรา และเราอยู่ในท่าน เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ท่านมีวิญญาณใหม่ ท่านเป็นคนใหม่แล้ว นั่นมันหมายถึงอย่างนั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับมาให้เรามีภาระต้องทำ รักษาบัญญัตินี้ รักคนอื่น เหมือนรักตนเอง เดี๋ยวฟังต่อไป เพราะว่าพระองค์กำลังบอกว่าเมื่อเราบังเกิดใหม่ พระองค์แบ่งปันชีวิตนิรันดร์ ซึ่งเป็นวิญญาณที่มีลักษณะเป็นความรักเหมือนพระเจ้าให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ให้เราแบ่งปันความรักนี้ ที่เหมือนพระเจ้านี้ ให้แก่คนอื่นๆ รอบข้างทั้งหมดทั้งโลกเลย อย่างเป็นธรรมชาติจากวิญญาณใหม่  ใจใหม่ที่ได้เกิดใหม่แล้วนั้น อย่างนี้  ไม่ได้พึ่งพาตนเองอีกแล้ว  1 ยอห์น 3:23 พระองค์ทรงย้ำยืนยันตรงนี้ว่า …

        1 ยอห์น 3:23 “และนี่เป็นพระบัญญัติ (ใหม่) บัญญัติเดียวของพระองค์ คือว่าให้เราทั้งหลาย วางใจในพระนามของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ และให้เรารักซึ่งกันและกัน ตามที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติ (ใส่) ไว้ (ในใจ) แก่เรา”

            ย้ำอีกแล้ว “และนี่เป็นพระบัญญัติใหม่ บัญญัติเดียวของพระองค์” บัญญัติเดียว แปลว่ามีกฎเดียว กฎนั้นคือ “ให้เราทั้งหลายวางใจในพระนามของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ ก็คือให้เราที่ยังไม่เชื่อ สารภาพบาปต่อพระองค์ วางใจในพระเยซูว่าช่วยเรา ผู้เป็นคนบาปได้  ซึ่งเราทำไปแล้ว คริสเตียนทุกคน  ไม่เป็นคริสเตียนก็ต้องทำตามนี้ กำลังพูดกับยิว ที่ทั้งเชื่อและไม่เชื่อ ยิวที่เชื่อแล้ว เขาก็ทำไปแล้ว วางใจไปแล้ว ยิวที่ยังไม่เชื่อ ก็คือท่านต้องสารภาพบาป  และวางใจว่าพระองค์เป็นเมสิยาห์  เป็นพระคริสต์ เป็นผู้ที่ถูกเจิมตั้งไว้ มาช่วยเหลือท่าน และมนุษย์ทั้งโลก วางใจในพระเยซูคริสต์และให้เรารักซึ่งกันและกัน ตามที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติเอาไว้  ภาษาเดิมตรงนี้ คือใส่ไว้ในใจ บัญญัตินี้ใส่ไว้ในเรา ก็คือรัก ดำเนินชีวิตด้วยใจ ด้วยความรักที่เป็นพลังงาน อำนาจของพระเจ้า เป็นเหมือนพระเจ้า ก็คือตัวของพระเจ้าเองอยู่ในเราแล้ว เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ให้เราทำตามตรงนี้

            ความรักแท้ที่เหมือนพระเจ้า เป็นลักษณะธรรมชาติที่อยู่ในวิญญาณ  อยู่ในใจของเราอยู่แล้ว เมื่อเราได้บังเกิดใหม่ โดยการวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า เชื่อตามนี้ ก็จะได้สิ่งเหล่านี้ เราก็แค่ฝึกฝน ปลดปล่อยให้ธรรมชาติของความรักนี้ฉายแสงออกมา เป็นความประพฤติทีหลัง เท่านั้นเอง แบ่งปันออกไปให้ผู้อื่นรอบข้าง เหมือนที่พระเยซูได้แบ่งปันให้กับเราแล้ว

            เพราะฉะนั้น รู้ความจริงในเรื่องพระคุณอย่างนี้มากเท่าไร? ก็สามารถแบ่งปันออกไปได้มากเท่านั้น รับพระคุณไปมากเท่าไร? ก็สามารถเอาไปใช้สอยได้มากเท่านั้น  สมมติ พระคุณเป็นเงิน 100 บาท ถ้าท่านรับได้ 50 บาท ท่านก็จะไปแบ่งคนอื่นได้แค่ 50 บาท แต่ถ้าท่านรับมาครบเลย รู้หมดเลย 100 ท่านก็สามารถแบ่งคนอื่นได้ 100 บาท ท่านรู้มาแค่ 50% ท่านก็สามารถรักพี่น้องที่เป็นคริสเตียนได้เหมือนกัน อย่างที่เรากำลังทำอยู่นี้ แต่ถ้าท่านรู้มากขึ้นให้ครบ 100 เยอะขึ้น อาจจะไม่ครบ 100 แต่อาจจะได้มากขึ้น  ท่านก็จะสามารถรักพี่น้องที่เป็นคริสเตียน และรักคนอื่นที่ไม่ใช่คริสเตียนได้ เพราะว่าความรักนี้ เป็นความรักที่รักคนทั้งโลก ทั้งที่เป็นคริสเตียนผู้เชื่อแล้ว และทั้งที่ไม่เป็นคริสเตียน เพราะว่าเป็นความรักของพระเยซูที่มีต่อโลก พระองค์ทรงรักโลกยิ่งนัก จึงได้ประทานพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มา เพื่อประทานให้มนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวง ได้รับความรอด มนุษย์ทั้งปวง แปลว่ามนุษย์ทั้งที่เป็นยิวและไม่ใช่ยิว ทั้งเชื่อและไม่เชื่อ เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

            ซึ่งความรักนี้ บัญญัตินี้ รักษามันไม่เป็นภาระเลย  ไม่เหนื่อยเลย เพราะมันเป็นธรรมชาติของเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนลูกปลา เป็นปลาก็ฝึกว่ายน้ำตามธรรมชาติ เป็นนกก็ฝึกฝนบินตามธรรมชาติ เป็นงูก็ฝึกฝนเลื้อยตามธรรมชาติ เป็นคริสเตียนบังเกิดใหม่ ก็ฝึกฝนความรัก เป็นธรรมชาติ ให้รู้ว่าเราเป็นความรัก 1 ยอห์น 5:3 จึงบันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 5:3 “การรักพระเจ้า คือการเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้า  และพระบัญชาของพระองค์ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง”

            อีกเวอร์ชั่นหนึ่ง เขาแปลอย่างนี้ว่า “การรักพระเจ้า คือการเชื่อฟัง ประพฤติตาม โดยการดำเนินชีวิตด้วยความรัก และการรักซึ่งกันและกัน ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง ไม่เป็นภาระ

            ก็แสดงว่าไม่มีบัญญัติสิ พระเยซูบอกบัญญัติของเรา คือรักกันและกัน แล้วก็เอาความรักใส่ในใจของท่าน สรุปแล้ว ไม่ได้แบกอะไรเลย เป็นกางเขนที่พระเยซูเป็นผู้แบก เราไม่ได้ทำอะไรเลย พระเยซูจึงบอก … “ใครมีความทุกข์และเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ท่านหายเหนื่อยและเป็นสุข” ก็เป็นอย่างนี้แหละ  ไม่ต้องแบกกางเขนของเราเอง ทำครั้งเดียว  แบกกางเขนของเราเอง เดินไปที่กลโกธา ไปตายพร้อมพระเยซูบนไม้กางเขน ก็คือเชื่อในพระเยซู และได้เป็นขึ้นมาใหม่ จากความตายพร้อมพระเยซูคริสต์ จบจากการทำตามบัญญัติ กฎแห่งกรรม มาพึ่งพระเยซู เป็นพระคุณชัดเจน

            การรักษาพระบัญญัติของพระคริสต์ ก็คือการจดจ่อความคิดจิตใจของเรา ไปที่ความรักของพระคริสต์ ที่อยู่ภายในเรา

            เอาใหม่อีกที … การจะรักษาบัญญัตินี้ ไม่ใช่รักษาบัญญัติกฎเกณฑ์ เหมือนสมัยก่อนที่เรารักษากฎเกณฑ์ของโมเสส หรือกฎเกณฑ์ของศาสนา  หรือกฎเกณฑ์ของความเชื่อ กฎเกณฑ์ของสังคม เยอะแยะไปหมด ประเพณี ไม่ใช่ การรักษาบทบัญญัติของพระคริสต์ คือการจดจ่อความคิดจิตใจเราไปที่ความรักของพระคริสต์ ที่พระองค์ใส่ลงมาอยู่ในวิญญาณ อยู่ในจิตใจของเรา จิตใจใหม่นี้ นี่แหละ คือการรักษา ไม่ใช่การพยายามทำสิ่งที่ดีสิ่งที่งาม ไม่ใช่ว่าสิ่งดีงามไม่ดี  แต่กำลังพูดถึงต้นเหตุ เนื้อแท้ๆ ของเรื่องนี้ คืออะไร? จะทำให้สำเร็จ ความจริง คืออะไร? หมายถึงอย่างนั้นมากกว่า

            ความจริง ก็คือการรักษาบทบัญญัติของพระเยซูคริสต์ เขาเรียกว่าบทบัญญัติใหม่นี้  คือการจดจ่อความคิดจิตใจเรา ไปที่ความจริง คือความรักของพระคริสต์ อยู่ภายในเรา  จดจ่อ เพื่อปฏิบัติตามธรรมชาติของวิญญาณของเราที่ได้รับความรอดแล้ว  ได้บังเกิดใหม่แล้ว เป็นความรักเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม ชอบธรรมของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว สำเร็จ เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน

            เป็นความรักที่เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว จึงประพฤติความรัก ก็คือให้ความรักออกมา โดยการประพฤตินั่นเอง เหมือนพระเยซู คิด ระลึก เฝ้าภาวนาความจริงเหล่านี้ตลอดเวลา ก็คือการรักษาบทบัญญัติของพระคริสต์ ไม่ใช่เฝ้าคิดแต่ว่าทำอย่างนี้เรียกว่าดี การไปช่วยเหลือเขาตอนที่เขาลำบาก อย่างนี้ เราต้องรักษาอย่างนี้ ไม่ใช่เบอร์หนึ่งที่เราต้องทำ เบอร์หนึ่ง คือฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ฉันเป็นคนดีในพระเยซูคริสต์ ฉันเป็นคนชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้วในพระเยซูคริสต์ รักษาบทบัญญัตินี้ไว้ และความประพฤติมันจะออกมาเอง  ถ้าเราไปรักษาความประพฤติก่อน ตั้งใจไปจดจ่อถึงความประพฤติ มันก็กลับกลายเป็นเราไปรักษาความประพฤติเหมือนเดิม ก็คือตามกฎแห่งกรรม กฎแห่งการพึ่งพาตนเองอยู่ เช่น อย่าโกหกๆๆๆๆ ในที่สุด ก็โกหก อย่านินทาๆๆๆๆ  ในที่สุด ก็นินทา อย่าโลภๆๆๆๆ ในที่สุดก็โลภ อย่าคิดอย่างนี้ๆๆๆๆๆ ในที่สุดก็คิด

            แต่เรากลับกัน อย่าโลภ … “ฉันเป็นลูกพระเจ้า ฉันมีพร้อมทุกอย่าง พระเจ้าประทานทุกสิ่งให้ฉันพอเพียงแล้ว ขอบคุณพระเจ้าในชีวิตที่พอเพียงทุกอย่าง”

            การรักษาบัญญัติ คืออย่างนั้น  พูดง่ายๆ คือการรักษาบัญญัติของพระเจ้า บัญญัติใหม่ของพระคริสต์ ก็คือไม่ใช่เป็นการประพฤติปฏิบัติ  เพื่อให้ได้รับสิ่งที่ดีๆ รับความรอด  เพื่อรักษาความรอดให้คงอยู่ รักษาพระพรให้คงอยู่ ไม่ใช่การถูกบังคับ ให้รักษากฎเกณฑ์ตามคำสั่ง เพื่อจะได้ไม่ถูกลงโทษ

            การที่พระเยซูบอกให้เรารักษาบัญญัติของพระองค์ไว้ ไม่ใช่การถูกบังคับ ให้รักษากฎเกณฑ์ตามคำสั่ง เพื่อจะได้ไม่ถูกลงโทษ ไม่ใช่ให้ประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อจะได้รับความรอด หรือรักษาความรอดที่ได้รับไปแล้วให้อยู่ แต่เป็นผลของความรอด  และผลของการบังเกิดใหม่ ที่เราได้รับมาแล้วในพระเยซูคริสต์ต่างหาก ต้องจดจ่อตรงนี้ ให้ดีๆ ว่าเราได้รับอะไรมาแล้ว  แล้วเราจะได้ให้ออกไป  ไม่ใช่ไปจดจ่อที่ให้ออกไปๆ ต้องให้อะไรๆ โดยไม่ได้คิดถึงว่าเรามีอะไร?  พึ่งในพระเยซูคริสต์ หมายถึงอย่างนี้

            และเราคริสเตียน คือผู้เชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์แล้ว เราอยู่ภายใต้พันธสัญญาใหม่ในพระคริสต์  ก็คือภายใต้บทบัญญัติใหม่  ที่พูดนี้ บทบัญญัติเดียวกันนี้  เราไม่ได้อยู่ภายใต้บทบัญญัติของโมเสส 613 ข้อ  หรือกฎแห่งกรรม กฎแห่งความบาปและความตาย  กฎแห่งการกระทำดี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กฎของโลกใบนี้อีกต่อไปแล้ว เราไม่ได้อยู่ในกฎนั้น  ที่จะต้องไปทำตามที่ดีๆ ต้องไปคอยวิเคราะห์ว่ามีอะไรทำดีได้ดีบ้าง มีเมตตา ทำดี แบ่งปันออกไป ให้คนอื่น แล้วเราจะได้รับกลับเข้ามา ไม่ใช่ตรงนั้น แต่เป็นตรงนี้มากกว่าที่เราพูดไปตะกี้นี้ โรม 6:14 ย้ำยืนยันตรงนี้ว่า …

        โรม 6:14 “ด้วย​ว่าบาป​จะ​ไม่​มี​อำนาจ​เหนือ​ท่าน เพราะ​ท่านไม่​ได้​อยู่​ภาย​ใต้​กฎ​บัญญัติ  แต่​อยู่​ภาย​ใต้​พระ​คุณ”

            “อยู่ภายใต้พระคุณ” แต่เราอยู่ภายใต้พระคุณและการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายในเรา พระเจ้าเป็นความรัก เรารู้ดี เราเป็นลูกของพระองค์ เราจึงเป็นความรักเหมือนพระองค์เลย  ต้องรักษาบัญญัตินี้เอาไว้ให้ดีๆ รักซึ่งกันและกัน หมายถึงตรงนี้  เราเป็นความรัก เหมือนพระเยซูเป็นความรัก เราจึงดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ด้วยความรักที่อยู่ภายใน เดี๋ยวมันออกมาเอง เอเมน  ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรครับ

****************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียน! … “ไม่ใช่ฤทธิ์ ไม่ใช่แรง แต่แข็งแกร่งด้วยพระวิญญาณ”

            ฟิลิปปี 2:12-13 … “12 ดังนั้น  ท่านที่รักตามที่ท่านเชื่อฟัง (คำแนะนำของข้าพเจ้า) มาโดยตลอด  ดังนั้นตอนนี้ไม่เพียงแต่ (ด้วยความกระตือรือร้นที่ท่านจะแสดง) ต่อหน้าข้าพเจ้า  แต่ยิ่งกว่านั้นอีกมาก  ในขณะที่ข้าพเจ้าไม่อยู่  จงหมั่นอดทนฝึกฝน (ไปให้ถึงเป้าหมายและทำให้สมบูรณ์) ผลของความรอดของท่านเอง  ด้วยความรัก  เคารพยำเกรงพระเจ้า 13 (ไม่ใช่ด้วยกำลังของท่านเอง) เพราะเป็นพระเจ้าผู้ทรงทำงานอยู่ภายในตัวท่านตลอดเวลา (พระองค์ให้พลัง  และสร้างพลัง  และใส่ความปรารถนาภายในตัวท่าน) ให้ท่านเกิดความต้องการ  อีกทั้งเกิดการกระทำดี  ตามพระประสงค์ของพระองค์  เพื่อความพอใจและความปิติยินดีของพระองค์”

            ในฟีลิปปี 2:12  นี้อาจารย์เปาโลพูดกับพี่น้องชาวฟิลิปปีว่า “พี่น้องที่รัก  ท่านเคยเชื่อฟังคำแนะนำของเรามาตลอด  ตอนที่ท่านต้อนรับข่าวดี”

            ได้รับความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์ ได้รับการอภัยจากความบาปทั้งสิ้นและได้บังเกิดใหม่ได้เป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์แล้ว ท่านมีธรรมชาติใหม่ของพระเจ้าอยู่ในวิญญาณท่าน และท่านก็เชื่อตามที่เราบอกท่านไว้ ให้ท่านอดทน ฝึกฝน ให้ผลของธรรมชาติใหม่นี้ได้ถูกสำแดงออกมา

            โดยผ่านทางความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในท่าน  ตอนที่เราอยู่กับท่าน ท่านก็ฝึกฝนอยู่แล้ว   แต่ตอนนี้เราไม่ได้อยู่กับท่านแล้ว ขอให้พี่น้องมีความกระตือรือร้นฝึกฝนด้วยความอดทนให้เป็นไปตามธรรมชาติการเป็นลูกของพระเจ้า  พระวิญญาณจะเป็นพี่เลี้ยงคอยฝึกฝน

            ให้กำลังความสามารถสติปัญญากับท่านเอง  ให้ท่านพัฒนาธรรมชาติใหม่  ที่ท่านเป็นลูกพระเจ้า ให้หมั่นฝึกฝนพุ่งเป้าไปที่ความรอดที่ท่านได้แล้ว

            ให้ฝึกฝนให้ผลของความรอดออกมาในการดำเนินชีวิตในพระวิญญาณ

            ฝึกฝนให้รู้ว่าอะไรคือเนื้อหนัง ที่เป็นศัตรูอยู่ตรงข้ามกับพระวิญญาณ  อะไรคือพระวิญญาณ

            ฝึกฝนที่จะทำตามพระวิญญาณ

            ฝึกฝนที่จะปฏิเสธการกระทำตามเนื้อหนัง

            เช่นพระวิญญาณที่อยู่ในเราแนะนำ พร้อมให้กำลังเรา  บอกเราว่าควรสำแดงความรักแทนความโกรธ

            ฝึกฝนให้สันติสุขและความชื่นชมยินดีออกมา

            ฝึกฝนคอยสังเกตว่าแต่ละวันเราเผชิญกับอะไร

            สถานการณ์ไหน  เราควรจะตอบสนองออกไปแบบไหน ตามพระวิญญาณ หรือตามเนื้อหนัง ผิดบ้างพลาดบ้าง นี่เป็นบทเรียน

            นี่คือการฝึกฝนของผู้เชื่อในแต่ละวัน  เพื่อเราจะได้สำแดงธรรมชาติใหม่ ที่อยู่ภายในเราออกมามากขึ้นด้วยความรัก เคารพ ยำเกรง ให้เกียรติพระเจ้า พ่อของเรา

            คำว่าด้วยความเคารพยำเกรง ให้เกียรติพระเจ้าหมายถึงพระเจ้าเป็นผู้ตั้งกฎและรักษากฎอย่างเคร่งครัดพระองค์ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด  ถ้าใครทำผิดกฎ  ก็จะถูกลงโทษ  คนที่ทำตามกฎที่พระเจ้าวางไว้  ถือว่าผู้นั้นให้ความเคารพยำเกรงพระองค์  ให้เกียรติกับกฎระเบียบที่พระเจ้าเป็นผู้ดูแลอยู่  ฉะนั้น การฝึกฝนเพื่อให้ความเคารพยำเกรงพระเจ้า  ฝึกฝนผลของพระคุณที่ทำให้ท่านรอด  ให้ท่านพ้นจากบาป  ทำให้ท่านเป็นขึ้นจากความตาย  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ท่านควรจะทำตัวให้สมศักดิ์ศรีของการเป็นลูกของพระเจ้า ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเรา ฉายแสง สำแดงธรรมชาติตัวจริงภายในของเราที่บังเกิดใหม่แล้วนั้นออกมา เป็นความประพฤติ

            ถ้าท่านทำดี ตามพระวิญญาณนำท่านก็เก็บเกี่ยวผลจากพระวิญญาณคือชีวิตความชื่นชมยินดีสันติสุข แต่ถ้าท่านทำตามเนื้อหนัง ท่านก็เก็บเกี่ยวความตายความทุกข์ลำบาก

            ฉะนั้น ถ้าท่านฝึกฝนที่จะทำตามพระวิญญาณนำ ท่านก็ถวายเกียรติแด่พระเจ้า

            ทำให้พระเจ้ามีความสุขด้วย แต่ถ้าท่านทำตามเนื้อหนัง ท่านก็จะได้รับผลในโลกนี้คือความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งทำให้พระเจ้า ผู้เป็นพ่อทุกข์ใจเสียใจ

            ในข้อ 13 บอกว่าพระเจ้าเป็นผู้กระทำการงานในท่าน ให้กำลังท่านจากข้างใน  ให้ท่านสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้  แปลว่าท่านแค่มอบถวายทุกส่วนในร่างกายของท่าน ให้กับพระเจ้าและพระเจ้าจะทรงเป็นผู้กระทำการงาน  ให้ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้สำแดงออกมาเอง โดยธรรมชาติที่เราเป็นอยู่ในขณะนี้

            พระเจ้าพระบิดาผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  ลูกขอบคุณพระองค์  สำหรับพระคุณความรัก  ความเมตตาที่ได้ทรงโปรดประทานให้กับลูก

            ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรอด  การเป็นลูกของพระเจ้าเป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์ เป็นความรัก เป็นความสว่าง  เป็นสันติสุข  เป็นความชื่นชมยินดี ขอบคุณที่พระองค์ประทานกำลังให้ผลเหล่านี้ได้ถูกสำแดงออกมาจากชีวิตของลูก ลูกขอบคุณพระองค์ในพระนามพระเยซูคริสต์ อาเมน

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1475

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  23  มิถุนายน  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 2 “พระเจ้าได้ลบบาปทั้งปวง ไม่ใช่เพียงบาปของคริสเตียนเท่านั้น แต่บาปของคนทั้งโลกด้วย 2,000 ปีมาแล้ว”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้มาต่อหนังสือ 1 ยอห์น ตอนที่ 2  อย่างที่ผมได้บอกสัปดาห์ที่แล้วว่าหนังสือตั้งแต่ 1 ยอห์นเป็นต้นไป ลึกซึ้งมาก สนุกมาก ตั้งใจฟัง เรียนรู้ เข้าใจในเรื่องเล่านี้  จะทำให้ท่านมีความสุข  มีสันติสุขในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างมากมาย เกินกว่าที่เราจะเข้าใจ 1 ยอห์น ตอนที่ 2 สรุปหัวข้อเรื่องวันนี้ ก็คือ “พระเจ้าได้ลบบาปทั้งปวง ไม่ใช่เพียงบาปของคริสเตียนเท่านั้น แต่บาปของคนทั้งโลกด้วย 2,000 ปีมาแล้ว”

            บาปทั้งปวง คือบาปตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตนิรันดร์  ในอดีต คือบาปอะไร? ในอดีต คือบาปที่เราเกิดมา อยู่ในอาดัม  อยู่ในบรรพบุรุษของเรา ซึ่งสืบเชื้อสาย  DNA จากอาดัม ที่เป็นคนบาป  เราก็ติดเชื้อบาปมา  เป็นคนบาปตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา  คลอดออกมา ก็เป็นคนบาป นี่เราเรียกว่าบาปในอดีต และเมื่อคลอดออกมา ก็เริ่มมีชีวิตดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ เรียกว่าบาปในปัจจุบัน  และบาปในอนาคตคืออะไร?  คือเมื่อเราเป็นคนบาป  ในปัจจุบันกระทำบาปอยู่ แต่เราต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระบุตร พระเมสิยาห์ ที่พระเจ้าประทานให้กับมวลมนุษยชาติ  เพื่อลบบาปออก แล้วเราก็ต้อนรับ พอเราต้อนรับพระเยซูมาเป็นผู้รับบาป บาปนั้น ได้ถูกลบออกไปเลย พอมองเห็นไหม? บาปอดีตถูกลบออกไป บาปปัจจุบัน ที่กำลังกระทำอยู่บนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ก็ถูกลบออกไป และรวมถึงบาป ที่เมื่อเราทิ้งร่างนี้ คือตายจากโลกนี้ ซึ่งถ้าเราไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เราก็ยังติดเชื้อบาปอยู่นั้น  แต่ถ้าเราเป็นคริสเตียน เราต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ลบบาปออกแล้ว  พระองค์ก็ลบบาปนั้นด้วย ในอนาคตนิรันดร์ คือหลังความตาย ก็ถูกลบออกไปด้วย  เพราะฉะนั้น หลังความตาย เมื่อท่านปรากฏตัวท่านเอง ต่อหน้าพระเจ้า ท่านก็ไม่มีบาป ไม่ได้เป็นคนบาปเลยสักนิดเดียว

            เมื่อตอนที่แล้ว ที่เราเรียนกัน เริ่มต้นหนังสือยอห์น  เราได้รู้แล้วว่าใน 1 ยอห์น บทที่ 1 ยอห์นกำลังเขียนถึง กำลังพูดถึง เน้นถึงพวกที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน  แต่ไม่ได้เป็นจริงๆ หลงผิดไป คิดว่าเป็นคริสเตียน ซึ่งก็คือคนที่เชื่อในลัทธินอสติก เราได้เรียนรู้ตรงนี้ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

            ข้อความในหนังสือที่อ่านพูดถึงใคร? พูดกับใคร?  หมายถึงใคร?  อย่างที่ผมบอก สรรพนามในหนังสือที่เราอ่าน มันสำคัญมากๆ วันนี้ ขอเน้นอีกนิดหนึ่งว่าสรรพนามที่ใช้ สำคัญมากๆ ยกตัวอย่าง มีทั้งคำว่า “เรา” เราที่หมายถึงคริสเตียน แล้วก็มีคำว่า “เรา” ที่หมายถึงคนทั่วๆ ไป มนุษย์บนโลกใบนี้ ซึ่งมีทั้งคริสเตียน และไม่ใช่คริสเตียน หรือบางอัน มีคำว่าเราในหนังสือยอห์น บทที่ 1 ตอนต้น ที่เราเรียนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว “เรา” หมายถึงอัครสาวก 12 คนเท่านั้นเอง ก็มี ก็ใช้คำว่า “เรา” เหมือนกัน  เพราะฉะนั้น “เรา” หรือ “เขา” หรือ “ท่าน” ในสรรพนามต่างๆ ในหนังสือไบเบิ้ล ไม่ว่าจะเรียนเรื่องไหนก็ตาม อาจจะต้องระมัดระวัง ดูว่าบริบทของสรรพนามนั้น หมายถึงใคร? หมายถึงตัวเราคริสเตียน หรือหมายถึงผู้ที่ไม่เชื่อ หรือหมายถึงใครกันแน่

            ยกตัวอย่างเช่นในหนังสือ มัทธิว บทที่ 5 ที่เราเคยเรียนกันไป ก่อนหน้านี้แล้ว บริบทนี้ พระเยซูประกาศกับชาวยิว ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ยกมาตรฐาน บัญญัติของชาวยิวขึ้นมา บัญญัติของชาวยิว ไม่ใช่บัญญัติของคริสเตียน พระองค์ทรงยกบัญญัติของชาวยิว ให้สูงกว่ามาตรฐานขึ้นมา มาตรฐานของพระเจ้า เพื่อบ่งชี้ให้ชาวยิว ได้เห็นว่าพวกเขารักษาบทบัญญัตินี้ให้ครบถ้วนบริบูรณ์ไม่ได้หรอก  ไม่ได้พูดถึงคริสเตียน  พระองค์บอกว่าทำไม่ได้หรอก เพราะตามมาตรฐานของพระเจ้าจริงๆ คือท่านต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า พูดกับชาวยิวที่ไม่ใช่คริสเตียน …

            “ท่านไม่สามารถพึ่งพาตนเองในการเข้าสวรรค์ได้ โดยการรักษาบทบัญญัติของโมเสสหรอก จงมาวางใจในเรา  ผ่านทางเราเท่านั้น ท่านจึงจะถึงพระบิดาได้ นอกจากทางเรา ไม่มีทางอื่นเลย นี่กำลังพูดกับชาวยิวตอนนั้น เราจะได้เห็นว่ามันสำคัญไหม? ซึ่งตรงกับหนังสือกาลาเทีย  หลังจากที่พระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว

            หนังสือกาลาเทียก็ได้บันทึกไว้ว่าบทบัญญัติมีไว้เพื่อบ่งบอกว่ามนุษย์นั้นเป็นคนบาป  ไม่สามารถรักษากฎบัญญัติได้ตามมาตรฐานของพระเจ้า  เพราะตามมาตรฐานของพระเจ้า คือผิดข้อเดียวก็ไม่ได้เลย  ไม่มีใครสามารถกระทำดีได้ครบถ้วน อันนี้พูดถึงคริสเตียนทั่วไปด้วยว่ารักษาบทบัญญัติ บทบัญญัติของคริสเตียนทั่วไป ที่ไม่ใช่ชาวยิว คืออะไร? คือความสำนึกผิดที่พระเจ้าเขียนบัญญัติไว้ในจิตใจของมนุษย์ทุกคน พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น ในหนังสือโรม เพราะตามมาตรฐานแล้ว ผิดนิดหนึ่งก็ไม่ได้ ข้อเดียวก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น เลิกพึ่งการกระทำดี เพื่อพยายามที่จะเข้าสวรรค์ อย่าเข้าใจผิดว่าเลิกทำดี ไม่ใช่ เลิกทำดี เพื่อจะไปสวรรค์ เลิกทำซะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะท่านทำดี ไม่ครบถ้วน ไม่สามารถไปสวรรค์ได้ เมื่อไปไม่ได้แน่ๆ ก็เลิกพึ่งการกระทำของตนเอง เพื่อจะไปสวรรค์ แต่ให้มาพึ่งในพระเยซู บอกชาวยิวนะ  คือให้เรา  เราในที่นี้หมายถึง พระองค์ก็เป็นชาวยิวที่พูดกับเขาที่เป็นชาวยิวด้วยกัน ให้เรามากลับใจใหม่เถิด  ก็พูดง่ายๆ ให้เราชาวยิว กลับใจใหม่ซะ กลับใจจากการพึ่งพาในการกระทำตามบทบัญญัติของโมเสส เห็นไหม คริสเตียนไม่เกี่ยวอะไรกับโมเสส  เราเป็นต่างชาติ เราไม่ได้รู้เรื่องบทบัญญัติเหล่านี้ แต่ตอนนี้ พระเยซูกำลังพูดถึงคนยิว  อย่าพึ่งการกระทำตามบัญญัติของโมเสส  ที่บรรพบุรุษกระทำตามมาตลอด  นั่นเป็นพระคัมภีร์เดิมที่พระเจ้าได้บัญญัติเอาไว้  เพื่อจะได้เข้าสวรรค์ ตรงนี้สำคัญ  เลิกทำตามกฎบัญญัติของโมเสส ซึ่งเป็นกฎที่ดีทั้งหมดเลยนะ  ทำเพื่อจะได้ไปสวรรค์เลิกทำซะ มันทำไม่ได้หรอก มันต้องพึ่งความเชื่ออย่างเดียว  แต่หันมาวางใจในพระเยซู ในตัวเรา ซึ่งเป็นพระมาซีฮาห์  พระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ พระเยซูคริสต์ดีกว่า และเมื่อท่านเชื่อในเราแล้ว ในพระเยซูแล้ว ก็จะได้ถูกย้ายมาอยู่ในกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ เป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตาย  เป็นอิสระจากกฎแห่งการกระทำตามบัญญัติ คือท่านจะเข้าสู่ความบริสุทธิ์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้น นี่คือบริบทของมัทธิว บทที่ 5 ที่พระเยซูประกาศ

            แล้วถ้าเราเอามาใช้สรรพนามผิดว่าเป็นตัวเรา มันก็ยุ่ง ถ้าเราแปลความหมายผิด ไม่ได้พูดกับเรา เราก็เอามาพูดกับเรา ที่พูดกับเรา เราก็บอกไม่ได้พูดกับเรา  ถ้าเราแปลความหมายสรรพนามผิด เพียงนิดเดียว เรา ท่าน อะไรต่างๆ แปลผิดว่าพูดกับเรา  มันก็เสียหาย อย่างง่ายๆ เมื่อตะกี้ที่พระเยซูประกาศกับชาวยิว เรื่องความรอดว่าพึ่งพาตนเองไม่ได้  ถ้าเราแปลความหมายผิด เราก็จะเสียโอกาสในการประกาศข่าว เพราะเขากำลังพูดถึงคนไม่เชื่อ  เรานึกว่าพูดถึงคนเชื่อ เราก็เสียโอกาสในการประกาศข่าวดี  จากถ้อยคำของพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่ระบุไว้ เสียโอกาสในการประกาศข่าวดีให้กับผู้คนอื่นๆ ที่ยังไม่เชื่อ ยังไม่เป็นคริสเตียน ทำให้เขาสามารถได้ฟังข้อมูลข่าวประเสริฐอย่างแท้จริง  เพราะเรายังสับสนอยู่เลย เรานึกว่าพระเยซูมาสอนเรา ให้เราตั้งใจกระทำความดี  รักษาบัญญัติให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ นั่นไม่ใช่เป้าหมายที่พระองค์ทรงพูด พระองค์พูดกับคนที่ไม่เชื่อ เป้าหมาย ก็คือท่านอย่าพึ่งพาในการรักษาบทบัญญัตินั้น เพื่อที่จะได้ไปสวรรค์ ทำไม่ได้หรอก อย่างนี้เป็นต้น

            ซึ่งข่าวประเสริฐที่พระเยซูพูด ง่ายนิดเดียว คือ “แค่วางใจในเราเท่านั้นเอง ท่านก็ได้รับความรอดแล้ว”

            ข่าวประเสริฐในพระเยซูคริสต์ มันง่ายมาก สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อ  หรือคนทั้งปวงบนโลกใบนี้  ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน เห็นไหม? มันเข้าใจง่าย วางใจในพระเยซูคริสต์ แล้วท่านจะได้รับความรอด คือถ้าท่านยังรักษากฎบัญญัติทางศาสนา ทางศีลธรรมอันดีงาม ซึ่งมันดีอยู่แล้ว ท่านนับถือศาสนาอะไร ซึ่งเขาสอนทำดี ทำดีต่อไป ก็ดีอยู่แล้ว ก็ทำต่อไป เป็นสิ่งที่ดี  แต่ท่านไม่สามารถทำได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ถึงมาตรฐานของพระเจ้า ที่สามารถทำให้ท่านเข้าสวรรค์ได้หรอก หลังความตายที่ท่านหวังไว้ กระทำดี สะสมความดี เพื่อจะไปสวรรค์หลังความตาย นั่นลมๆ แล้งๆ ไม่ได้หรอก หันมาวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น  แล้วท่านก็ประกาศข่าวดีพระเยซูคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาตายที่ไม้กางเขน เพื่อท่าน แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เพียงแค่ท่านเชื่อตรงนี้ ท่านก็ได้สิทธิ์ทันที เราก็สามารถประกาศตรงนี้ได้ เห็นไหม? มันง่ายนิดเดียว ว่าท่าน บุคคลที่ไม่ได้เชื่อ มนุษย์ทั่วไป บนโลกใบนี้ จงกลับใจใหม่ มาวางใจในพระเยซูคริสต์ดีกว่า และเพียงแค่ท่านเชื่อ และยอมสารภาพ ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป  และได้ทำบาป ไม่สามารถชดใช้ ลบบาปตนเองได้ด้วยการกระทำดี เท่านั้นเอง แค่นี้เอง และหันมาเชื่อว่าพระเยซูสามารถทำได้  พระเจ้าให้คำมั่นสัญญาว่าพระองค์จะลบล้างบาปให้กับท่าน ถ้าท่านกลับมาหาพระองค์อย่างนี้ พระองค์จะทรงลบบาป ให้กับท่าน ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต จนถึงนิรันดร์ ท่านจะได้เข้าส่วนร่วมในความบริสุทธิ์กับพระองค์ และกับคริสเตียนคนอื่นๆ ทั้งหลายทั่วโลก เป็นหนึ่งเดียวกันกับครอบครัวของพระเจ้า ทันทีที่ท่านยอมสารภาพบาปนั้น  และท่านจะได้รับสิ่งนี้ ไปจนตลอด ไปจนถึงนิรันดร์ หลังความตาย นี่คือคำสัญญาของพระเจ้า ซึ่งสำเร็จแล้ว ผ่านทางพระเยซูคริสต์ … รู้แล้วนะว่าศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิ้ล อ่านพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ต้องเน้น ดูให้ดีๆ ว่ากำลังพูดถึงใคร?

            วันนี้เรามาเริ่มต้นบทที่ 2 ข้อ 1-2  …

        1 ยอห์น 2:1-2 “1 ลูกที่รักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านเช่นนี้ เพื่อท่านจะไม่ทำบาป แต่ถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ ผู้ทูลแก้ต่างต่อพระบิดา เพื่อเราทั้งหลาย  คือพระเยซูคริสต์องค์ผู้ชอบธรรม 2 พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบบาปทั้งปวงของเราทั้งหลาย และไม่ใช่เพียงบาปทั้งปวงของเราเท่านั้น แต่บาปทั้งปวงของคนทั้งโลกด้วย”

            จะขออธิบายจากตอนท้าย  ข้อที่ 2 ก่อน เพราะว่าเป็นชื่อเรื่องของซีรี่ย์นี้ วันนี้ และเป็นหัวข้อที่สำคัญมากๆ  ที่มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ มักจะได้ยินและเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ตรงคำว่า “ลบบาปทั้งปวง พระองค์สัญญาว่าจะส่งพระเยซูคริสต์มา ลบบาปทั้งปวงของเราทั้งหลาย  ลองอ่านตาม

            “ลบบาปทั้งปวง ไม่ใช่เพียงบาปทั้งปวงของคริสเตียนเท่านั้น  แต่บาปทั้งปวงของคนทั้งโลกด้วย เอเมน”

            บาปทั้งปวงของคนทั้งโลก หมายถึงใคร พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เพื่อลบบาปของคริสเตียนเท่านั้นหรือ? เปล่าในนี้บอกว่าบาปของคนทั้งโลก นั่นหมายถึงตอนที่พระเยซูอยู่ที่ไม้กางเขนนั้น พระองค์สิ้นพระชนม์ทันทีปุ๊บ มนุษย์ทั้งโลกได้รับการอภัยโทษ ลบจากบาปทั้งสิ้น ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตเรียบร้อยไปแล้ว เพียงแต่เขาต้องมาใช้สิทธิของเขา เมื่อเขารู้ข่าวดีนี้ แล้วก็ยกมือรับสิทธินี้ว่า

            “ใช่ ฉันต้อนรับพระเยซูคริสต์  พระเยซูคริสต์เป็นตัวแทนของฉัน พระเยซูคริสต์เป็นผู้นั้นแหละ ที่ทำให้ฉัน ฉันรับพระเยซูคริสต์”

            การรับพระเยซูคริสต์ คือรับทุกอย่างที่พระองค์ทรงกระทำให้นั่นเอง  ถ้าไม่รับ ก็ไม่ได้อะไรเลย  เพราะในนี้บอกว่าพระเยซูเป็นผู้กระทำสิ่งนั้น  พระเจ้ากระทำสิ่งนี้ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่บาปทั้งปวงของคริสเตียนเท่านั้น แต่บาปของคนทั้งโลก ต้องต่อด้วยว่าบาปทั้งปวงของคนทั้งโลกด้วย คือคนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน  ยังเป็นของโลกนี้อยู่ ถ้าคนๆ นั้น เป็นของโลกนี้ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน  ยังมีบาปอยู่ ถ้าเขายอมจำนน เชื่อข่าวดีนี้ และรับสิทธิของเขา เขาก็จะถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์  อยู่ในครอบครัวของพระคริสต์  เป็นลูกของพระเจ้า ถูกลบบาปออกหมดสิ้นเลย  เห็นไหม? เพราะทำให้แล้ว  เพียงแต่เขายอมรับว่าพระเยซูทำให้กับคนที่เป็นคนบาป  และทำบาป และต้องชดใช้บาปนิรันดร์ หลังความตาย ใช่ไหม? คุณยอมรับไหมว่าคุณทำบาป  คุณยอมรับไหมว่าวันสุดท้าย หลังความตาย คุณก็จะต้องชดใช้ความบาปนั้น  ถ้าไม่ยอมรับ ก็แน่นอน จบกัน ก็ไม่ได้  แต่ถ้าคุณยอมรับสารภาพว่าคุณเป็นคนบาป และต้องการหมอรักษาบาปนั้น พระเยซูคริสต์นั่นแหละ คือหมอ ที่พระเจ้าทรงประทานให้  (แล้ว) ถ้านับปัจจุบัน ที่กำลังพูดอยู่นี้  ประทานให้ 2,000 ปีมาแล้ว พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จ ที่บนไม้กางเขนเรียบร้อยแล้ว ก่อนเราจะเกิดด้วยซ้ำไป นั่นหมายถึงพระเยซูคริสต์ได้ไถ่บาปให้กับเราเรียบร้อยแล้ว ล่วงหน้า บางท่านไม่เข้าใจ

            “ไถ่บาปเราล่วงหน้าได้อย่างไร? สนับสนุนให้เราไปทำบาปเหรอ มีการไถ่บาปเราล่วงหน้า พรุ่งนี้เราจะทำอะไรต่างๆ พระเยซูไถ่แล้ว ไถ่ได้อย่างไร?”

            ก็วันนี้ ท่านบอกว่าท่านพ้นจากบาป พ้นจากเวรกรรมแล้ว  ท่านรับเชื่อแล้ว พระเยซูไถ่ท่าน ไถ่วันนี้หรือ? ไม่ใช่ ท่านเพิ่งมารับสิทธิ์วันนี้จริง  แต่พระเยซูไถ่ท่านตั้งแต่ ค.ศ. 1 แล้ว สมมติให้ฟัง ไถ่ตั้งแต่ ค.ศ.1 แล้ว ไถ่มา 2,000 ปีแล้ว แต่เพิ่งมารับตอนนี้  ตอนที่ผมรับ พระเยซูไถ่ผมมา 1,980 ปีแล้ว แต่ถ้าใครเชื่อวันนี้ พระเยซูไถ่เขาตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้ว  แต่ท่านมารับสิทธิ์ของท่านวันนี้ นี่คือความจริง

            ความจริงที่อาจารย์ยอห์น เขียนสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา ใน 1 ยอห์น บทที่ 2 เมื่อตะกี้นี้บอก ลบบาปออกหมด  เพื่อท่าน ท่านคือใคร? ท่าน คือผู้ที่ยอมจำนน สารภาพแล้วว่าตนเอง เป็นคนบาป ทำบาป  และต้องการความช่วยเหลือ  เป็นคนป่วยที่ต้องการหมอ ยอมรับแล้ว ต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เป็นหมอ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ก็คือเป็นคริสเตียนแล้ว ได้รับการลบล้างบาปทั้งปวงแล้ว ใช่หรือไม่? เอเมน นี่ตามถ้อยคำพระเจ้าเป๊ะเลย  พูดแล้วพูดอีก นี่เขียนถึงผู้ที่เป็นคริสเตียน (เท่านั้น) คือคนที่ยอมสารภาพว่าตนเองเป็นคนบาป สารภาพเมื่อไร? ไม่รู้ ก่อนหน้านี้ ตอนเปิดใจรับเชื่อ

            เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่เราเรียน ยอห์นประกาศกับพวกนอสติก คือคนที่ไม่เชื่อ แต่ตอนนี้กำลังพูดกับคนที่เชื่อ เป็นคริสเตียนแล้ว ยอมสารภาพแล้ว ก่อนหน้านี้ประกาศกับพวกนอสติกที่ยังไม่เชื่อ สัปดาห์ที่แล้วเราได้เรียนแล้ว 1 ยอห์น 1:9 หัวใจเลย ที่คนเข้าใจผิด คิดอยู่เรื่อยว่าพูดกับคริสเตียน แต่จริงๆ กำลังพูดกับคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน คนที่ยังไม่เชื่อ …

        1 ยอห์น 1:9 “ถ้าเรา (มนุษย์ผู้ใด) ยอมจำนนรับว่าเรา (เขา) เป็นคนบาป และเรา (เขา) สารภาพบาปของเรา (เขา) พระองค์เป็นผู้รักษาคำมั่นสัญญา และมีความเที่ยงธรรม พระองค์จะยกโทษบาปทั้งหมดแก่เรา (เขา) และชำระเรา (เขา) ให้บริสุทธิ์ พ้นจากความไม่ชอบธรรม (ความบาป) ทั้งปวง”

            วงเล็บไว้ให้เป็นเขา  เพื่อจะได้ให้เห็นชัดขึ้น …

            ขึ้นมา “ถ้าเราสารภาพบาป” ก็แสดงว่ายังไม่สารภาพใช่ไหม? คนที่ยังไม่สารภาพ ก็หมายถึงคนที่ยังไม่ได้มาใช้สิทธิของเขา  ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน

            1 ยอห์น 1:9 ถ้าผมจะยกตัวอย่างให้อย่างนี้ จะทำให้ท่านเห็นชัดขึ้น 1 ยอห์น 1:9 จึงเป็นข้อสำหรับคนที่ไม่ใช่คริสเตียน

        1 ยอห์น 1:9 “สำหรับคนที่ไม่ใช่คริสเตียน ถ้าเรา (เขา) ยอมรับสารภาพบาปว่าเป็นคนบาป  และได้ทำบาปด้วย พระเจ้าจะยกโทษบาปทั้งหมดแก่เรา (เขา) และชำระเรา (เขา) ให้บริสุทธิ์ พ้นจากความไม่ชอบธรรม (ความบาป) ทั้งปวง”

            ชัดไหม? ถ้ายังไม่ชัด เดี๋ยวผมจะใส่ตรงนี้ให้อีก คราวนี้ชัดเลยสมมติว่าผมไปเจอเพื่อนคนหนึ่ง ที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน  ผมจะประกาศให้กับเขา ผมจะประกาศอย่างไร? สมมติว่าเขาชื่อจ่อย ยังไม่เชื่อพระเจ้า ผมจะไปประกาศ ผมจะบอกจ่อยว่า …

            “นี่นะจ่อย ถ้าจ่อยยอมรับสารภาพบาปว่าจ่อยเป็นคนบาป และจ่อยได้ทำบาป ทำหรือเปล่า? เมื่อวานนี้ วันนี้ โกหกหรือเปล่า พระเจ้าพระเยซูคริสต์จะยกโทษบาปทั้งหมดเลยนะ ให้แก่จ่อย และชำระจ่อยให้บริสุทธิ์  พ้นจากความบาป ความไม่ชอบธรรมทั้งปวง ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต หลังความตาย ก็ไม่มีบาปเลย  อยู่ในสวรรค์เลยล่ะ จ่อยเชื่อไหม? ถ้าเชื่อ มาสารภาพบาป ดีกว่า ยอมรับดีกว่า ยอมจำนนดีกว่า”

            “1 ยอห์น 1:9 จึงเป็นการเชื้อเชิญคนที่ยังไม่เชื่อ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน”

            แต่สำหรับคนที่เป็น คริสเตียนแล้ว ต้องดูใน 1 ยอห์น 2:1-2 …

        1 ยอห์น 2:1-2 “1 ลูกที่รักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านเช่นนี้ เพื่อท่านจะไม่ทำบาป แต่ถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ ผู้ทูลแก้ต่างต่อพระบิดา เพื่อเราทั้งหลาย  คือพระเยซูคริสต์องค์ผู้ชอบธรรม 2 พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบบาปทั้งปวงของเราทั้งหลาย และไม่ใช่เพียงบาปทั้งปวงของเราเท่านั้น แต่บาปทั้งปวงของคนทั้งโลกด้วย”

            ขอบคุณพระเจ้า ลึกซึ้ง เข้าใจยาก และคนได้ยินจะไม่เข้าใจ อาจต่อต้าน แล้วหาว่าเราสอนให้คนไปทำบาป  ทำบาปก็ไม่เป็นไร ได้รับการอภัยโทษแล้ว พูดอย่างนี้ ก็ไปทำบาปได้สบาย  อาจารย์ยอห์นก็คิดเหมือนกัน เริ่มประกาศเรียบร้อยแล้ว ต้องพูดความจริงเรื่องนี้ให้กับท่านที่เป็น คริสเตียน อาจารย์ยอห์นพูดอย่างนี้ ในบทที่ 2 ข้อ 1 และ 2 ที่ตะกี้นี้อ่าน จำเป็นต้องบอกความจริงกับท่าน  เพราะมันเป็นความจริง แล้วถูกต่อต้าน อย่างนี้ก็สอนให้คริสเตียนไปทำบาปได้สิ จึงเป็นเหตุให้อัครสาวกยอห์น พูดก่อนเลย ก่อนที่จะแจ้งความจริงนี้ว่าไม่ได้มาสอนความจริงนี้ เพื่อท่านจะได้ไปทำบาป อ่านดูสิ ย้อนกลับไปบทที่ 2 ข้อ 1 บรรทัดแรกเลย …

            “ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านเช่นนี้ เพื่อท่านจะไปทำบาป” ใช่ไหม? ไม่ใช่ “ข้าพเจ้าชี้แจงกับท่านในเรื่องจริงเรื่องนี้ ประกาศความจริงของพระเจ้า  พระคุณอันยิ่งใหญ่เหลือล้นของพระเจ้าที่ทำผ่านพระเยซูคริสต์ลบบาปให้กับเรา ลบบาปของมวลมนุษย์ทั้งหลายออก ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตนิรันดร์เลยนั่นแหละ ไม่ใช่ เพื่อทำให้ท่านไปทำบาป แต่เพื่อท่านจะไม่ทำบาป หมายความว่าถ้าท่านรู้ความจริงนี้แล้ว ท่านจะไม่ทำบาป

            ถ้าท่านรู้ความจริงเหมือนเมื่อตะกี้นี้  ที่อาจารย์ยอห์นพูดในหนังสือ 1 ยอห์น 2:1-2 ท่านจะไม่ทำบาป  ถ้าท่านรู้ความจริงอย่างนี้ว่าท่านได้รับความรอดอย่างนี้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ครบถ้วน 100% จนกระทั่งอนาคต จะทำอะไรก็ได้ เชิญเถอะ  ถ้าท่านรู้อย่างนี้ ท่านจะไม่ทำบาป  แล้วคนมาชี้หน้าเรา บอกว่าเราพูดความจริงตามอาจารย์ยอห์น แล้วบอกว่าจะไปบอกให้คนทำบาป หัวเราะหน่อยสิ เป็นไปได้ไหม? เป็นไปไม่ได้ เพราะพระคัมภีร์ก็พูดไว้อย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้ แสดงว่าเขายังไม่ได้รู้ความจริงเหล่านี้ เมื่อเขาไม่รู้ความจริงเหล่านี้ มันก็ตรงกันข้าม ขอโทษทีนะ ไม่ได้กล่าวหาใคร พูดตามถ้อยคำพระเจ้า ตามตรรกะของพระเจ้า ถ้ารู้ความจริงเหล่านี้ตามที่อาจารย์ยอห์นเขียน เขาก็จะไม่ทำบาป

            เอากลับกันสิ ถ้าไม่รู้ความจริงเหล่านี้ เขาก็จะทำบาป  ผมไม่ได้พูดนะ

            เอาใหม่อีกที ถ้าเรารู้ความจริงเหล่านี้ พระคุณของพระเจ้าให้เรารอดจากบาป  โดยพระคุณ ไม่ใช่โดยการกระทำ โดยความประพฤติ  พูดแล้วพูดอีก พูดซ้ำแล้ว พูดซ้ำอีก แล้วเขาก็หาว่าเราไปส่งเสริมให้คนทำบาป คนที่พูดอย่างนั้น ก็แสดงว่ายังไม่เข้าใจถึงเรื่องพระคุณของพระเจ้า ยังไม่เข้าไปลึกถึงพระเจ้า  เขาก็ไม่รู้ความจริงเหล่านี้  เมื่อเขาไม่รู้ความจริงเหล่านี้ เขาก็จะทำบาป เรียนอยู่แค่นี้วันนี้ บอกแล้วไงว่ามันสำคัญมาก

            เพราะนี่คือหัวใจของการที่จะเรียนรู้หนังสือยอห์น 1 ยอห์น, 2 ยอห์น, 3 ยอห์น ถ้าตรงนี้ไม่ผ่าน อ่านต่อไป ท่านก็จะชี้นิ้วอยู่เรื่อย อยู่ในแสงสว่างแล้วอยู่เลย  ไม่มีความมืดเลย อะไรไม่มีความมืด เมื่อวานก็ยังเห็นโกหกอยู่เลย  ไม่มืดได้อย่างไร? อยู่ในสว่างได้อย่างไร?  เขาก็จะคิดอย่างนี้ตลอดเวลา  แต่พระคัมภีร์บอกว่าไม่มีความมืดในความสว่าง  เมื่อท่านเข้ามาเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์ทรงปกป้องท่านด้วย พระเยซูคริสต์ผู้ทรงพระชนม์อยู่ นี่เป็นเหตุให้อาจารย์ยอห์นต้องเขียนก่อน บอกก่อน สั้นๆ แต่มีความหมายลึกซึ้ง ว่าเมื่อเกิดใหม่แล้ว  เกิดแล้วเกิดเลย อยู่ในพระหัตถ์พระเจ้าแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

            แล้วคิดดูสิว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าคริสเตียนเราเองเข้าใจผิดคำว่า “เรา” ใน 1 ยอห์น 1:9 “เรา” คือ คริสเตียน คือตัวเรา พอเราเข้าใจผิด หรือถูกสอนว่าเราเป็นคริสเตียน นี่คือตัวเรา  เราก็เลยกลับกลายเป็นผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ ปฏิเสธพระเยซูคริสต์เสียเอง ทั้งๆ ที่เป็นคริสเตียน  ด้วยการทำตามคำสอนของเขา เขา คือคนที่เข้าใจผิด ก็คือด้วยการสารภาพ ขออภัยในความบาปของเราทุกวี่ทุกวัน ก่อนนอน ตื่นนอน อย่าลืมสารภาพบาป  ทำผิดแล้วต้องสารภาพบาป สารภาพบาปทุกวี่ทุกวัน  ทั้งๆ ที่พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว  ทำให้แล้ว ไม่เชื่อในอำนาจของพระโลหิตพระเยซูหรืออย่างไร? พระเยซูคงตะโกนออกมาจากที่เบื้องขวาของพระเจ้าที่สวรรคสถาน มาขอทุกวันเลย  ก็แสดงว่าไม่เชื่อในฤทธิ์อำนาจ ไม่เชื่อว่าเรายังทรงพระชนม์อยู่ ไม่เชื่อว่าเราเป็นพยานอยู่ข้างขวาของพระเจ้าตอนนี้ เราเป็นพยาน เราประกาศแล้วว่าเจ้าบริสุทธิ์ๆ เจ้าไม่มีบาป แต่เจ้าก็มาสารภาพทุกครั้ง

            เรากำลังประกาศว่าเราไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นผู้รักษาคำมั่นสัญญา  เราทำให้พระองค์เป็นผู้โกหก  พระองค์บอกว่าสารภาพบาปครั้งเดียวปุ๊บ จัดการให้หมด ตาม 1 ยอห์น 1:9 เราบอกว่ายังไม่หมด ด้วยการสารภาพของเราทุกวี่ทุกวัน  เราทำให้พระองค์เป็นผู้โกหกที่พระองค์บอกว่าเราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ จากบาปทั้งปวงแล้ว  ก็คือจากบาปในอนาคต ด้วยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ หลุดจากการเป็นคนบาป ได้รับการอภัยจากการทำบาป ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตตลอดไปนิรันดร์  ได้รับความรอดนิรันดร์ ตลอดไป

            นิรันดร์ตลอดไป หมายถึงตั้งแต่เริ่มต้นสารภาพบาปครั้งแรก คือเปิดใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์ จนมีชีวิตตลอดไปนิรันดร์เลย ก่อนตาย จนกระทั่งหลังตาย ไปถึงนิรันดร์ ไม่มีช่วงไหนเลยที่จะมาแว๊บบอกว่ากลับกลายมาเป็นคนบาป ต้องมาสารภาพใหม่ กลับเข้าๆ ออกๆ ออกๆ เข้าๆ  เป็นคริสเตียนบ้าง  ไม่เป็นคริสเตียนบ้าง เดี๋ยวมาอยู่ในแสงสว่าง เดี๋ยวมาอยู่ในความมืด  อะไรประเภทนั้น มันไม่มี

            ฉะนั้น ใน 1 ยอห์น 2:2 จึงได้บอกข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านเช่นนี้ เพื่อเป็นพยาน ประกาศพระคุณพระเจ้าที่ทำให้เราคริสเตียนได้บังเกิดใหม่ ลบล้างบาปทั้งสิ้น ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตชั่วนิรันดร์ ให้เราบริสุทธิ์ ชอบธรรมดีพร้อมเหมือนพระองค์แล้วชั่วนิรันดร์ ให้เรารับรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ไม่ใช่เพื่อมาสนับสนุนให้เราทำบาป  แต่ทำให้เราได้รู้ความจริง เพื่อจะได้รู้จักการปฏิเสธ การถูกล่อลวงให้ทำบาปต่างหาก  เพื่อจะได้ทำดีบนโลกใบนี้ สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้า  ที่บริสุทธิ์ดีพร้อมแล้ว จะได้รู้ว่าท่านบริสุทธิ์ดีพร้อม เป็นใครในพระคริสต์ เป็นลูกของพระเจ้า ที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์ตลอดชั่วนิรันดร์แล้วต่างหาก  ต้องการให้รู้อย่างนี้ ซึ่งการรับรู้อย่างนี้ เป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า

            การรับรู้ว่าเราได้รับความรอดทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตนิรันดร์เลย อยู่ในแสงสว่างนิรันดร์เลย  เป็นการถวายเกียรติ เป็นการนมัสการพระเจ้า ด้วยจิตวิญญาณและความจริง อาจารย์ยอห์นบอก ท่านไม่รู้ความจริงตรงนี้ ท่านก็ไม่ได้นมัสการพระเจ้า ด้วยจิตวิญญาณและความจริง 1 ยอห์น 2:12  ได้บันทึกอย่างนี้เลย อาจารย์ยอห์นบอกอย่างนี้ …

        1 ยอห์น 2:12 “ลูกที่รัก ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านทั้งหลาย เพราะบาปทั้งปวงของท่าน  ได้รับการอภัยแล้ว เนื่องด้วยพระนามของพระองค์”

            ได้รับการอภัยแล้ว ให้ท่านรู้เรื่องเหล่านี้ เพราะบาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว  เนื่องด้วยพระนามของพระองค์ หมายถึงผ่านทางพระนามของพระองค์ ให้ท่านรู้ว่าพระนามของพระองค์ ทำให้ท่านได้รับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ถ้าท่านเชื่อสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ท่านก็เท่ากับยกชู ขอบคุณพระเยซูคริสต์ เป็นการยกย่อง ถวายเกียรติแด่พระนามพระเยซูคริสต์ แด่พระเยซูคริสต์ เมื่อท่านเชื่อว่าท่านได้รับการยกบาป ลบบาปทั้งปวงทั้งสิ้นของท่านเรียบร้อยแล้ว ท่านบริสุทธิ์เรียบร้อยแล้ว 100% แล้ว ท่านกำลังยกย่อง เชิดชู ขอบคุณพระเยซู และถ้าเราไม่เชื่อว่าพระเยซูทำสำเร็จแล้ว แล้วเรายังคงอธิษฐาน ขอการอภัยลบบาป จากพระองค์อยู่อีก เราก็เท่ากับกำลังกล่าวหา หมิ่นประมาทพระองค์โดยไม่รู้ตัว ถูกไหม? นี่ตามเหตุและผล

            แต่ถ้าท่าน คริสเตียนคนไหน? พลาด หลงไปทำบาป  เมื่อตะกี้เราอ่าน  ในหนังสือยอห์นบอกว่าอย่างไร? พลาดไปทำบาป เราก็มีพระเยซู ผู้ทรงพระชนม์อยู่ เป็นคนกลาง พระเยซูทรงพระชนม์อยู่ถึงเมื่อไรนะ? วานนี้ วันนี้ และสืบๆ ไปเป็นนิรันดร์ นั่นหมายถึงพระเยซูจะอยู่ตรงกลาง ช่วยแก้ต่างให้กับเราว่าเราไม่บาป  เรามีพระเยซูอยู่ตรงกลาง เรามีพระองค์ผู้ทูลขอ แก้ต่างต่อพระบิดา คือพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นผู้ชอบธรรม  ซึ่งหมายความว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ทรงคอยทูลแก้ต่างแทนเราตลอดชั่วนิรันดร์ เพื่อให้เรานั้น บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อม เป็นลูกของพระเจ้าอย่างนั้น ตลอดไป  ไม่มีการเปลี่ยนแปลง พระเยซูยืนยันอยู่ที่ข้างขวามือของพระเจ้าว่าอย่างนั้น ไม่มีใครที่จะมากล่าวหาท่านได้อีกเลย  ไม่มีใครที่จะมาว่าท่านเป็นคนบาปได้อีก พระเยซูบอกท่านไม่ได้เป็นคนบาป โดยพระโลหิตของเราเป็นพยาน โลหิตก็อยู่นี่ ตัวเราก็อยู่ที่นี่  เขาอยู่ในร่างกายของเรา เขาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา เราไถ่เขาเรียบร้อยแล้ว ไม่มีใครเอาเขาออกจากมือของเราไปได้หรอก เอเมน

            นอกจากนี้พระเยซูยังเป็นอะไร? ตะกี้ที่เราอ่านในหนังสือ 1 ยอห์น 2:1-2 บอกว่านอกจากนี้ พระเยซูเองยังเป็นเครื่องบูชาลบบาปทั้งปวงของเรา ซึ่งไม่ใช่เราที่เป็นคริสเตียนเท่านั้น ที่ตะกี้เราอ่าน แต่หมายถึงคริสเตียน และคนทั้งโลกด้วยที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน

            ลองย้อนกลับไปดูนิดหนึ่ง ผมจะชี้ให้ท่านเห็นบางอย่างที่มันสำคัญมาก ใน 1 ยอห์น 2:2 ในนี้บอกว่าพระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบบาปทั้งปวง คือบาปในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตนิรันดร์ เรารู้อยู่แล้ว พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบบาป คือเป็นแพะผู้รับบาป พระองค์ไถ่บาปให้กับเรา ด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์

            ในนี้เขียนว่าอย่างไร? พระองค์ทรงเป็น “ทรงเป็น” แปลว่าอยู่เดี๋ยวนี้ เป็นอยู่ พระองค์ทรงเป็น คือเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดชั่วนิรันดร์  ที่เราบอกว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงเป็น ไม่ใช่พระองค์ทรงได้เป็น ได้เป็น ตอนนี้อาจจะไม่ได้เป็น  แต่พระองค์ทรงเป็น หมายถึงปัจจุบัน ขณะนี้ ตลอดเวลา  ไม่ว่าท่านจะทำบาปเมื่อไรก็ตาม ไม่ว่าท่านจะทำบาปตอนนี้ หรือว่าก่อนตาย หรืออีก 10 ปีข้างหน้าจะทำบาป พระองค์ก็ทรงเป็นเครื่องบูชาลบบาปให้กับท่านตลอดเวลา เอเมนไหม? ชัดไหม? ชัดเลย พระองค์ทรงเป็น

            พระเยซูคริสต์ตายเมื่อไร? ไม่อยู่เมื่อไร? ท่านระวังตัว  กลัวความบาปได้  แต่พระเยซูอยู่ชั่วนิรันดร์  มีชีวิตอยู่ตลอดไป พระองค์ทรงเป็นตลอดไป และเป็นอะไร? เป็นพระเยซูคริสต์ที่อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรคสถาน เป็นพระเจ้า ผู้ทรงได้รับสิทธิอำนาจสูงสุด จากพระเจ้าพระบิดา และทรงเป็นเครื่องบูชาลบบาป ให้กับมนุษย์ทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์ เอเมน ขอบคุณพระเจ้าของเรา

            การเป็นของพระองค์นี้ แสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ และความเพียงพอ  พอเพียงในการเสียสละชีวิตของพระองค์ เพื่อเราทั้งหลายว่าพระองค์ทรงเสียสละชีวิต หลั่งพระโลหิต ตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ ถ้าท่านเชื่อตามนั้น พระองค์ทรงเป็นอยู่จริงๆ และอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าจริงๆ และเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับท่าน ให้กับเราจริงๆ ได้ชำระบาปเราทั้งหมดทั้งปวง ชำระเราให้บริสุทธิ์ พ้นจากความบาป พ้นจากความไม่ชอบธรรมทั้งหมด

            นี่คือการอภัยโทษบาปของมนุษยชาติ  ซึ่งกระทำโดยพระเยซูคริสต์ครั้งเดียว เป็นพอที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว  สำหรับโลกมนุษย์นี้ เรียกว่า 2,000 ปี สำหรับโลกนิรันดร์กาลในสวรรค์ เกิดขึ้นเดี๋ยวนี้  ไม่มีวันเวลา  ในฮีบรู 10:10 และ 14 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        ฮีบรู 10:10,14 “10 และโดยพระประสงค์นี้ เราทั้งหลายจึงได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์  โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์  เป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียวเป็นพอ 14 โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระองค์ก็ทรงทำให้คนทั้งหลาย ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น  ถึงความสมบูรณ์ตลอดไป”

            “โดยการถวายบูชาเพียงครั้งเดียว พระเยซูก็ทรงทำให้คนทั้งหลาย ที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วนั้น ถึงความสมบูรณ์ตลอดไปนิรันดร์”

            ดังนั้น คริสเตียนผู้เชื่อ เราสามารถที่จะผ่อนคลาย พักผ่อน เหมือนอย่างที่พระเยซูคริสต์บอก … “ผู้ใดแบกภาระ และเหน็ดเหนื่อย จงมาหาเรา เราจะให้ผู้นั้น หายเหนื่อยและเป็นสุข”

            เราสามารถเป็นสุขและหายเหนื่อย อยู่ในสันติสุขของพระเจ้าได้ สามารถพักผ่อนในความจริงนี้ ที่เราได้เรียนรู้ในวันนี้  จากหนังสือยอห์นว่าความสัมพันธ์ในการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า ความบริสุทธิ์ในการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า การที่เป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์นั้น มันจะอยู่ตลอดไป  เราได้รับการอภัยโทษ อย่างสมบูรณ์แล้ว และนั่นหมายถึงเราได้รับความรักอย่างเต็มที่จากพระเจ้าแล้วเหมือนกัน ให้เราคริสเตียนทั้งหลาย จงมั่นใจ ความมั่นใจนี้ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตตามตัวตนใหม่ในพระคริสต์ ในชีวิตใหม่นี้  และจะได้แสดงผลของพระวิญญาณที่อยู่ในตัวเรา และการบังเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา  และดำเนินชีวิตในเสรีภาพที่มีพระคุณของพระองค์ดำรงอยู่ มอบให้กับเราไปพร้อมๆ กัน ซึ่งเป็นงานที่สำเร็จมาแล้ว 2,000 ปี คือพระคุณของพระเจ้า โดยพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน

            สรุปของวันนี้ ก็คือยอห์นเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา  เพื่อแจ้งให้คริสเตียนทราบ ประกาศให้รู้ทั่วกัน ทั้งคริสเตียนส่วนใหญ่ และอ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนได้รู้ว่าพระเจ้าได้ลบบาปทั้งปวง ทั้งบาปอดีต ปัจจุบันและอนาคตนิรันดร์นั้น ไม่ใช่เพียงแค่บาปของคริสเตียนเท่านั้น  แต่บาปของคนทั้งโลกเลย 2,000 ปีมาแล้ว พระองค์ทรงแบกเอาบาปของมวลมนุษยชาติไว้ที่ตัวพระองค์บนไม้กางเขน พระองค์พูดก่อนจะถูกตรึง บอกว่า …

            “วันใดที่พระองค์ถูกยกขึ้น  ก็คือบุตรมนุษย์ถูกยกขึ้น คือพระองค์ถูกยกขึ้น ถูกตรึงที่ไม้กางเขน  พระองค์จะนำบรรดาผู้คนบนโลกทั้งหมด เข้ามาหาพระองค์” มันหมายถึงอย่างนี้

            พระองค์ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระองค์นำมนุษย์ที่ยังไม่เกิดด้วย มองมาถึงเดี๋ยวนี้ ผ่านมา 2,000 ปี เห็นคุณนครด้วย รวมไว้ที่พระองค์เลย รวม เพื่อพระองค์จะได้ชำระ เป็นตัวแทนของเขา ชำระบาปให้เขา เป็นแพะผู้ไถ่บาปให้กับเขา หมดสิ้นเลย พอเขาเกิดมา เขาได้รับข่าวดีนี้  เขาสารภาพ ยอมรับข่าวดีนี้ เขาก็จะได้รับสิ่งนี้นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น มันเสร็จมา 2,000 ปีแล้ว มนุษย์ทุกคน เรามาร่วมยอมรับความจริงนี้ ด้วยกันดีไหม? ทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ คนไม่เชื่อ ก็ควรจะรับและสารภาพซะ แต่คนเชื่อแล้ว ก็จะได้รู้ความจริงเหล่านี้ว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว รู้อะไร? สำคัญที่สุดในวันนี้ ก็คือ …

            “บาปทั้งปวงของฉัน ได้รับการอภัยแล้ว เนื่องด้วยพระนามของพระองค์” เอเมน

            ซึ่งเป็นการยกย่อง ถวายเกียรติแด่พระนามพระเยซูคริสต์ แด่พระเจ้าพระบิดา ผู้ทรงประทานพระเยซูคริสต์ให้กับเราทั้งหลาย

            “บาปทั้งปวงของฉันได้รับการอภัยแล้ว เนื่องด้วยพระนามของพระองค์” เอเมน

            ขอบคุณพระเจ้า  พระเจ้าอวยพรครับ

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            มนุษย์ทุกคนต้องตัดสินใจเลือก! …

                        “กฎแห่งกรรม พึ่งในการกระทำของตนเอง”

                                    หรือ …

                        “กฎแห่งพระคุณ พึ่งในการกระทำของพระเยซู”

            พระเยซูเป็นพระเจ้า มาประสูติเป็นมนุษย์ธรรมดาทั่วไป คืออยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ และสามารถมีชัยชนะเหนือกฎแห่งกรรมนี้ได้ โดยไม่ทำบาปเลย เพราะเป็นมนุษย์ผู้เดียวที่ไม่ได้เกิดเป็นคนบาป จนถึงวันสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เพื่อรับโทษบาปแทนมนุษย์ทั้งปวง

            พระเยซูจึงเตือนให้เราทราบว่าไม่มีทางที่จะเอาชนะกฎแห่งกรรมนี้ได้เลย เพราะว่าท่านทั้งหลายเกิดมาก็เป็นคนบาปแล้ว

            กฎแห่งกรรมกฎที่พึ่งในการกระทำของตนเองนี้ พระคัมภีร์เรียกว่า “กฎของความบาปและความตาย”

            ส่วนกฎแห่งพระคุณ พึ่งในการกระทำของพระเยซู พระคัมภีร์เรียกว่า “กฎวิญญาณที่ประทานชีวิต”

            โรม 8:1-2 … “1 เหตุฉะนั้น  บัดนี้จึงไม่มีการลงโทษ  แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์  กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต  ได้ปลดปล่อยท่าน  ให้เป็นอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย”

            เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์  เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา  โดยผ่านทางความเชื่อ พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ผ่าตัด วิญญาณของเรา  บัพติศมาเรา เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์  วิญญาณเก่าที่เป็นบาปของเรา ได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูแล้ว ถูกฝังพร้อมกับพระเยซู  และได้เป็นขึ้นมาพร้อมกับพระเยซูแล้ว  โดยการบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า  เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม  สะอาด หมดจดเหมือนพระเยซู  เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอีกต่อไป แต่เราอยู่ภายใต้กฎแห่งพระคุณ กฎวิญญาณที่ประทานชีวิตนิรันดร์

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1473

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  มิถุนายน  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 1 “พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และยอมถ่อมลงมาเกิดในร่างมนุษย์จริงๆ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้จะเริ่มซีรี่ย์ใหม่ ตื่นเต้น เพราะเป็นซีรี่ย์ที่สนุกมากเลย ท่านอาจจะไม่ค่อยจะได้ยิน ได้ฟัง ซีรี่ย์นี้เท่าไร?  แต่พอพูดชื่อไป ท่านอาจจะโอ้โห อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจเลยพระคัมภีร์ อ่านเอง รู้สึกน่าเบื่อ แต่รับรองได้ว่าผมจะพยายามที่สุดเลย ที่จะทำให้ท่านสนุกให้ได้ เพราะว่าผมยังสนุกเลย ยิ่งอ่าน ยิ่งสนุก มันสั้นๆ เอง แต่สนุกมาก ซีรี่ย์นี้มีชื่อว่า “หนังสือ 1 ยอห์น” วันนี้จะเริ่มต้นซีรี่ย์ของหนังสือ 1 ยอห์น อัครทูตยอห์น ที่เขาว่าเป็นผู้ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเยซูคริสต์ ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้มากที่สุด เขาว่านะ

            “หนังสือ 1 ยอห์น” ให้ชื่อเรื่องตามหนังสือนี้ ที่จะมาเรียนรู้กันต่อไปนี้  ตามเรื่อง ก็คือ  ตอนที่ 1 “พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และยอมถ่อมลงมาเกิดในร่างมนุษย์จริงๆ” ทำไมถึงต้องสำคัญถึงขนาดนั้น ถึงกับเป็นหัวข้อเรื่องเลย

            ทำไมเริ่มต้นอัครทูตยอห์นถึงต้องมาพูดถึงเรื่องนี้ด้วย เบื้องหลังของหนังสือ 1 ยอห์นตื่นเต้นมาก คือเขียนเมื่อประมาณ ค.ศ.90 คืออัครทูตยอห์นเป็นอัครทูตคนสุดท้าย ที่มีชีวิตยืนยาวที่สุด ทุกคนตอนที่เขียนส่วนใหญ่ ก็ถูกประหารชีวิตกันไปหมดแล้ว เหลืออาจารย์ยอห์นคนเดียว นึกถึงภาพนะ ย้อนกลับไปในอดีต เมื่อ ค.ศ.90

            ข่าวประเสริฐเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไร? เริ่มประกาศเมื่อไร? ใครจำได้บ้าง? เริ่มประกาศวันแรก คือวันเพ็นเตคอส วันที่ 50 หลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว วันเพ็นเตคอส คือวันเริ่มต้นเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณ เริ่มต้นคริสตจักรของพระเจ้า วันนั้นเป็นวันเริ่มต้นวันประกาศข่าวดี ถ้าเป็นค.ศ. ก็ประมาณ ค.ศ.33 ตอนนี้ ค.ศ.90 ก็ผ่านมาประมาณ 50 กว่าปี ถูกไหม? อาจารย์ยอห์นก็อายุประมาณ 80 กว่า 90 กว่า แก่แล้ว

            และในช่วงนั้น ตั้งแต่เริ่มต้นเพ็นเตคอส เริ่มต้นประกาศข่าวดี ข่าวดีบูมมากเลย  แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้ใช้คำว่าบูม มันแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วมากเลย  จำได้ไหมในหนังสือกิจการ วันแรก 3,000 คน คนแห่กันมาเชื่อมากเลย คริสตจักรกำลังเจริญเติบโต ผู้เชื่อเกิดขึ้นในที่ต่างๆ เหมือนดอกเห็ด ปุ๊บปั๊บๆ ที่โน่นก็มี ที่นี่ก็มี ทั้งคนยิวและไม่ใช่ยิว มาเชื่อพระเจ้ากันเต็มไปหมดเลย มารก็มีหน้าที่เร่งทำงานของมันเหมือนกัน ก็คือพยายามปกปิดความจริงของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ให้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ ทำให้คนไม่รู้ข่าวประเสริฐอย่างแท้จริง ก็เลยเกิดการต่อต้านขึ้น ปิดบังความจริงบ้างก็ไม่เชื่อเลยว่าโกหกทั้งเพ อย่างเช่นผู้นำศาสนายิว ยังไม่เชื่อเลย บ้างก็ไม่เชื่อเฉยๆ  แต่ก็ไม่สนใจ แต่บ้างไม่เชื่อไม่พอ ยังข่มเหงอีก  ทั้งเกลียดด้วย  ไม่มีเหตุผล ไม่ชอบ  อย่างชาวยิวเขาเกลียด เขาไม่ชอบ เขาต่อต้านและข่มเหง เขายังมีเหตุผล

            เหตุผล ก็คือเขาเชื่อว่าพระเจ้าของเขาเป็นพระเจ้าองค์เดียว ไม่มีมนุษย์คนไหนมาเป็นพระเจ้าได้ พระเยซูมาอ้างว่าตัวเองเป็นพระเจ้า นี่เขาหาว่าหมิ่นประมาท เพราะว่าเขาไม่รู้ความจริง  อันนี้โอเค แต่ยังมีคนที่เข้าร่วมด้วยขณะที่ไม่เชื่อ แล้วก็อ้างตัวเองว่าเป็น คริสเตียน อันนี้หนัก นึกภาพออกใช่ไหม? ไม่เชื่อเสียเลยก็ดีกว่า แต่เชื่อแบบบางส่วน

            ยกตัวอย่าง เชื่อว่าพระเยซูเป็นรับบี  “รับบี” แปลว่าอาจารย์ เก่งในเรื่องศาสนศาสตร์ต่างๆ เหล่านี้ เชื่อว่าพระเยซูเป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า แต่ไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า บางคนก็บอกว่าเชื่อว่าพระองค์เป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมาทำหมายสำคัญให้กับมนุษย์กลับใจใหม่เฉยๆ บางคนก็บอกว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า  แต่ไม่ได้มาอยู่ในสภาพของมนุษย์ เป็นพระเจ้าจริงๆ มาจริงๆ

            สรุป ก็คือต่อต้านว่าพระเยซูไม่ได้เป็นพระเจ้า  หรือพระมาซีฮาห์ที่พระเจ้าบอกว่าจะส่งมาช่วยเหลือมนุษย์ ก็คือพระผู้ช่วยให้รอดเพียงผู้เดียว ที่พระเจ้าส่งมา ซึ่งบอกไว้ในอดีตแล้ว เผยพระวจนะไว้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าจะส่งมาช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาป นี่บิดไปเรื่อยๆ ตรงนั้นนิด ตรงนี้หน่อย การปฏิเสธว่าพระเยซูคริสต์ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์จริงๆ นั้น และไม่เชื่อว่าตนเองเป็นคนบาป ถามว่าทำไมเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะว่านี่คือหัวใจของข่าวดีของพระเยซูคริสต์ นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ที่เป็นคนบาปอยู่ มนุษย์ต้องการหมอ มนุษย์ต้องรู้ว่าตัวเองป่วย  ตัวเองเป็นคนบาป ต้องการหมอ และหมอ ก็คือพระเยซูคริสต์

            เพราะฉะนั้น เมื่อปฏิเสธว่าตนเองไม่ใช่เป็นคนบาป ก็จบกัน  ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าก็จบกัน เพราะหัวใจของข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือพระเจ้าส่งพระบุตรของพระองค์  คือพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดในสภาพของมนุษย์ มนุษย์จริงๆ  เพื่อว่าจะได้เป็นตัวแทนแบกรับบาปทั้งปวงของมนุษย์ทั้งหลาย แล้วก็เป็นตัวแทนของมนุษย์ ตายไปพร้อมกับบาป บนไม้กางเขน  เพื่อมวลมนุษย์จะได้พ้นจากความบาปนั้น และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 มันต้องต่อเนื่องกันอย่างนี้

            ในช่วงนั้นมีผู้ต่อต้านแบบนี้  อย่างที่ตะกี้นี้บอก หลายอย่าง หลายแบบ แต่แบบที่สำคัญที่สุด  คือแบบที่ดูเหมือนไม่ต่อต้านเลยทีเดียว แต่ดูเหมือนต่อต้าน แบบประณีประณอม อะลุ่มอล่วย ก็คือแอบเข้ามาในคริสตจักร แอบเข้ามาในกลุ่มผู้เชื่อคริสเตียน แล้วอ้างตัวเองว่าเป็น คริสเตียน  ก็คือกลุ่มลัทธิหนึ่งที่มีชื่อว่านอสซิส หรือนอสติก

            พวกนอสติก คือผู้ที่มีมาก่อน ที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์แล้ว ลัทธินี้ เชื่อในเรื่องโลกวิญญาณเป็นพิเศษ เชื่อในความรอดในโลกวิญญาณ เหมือนกับคริสเตียน เชื่อในพระเจ้าเหมือนกัน แต่ความเชื่อหนึ่งของเขา คือวัตถุเป็นโลกไร้สาระ  เหมือนโลกแห่งภาพลวงตา  ไม่เป็นอยู่จริง ไม่นานโลกวัตถุ ซึ่งรวมทั้งร่างกายของมนุษย์ ก็จะต้องสูญสิ้นไป ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ที่จะไปยุ่งกับมัน  เพราะฉะนั้น ทำบาปอะไรก็ได้ ไม่เป็นไร เดี๋ยวมันก็ตายไปแล้ว ไม่ได้สำคัญ สำคัญที่สุด เรียนรู้ความลึกซึ้ง ความล้ำลึกแห่งความรู้ทางโลกวิญญาณ  ความรู้ตัวนี้  เรียกว่านอสซิส มาจากคำว่า “นอส” ที่แปลว่าความรู้ ต้องรู้เรื่องโลกวิญญาณจริงๆ มันลึกลับมาก  ต้องเรียนรู้จากพระเจ้าโดยตรงเลย ถึงจะได้รับความรอดของโลกวิญญาณ ส่วนมนุษย์เป็นคนบาปนั้น ไม่มีจริง ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป แต่หลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง เขายังเชื่อเหมือนกับคริสเตียนอยู่ ก็คือเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวกัน  พอมองเห็นภาพไหม?

            ในหนังสือยอห์น เรียกพวกนอสซิสว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ เคยได้ยินใช่ไหม?  พวกต่อต้านพระคริสต์ หรือภาษาอังกฤษเขาเรียกแอนตี้ไคร์ซ คือคนที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์  เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าตระเตรียมไว้ ส่งมา เพราะฉะนั้น พวกนอสซิสพวกนี้ ก็คือพวกที่แอบเข้ามาในคริสตจักร แล้วก็มาชักชวนให้ผู้เชื่อจริงๆ ผู้เชื่อแท้ๆ หลงไปเชื่อในลัทธิคำสอนของเขา

            ยกตัวอย่างเช่น สมมติว่า … “นี่เธอก็เป็นคริสเตียน ฉันก็เป็นคริสเตียนเหมือนกัน ฉันเชื่อพระเจ้าเหมือนกัน พระเยซูฉันก็เชื่อ แต่พระเยซูไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์หรอก  ฉันจะบอกให้ฟังความจริง พระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ แต่ไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พระองค์มาในโลกใบนี้ มาในลักษณะเป็นวิญญาณ เป็นภาพเหมือน เป็นแสงสว่าง ร่างกายเป็นแบบวิญญาณ ไม่ใช่ร่างกายแบบเนื้อหนัง แบบเราๆ อย่างนี้หรอก เพราะร่างกายแบบเราๆ มันสกปรก  โสโครก ไร้สาระ พระเยซูเป็นพระเจ้า ไม่ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์อันต่ำต้อยอย่างนี้หรอก เป็นไปไม่ได้ เห็นไหม? ร่างกายนี้ ก็เหมือนกับสัตว์ตัวหนึ่ง  เดี๋ยวมันก็ตายไปแล้ว  ทำบาป ทำอะไรต่างๆ มันสกปรก พระเยซูไม่มาเกิดเป็นมนุษย์อย่างนี้หรอก  ไม่มาเกิดในร่างกายของมนุษย์ที่ต่ำต้อยอย่างนี้หรอก”

            คริสเตียนที่เชื่อในข่าวประเสริฐ ในหลักการของข่าวประเสริฐว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะโยงมาถึงเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งปวง ในการรับบาปไว้ ก็เสียหาย เห็นอะไรบางอย่างไหม?

            ข้อมูลเท็จเหล่านี้ มันแทรกซึมเข้ามาอยู่ในคริสตจักร คริสตจักรสมัยก่อน ไม่ได้เป็นคริสตจักรอย่างนี้หรอก ส่วนใหญ่จะเป็นคริสตจักรตามบ้าน ตามชุมชน ตามกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย  ซึ่งกำลังเกิดเป็นดอกเห็ด อย่างที่บอก ความเชื่ออย่างนี้ มันก็เข้าไปซึมอยู่ในกลุ่มของคริสเตียนแท้ๆ จริงๆ ทำให้เกิดการสับสน และอันตรายมากๆ สำหรับความคิดอย่างนี้  ซึ่งเป็นหน้าที่ของศิษยาภิบาล ผู้อาวุโสที่ดูแลคริสตจักร  ก็คืออัครทูตยอห์น ในขณะนั้น  ก็เลยต้องเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา

            แล้วก็เริ่มต้นพูดถึงเรื่องนี้ก่อน คือตั้งแต่บทที่ 1 เลย  เพราะในกลุ่มคนที่เป็นคริสเตียน  ในคริสตจักรในขณะนั้น หลายสิ่งหลายอย่าง มันอาจจะไม่เหมือนกัน ในความคิดของคริสเตียน ในขณะนั้น  แต่มันยังพอรับกันได้บางอย่าง ยังอะลุ่มอล่วยกันได้  อย่างเช่น อาจจะเป็นคริสเตียนเหมือนกัน เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์เหมือนกัน แต่อาจจะไม่คิดเหมือนกัน คือกินเนื้อสัตว์ที่มีมลทิน ตามบัญญัติของโมเสสได้ไหม? กินได้หรือไม่ได้ บางคนก็บอกว่ากินได้  บางคนก็บอกกินไม่ได้ อันนี้ไม่เป็นไร?  ไม่ได้สำคัญมากนัก  หรือจะนมัสการพระเจ้าวันสะบาโต วันอาทิตย์ดีหรือวันเสาร์ดี บางคนก็บอกวันอาทิตย์ดี บางคนก็บอกวันเสาร์ดี อย่างนี้ก็ไม่สำคัญ หรือเนื้อที่เขาถวายรูปเคารพแล้ว เอามาขายตลาด เอามากินได้ไหม? กินได้ไม่ได้ อันนี้ไม่สำคัญ

            แต่เรื่องที่จะมาบอกว่าไม่เหมือนกัน ตรงที่พระเยซูไม่ได้เป็นพระเจ้า  หรือเป็นพระเจ้า ไม่ได้มาเกิดในร่างกายของมนุษย์จริงๆ หรือปฏิเสธว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นคนบาปจริงๆ อันนี้ กระทบข่าวดีโดยตรง รับไม่ได้เลยจริงๆ  เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีหน้าที่ดูแล ก็คืออัครทูต ก็เลยต้องเขียนสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เพื่อยืนยัน ประกาศความจริงในเรื่องของพวกนอกรีต ที่เอาเข้ามาในคริสตจักรเหล่านั้น  ให้เขาได้เห็นว่านี่เรื่องจริงมันเป็นอย่างนี้  เราจะเป็นพยานให้ เราเป็นผู้ได้เห็นกับตา ได้รู้กับตัว ได้จับมากับมือเลยว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์อย่างเราจริงๆ นึกออกใช่ไหม? พอเรารู้อย่างนี้แล้ว เราจะสนุกแล้ว

            เพราะในหนังสือของอาจารย์ยอห์นจะพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับสถานะ ความเป็นอยู่ในโลกวิญญาณของคริสเตียนว่าเป็นเช่นไร? ซึ่งลึกซึ้งมาก สนุกมากเลย ซึ่งอาจารย์ยอห์น อย่างที่บอก ใกล้ชิดกับพระเยซูมาก เดือดร้อนใจในเรื่องนี้มาก เลยเป็นพยานยืนยันเริ่มต้นเลย ตั้งแต่ 1 ยอห์น บทที่ 1 ลองอ่านกันดู เมื่อเรารู้พื้นฐานนี้แล้ว เรามาดูว่าอาจารย์ยอห์น หรืออัครทูตยอห์น แย้งหรือเป็นพยานยืนยัน ประกาศความจริงในเรื่องนี้ ให้กับพวกนอกรีต พวกที่ไม่ใช่คริสเตียนแท้อย่างไร?  อ่านภายใต้เบื้องหลังนี้ แล้วท่านจะเข้าใจ จะเห็นชัดขึ้นว่าทำไมเริ่มต้นจดหมายต้องเขียนอย่างนี้ด้วย ปกติจดหมายฝากอื่นๆ เริ่มต้นจดหมายจะไม่เขียนลักษณะอย่างนี้ คือลักษณะของการเริ่มเขียน ก็คือทักทายกัน ให้พระพรกัน  ทำไมอันนี้ต้องเขียนอย่างนี้ด้วย  ก็เพราะเรื่องนี้สำคัญมาก เขียนถึงคริสเตียนที่ไม่ใช่คริสเตียนแท้  ที่อ้างตัวเองว่าเป็นคริสเตียน  โดยเฉพาะพวกที่ถือลัทธินอสซิส 1 ยอห์น 1:1-2 …

        1 ยอห์น 1:1-2 “1 เราขอแจ้งเกี่ยวกับสิ่งที่มีมา ตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ได้เห็นกับตา ได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้น คือพระวาทะแห่งชีวิต 2 และชีวิตที่ว่านี้ ได้ปรากฏขึ้นแล้ว เราได้เห็นและได้เป็นพยาน และเราประกาศชีวิตนิรันดร์นี้ ให้กับพวกท่าน เป็นชีวิตที่ดำรงอยู่กับพระบิดา และมาปรากฏแก่เรา”

            อาจารย์ยอห์นบอกว่า … “เราได้ยิน ได้เห็นกับตา ได้พินิจดู และได้จับต้องด้วยมือของเรา”

            จับใคร? เห็นใคร? ได้ยินใคร? พระวาทะแห่งชีวิต คือพระวาทะแห่งชีวิตนิรันดร์ ที่อยู่เริ่มต้นตั้งแต่ปฐมกาล ก็คือพระเยซูคริสต์ ในหนังสือยอห์นอีกฉบับหนึ่ง ที่เขียนไว้ ก็เริ่มต้นอย่างนี้ว่าพระเยซูคริสต์ คือพระวาทะ ยอห์นกำลังเป็นพยานต่อสู้กับความเชื่อผิดๆ ของพวกนอสติกหรือนอสซิสนี้ ยอห์นกำลังต่อสู้กับพวกนอกรีต ด้วยความจริงที่ว่าพระเจ้าเป็นชีวิตนิรันดร์ พระเยซูเป็นชีวิตนิรันดร์ ดำรงอยู่ก่อนสิ่งทั้งมวล  ก่อนจะสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย พระองค์ทรงอยู่ก่อนแล้ว

            ยอห์นกำลังบอกพวกเขาว่าเราได้ยินเสียงของพระเยซู เราได้เห็นพระองค์ด้วยตาทางกายภาพ นี่แหละ เราเห็นเลย  เราจับตาดูพระองค์ ตอนที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ทรงปรากฏตัวให้เห็นอย่างชัดเจน ไม่ใช่ภาพลวงตาอย่างแน่นอน พระองค์เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ  ด้วยร่างกายที่เป็นมนุษย์ที่เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ตอนที่ยังไม่เป็นขึ้นจากความตาย พระองค์ก็เป็นมนุษย์จริงๆ  ในสภาพที่เป็นพระเจ้าอยู่ด้วย พระองค์ไม่ใช่ผี พระองค์ไม่ใช่วิญญาณที่ลอยไปลอยมา พระองค์ไม่ใช่ลำแสง พวกนอสซิส บอกว่าเป็น พระองค์เป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ เหมือนเราๆ นี่เลย ผมจับกับมือเลย ดูด้วยตาเลย แล้วพระองค์ก็พูดกับพวกเรา (หมายถึงอัครทูต 12 คนที่อยู่ใกล้ชิด) ว่าให้พวกเราสัมผัสร่างกายของพระองค์ อัครสาวกก็ได้โอบกอดพระองค์ แตะต้องพระองค์จริงๆ  และรู้ว่าพระองค์มีร่างกายจริงๆ  โดยเฉพาะอย่างนี้ ข้าพเจ้า คืออัครทูตยอห์น ตอนที่ทำพิธีมหาสนิทก่อนที่จะถูกตรึงบนกางเขน พระคัมภีร์บันทึกว่ายอห์นไปซบอกของพระเยซู ข้าพเจ้านอนอยู่ตรงนั้นจริงๆ นอนอยู่ที่อกของพระเจ้า ที่มีนามว่าพระเยซูคริสต์จริงๆ  พระองค์เป็นเนื้อหนัง เป็นร่างกายจริงๆ พูดอย่างสุภาพให้บรรดาคริสเตียนปลอมทั้งหลาย ให้เขาได้รู้ความจริงเหล่านี้

            ในข้อที่ 2 ที่บอกว่า “และชีวิตที่ว่านี้ได้ปรากฏขึ้นแล้ว” ชีวิตที่ว่านี้ คือชีวิตนิรันดร์ได้ปรากฏขึ้นแล้ว ก็คือพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้า พระเจ้าเป็นชีวิตนิรันดร์ พระเยซูเป็นพระเจ้า ก็เป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า คุ้นๆ ไหมชีวิตนิรันดร์ ผู้ใดวางใจพระบุตร พระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ผู้นั้นได้รับชีวิตนิรันดร์ เราผู้เป็นคริสเตียนแท้ๆ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราก็ได้รับชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์นั่นเอง

            ชีวิตที่ว่า คือพระเยซูได้ปรากฏขึ้นแล้ว เราคืออัครทูต 12 คนนั้น เราได้เห็นและได้เป็นพยาน และประกาศชีวิตนิรันดร์นี้ ตั้งแต่วันเพ็นเตคอสมาแล้ว เราประกาศว่าเราเห็นกับตา เห็นตอนที่พระองค์ทรงเป็นมนุษย์อยู่ เห็นตอนที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย เป็นมนุษย์ที่เป็นขึ้นจากความตาย เห็นพระองค์ลอยต่อหน้าต่อตาขึ้นไปในสวรรค์ เห็นพระองค์จริงๆ เป็นชีวิตนิรันดร์ที่ดำรงอยู่กับพระบิดา และมาปรากฏแก่เรา  ก็คือเป็นชีวิตนิรันดร์ที่อยู่กับพระบิดามาตั้งแต่นานนมแล้ว  และลงมาเกิดเป็นมนุษย์  และมาอยู่กับเรา ก็คือมาเป็นมนุษย์เหมือนเราๆ นี้

            อาจารย์ยอห์นมาเป็นพยานยืนยันในการเป็นพระเจ้า มาเกิดในสภาพมนุษย์จริงๆ เราเห็นกับตาจริงๆ  พระคริสต์ทรงเป็นชีวิตนิรันดร์อยู่กับพระบิดาจริงๆ ก่อนหน้านั้น  แต่ในช่วงหลัง ช่วงเวลาหนึ่ง ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ พระเจ้าองค์นี้ คือพระเยซูคริสต์ พระบุตรนี้ ทรงมาเกิด ปรากฏต่อเราในร่างมนุษย์ และเป็นมนุษย์อยู่ เป็นเวลา 33 ปี พระองค์ทรงปรากฏแก่เรา 12 คน เห็นกับตา สนิทสนมกันใน 3 ปีนั้น  และที่เรากำลังประกาศอยู่นี้ เป็นสิ่งที่เราได้เห็นกับตาจริงๆ  และได้ยินกับพระองค์จริงๆ ก็คือสิ่งที่เราประกาศให้กับท่าน  เรื่องข่าวดีนั้น  เราไม่ได้คิดขึ้นมาเอง แต่พระเจ้าพูดกับเรา ให้พระเยซูบอกเรา สอนเรา โดยร่างกายของพระองค์ ปากของพระองค์ พูด เราได้ยินจากหูเนื้อเราได้ยินจริงๆ ตาเราได้เห็นจริงๆ ตาเราได้สัมผัสจริงๆ 1 ยอห์น 1:3 …

        1 ยอห์น 1:3 “เราประกาศให้ท่านทราบถึงสิ่งที่เราได้เห็นและได้ยิน เพื่อท่านจะได้ร่วมสามัคคีธรรมกับเราด้วย และการสามัคคีธรรมกับเรา คือการสามัคคีธรรมกับพระบิดา และกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์”

            “เราประกาศสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่เราได้เห็นและได้ยิน จากพระเยซูคริสต์บอกเรา  พูดกับเรา อยู่กับเรา  ประกาศให้ท่านทราบ” ท่าน ในที่นี้ คือพวกนอสติก พวกที่อ้างว่ารู้จักพระเจ้า แต่ไม่ได้เป็นคริสเตียนจริงๆ “ท่านจะได้ร่วม” ขณะนี้เขาได้ร่วมอยู่หรือเปล่า?  “ท่านจะได้ร่วม” แสดงว่าตอนนี้เขาไม่ได้ร่วม พูดง่ายๆ ว่าท่านจะได้เป็นคริสเตียนแท้ๆ สักทีหนึ่ง

            “ท่านจะได้ร่วม” ก็คือคนที่ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน  ก็คือพวกนอสซีสเหล่านี้  ที่อ้างว่าตัวเองเป็นคริสเตียนแล้ว ถ้าเป็นคริสเตียนแล้ว ท่านจะได้สามัคคีธรรมกับเราด้วย จะได้เข้ามาอยู่กับเรา ตอนนี้ท่านไม่ใช่

            คำว่า “สามัคคีธรรม” คืออะไร? สามัคคีธรรม คือในตอนนี้  พวกเขาก็สามัคคีธรรมกันทางด้านร่างกาย ทางตามองเห็นแล้ว  ก็คือเขาเข้ามาอยู่ในคริสตจักร เข้ามาพูดคุย อย่างนี้เราเรียกว่าสามัคคีธรรมใช่ไหม? แต่คำพูดในพระคัมภีร์ตอนนี้ ที่บันทึกไว้ใน 1 ยอห์น 1:3  หมายถึงสามัคคีธรรมทางวิญญาณ ไม่ได้หมายถึงสามัคคีธรรมอย่างนี้ อย่างที่เรามาคริสตจักร เขาอยู่ในคริสตจักรอยู่แล้ว แต่เขาไม่ใช่คริสเตียนแท้จริง เขาอ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน แต่เขาก็สามัคคีธรรมแบบมนุษย์ อยู่ด้วยกัน นึกออกไหม?  เขานึกว่าเขาเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา  แต่อาจารย์ยอห์นบอกไม่ใช่เลย เข้าใจผิดแล้ว

            คำว่า “สามัคคีธรรม” ตัวนี้ มาจากคำว่า “koinonia (koy-nohn-ee’-ah) (คอย-โน-เนีย)” เป็นภาษากรีก ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Fellowship” ความหมาย คือการเข้าส่วนร่วม มีปฏิสัมพันธ์ เป็นวิญญาณเดียวกัน  มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง รู้จักกัน ผูกพันกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นเนื้อเดียวกัน (ทางวิญญาณ) ตรงนี้อาจารย์ยอห์นกำลังหมายถึงอย่างนี้

            เราประกาศความจริงเหล่านี้ให้กับท่าน เพื่อท่านจะได้เชื่อเรา  แล้วจะได้เข้ามาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพวกเราในพระเยซูคริสต์

            พวกอัครสาวกได้ประกาศเป็นพยาน เรื่องข่าวดีของพระเยซูว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ประกาศข่าวดีนี้ แก่ผู้ที่ยังไม่ได้เชื่อ ยังไม่ได้ต้อนรับข่าวดีของพระเยซู เพื่อว่าผู้ที่ยังไม่เชื่อนั้น ก็คือพวกนอสซีสนั้นจะได้กลับใจใหม่ หันมาต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด หันมาเชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ มาช่วยเขาได้รับความรอดจริงๆ พวกอัครสาวกได้ประกาศสิ่งเหล่านี้ ให้กับพวกนอสซิสได้เข้าใจ  เพื่อพวกเขาจะได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณเข้าไปสู่การสามัคคีธรรมทางวิญญาณ คือวิญญาณของพวกเขาจะได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของผู้ที่ได้เชื่อในข่าวดี และได้บังเกิดใหม่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว ก็คือคริสเตียนแท้ทั้งหลาย รวมทั้งอัครสาวกเหล่านั้น  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า 3 พระภาค เพื่อพวกท่านจะได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพวกเรา

            และเพื่อว่าพวกเขาทั้งหลาย พวกนอสซีสนั้น จะได้มาเชื่อ และเป็นผู้เชื่อใหม่ จะได้รู้จักสนิทสนมกับพระเจ้า  มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นเดียวกับเราทั้งหลาย นี่คือความหมายของ 1 ยอห์น 1:3 จะเห็นภาพชัดเจนเลย 1 ยอห์น 1:4 …

        1 ยอห์น 1:4 “และเราเขียนข้อความเหล่านี้ เพื่อความชื่นชมยินดีของเรา (และท่าน) จะได้เต็มเปี่ยม”

            เราแจ้งข้อความเหล่านี้ คือเราประกาศความจริงให้กับท่านนะ  เพื่อว่าความชื่นชมยินดีของเรา ผู้ประกาศ และของท่าน ผู้ที่ถูกประกาศ  ที่ท่านได้รับฟัง  เพื่อท่านจะได้เชื่อและจะได้ชื่นชมยินดี  และเราก็ชื่นชมยินดีด้วย เราชื่นชมยินดี เพราะว่าเราได้ประกาศ และเราได้เห็นคนรับเชื่อและได้รับความรอด เหมือนเราทุกวันนี้ เราประกาศ แล้วคนรับเชื่อ หรือใครประกาศก็ตาม แล้วเขารับเชื่อ เราดีใจไหม? นี่แหละเราดีใจ และคนที่เชื่อใหม่ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เขาดีใจไหม? เขาดีใจ เพราะฉะนั้น เราทั้งสองคนจะได้ดีใจด้วยกัน จากข่าวประเสริฐนี้ นี่มันแปลว่าอย่างนี้ 1 ยอห์น 1:5 …

        1 ยอห์น 1:5 “แล้วนี่เป็นข้อความที่เราได้ยินจากพระองค์ และกำลังประกาศแก่ท่านทั้งหลายในขณะนี้ คือว่าพระเจ้าทรงเป็นความสว่าง และไม่​มี​ความมืดอยู่ในพระองค์​เลย”

            เราบอกความจริงที่เราได้ยินจากพระองค์ เห็นไหม?  เราได้ยินจากใคร? จากพระเยซู เราก็ได้ยินจากพระองค์ พูดว่าอย่างไร? เราได้ยินพระเยซูพูดกับเราว่าพระองค์ทรงเป็นความสว่าง เราไม่ได้คิดเอง  เราไม่ได้อธิษฐานด้วย พระเจ้าในรูปของพระเยซูคริสต์ พูดกับเราเองว่าพระองค์เป็นความสว่าง พระองค์บอกพระองค์เป็นพระเจ้าด้วย ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นพระบิดา จงวางใจในเรา เพื่อจะได้ไปพบพระบิดาได้ พระองค์เป็นผู้พูดกับเราทั้งนั้น  เราในที่นี้ คืออัครทูตเหล่านั้น  ใน 1 ยอห์น 1:6 จึงได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 1:6 “ถ้าเราอ้างว่ามีสามัคคีธรรมกับพระองค์ แต่ยังดำเนินในความมืด เราก็โกหก และไม่ได้ดำเนินชีวิตโดยความจริง”

            “ถ้าเราดำเนินชีวิตในความมืด แต่อ้างว่ามีสามัคคีธรรมกับพระองค์ ทั้งๆ ที่เราไม่มี เพราะเรายังอยู่ในความบาปมืด เพราะเราปฏิเสธความจริงว่าพระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ยอมถ่อมตนมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนในการไถ่บาป ให้มนุษย์ เพราะว่ามนุษย์ทั้งปวงล้วนเป็นคนบาป  นี่เราปฏิเสธสิ่งเหล่านี้ แล้วเราจะมาบอกว่าเราสามัคคีธรรมอยู่กับพระองค์ด้วย โกหก  พวกแอบอ้าง ข้อ 7 บอกว่า …

        1 ยอห์น 1:7 “แต่​ถ้า​เรา​ดำเนิน​อยู่​ใน​ความ​สว่างเหมือน​อย่าง​พระ​องค์​ สถิต​อยู่​ใน​ความ​สว่าง เรา​ก็​ร่วม​สามัคคี​ธรรม​ซึ่ง​กัน​และ​กัน และ​พระ​โลหิต​ของ​พระ​เยซู​คริสต์ ​พระ​บุตร​ของ​พระ​องค์​ได้​ชำระ​เรา​ทั้ง​หลาย ​ให้​ปราศ​จาก​บาป​ทั้ง​สิ้น”

            1 ยอห์น 1:7 บอกว่าแต่ถ้าเราเป็นคริสเตียนจริงๆ เราดำเนินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างพระองค์สถิตอยู่ในความสว่าง เราก็อยู่ในความสว่าง พระเยซูก็อยู่ในความสว่าง เหมือนกันเลย นั่นแหละ เราก็ร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน ก็คือร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู และผู้เชื่อคนอื่นๆ  ที่เป็นคริสเตียนแท้ๆ  ก็เป็นแสงสว่าง ต่างคนเป็นต่างเป็นแสงสว่าง มารวมกันเป็นแสงสว่าง

            และเป็นคริสเตียนแท้ๆ และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ได้ชำระเราทั้งหลาย ให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น คือบาปตั้งแต่บรรพบุรุษ คือบาปตะกี้นี้  เขาปฏิเสธว่าเขาไม่ได้เป็นคนบาป ก็ถูกยกออก และบาปในการกระทำ คือบาปปัจจุบันที่คุณ มาเชื่อเป็นคริสเตียนอยู่ อาจจะพลั้งไปทำบาป ก็ได้รับการยกทั้งสิ้น ได้รับการอภัยทั้งหมดเลย

            พูดง่ายๆ ว่าถ้าเรา “เรา” ในที่นี้ ก็คือพวกนอสติก พวกที่อ้างว่าตัวเองเป็นคริสเตียน แต่ไม่ได้เป็นจริงๆ ถ้าพวกนอสซิสที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน  ถ้าเขาได้เป็นคริสเตียนจริงๆ แล้ว สิ่งเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นกับเขา เขาจะไม่เป็นเช่นนี้

            สิ่งอะไรที่เกิดขึ้นกับเขา ถ้าเกิดคุณเป็นคริสเตียนจริงๆ คริสเตียนก็ต้องอยู่ในความสว่าง ไม่ใช่อยู่ในความมืดอย่างนี้ ความมืดซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อต้านพระคริสต์ เป็นศัตรูกับความสว่าง  เป็นความหลอกลวง เป็นความเท็จ  ต่อต้านความจริง คือพระคริสต์ เป็นศัตรูอยู่ตรงข้ามกัน  แบบที่คุณกำลังทำอยู่นี้ มันตรงกันข้ามกัน คุณไม่ใช่คริสเตียนแท้ คริสเตียนแท้ๆ เขาจะอยู่ในความสว่าง เหมือนพระเยซูคริสต์อยู่ในความสว่าง  มันหมายถึงอย่างนี้  ความสว่างเป็นสถานที่อยู่อาศัยแห่งหนึ่ง ที่เป็นความสว่าง ไม่ใช่ความประพฤติ เป็นความสว่าง

            ความสว่างเป็นสถานที่ที่อยู่อาศัย อยู่ในความสว่างหรือไม่อยู่ในความสว่าง ก็คืออยู่ในความมืด มีอยู่ 2 แห่ง จะอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่หนึ่ง  เราจะอยู่ในความสว่าง เราก็ไม่ได้อยู่ในความมืด  ถ้าเราอยู่ในความมืด เราก็ไม่ได้อยู่ในความสว่าง ไม่ใช่เราอยู่ในความสว่างครึ่งหนึ่ง แล้วอยู่ในความมืดครึ่งหนึ่ง  หรืออยู่ในความสว่าง 20% แล้วอีก 80% อยู่ในความมืด  ไม่ใช่ ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ สำหรับอาศัยอยู่ในความสว่างหรือในความมืด อาจารย์ยอห์นจะพูดให้เห็นชัดเจน เด็ดขาดเลย  แต่การเขียนของอาจารย์ยอห์นต่อไปด้วยว่าแบ่งกันเด็ดขาด อาณาจักรไหน? อาณาจักรนั้นเลย อย่างเช่นใน 1  ยอห์น 4:17 …

        1 ยอห์น 4:17 “เช่นนี้ ความรักจึงเต็มบริบูรณ์ ท่ามกลางเราทั้งหลาย เพื่อเราจะมีความมั่นใจในวันพิพากษา เพราะในโลกนี้ เราเป็นเหมือนพระองค์”

            ขณะที่เราอยู่บนโลกนี้  กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เราได้เป็นเหมือนพระเยซู คือเป็นความรัก ความสว่าง เหมือนที่พระองค์เป็นความสว่าง อาศัยอยู่ในความสว่าง  พูดอีกนัยหนึ่ง ก็คือเราเป็นความสว่างเท่าๆ กับพระองค์เป็นความสว่าง  และเท่าๆ กับบรรดาคริสเตียนแท้ๆ ทั้งหลาย ที่อยู่ในความสว่างเช่นเดียวกัน พระองค์เป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้น เหมือนกันไม่มีผิดเลย

            พระคัมภีร์บอกเราอีกว่าความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความเหมือนกันนี้ พระคัมภีร์อธิบายให้เราฟังว่ามีลักษณะอย่างไร? เพื่อเราจะได้เข้าใจเท่าที่ทำได้ เพราะนั่นเป็นสถานะความจริงในโลกวิญญาณ อาจจะเข้าใจยากหน่อยหนึ่ง พระคัมภีร์จึงยกตัวอย่างว่าพระเยซูเป็นศีรษะ เราเป็นร่างกาย เป็นอวัยวะชิ้นหนึ่ง อยู่ในร่างกายของพระองค์ พระองค์เป็นชีวิตนิรันดร์ เราก็เป็นชีวิตนิรันดร์ อยู่ในพระองค์ พระเยซูเป็นต้นไม้แห่งความชอบธรรม เราก็เป็นกิ่งที่ต่อติดอยู่ในพระองค์ เราจึงเป็นความชอบธรรมเหมือนพระองค์

            พระเยซูคริสต์เป็นศิลามุมเอกของพระวิหารฝ่ายวิญญาณของพระเจ้า ที่เรียกว่าคริสตจักรทางฝ่ายวิญญาณ ก็คือประชากรของพระเจ้า เราก็เป็นศิลา เป็นก้อนหนึ่งอยู่ในพระวิหาร เป็นประชากรของพระเจ้าคนหนึ่ง อยู่ในครอบครัวของพระเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน นี่แปลความเป็นหนึ่ง หมายความว่าอย่างนี้  แล้วยังบันทึกไว้ในหนังสือยอห์น 17:20-23 บอกว่าอย่างนี้

            บอกว่า … “คริสเตียนเราอยู่ในพระเยซู และพระเยซูอยู่ในเรา  และเรากับพระเยซูอยู่ในพระบิดา เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ นี่ชัดเจนเลย โรม 8:38-39 จึงได้บอกอย่างนี้ สรุปว่า … “ไม่มีใครสามารถพรากเราออกไปจากสถานที่นี้ สถานะนี้ได้เลย ในโลกฝ่ายวิญญาณ ไม่มีใครมาเอาเราไปไหนได้เลย  เราอยู่ที่นี่ แล้วจะอยู่ที่นี่ตลอดไป เอเมนไหม? โคโลสี 1:12-14 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โคโลสี 1:12-14 “12 อีก​ทั้ง​ขอบคุณ​พระ​บิดา ​ผู้​โปรด​ให้​ท่าน​มี​ส่วน​ร่วม​ ได้​รับ​มรดก​ ของ​บรรดา​ผู้​บริสุทธิ์​ของ​พระ​เจ้า​ ใน​อาณาจักร​แห่ง​ความ​สว่าง 13 ด้วย​ว่าพระ​องค์​ได้​ช่วย​เราให้​พ้น​จาก​อำนาจ​ของ​ความ​มืด และ​นำ​เรา​สู่​อาณาจักร​แห่ง​พระ​บุตร ​ผู้​เป็น​ที่รัก​ของ​พระ​องค์ 14 เรา​ได้​รับ​การ​ไถ่ คือ​การ​ยก​โทษ​บาป​ทั้งปวงจาก​พระ​องค์”

            เราจะอยู่ในอาณาจักรแห่งความสว่าง หรืออยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด  อยู่ในที่ใดที่หนึ่ง  ไม่มีการอยู่ทั้งสองข้าง และไม่มีไปๆ มาๆ อยู่ในความสว่าง 2 ปี ประพฤติไม่ดี กลับกลายเป็นเด้งไปอยู่ในความมืด 2 ปี กลับใจใหม่ กลับไปอยู่ในความสว่างอีก 1 ปี ประพฤติตัวไม่ดี หล่นมาอยู่ในความมืด ไม่มี แต่ทั้งสองอัน อยู่ที่ไหน? ก็ที่นั่น ยกเว้นอย่างเดียวว่าอยู่ในความมืด ถ้ายังไม่ตายจากโลกนี้  ยังมีโอกาส คือเปิดใจต้อนรับ พระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดทันทีทันใดนั้น พระเจ้าก็จะย้ายท่านออกจากอาณาจักรของความมืด  มาสู่อาณาจักรของความสว่างของพระบุตร อันเป็นที่รักของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ และเมื่อท่านอยู่ในความสว่าง ท่านก็จะได้รับการไถ่ คือการยกโทษบาปทั้งปวง ทั้งสิ้นทันที

            การยกโทษบาปทั้งปวงของท่าน เพราะว่าท่านเป็นคนบาป จึงต้องยกโทษบาปให้กับท่านทั้งปวง ทั้งหมด ทั้งสิ้น ก็คือทั้งบาปที่ท่านเป็นคนบาป ในวิญญาณ ถูกยก ถูกลบออก ทั้งบาปที่ท่านเป็น คริสเตียนแล้ว ยังประพฤติบางอย่าง ล้มลงในความบาป ล้มลงในการล่อลวง ทำผิดอะไรบ้าง ก็ถูกลบออกไปหมดสิ้น ทั้งบาปอดีต ปัจจุบัน และอนาคตที่ท่านกระทำ ได้ถูกลบออกไปหมดเลย เพราะวิญญาณของท่านได้อยู่ในความสว่างเรียบร้อยแล้ว เอเมน

            ทั้งหมดนี้ คือความเชื่อ คือความจริงของสถานะของคริสเตียนแท้ๆ ในโลกวิญญาณต้องเป็นอย่างนี้ อาจารย์ยอห์นอธิบายให้ฟังอย่างนี้  เพื่อให้คริสเตียนได้เห็นชัด  เพื่อว่า คริสเตียนที่ได้ยินได้ฟัง ในขณะนั้น ในช่วงนั้น ถูกข่มเหงรังแกมาก ถูกทรมานอย่างแสนสาหัส เขาจะได้มีกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไปในโลกฝ่ายวิญญาณ เขาอยู่ที่นี่แล้ว เขาไม่ได้ไปไหนเลย เขาเป็นความสว่าง พระเจ้าอยู่กับเขา เขาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ถ้าเขาจากโลกนี้ไป  เขาก็ไปอยู่กับพระเจ้าเหมือนเดิม เพียงแต่ได้รับร่างกายใหม่ เขาถึงทนอยู่กับความเลวร้าย แห่งสถานการณ์ การข่มเหงคริสเตียน ในขณะนั้นได้ ในขณะเดียวกัน นี่คือความจริงที่จะประกาศให้คนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน ได้เห็นชัดเจนว่าท่านไม่ได้เป็นคริสเตียนอย่างแท้จริง เพราะว่าท่านปฏิเสธพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์

            เราจะเห็นชัดเจนว่าความรอดเริ่มต้นจากการยอมรับตนเองว่าเป็นคนบาป สำคัญที่สุดเลย พระเยซูบอกคนป่วยต้องการหมอ ท่านบอกว่าท่านไม่ป่วย ใครจะไปรักษาท่าน ท่านไม่ไปหาหมอ เพราะฉะนั้น เริ่มต้นจากการยอมรับตัวเองว่าเป็นคนบาป ไม่สามารถช่วยตัวเองได้  ไม่ใช่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาปเฉยๆ ไม่อย่างนั้น ท่านยอมรับว่าตัวเองป่วย ฉันจะรักษาตนเอง ฉันจะใช้สมุนไพรกิน รักษาตัวเอง โรคของคุณหนักเกินกว่าที่จะรักษาด้วยตนเองได้ ท่านต้องไปหาหมอ เช่นเดียวกัน ท่านเป็นคนบาป ไม่สามารถช่วยตัวเองได้ ท่านต้องยอมรับสิ่งเหล่านี้เสียก่อน ต้องการความช่วยเหลือจากใคร? มีอยู่ผู้เดียวที่ช่วยได้ ก็คือมนุษย์ที่เป็นพระเจ้า มาเกิดอยู่ในสภาพมนุษย์ ช่วยท่านได้ มีผู้เดียวเท่านั้น นอกนั้น เป็นมนุษย์คนบาปทั้งสิ้น ยกเว้นพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ช่วยท่านได้ ตรงนี้ เห็นไหม? ท่านต้องยอมรับความจริงตรงนี้ 1 ยอห์น 1:8 จึงบันทึกอย่างนี้ อย่างชัดเจน บอกให้กับคนที่เป็นนอสซีส บอกให้กับคนที่ปฏิเสธต่อต้านพระคริสต์ บอกให้กับคนที่เป็นแอนตี้ไคร์ซได้รู้ความจริงอย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 1:8 “ถ้า​เรา (มนุษย์ผู้ใด) ปฏิเสธว่า​เรา​ไม่​ได้เป็นคนบาป เรา​ (เขา) ก็​หลอกลวง​ตนเอง และ​ไม่​มี​ความ​จริง​ (พระคริสต์ผู้เป็นความจริง และเป็นความสว่าง) อยู่​ใน​ตัว​เขา”

            อันนี้ชัดเจนมาก หลายครั้งในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึก เขียนถึงคริสเตียน แต่ก็มีหลายครั้งหลายคราวที่เขาใช้สรรพนามหลายๆ อย่างในนี้ พูดถึงคนที่ไม่เชื่อด้วย พูดถึงคนทั่วๆ ไปด้วย อย่างเช่นบรรดามนุษย์ทั้งหลาย ผู้ใดก็ตาม ก็คือมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งปวง รวมทั้งคนเชื่อ ไม่เชื่อ นี่คือกฎธรรมชาติ อะไรต่างๆ เหล่านั้น ในนี้ก็เช่นเดียวกัน  เราจึงเห็นบริบทมา ตั้งแต่ข้อ 1 มาถึงข้อ 8 แล้ว “ถ้าเรา” ก็คือมนุษย์ผู้ใด ใครก็ตามปฏิเสธว่าเขาไม่ได้เป็นคนบาป  เราไม่ได้เป็นคนบาป ก็คือผู้ใดก็ตามนั้น มนุษย์คนนั้น ที่ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนบาป เราก็หลอกลวงตนเอง ก็คือเขาคนนั้นที่ปฏิเสธนั้น  ก็กำลังหลอกลวงตัวเองอยู่ และไม่มีความจริงอยู่ในตัวเขา ความจริง ก็คือพระคริสต์ ซึ่งเป็นความจริงและแสงสว่าง เขาก็ไม่มีความจริง ไม่มีความสว่างอยู่ในตัวเขา เห็นชัดเลย มนุษย์คนใดก็ตาม  ปฏิเสธว่าเราไม่ได้เป็นคนบาป เขาก็หลอกลวงตนเอง และไม่มีความจริง คือไม่มีพระคริสต์อยู่ในเรา ไม่มีความสว่างอยู่ในเขา ถูกหลอก ชัดไหม?

            สรุป ก็คือเพราะท่านทั้งหลาย พวกนอสติกเอ๋ย ที่หลงเชื่อผิดๆ ที่ปฏิเสธความจริงเหล่านี้ ปฏิเสธ ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ เพื่อไถ่บาปให้กับคนทั้งปวง รวมทั้งตัวท่าน ซึ่งเป็นคนบาปด้วย ท่านปฏิเสธอย่างนี้ใช่ไหม? ท่านจึงยังคงอาศัยอยู่ในความมืด ไม่ใช่ความสว่างอย่างที่ท่านคิด ท่านอยู่ในการถูกหลอกลวงในความเท็จ ไม่ใช่ความจริง ท่านกำลังอยู่ภายใต้การพิพากษาลงโทษให้ถึงตาย เนื่องจากโทษของความบาปของท่านอยู่เลย ออกจากร่างกายนี้ไป ท่านก็ต้องลงไปอยู่ในการถูกพิพากษา ลงไปอยู่ในนรก  เราไม่อยากจะเห็นท่านเป็นอย่างนั้น เราอยากประกาศข่าวดีให้กับท่าน อาจารย์ยอห์นกำลังพูดอย่างนี้ ชัดเจนนะ ใน 2 ยอห์น 1:1-2 อาจารย์ยอห์นได้พูดอย่างนี้ ในหนังสือเล่มเดียวกัน แต่อยู่ในบทต่อไป ได้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับความจริงอยู่ในตัวตนของคริสเตียนแท้ ถ้าไม่ใช่คริสเตียนแท้จะไม่มีความจริงอยู่ในนั้น มีแต่ความหลอกลวง มีแต่ความโกหก มีแต่ความเท็จ ลองอ่านดู …

        2 ยอห์น 1:1-2 “1 จดหมายฉบับนี้ จากข้าพเจ้าผู้อาวุโส ถึงท่านสุภาพสตรี ที่ทรงเลือกไว้กับบุตรทั้งหลายของท่าน 2 ข้าพเจ้ารักพวกท่านทุกคนในความจริง (พระคริสต์) และไม่ใช่เพียงข้าพเจ้าเท่านั้น แต่คนทั้งปวงที่รู้จักความจริง (พระคริสต์) ด้วย ข้าพเจ้ารักพวกท่าน เพราะความจริง (พระคริสต์) ซึ่งอยู่ในเราทั้งหลาย และซึ่งจะคงอยู่กับเราตลอดไป”

            อาจารย์ยอห์นเรียกตัวเองว่าผู้อาวุโส ก็คือผู้ดูแลผู้เชื่อทั้งหลายในขณะนั้น ผู้เลี้ยงนั่นเอง ก็คือพูดง่ายๆ พาสเตอร์ ศิษยาภิบาลนั่นเอง ศิษยาภิบาลอาวุโสแก่มากแล้ว แจ้งหรือเขียนจดหมายฉบับนี้ ให้กับพวกท่านทั้งหลาย ก็คือให้กับคริสเตียนแท้ๆ แล้วนะ ข้าพเจ้ารักพวกท่านทุกคนในความจริง ผมวงเล็บไว้ให้ จะได้ชัดๆ ความจริงนี้ ก็คือพระคริสต์ คือความสว่าง และไม่เพียงข้าพเจ้าเท่านั้น แต่คนทั้งปวงที่รู้จักความจริง  ก็คือที่รู้จักพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ Fellowship สามัคคีธรรมกับวิญญาณกับพระคริสต์ ข้าพเจ้ารักพวกท่าน เพราะความจริง ข้าพเจ้าไม่ได้รักพวกท่านเพราะว่าเป็นมนุษย์รักท่าน  แต่ข้าพเจ้ารักท่านด้วยวิญญาณของข้าพเจ้า ก็คือที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ข้าพเจ้ารักพวกท่าน เพราะความจริง คือพระคริสต์ ซึ่งอยู่ในเราทั้งหลาย ซึ่งพระคริสต์รักท่าน เพราะว่าพระคริสต์อยู่ในผม  และพระคริสต์อยู่ในท่านด้วย  เราต่างคนต่างอยู่ในพระคริสต์ เป็นวิญญาณเดียวกัน ผมถึงรักคุณไง ไม่ใช่รักคุณ เพราะว่าคุณหน้าตาดี ไม่ใช่ เพราะคุณเป็นญาติ  ไม่ใช่ รักคุณ เพราะคุณเป็นมนุษย์  นั่นเป็นความรักธรรมดา แต่ผมรักคุณ เพราะความรักของพระเจ้าที่อยู่ภายใน  ทำให้เราเป็นหนึ่งเดียวกัน  และความเป็นหนึ่งเดียวกันนี่แหละ ซึ่งจะคงอยู่กับเราตลอดไป ความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความรัก ความสว่าง พระคริสต์จะอยู่ในเรา เป็นของเรา อยู่ในสภาวะนี้ตลอดไป

            เรากลับมาดูใน 1 ยอห์น 1:9 มาดูสิว่าประกาศให้กับพวกนอสซิส พวกที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน แต่ไม่ได้เป็นจริงๆ เขาควรทำอย่างไร? อาจารย์ยอห์นพูดถึงบทสรุปว่าเพราะฉะนั้น ท่านควรจะทำอย่างไรถึงจะได้เป็นคริสเตียนแท้จริง เหมือนอย่างเรา …

        1 ยอห์น 1:9 “ถ้า​เรา (มนุษย์ผู้ใด) ยอมจำนน รับว่าเราเป็นคนบาป และเรา​สารภาพ​บาป​ของ​เรา พระ​องค์​เป็น​ผู้​รักษา​คำมั่น​สัญญา ​และ​มี​ความ​เที่ยงธรรม พระ​องค์​จะ​ยกโทษ​บาป​ทั้งหมดแก่​เรา และ​ชำระ​เรา​ให้​บริสุทธิ์  พ้น​จาก​ความ​ไม่​ชอบธรรม​ทั้ง​ปวง”

            อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าอย่างนี้ … “เพราะว่าความจริง ก็คือถ้ามนุษย์ผู้ใด มนุษย์คนใดยอมจำนนรับว่าเขานั้นเป็นคนบาป  และเขาสารภาพบาปของเขาต่อพระเจ้า พระองค์ผู้รักษาคำมั่นสัญญาและมีความเที่ยงธรรม พระองค์จะยกโทษบาปทั้งหมดแก่เขา และชำระเขาคนนั้น ที่ยอมรับให้บริสุทธิ์ พ้นจากความไม่ชอบธรรมทั้งปวง ทั้งสิ้นเลย ใครก็ตาม”

            พวกคุณนอสซิสใช่ไหม? คุณรีบกลับใจใหม่ซะ ยอมจำนนต่อความจริง หันหลังให้กับลัทธิหลงผิด ลัทธินอสติกนั่นแหละ แล้วมารับข่าวดี อันดับแรก เชื่อว่าท่านเป็นคนบาป ยอมรับสารภาพต่อพระเจ้า เชื่อ ลูกยอมแล้ว พระองค์บอกว่ามนุษย์เป็นคนบาป ลูกเป็นคนบาป ยอมๆ และยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าจริงๆ  มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ รับโทษบาปแทนท่านได้จริงๆ และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 แค่นี้เอง ท่านเปลี่ยนความเชื่อ มาเชื่อตรงนี้ แค่นี้เอง ท่านก็จะได้รับการอภัยโทษในบาปทั้งปวง ทั้งสิ้นของท่าน ทั้งบาปในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตตลอดไปเลย เอเมน

            ไม่ใช่นอสซิสอย่างเดียว ใครก็ตามที่ไม่เชื่อด้วยเหตุผลใดก็ตามว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์  เพื่อเป็นตัวแทนของมนุษย์ แบกรับบาปของมนุษย์บนไม้กางเขน และหลั่งพระโลหิตชำระบาป  และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 และยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป  พระเยซูมาช่วยได้  แค่นั้น ก็ได้รับสิ่งนี้แล้ว 1 ยอห์น 1:10 จึงเป็นบทสรุปของ 1 ยอห์น บทที่ 1 นี้ …

        1 ยอห์น 1:10 “ถ้า​เรา​ (มนุษย์คนใด) พูดว่าเรา​ (เขา) ไม่​เคย​ทำ​บาปเลย ก็​เท่า​กับ​เรา​ (เขา) ทำ​ให้​พระ​องค์​เป็น​ผู้​โกหก และ​ถ้อยคำของ​พระ​องค์​ (คือพระเยซู คือความจริง) ก็ไม่ได้อยู่​ใน​ตัว​เรา (เขา)”

            นี่แย้งกันว่า “ถ้ามนุษย์คนใดพูดว่าเขาไม่เคยทำบาปเลย ก็เท่ากับเขาทำให้เขา หรือกล่าวหาพระเยซูว่าเป็นคนโกหก ไม่จริง กล่าวเท็จ และถ้อยคำของพระองค์ คือถ้อยคำของพระเยซู ก็ไม่ได้อยู่ในตัวเรา” คือถ้อยคำพระเยซูที่บอกว่าเป็นความสว่าง เป็นความจริง ก็ไม่ได้อยู่ในตัวเรา

            พระเยซูตรัสว่า “คนป่วยต้องการหมอ”

            เราบอกว่า “โกหก ไม่จริง”

            พระเยซูบอกว่า “เราไม่ได้มาหาคนชอบธรรม แต่มาหาคนบาป”

            เราบอก “ไม่จริง เพราะไม่มีใครบาปเลย”

            ก็เท่ากับเรากำลังบอกพระเยซูโกหก

            พระคัมภีร์บอกความจริง ในโรม 5:12 ไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 5:12 “เหตุฉะนั้น เช่นเดียวกับที่เชื้อบาปได้เข้ามาในโลก เพราะคนๆ เดียว และความตายก็เกิดมาเพราะเชื้อบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป”

            นี่คือความจริง เชื้อบาป ก็เหมือนไวรัสทางวิญญาณที่ทำให้มนุษย์ทุกคนตายแน่นอน ซึ่งเกิดมาจากคนๆ เดียว คืออาดัม มนุษย์ทุกคนจึงเกิดมาเป็นคนบาป ทั้งหมดเหล่านี้ คือความจริงที่พระเยซูบอกเราทั้งหลาย  เพราะฉะนั้น ถ้าใครปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นคนบาป เขาก็ไม่ได้เป็นคริสเตียนที่แท้จริงแน่นอน เขาก็ยังคงแบกบาปทั้งหมดของตน ไว้ที่ตนเอง เข้าสู่การพิพากษาต่อไป จนถึงหลังความตาย แบกรับบาปของตัวเองไว้ แต่ผู้ที่ยอมรับความจริง คือพระคริสต์ ยอมรับข่าวประเสริฐของพระเจ้า เขาก็ได้เป็นคริสเตียนแท้จริง ได้รับความรอด อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ 1 ยอห์น 2:12 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 2:12 “ลูกที่รัก ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านทั้งหลาย (คริสเตียน) เพราะบาปทั้งปวงของท่านได้รับการอภัยแล้ว เนื่องด้วยพระนามของพระองค์”

            “ลูกที่รัก” ก็หมายถึงคริสเตียน นี่บทที่ 2 แล้ว  ที่เราจะเรียนรู้ในครั้งต่อไป อาจารย์ยอห์นจะเน้น เขียนถึงคริสเตียนแล้ว คริสเตียนแท้ๆ คริสเตียนจริงๆ  ที่อยู่ในความสว่าง มีสามัคคีธรรมกัน ทางวิญญาณ รู้จักพระเยซูคริสต์ทางวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆ  โดยเรียกผู้เชื่อเหล่านี้ คริสเตียนเหล่านี้ว่าลูกที่รัก ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านทั้งหลาย เพราะเป็นคริสเตียนที่แท้จริง เพราะบาปทั้งปวงของท่านได้รับการอภัยแล้ว เนื่องด้วยนามพระเยซู เนื่องด้วยท่านเชื่อในนามพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์จริงๆ ท่านจึงได้รับการยกโทษบาปทั้งปวงเรียบร้อยแล้ว

            คริสเตียนได้รับการยกโทษจากบาปทั้งปวง คือบาปที่อยู่ในอาดัม แล้วเราติดเชื้อมา  บาปที่เรากระทำตั้งแต่ในอดีต ตอนเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ทำผิดพลาดไป ก่อนรับเชื่อ บาปที่รับเชื่อแล้ว เป็น คริสเตียนยังคงทำบาป ประพฤติ ไม่ถูกต้องอยู่ ก็ได้รับการยกโทษอภัย การอภัยนี้ยกโทษไปหมด บาปไม่มีอยู่อีกเลยในตัวเรา นี่คือสิ่งที่อาจารย์ยอห์นกำลังจะแจ้งให้เราได้เห็น ได้ชัดเจน ทั้งกับคนที่เป็นคริสเตียนปลอมและคริสเตียนแท้จริงได้รู้ ครั้งต่อไป เราจะมาเรียนรู้เรื่องนี้กัน  พระเจ้าอวยพรครับ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คำอธิษฐานของผู้ที่วางใจ ในพระเยซูคริสต์

            ฟิลิปปี 4:6-8 .. “6 อย่ากระวนกระวายในเรื่องใดๆ เลย แต่จงทูลขอทุกสิ่งต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน และการอ้อนวอน พร้อมกับการขอบพระคุณ 7 แล้วสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจ จะปกป้องความคิดจิตใจของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์ 8 สุดท้ายนี้ พี่น้องทั้งหลาย จงใคร่ครวญ ถึงสิ่งที่เลอเลิศ หรือสิ่งที่ควรสรรเสริญ คือสิ่งที่จริง สิ่งที่น่านับถือ สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่บริสุทธิ์ สิ่งที่น่ารัก สิ่งที่น่ายกย่อง”

            ตัวอย่างลักษณะคำอธิษฐานของผู้ที่วางใจพระเยซูคริสต์ ด้วยสุดจิตสุดใจสุดความคิด …

            “พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ ลูกขอบคุณพระองค์ สำหรับชีวิตนิรันดร์ ในพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ได้ทรงประทานให้ และพระวิญญาณของพระองค์ ที่ทรงสถิตอยู่ภายในลูกในขณะนี้ ทำให้ลูกเชื่อมั่น และวางใจในพระองค์ได้ ในทุกสถานการณ์แห่งความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าจะเป็นความเจ็บป่วยทางร่างกายหรือจิตใจ ปัญหาเรื่องการกินการอยู่ ปัญหาที่แก้ไม่ได้ ในครอบครัวที่แตกแยก ปัญหาเรื่องความขัดแย้ง ไม่เข้าใจกันและกัน ความกลัว ความวิตกกังวล แม้กระทั่งความตาย

            ลูกไม่รู้ว่า พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่ลูกรู้คือ พระเยซูคริสต์ทรงอยู่ด้วย พระองค์รัก และห่วงใยลูก และนำพาลูกตลอดเวลา

            ขอบคุณพ่อ ที่คอยสอนลูก ให้รู้จักเคล็ดลับในการดำเนินชีวิต ด้วยสันติสุข ความพอเพียง ไม่ว่ายามสุขสบาย หรือยามทุกข์ยากลำบาก ยามขัดสน หรือยามมีเหลือล้น ยามเจ็บป่วย หรือแข็งแรง ลูกพร้อมเสมอ ที่จะเผชิญกับสิ่งเหล่านี้ ด้วยการนำ การทรงสถิตอยู่ ของพระวิญญาณของพระองค์ภายในลูก… ลูกขอวางใจในพระองค์ และดำเนินชีวิต ตามน้ำพระทัยของพระองค์ ทุกประการ ด้วยความยินดี

            ในนามพระเยซูคริสต์

            เอเมน”

Holy  News   ฉบับที่ 1472

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  มิถุนายน  2024

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 3

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรายังอยู่ในกาลาเทีย บทที่ 1 เรามาต่อข้อที่ 21 …

        กาลาเทีย 1:21-24 “21 หลังจากนั้น ข้าพเจ้าไปยังเขตแดนซีเรียและซิลีเซีย 22 คริสตจักรต่างๆ ในพระคริสต์ที่แคว้นยูเดียไม่รู้จักข้าพเจ้าเป็นการส่วนตัว 23 พวกเขาเพียงแต่ได้ข่าวว่า “คนที่แต่ก่อนเคยข่มเหงเราเดี๋ยวนี้ประกาศความเชื่อซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยพยายามทำลาย” 24 และพวกเขาสรรเสริญพระเจ้าเนื่องด้วยข้าพเจ้า”

            กาลาเทียบทที่ 1 อาจารย์เปาโลได้แนะนำตัวเองว่าเป็นอัครทูต ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากพระเยซูคริสต์โดยตรง ไม่ได้ไปเรียนจากอัครทูตคนอื่น  ไม่ว่าจะเป็นเปโตรหรือยากอบ หรือใครก็ตาม แต่ว่าท่านได้รับข่าวดีจากพระเจ้า  ผ่านทางพระเยซูคริสต์โดยตรง ฉะนั้น ข่าวประเสริฐที่อาจารย์เปาโลประกาศนั้น อาจารย์เปาโลยืนยันว่าเป็นข่าวดีที่ถูกต้อง ตามที่พระเจ้าต้องการ อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าใครก็ตาม ที่มาประกาศข่าวประเสริฐอื่น ก็คือมีบวกๆ ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือพระเยซูได้ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้วทุกอย่างเลย เราผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เรามารับเอาข่าวดีนี้ ครบถ้วนสมบูรณ์ โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกเลย  นี่คือข่าวดี ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนั้น  ฉะนั้น ในช่วงเวลาที่อาจารย์เปาโลไม่อยู่กับชาวกาลาเทีย ก็มีคนอื่นซึ่งมาสอนข่าวดีที่มีบวกๆ มาด้วยว่าเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ มันไม่พอ เราต้องทำอย่างอื่นเพิ่มเติม เพื่อว่าจะได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า เพื่อว่าเราจะได้เป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้น หรืออะไรก็แล้วแต่

            อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าใครประกาศข่าวประเสริฐอื่น ไม่ว่าคนนั้นจะใหญ่มาจากไหน?  หรือแม้แต่ทูตสวรรค์ ให้คนนั้นถูกสาปแช่ง ทำไมอาจารย์เปาโลต้องพูดถึงขนาดนั้น ถูกสาปแช่ง เพราะว่าถ้าคนที่ได้ยินข่าวประเสริฐ ที่มีบวกๆ มา จะทำให้เขาไขว้เขว ฉะนั้น คนที่มาประกาศข่าวประเสริฐ ก็คือเขาไม่ได้เชื่อ ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอกเขาว่าพระองค์ทำสำเร็จ เมื่อเขาไม่เชื่อ ในความสำเร็จของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน ไม่ได้เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ แน่นอนโดยปริยาย เขาก็ถูกสาปแช่งไป เพราะว่าผู้ไม่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ คนเหล่านั้นถูกสาปแช่งอยู่แล้ว อยู่ในความพินาศอยู่แล้ว  ฉะนั้น อาจารย์เปาโลพยายามที่จะบอกที่มาที่ไป  ที่อาจารย์เปาโลมาประกาศข่าวดีกับคนต่างชาติ เพราะท่านถูกเรียกมา  โดยเฉพาะเจาะจงให้ไปประกาศกับคนที่ไม่ใช่ยิว  ก็มาจากผลที่พระเยซูคริสต์เลือกไว้ให้เปโตรกับอัครทูตคนอื่นประกาศกับชาวยิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาจารย์เปาโลให้ประกาศกับคนต่างชาติ

            พออาจารย์เปาโลได้ยินข่าวดีของพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์เองโดยตรง อาจารย์เปาโลก็ออกประกาศเลย ไม่ได้ขอความเห็นจากเปโตร หรือจากคนโน้นคนนี้ว่าโอเคไหม? อาจารย์เปาโลมั่นใจในการทรงเรียกของพระเจ้า ก็เลยออกประกาศ หลังจากนั้น ประกาศไปหลายปี ก็กลับมาที่กรุงเยรูซาเล็ม เพื่อที่จะมาทักทายปราศรัย ไม่ใช่มาขอความรู้เพิ่มเติม เพราะว่าความรู้ของอาจารย์เปาโลมีเต็มเปี่ยมอยู่แล้ว อัดแน่นมาก ฉะนั้น มาเพื่อที่จะยืนยันให้กับอัครทูตคนอื่น ได้รับรู้ว่าท่านได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้า  เพื่อไปประกาศข่าวดีกับคนต่างชาติ

            แล้วก็มาที่ข้อที่ 21 บอกว่าหลังจากที่ไปโน่นมานี่ หลายปีเลย ก็ไปที่เขตแดนซีเรียและซีลีเซีย คริสตจักรต่างๆ แบบไม่รู้จักอาจารย์เปาโลเป็นการส่วนตัว แต่ได้ยินข่าวว่าอาจารย์เปาโลเป็นผู้ที่แต่ก่อนได้ข่มเหงคริสเตียน ข่มเหงขนาดที่เรียกว่าได้ยินว่าใครเชื่อทางนั้น ก็คือเชื่อพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ไม่ได้ต้องจัดการให้สิ้นซากไปเลย ก็ไปขอทหาร ไปจับผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์มาติดคุก มาทำร้าย ก็แล้วแต่กรณี ทุกคนก็หวาดกลัว ตอนที่อาจารย์เปาโลไปประกาศใหม่ๆ จะมาหลอกเราว่าเป็น คริสเตียน แล้วมาจับเราไปข่มเหงอีกหรือเปล่า? แต่ว่าสิ่งที่พวกเขาได้ยิน คืออาจารย์เปาโลได้กลับใจใหม่จริงๆ แล้วมาประกาศความเชื่อเดียวกันกับเขา

            เมื่อเป็นอย่างนั้นปุ๊บ ทุกคนก็ฮาเลลูยา สรรเสริญพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าเลยว่าคนนี้เมื่อก่อนข่มเหงพวกเรา ตอนนี้ เขาได้กลับใจใหม่แล้ว เขาได้มาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เหมือนกับพวกเรา มาทางเดียวกันกับเราเรียบร้อยไปแล้ว … บทที่ 2 …

        กาลาเทีย 2:1 “สิบสี่ปีต่อมา ข้าพเจ้าไปที่กรุงเยรูซาเล็มอีกพร้อมกับบารนาบัส ข้าพเจ้าพาทิตัสไปด้วย”

            หลังจากนั้น 14 ปี แปลว่าอาจารย์เปาได้ไปประกาศกับคนต่างชาติ มาเรื่อยๆ ได้มีผลงานมากมาย คือมีคนต่างชาติได้กลับใจใหม่ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดอย่างเยอะแยะมากมาย  แล้วอาจารย์เปาโลก็ได้ก่อตั้งคริสตจักร ตามที่ต่างๆ  ที่มีคนเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จากนั้น อาจารย์เปาโลก็แต่งตั้งผู้คน ในกลุ่มคนเหล่านั้น ให้ดูแลกัน แล้วอาจารย์เปาโลก็ไปประกาศต่อตามที่ต่างๆ ที่พระเจ้าทรงนำพาไป หลังจาก 14 ปี อาจารย์เปาโลก็ไปที่กรุงเยรูซาเล็มอีก ตอนนี้พาบารนาบัสกับทิตัสไปด้วย  ทิตัสเป็นคนต่างชาติ

        กาลาเทีย 2:2 “ข้าพเจ้าไปตามการทรงสำแดง  และได้ชี้แจงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศแก่คนต่างชาติ ให้พวกเขาฟัง แต่ข้าพเจ้าก็ได้ชี้แจงเป็นการส่วนตัว ให้บรรดาผู้ที่ดูเหมือนว่าเป็นผู้นำฟัง เนื่องจากเกรงว่าที่ข้าพเจ้ากำลังวิ่งแข่ง หรือได้วิ่งแข่งไปแล้วจะเปล่าประโยชน์”

            ก็คือชี้แจงให้ผู้นำต่างๆ ได้เห็นถึงการงานที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ทำงานผ่านทางอาจารย์เปาโล ไปกับผู้คนมากมาย ที่เขาได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเจ้า

        กาลาเทีย 2:3 “แต่กระนั้นทิตัส ซึ่งอยู่กับข้าพเจ้า แม้เขาจะเป็นกรีกก็ไม่ถูกบังคับให้เข้าสุหนัต”

            ตรงนี้เป็นประเด็น คนยิวหลายๆ คนเขายังยึดถือกฎเดิม แม้ว่าเขาเปิดใจมาต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังพยายามที่จะทำตามกฎเดิมของเขา เหมือนกับทำสักหน่อย เพื่อมีความรู้สึกว่าอุ่นใจดี แค่บอกว่ามาเชื่อวางใจในนามของพระเยซูคริสต์เท่านั้น ก็ได้รับความรอด ดูมันง่ายไป ขอทำพิธีสักนิดหนึ่ง ฉะนั้น จะมีผู้เชื่อชาวต่างชาติหลายคนที่ถูกผู้เชื่อชาวยิวแนะนำว่า …

            “ท่านเชื่ออย่างเดียว ไม่น่าจะพอ ควรจะทำอันนี้ด้วย เพิ่มเติม คือรักษาวันสะบาโต และมาทำพิธีเข้าสุหนัต มาทำโน่นนี่นั่น จากพิธีกรรมเดิมที่พระเจ้าสั่งโมเสสเอาไว้”

            เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว คือพิธีกรรมเหล่านั้น ไม่มีผลอะไรกับชีวิตของผู้เชื่อ ซึ่งเป็นคนยิวหรือคนต่างชาติก็ตาม ไม่มีผลอะไรเลย

            ฉะนั้น การที่ผู้คนกลับใจใหม่มาเชื่อพระเยซูคริสต์  ซึ่งเป็นคนยิว พยายามที่จะเอากฎเก่ากับกฎใหม่มาผสมผเสด้วยกัน เพื่อจะได้มีอะไรทำบ้าง ไม่ใช่ว่ามาเชื่อพระเจ้า แล้วสบายเลย ไม่ต้องทำอะไร? หลายคนเข้าใจผิด คิดว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระเยซูบอกว่าพระองค์ทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน เราทุกคนมารับเอาผลสำเร็จที่พระเยซูคริสต์กระทำให้กับพวกเราแล้ว ต่อแต่นี้ไป ผู้เชื่อไม่ต้องทำอะไร?

            ความหมายตรงนี้ คือไม่ต้องทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องของวิญญาณอีกต่อไป นึกภาพออกนะ เพราะว่าเรื่องของวิญญาณ พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว เราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพื่อให้เราได้รับความรอด  หรือเราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพื่อให้พระเจ้ารักเรามากขึ้น  หรือเราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพื่อให้เราเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าเพิ่มพูนมากขึ้น  หรือไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพื่อให้เราเป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้น

            ซึ่งตรงนี้ พระเยซูบอกว่าพระองค์ทำสำเร็จแล้ว ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว พระเยซูเป็นอย่างไร? เราเป็นอย่างนั้น พระเยซูเป็นผู้ชอบธรรม เราเป็นผู้ชอบธรรมด้วย พระเยซูเป็นที่รักของพระเจ้า เป็นทายาท พวกเราได้รับหมดเลย  นี่คือเรื่องของโลกวิญญาณ เราไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว แต่ส่วนหลังจากนั้น  หลายคนจะเข้าใจตรงนี้ว่าอ้าว! อย่างนั้น ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ต้องมาโบสถ์ ไม่ต้องถวายสิบลด ไม่ต้องอธิษฐาน ไม่ต้องอ่านพระคัมภีร์ เชื่อพระเจ้าอย่างเดียว จบ อันนั้นเป็นเรื่องของโลกวิญญาณ แต่ส่วนการกระทำบนโลกใบนี้ อาจารย์เปาโลยังคงบอกเราว่าให้เราเลียนแบบพระเจ้า ให้สมกับเป็นบุตรที่รัก  ในเมื่อเราเป็นบุตรที่รักแล้ว  พระเจ้าเราเป็นอย่างไร? เราก็เลียนแบบพระองค์ตามนั้น

            ท่าทีข้างในของเรา ต้องเปลี่ยนแล้ว จากที่เราเข้าใจว่าถ้าเรามาโบสถ์ เราถึงจะได้รับความโปรดปรานมากขึ้นจากพระเจ้า มันต้องเปลี่ยนแล้ว  เราจะมาโบสถ์หรือไม่มาโบสถ์ ความโปรดปรานของพระเจ้ามี 100% เต็มในชีวิตของเรา  แต่ที่ต่างกัน คือเมื่อเราได้บังเกิดใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเราแล้ว เราอยากมาโบสถ์ อยากจากข้างใน พี่น้องนึกภาพออกไหม?  อยากจากวิญญาณข้างใน ที่เรารู้สึกว่าเราอยากมาโบสถ์ เราอยากมาเจอพี่น้อง เราอยากถวายทรัพย์ เราอยากอ่านพระคัมภีร์ เราอยากอธิษฐาน มันจากวิญญาณข้างในของเรา มันออกไป แต่ทุกอย่างที่เราทำ ไม่มีผลอะไรกับการบังเกิดใหม่ของเราเลย ไม่ได้ทำให้เรารอดมากขึ้น เรารอดอยู่แล้ว หลังจากรอด เราก็เริ่มต้นประพฤติ เริ่มต้นทำอะไรทุกอย่างจากวิญญาณของเรา

            ที่พระคัมภีร์ใหม่ อาจารย์เปาโลจะเขียนว่าเมื่อท่านถวาย ให้ท่านถวายจากใจข้างใน เมื่อก่อนดิฉันก็เข้าใจผิด กฎเก่าของโมเสส ก็คือพระเจ้าตั้งไว้ให้ประชากรของพระองค์ถวายสิบลด เพื่อสิบลดนี้จะได้เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ของเลวี คือตระกูลปุโรหิต ซึ่งตระกูลปุโรหิต พระเจ้าไม่ได้ให้ที่ดินทำกิน  แต่พระองค์แยกเขาออกมา เพื่อจะปรนนิบัติในพระนิเวศน์ของพระเจ้า  เมื่อปรนนิบัติในพระนิเวศน์ของพระเจ้าปุ๊บ มันก็เลยเป็นหน้าที่ของอิสราเอลเผ่าอื่นๆ ที่พระเจ้าบอกว่าให้ถวาย 10% เข้าในพระวิหารของพระเจ้า เพื่อกลุ่มคนเลวีเหล่านั้น จะได้นำเอาทรัพย์สินเหล่านี้ไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน

            พอหลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย กฎต่างๆ เหล่านี้ มันได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ทุกกฎเลยนะ พระเยซูคริสต์บอกว่ากฎเก่าที่โมเสสตั้งไว้ เมื่อพระเยซูคริสต์มาทำสำเร็จ กฎเก่าทุกอย่างมันถูกยกเลิกไปแล้ว แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือความรักที่อยู่ข้างในวิญญาณของเรา ทำให้เราอยากจะให้ มันเป็นวิญญาณแห่งความรัก ที่ผลักดันผู้เชื่อทุกคนที่อยากจะให้ออกไป โดยที่มีเป้าหมายไว้ในใจ ไม่ได้เป็นข้อบังคับว่าต้องๆ แต่เป็นความรู้สึก …

            “ฉันอยากทำ”

            ไม่ใช่ต้องทำ คำว่า “อยากทำ” กับ “ต้องทำ” มันต่างกันมากเลย อยากทำ มันทำจากข้างในวิญญาณ ที่เรามีความสุข มีความสุขที่เราได้มาโบสถ์ มีความสุขที่เราได้มาเจอพี่น้องในคริสตจักรของพระองค์ มีความสุขที่ได้มาพูดคุยกัน  มีความสุขที่ได้มาฟังถ้อยคำของพระเจ้าร่วมกัน แม้เราจะต้องเดินทางไกล แต่เรามีความสุข มาแล้วมันได้รับกำลังใจ  นี่คือจากวิญญาณข้างใน ไม่ใช่ท่าทีที่ต้องมานะ ถ้าวันอาทิตย์ไม่มา เดี๋ยวเราไม่ได้รับพระพร มันไม่ใช่ ถ้าเป็นอย่างนั้น เหมือนต้อง  มันกลายเป็นกฎบังคับ กลายเป็นกลับไปที่เดิม  ที่พระเจ้าสั่งคนอิสราเอลว่า …

            “เจ้าต้องๆๆๆๆๆ”

            แล้วแต่ละต้อง ก็คือคนอิสราเอลไม่เคยทำได้ครบถ้วนสักทีหนึ่ง  เพราะว่าเรายังเป็นมนุษย์อยู่ ฉะนั้น จากท่าทีข้างในวิญญาณของเรา ที่อาจารย์เปาโลบอกว่าเมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่ เรามีเสรีภาพ ดังนั้น เสรีภาพที่พระเจ้าให้กับพวกเรา ก็คือเสรีภาพที่เราอยากจะทำสารพัดสิ่ง อะไรก็ได้  ที่ข้างในวิญญาณเราต้องการ ข้างในวิญญาณเรารักพระเจ้า เพราะว่าวิญญาณใหม่ที่พระเจ้าให้กับเรา เป็นวิญญาณแห่งความรัก เมื่อเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ เรารักพระเจ้าเลย ไม่ต้องพยายามรัก ไม่ต้องพยายามที่ว่าต้องรัก ไม่ใช่  มันเกิดมาเป็นความรัก  ข้างในวิญญาณของเรา แม้ว่าหลายครั้ง เราอาจจะทำอะไร? ดูเหมือนไม่รักพระเจ้า แต่ความจริงในโลกวิญญาณ คือวิญญาณเรารักพระเจ้า 100% เรียบร้อยไปแล้ว

            ฉะนั้น พฤติกรรมต่างๆ ที่เราทำ หลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้า  เราอาจจะทำบ้าง? ไม่ทำบ้าง? เชื่อฟังบ้าง? ไม่เชื่อฟังบ้าง?  ดื้อบ้าง? อะไรบ้าง? แต่ให้เรารับรู้ความจริงว่าไม่ว่าเราจะไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ขนาดไหน? พระเจ้ารักเราครบถ้วนสมบูรณ์ 100% ไม่มีลดน้อยลง พระเจ้าไม่เคยรักเราน้อยลง ทำไมเรารู้ว่าพระเจ้าไม่รักเราน้อยลง? เพราะว่าพระเยซูคริสต์ทุ่มสุดตัว คือเอาชีวิตของพระองค์แลกกับชีวิตของพวกเรา คือไม่มีอะไรที่จะสามารถทำให้พระเจ้ารักเรามากกว่านี้แล้ว คือรักจนสุดๆ แล้ว

            ตรงนี้อย่าให้ใครหลอกเราว่าถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ พระเจ้าจะไม่รักเรา ถ้าเราไม่ทำอย่างนั้น พระเจ้าจะไม่รักเรา อย่าให้โดนหลอก แต่ให้ทุกอย่างที่เราทำ มันออกจากข้างในวิญญาณของเรา แล้วเรามีความสุข

            พี่น้องมีความสุขไหมที่ได้มาโบสถ์ ดิฉันคนหนึ่งมีความสุขมากที่ได้อยู่โบสถ์ แล้วดิฉันก็ขอบคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าให้อยู่โบสถ์ มันเป็นความสุขที่โลกนี้ให้เราไม่ได้  แต่พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างใน พระองค์ให้กับพวกเรา เวลาเรามาโบสถ์ เราจะมีความสุขทุกครั้ง เวลาเราได้เจอพี่น้อง เราก็มีความสุขทุกครั้ง  เวลาเราได้ยินถ้อยคำของพระเจ้า เป็นเหมือนพระเจ้าคุยกับเรา เวลาเรามาอ่านพระคัมภีร์ เหมือนพระเจ้าคุยกับเรา  เราก็มีความสุข เหมือนพ่อกับลูกได้คุยกัน ถ้าอยู่ในครอบครัว พ่อลูกไม่คุยกันเลย  แม่ลูกไม่คุยกันเลย พี่น้องไม่คุยกันเลย มันก็ดูแปลกๆ อย่างน้อยได้คุยกันบ้าง? แต่ไม่ใช่ว่าคุยจ้อทั้งวัน มันไม่ใช่ ก็คือเราได้คุยกันบ้าง เรารู้ว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน หรือแม้บางคนคุยไม่เก่ง เรานั่งอยู่ด้วยกัน เราก็สัมผัสถึงความรักที่มันอยู่ข้างในออกมา  บางคนคุยไม่เก่ง แต่แค่เราได้เห็นหน้าเขา เราก็มีความสุข  เพราะเราได้ผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกันอยู่แล้ว

            ฉะนั้น ภาพพวกนี้ ให้พี่น้องเห็นถึงเสรีภาพที่พระเจ้าให้กับพวกเรา  อย่าให้เราโดนหลอก ขโมยเสรีภาพ ออกไปจากชีวิตของเรา  ทำให้ชีวิตของเราถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์อะไรก็ไม่รู้ที่มนุษย์สร้างขึ้น แต่ให้เรารับรู้ความจริงว่าพระเจ้าที่อยู่ในเรา พระองค์จะทำการงานในวิญญาณของเรา พระองค์จะบอกเราเอง ผลักดันเราให้ไปทำอะไรตามน้ำพระทัยของพระองค์ ตรงนี้มันขึ้นอยู่กับว่าถ้าเรายอมพระองค์ บางครั้งพระเจ้าผลักดัน แต่เราไม่ยอม เราดื้อดึง พระเจ้าก็โอเค ต้องปล่อยตามนั้น  ก็ให้เราทำตามใจตัวเอง  แต่ว่าทุกครั้งที่เราทำตามใจตัวเอง พี่น้องหันกลับไปดู หลังจากนั้น เราจะรู้สึกไม่สบายใจ …

            “ทำไมเราถึงทำอย่างนี้ เราไม่น่าทำเลย”

            แต่ว่าทุกครั้งที่เราทำตามการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะมีความสุข มันเป็นสุขที่อยู่ลึกๆ ข้างในวิญญาณ ตรงนี้ อาจารย์เปาโลบอกว่าทิตัส เป็นคนกรีก ซึ่งคนต่างชาติ หลังจากที่เขามาเชื่อพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว กฎเดิม ที่พระเจ้าตั้งไว้ สำหรับคนอิสราเอล ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา คนต่างชาติไม่จำเป็นต้องเข้าสุหนัต หรือแม้แต่คนยิวที่มาเชื่อพระเจ้า ที่เขายังไม่ได้เข้าสุหนัต ก็ไม่ต้องพยายามไปทำพิธีกรรมนี้  เพราะว่าพิธีกรรมนี้ ไม่มีผลอะไรกับความรอดของเขาแล้ว ฉะนั้น อาจารย์เปาโลพยายามให้เห็นถึงภาพว่านี่แหละ คือเสรีภาพที่แท้จริง

        กาลาเทีย 2:4 “เรื่องนี้ลุกลามขึ้นมา เพราะพี่น้องจอมปลอมบางคนที่แทรกซึมเข้ามาในหมู่เรา เพื่อสืบดูเสรีภาพที่เรามีในพระเยซูคริสต์ และเพื่อจะทำให้เราเป็นทาส”

            ทำให้เราเป็นทาส  ทำเป็นทาสตรงไหน?  ตรงที่เราไปเชื่อไง เชื่อฟังพี่น้องจอมปลอมว่าเราได้รับความรอดแล้ว  แค่เชื่ออย่างเดียวไม่พอ  เราควรจะทำอันนี้เพิ่ม  ทำอันโน้นเพิ่ม ด้วยกำลังของเราเอง ซึ่งอาจารย์เปาโลบอกว่าไม่ได้ อันนั้น ผิดจากเป้าหมายจริงๆ ที่พระเจ้าได้ตั้งไว้

        กาลาเทีย 2:5 “แต่เราไม่อ่อนข้อให้เขาแม้สักขณะหนึ่ง เพื่อความจริงของข่าวประเสริฐจะได้คงอยู่กับท่าน”

            อาจารย์เปาโลไม่ยอม แบบว่าหยวนๆ เขาบอกให้ไปทำพิธีเข้าสุหนัต ก็ไปทำๆ ให้เขาเถอะ อะไรประมาณนั้น อาจารย์เปาโลไม่ยอมนะ บอกว่าเราได้รับความรอด ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ไม่ใช่ผ่านทางการประพฤติใดๆ ของมนุษย์

            สมัยก่อน คนยิวคิดว่าเขาประพฤติปฏิบัติตามกฎบัญญัติของพระเจ้า เขาเป็นผู้ชอบธรรม อันนั้นกฎเดิม พระเจ้าได้ตั้งไว้อยู่แล้ว สำหรับคนยิวว่าเขายังคงเชื่อว่าพระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า แล้วก็เชื่อตามพันธสัญญาที่พระเจ้าตั้งไว้ให้กับคนยิวในยุคเดิมว่าให้มาทำพิธีกรรมปีต่อปี เอาแพะเอาแกะมาถวายเครื่องบูชา ให้ปุโรหิตเอาเลือดมาปะพรมแท่นบูชา เขาจะได้รับการอภัยโทษ แล้วเขาจะเป็นประชากรของพระองค์ แต่ ณ ปัจจุบัน ก็คือตอนที่อาจารย์เปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ กฎเหล่านั้นได้ถูกยกเลิกไปเรียบร้อยแล้ว  พระเยซูคริสต์ได้ทำพันธสัญญาใหม่กับผู้คนบนโลกใบนี้ แม้แต่คนยิวที่รักษากฎบัญญัติ เขายังจำเป็นจะต้องมาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ตอน ณ เวลานี้ ไม่ได้โดยปริยายว่าคนยิวจะเป็นคนของพระเจ้า ตอนนี้กฎใหม่มาแล้ว  ก็คือคนยิวทุกคนจำเป็นจะต้องเหมือนคนต่างชาติ มาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ไม่พึ่งการประพฤติปฏิบัติ ตามกฎบัญญัติของโมเสสที่ตั้งไว้  ถ้าเขายังพึ่งกฎบัญญัติ เขาก็หล่นพ้นจากความรอดที่พระเยซูคริสต์ทำให้

        กาลาเทีย 2:6-8 “6 สำหรับบรรดาผู้ที่ดูเหมือนว่าเป็นคนสำคัญ ซึ่งเขาจะเป็นอย่างไรนั้น ไม่มีความหมายอะไรสำหรับข้าพเจ้า  พระเจ้าไม่ได้ทรงพิจารณาที่รูปลักษณ์ภายนอก พวกเขาไม่ได้เพิ่มเติมอะไรแก่ถ้อยคำที่ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้เลย 7 ตรงกันข้าม  เขาเห็นว่าข้าพเจ้าได้รับมอบหมายภารกิจในการประกาศข่าวประเสริฐ แก่คนต่างชาติเช่นเดียวกับที่เปโตรประกาศแก่คนยิว 8 เพราะพระเจ้าผู้ทรงดำเนินการในพันธกิจของเปโตร ผู้เป็นอัครทูตไปยังคนยิว ก็ทรงดำเนินการในพันธกิจของข้าพเจ้า ผู้เป็นอัครทูตไปยังคนต่างชาติด้วย”

            อาจารย์เปาโลก็ยังคงยืนยันว่าการทรงเรียกของแต่ละคนไม่เหมือนกัน  พระเจ้าใช้แต่ละคนไม่เหมือนกันด้วย พระเจ้าใช้เปโตรกับอัครทูตคนอื่นๆ ไปประกาศกับคนยิว ซึ่งคนยิวก็ต้องได้รับข่าวดีของพระเจ้า และต้องกลับใจใหม่ด้วย  ไม่ใช่โดยปริยายว่าจะได้รับความรอด ผ่านทางการประพฤติ เขาจำเป็นจะต้องกลับใจใหม่ แล้วอาจารย์เปาโลก็ถูกมอบหมายให้ประกาศกับคนต่างชาติ

            ทุกคนพอได้ยินดังนั้น ก็มีความสุข โอเค พระเจ้าได้เลือกแล้ว ต่างคนต่างทำหน้าที่ของแต่ละคนให้ดีที่สุดตามที่พระเจ้าได้มอบหมายไว้

        กาลาเทีย 2:9 “เมื่อยากอบ เปโตรและยอห์น ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเสาหลักเห็นถึงพระคุณที่ทรงมีต่อข้าพเจ้า ก็จับมือขวาของข้าพเจ้ากับบารนาบัส เพื่อแสดงว่าเราร่วมงานกัน เขาเหล่านี้เห็นด้วยว่าเราควรไปยังคนต่างชาติ ส่วนพวกเขาไปหาคนยิว”

            เมื่อได้รับฟังความจริงที่อาจารย์เปาโลได้บอกแล้ว ก็มีความสุข เหมือนกับพวกเราทุกคน ณ เวลานี้ เราได้ยินว่าใครได้รับการทรงนำจากพระเจ้า ให้ไปประกาศกับคนอื่น ที่ยังไม่เชื่อ เราก็มีความสุข เพราะว่าแต่ละคนจะถูกเรียกไม่เหมือนกัน บางคนพระเจ้าใช้เขาในการประกาศข่าวดี อาจจะไม่ใช่เป็นลักษณะเป็นผู้รับใช้ แต่ว่าพระเจ้าให้ของประทาน เขาก็จะมีความสามารถในการประกาศกับคนนี้ คนโน้น คนนั้น แล้วพาเขามารับเชื่อ เราก็มีความสุขร่วมกัน ฉะนั้น แต่ละคนมีหน้าที่ที่ไม่เหมือนกัน

            พี่น้องเชื่อหรือไม่ ดิฉันเชื่อพระเจ้ามาแล้ว จะ 38 ปีแล้ว ดิฉันยังไม่สามารถประกาศเอาใครมารับเชื่อสัก 1 คน เมื่อเราเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ เราก็ได้รับคำสอนว่าเราจำเป็นจะต้องไปประกาศ ทุกโอกาสเลย คือเมื่อมีโอกาส เราต้องรีบประกาศ  ไม่อย่างนั้น ข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่ง ที่ถูกยกมาใส่สมองของเราว่า …

            “วิบัติแก่เจ้า ถ้าเจ้าไม่ประกาศ”

            ข้อนี้ทำให้แป๊กได้ทุกครั้ง  ก็คือ … “ถ้าเราไม่ประกาศ วิบัติจะเกิดกับเราไหม? แล้วจะเป็นอย่างไร? เราจะถูกลงโทษไหม? เราจะโน่นนี่นั่นไหม?”

            พอเรารู้ความจริง ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ เลย ขอบคุณ เพราะว่าคำนี้ ประโยคนี้ พระเจ้าใช้เฉพาะอาจารย์เปาโลเท่านั้น ดังนั้น เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ ให้รู้ว่าบริบทนั้น พระเจ้ากำลังคุยกับใคร?  คำนี้อาจารย์เปาโลเป็นคนพูดเอง พระเจ้าได้ใช้และเรียกอาจารย์เปาโลให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ ฉะนั้น อาจารย์เปาโลก็เลยพูดคำนี้ขึ้นมาว่า …

            “วิบัติแก่ข้าพเจ้า ถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศ”

            เพราะว่าพระเจ้าใช้และให้ของประทาน ให้กำลัง ให้ความสามารถ ให้สิทธิอำนาจกับอาจารย์เปาโล อาจารย์เปาโลเลยยืนยันตรงนี้ ให้กับคนที่เขียนถึง ให้รู้ว่ามันเป็นเรื่องแบบนี้ เรื่องของเรื่อง คือเราผู้เชื่อ เราก็เก็บเอามาเป็นของเราเอง  แล้วเราก็มาทุกข์ใจ ดิฉันทุกข์ใจเป็นสิบปี เพราะว่าดิฉันประกาศไม่ได้สักที แล้วดิฉันก็หาทุกโอกาสด้วย เขาบอกเวลาขึ้นรถเมล์ คนมานั่งข้างๆ ต้องหาวิธีประกาศเรื่องพระเยซูให้เขาให้ได้  แล้วก็ตั้งใจมาก  แบบจ้องเขา ตั้งแต่ขึ้นรถ จนเขาเดินลงรถ ยังพูดไม่ได้สักที ปากมันไม่ออกมา มันไม่ได้ หรือหลายครั้ง ขึ้นแท็กซี่ด้วย ตั้งแต่ขึ้นรถ จนลงรถ ก็ไม่สามารถประกาศ คือมันพูดไม่ออก เราพูดไม่ได้ แต่อย่ามาถามเรื่องพระเจ้า  ถ้าถามปุ๊บ คุยได้สบาย  มันต้องมีที่มาที่ไป มีเหตุว่าพอคนมาถาม เราก็เล่าให้เขาฟังได้ใช่ไหม? เขานั่งอยู่ เขาไม่รู้จักเราเลย เราก็ไม่รู้จักเขา อยู่ดีๆ เราก็ไปบอกเขาเรื่องของพระเจ้า มันไม่ได้ คือเราไม่ได้ถูกเรียกมาแบบนี้ แล้วก็ทุกข์ใจมากว่า …

            “แล้วตกลง ฉันจะรอดไหม? เพราะฉันวิบัติแน่ๆ เลย  ฉันเชื่อมา 30 กว่าปีแล้ว ฉันยังประกาศกับใครไม่ได้เลย”

            แล้วพระเยซูก็บอกกับเราว่า … “ถ้าท่านรู้ความจริง ความจริงจะปลดปล่อยท่านให้เป็นไท”

            พอเรารู้ความจริง ขอบคุณพระเจ้า เราแต่ละคน เหมือนเป็นอวัยวะที่แตกต่างกัน ในร่างกายของมนุษย์คนหนึ่ง พระเจ้าสร้างบางคนเป็นผม บางคนเป็นคิ้ว บางคนเป็นตา บางคนเป็นจมูก เป็นปาก เป็นแก้ม เป็นมือ เป็นเท้า เป็นตับ ไต ไส้ พุง คือแต่ละคน แต่ละส่วนทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน แต่เราถูกสอนว่าทุกคนต้องทำเหมือนกัน อันนี้แหละเป็นเรื่อง ทุกคนต้อง แล้วก็ต้อง เลยกลายเป็นว่าคำสอนนี้ ไปบีบคั้นผู้เชื่อ ที่เขามาเชื่อพระเจ้า แล้วเขาทำไม่ได้ แล้วเขาก็ทุกข์ใจ แล้วเขาก็เกิดความสงสัยว่า …

            “แล้วตกลงฉันจะรอดหรือไม่รอด”

            แต่อาจารย์เปาโลบอกชัดเจนว่าความรอด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการประพฤติ  ความรอดขึ้นอยู่กับความเชื่อ ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขนเท่านั้น เราได้รับความรอด หลังจากนั้น พระเจ้าจะใช้เราแบบไหน? อย่างไร?  นั่นเป็นเรื่องของพระองค์ พระองค์ใช้แต่ละคนไม่เหมือนกัน

            ตรงนี้แหละ คือประเด็นหลัก ที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ความจริง เมื่อพระเจ้าใช้แต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนก็ถูกใช้เยอะมาก อย่างเช่นอาจารย์เปาโลถูกใช้ให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ พาคนมารับเชื่อเป็นแสน เป็นหมื่นคน แต่สิ่งที่อาจารย์เปาโลได้รับ ได้รับเหมือนพวกเรา คือได้รับพระพร ได้รับมรดกเท่ากับผู้เชื่อคนหนึ่ง ที่เพิ่งกลับใจใหม่ คือได้รับชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์ ได้รับความรอด ผ่านทางการเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ ได้รับพระพรนานัประการในสวรรคสถาน คือได้รับเท่ากันเลย เพียงแต่ว่าของประทานของแต่ละคนไม่เท่ากัน และของประทานของแต่ละคนไม่เหมือนกันปุ๊บ ในพระคัมภีร์จะพูดถึงคำว่า “บำเหน็จ”

            เรามาคุยเรื่องบำเหน็จ พอพระคัมภีร์พูดถึงคำว่า “บำเหน็จ” ปุ๊บ หรือ “รางวัล” เราก็ไปเข้าใจว่าถ้าเรารับใช้พระเจ้าเยอะๆ หลังจากที่เราจากโลกนี้ไป  เราจะได้รางวัลพิเศษมากกว่าคนอื่น เมื่อก่อนดิฉันก็เชื่ออย่างนั้น เราจะได้รับรางวัลพิเศษมากกว่าคนอื่น เหมือนผู้รับใช้เก่าๆ เขาก็เล่ากันมา …

            “ถ้าเรารับใช้พระเจ้ามากๆ เราขึ้นไปสวรรค์ เราก็จะได้บ้านเดี่ยวสวยงาม  ถ้าเราอยู่บนโลกใบนี้ เราไม่ได้รับใช้พระเจ้า เราไม่ยอมรับใช้อะไร?  ขึ้นไปสวรรค์ เราก็จะได้กระต๊อบหลังเล็กๆ แถมหลังคารั่วด้วย”

            เป็นอย่างนั้น พอคำสอนนี้ออกไป คริสเตียนก็ตกใจสิ … “แล้วอย่างนี้ทำอย่างไร? ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย ฉันเป็นผู้เชื่อคนหนึ่ง หรือฉันเป็นแม่บ้าน ฉันเชื่อพระเจ้า ฉันเชื่อว่าพระองค์ทรงประทานความรอดให้กับฉัน ฉันได้รับชีวิตนิรันดร์ แต่ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย? ฉันอยู่บ้านเฉยๆ แล้วตกลงฉันจะได้รางวัลไหม? ขึ้นไปบนสวรรค์ ฉันจะเฉียดสวรรค์ไหม? ฉันจะได้เข้าไปในที่ที่สวยงามไหม? หรือฉันต้องอยู่นอกขอบสวรรค์”

            นั่นแหละ เรียกว่าสร้างความงุนงงให้กับผู้เชื่อ  แต่ความเป็นจริงแล้ว ทุกคนจะได้เท่ากัน คือได้รับชีวิตนิรันดร์แบบพระเยซูคริสต์เลย ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์เลย ทุกคนได้เท่ากันหมด เพราะพระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้บังเกิดใหม่ คือพระเจ้าได้บัพติศมาเรา ผ่าตัดวิญญาณเรา ให้เราเข้าไปตายพร้อมกับพระองค์ ตัวเก่าที่เป็นบาปของเรา ตายพร้อมกับพระองค์แล้ว แล้วเราได้บังเกิดใหม่ เป็นวิญญาณใหม่เหมือนกับพระองค์ด้วย ตั้งแต่เราอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันพระเจ้าพระบิดา พระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเราด้วย เราเป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราเป็นวิหารของพระเจ้า เราอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์

            ถ้อยคำเหล่านี้ เป็นความจริงหมดเลยในโลกวิญญาณ ก็คือตั้งแต่ที่เราอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน หรือพูดอีกนัยหนึ่งเราได้อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์เข้ามาอาศัยอยู่ในเรา  แล้ว ณ วันนี้ที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ข้างในวิญญาณ พระเจ้าบอกเราว่า …

            “เรารู้จักเจ้า”

            แค่คำนี้เป็นคำที่สำคัญมากๆ สำหรับพวกเรา  พระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์รู้จักเรา ตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด รู้จักตั้งแต่วันนั้น จนดำเนินชีวิต จนถึงวันสุดท้าย ลมหายใจออกจากร่าง เราได้ไปพบพระเจ้าหน้าต่อหน้า พระเยซูยังคงพูดว่า …

            “เรารู้จักเจ้า” … เพราะว่ารู้จักตั้งแต่ยังอยู่บนโลกใบนี้

            แต่ที่พระเยซูบอกว่า … “เราไม่เคยรู้จักเจ้า” แปลว่าตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ เราก็ไม่รู้จักพระเยซู พระเยซูก็ไม่รู้จักเรา เราไม่ยอมเข้ามาอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราไม่ยอมเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราไม่ยอมรับว่าพระองค์ คือผู้นั้น ที่จะสามารถช่วยเราให้รอดได้ คนนั้น ก็คือปฏิเสธผู้ที่จะมาช่วยเขาให้รอด เมื่อปฏิเสธ พระเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ พี่น้องนึกภาพออกไหม? ในพระคัมภีร์ พระองค์บอกว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแห่งเอเมน ไม่ว่ามนุษย์จะตัดสินใจอะไรก็ตาม พระเจ้าเอเมนด้วย ก็คือเป็นไปตามนั้น พระเจ้าไม่บังคับ มนุษย์ที่ไม่ยอมตัดสินใจย้ายข้าง จากการอยู่ในบาป อยู่ในคำสาปแช่ง เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ พระเจ้าก็ต้องเอเมนตามนั้น

            แต่ใช่พระประสงค์ของพระเจ้าไหม?  ไม่ใช่แน่นอน  เพราะพระประสงค์ของพระเจ้า คือต้องการให้มนุษย์ทุกคนได้รับความรอด นี่คือเป้าหมาย นี่คือพระประสงค์ ฉะนั้น คนที่ไม่ยอมเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระเยซูก็ต้องบอกว่าเอเมน หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ที่เราชอบพูดว่า …

            “พระเจ้าอนุญาต”

            “ทำไมพระเจ้าอนุญาตล่ะ”

            “ก็พระเจ้าทำอะไรไม่ได้ พระเจ้าต้องอนุญาติให้เป็นอย่างนั้น  เพราะว่าเธอไม่ยอม”

            แต่ไม่ใช่พระประสงค์ของพระองค์แน่นอน นี่คือภาพที่เราแยกออก เราจะขอบคุณพระเจ้า เราได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราได้รับผลสำเร็จทุกอย่างที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ต่อจากนี้ไป เราก็แค่ยอมให้พระเจ้าใช้เราแค่นั้นเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ก็จะทำงานขับเคลื่อนเรา เหมือนกับเวลาเรามาโบสถ์ เราก็มาจากข้างในวิญญาณ อยากมา เวลาเราถวายทรัพย์ ก็จากข้างในวิญญาณเราอยากถวาย ไม่ใช่ว่าพอถุงถวายทรัพย์เดินผ่าน เราอึกอักๆ เราไม่อยากถวาย แล้วทำอย่างไร? เกรงใจคนข้างๆ เขามองหน้าเรา ควักสักหน่อย อะไรอย่างนี้ ไม่ต้องเลยนะพี่น้อง ให้ทุกอย่างทำจากข้างในวิญญาณ ให้สิ่งที่เราทำ มีเป้าหมายเรียบร้อยไปแล้วในใจของเราว่าเรามีเป้าหมายอย่างนั้น

            ดังนั้น ทุกอย่างที่เราทำ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นผู้นำเรา หรือหลายครั้งเราออกนอกลู่นอกทาง พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ลุ้นเรานั่นแหละ …

            “ลูกๆ เหวนะเหว กำลังออกนอกลู่นอกทางแล้ว กลับมาๆ”

            พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำแค่นี้จริงๆ เพราะว่าบังคับเราไม่ได้ เราก็ขอบคุณพระเจ้า อย่าทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ต้องพูดคำนี้ทุกวันเนอะ …

            “ลูกๆ กลับมาๆ เหวนะเหว” … อะไรแบบนี้

            ก็ขอบคุณพระเจ้า สำหรับความรักที่ยิ่งใหญ่ที่พระเจ้ามีให้กับพวกเรา เป็นความรักที่พระองค์ไม่เคยบังคับเรา แล้วพอเรามาอยู่ในพระเจ้าเรามีความสุขไง คือเราได้อยู่กับพ่อของเราที่เข้าใจเรา เป็นพ่อที่อบอุ่นมากๆ เป็นพ่อที่ไม่เคยบังคับเรา เป็นพ่อที่พยายามโน้มนำเรา นำเสนอ เสนอแนะทางดีให้กับเรา แค่หลายครั้งเราก็ดื้อบ้าง? อะไรบ้าง? ไม่เป็นไร พอลูกเราดื้อ พ่อก็คงไม่ตัดออกจากกองมรดกแน่นอน ถ้าดื้อคุณพ่อคุณแม่ก็เสียใจนิดๆ  แต่ยังรักลูกเหมือนเดิม  ความรักที่พ่อแม่ให้กับลูกไม่เคยถดถอย รักเหมือนเดิมตั้งแต่วันแรกที่เขาเกิด จนวันที่เขาตาย เหมือนเดิม แล้วยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด? ความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา หนักกว่านั้นอีก พระองค์รักเราตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสุดท้าย แล้วพระองค์ก็ดูแลนำพาชีวิตของเรา ระหว่างที่เราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้  พระองค์เริ่มต้นการงานดีแล้ว พระองค์ก็จะพาเราไปถึงจุดหมายปลายทาง ทำให้สำเร็จตามน้ำพระทัยของพระองค์ เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            โลกบอกว่า … “ทุกทางของความเชื่อ ต่างสอนให้คนทำดี เพื่อไปสู่สวรรค์ หลังความตายเหมือนๆ กัน”

            แต่พระเจ้าบอกว่า … “ไม่มีทางไหนมาถึงสวรรค์ของเราได้ นอกจากทางพระเยซูเท่านั้น”

            ยอห์น 14:6 … “พระเยซูตรัสตอบว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดา (ผู้สถิตในสวรรค์) ได้นอกจากมาทางเรา”

            พระเยซูได้นำสวรรค์ของพระเจ้า ที่ตามนุษย์มองไม่เห็น ลงมาตั้งอยู่บนโลกนี้แล้วทางฝ่ายวิญญาณ

            พระเยซู คือประตูสวรรค์ที่เปิดรับมนุษย์ทุกคนบนโลก  ให้เข้าไปอาศัยอยู่กับพระเจ้า  ผู้บริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ตราบนิรันดร์

            ยอห์น  14:1-2  พระเยซูตรัสว่า … “1 อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย ท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย 2 ในพระนิเวศพระบิดาของเรา (คือในสวรรค์ของพระบิดา) มีที่อยู่เป็นอันมาก ถ้าไม่มี เราคงได้บอกท่านแล้ว เพราะเราไปจัดเตรียมที่ไว้  สำหรับท่านทั้งหลาย”

            ยอห์น 14:23 … “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะเชื่อฟังคำสอน (ข่าวดี) ของเรา พระบิดาของเราจะทรงรักเขา พระบิดากับเราจะมาหาเขา และอยู่กับเขา”

            • เป็นข่าวดี  ที่มีมาถึงมนุษย์ทุกคน  ที่จะสามารถมีความหวัง  เข้าสวรรค์ได้เลย ในขณะที่ยังดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายนี้  เข้าอยู่ทันที  ไม่ต้องรอให้ตายก่อน

            • คือแต่ไหนแต่ไรมา  สิ่งที่มนุษย์เคยเรียนรู้มาตลอด ในทุกยุคทุกสมัย และแทบจะ ทุกความเชื่อเลย ก็คือมนุษย์ต้องสั่งสมความดี  ต้องละเว้นการกระทำบาป  เพื่อที่ว่าหลังจากที่ตายจากโลกนี้ไปแล้ว   จะสามารถไปอยู่ในสวรรค์ได้

            • คำสอนและความเชื่อแบบนี้   เป็นข่าวธรรมดา ที่มนุษย์ทุกคนคุ้นเคยกันดี  แต่ความเป็นจริง ก็คือมันเป็นความหวัง ที่ไม่แน่นอน เพราะอย่างที่เราย้ำมาตลอดว่าไม่มีใครไม่ทำบาป ทุกคนไม่มั่นใจในความบริสุทธิ์เพียงพอที่จะเข้าสวรรค์ อยู่กับพระเจ้าได้ เพราะฉะนั้น ความเชื่อแบบนี้ จึงทำให้มนุษย์ไม่สามารถมั่นใจ ในชีวิตหลังความตายได้เลยว่าตัวเองจะได้ไปสวรรค์หรือไม่ ต้องทำดีแค่ไหน  ต้องละเว้นบาปขนาดไหน  จึงจะเพียงพอ

            • จนกระทั่ง หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นจากความตาย มนุษย์ที่เชื่อในคำประกาศข่าวดีของพระเยซู จึงสามารถมั่นใจได้แล้วว่าได้ไปสวรรค์แน่นอน   โดยไม่ต้องพึ่งการกระทำใดใดของตนเลย  แต่หันกลับมาพึ่งการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนแทน

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1470

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  พฤษภาคม  2024

เรื่อง “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหนก่อนและหลังเชื่อพระเยซู?” ตอน 7

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เข้าซีรี่ย์ “Before and After วิญญาณของคริสเตียนอยู่ที่ไหนก่อนและหลังเชื่อพระเยซู” เราได้เรียนรู้จากพระคัมภีร์ไบเบิ้ลมา 6 ตอนแล้ว คือ …

            ตอนที่ 1 : ก่อนเชื่อ  อยู่ในเนื้อหนัง  หลังเชื่อ  อยู่ในพระวิญญาณ

            ตอนที่ 2 : ก่อนเชื่อ  อยู่ในอาดัม  หลังเชื่อ  อยู่ในพระคริสต์

            ตอนที่ 3 : ก่อนเชื่อ เป็นทาสบาป   หลังเชื่อ เป็นทาสพระคริสต์

            ตอนที่ 4 : ก่อนเชื่อ อยู่ในความมืด หลังเชื่อ อยู่ในความสว่าง

            ตอนที่ 5 : ก่อนเชื่อ ตายจากพระเจ้ามาอยู่ในบาป หลังเชื่อ ตายจากบาป มาอยู่ในพระเจ้า

            ตอนที่ 6 : ก่อนเชื่อ  อยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย  หลังเชื่อ อยู่ภายใต้กฎของวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์

            วันนี้ตอนที่ 7 : สำคัญมาก “ก่อนเชื่อ … เป็นลูกแห่งการไม่เชื่อฟังพระคริสต์ หลังเชื่อ … เป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระคริสต์”

            เป็นความจริงในโลกวิญญาณที่สำคัญมาก เพราะหลายท่านเข้าใจผิดเยอะเลย รวมทั้งผมด้วย และก็ทั้งทีมงานหลายคน ก็เข้าใจผิดมาตลอด เพิ่งได้รับความรู้จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่ามันเป็นอย่างนี้เอง คำว่า “เพิ่งได้รับ” ไม่ได้หมายถึงว่าวันนี้ได้รับนะ มันค่อยๆ รับรู้ความจริงมาเรื่อยๆ

            ทั้ง 2 สถานะทางวิญญาณ ที่เมื่อสักครู่นี้อ่านกันว่าก่อนเชื่อ เป็นลูกแห่งการไม่เชื่อฟังพระคริสต์ หลังเชื่อ เป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระคริสต์ ทั้ง 2 สถานะทางวิญญาณเป็นโดยการกำเนิดเกิดมาเป็นเลย ไม่ได้เป็นโดยการประพฤติ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ตรงนี้เป็นหัวใจ เป็นความจริง

            ก่อนเชื่อ เป็นลูกแห่งการไม่เชื่อฟังพระคริสต์ ในเอเฟซัส 2:1-3 บันทึกไว้อย่างนี้ อย่างชัดเจนเลย …

        เอเฟซัส 2:1-3 “1 พระองค์ทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายมี​ชี​วิตอยู่ แม้ว่าท่านตายแล้ว โดยการละเมิดและในบาป  2 ครั้งเมื่อก่อน ท่านเคยดำเนินชีวิตอยู่ในบาป ประพฤติตามวิถีของโลกนี้ ตามเจ้าแห่งอำนาจในย่านอากาศ คือวิญญาณที่ครอบครองอยู่ ในลูกแห่งการไม่​เชื่อฟัง (เป็นปฏิปักษ์ ต่อต้าน พระคริสต์) 3 เมื่​อก่อน เราเคยเป็นเหมือนกับคนเหล่านั้น (ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในบาป) ประพฤติ​ตามตัณหาของเนื้อหนังเช่​นกัน คือกระทำตามความปรารถนาของเนื้อหนัง ซึ่งมันเป็นธรรมชาติ ที่อยู่ในวิญญาณในใจ และในความคิด เราจึงเป็นลูกที่ถูกพิพากษาลงโทษ ถูกสาปแช่ง เหมือนอย่างคนอื่น”

            พระองค์ทรงกระทำให้ท่านทั้งหลายมีชีวิตอยู่ คือให้ท่านเกิดใหม่ ถ้าท่านเชื่อ ทำให้ท่านเกิดใหม่  แม้ว่าท่านตายแล้ว โดยการละเมิด ก็คือเกิดมา ตายแล้วในการละเมิด คือทำบาป   เขาเรียกว่าละเมิดกฎของพระเจ้า  ท่านตายแล้ว อยู่ในการละเมิดของพระเจ้า  คือความประพฤติใช่ไหม?  และในบาป คือเกิดมาอยู่ในบาป จึงละเมิด

            ข้อ 2 บอกว่าครั้งเมื่อก่อน ก่อนเชื่อ ท่านเคยดำเนินชีวิต นึกออกนะ ดำเนินชีวิตอยู่ในบาป ประพฤติตามวิถีของโลก เกิดมาอยู่ในบาป แล้วจึงประพฤติบาป ตามวิถีของโลก โลกนี้บาป ตามเจ้าแห่งย่านอากาศ  คือวิญญาณที่ครอบครองอยู่ในลูกแห่งการไม่เชื่อฟัง ก็คือวิญญาณท่านอยู่ในการครอบครองของความดื้อด้าน วิญญาณที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เป็นปฏิปักษ์ต่อต้านพระคริสต์ โดยกำเนิดเกิดมาเป็นเลย

            ข้อ 3 ชัดเจน เมื่อก่อน เราเคยเป็นเหมือนกับคนเหล่านั้น ที่ดำเนินชีวิตอยู่ในบาป ประพฤติตามกิเลสตัณหาของเนื้อหนังเช่นกัน ก็คือคนที่ยังไม่เชื่อนั่นเอง ท่านกระทำตามความปรารถนาของเนื้อหนัง ซึ่งมันเป็นธรรมชาติ มันไม่ใช่ตัวเรา แต่มันเป็นเชื้อโรคอยู่ในตัวเรา เป็นธรรมชาติที่อยู่ในวิญญาณ คือในใจ และในความคิดของเรา เราจึงเป็นลูกที่สมควร หรือที่ถูกพิพากษาลงโทษ ถูกสาปแช่งเหมือนอย่างคนอื่นๆ เขา ที่ยังไม่ได้เชื่อในข่าวประเสริฐ ชัดเจนเลยนะ  คือมนุษย์เกิดมาในวิญญาณที่อยู่ในบาป เป็นลูกแห่งการไม่เชื่อฟังนั่นเอง

            หลังเชื่อ ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ผู้ซึ่งเป็นพระบิดาของพระคริสต์ 1 เปโตร 1:2-3 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

        1 เปโตร 1:2-3 “2 พระเจ้าพระบิดาได้ทรงเลือกสรรพวกท่าน ตามที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าแล้ว ผ่านทางการทรงชำระให้บริสุทธิ์ของพระวิญญาณ เพื่อให้พวกท่าน มาเชื่อฟังพระเยซูคริสต์ (เพื่อให้ท่านมาบังเกิดใหม่ เป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระคริสต์) และรับการประพรมด้วยพระโลหิตของพระองค์ ขอพระคุณและสันติสุข มีแต่พวกท่านอย่างล้นเหลือ 3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์”

            มาบังเกิดใหม่ เพื่อจะได้เป็นลูกที่เชื่อฟังพระคริสต์ “เป็น” เราได้เริ่มต้นรับฟังเมล็ดพันธุ์แห่งข่าวประเสริฐ ตอนก่อนเชื่อ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? คือเราได้ยิน ได้รับฟังถ้อยคำพระเจ้า คือเขาเรียกว่าข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ แล้วเราก็ไม่ปฏิเสธ แต่เราก็ไม่ได้รับโดยตรง ก็ฟังไปเรื่อยๆ  แล้วก็มีอยู่วันหนึ่งวันไหนไม่รู้ ที่เราตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับข่าวดีนั้น ด้วยใจของเรา ซึ่งเราไม่รู้ว่าวันไหนหรอก พอเราเปิดใจต้อนรับปุ๊บ เรียกว่าเริ่มต้นวางใจในพระเยซูคริสต์ ต้อนรับพระเยซูคริสต์ คือไม่ปฏิเสธนั่นเอง ถูกไหม? พอไม่ปฏิเสธปุ๊บ คือเปิดประตูใจปุ๊บ พระเยซูคริสต์เคาะอยู่หน้าประตู แล้วก็เข้าไปทันทีเลย ตอนนี้เราเรียกว่าหลังเชื่อแล้ว  ดูสิ เกิดอะไรขึ้น

            และทันทีที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด วางใจในพระองค์ว่าพระองค์ทรงช่วยได้มั้ง ต้องมีคำว่า “มั้ง” เพราะว่าตอนนั้น เรายังไม่รู้เรื่อง  เกิดอะไรขึ้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็ได้เข้ามาภายในร่างกายของเรา คือในวิญญาณของเรา เข้ามาทำอะไร? ภาษาพระคัมภีร์เรียกว่าเข้ามาบัพติศมา คือนำเราเข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ คือบัพติศมาในวิญญาณ

            บังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า ที่เต็มไปด้วยความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าทันที เห็นไหม เกิดใหม่มาเป็นวิญญาณที่มีความเชื่อศรัทธา จากวางใจต้อนรับ เชื่อพระเยซูไหม? เชื่อข่าวดีไหม? เชื่อ แต่เชื่อจากความคิดเฉยๆ มั้ง แต่พอเปิดใจต้อนรับปุ๊บ พระเจ้าใส่ขบวนการการบังเกิดใหม่ เข้ามาในตัวเรา ที่ชัดเจนเลย จากการเป็นลูกที่ไม่เชื่อฟัง กลายมาเป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระเจ้า เต็มไปด้วยความเชื่อฟังในวิญญาณทันที โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ  เต็มไปด้วยความเชื่อ

            จากการที่เป็นลูกที่ไม่เชื่อฟังพระคริสต์ มาเกิดใหม่เป็นลูกที่เชื่อฟังพระคริสต์ จากการเป็นลูกที่เกลียดชัง ต่อต้านพระคริสต์ มาเกิดใหม่ เป็นผู้ที่รักพระคริสต์ เห็นหรือเปล่า ก่อนหน้านั้น ก่อนเชื่อใครมาพูดเรื่องพระเยซู เราก็ไม่ชอบ ไม่ชอบมากไม่ชอบน้อย แสดงออกโดยปฏิกิริยามากน้อยไม่เท่ากัน แต่ข้างในพระคัมภีร์บอกว่าต่อต้านพระคริสต์ เกลียดชังข่าวประเสริฐ เราจะเห็นได้ทันทีเลยว่าสถานะนี้ เปลี่ยนไป โดยมนุษย์ไม่ได้ทำอะไรเลย  ทำแค่อย่างเดียว คือตัดสินใจวางใจ เริ่มต้นเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปเท่านั้น พระเยซูบอกว่าภาระของเราก็เบา จงมาหาเราเถิด จะได้หายเหนื่อยและเป็นสุข  ไม่ได้ทำอะไรเลย นอกนั้นพระองค์ทำเอง

            หลังจากนั้นแล้วทำอะไร? แล้วพระเจ้าก็จะประทานความเชื่อศรัทธาให้เรา เมื่อเราเปิดใจ พระคัมภีร์บอกว่าเป็นความเชื่อศรัทธาชนิดที่เป็นของพระเจ้า ไม่ใช่พระเจ้าให้เราเชื่อเฉยๆ  แต่เป็นความเชื่อชนิดที่เป็นของพระเจ้า  พระเจ้าเต็มไปด้วยความเชื่อ เรารู้แล้ว พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายด้วยถ้อยคำของพระองค์ เต็มไปด้วยความเชื่อ เราเป็นเชื้อสายของพระองค์ มีวิญญาณข้างใน เป็นความเชื่อศรัทธาที่เป็นของพระเจ้า เป็นเหมือนพระเจ้า ในพระคัมภีร์บอกมันยิ่งใหญ่มาก มหาศาล

            พระเยซูเปรียบเทียบว่าที่ให้ไป คุณภาพเป็นเหมือนความเชื่อของพระเจ้าทันที อยู่ในวิญญาณเรา ให้มาแค่เมล็ดมัสตาร์ดเอง  นิดเดียวเอง แต่มันเจริญเติบโต บังเกิดใหม่ กลายเป็นชีวิตนิรันดร์

            เมล็ดมัสตาร์ดแห่งความเชื่อศรัทธา ที่พระเจ้าได้ใส่ลงมาในวิญญาณ และในใจของเรา  ทำให้เราได้รับการบังเกิดใหม่  เป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง จากนั้น ในเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว พระเจ้าจะเป็นผู้ดูแลวิญญาณของเรา ที่พระองค์ได้ทรงไถ่ไว้ทั้งหมด เราจึงเรียกข่าวดีนี้ว่ารับความรอด โดยพระคุณ ผ่านทางความเชื่อศรัทธา

            ความรอดในพระเยซูคริสต์คืออะไร? เรามาดูกัน โรม 1:16 บอกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 1:16 “ด้วยว่าข้าพเจ้าไม่​มี​ความละอาย ในเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้น เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า เพื่อให้​ทุ​กคนที่​วางใจ ได้​รับความรอด พวกยิ​ว​ก่อน และพวกคนต่างชาติ​ด้วย”

            ข่าวประเสริฐ ข่าวดีเป็นฤทธิ์อำนาจให้กับคนที่วางใจในข่าวดีนี้ ได้รับความรอด  เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ที่คู่มากับการอัศจรรย์นั่นเอง  ความรอดที่พระเจ้าประทานให้ เปรียบได้กับกล่องของขวัญ 1 กล่องที่มีสิ่งของมากมายอยู่ข้างในนั้น พอบอกถึงความรอดปุ๊บ จงนึกถึงกล่อง จงนึกถึงอะไรบางอย่างที่มีของอยู่ในนี้เยอะแยะเลย  กล่องของขวัญที่มาในรูปของความรอดในพระคริสต์ ก็จะมีอะไร? บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ว่าก็จะมีพระพรฝ่ายวิญญาณในสวรรคสถานนานัปการ มันอยู่ข้างในความรอด ในกล่องนี้ เอเฟซัส 1:3 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญเทิดทูนพระเจ้าพระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ได้ทรงประทาน (ให้ของขวัญ) พระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการในพระคริสต์ แก่เราทั้งหลายในสวรรคสถาน”

            ถามว่ามีอะไรบ้าง? ยกตัวอย่างในความรอดนี้ มีสถานะในวิญญาณของเราที่พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ ด้วยในวิญญาณของเรา เราเรียกตัวเราเอง พระคัมภีร์เรียกว่าพระวิหารของพระเจ้า  คือบ้านของพระเจ้าที่พระองค์เข้ามาอาศัยอยู่ทันที เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ต้อนรับข่าวประเสริฐ แล้วยังมีอะไรอีกในความรอดนี้ ในพระพรนานัปการนี้

            ยกตัวอย่างเช่น การอภัยโทษจากความบาปทั้งสิ้นตลอดไป ไม่ถือโทษเราอีกเลย ตลอดไป  รอดพ้นจากการถูกพิพากษาให้พินาศ อยู่ในบึงไฟนรก  หลังความตาย มีการได้รับการบังเกิดใหม่ ในฐานะลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม คือสามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้อย่างมั่นใจว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีมลทินใดๆ บาปใดๆ เลย เป็นคนดีพร้อมเท่าๆ กันกับพระเยซูคริสต์

            ในความรอดนี้ มีอะไรอีก  มีฐานะเป็นผู้รับมรดกนิรันดร์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ จะได้ครอบครองโลกใหม่และสรรพสิ่งบนโลกใหม่นี้ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ และหลังจากร่างกายเดิมนี้แล้ว จะได้สวมร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ที่เต็มด้วยสง่าราศี  และอะไรอีกมากมาย และหนึ่งในพระพรนานัปการนี้ ก็คือของประทานแห่งความเชื่อศรัทธาในพระเจ้านั่นเอง เต็ม 100% เลย เอเมน ขอบคุณพระเจ้าของเรา

            ไม่ต้องพยายามไปหาเพิ่มพูนความเชื่อ ท่านบอกว่าอย่างนี้ต้องพยายามทำ เพิ่มความเชื่อ ไม่จริงเลย แต่ก่อนนี้ผมก็ไม่รู้ ผมก็นึกว่าต้องทำอะไรหลายๆ อย่าง เพื่อจะได้เพิ่มพูนความเชื่อ แต่ที่ไหนได้ วันแรกที่รับเชื่อพระเจ้านั้น ความเชื่อเต็มบริบูรณ์ ครบ 100 มาอยู่ในวิญญาณเลย  อยู่ในใจแล้ว เพียงแต่รับรู้หรือเปล่า?  และเป็นความเชื่อเต็มขนาดไหน? พระคัมภีร์บอกความเชื่อนี้เต็ม 100 เท่ากับพระเยซูคริสต์ ท่านเชื่อเท่ากับพระเยซูคริสต์เลย เอเมนไหม? มันรับยากนะ  เดินอยู่บนโลกนี้ บอกเรามีความเชื่อเท่าพระเยซูคริสต์ แต่พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้นจริงๆ

            ได้เป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระคริสต์ มีความรักในพระเจ้า ที่เหมือนความรักของพระเจ้าที่เป็นอมตะนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลย พระเยซูรักพระเจ้าอย่างไร? เราก็รักพระเจ้าอย่างนั้น พระเยซูคริสต์เชื่อพระเจ้าอย่างไร? เราก็เชื่อพระเจ้าอย่างนั้น ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลย ไม่มีใคร หรืออะไรบนโลกใบนี้สามารถมาเปลี่ยนแปลงตรงนี้ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ที่พูดมาทั้งหมด เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวันแห่งความรอดเท่านั้น ที่พูดมาทั้งหมด  อัศจรรย์เยอะแยะ แต่เป็นเพียงส่วนเดียวเท่านั้น

            ยังมีอีกหลายอย่างที่เราไม่รู้ ไม่เข้าใจ คือความรอดในพระคริสต์นี้ ที่พระคัมภีร์เรียกตรงนี้ว่าพระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการในพระคริสต์ ที่เราคริสเตียน ผู้เชื่อได้รับเรียบร้อยไปแล้วทั้งหมด  เพียงแต่กำลังเรียนรู้ มารู้ทีละอย่าง สองอย่าง สามอย่าง สี่อย่าง รู้วันแรก คือได้รับความรอด คืออะไร? ไม่รู้ รู้แต่ว่าได้รับความรอดแล้ว แล้วค่อยๆ มาเรียนรู้ทีหลัง ตั้งแต่วันที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้รับเรียบร้อยแล้ว  พระคัมภีร์จึงใช้คำว่าข่าวดีเป็นฤทธิ์เดช เป็นอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น ในวิญญาณของคนๆ นั้น ที่ต้อนรับ วางใจในพระเยซูคริสต์ และมันเกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ที่ตะกี้นี้บอกมาทั้งหมด  ที่พูดมาทั้งหมด พระพรนานัปการในสวรรคสถาน เราได้รับ เป็นอัศจรรย์ เกิดขึ้นในวิญญาณของเรา ภายในร่างกายของเรา พร้อมๆ กันทันที เมื่อเราเปิดใจต้อนรับข่าวดีของพระเยซูคริสต์ มันเกิดขึ้นทันทีเลย  ไม่ต้องรอ

            คริสเตียนจึงมีความเชื่อศรัทธาที่เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นของประทาน ต้องพูดย้ำบ่อยๆ  เพราะว่าเราจะได้ไม่ถูกหลอก  เป็นของประทาน คือเป็นธรรมชาติที่เกิดใหม่  อยู่ภายในวิญญาณ ผมจะเติมลงไปตรงนี้ เป็นความเชื่อศรัทธา เพราะว่าภาษาไทยบางทีแยกไม่ออก ระหว่างความไว้วางใจ การเริ่มต้นเชื่อ แบบมนุษย์ คือเชื่อแบบความคิดที่เราเริ่มต้นต้อนรับพระเยซูคริสต์นี้ กับความเชื่อศรัทธาที่เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ที่เป็นเหมือนของพระเจ้า มันแยกกันไม่ออก บางทีเขาใช้คำว่าเชื่อ หรือเราพูดสั้นๆ ว่าเปิดใจเชื่อพระเยซูสิ แล้วพระเจ้าจะเสด็จเข้าไปประทานความเชื่อให้ มันก็เชื่อเหมือนกันใช่ไหม? แต่จริงๆ ไม่เหมือนกัน

            “เชื่อศรัทธา” ที่ผมเติมให้กับ “เชื่อเฉยๆ” ก็คือเชื่อแบบมนุษย์ มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้  แต่เชื่อศรัทธาที่พระเจ้าให้นั้น เป็นนิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ก็คือเป็นลูกแห่งความเชื่อศรัทธาในพระคริสต์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว  ซึ่งไม่ใช่ความเชื่อแบบโลก ที่มนุษย์คิด  ที่มนุษย์อุปทานเอาเอง หรือที่มนุษย์พยายามสร้างขึ้นมาเอง  ตามระบบของโลกนี้  เต็มไปหมดเลย เรียกว่าความเชื่อๆ อยากจะมีความเชื่อ มีพระเยซูคริสต์ อยากจะร่ำรวย ต้องมีความเชื่อ เพิ่มพูนความเชื่อสิ โดยการฟังเรื่องเราวเกี่ยวกับพระเยซู เกี่ยวกับความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง สั่งการให้เจริญรุ่งเรืองเลย สั่งการเยอะๆ จะได้มีความเชื่อ นั่นเป็นความเชื่อแบบมนุษย์บนโลกใบนี้ พยายามสร้างขึ้นมา เรียกว่า Positive Thinking ก็คือการพูดในสิ่งที่อยากได้ พูดไปสิๆ แล้วมันเป็นจริงไหม? มันไม่จริง ถ้ามันเป็นจริง ทุกวันนี้ทุกคนก็ไม่ป่วยแล้ว ทุกคนก็ไม่จนแล้ว  ทุกคนก็ไม่มีปัญหา โลกนี้มีความสุขหมดเลย ทุกคนวันๆ ก็ไปนั่งพูดๆ สร้างความเชื่อขึ้นมา มันสร้างได้ที่ไหนล่ะ มันเป็นของประทาน ความเชื่อศรัทธาจริงๆ  ที่สั่งอะไร แล้วมันเกิดขึ้น

            พระเยซูบอกแค่ความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด ที่มาจากพระเจ้า ท่านสั่งภูเขาให้ลงทะเล มันก็ลง สั่งให้ต้นไม้มันเน่า มันก็เน่า  ถ้าท่านมีนะ พระเยซูบอก  สาวกถามพระเยซูว่าทำอย่างไรถึงจะสั่งอย่างพระองค์ได้ พระองค์บอกถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด ความเชื่อตรงนี้ คือความเชื่อศรัทธา ชนิดที่เป็นของพระเจ้า The kind of faith that belongs to God ถ้าท่านมีความเชื่อชนิดที่เป็นของพระเจ้าแบบนี้ เพียงแค่เมล็ดมัสตาร์ดเท่านั้นเอง ท่านสั่งภูเขาให้ลงทะเล มันก็เชื่อฟังท่าน ไม่ได้หมายถึงให้ไปสั่ง แล้วก็ไม่ได้หมายถึงว่าสอนให้สาวกไปสั่ง แต่กำลังจะบอกว่าถ้าท่านมีนะ ก็แสดงว่ามีไหม?

            “ถ้าฉันมี 10 ตา”

            มีกี่ตา?  2 ตา มี 10 ตาไหม? ไม่มี “ถ้า” หมายถึงไม่มี อย่าถูกหลอก แล้วความเชื่อที่สร้างขึ้นมาเอง โดยความคิด ความพยายามของมนุษย์ที่เข้าใจผิดเหล่านี้ มันทำไมความเชื่อนี้ มันเปลี่ยนไปมา ตามระบบของโลกใบนี้  เปลี่ยนไปมาตามความรู้สึกนึกคิด ตามอารมณ์ ตามสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ตามระบบของโลกที่ตามองเห็น สัมผัสได้นั่นเอง มันไม่ใช่ความเชื่อศรัทธาชนิดที่อยู่ข้างในวิญญาณของเรา ที่เป็นของพระเจ้า

            ธรรมชาติวิญญาณของเราก่อนเชื่อ นี่ย้อนกลับไปถึงก่อนเชื่อ ธรรมชาติในวิญญาณ ทุกคนเกิดมาเป็นลูกแห่งการไม่เชื่อฟัง เป็นเชื้อสายของอาดัมที่ไม่เชื่อฟัง  ก็คือทำบาป ต่อต้าน ละเมิดคำสั่งของพระเจ้า โดยธรรมชาติ

            และโดยธรรมชาติหลังเชื่อ  เกิดใหม่ เป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง เป็นเชื้อสายในพระคริสต์ ที่เชื่อฟัง ทำตามพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าจะรู้สึกอย่างไร? คิดอย่างไร? สิ่งแวดล้อมจะเป็นอย่างไร? โลกจะบอกอย่างไร? ความเชื่อศรัทธา ความเป็นจริงในธรรมชาติ เราเป็นเช่นนี้ เอเมน ไม่ว่าตอนนี้ท่านเอเมน เดี๋ยวออกจากนี้ไป อารมณ์เสีย ลูกร้องไห้ หิวข้าว รถเมล์ไม่ยอมจอดให้ท่าน ขึ้นรถเมล์ถูกคนเหยียบเท้า ถูกคนกล่าวหาท่าน โดยที่ท่านไม่ได้ทำ ท่านเริ่มหงุดหงิด ความเชื่อแบบมนุษย์หายไปใช่ไหม? พระเจ้ายังสถิตอยู่กับท่านหรือเปล่า? สถิตอยู่ แต่ความเชื่อแบบมนุษย์มันหายไปแล้ว เอ๊ะอะโวยวาย แต่ความเชื่อของพระเจ้า ก็คือพระเจ้ายังทรงสถิตอยู่กับท่านไหม?  อยู่หรือไม่อยู่? อยู่ นี่แหละคือความเชื่อศรัทธาในความจริงของพระเจ้า  มนุษย์ไม่สามารถประพฤติหรือปฏิบัติอะไรก็ตาม มากขนาดไหนก็ตาม  เพื่อจะเปลี่ยนแปลงสถานะนี้ได้  คือเปลี่ยนแปลงจากความเป็นลูกไม่เชื่อ มาเป็นลูกที่เชื่อ  มนุษย์ไม่สามารถทำได้ด้วยการประพฤติ ไม่ว่าจะมากขนาดไหนก็ตาม นอกจากวิญญาณเดิมจะต้องตายก่อน  แล้วมาเกิดใหม่ ด้วยวิญญาณใหม่ในพระคริสต์ มาเป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระคริสต์ โดยการบังเกิดใหม่เท่านั้น

            และเมื่อเป็นลูกแห่งการเชื่อฟังแล้ว ข้างในก็เป็นลูกพระเจ้าที่เต็มไปด้วยความเชื่อศรัทธา พอเรารู้ตัวว่าเรารับรู้ความจริงนี้ว่าเราเป็นลูกแห่งความเชื่อศรัทธา การศึกษาถ้อยคำพระเจ้าก็ดี การอ่านพระคัมภีร์ก็ดี การฟังถ้อยคำพระเจ้าก็ดี  การมาโบสถ์ก็ดี การอธิษฐานกับพระเจ้าก็ดี การปฏิบัติเหล่านี้เป็นสิ่งดี มีประโยชน์ และเป็นสิ่งที่พึงกระทำทั้งหมด แต่ในขณะเดียวกัน ที่ทำสิ่งเหล่านั้น เราต้องรับรู้ความจริงนี้ ไปพร้อมๆ กัน มิฉะนั้น เราจะถูกหลอก

            รับรู้ความจริงด้วยว่าการปฏิบัติเหล่านี้ ที่เราพูด ยกตัวอย่างมาสักครู่นี้  เป็นเพียงการรับรู้ความจริงในวิญญาณของเรา ในสถานะวิญญาณของเราว่าเราอยู่ในพระคริสต์แล้วนะ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์แล้ว เป็นเหมือนพระคริสต์แล้ว เต็มไปด้วยการเชื่อฟังพระเจ้า 100%  เหมือนพระคริสต์แล้ว การประพฤติปฏิบัติทุกอย่างที่ทำนั้น ไม่มีส่วนใดๆ ในการเพิ่มพูนความเชื่อศรัทธาให้มากขึ้นเลย ต้องรับรู้ขณะนี้ ไม่อย่างนั้น เราจะนึกว่าเราจะไปศึกษาถ้อยคำพระเจ้า เราจะเพิ่มพูนความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าให้มากขึ้น ไม่ใช่ แล้วทำไปเพื่ออะไร?  คือความเชื่อศรัทธาของเรา มันเต็มเปี่ยม 100% อยู่แล้ว ตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดใช่ไหม? 

            แต่การปฏิบัติตัวให้ใกล้ชิด ติดสนิทกับพระเจ้า ให้เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้านั้น เป็นเพียงการตอกย้ำ  เพื่อเพิ่มพูนความมั่นใจในพระพรนานัปการที่เราได้รับจากพระเจ้าแล้ว คือการปฏิบัติตัวตามถ้อยคำพระเจ้า เราไม่ได้ปฏิบัติตัว เพื่อให้เพิ่มพูนความเชื่อ  แต่ปฏิบัติตัวตามถ้อยคำพระเจ้านั้น  คือปล่อยให้ความจริงในตัวของเราว่าเป็นผู้เชื่อศรัทธา เป็นผู้เชื่อฟัง ปล่อยมันออกมา จากข้างในไปข้างนอก ไม่ใช่จากข้องนอกมาข้างใน  และการที่เรามั่นใจในความจริงเหล่านี้ เพิ่มมากขึ้น มันก็จะค่อยๆ ซึมเข้าไป เปลี่ยนแปลงโปรแกรมความคิดของเรา  ในสมองเสียใหม่  จากระบบของโลกนี้  ให้เปลี่ยนแปลงไปตามความเชื่อศรัทธา วิญญาณข้างในที่เราเปลี่ยนแปลงเรียบร้อยไปแล้วเท่านั้นเอง

            สิ่งที่เราเคยรู้ สิ่งที่เราเคยทำ สิ่งที่เราเคยคิด เมื่อครั้งก่อนเชื่อ  ตอนที่อยู่ในอาดัม ตอนที่อยู่ในบาป อยู่ในสถานะลูกที่ไม่เชื่อฟังนั้น โปรแกรมเดิมเหล่านี้ จะค่อยๆ ถูกล้างออกไปจากความคิดในสมองของเรา จากการที่เรามีความมั่นใจในสถานะทางวิญญาณ ในความจริงเหล่านี้มากขึ้น สถานะทางวิญญาณ ก็คือวิญญาณเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์แล้ว ซึ่งเราได้เรียนรู้เรื่องนี้มาหลายตอนแล้วว่าวิญญาณเราอยู่ที่ไหน? หลังจากที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว  ซีรี่ย์นี้ไปอ่านดูได้  ไปฟังดูได้  แล้วถ้าเรายิ่งมั่นใจในสถานะทางวิญญาณที่แท้จริงของเรามากเท่าไร? เรารู้ความจริงในตัวตนของเราว่าในพระคริสต์เราเป็นใครมากเท่าไร?  เราก็จะยิ่งมีภูมิคุ้มกันมากขึ้น

            ถามว่าภูมิคุ้มกันจากอะไร?  ก็จากการล่อลวงของมาร มารจะมาล่อลวงขโมยความจริงนี้ ผ่านทางระบบของโลกนี้ทั้งหมดเลย  มันพยายามทำการยุแหย่ จูงใจ

และมารใช้ระบบของโลกนี้ ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกฎของความบาปและความตาย  มาผลักดัน โกหก หลอกลวงให้เราทำตาม

            โลกใบนี้ที่เรามองเห็น  มันตกอยู่ใต้อำนาจของความบาปและความตาย ตกอยู่ในคำสาปแช่ง มันต่อต้านพระเจ้าอยู่แล้ว มารมันใช้ตรงนี้มาหลอกเรา จะขโมยความจริงจากเรา ก็คือโลกใบนี้ปกคลุมไปด้วยคำสาปแช่ง ปกคลุมไปด้วยระบบของการต่อต้านความจริงของพระเจ้า เป็นศัตรูต่อต้านกับความจริงของพระเจ้า ก็คือเป็นศัตรูต่อต้านกับความต้องการของเรา ซึ่งเป็นลูกที่เชื่อฟังในวิญญาณของเราเรียบร้อยแล้ว  มันจะต่อต้านกับเราตลอด วิญญาณเราเชื่อฟัง มันก็จะต่อต้านเรา ไม่ให้เราเชื่อฟัง ซึ่งเราเป็นลูกที่เชื่อฟังพระเจ้าโดยกำเนิด ต้องการทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าอยู่แล้ว  ตามการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในแล้ว

            แต่ภายนอกมันต่อต้าน  พยายามให้เราไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าเราเต็มไปด้วยความเชื่อ 100% มันบอกยังไม่หรอก  เธอยังไม่มีความเชื่อพอ ต้องเพิ่มพูน ต้องเสริมความเชื่อ  โดยการรับพระวิญญาณเพิ่ม โดยการไปให้เขาวางมือเพิ่ม โดยการไปทำอะไรเพิ่ม เพื่อจะได้มีความเชื่อเต็มๆ หลอกเราอย่างนี้

            เพราะฉะนั้น พระเยซูคริสต์ได้ทำให้เรา อยู่กับพระองค์อย่างเป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม ครบถ้วนบริบูรณ์ 100% เรียบร้อยแล้ว ไม่มีวันที่จะเปลี่ยนเป็นอื่น เป็นลูกที่เชื่อฟัง ดีพร้อม เป็นนิรันดร์

            เพราะฉะนั้น สิ่งที่มารทำ คือขโมยความจริงนี้ ที่เราพูดมาทั้งหมด คือความจริงข้างในวิญญาณของเราว่าเราเป็นใครแล้ว  พระเยซูคริสต์ทำให้เราพร้อมบริบูรณ์แล้ว มารไม่มีอำนาจเลย ไม่ต้องไปกลัวมาร มันใช้อย่างเดียว ใช้การขโมย  ฆ่าและทำลาย  มันมาปิดบังตา ไม่ให้เรารู้ความจริง  ก็คือมาขโมยเอาความจริง ต้องระวังในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  คือระวังมารมาขโมยความจริง  ซึ่งความจริงนี้สำคัญที่สุด พระเยซูบอกความจริงนี้ ทำให้ท่านเป็นไทย เป็นอิสระ

            ยกตัวอย่าง เหมือนเราเรียนรู้ในอดีต เรื่องเกี่ยวกับโลก เมื่อหลายพันปีก่อน  นักปราชญ์ เขาเรียนรู้เรื่องโลกแบน ใช้เวลาเยอะเลย ศึกษา หนังสือเป็นตั้งๆ ค้นคว้าว่าโลกแบน แล้วก็เชื่อกันหมดว่าโลกแบน แล้วก็ค้นคว้า เสียเวลาเยอะแยะมากมายเลย แต่ความจริง คือโลกกลม ทั้งๆ ที่โลกกลม แต่ถูกขโมยความจริงว่าโลกแบน  เสียเวลาไปหมด  ไม่มีประโยชน์เลย นี่คล้ายๆ อย่างนั้น

            ถ้ามาเทียบกับในเรื่องของความเชื่อว่าพระเยซูทำให้เราเรียบร้อยแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว ในวงจรของคริสเตียนที่เราเชื่อกันแล้ว วงจรนี้เราจะเห็นอยู่บ่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น เราจะได้ยินอยู่บ่อยๆ หรือแม้กระทั่ง เราก็เคยทำอย่างนั้น ก็คือเข้าสู่โต๊ะมหาสนิท เราก็บอกว่าให้พี่น้องเตรียมใจ เข้าสู่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงสำรวจจิตใจของท่านว่าท่านทำบาปผิดอะไรมาหรือเปล่า? จงสำรวจว่าท่านทำผิดบาปอะไรที่ยังไม่ได้ขออภัยจากพระเจ้า ยังไม่ได้สารภาพบาปต่อพระเจ้าหรือไม่? ให้สารภาพบาปนั้นเสียก่อน แล้วถึงเข้าสู่โต๊ะขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ ฟังดูดีไหมในทางระบบของโลกใบนี้ ฟังดูดีนะ ท่านต้องชำระตัวเองให้หมดจดเสียก่อน แล้วถึงจะเข้าโต๊ะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้

            พอเรารู้ความจริง ตะกี้ความจริงบอกว่าตั้งแต่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระคัมภีร์บอกเราสะอาดหมดจดแล้ว เหมือนพระเยซูคริสต์เลย แล้วได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจและวิญญาณ เรียบร้อยไปแล้ว สะอาดหมดจด แล้ว ทำไมให้เรามานั่งคิด สารภาพบาป แล้วพระคัมภีร์คนอ่าน ก็อ่านนะว่าพระเยซูมอบสิ่งนี้ให้ แล้วตอนท้ายบอกว่าจงทำสิ่งนี้ เพื่อระลึกถึงเรา  อ้าว! ให้ทำสิ่งเหล่านี้ เพื่อระลึกถึงพระโลหิตของพระเยซู สั่งว่าชำระเราเรียบร้อยแล้ว  ให้ระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว  ไม่ใช่มาทำสิ่งที่ยังไม่เกิด นี่คือความจริง เห็นไหม? ก็ถูกหลอก แล้วก็หลอกไปเรื่อย ฟังดูมันเหมือนนิดเดียว แต่ เชื้อขนมปังนิดเดียว มันทำให้ฟูมากขึ้น เหมือนเชื้อโรคนิดเดียว ทำให้เราสามารถตายได้ อย่างนี้เป็นต้น ทำให้เราไขว้เขวเกี่ยวกับข่าวประเสริฐ ตกลงพระเยซูที่บอกทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน มันสำเร็จจริงไหม?

            จากการมาทำพิธีมหาสนิท เพื่อระลึกถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์ทำให้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว พระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตาย แล้วเราได้เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เป็นเหมือนขนมปังก้อนเดียวกัน  เป็นวิญญาณเดียวกัน เราเป็นอยู่แล้ว เราชนะเรียบร้อยแล้ว  มาฉลองกันเถิด

            กลายเป็นมานั่งเศร้า “ลูกบาปเหลือเกิน ลูกสกปรก โสโครก ชำระล้างลูกด้วยเถิด เมตตาลูกด้วยเถิด ขอพระองค์เมตตา ลูกบาปเหลือเกิน”

            แล้วพระเยซูทำให้สำเร็จแล้ว เป็นการดิสเครดิต เป็นการไม่เชื่อพระเยซู เป็นการดูถูกพระเยซูว่าพระเยซูทรงโกหก ไหนบอกว่าทำสำเร็จแล้วไง สำเร็จแล้ว ลูกจะเป็นอย่างนี้หรือ?

            หรือไม่อีกเรื่องหนึ่งที่ชัดๆ ก็คือพี่น้องให้เราต่อสู้กับกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ให้เราฆ่ามันให้ตายทุกวัน ฆ่าอะไร? ฆ่ากิเลสตัณหาของท่านให้ตายทุกวัน แต่ความจริงในพระคัมภีร์บอกว่าให้เราต่อสู้กับกิเลสตัณหาของมัน คือเห็นชัดเลย มันคือระบบของโลกนี้ ต่อสู้กับระบบของโลก ต่อสู้กับภายนอก ไม่ใช่ต่อสู้กับภายในเอง  ในตัวเราเองสะอาดหมดจด เป็นลูกแห่งความเชื่อฟัง ต้องการทำตามพระเจ้า ต้องการทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่แล้ว แต่มัน คือระบบของโลกนี้ คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของมัน  ถูกใช้โดยมาร พยายามที่จะมาต่อต้าน เป็นศัตรูต่อวิญญาณภายในของเรา  เอเมน นี่คือความจริง

            พอเราถูกหลอก ถูกขโมยเอาความจริงไป วันๆ หนึ่ง เราก็ต่อสู้กับตัวเอง เกลียดตัวเอง ทำไมตัวเองทำอย่างนี้ๆ ไม่รู้ความจริงว่ามันมาจากข้างนอก มันไม่ได้มาจากข้างใน  เพราะฉะนั้น การใช้เวลาในการอธิษฐาน ในการศึกษาพระคัมภีร์ ในการแสวงหาพระเยซูคริสต์อะไรต่างๆ เหล่านี้ มันดีแต่ต้องบนพื้นฐานของความจริงเท่านั้น ความจริง คือพระเยซูคริสต์ ทำไปอยู่ภายใต้การนำ แรงจูงใจของพระเยซูคริสต์เท่านั้น  คือในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์บอกทำอะไรก็ให้ทำจากใจ ไม่ใช่จากความคิด จากใจ ใจของเราเป็นอะไร?  ใจที่บริสุทธิ์ สะอาด ผุดผ่องเหมือนพระเยซูคริสต์ ใจที่เต็มไปด้วยความจริงตรงนี้  จึงทำให้สมองสามารถที่จะจูนกับความจริงตรงนี้ แล้วก็ทำทุกสิ่งทุกอย่างออกจากใจ  ไม่ใช่ออกจากความคิด

            ออกจากความคิด มันก็จะได้รับอิทธิพลจากระบบของโลกใบนี้  มองเอา คิดเอา รู้สึกเอา พอรู้สึกอารมณ์ไม่ดี …

            “ทำไมรู้สึกพระเจ้าหายไป พระเจ้าอยู่ไหน พระเจ้าช่วยด้วย พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่กับลูกด้วย พระองค์ทำไมทิ้งลูกไป”

            นี่ไม่ใช่ความเชื่อศรัทธาที่มาจากใจ  แต่มาจากภายนอก “ทำไมปล่อยให้ลูกเจ็บป่วยอย่างนี้ ลูกอธิษฐานเพิ่มพูนความเชื่อตั้งเยอะแยะแล้ว คนโน้นเขาเพิ่มพูนความเชื่อ เขายังได้รับการหายโรค ทำไมลูกไม่หาย ลูกต้องเพิ่มพูนอะไรเพิ่มเติมอะไรอีก ลูกต้องไปหาอะไร? หาอาจารย์คนใดที่เก่งๆ ที่วางมือรักษาโรคได้ ลูกต้องไปทำอะไรเพิ่มเติมอีกไหม?  ลูกทำอะไรผิดไปไหม?  ลูกต้องๆๆๆๆๆ ทำอะไรอีกเพิ่มเติม เพื่อจะได้หายโรค เพื่อจะได้มีความเชื่อ หายโรค เหมือนกับคนนั้น ที่พระเยซูสั่งให้เขาหาย เขาก็หาย ลูกอยากจะเป็นอย่างนั้น” … ถูกหลอกอย่างนั้น มันก็ว้าวุ่นไปหมด

            พระคัมภีร์จึงบอกให้เราเอาความจริงคาดเอว แล้วต่อสู้อย่างดีเลิศกับตัวเอง ไม่ใช่ ต่อสู้ดีเลิศกับมัน เราไม่ต้องฆ่าตัวเองให้ตายแล้ว เพราะตัวเราเอง ก่อนเชื่อเราตายไปแล้ว  ตอนนี้เราบังเกิดใหม่ ทั้งร่างกาย ความคิดจิตใจและวิญญาณ แม้ว่าร่างกายที่ได้รับการชำระแล้วนี้  ยังเป็นร่างกายเดิมอยู่  เหมือนกับเกิดใหม่ คือได้รับการชำระใหม่หมดเรียบร้อยแล้ว ได้รับการยอมรับของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว  เพราะฉะนั้น ต่อสู้กับมันกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ระบบของโลกนี้

            พระคัมภีร์ใช้คำนี้ว่า fight the good fight of faith สู้อย่างทรหด รักษาความเชื่อศรัทธาที่อยู่ในใจให้เป็นไปตามนั้น ไม่ว่าจะเจออะไรข้างนอกต่างๆ ที่มันเป็นระบบของโลกที่ต่อต้านความจริงของพระเจ้า ทั้งหมด

            ดังนั้น คริสเตียนดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ จึงมี 2 ทางให้เลือก คือจะเลือกเชื่อถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นความจริงที่เกิดขึ้นในวิญญาณของเราแล้ว หรือจะเชื่อระบบของโลกนี้  มี 2 ทาง ระบบของโลกนี้ที่มารครอบครองอยู่ และคอยกระตุ้นชักจูง ล่อลวงอยู่ตลอดเวลา  ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจบนโลกใบนี้ มันล่อลวงตลอดเวลาเลย บางคนฟังถ้อยคำพระเจ้าไป  ได้ยินอาจารย์คนนั้นพูด อาจารย์คนนี้พูดว่า …

            “คุณเตรียมตัวพร้อมหรือยัง? พร้อมจะตายหรือยัง? สงครามกำลังจะมา คุณเตรียมตัวพร้อมหรือยังว่าพระเยซูกำลังจะกลับมาแล้ว คุณต้องสำรวจชีวิตตัวเอง ดำเนินชีวิตตัวเองให้พร้อม เมื่อพระเยซูมา คุณจะได้ถูกรับไปสู่สวรรค์”

            ถูกหรือผิด? ฟังดูถูกนะ เราก็เตรียมตัวให้พร้อม ถามว่าความจริงที่เรียนมาตัวนี้ คุณพร้อมหรือยังที่จะไปสวรรค์ ตอบทุกคน? พร้อมทุกเมื่อ พร้อมตั้งแต่วันแรกที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว พร้อมแล้ว เหมือนโจรบนไม้กางเขน  เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ก็พร้อมแล้ว ทุกอย่างเกิดอัศจรรย์ขึ้นในวิญญาณแล้ว เกิดใหม่แล้ว พร้อมจะไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว  การไปอยู่กับพระเจ้า เป็นเพียงการสละร่างกายนี้ ไปสู่โลกวิญญาณ ทุกอย่างเหมือนเดิม  เราพร้อมแล้ว  ขอบคุณพระเจ้า

            บางคนมาขู่เราอีก ระวังนะ พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูจะกลับมาใหม่ กลับมาเหมือนกับขโมยมา คือไม่มีใครรู้เลย แล้วจริงๆ พระเยซูมา ไม่มีใครรู้ พระองค์จะย่องมา ขอให้พระองค์ย่องมาในขณะที่ท่านพร้อม เพราะฉะนั้น ไปสำรวจว่าท่านทำอะไรไม่พร้อมบ้าง? ทำบาปอยู่ไหม?  มีชีวิตอยู่เป็นอย่างไร? ทำตามถ้อยคำพระเจ้า อธิษฐานอยู่ไหม? เวลาพระเยซูมา อยากจะเห็นท่านอธิษฐานอยู่ … ถูกหรือผิด? เห็นไหม? ตอนนี้ท่านก็รู้แล้ว

            พระเยซูมา เป็นเหมือนดั่งขโมยมา มาเมื่อไร ฉันไม่รู้ ฉันไม่สนใจด้วยว่าพระเยซูจะมาเมื่อไร? แต่ฉันสนใจว่าฉันพร้อมเรียบร้อยแล้ว มาเมื่อไรก็เมื่อนั้นแหละ เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น โลกกำลังวิ่งสู่การสูญสิ้นอย่างไร? สงครามโลกครั้งที่สามจะเกิดขึ้นอย่างไร? อะไรต่างๆ จะพร้อมหรือไม่? เราพร้อมอยู่ตลอดเวลา พร้อม 24 ชั่วโมง

            ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนและเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่ 3 พระเจ้าได้สัญญาว่าพระองค์จะให้วิญญาณใหม่ ใจใหม่ และมาสถิตอยู่กับมนุษย์ โดยพระวิญญาณ นี่คือคำสัญญาของพระเจ้าว่าจะทำอย่างนี้ ตั้งหลายพันปีก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมา เอเสเคียล 36:26-27 บอกไว้อย่างนี้ …

        เอเสเคียล 36:26-27  “พระเจ้าตรัสว่า “เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้า ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”

            หลังจากที่พระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จแล้ว ตามสัญญา  คือสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 สำเร็จแล้ว พระเจ้าได้ทำตามสัญญา คือได้ใส่ใจใหม่ ใจเนื้อ ใจที่เชื่อฟัง แทนใจเก่าที่เป็นบาป ดื้อด้านเหมือนหิน กลายมาเป็นวิญญาณและจิตใจที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ บังเกิดใหม่จากวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า มีพระลักษณะของพระเจ้า เป็นธรรมชาติแล้ว ขอบคุณพระเจ้า  และเราคริสเตียนผู้เชื่อในข่าวดีนี้ พระเจ้าได้ให้วิญญาณใหม่ ใจใหม่ แล้วยังเข้ามาสถิตอยู่กับเรา ผู้เชื่อ โดยพระวิญญาณแล้วเช่นเดียวกัน เอเมน

            เพราะฉะนั้น คริสเตียนก่อนเชื่อท่านเป็นลูกแห่งการไม่เชื่อฟัง เป็นศัตรูต่อต้านพระเจ้า โดยกำเนิดเกิดมาเป็น  แต่เดี๋ยวนี้หลังเชื่อข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว  ได้เป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง เรียกว่าลูกแห่งความเชื่อศรัทธาแล้ว ท่านได้เป็นความรักเหมือนพระเจ้า และเป็นผู้ที่รักพระเจ้า ด้วยความรักที่เป็นอมตะ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกเลยตลอดไป ขอบคุณพระเจ้า เพราะฉะนั้น จงมั่นใจว่าท่านรอดพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษ ให้พินาศในบึงไฟอย่างแน่นอน หลังความตาย อย่ากลัวสูญเสียความเชื่อ หรือความรอดเลย ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับท่านก็ตาม ไม่ว่าใครจะพูดอะไรก็ตาม ไม่ว่าความรู้สึกของท่านจะเป็นอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าความคิดท่านจะคิดอย่างไรก็ตาม ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงนี้ได้เลย เอเมน

            พระเยซูจึงบอกว่า “จงหายเหนื่อยและเป็นสุขเถิด” เมื่อมาเชื่อพระองค์แล้ว ต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เอเฟซัส 6:24 จึงได้บันทึกอย่างนี้ อ่านดังๆ เลย …

        เอเฟซัส 6:24 “พระคุณดำรงอยู่กับท่านทั้งหลาย ที่รักพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยความรักที่เป็นอมตะ ไม่มีวันเสื่อมสลายสูญหาย”

            “ฉันรักพระเยซู รักพระเจ้า ด้วยความรักที่เป็นอมตะ ไม่มีวันเสื่อมสลาย สูญหาย เอเมน”

            พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            มนุษย์จะไปสวรรค์ หลังความตายได้ ขึ้นอยู่กับ?

            โลกบอกว่า … “ความประพฤติดีของตนบนโลกนี้”

            พระเจ้าบอกว่า … “ความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์เท่านั้น”

            โรม 1:15-16 … “15 ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ที่จะประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านทั้งหลายที่อยู่ในกรุงโรมด้วย 16 ข้าพเจ้าไม่ได้ละอายในข่าวประเสริฐ เพราะข่าวประเสริฐ คือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด คนยิวก่อน แล้วคนต่างชาติด้วย”

            มนุษย์ทุกคนสามารถได้รับความรอดโดยความเชื่อในข่าวดี เพียงอย่างเดียวเท่านั้น โดยไม่ต้องพึ่งการกระทำตามพิธีกรรมใดๆ หรือกระทำสิ่งใดๆ เพิ่มเติมอีกเลย จริงๆ

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1469

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  พฤษภาคม  2024

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย”  ตอน 2

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรายังอยู่ในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 1 คราวที่แล้วเราจบลงข้อที่ 6 บอกว่า …

        กาลาเทีย 1:6-8 “6 ข้าพเจ้าประหลาดใจที่ท่านทั้งหลาย ทิ้งพระองค์ผู้ทรงเรียกท่าน โดยพระคุณของพระคริสต์ไปอย่างรวดเร็ว และหันไปหาข่าวประเสริฐอื่น 7 ซึ่งไม่ใช่ข่าวประเสริฐเลย เห็นได้ชัดว่าบางคนกำลังทำให้ท่านสับสนวุ่นวาย และพยายามบิดเบือนข่าวประเสริฐของพระคริสต์ 8 ไม่ว่าเราหรือทูตสวรรค์ หากประกาศข่าวประเสริฐอื่นซึ่งต่างจากข่าวประเสริฐที่เราได้ประกาศแก่ท่าน ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่งชั่วนิรันดร์!”

            อาจารย์เปาโลบอกว่าใครก็ตามที่ประกาศข่าวประเสริฐอื่น นอกจากข่าวประเสริฐที่อาจารย์เปาโลได้ประกาศไปแล้ว ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง

            ข่าวประเสริฐอื่นคืออะไร? คราวที่แล้วข้อที่ 6 บอกว่าประหลาดใจที่ท่านทั้งหลายทิ้งพระองค์ผู้ทรงเรียกท่าน ขอบอกตรงนี้เข้าใจว่าพูดกับคนไม่เชื่อ แต่จริงๆ บริบทนี้ตั้งแต่เริ่มต้น อาจารย์เปาโลพูดกับคนที่เชื่อแล้ว  เชื่อวางใจในข่าวประเสริฐของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว แต่มีเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้เขา ดูเหมือนว่าเขาละทิ้งพระองค์ไป เหมือนกับว่าแทนที่เขาจะยึดมั่นในสิ่งที่อาจารย์เปาโลได้ประกาศก่อนหน้านั้น คือประกาศว่าข่าวดีของพระเยซูคริสต์ผ่านทางความเชื่อเท่านั้น เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน เมื่อเขาเชื่อปุ๊บ เขาได้รับความรอด  ได้รับพระคุณจากพระเจ้า ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม แต่ที่อาจารย์เปาโลพูดถึงตรงนี้ คือแทนที่กลุ่มคนเหล่านี้ ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า จากที่เริ่มต้นได้ยินข่าวดีของพระเยซูคริสต์ผ่านทางอาจารย์เปาโล เขาก็เชื่อจริงๆ ว่าความรอดนี้ ได้มาผ่านทางความเชื่ออย่างเดียว คือเขาไม่สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติอะไรก็ตามที่จะทำให้เขาได้รับความรอด  อันนั้น คือเริ่มต้นที่เขาได้ยินข่าวดี แล้วเขายึดมั่นตรงนี้

            พอนานวันเข้า เราจะเห็นภาพ อาจารย์เปาโลเมื่อประกาศข่าวดีของพระองค์แล้ว  เขาก็มีการตั้งคริสตจักร จากนั้นอาจารย์เปาโลก็จะเดินทางไปที่อื่น  เดินทางไปประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ไปเรื่อยๆ แล้วจะมีคนที่มาดูแลคริสตจักรต่อจากอาจารย์เปาโล พอมีคนมาดูแล หลายคนก็จะเกิดคำสอนที่มันผิดเพี้ยนไปจากเริ่มต้นที่อาจารย์เปาโลได้ประกาศว่าความรอด มีผ่านมาทางความเชื่อเท่านั้น  ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพื่อทำให้ความรอดสมบูรณ์ขึ้น แต่ความรอดที่พระเยซูคริสต์ทำให้ คือครบถ้วนสมบูรณ์เรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูคริสต์ทำให้เสร็จแล้ว

            ฉะนั้น มีคนที่มาประกาศว่าไม่ได้ เชื่ออย่างเดียวไม่พอ ควรจะทำเพิ่มเติมด้วย อาจจะตรงนี้มีคาบเกี่ยวกับคนยิวด้วย เพราะว่าจะมีผู้เชื่อที่เป็นคนยิวด้วย มากลับใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ แต่เนื่องจากความเคยชินเก่าๆ ที่เขาเคยรักษากฎบัญญัติ ทำโน่นทำนี่มาตลอด เมื่อมาเชื่อพระเจ้า เขาก็มีความรู้สึกว่าแค่เชื่อพระเยซูคริสต์อย่างเดียวมันไม่พอ  มันควรจะทำอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง แล้วทำเพิ่มขึ้น คือตัวเองทำไม่พอ ยังไปบอกคนต่างชาติที่มาเชื่อ ต้องทำอย่างนี้เพิ่มเติมนะ  แค่เชื่ออย่างเดียวไม่พอ สมมติว่าเมื่อก่อนมีพิธีเข้าสุหนัต เมื่อถึงวันสะบาโต ก็ต้องไปวิหารของพระเจ้า  ต้องโน่นต้องนี่ ก็คือหลายคนก็ถูกชักจูงให้หลงไป พอนานๆ เข้า รู้สึกว่าเขาพูดมีเหตุผลนะ เราควรจะทำโน่นนี่นั่น เพื่อให้ความรอดสมบูรณ์ขึ้น นี่แหละที่อาจารย์เปาโลพูดว่าทำไมท่านถึงได้หันเหไปจากข่าวประเสริฐของพระเจ้าได้อย่างรวดเร็ว คือแทนที่จะยึดมั่นในความจริงตรงนี้ว่า …

            “ฉันรอดแล้ว ฉันได้รับพระพรนานับประการจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว โดยที่ฉันไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพิ่มเติม เพื่อทำให้ความรอดฉันสมบูรณ์ขึ้น”

            แต่สิ่งที่มันปรากฏขึ้น หลายคนอาจจะเข้าใจผิด คิดว่าพูดอย่างนี้ เราก็ไม่ต้องทำอะไรเลย มันไม่ใช่ เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เข้ามาอยู่ในเรา พระองค์จะเป็นผู้ผลักดันจากข้างในเราออกไปสู่ภายนอก  ก็คือโน้มนำเราให้ประพฤติปฏิบัติตามตัวตนแท้ๆ ของเรา  ที่เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

            ฉะนั้น เราสามารถที่จะทำดีได้มากกว่าเดิม แต่เป็นการทำดีจากธรรมชาติใหม่ที่เราเป็นคนดี ไม่ได้ทำดี เพื่อเราจะได้รับความรอดเพิ่มเติมขึ้น อันนี้ชัดเจนนะ  ถ้าพี่น้องแยกตรงนี้ชัดเจนปุ๊บ เวลาฟังถ้อยคำของพระเจ้า  หรืออ่านถ้อยคำของพระเจ้า พี่น้องก็จะไม่สับสน

            อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าใครก็ตามมาประกาศข่าวประเสริฐอื่น ที่ทำให้ผู้เชื่อ ที่มีความเชื่อมั่นคงแล้ว เกิดความสับสนวุ่นวายว่าตกลงต้องอย่างไรดี?  แล้วแค่นี้พอไหม?  เราต้องทำอะไรเพิ่มไหม?  เป็นลักษณะบิดเบือนความจริงของถ้อยคำของพระเจ้า อาจารย์เปาโลใช้คำว่า “ถ้าใครก็ตามที่ประกาศข่าวประเสริฐอื่น ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นทูตสวรรค์ หรือจะเป็นใครก็ตาม จะเป็นคนที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หรือแม้แต่ตัวอาจารย์เปาโลเอง ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่น นอกเหนือจากที่เคยประกาศแล้ว ให้คนนั้น ถูกสาปแช่งชั่วนิรันดร์”

            คำว่า “ถูกสาปแช่งชั่วนิรันดร์” หมายความว่าอยู่ในการพิพากษาของพระเจ้า ใครก็ตามที่ไม่เชื่อในข่าวประเสริฐ ข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์มีข่าวประเสริฐเดียว คือพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า  มาเกิดเป็นมนุษย์  มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และใครก็ตามที่เชื่อในถ้อยคำตรงนี้  เขาได้รับความรอด เขาได้รับชีวิตนิรันดร์ เขาได้รับพระพรนานับประการ  ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเขาเรียบร้อยแล้ว นี่ข่าวประเสริฐมีแค่นี้เอง แต่ถ้าใครมาเพิ่มเติมข่าวประเสริฐ ซึ่งมันไม่ตรงตามความเป็นจริง คือเพิ่มว่าเราจำเป็นจะต้องทำโน่นนี่นั่นเพิ่มเติม เพื่อทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้น  เพื่อทำให้พระเจ้ารักเรามากขึ้น หรือเพื่อทำให้เราบริสุทธิ์มากขึ้น  ทำให้เราเป็นคนดีมากขึ้น อันนั้นไม่ใช่แล้วล่ะ คนเหล่านั้นกำลังทำให้ผู้เชื่อไขว้เขว แล้วก็พยายามกลับไปที่เดิม

            การกลับไปที่เดิม คือเรากลายเป็นกลับไปที่เดิมตรงที่ว่าเราต้องทำ ถึงจะได้ แต่ความเป็นจริง คือเราได้แล้ว เราถึงทำ อันนี้ต่างกันมาก

            ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า เราจำเป็นจะต้องทำความดี เพื่อเราจะได้มาตรฐานตามที่พระเจ้ากำหนดไว้ และไปอยู่ที่สวรรค์ แต่ตอนนี้เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว สถานะเรา คือเราได้บังเกิดใหม่แล้ว ณ เวลานี้ เราอยู่ที่สวรรค์เรียบร้อยไปแล้ว จากนั้น เราค่อยดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงของการบังเกิดใหม่ของเรา ที่เราเป็นเหมือนพระเจ้าเลย ความเป็นจริงตรงนี้ คือความประพฤติออกไป ตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่นำเราอยู่ข้างใน มันต่างกันมาก ถ้าทำแบบนี้ คือเราทำแบบสบายๆ มันจะออกมา เป็นธรรมชาติของเรา ธรรมชาติอย่างที่เราคุยกันอยู่บ่อยๆ ธรรมชาติเป็นปลาก็ว่ายน้ำเป็น แค่พัฒนาการว่ายน้ำให้มันเชี่ยวชาญขึ้น เป็นคนก็เดินเป็น ถ้าถึงวัยที่สมควร เด็กทุกคนเดินเป็น นอกจากเด็กพิการเท่านั้น ที่เดินไม่ได้ ถ้าปกติ ถึงเวลา เด็กคนนั้นจะเดิน จะเดินได้เร็วหรือช้าก็แล้วแต่ แต่ยังไงวันหนึ่งเขาจะเดิน หรือมนุษย์ทุกคนพูดเป็น บางคนพูดช้ามาก อายุ 5 ขวบแล้วยังไม่พูดเลย พ่อแม่ตกใจ …

            “ลูกฉันจะเป็นใบ้ไหม?”

            แต่พอถึงวาระของเขา เขาพูดได้ เขาได้ยินสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่สนทนา ได้ ยินสิ่งที่ผู้คนรอบข้างสนทนา แล้วเขาก็ฝึกที่จะพูด อันนี้เป็นภาพปกติของธรรมชาติของสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ฉะนั้น เมื่อเราบังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า ก็เป็นธรรมชาติหนึ่ง คือธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อ เป็นธรรมชาติที่สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม ชอบธรรม เป็นเหมือนพระเจ้าเลย

            เราเกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม เกิดมาเป็นความดีงาม  เกิดมาเป็นความรัก คือเกิดมาธรรมชาติใหม่ของเราเป็นแบบนั้นแล้ว แค่เรารับรู้ความจริง แล้วก็อนุญาตให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเรา ทำการงานในชีวิตของเรา เพื่อให้ชีวิตที่เราเป็นนั้น ได้สำแดงออกไป ให้ผู้คนสามารถมองเห็นได้  บางคนอาจจะสำแดงได้เยอะได้น้อย ก็แล้วแต่ไม่เป็นไร เหมือนกับเราเป็นลูกของพระเจ้า เราจะสามารถสำแดงตัวตนแท้ๆ ของเราได้มากหรือน้อย ก็ไม่เป็นไร ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะการเป็นลูกของพระเจ้าได้เลย เรายังคงเป็นลูกของพระเจ้าอยู่ เรายังได้รับความรอดนิรันดร์อยู่ เราเป็นผู้ชอบธรรมอยู่ เพียงแต่ว่าการสำแดงมันช้าไปเท่านั้นเอง เมื่อช้าไป ก็ไม่ได้สามารถเป็นเครื่องมือให้กับพระเจ้าที่ใช้เราได้เต็มที่ แค่นั้นเอง …

        กาลาเทีย 1:9 “ดังที่เราได้บอกไว้แล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าขอกล่าวย้ำอีกครั้งว่าหากใครประกาศข่าวประเสริฐอื่นแก่ท่าน นอกเหนือจากที่ท่านได้รับไว้แล้ว ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่งชั่วนิรันดร์!”

            มา 2 ข้อเลยนะ แปลว่าเรื่องนี้สำคัญมาก ที่อาจารย์เปาโลเน้นหนักหนา ทำไมอาจารย์เปาโลถึงต้องเน้นถึงขนาดนั้น  เพราะว่าถ้าคนที่ประกาศข่าวประเสริฐไม่ได้เป็นความจริงตามที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกไว้ เป็นข่าวประเสริฐที่ผสมปนเป คนที่ได้ยินได้ฟัง เขาไม่สามารถที่จะรับข่าวดีที่แท้จริง คนที่ไม่เชื่อ เขาไม่สามารถที่จะบังเกิดใหม่ได้จริงๆ เลย หรือคนที่เชื่อแล้ว บังเกิดใหม่แล้วจริงๆ ได้รับข่าวดี จริงๆ แล้วได้รับข่าวดีที่ดีแล้ว  แล้วพอได้ยินอะไรที่ผสมมา ทำให้สามารถไขว้เขวแล้วก็ดำเนินชีวิตไม่ได้เป็นไปตามที่ตัวตนแท้ๆ ที่เขาเป็นอยู่ได้

            ฉะนั้น อันนี้อาจารย์เปาโลเน้นมาก แล้วก็ไม่ยอมเลยที่จะลดละ ต่อสู้เพื่อเรื่องนี้จริงๆ ที่เรารู้ว่าอาจารย์เปาโลต่อสู้เพื่อเรื่องนี้ เพราะว่าอาจารย์เปาโลเรียกว่าไม่ยอมอ่อนข้อกับอะไรก็ตามที่มันไม่ตรงตามความเป็นจริง อาจารย์เปาโลก็เลยถูกข่มเหงไง ถูกข่มเหงหนักมาก …

        กาลาเทีย 1:10 “นี่ข้าพเจ้ากำลังมุ่งให้มนุษย์  หรือพระเจ้ายอมรับกันแน่? หรือว่าข้าพเจ้ากำลังพยายามทำให้มนุษย์พอใจ? หากข้าพเจ้ากำลังพยายามทำให้มนุษย์พอใจ ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ผู้รับใช้ของพระคริสต์”

            การทำให้มนุษย์พอใจ อาจารย์เปาโลพูดถึง ณ เวลานั้น  ที่อยู่ในช่วงนั้น อาจารย์เปาโลประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือข่าวดีที่พระเจ้าเตรียมไว้ตั้งแต่เริ่มต้นว่าความรอด จะมาถึงคนยิวก่อน  จากนั้นจะมาถึงคนต่างชาติด้วย คนต่างชาติ ซึ่งสมัยก่อน ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นพวกเดียวกันกับคนยิว  ก็คืออยู่กันคนละระดับ  แต่เมื่อพระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แผนการของพระเจ้าเตรียมไว้แล้วสำหรับมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้ หมายความว่าทั้งคนยิวและคนต่างชาติมีสิทธิ์ที่จะเข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าเท่าเทียมกัน เมื่ออาจารย์เปาโลประกาศอย่างนี้ คนยิวไม่ยอม อย่างเด็ดขาดเลย  คนต่างชาติซึ่งไม่มีระดับ เขาจะมาอยู่ในสถานะอันเดียวกันกับเราได้อย่างไร?  เราเป็นประชากรของพระเจ้านะ และยิ่งอาจารย์เปาโลบอกว่าโดยผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเท่านั้น  คนต่างชาติจะเข้ามาอยู่ในสถานะเดียวกัน คือเป็นลูกของพระเจ้าร่วมกับคนยิว  สามารถเรียกพระเจ้าว่าพระบิดา เรียกพระเยซูคริสต์ เป็นพี่ชายคนโตได้ ยิ่งเป็นเดือดเป็นแค้นใหญ่เลย

            ฉะนั้น เหตุผลตรงนี้แหละ ทำให้อาจารย์เปาโลประกาศข่าวดีให้กับคนต่างชาติ เพราะถูกเรียกมา ไม่ประกาศไม่ได้ อาจารย์เปาโลจึงถูกไล่ล่าตลอดเวลา พวกคนยิว พวกธรรมาจารย์ พวกฟาริสี ก็เหมือนกับตอนที่พระเยซูประกาศนั่นแหละ พวกคนยิว พวกฟาริสีก็พยายาม วันดีคืนดี ก็จะเอาหินขว้างพระเยซูให้ตาย แต่พระเยซูก็หลบหลีกได้ทุกครั้ง จนถึงวันที่พระเจ้ากำหนด พระเยซูก็ไม่หลบ ก็ยอมให้จับโดยดี และก็เดินทางไปที่แดนประหาร

            ฉะนั้น ตรงนี้เป็นภาพที่ให้เห็น อาจารย์เปาโลกำลังบอกว่าถ้าฉันจะเอาใจมนุษย์ หรือทำให้มนุษย์พอใจ ณ เวลานั้น คือทำให้พวกธรรมาจารย์พอใจ  ทำให้ฟาริสีพอใจ ทำให้คนยิวในยุคนั้นพอใจ ฉันก็จะอะลุ่มอล่วยว่าไม่เป็นไรหรอก คนต่างชาติมาเชื่อพระเจ้า เชื่อไปด้วย ปฏิบัติตามกฎบัญญัติไปด้วยก็ได้ ไม่เป็นไร  แต่อาจารย์เปาโลบอกไม่ได้ มันคนละเรื่องเลย เอามาผสมกันไม่ได้ เรื่องของความเชื่อในความรอดในพระเยซูคริสต์ จะมาผสมกับการปฏิบัติด้วยกำลังของตัวเองไม่ได้

            อาจารย์เปาโลไม่ยอมเด็ดขาด ก็ยังยืนยันว่าไม่ได้ มันต้องเป็นแบบนี้ ก็คือความรอดผ่านทางความเชื่อเท่านั้น พอเป็นแบบนี้ปุ๊บ ก็ไม่ได้เอาใจพวกธรรมาจารย์แล้วใช่ไหม?  ไม่ได้เอาใจพวกฟาริสีแล้วใช่ไหม? พวกธรรมาจารย์ฟาริสี คนต่างชาติมาเชื่อแล้ว ไหนๆ เชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว งั้นจับมาเข้าสุหนัตแล้วกัน

            การเข้าสุหนัต เป็นพิธีกรรมหนึ่งในพระคัมภีร์เดิม ตั้งแต่สมัยอับราฮัม ที่พระเจ้าให้ทำพันธสัญญากับพระเจ้าครั้งแรก ให้อับราฮัมทำพิธีเข้าสุหนัต เพื่อเป็นพันธสัญญาระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า  แล้วอับราฮัมก็ทำพิธีนั้น โดยผู้ชายทั้งหมดในบ้านของอับราฮัม ไม่ว่าจะเป็นลูกหลานเหลนโหลน คนใช้ ข้าทาสบริวารทั้งหมด อับราฮัมก็จับมาทำพิธีเข้าสุหนัตเลย แล้วการเข้าพิธีทำแบบนี้ในสมัยพระคัมภีร์เดิม ก็คือเป็นที่ชอบในสายพระเนตรของพระเจ้า  เพราะว่าพระเจ้าสั่งอับราฮัมทำตรงนั้น มันเป็นความเชื่อ ในพระคัมภีร์เดิม

            แต่พอถึงยุคของพระคัมภีร์ใหม่ พระเจ้าบอกว่าพิธีนั้นไม่ต้องแล้ว  เราจำได้ใช่ไหมวันที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ที่พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว  ม่านในวิหารขาด  แปลว่าการถวายเครื่องบูชาตั้งแต่วินาทีนั้น ที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย ไม่ต้องมีการถวายเครื่องบูชาอีกแล้ว ม่านขาดแล้ว สถานอภิสุทธิสถานที่คนยิว พวกมหาปุโรหิตเข้าไปปีละครั้ง  ไม่มีอีกแล้ว เพราะว่าพันธสัญญาเดิมได้ถูกยกเลิก ไปเรียบร้อยแล้ว แล้วพระเจ้าก็ตั้งพันธสัญญาใหม่ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า  ที่พระเจ้าบอกว่ามีทางเดียวที่มนุษย์สามารถเดินทางไปถึงพระเจ้าพระบิดาได้  หรือเดินทางไปถึงสวรรค์ที่พัก ที่อาศัยของพระเจ้าได้ ก็คือมาทางพระเยซูคริสต์เท่านั้น

            พระเยซูเป็นคนบอกเองตั้งแต่สมัยที่พระองค์ยังเดินอยู่กับคนยิว ยังเดินอยู่กับสาวกของพระองค์ พระเยซูบอกว่าเราเป็นทางนั้น  คือทางที่มนุษย์จะเดินไปถึงพระเจ้าพระบิดาได้ เราเป็นความจริง ความจริง ก็คือมนุษย์ไม่สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ ด้วยการกระทำดีของตัวเอง  ทำไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์แน่นอน แล้วเป็นชีวิต มีแหล่งชีวิตเดียวเท่านั้น คือมีในพระเยซูคริสต์ ในผู้อื่นไม่มีชีวิต ฉะนั้น ใครก็ตามที่มาทางพระเยซูคริสต์ เขาจะได้ชีวิต แล้วเป็นชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์ เป็นชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้  สำหรับมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ใครก็ตามที่เดินมารับ เขาก็ได้

            ฉะนั้น ตรงนี้อาจารย์เปาโลยังคงยืนยันเหมือนเดิมว่าถ้าเราจะทำให้มนุษย์พอใจ  เราก็ไม่ต้องไปขัดใจกับมนุษย์ เราก็หยวนๆ อือออห่อหมกไป แต่อันนี้ไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่สำคัญมากๆ สำหรับผู้เชื่อ ถ้าอาจารย์เปาโลยอมให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ควบคุม ก็คืออำนาจในยุคนั้น เป็นอำนาจ เป็นอิทธิพลใหญ่ที่จะสามารถควบคุมผู้คนมากมาย แต่อาจารย์เปาโลไม่ยอมถูกควบคุมด้วยอำนาจเหล่านี้ อาจารย์เปาโลยังยืนยัน และเดินหน้าต่อไป ที่จะประกาศความจริงของพระเจ้า  ก็เลยเป็นเหตุผลที่ทำให้อาจารย์เปาโลต้องหนีหัวซุกหัวซุน ถูกไล่ล่าตลอดเวลา ถูกจับติดคุก

            อาจารย์เปาโลบอกว่าแม้ข้าพเจ้าถูกจับติดคุก ถูกล่ามโซ่ แต่ข่าวดีของพระเจ้า ข่าวประเสริฐของพระเจ้าไม่มีใครสามารถล่ามโซ่ไว้ ก็ยังถูกประกาศออกไป อยู่ในคุกก็ยังให้คนช่วยเขียนจดหมาย ที่จะหนุนจิตชูใจผู้เชื่อ ส่งออกไป แล้วก็ให้คนโน้นคนนี้อ่าน สมัยก่อน มีจดหมายฝากฉบับหนึ่งส่งไป แล้วเขาก็อ่านเวียนไปทั่ว เป็นคำหนุนจิตชูใจที่อาจารย์เปาโลส่งไป …

        กาลาเทีย 1:11-12 “11 พี่น้องทั้งหลาย  ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบว่าข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าประกาศนั้น ไม่ใช่เรื่องที่มนุษย์แต่งขึ้น 12 ข้าพเจ้าไม่ได้รับข่าวประเสริฐนี้จากมนุษย์คนใด      หรือมีคนมาสอน แต่รับการทรงสำแดงจากพระเยซูคริสต์”

            อาจารย์เปาโลยังคงยืนยันในกาลาเทีย บทที่ 1 เป็นการยืนยันว่าข่าวประเสริฐที่ฉันได้รับ ไม่ได้มาจากการได้ยินได้ฟัง หรือมาจากมนุษย์ที่มาสอน หรือไปเรียนกับเปโตร ไปเรียนกับพวกอัครทูต ไม่ใช่เลย  แต่ว่าพระเยซูคริสต์เองเป็นผู้มาสั่งสอนอาจารย์เปาโลด้วยตัวของพระองค์เอง อาจารย์เปาโลถึงสามารถเรียกตัวเองว่าเป็นอัครทูต แต่เป็นอัครทูตคนสุดท้ายที่พระเยซูคริสต์มาสำแดงให้เขาได้เห็นจริงๆ  หลังจากที่พระเยซูได้สิ้นพระชนม์และเป็นขึ้นมาจากความตาย

            ฉะนั้นการยืนยันตรงนี้ เพื่อที่จะให้ผู้คนในกาลาเทียได้รับรู้ว่าสิ่งที่อาจารย์เปาโลพูดมาจากพระเยซูคริสต์จริงๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับมนุษย์เลย เป็นการยืนยันตัวตนแท้ๆ ของอาจารย์เปาโลว่าเป็นผู้ที่พระเยซูคริสต์ส่งมาจริงๆ …

        กาลาเทีย 1:13-16 “13 ในเมื่อท่านก็ทราบว่าเมื่อก่อน  ขณะยังถือศาสนายิวข้าพเจ้าใช้ชีวิตอย่างไร ข้าพเจ้าได้ข่มเหงคริสตจักรของพระเจ้าอย่างรุนแรงและพยายามจะทำลายให้สิ้น 14 เมื่ออยู่ในศาสนายิว  ข้าพเจ้าก้าวหน้ากว่าพี่น้องยิวหลายคนในรุ่นเดียวกัน และหัวรุนแรงอย่างยิ่งในการยึดถือประเพณีตามบรรพบุรุษของข้าพเจ้า 15 แต่เมื่อพระเจ้าทรงเลือกข้าพเจ้าไว้ตั้งแต่กำเนิด และทรงเรียกข้าพเจ้าโดยพระคุณของพระองค์ 16 พระองค์พอพระทัยที่จะสำแดงพระบุตรของพระองค์ในข้าพเจ้า เพื่อให้ข้าพเจ้าประกาศพระบุตรนั้น ท่ามกลางชาวต่างชาติ ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ปรึกษามนุษย์คนใด”

            ทำไมอาจารย์เปาโลต้องไล่ยาวขนาดนั้น  เพราะว่ากำลังบอกให้คนเหล่านี้รับรู้ว่าฉันไม่ได้ถูกส่งมา โดยมนุษย์นะ พระเยซูคริสต์เป็นผู้ส่งฉันมาเอง  แล้วก็ไล่ถึงอดีตของท่าน อาจารย์เปาโลอยู่ในกลุ่มพวกฟาริสี ก็คือเป็นคนที่รู้กฎบัญญัติของพระเจ้าเยอะมาก คือรู้แบบทะลุปรุโปร่ง ไม่ใช่รู้อย่างเดียว อาจารย์เปาโลยังเป็นผู้ประพฤติตามด้วย ก็คือทำตามระเบียบเป๊ะๆ เลยตามนั้น  ที่อาจารย์เปาโลต้องเล่าให้ฟังว่าที่แต่ก่อนนี้ ฉันเป็นอย่างนี้จริงๆ นะ คือเป็นคนหัวรุนแรงมาก  เป็นคนรักพระเจ้า รักสุดๆ เลย แล้วพอพระเยซูคริสต์มาประกาศว่าพระองค์เป็นผู้นั้น เป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมา เป็นพระมาซีฮาห์ อาจารย์เปาโลก็ไม่เชื่อ ณ เวลานั้น ท่านต่อต้าน เราจะเห็นภาพหนึ่ง ตอนที่สเทเฟน ซึ่งเป็นมัคนายก ที่ถูกเลือกมาประกาศข่าวดีของพระเจ้า แล้วถูกคนยิวเอาหินขว้างจนตาย ต่อหน้าต่อตา แต่ สเทเฟนก็ให้เขาขว้างจนตาย แล้วสิ่งที่สเทเฟนทำ ก็คือมองไปที่ฟ้าสวรรค์ รู้ว่าไม่เป็นไร ถ้าตาย เขาก็ได้อยู่กับพระเจ้า แล้วเขายังได้อธิษฐานเหมือนกับที่พระเยซูคริสต์อธิษฐาน คือ …

            “พระองค์เจ้าข้า ยกโทษให้กับคนเหล่านี้เถิด  เพราะเขาไม่รู้ว่าเขากำลังทำอะไร ที่เขาทำ เขาคิดว่าเขากำลังปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า กำลังเป็นผู้ที่ต่อสู้ เพื่อความจริงของพระเจ้า ที่ใครก็ตามที่จะมาลบหลู่พระเจ้าไม่ได้ ใครก็ตามที่มาอ้างว่าเป็นลูกของพระเจ้าก็ไม่ได้” อะไรประมาณนั้น

            แล้ว ณ เวลานั้น สเทเฟนถูกหินขว้างตาย เปาโลก็ยืนอยู่ที่นั่นด้วย  ก็คือเห็นดี เห็นงาม เห็นชอบว่าพวกนี้สมควรตาย พวกที่ไปทางนั้น เขาเรียกว่าทางนั้น ทางพระเยซูคริสต์ สมควรตายอย่างยิ่ง เพราะว่าลบหลู่และหมิ่นประมาทพระเจ้า พระบิดา นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลเป็น

            เมื่อเป็นอย่างนั้น ก็เป็นภาพที่อาจารย์เปาโลอธิบายให้ฟังว่า … “เห็นไหม ฉันเคร่งศาสนามาก พอตอนที่คนมาเชื่อวางใจในพระเจ้า ฉันก็ยังเป็นคนที่ไปไล่ล่า”

            คนอื่นไม่ไล่ล่านะ แต่อาจารย์เปาโลไปไล่ล่าคนที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เอามาติดคุกบ้าง เอามาทรมานบ้าง อะไรบ้าง  ก็คือได้ยินข่าวว่าที่ไหนมีคนจับกลุ่มกัน สุมศีรษะกัน พูดถึงเรื่องของพระเยซูคริสต์ ทันทีเลย อาจารย์เปาโลต้องไปจัดการให้สิ้นซาก  เหมือนลักษณะว่าอย่างนี้เรารักพระเจ้ามาก ปล่อยให้คนเหล่านี้ทำแบบนี้ไม่ได้ เราต้องไปจัดการ นี่คือภาพ

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลพยายามเล่าให้ฟังถึงเรื่องเหล่านี้ว่ามันเป็นเรื่องจริง ตั้งแต่สมัยนั้น พูดถึงบทบัญญัติ การดำเนินชีวิตแบบตามกฎเป๊ะๆ ฉันสุดยอดแล้ว ไม่มีใครเหนือกว่าแล้ว แต่ว่าโดยพระคุณของพระเจ้า เมื่อวันที่อาจารย์เปาโลกำลังจะไปไล่ล่าคริสเตียน พระเยซูมาพบอาจารย์เปาโลโดยตรงเลย พอพบปุ๊บ อาจารย์เปาโลกลับใจใหม่ คำว่า “กลับใจใหม่” คืออาจารย์เปาโลรู้เรื่องของพระเจ้าดีอยู่แล้ว  ไม่ต้องมาอธิบายเหมือนพวกเรา พวกเราเป็นคนต่างชาติ เราไม่รู้หรอกว่าพระเยซูเป็นใคร?  เราต้องมาเรียนรู้ อาจารย์เปาโลไม่ต้องเรียนรู้ เพราะว่าเขารู้อยู่แล้ว

            พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ว่าวันหนึ่งพระองค์จะส่งพระมาซีฮาห์มาให้ เมื่อเขาได้พบกับพระเยซูหน้าต่อหน้า ตอนที่จะเดินทางไปจับคริสเตียน เขาได้กลับใจใหม่ เขาได้บังเกิดใหม่ เขาได้รับการบัพติศมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ แล้วเมื่อเขาได้บังเกิดใหม่ปุ๊บ เขาก็เริ่มปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าเลย คือไปประกาศ แทนที่เมื่อก่อน ใครพูดถึงทางนั้น อาจารย์เปาโลจะไปไล่ฆ่า แต่วันนี้กลับกันอาจารย์เปาโลกำลังไปประกาศ เรื่องของทางนั้น คือประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ท่ามกลางคนต่างชาติด้วย ซึ่งพระเจ้า พระเยซูคริสต์บอกว่าอาจารย์เปาโลเป็นภาชนะ ที่พระเจ้าเตรียมไว้แล้ว ตั้งแต่เริ่มต้น ก็คือเตรียมไว้ เพื่อเขาจะได้ไปประกาศกับคนต่างชาติ ซึ่งการเตรียมตรงนี้ เรียกว่าสาหัสมาก เหมือนไปท้าทายอำนาจที่สูงสุดของพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์เลยล่ะ  เพราะว่าคนยิวถือว่าคนต่างชาติเป็นเหมือนหมู เหมือนหมา ไม่สามารถจะมาเทียบระดับชั้นเดียวกับเราได้เลย

            แต่อาจารย์เปาโลกลับไปประกาศเรื่องความจริงว่าพระเจ้าเลือกคนต่างชาติด้วย แล้วเมื่อผ่านทางความเชื่อ หมายความว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป หลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ กฎเดิมถูกยกเลิกไปแล้ว  คนยิวทุกคนจำเป็นจะต้องมาบังเกิดใหม่ คือย้ายจากความเชื่อเดิม คือพึ่งพาในการทำตามกฎบัญญัติทุกประการ เพื่อที่จะได้เป็นลูกของพระเจ้า ตอนนั้น ไม่ใช่ลูกพระเจ้าด้วยนะ เป็นประชากรของพระเจ้า เพื่อที่จะได้มีโอกาสขึ้นสวรรค์ แต่พระเจ้าบอกว่าไม่มีทาง ทำไม่ได้ พระองค์เลยเตรียมแผน 2 ที่พระเจ้าเตรียมไว้ แผนแรก คือเตรียมคนยิว และแผนการที่ให้คนยิว เอาแพะเอาแกะมาไถ่บาป นั่นคือแผนแรก ก็เอาสำรองไป เป็นเงา แต่วันหนึ่ง เมื่อพระเยซูคริสต์มา ก็คือเป็นแผน 2 ที่พระเจ้าเตรียมไว้แล้ว ต่อแต่นี้ไป พระเยซูคริสต์เป็นแกะปัสกา คือถวายตัวพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา เมื่อพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว แปลว่าการถวายเครื่องบูชาในพระวิหารมันจบสิ้นแล้ว ไม่ต้องทำแล้ว

            ฉะนั้น คนยิวทุกคนจำเป็นจะต้องกลับใจใหม่ จำเป็นจะต้องย้ายจากการพึ่งพาการทำความดีตามบทบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ มาพึ่งพาในพระเยซูคริสต์ มาพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์ ในความดีที่พระเยซูคริสต์ทำให้ ทุกคนไม่มีข้อยกเว้น แล้วถ้าคนยิวยังยึดถือในเรื่องเดิมอยู่ ในการประพฤติตามกฎเก่าอยู่ เมื่อถึงวันหนึ่งข้างหน้า เมื่อคนยิวละร่างกายนี้ เรียกว่าถึงวันตาย เรียกว่าวิญญาณออกจากร่าง ถ้าเขายังไม่ย้ายจากที่เดิมมาอยู่ที่ใหม่ เขาก็ยังคงจะอยู่ที่เดิม ที่ๆ อยู่ในคำสาปแช่ง มนุษย์ทุกคนอยู่ในคำสาปแช่งหมดเลยนะ เกิดมา ก็ถูกสาปแช่งแล้ว  เกิดมาก็เดินทางไปสู่ความตายแล้ว ฉะนั้น ถ้าไม่คิดจะย้าย ก็ยังอยู่ที่เดิม       แต่จะมีคนยิวกลุ่มหนึ่งที่ย้ายมา

            แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้าทรงเมตตาให้ข่าวดีนี้ มาถึงพวกเรา ซึ่งเป็นคนต่างชาติ เป็นคนที่เรียกว่าไม่ได้อยู่ในกฎเกณฑ์ที่สมควรที่จะเป็นลูกของพระเจ้าเลย แต่พระเจ้าเมตตา พระองค์ให้เราได้มีโอกาสได้กลับใจใหม่  ได้เข้ามาเป็นหนึ่งเดียว ในอาณาจักรของพระเจ้า เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ แล้วก็บอกเราว่าผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ อย่างเดียวเท่านั้น เมื่อเชื่อปุ๊บ พระเจ้าจะทำขบวนการของพระองค์ในโลกวิญญาณ แล้วเราก็จะเป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ ได้รับทุกสิ่งที่พระเจ้าได้บอกไว้

            หลังจากนั้น เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเราแล้ว ณ เวลานี้ พวกเราทุกคนมีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรานะ เราไม่สามารถสัมผัส จับต้องด้วยมือของเราได้ ไม่สามารถมารู้สึกหวือหวา …

            “เอ๊ะ! จริงหรือเปล่า พระเจ้าอยู่ในเรา?”

            เราไม่สามารถใช้ลักษณะแบบนี้ได้ แต่เราเชื่อในความจริงที่พระเจ้าบอกเราว่าทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระองค์ พระเจ้าเข้ามาอยู่ในเราแล้วจริงๆ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่ในเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะคอยโน้มนำเรา ให้เราประพฤติปฏิบัติตามธรรมชาติใหม่ที่เราเป็น

            การโน้มนำ คำนี้แปลว่าโน้มน้าวจิตใจ ให้เรายอมจำนนต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วประพฤติตามธรรมชาติใหม่ ที่เราเป็นอยู่แล้ว คือความดีงามออกไป คือเอาแสงสว่างที่มันมีอยู่แล้ว ในตัวเรา ออกไปกับการบังคับ มันต่างกัน  เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า พระเจ้าไม่บังคับเรา แต่พระเจ้าจะหนุนใจเรา  พระเจ้าไม่เคยบังคับเราเลยนะ  แล้วพี่น้องคิดดู แม้แต่พระเจ้าไม่บังคับเรา แล้วเราจะมีสิทธิ์อะไร ไปบังคับคนอื่น มันไม่ได้ พระเจ้าให้เสรีภาพกับพวกเราทุกๆ เราจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะยอมให้พระเจ้าทำงานมากน้อยแค่ไหน? อย่างไร? กี่เปอร์เซ็นต์? ถ้าเรายอมให้พระเจ้าทำงาน 10% เราก็จะได้สำแดงตัวตนแท้ๆ ของเราออกไปให้คนอื่นได้เห็น 10% ถ้าเรายอมให้พระเจ้า 20, 30, 40, 50, 60% เราก็จะสามารถสำแดงตัวตนแท้ๆ ออกไป 60%  แต่เราไม่สามารถทำได้ 100% แน่นอน ในขณะที่เรายังอยู่ในร่างกายนี้อยู่ แต่ว่าพี่น้องจำเป็นต้องรับรู้ความจริงว่าไม่ว่าเราจะทำได้กี่เปอร์เซ็นต็ก็ตาม ไม่สามารถเปลี่ยนสถานะในวิญญาณของเราให้กลายเป็นอื่นได้  เราก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนเดิมเลย

            เมื่อวิญญาณออกจากร่าง เราก็ได้อยู่ที่เดิม คือที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ ซึ่ง ณ เวลานี้ ในโลกวิญญาณ เรานั่งอยู่แล้ว พระเจ้าบอกว่าเรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน พอเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูอยู่ไหน? เราอยู่ด้วย นี่คือภาพ

            ฉะนั้น ถ้าเราเห็นภาพตรงนี้ชัดเจนปุ๊บ เราจะสามารถขอบคุณพระเจ้าในสิ่งสารพัด ที่พระองค์ได้ทำให้กับพวกเราสำเร็จแล้ว และชื่นชมยินดีที่จะเชยชมกับสิ่งที่พระเจ้าได้ทำให้กับพวกเรา สำเร็จแล้ว มีความสุขในแต่ละวัน ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ความสุขตรงนี้หมายถึงความสุขข้างในวิญญาณ ส่วนร่างกายเรา เราอาจจะสุขบ้าง? ทุกข์บ้าง? อะไรก็แล้วแต่ ไม่เป็นไร เพราะว่าในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราเจอแน่ๆ ทุกข์บ้าง? สุขบ้าง? อะไรบ้าง? ยิ่ง ณ เวลานี้ อากาศร้อนมาก ออกไปข้างนอก เราก็ทุกข์นะ เพราะว่าเดินไปเดินมาเหงื่อซกเลย อะไรแบบนี้ นั่นคือทุกข์กาย แต่เราจะไม่ทุกข์ใจ

            ข้างในวิญญาณเราจะมีความสุข เพราะว่าเราได้รับรู้ความจริงว่า ณ เวลานี้ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว และอยู่บนโลกนี้  ก็แค่แป๊บเดียวเอง วันหนึ่ง เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราก็ไปอยู่ที่เดิม ไม่ต้องทรมานด้วย ถึงบอกว่าผู้เชื่อ พอเรามาเป็นคริสเตียน เราจะพูดถึงเรื่องความตาย ไม่ได้มีผลอะไรเลย เพราะว่าใครตายก่อน สบายก่อน เอาอย่างนี้ดีกว่า ใครตายก่อนสบายก่อน ถ้าเมื่อก่อนนี้เราไม่เชื่อพระเจ้า ใครตายก่อน เราก็ทุกข์นะ อายุยังน้อยอยู่เลย ทำไมถึงตายล่ะ อะไรอย่างนี้ แต่พอเรารู้ความจริง คือใครตายก่อน สบายก่อน  เพราะว่าพระเจ้ากำหนดเขาไว้แค่นั้นเอง ใครก็ตามที่เสร็จงาน  พระเจ้าก็พากลับบ้าน เสร็จงาน พระเจ้าก็พากลับบ้าน  งานตรงนี้ ไม่ใช่งานที่เราอยากทำ แต่เป็นงานที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเราแต่ละคน ที่มันไม่เหมือนกัน ก็คือเมื่องานของใครสำเร็จ พระเจ้าบอกโอเคแล้ว  เสร็จงานแล้ว ไปพักผ่อน กลับบ้าน  เราก็หลับไป อยากเป็นอย่างนั้นจริงๆ หลับไป ไม่ต้องป่วยตาย หรืออะไร? เราเลือกไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร ต่อให้เราป่วยตาย เราก็ยังได้พักผ่อนก่อนคนอื่น ก็คือวิญญาณเราได้ไปอยู่กับพระเจ้าจริงๆ เลย เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า  นี่คือภาพที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้

            ฉะนั้น พอเรารับรู้ความจริงตรงนี้ เราจะอยู่บนโลกนี้อย่างมีความสุข เราจะไม่รู้สึกว่าทุกวันจะต้องมานั่งทำให้ตัวเองต้องทุกข์ใจ ก็คือทำให้ตัวเองมีความสุขมากที่สุด เท่าที่จะมากได้ นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าให้เรามี พระเจ้าต้องการให้ลูกของพระองค์ชื่นชมยินดีกับสิ่งที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเรา ในแต่ละวัน ในแต่ละวินาที ที่พระองค์ได้ประทานให้กับเรา  ชื่นชมยินดีว่าเราไปไหน พระเจ้าอยู่ด้วย  พระเจ้าอยู่ในนี้ พระเจ้าไม่ได้ไปไหนเลย ไปด้วยกัน เกี่ยวก้อยในวิญญาณด้วยกัน กอดคอไปด้วยกัน นี่คือภาพที่เราจำเป็นจะต้องเห็น เมื่อเราเห็นปุ๊บ  เราจะมีความสุขในทุกๆ วัน …

        กาลาเทีย 1:17-20 “17 ทั้งไม่ได้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม  เพื่อพบบรรดาคนที่เป็นอัครทูตก่อนข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าตรงไปยังประเทศอาระเบียทันที และภายหลังได้กลับมายังเมืองดามัสกัส 18 สามปีต่อมาข้าพเจ้าขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็ม   เพื่อทำความรู้จักกับเปโตร และพักอยู่กับเขาสิบห้าวัน 19 ข้าพเจ้าไม่ได้พบอัครทูตคนอื่นๆ    เลย    นอกจากยากอบน้องขององค์พระผู้เป็นเจ้า 20 ข้าพเจ้าขอยืนยันต่อหน้าพระเจ้าว่าที่เขียนมานี้ไม่ได้โกหก”

             ที่ยังยืนยันเหมือนเดิมว่าอาจารย์เปาโลพอได้รับการทรงเรียกปุ๊บ ไม่ได้ไปเจอพวกอัครทูตนะ ก็ไปประกาศข่าวดีของพระเจ้าเลย กับคนต่างชาติ  เลยมาหลายปี ก็กลับมาที่กรุงเยรูซาเล็ม ไปพบกับเปโตร ไปพบกับยากอบ เพื่อยืนยันว่าพระเจ้าเป็นผู้จัดเตรียม เป็นผู้ส่งอาจารย์เปาโลไปเอง ฉะนั้น ข่าวประเสริฐที่อาจารย์เปาโลได้รับ ก็ไม่ได้รับจากเปโตร หรือไม่ได้รับจากยากอบเลย แค่มาทักทายกัน เหมือนกับต่างคนต่างรับใช้  เปโตรถูกเรียกให้ไปประกาศกับคนยิว อาจารย์เปาโลถูกเรียกให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ แล้วนานๆ ก็มาเจอกันที มาถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ มาเป็นพยานเล่าถึงสิ่งที่พระเจ้าได้นำไปทำ แล้วก็ชื่นชมยินดี เป็นสิ่งที่ทุกคนได้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า แล้วไม่มีใครดีกว่าใคร? ไม่มีใครเก่งกว่าใคร? คนที่ทำงาน คือพระเจ้าเป็นผู้ประกอบกิจอยู่ในเรา

            ฉะนั้น ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะสามารถอวดอ้างได้ว่าเราทำงานเยอะกว่าคนอื่น ถ้าเราทำงานเยอะกว่าคนอื่น แปลว่าพระเจ้าให้ของประทานเราเยอะกว่าคนอื่น ให้กำลังเราเยอะกว่าคนอื่น แล้วคนที่ทำ ก็คือพระเจ้าที่อยู่ในเรานั่นแหละ เหมือนเดิม นี่คือสิ่งที่เป็นความเป็นจริง ฉะนั้น พี่น้องจำเป็นจะต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ เพื่อว่าเราจะได้ไม่ถูกหลอกให้คิดว่าเราดีกว่าคนอื่น หรือคนอื่นด้อยกว่าเรา เพราะพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าที่อยู่ในพวกเราทุกๆ คน คือพระเยซูคริสต์ ไม่มีใครด้อยกว่าใคร เพราะว่ามีพระเยซูคริสต์อยู่ในตัวทุกคนเลย พระเจ้าอวยพรค่ะ

*******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            โลกบอกว่า “ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตา จับต้องด้วยมืออย่าเชื่อเด็ดขาด”

                        แต่ …

            พระเจ้าบอกว่า “สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่ใจมนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระองค์ได้เตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์”

            ท่านเชื่อใครครับ?

            1 โครินธ์ 2:9 … “ดังที่มีเขียนไว้ว่า “สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่ใจมนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับคนทั้งหลายที่รักพระองค์”

            ฮีบรู 11:3, 6 … “3 โดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่าจักรวาลมีขึ้น โดยพระบัญชาของพระเจ้า ดังนั้น สิ่งที่มองเห็นอยู่ จึงไม่ได้เกิดจากสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา

            6 ถ้าไม่มีความเชื่อ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย เพราะผู้ที่จะมาหาพระเจ้า ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่ และประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้น ที่แสวงหาพระองค์อย่างจริงจัง”

            เอเฟซัส 2:8-9 … “8 เพราะโดยพระคุณความเมตตาและความโปรดปราน ของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอดพ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้ ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะไม่มีใครโอ้อวดและแอบอ้างความดีของตัวเอง ในความรอดของตนได้”

            พระเจ้าอวยพรครับ