วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1490

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  6  ตุลาคม  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 9 “คริสเตียนที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ) เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 9 ชื่อเรื่องว่า “คริสเตียนที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ) เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ”

            “ฉันได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ” ต้องว่าจริงๆ เพราะว่ามันมองไม่เห็น  เราต้องบอกว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ ไม่ต้องรอให้ตายแล้วค่อยเป็น ตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในสวรรค์แล้ว เราได้เรียนรู้มา

            สรุป เราได้เรียนรู้อะไรมาบ้างแล้วในหนังสือ 1 ยอห์น 8 ตอนแล้ว เราได้เรียนรู้ว่าเริ่มต้น ยอห์นได้เป็นพยานเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์  เพื่อเป็นพยานให้กับคนที่ไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระเมซิยาห์ ที่อยู่ท่ามกลางคริสตจักร ก็คือผู้เชื่อทั้งหลาย  ท่ามกลางคริสเตียน  นึกว่าตัวเองเป็นคริสเตียน   อ้างว่าตัวเองเป็นคริสเตียนด้วย   คือพวกนอสติก พวกเชื่ออะไรแปลกๆ ข่าวดี แต่ไม่เหมือนกับข่าวดีจริงๆ  แต่เป็นเรื่องของพระเจ้า ซึ่งอาจารย์ยอห์น ก็เลยเขียนมาแย้งให้เขาได้รู้ความจริง และเป็นพยานด้วยว่าสิ่งที่คุณเข้าใจผิดจริงๆ มันคืออะไร?  เพราะว่าอาจารย์ยอห์นเดินกับพระเยซูมาตั้งแต่บนโลกใบนี้ ตอนที่พระองค์ยังไม่ถูกตรึงบนไม้กางเขน จนกระทั่งถูกตรึง และเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว อาจารย์ยอห์นก็ยังเดินอยู่กับพระองค์อยู่ตอนนั้น ถึง 40 วัน จึงเป็นพยานว่าพระเยซูเป็นพระเมซิยาห์จริงๆ

            และขณะเดียวกันก็ชี้ให้คริสเตียน ที่เป็นคริสเตียนแท้ๆ ในขณะนั้น  ได้รู้ถึงสถานะของตนเอง ในโลกวิญญาณว่าท่านเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ท่านเชื่อในพระเมซิยาห์ พระเยซูคริสต์ ตอนนี้ท่านบังเกิดใหม่แล้ว ท่านเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ในขณะเดียวกัน คือชี้ให้เห็นถึงทั้ง 2 ฝ่าย ในโลกฝ่ายวิญญาณว่าคนที่ไม่เชื่อ ที่อ้างว่าเป็นคริสเตียน ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนที่แท้จริง เขาเป็นอย่างไรในโลกวิญญาณ และคนที่เชื่อพระเจ้าจริงๆ เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเมซิยาห์จริงๆ นั้น เป็นลักษณะอย่างไรในโลกวิญญาณ

            ยอห์นไม่ได้มาเขียนหนังสือ 1 ยอห์น เพื่อที่จะมาสอนให้คริสเตียน หรือคนที่ไม่ใช่คริสเตียนประพฤติ หรือกระทำสิ่งที่ดีๆ เพื่อที่จะได้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า  ไม่ได้มาสอนให้กระทำ  ไม่ได้มาสอนให้ทำดี พูดง่ายๆ  แต่มาประกาศข่าวดีว่าพระเยซูคริสต์ทำอะไรบ้าง แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับผู้ที่เชื่อในพระองค์ว่าพระองค์เป็นพระเมซิยาห์ ซึ่งเราเรียกกันว่าข่าวดี ข่าวดี คือท่านไม่ต้องทำอะไรเลย  พระเยซูคริสต์กระทำให้สำเร็จ ทั้งหมดเรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ  มันบังเกิดขึ้น เพียงแต่ท่านเดินเข้าไปรับสิทธิของท่านเท่านั้น นี่คือหัวใจของการเรียนรู้ 1 ยอห์น และหนังสือพระคัมภีร์ใหม่ทั้งเล่ม และทุกเล่ม  เป็นอย่างนี้

            ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คืออะไร? สรุป ก็คือพระเยซูคริสต์เป็นพระเมซิยาห์จริงๆ  พระเมสิยาห์ คือพระคริสต์ คือพระผู้ช่วยให้รอด คือพระเจ้าที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์  มาช่วยเหลือมนุษย์ที่ตกลงไปในความบาป  ที่อยู่ในความบาป ที่เป็นคนบาป  ไม่มีคนไหนเลยที่ไม่ได้เป็นคนบาป ทุกคนเป็นคนบาปหมด  พระเจ้าสงสารและเห็นใจ และรักมนุษย์ยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ที่ชื่อพระเยซูคริสต์ สัญญาไว้ตั้งแต่ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิด ตั้งหลายพันปีแล้ว ให้ชื่อว่าพระเมสิยาห์  ให้รอคอยพระเมสิยาห์  พระเมสิยาห์ คือพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่เป็นมนุษย์ เพื่อว่าจะเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งปวง เพื่อจะได้เป็นแพะรับบาปให้มนุษย์ทั้งปวง  เพราะพระองค์เป็นมนุษย์ จึงสามารถไถ่มนุษย์ได้  ด้วยพระโลหิตของพระองค์ที่บริสุทธิ์ เนื่องจากพระองค์เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่มีเชื้อบาปในพระองค์เลย  เป็นมนุษย์ผู้เดียวที่ไม่มีบาปเลย พระองค์จึงสามารถเป็นตัวแทนของมนุษย์ เป็นแพะผู้รับบาปให้กับมนุษย์ ที่เป็นคนบาปอยู่ ที่ช่วยตัวเองไม่ได้ นี่คือหัวใจของข่าวดี มีแค่นี้

            แล้วพวกนอสติก พวกนอกรีตที่มีความเชื่อแบบแปลกๆ ก่อนหน้านั้น  หรือขณะนั้น  ที่เป็นความเชื่อในข่าวดี ข่าวดีของเขาแย้งกับหัวใจของข่าวประเสริฐเมื่อตะกี้นี้ ที่ผมอธิบายสรุปรวมไว้ว่าเขาไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า และไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นมนุษย์จริงๆ  100% พระคัมภีร์บอกตัวเองเป็นคนบาป ไม่เชื่อว่าตัวเองเป็นคนบาป พระคัมภีร์บอกทุกคนทำบาป เพราะข่าวดีของเขา เป็นข่าวดีปลอม เขาเชื่อแบบผิดๆ เพราะพวกนอสติกเขาเชื่อว่าทำอะไรก็เป็นบาปทั้งนั้น  มนุษย์ไม่มีทางทำบาปเลย แล้วพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้หรอก  เพราะสกปรก สิ่งที่มนุษย์ทำไป พระเจ้าไม่ได้คิดเป็นบาปเลย  แต่จริงๆ คือมันเป็นบาป นี่คือข้อแย้งที่ยอห์นได้มาประกาศให้กับพวกเขาได้รู้ ได้เข้าใจถึงความจริงของข่าวประเสริฐ  แล้วก็บอกว่าถ้าพวกท่านที่ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสิยาห์  เพียงแค่เปิดใจนะ ยอมสารภาพ ยอมจำนนว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจริงๆ มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ  และมาช่วยฉันที่เป็นคนบาปจริงๆ  และฉันขอสารภาพว่าฉันเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือ ขอพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ที่พระเจ้าทรงประทานให้นั้น  มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ประจำตัวของฉัน  แค่นั้นเอง ท่านก็ได้รับอภัยโทษความบาปผิดทั้งสิ้น และได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าทันที  ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ท่านก็ได้มาเป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อมพ้นจากบาปทั้งปวง เกิดขึ้นทันทีเลยเมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  และต้อนรับข่าวประเสริฐ ซึ่งพระองค์กระทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขนนั้น แค่เปิดใจเท่านั้น

            นี่คือสรุปรวม  เพื่อว่าในขณะที่ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ท่านก็ได้เป็นลูกพระเจ้าเลย  เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ไม่มีบาปอีกเลย ทั้งวิญญาณและจิตใจเป็นเหมือนพระคริสต์เลย นี่ชี้ให้คนที่เป็นคริสเตียนแล้วได้รู้ว่าท่านเป็นขณะนี้เลย  อย่าให้ใครหลอกท่านว่าท่านยังไม่เป็น ท่านต้องกระทำอะไรบ้าง เพื่อให้ท่านสนิทกับพระเยซูคริสต์มากๆ เพื่อที่พระเจ้าจะได้รักท่านมากๆ  ท่านจะได้ไปสวรรค์เมื่อตายไปแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้น อย่าถูกหลอก ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านบังเกิดใหม่ทันที  ณ ขณะนี้ เดี๋ยวนี้ ณ บัดนาว  ท่านได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้วทันที  และอธิบายให้ฟังว่าโลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้น ท่านสะอาดบริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์เลยทันที และพระเจ้า 3 พระภาค ก็สามารถเข้ามาสถิตอยู่ภายในท่านได้  ท่านและพระเจ้า และพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคได้เป็นหนึ่งเดียวกับท่าน ชีวิตท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกัน แค่นี้เอง แล้วบอกว่าการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ก็เพียงแค่รอคอยเท่านั้นเอง รอคอยวันที่จะพบกับพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า  คือรอคอยวันที่จะจากโลกนี้ไป เพื่อเปลี่ยนร่างกายใหม่ เพื่อเป็นร่างกายที่เป็น เหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายสวรรค์ เพราะขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ท่านที่เชื่อ เป็นคริสเตียนจริงๆ แล้วในโลกวิญญาณนั้น วิญญาณท่าน ใจท่านใหม่เอี่ยม  พระเจ้าทรงประทานให้ตั้งแต่วันที่ท่านรับเชื่อ เป็นวิญญาณและใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว บริสุทธิ์แล้ว ร่างกายท่านถูกชำระแล้วก็จริง แต่เป็นร่างกายเดิม  มันต้องตาย มันต้องสูญสิ้นไป เพื่อได้รับร่างกายใหม่ เพื่อว่าวิญญาณ และใจใหม่ที่บริสุทธิ์  สะอาดนั้น จะได้สวมกับร่างกายที่เหมาะสมกับเขา  ก็คือร่างกายนิรันดร์ ร่างกายแบบสวรรค์ เหมือนร่างกายของพระเยซูคริสต์ที่เป็นขึ้น จากความตาย ถ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์กระทำการงานเหล่านี้ให้กับท่าน ท่านดำเนินชีวิตบนโลกนี้  ท่านก็รอคอยตรงนี้เอง นี่คือบทสรุปรวมของข่าวประเสริฐเหล่านี้ และข้อมูลที่อาจารย์ยอห์นได้เขียนข้อพระคัมภีร์นี้ โดยสรุปให้ฟังเท่านั้นเอง แล้วบางคนก็บอกว่า …

            “อ้าว! ถ้าเป็นอย่างนั้น เราบริสุทธิ์สะอาด แล้วทำไมเรายังทำบาปอยู่”

            อาจารย์ยอห์นบอกว่า … “ไม่มีทำบาปแล้ว ไม่ต้องกลัว ท่านเป็นลูกของพระเจ้าที่สะอาด หมดจด ทั้งวิญญาณและจิตใจแล้ว ร่างกายได้ถูกชำระแล้ว พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่านแล้ว ท่านไม่ต้องกลัว ถ้าท่านผิดบาปไป ก็ได้รับการอภัยเรียบร้อยแล้ว โดยโลหิตพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และพระองค์ทรงอธิษฐานแก้ต่างให้ท่านอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถาน ในขณะนี้ว่าท่านบริสุทธิ์”

            “อ้าว! แล้วทำไมเรายังทำบาป”

            ท่านทำบาป เพราะว่าถูกล่อลวง โดยภายนอก ก็คือคนรอบตัวท่าน ระบบของโลกนี้ ซึ่งปกคลุมไปด้วยอิทธิพลของความบาป ความตาย ระบบของโลกใบนี้ คือกฎของความบาปและความตายคงอยู่ มันมีอิทธิพล มากระตุ้น มาล่อลวงให้ท่านคิดตามมัน แล้วก็เชื่อตามมัน ที่ก่อนนี้ ก่อนเชื่อพระเจ้า แล้วก็หลงพลาดไปทำ ตามความเคยชินเดิม  เรียกว่าทำตามมัน ทำบาป

            เพราะฉะนั้น ท่านเป็นคริสเตียนแล้ว ท่านสะอาดบริสุทธิ์  หมดจดแล้ว ทั้งตัวท่าน  แต่ท่านยังทำบาปจริงๆ  สรุปแล้ว คริสเตียนทำบาปไหม?  ทำ เราก็ยังทำบาปอยู่ แต่พวกนอสติกบอกว่าไม่แล้ว เราทำอะไร ก็ไม่บาปทั้งนั้น  ใครบอกล่ะ เป็นคริสเตียนก็ยังทำบาปอยู่ แต่เราทำบาปไป เพราะเราพลั้งพลาดไป เผลอไป เชื่อการหลอกลวงของอิทธิพลของโลกใบนี้ ซึ่งเรียกว่ากิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังต่างหาก ไม่ใช่ตัวเราทำ  ไม่ใช่ความคิดของเรา ความคิดของเราสะอาด บริสุทธิ์ เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ในขณะนี้  แต่ความคิดสกปรก ความคิดที่จะไปทำบาปนั้น มันความคิดจากข้างนอกเข้ามา มันไม่ใช่ความคิดของฉัน  ต้องยืนยันตามนี้ ต้องมั่นคงตามนี้

            อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็น จึงบอกว่าคริสเตียนจะไม่ทำบาปเลย  เพราะว่ามีเชื้อของพระเจ้า  เกิดจากหน่อเชื้อของพระเจ้า เกิดจากพระเจ้า เกิดจากชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า บริสุทธิ์สะอาด และดีพร้อมแล้ว  ไม่มีทางทำบาปเด็ดขาด เอเมน เราต้องเอเมน ไม่อย่างนั้นมันก็จะมาหลอกเราอยู่เรื่อยๆ

            นี่คือความจริงที่อาจารย์ยอห์นพยายามชี้ให้เห็นทั้ง 2 ฝั่ง คือผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว ในโลกวิญญาณเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่เชื่อพระเยซูจะเป็นฝั่งตรงกันข้ามกับเมื่อตะกี้นี้ทั้งหมดเลย

            เพราะฉะนั้น คริสเตียนควรได้รับการสอนอย่างไร? ถ้าตรงนี้ที่ผมพูดเป็นความจริงในพระคัมภีร์ คริสเตียนควรได้รับการสอนให้รับรู้ว่าเขาได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ ใช่หรือไม่?  เขาควรจะได้รับรู้และเรียนรู้ว่าเขาเป็นใครแล้ว เขาได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เดี๋ยวนี้ ขณะนี้นะ  ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ทันที เรียนรู้ยิ่งเยอะ ยิ่งดี ไม่ใช่ให้เขารับการสอน และเรียนรู้ว่าเขาต้องประพฤติตัวอย่างไร?  จะต้องรักษาความรอดที่ได้มาจากพระเจ้าอย่างไร?  จะต้องทำตัวอย่างไรถึงจะได้ไปสวรรค์กับพระเจ้า? จะต้องทำตัวอย่างไรถึงจะได้เป็นลูกของพระเจ้าตลอดไป? อยู่กับพระเจ้าตลอดไปได้?  จะต้องทำตัวอย่างไรถึงไม่สูญเสียความรอดในอนาคต ไม่ใช่ เขาควรจะเรียนรู้ว่าเขาได้เป็นใครแล้วในโลกวิญญาณ  ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ที่พระเจ้าทรงรักเขาดังแก้วตาดวงใจแล้วขณะนี้ บนโลกใบนี้  และจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ต้องเรียนรู้ตรงนี้เยอะๆ ไม่อย่างนั้น ก็ถูกหลอกให้ไขว้เขว

            ครั้งที่แล้ว หลังจาก 8 ตอนแล้ว เราจบลงที่ 1 ยอห์น 3:9-10 บันทึกไว้อย่างนี้  เพื่อเราจะได้ต่อเนื่องวันนี้ได้ …

        1 ยอห์น 3:9-10 “9 คนที่เป็นคริสเตียนได้บังเกิดใหม่ จากหน่อเชื้อของพระเจ้าบริสุทธิ์ ไม่มีบาปเลย จึงไม่มีทางทำบาป ตามธรรมชาติเลย นอกจากพลาดพลั้งถูกหลอก 10 ด้วยเหตุนี้แหละ  ใครเป็นลูกของพระเจ้า และใครเป็นลูกของมาร ก็จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง คือคนที่ฝึกฝน ประพฤติความชอบธรรม  ตามที่วิญญาณภายใน ได้เป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า ก็จะรักพี่น้องในพระคริสต์ รักพระคริสต์ เพราะอยู่ในครอบครัวฝ่ายวิญญาณเดียวกัน ได้บังเกิดใหม่จากหน่อเชื้อของพระเจ้า ตรงกันข้ามกับผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนประพฤติความชอบธรรม เพราะวิญญาณภายใน ไม่ได้เป็นผู้ชอบธรรม แต่เป็นลูกหลานของมาร ก็จะเกลียดชังคริสเตียน และปฏิเสธไม่รักพระเยซูคริสต์ เพราะยังเป็นคนบาปยังไม่ได้เกิดใหม่จากพระเจ้า ยังฝึกฝนความบาป”

            ยอห์นชี้ให้เห็นถึงในโลกวิญญาณ ผู้ที่เป็นคริสเตียนแท้ๆ กับผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง แตกต่างกันอย่างขาวกับดำ ไม่มีคริสเตียนที่เทาๆ คือคริสเตียนที่ทำดีตั้งเยอะเลย แต่ทำบาปบ้าง ไม่มี คริสเตียนจะไม่ทำบาปเลย เพราะเป็นหน่อเชื้อ เกิดจากพระเจ้านั่นเอง  แตกต่างกันสิ้นเชิง  เพราะว่าคริสเตียนบังเกิดจากวิญญาณของพระเจ้า  แตกต่างกับผู้ที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน  ยังไม่ได้บังเกิดจากพระเจ้า เพราะฉะนั้น คนละขั้วเลย บังเกิดจากวิญญาณของพระเจ้า  หรือยังไม่เกิดใหม่จากพระเจ้า  แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเลย คือขาวกับดำ คริสเตียนอยู่ในความสว่าง อยู่ในความรัก อยู่ในความชอบธรรม อยู่ในความจริง ไม่เป็นคริสเตียน วิญญาณอยู่ในความมืด อยู่ในความเกลียดชัง อยู่ในความบาป  อยู่ในความมุสา การโกหก ชัดเจน

            วันนี้เรามาต่อตอนที่ 9  ต่อจากครั้งที่แล้ว 1 ยอห์น 3:11-12 …

        1 ยอห์น 3:11-12 “11 นี่เป็นข้อความที่ท่านทั้งหลายได้ยินมาตั้งแต่แรก คือเราควรรักซึ่งกันและกัน 12 อย่าเป็นเหมือนคาอิน ผู้เป็นฝ่ายมาร และฆ่าน้องชายของตน ทำไมเขาจึงฆ่าน้อง ก็เพราะการกระทำของตนชั่วร้าย และการกระทำของน้องชอบธรรม”

            จำไว้ว่าพื้นฐานการเรียนรู้ ก็คือไม่ได้มาสอนให้ท่านทำ ตรงนี้อ่านแล้ว ชอบคิดว่าเรากำลังมาสอนให้เรารักซึ่งกันและกัน ไม่ได้มาสอนให้เรารักกันและกัน แต่มาบอกเรา มาชี้ให้เราได้เห็นว่าขณะนี้ วิญญาณเราเป็นอะไร?  วิญญาณของเราอยู่ในฝั่งรักซึ่งกันและกัน รู้จักกัน เป็นพี่น้องในพระคริสต์ วิญญาณบาปก็จะเกลียดชัง ต่อต้าน เป็นศัตรูกับวิญญาณชอบธรรม

            ตะกี้นี้ที่อ่าน 2 ข้อนี้  ก็คือวิญญาณที่บาป จะเกลียดชัง ต่อต้าน เป็นศัตรูกับวิญญาณชอบธรรม ของผู้ที่ชอบธรรม พูดง่ายๆ ความมืดเป็นศัตรูกับความสว่าง ชัดเจน คือขโมย ฆ่าและทำลาย ซึ่งเป็นของความมืด เป็นของมาร ต่อสู้ เป็นศัตรู อยู่ตรงกันข้ามกับผู้ที่อยู่ในความสว่าง คือการให้ ความรัก และการเสริมสร้าง นี่ไม่ได้ชี้ให้ท่านไปทำอะไรต่างๆ เหล่านั้น  ไม่ได้มาสอนท่านต้องทำตัวอย่างไร? ให้เป็นความรัก ไม่เกลียดชังคนอื่น เปล่า กำลังมาบอกสภาวะของวิญญาณของท่าน มันเป็นจริงๆ วิญญาณของท่านเป็นความรัก วิญญาณของท่านเป็นความสว่าง เห็นไหม?

            “โลก” ก็คือระบบของโลก คือระบบของคนบาป  ระบบของโลกที่ตกลงไปในความบาป  โลกเกลียดชังผู้ที่ถูกช่วยให้รอดจากบาปแล้ว เรียกว่าพวกคริสเตียน โลกเกลียดชังคริสเตียน โลกเป็นศัตรูกับพระเจ้า เพราะฉะนั้น ในโลกที่เรากำลังดำเนินอยู่นี้ ในโลกวิญญาณ จึงมีสงครามอยู่ เรียกว่าสงครามฝ่ายวิญญาณ ระหว่าง 2 พวก พวกหนึ่ง คือพวกที่เรียกว่าระบบของโลก  อีกพวกหนึ่งเรียกว่าพวกคริสเตียนที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว พวกหนึ่งเรียกว่าพวกมืด ต่อสู้กับที่เรียกว่าความสว่าง ผู้เชื่อหรือผู้ไม่เชื่อ ตรงกันข้ามกัน นี่เป็นความจริง เป็นสถานะในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนี้ เห็นไหม? ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการสอนว่าให้เราประพฤติตัวอย่างไรเลย ถ้าเราจับจุดความหมายผิดไป มันแปลผิด จะไม่เข้าใจเลย ตรงนี้สำคัญมาก ต่อไป 1 ยอห์น 3:13-14 …

        1 ยอห์น 3:13-14 “13 พี่น้องทั้งหลาย อย่าแปลกใจ ถ้าโลกนี้เกลียดชังท่าน 14 เรารู้ว่าเราผ่านพ้นความตายเข้าสู่ชีวิต เพราะเรารักพี่น้องของเรา ผู้ใดไม่รัก  ผู้นั้นยังคงอยู่ในความตาย”

            พี่น้องทั้งหลาย ก็คือคริสเตียนทั้งหลาย เพราะฉะนั้น ท่านไม่ต้องแปลใจเลยว่าโลกนี้ทำไมเกลียดชังท่าน ยิ่งอดีต ยิ่งชัดเจน ตอนที่เขียนอยู่นี้ คริสเตียนตอนสมัย 2,000 ปีก่อน ถูกข่มเหง ถูกเกลียดชังอย่างไม่มีเหตุผลมากมาย เยอะมากเลย ปัจจุบันก็มีเยอะแยะมากมายไปหมด ทั่วโลก  เขาเรียกว่าถูกข่มเหง ถูกรังแก ด้วยโลกนี้ ไปตามธรรมชาติวิญญาณ

            เรารู้ว่าเราพ้นจากความตาย พ้นจากอาณาจักรของความมืดนั่นเอง เรารู้ว่าโลกใบนี้มันเป็นความมืด เป็นความบาป อยู่ในระบบของคำสาปแช่ง ความบาปและความตาย  แต่เราเป็นคริสเตียน ถูกช่วยให้พ้นจากอาณาจักรของความมืดแล้ว อาณาจักรของความตายแล้ว เราเข้ามาสู่ชีวิตและแสงสว่างแล้ว เห็นไหม?  กำลังบอกคริสเตียนว่าตอนนี้เราอยู่ในแสงสว่าง อยู่ในอาณาจักรของชีวิตแล้วนะ  เพราะฉะนั้น สิ่งแรกที่เป็นเครื่องหมายให้เราสังเกตได้ว่าเราอยู่ในแสงสว่าง อยู่ในชีวิตหรือไม่? ก็คือให้เรารู้ว่าเราเป็นคริสเตียน บังเกิดใหม่แล้ว มีเครื่องหมาย คือเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เรารักพี่น้องในพระคริสต์ รักคริสตจักร มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับพี่น้องในคริสตจักรทางวิญญาณ เรารักพระเยซูคริสต์ เอเมน

            นี่คือเครื่องหมายชัดเจน  เราอาจจะมองโลกวิญญาณไม่เห็น เราอาจจะมีความรู้สึกเฉยๆ หรือจับต้องอะไรไม่ได้เลย เรื่องความจริงเหล่านี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เราได้รู้ ก็คือพอเรามาเป็นคริสเตียน เรารู้ว่าเราเริ่มต้นรักพี่น้องคริสเตียนด้วยกัน พอรู้ว่าเขาเป็นคริสเตียน รักแล้ว บางทีถูกหลอก ไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้หรอก พอบอกว่าเป็นคริสเตียน เราก็รักเขาแล้ว ขับรถผ่านไปที่ไหน แล้วเจอโบสถ์ เราก็รู้สึกว่าชอบใจ พอเราได้ยินเรื่องพระเยซูคริสต์ เราก็อยากฟังอีก ร้องเพลง เราก็นมัสการพระเยซูคริสต์อีก อะไรอย่างนี้  นี่คือเครื่องหมาย หลักฐานแรก  ที่ทำให้เรารู้ว่าเราอยู่ในความสว่าง เพราะเรารักพี่น้องของเรา  ผู้ใดที่ไม่รัก ผู้นั้นยังอยู่ในความตาย เห็นหรือยัง? ผู้ใดที่ไม่รักคริสเตียน ก็คือผู้ที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่ ไม่ได้เป็นคริสเตียนในวิญญาณ เขายังอยู่ในโลกของความบาป ก็เป็นศัตรูต่อต้านกับความจริง คือคริสเตียนทั้งหลาย โดยไม่ได้ตั้งใจ มันเป็นอย่างนี้โดยธรรมชาติ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับความประพฤติเลย แม้แต่นิดเดียว ข้อต่อไป 1 ยอห์น 3:15 …

        1 ยอห์น 3:15 “ผู้หนึ่งผู้ใดที่เกลียดชังพี่น้อง (ในพระคริสต์) ของตน ก็ย่อมเป็นผู้ฆ่าคน (ฆาตกร) และท่านทั้งหลายรู้แล้วว่าผู้ฆ่าคน ไม่มีชีวิตนิรันดร์อยู่ในตัวเลย”

            “ผู้หนึ่งผู้ใดที่เกลียดชังพี่น้อง” ก็คือผู้ที่อยู่ในโลก  คนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์ เขาไม่มีชีวิตนิรันดร์อยู่ในวิญญาณของเขา เขาไม่ได้เกิดจากเชื้อของพระเจ้า เขาไม่ได้เกิดจากเชื้อบริสุทธิ์ วิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า  เขาไม่มีชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้าอยู่ในใจเขา ใจเขา จึงเป็นใจที่ไม่มีความรัก โดยธรรมชาติ ก็คือใจที่เป็นความเกลียดชัง  เป็นศัตรูกับพระเจ้า  และกับลูกของพระเจ้า บนโลกใบนี้ ก็คือเป็นศัตรูกับคริสเตียน เข้ากันไม่ได้นั่นเอง

            พระเยซูตรัสว่า “ในใจมีความเกลียดชัง ก็เท่ากับฆ่าคนตาย” ถ้าท่านโกรธ เกลียดใคร ก็เท่ากับท่านฆ่าคนตาย  พระองค์กำลังพูดถึงสภาพของวิญญาณว่าเป็นเช่นไร? ไม่ได้พูดถึงความประพฤติ ไม่ได้พูดถึงการกระทำ แต่กำลังจะบอกว่าวิญญาณเป็นลักษณะใด? วิญญาณในใจเป็นคนบาป ก็เป็นคนบาป ไม่มีบาปเล็ก หรือบาปใหญ่ ไม่เป็นบาป ทำเฉพาะแค่เกลียดชังเท่านั้น ไม่ใช่ พระเยซูกำลังบอกว่าถ้าในใจเป็นบาปอยู่ มันจะมีความเกลียดชัง แล้วความเกลียดชังนั้น เท่ากับฆ่าคนตาย ก็คือเป็นคนบาปเท่านั้นเอง  ทั้งหมดเป็นความบาป ความประพฤติไม่ได้เกี่ยวข้อง  ส่วนจะประพฤติอย่างไร? หรือไปเกลียดเฉยๆ หรือไปถึงกระทั่งทำร้ายเขา หรือไปฆ่าคนตาย  ก็ขึ้นอยู่กับถูกล่อลวงมากขนาดไหน? ในขณะที่เป็นคนบาปอยู่นั้น

            วิญญาณ ใจเป็นคนชอบธรรม ก็เป็นคนชอบธรรม ไม่มีว่าเป็นคนชอบธรรมเล็กหรือชอบธรรมใหญ่  ไม่มี เมื่อใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมเท่ากันกับใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เหมือนกัน ไม่ว่าเขาจะเปิดใจมาแล้ว 20 หรือ 30 ปี เราเพิ่งเปิดใจเมื่อวานนี้ หรือเมื่อตะกี้นี้ มีค่าเท่ากัน เป็นผู้ชอบธรรมเท่ากัน ถามว่าอาจารย์บอกเท่ากับใคร? มีความชอบธรรมเท่ากับพระเยซูคริสต์ พอใจไหม? มีใครสูงกว่านี้อีกไหม? ไม่มีแล้ว

            เพราะฉะนั้น ท่านมาเชื่อพระเจ้า สมมติว่าตอนนี้ท่านยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เดี๋ยวท่านฟังแล้ว ท่านรู้สึกว่า “มันเรื่องจริง ฉันเชื่อพระเยซูว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์” ท่านยอมสารภาพบาปว่าท่านเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือ ขอพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดประจำตัวของท่าน พอท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ทันทีทันใดนั้น พระวิญญาณจะเข้าไปสถิตอยู่ในตัวท่าน  เข้าไปทำการบัพติศมาผ่าตัดวิญญาณท่าน ให้ท่านได้บังเกิดใหม่ เข้ามาสู่อาณาจักรของพระเจ้า และกลายเป็นลูกของพระเจ้าที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์เลยทีเดียว และวิญญาณของคริสเตียนผู้เชื่อนั้น  จะเป็นความรัก เป็นชีวิตนิรันดร์ จากพระเจ้า ทันทีทันใดเลย จะเป็นชีวิตนิรันดร์ข้างในวิญญาณ และชีวิตนิรันดร์นั้น เป็นของพระเจ้า พระเจ้าเป็นความรัก เพราะฉะนั้น ท่านก็จะเป็นความรักทันทีในวิญญาณของท่าน

            เพราะว่าคริสเตียนเป็นความรัก เป็นอยู่ที่ไหน? ภายในใจของเขา เพราะฉะนั้น ความประพฤติบางครั้ง อาจจะไม่ตรงกับธรรมชาติ วิญญาณภายในก็ได้ ยังอาจจะมีความประพฤติที่เกลียด ไม่ชอบ โกรธ ซึ่งก็คือการทำบาป ยังทำอยู่ เพราะถูกล่อลวงจากอิทธิพลของบาปภายนอก ตัวท่าน มันส่งเข้ามาเป็นศัตรู อย่าตำหนิตัวเอง อย่าถล่มตัวเอง เพราะเรารู้ว่าเราเป็นคริสเตียน เป็นความรัก เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว เรารู้แล้วอย่างนี้ ถ้าเป็นเช่นนี้ เราที่เป็นคริสเตียน เรารู้แล้วใช่ไหมตอนนี้ว่าความรักคืออะไร? คือตัวฉันที่เป็นอยู่ข้างใน ตัวฉันเป็นความรัก  และเราก็จะรู้ว่าความรักตรงนี้ ผู้ที่เป็นแบบอย่างให้กับเรา ก็คือพระเยซู เป็นตัวอย่างของความรักนี้ ความรักนี้ที่อยู่ในตัวเรา อยู่ในวิญญาณของเรา เป็นความรักที่เราไม่ได้สร้างขึ้นมาเอง แต่พระเจ้าทรงประทานให้ เป็นความรักที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นความรักที่เสียสละเหมือนพระองค์

            และพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ภายในเรา ผู้เชื่อแล้ว ดังนั้น เราจึงเลียนแบบพระองค์ โดยรักพี่น้องที่อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในครอบครัวเดียวกัน ในวิญญาณ เหมือนอย่างที่พระคริสต์ได้ทรงรักเรา ต้องพยายามไหม? ไม่ต้อง ความรักอยู่ในตัวเรานี่แหละ เห็นหรือยัง? เหมือนพระเยซูที่รักเรา ก็สถิตอยู่ในเรา ตรงนี้ไม่ได้หมายความว่าให้เรายอมตาย เพื่อคนอื่น ให้เราสละชีวิตเพื่อคนอื่น พระเยซูคริสต์ยอมตายให้เราจริงๆ พระองค์เป็นพระเจ้า แต่เราไม่ใช่พระเจ้า ตรงนี้ไม่ได้บอกให้เรายอมตาย

        1 ยอห์น 3:16 “เช่นนี้ เราจึงรู้ว่าความรักคืออะไร คือที่พระเยซูคริสต์ทรงสละพระชนม์ชีพของพระองค์ เพื่อเรา และเราควรสละชีวิตของเรา เพื่อพี่น้อง”

            คำว่า “เสียสละ” ตรงนี้ หมายถึงให้เรายอมฟังซึ่งกันและกัน ยอมจำนนต่อกันและกันด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน เหมือนพระคริสต์ คือให้มีชีวิตอยู่ให้เห็นแก่ผู้อื่น เห็นคนอื่นดีกว่าตน หมายถึงตรงนี้ เหมือนพระเยซูคริสต์ ซึ่งเราไม่สามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทำได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ 100% อย่างนี้หรอก แต่เราสามารถดำเนินชีวิต ฝึกฝนในการสำแดงความรักนี้ ออกมาจากวิญญาณของเราแก่ผู้คนรอบข้างได้ในทุกวัน ทุกเวลา ทุกเสี้ยววินาที ในการสำแดงความรักนี้ ในทุกสถานะ ไม่ว่าเราจะยากจน มี ไม่มีอย่างไร? ทุกข์หรือสุขอย่างไร? เราสามารถสำแดงความรักที่อยู่ข้างในนี้ออกมาได้ ในชีวิตของเราบนโลกในนี้ ซึ่งด้วยการเสริมกำลัง การนำ การช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่ทรงสถิตอยู่ภายในเราตลอดเวลา คอยนำเรา ช่วยเราให้สำแดงความรักนี้ออกมา 1 ยอห์น 3:17-18 …

        1 ยอห์น 3:17-18 “17 คนใดที่มีทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขัดสน และกระทำใจแข็งกะด้าง ไม่สงเคราะห์เขา ความรักของพระเจ้า จะอยู่ในคนนั้นอย่างไรได้ 18 ดูก่อน  ลูกเล็กๆ ทั้งหลาย อย่าให้เรารักเพียงแต่ถ้อยคำและลิ้นเท่านั้น  แต่ให้เรารัก ด้วยการประพฤติ และด้วยความจริง”

            เมื่อกี้อาจารย์ยอห์นบอกแล้วว่าไม่ได้มาสอนให้เราประพฤติ มีทรัพย์สมบัติ แล้วให้พี่น้องที่ขัดสน อาจารย์ยอห์นกำลังจะชี้ให้เห็นความจริง ให้ใครเห็น? ให้คนที่แอบอ้างว่าตัวเองเป็นคริสเตียน เสแสร้งตัวเอง ก็คือพวกที่อยู่ท่ามกลางคริสเตียนแท้ทั้งหลาย  ก็คือพวกนอสติก พวกนอกรีต พวกที่เชื่อในข่าวดีแบบแปลกๆ ที่อาจารย์ยอห์นพูดถึงตั้งแต่เริ่มต้น 1 ยอห์น พวกนอสติก ที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ผู้ที่เชื่อว่าตัวเองไม่เคยทำบาปเลยในชีวิต ในวิญญาณ ไม่ได้เป็นคนบาป พวกที่ยังคงเป็นศัตรูกับพระเจ้ากับคริสเตียน ในใจเกลียดคริสเตียน อยู่ตรงกันข้ามกัน แต่ภายนอก อยู่ต่อหน้า บอกว่ารัก ก็คือพวกไม่จริงใจ กำลังบอกพวกไม่จริงใจ จะมีลักษณะอย่างนี้ พวกที่ไม่จริงใจต่อคริสเตียน เพื่อหวังประโยชน์จากพวกคริสเตียน ที่หลงเชื่อ อาจารย์ยอห์นกำลังชี้ให้เห็น กำลังสอนให้ระวังพวกที่ไม่จริงใจ ที่จะเข้ามา เพื่อขโมย ฆ่าและทำลาย คือใคร?

            ยกตัวอย่างในปัจจุบัน ถ้าในอดีต คือพวกนอสติก  พวกที่ไม่เชื่อพระเยซู เข้ามา เพื่อจะดึงคนที่เป็นคริสเตียนจริงๆ ไปเป็นสาวกของเขา ไปเชื่อในลัทธิเขา มาดึงออกไป พอดึงไม่ได้ ก็เลยออกจากคริสตจักรไป ไม่อยู่ด้วยกันกับพี่น้องคริสเตียนจริงๆ นี่พูดถึงตอนที่เราเรียนมาก่อนหน้านี้ 8 ตอน มาหลอกเขา เหมือนในปัจจุบันก็มี อย่างเช่น พวกที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า  ก็เข้ามาหลอกว่าเขาเป็นคริสเตียนเหมือนกันนะ อาจจะเข้ามาสังสรรค์ สามัคคีธรรมกับเรา ทางร่างกาย เข้ามารู้จักมักจี่กับเรา เข้ามาในคริสตจักร มารู้จักกับเรา มาเยี่ยมที่บ้าน  อย่างเช่น พยานพระยะโฮวาห์ เขาไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า แต่เขาเข้ามา ก็บอกว่าเป็นคริสเตียนเหมือนกัน เริ่มมาคุยให้ฟัง อันโน้นอันนี้ แต่ทั้งหมด เขาต้องการล้างสมองเรา ให้เราไปเชื่อแบบเขา เพื่อดึงเราออกไปจากความเชื่อแท้ๆ ตรงนี้

            ลักษณะเดียวกัน มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่ 2,000 ปี ข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเจ้าเริ่มต้นใหม่ๆ แล้ว เหมือนพวกนอสติก เป็นต้น เขามา เพื่อขโมย ฆ่า และทำลาย  เพราะในใจเขาเป็นอย่างนั้น เพราะในใจเขายังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ยังไม่เชื่อพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมสิยาห์เลย  เพราะถ้าเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเมสิยาห์ เขาต้องเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ แล้วตัวเองเป็นคนบาป ต้องพึ่งพาพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระองค์เป็นผู้เดียวเท่านั้น พระนามพระเยซูคริสต์ เป็นพระนามเดียวเท่านั้น ที่ทำให้ผู้คนรอด ไปหาพระบิดาได้ พระเยซูตรัสไว้อย่างนั้น

            “เราเป็นเพียงผู้เดียวเท่านั้น นอกจากเรา ไม่มีทางไปหาพระบิดาได้เลย”

            แต่เขาบอกว่าเขาไปหาพระบิดาได้ โดยผ่านทางอะไรก็ไม่รู้เยอะแยะ เขากำลังมาล้างสมองเรา ระวังให้ดี นี่พวกหน้าซื่อใจคดอย่างนี้ เป็นต้น เพราะในใจเขายังเป็นศัตรูกับพระเจ้า กับเรา คริสเตียน โดยธรรมชาติ ในใจเขายังเกลียดชังคริสเตียน ต่อหน้าบอกว่ารัก แต่เขาไม่จริงใจ ยังเสแสร้ง ระวังพวกที่ไม่จริงใจเหล่านี้

            เคยดูในยูทูปไหม?  ที่เขามีภาพ เรื่องจริงนะ เขาถ่ายไปในคริสตจักร ในโบสถ์  ก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นคริสเตียนเดินเข้ามา แล้วก็ไปอธิษฐานในวันธรรมดา ที่ไม่มีคนเยอะ  อธิษฐานด้านหน้า โดยวางกระเป๋าสตางค์ไว้ข้างหลัง เพราะว่าเขาไปในโบสถ์ พี่น้องคริสเตียนทั้งนั้น  เต็มไปด้วยความรัก เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ วางกระเป๋าไว้ด้านหลัง แล้ววิ่งไปอธิษฐานด้านหน้า ตรงธรรมาส กล้องทีวีถ่ายไว้  ก็มีคนย่องมาหยิบกระเป๋า แล้วก็เดินไป  นี่มันเกิดขึ้นเยอะแยะ โบสถ์เรายังเคยเกิดขึ้นอย่างนี้เลย  เพราะฉะนั้น ก็ให้ระวังด้วย  เตือนในขณะนี้ เราระวังไหม? บอกให้ออกมาข้างหน้า วางไว้ตรงนั้นก็ได้  ระวังอาจจะหายไปก็ได้นะ ผมไม่รับผิดชอบ มันอย่างนี้ มันเรื่องจริง เราดูไม่ออกเลยว่าใครเป็นใคร? ถ้าเป็นคริสเตียนแท้จริง ก็จะแสดงความรัก ความเมตตา ไม่ใช่เห็นด้วยตา หรือด้วยความประพฤติต่อหน้าอย่างเดียว คิดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเราไม่รู้จริงๆ ว่าในใจเป็นอย่างไร?

            พยานพระเยโฮวาห์ นั่นคือตัวอย่างอันหนึ่งที่ชัดเจน เขามารักเรา ซื้อของมาฝากเรา ไปเยี่ยมบ้านด้วย ยิ่งป่วยอยู่ ไปเยี่ยมใหญ่เลย ไปเยี่ยมมากกว่าพี่น้องคริสเตียนที่อยู่ในโบสถ์จริงๆ ด้วยซ้ำไป แต่ทั้งหมดในการเยี่ยมเยือน การซื้อของไปฝากนั้น เพื่ออะไร? เพราะรัก ข้างในใจไม่ใช่ แต่มนุษย์ถูกหลอกได้ เพราะรัก แต่จริงๆ เปล่า เพราะต้องการจะเปลี่ยนความเชื่อเรา เปลี่ยนความคิดของเราเท่านั้น ให้เป็นสาวก ให้เชื่อเหมือนเขาเท่านั้น อันนี้ก็ชัด

            เอาชัดกว่านี้ คือนักการเมือง มาช่วยเยอะแยะ มาแจกของเยอะแยะ นักการเมืองดีๆ ก็มีนะ  แต่กำลังพูดถึง ท่านก็รู้แล้ว พูดแค่นี้

            ถ้าเราพูดถึงข้างนอก ยิ่งชัดเจน นักธุรกิจที่ไปบริจาคเงินเยอะแยะมากมาย เขากำลังทำอะไร? เขากำลังหาผลประโยชน์ แต่ปากบอกว่าฉันรักคุณด้วยความรักของพระเจ้า มันสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ใช่แค่กับนักธุรกิจอย่างเดียว กับพวกเราทุกคน ก็เกิดได้ กับคริสเตียนก็เกิดได้

            คริสเตียนบางคนเพิ่งกลับใจใหม่ เข้ามาทำดีกับพี่น้องเยอะแยะมากมายเลย  นี่เป็นคริสเตียนจริงๆ นะ เพราะถูกหลอกไง ถ้าเขาทำบาป  ก็แสดงว่าถูกหลอก แต่ทำไปทั้งหมด เพื่อจะสร้างเครือข่ายทำมาหากิน  การค้าขาย ขายตรง หาสมาชิก แต่ไม่ใช่ว่าคนที่ทำมาค้าขายต้องตกใจว่ากำลังฟ้องผิด มันขึ้นอยู่กับในใจของท่าน ท่านทำได้ ทำไปเถอะ มันไม่ได้อยู่ที่ภายนอก ที่มองเห็นอยู่ มันอยู่ที่ในใจ มันทำเหมือนกัน

            พี่น้องบางคนเขาเอาของมาขาย ไม่ผิด  การกระทำไม่ผิด อยู่ที่ใจของคุณ คุณคิดอะไรกับพี่น้องของเรา  คุณตั้งใจจะให้ของดีไหม? คุณตั้งใจจะช่วยเหลือใช่ไหม? คำว่า “ช่วยเหลือ” ไม่ใช่ว่าคุณจะมาแจกของฟรีตลอดเวลา ไม่ใช่ ถ้าท่านต้องขายของ ก็ขายไป แต่ในใจท่าน เป็นอย่างไร? มันสำคัญ ตรงนี้มากกว่าว่าในใจคุณต้องการประโยชน์ส่วนตนมากกว่า หรือต้องการช่วยเหลือเขามากกว่า จากใจที่เกิดใหม่ หรือจากใจที่ไม่ได้เกิดใหม่ จากใจที่ต้องการขโมย ฆ่า และทำลาย  หรือจากใจที่ต้องการให้ เป็นความรัก ซึ่งมันแตกต่างกัน เพราะถ้าเป็นคริสเตียนแท้จริงแล้ว  การจะแสดงความรัก ความเมตตาต่อผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นคริสเตียนที่เรามีกำลังเพียงพอ  มีทรัพยากรเพียงพอ ที่จะช่วยเหลือคนอื่นได้ ความรักของพระเจ้า ในชีวิตของเรา ควรจะสะท้อนออกมา ในรูปแบบของการกระทำ ยิ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น เห็นแก่ผู้อื่น มากกว่าเห็นแก่ตนนั่นเอง เห็นไหม? ทั้งหมดนี้อยู่ที่ในใจของใครของเขา ไม่ต้องมาแอบมองกันว่าคนนี้ทำอันนี้ ข้างนอกมันมองไม่เห็น

            การแสดงความรัก การแบ่งปันทรัพยากร หรือของต่างๆ ให้กับผู้ที่ขัดสน เป็นการแสดงออกถึงความรักที่แท้จริง  ที่เรามีต่อพระเจ้า ต่อเพื่อนมนุษย์ และการแสดงความรักนี้ เป็นผลของการที่เรามีชีวิตใหม่ในพระเยซูคริสต์ต่างหาก ซึ่งเป็นอิสระ ไม่ได้ถูกบังคับ  คริสเตียนมีธรรมชาติเป็นความรักเหมือนพระเจ้า ความรัก คือการให้ ในวิญญาณจึงหมั่นฝึกฝนความรักนี้  ฝึกฝนการมีเมตตาในการให้ออกไปจากใจ ที่เต็มไปด้วยความรัก ที่มีความปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่น เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ใช่ด้วยการฝืนใจ แตกต่างอย่างสิ้นเชิง จากอดีตของเรา ซึ่งเป็นคนบาป มีธรรมชาติเป็นความโลภ เห็นแก่ตัว หมั่นฝึกฝนความโลภในใจ การเอาเปรียบผู้อื่นอย่างแยบยลจากใจเช่นเดียวกัน แยบยลเหมือนกัน แต่แยบยลในทางมืด พระเจ้าดูที่ไหน? พระเจ้าดูที่ใจ เราสามารถหลอกมนุษย์ได้  แต่หลอกพระเจ้าไม่ได้  เพราะพระเจ้าดูที่ใจ เราสามารถทำบาปที่ดูดีในสายตามนุษย์ได้

            บาปที่ดูดีในสายตามนุษย์ ยกตัวอย่าง เช่น บริจาคเงินมากมายด้วยความโลภ ความเย่อหยิ่งในใจ ต้องการชื่อเสียง ต้องการผลประโยชน์ เพราะการทำบาปในสายตาพระเจ้า มีทั้งแบบภายนอกดูดีกับบาปที่ภายนอกดูไม่ดี พระเจ้ามองแล้วเป็นบาปไม่ดี มนุษย์มองก็ไม่ดีด้วย มันมีทั้งบาปที่ดูดีและดูไม่ดี แต่ทั้ง 2 อัน ก็เป็นบาปทั้งคู่ และใครรู้? พระเจ้ารู้ และใครรู้อีกถ้าเป็นคริสเตียน? ตัวท่านเองต้องรู้ เมื่อท่านนึกถึงเรื่องนี้เมื่อไร? ท่านจะรู้ว่าสิ่งที่ท่านทำไป มันจริงใจไหม? มันใช่ไหม?

            พระวิญญาณสถิตอยู่กับเรา จะช่วยเราฝึกฝนเรา ให้รู้จักสังเกตและแยกแยะภายในใจของเราว่าอะไรที่มาจากใจที่บริสุทธิ์ภายในจริงๆ อะไรที่เป็นความบาป การล่อลวง จากระบบของโลกที่เรียกว่ากิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ใช้อะไร? ฝึกอะไร? ฝึกฝนในการดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ไม่ใช่ตามเนื้อหนัง 1 ยอห์น 3:19-20 …

        1 ยอห์น 3:19-20 “19 ดังนี้แหละ เราจึงรู้ว่าเราอยู่ฝ่ายความจริง และทำให้ใจเราสงบ มั่นคง ในการสถิตอยู่ของพระเจ้า 20 เมื่อใดก็ตามที่ใจของเราเป็นทุกข์ ฟ้องผิด กล่าวโทษตนเอง เพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าใจของเรา และพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง”

            ตรงนี้เน้นให้เห็นถึงความมั่นใจ ที่เรามีในความสัมพันธ์กับพระเจ้าว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้วหรือไม่จริงๆ แม้ว่าเราจะรู้สึกทุกข์ใจ ฟ้องผิด หรือถูกกล่าวโทษ เห็นไหม? นี่คือการล่อลวงจากภายนอก ที่ใส่ความคิดให้กับเราว่า …

            “เราทำบาป เราเป็นคนไม่ดี เราฟ้องผิด เรารู้สึกถูกกล่าวโทษ เธอมันแย่ เธอมันไม่ดี เธอทำอย่างนี้ได้อย่างไร?”

            ในนี้กำลังบอกว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าอารมณ์ ความรู้สึกของเรา  ที่ถูกโจมตีด้วยการฟ้องผิด พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่งที่เกี่ยวกับเรา ก็คือรู้ว่าเราบริสุทธิ์ เป็นลูกของพระองค์แล้ว รวมถึงตัวตนที่แท้จริงของเราในพระคริสต์ ในฐานะผู้เชื่อ พระองค์ทรงรู้หมดแล้ว ไม่มีอะไรปิดบังพระองค์ได้หรอก

            พระองค์บอกว่า … “ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีงามของเรา เหมือนเราเลย แต่สิ่งที่ท่านทำผิดไปต่างๆ เหล่านั้น มันถูกล่อลวงจากภายนอก เชื่อเราสิ”

            หมายถึงอย่างนั้น ไม่ต้องฟ้องผิด ยืนยันมั่นใจ จากภายในพระวิญญาณของเรา จะบอกว่าเราได้รับการอภัยและถูกทำให้ชอบธรรม ผ่านทางพระเยซูตลอดชั่วนิรันดร์แล้ว ใจของเราจึงสามารถมีความมั่นคงได้  เพราะสถานการณ์กับพระเจ้าขึ้นอยู่กับการงานของพระเยซูคริสต์ พระราชกิจของพระองค์ที่ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน  ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับความรู้สึก หรือการกระทำของเราเลยแม้แต่นิดเดียว

            โรม 8:1 บอกว่าเราเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตายแล้ว เราอยู่ในกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ ทำให้เราเป็นอิสระจากกฎแห่งความบาปและความตาย  ไม่มีการกล่าวโทษใดๆ กับเราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เรามั่นใจว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว  จึงไม่มีการมากล่าวโทษ ไม่มีการมาฟ้องผิด ไม่มีการมาชี้เป้าว่าเราผิดอีกแล้ว ไม่มีอีกแล้ว ต้องมั่นใจตรงนี้  เรามั่นใจได้ เพราะพระวิญญาณที่สถิตอยู่ในเรา

            เพราะฉะนั้น การพิสูจน์ว่าเราเป็นคริสเตียนหรือไม่? คือเราต้องรู้ว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเราหรือเปล่า? แต่เปาโลบอกอย่างนี้ว่าทดสอบได้ว่าท่านเชื่อพระเจ้าหรือไม่? มั่นใจในพระองค์หรือไม่ ก็คือท่านรู้หรือไม่ว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในท่าน รู้ เอเมน ซึ่งความมั่นใจนี้ ทำให้เราสามารถดำเนินชีวิต มั่นใจว่าเราเป็นที่รัก และได้รับความรัก การยอมรับว่าเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว  เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว เอเมน

            ทดสอบแค่นี้ ถ้าท่านผ่านตรงนี้ ท่านก็จะไม่ฟ้องผิดอีกเลย พอจะฟ้องผิด ท่านก็รู้ว่ามาจากข้างนอก มันจะมาโจมตีเรา กั้นไว้เลย แล้วก็บอกว่า …

            “ฉันพิสูจน์แล้ว พระคริสต์สถิตอยู่ในใจ ฉันอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกัน ฉันบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์ เอเมน” … มีอะไรไหม?

            “อ้าว! ยังทำบาปอยู่เลย”

            “ไม่รู้ล่ะ พระวิญญาณสถิตอยู่ในฉัน เดี๋ยวพระเจ้านำฉัน สอนฉันเอง” … มันเป็นอย่างนี้จริงๆ

            เราจะจบลงที่ 1 ยอห์น 3:2 …

        1 ยอห์น 3:2 “ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้  บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ) เราเป็นลูกของพระเจ้าก็จริง เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ (ได้สวมร่างกายใหม่ที่เป็นขึ้นจากตาย) เพราะว่าเราจะสามารถเห็นพระองค์ ตามความเป็นจริง อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น”

            เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ ในโลกวิญญาณ เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วจริงๆ  เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร?  พูดกันตรงๆ  เรารู้ว่าในโลกวิญญาณ เราเป็นอย่างนี้ คือเป็นลูกของพระเจ้า วิญญาณสะอาดหมดจด ใจสะอาดหมดจด  เหมือนพระเยซูเลย ร่างกายเป็นร่างกายเดิมที่ได้รับการชำระจนสะอาดหมดจดแล้ว  ไม่มีบาปเลย แต่เรายังทำบาปอยู่ เพราะเราอาจถูกล่อลวงให้พลั้งพลาดได้เป็นเรื่องธรรมดา นี่มันอย่างนี้ ให้เรายึดมั่นตรงนี้ ดำเนินชีวิตอย่างนี้ มันก็เป็นอิสระ มันก็สบาย มันก็สู้กับโลกใบนี้ เรื่องความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อย่างเดียว ซึ่งก็พอแล้ว ไม่ต้องมาสู้กับโลกวิญญาณอีก ในโลกวิญญาณฉันฉลุยแล้ว ดำเนินชีวิต เพื่อไปเปลี่ยนร่างกายใหม่ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายสวรรค์ที่พระเจ้าสัญญาไว้ เตรียมไว้ เพื่อวันหนึ่งที่เราจากโลกนี้ไป  พอจากไปปุ๊บ จะเห็นพระเยซูปรากฏ พระเยซูก็เปลี่ยนร่างกายเดิมให้เป็นร่างกายใหม่ ให้เป็นร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ นี่คือสิ่งที่ท่านได้รับแน่นอน 100% ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง ไม่มีใครมาทำให้เป็นอื่นได้อีกแล้ว ดำเนินชีวิตโดยพุ่งเป้ามาที่นี่ แอ่นอกเหมือนนักกีฬาวิ่ง โน้มตัวไปข้างหน้า เพื่อไปสู่เส้นชัย เขาไม่มองซ้ายมองขวา เขามองตรงไปเลย ตรงไปที่เส้นชัย  และเส้นชัยของเรา คือพระเยซูคริสต์ วิ่งไปเลย ซ้ายขวา คือทำผิดบ้าง ทำพลาดบ้าง ใครมาฟ้องผิดเรา ไม่สนใจ ฉันวิ่งตรงไปอย่างเดียว ไปที่พระเยซูคริสต์ เมื่อไปถึงเส้นชัย เห็นพระเยซูคริสต์เมื่อไร เมื่อนั้นฉันเป็นอิสระเรียบร้อยแล้ว จากโลกใบนี้ ฉันเข้าไปสู่ชีวิตนิรันดร์ ร่วมครอบครองกับพระเยซูคริสต์ เห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า  ตามความเป็นจริง และเห็นตัวเองเต็มไปด้วยสง่าราศีเหมือนพระเยซู ตามความเป็นจริง และจะครอบครองโลกใหม่ที่ไม่เหมือนใบนี้  โลกใหม่ที่พระเจ้าสร้างใหม่ และสรรพสิ่งที่ในโลกใหม่ที่พระองค์ทรงสร้างให้ฉันเข้าไปครอบครองร่วมกับพระเยซู และร่วมกับธรรมิกชนทั้งหลาย ตลอดไปชั่วนิรันดร์ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “ฉันได้เกิดใหม่เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว นิรันดร์”

            ถ้าท่านแค่เปิดใจต้อนรับสิทธิของท่าน ที่พระเยซูคริสต์ ได้กระทำให้กับท่านบนไม้กางเขน ท่านจะได้รับสิทธินี้ทันที คือการบังเกิดใหม่เป็นคริสเตียนอยู่ในพระคริสต์

            และสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นทันทีบนโลกใบนี้ พิสูจน์ได้ ไม่ต้องรอถึงโลกหน้าหลังความตาย ซึ่งมันสายไปแล้ว

            ข่าวดีนี้เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ของพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก กระทำการอัศจรรย์ มนุษย์ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้เลย

            คริสเตียน! ท่านได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า ได้มีชีวิตใหม่ ได้เป็นคนใหม่ ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

            1 เปโตร 1: 3-4 … “3 สรรเสริญพระเจ้า  พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่  พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่  เข้าในความหวังอันยืนยง  โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และ (ได้เป็นทายาท) เข้าในมรดก  อันไม่มีวันเสื่อมสลาย  เน่าเสีย  หรือเลือนหายไป  ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว  เพื่อพวกท่าน”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1489 

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  กันยายน  2024

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 8

โดย วราพร  คงล้วน

            เรามาต่อในหนังสือกาลาเทีย 3:13 …

        กาลาเทีย 3:13 “พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราพ้น  จากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ โดยทรงรับคำสาปแช่งแทนเรา เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า “ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ก็ถูกแช่งสาปแล้ว”

            เราเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าในหนังสือกาลาเทีย ก็คืออาจารย์เปาโลกำลังจัดระบบระเบียบ ความคิดของผู้เชื่อในกาลาเทีย ให้สามารถเข้ามาอยู่ในลู่ของพระองค์อย่างชัดเจน  เนื่องจากมีผู้คนมาสอนความจริงในพระวจนะของพระเจ้า สอนถ้อยคำของพระเจ้า แบบบิดๆ เบี้ยวๆ เพี้ยนไป ทำให้คนในคริสตจักรแห่งนี้ เกิดความไขว้เขว ในเรื่องของความรอด ผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ซึ่งคนเหล่านี้ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ได้รับความจริงในเรื่องราวของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่เริ่มต้น เขาก็เชื่อตามที่อาจารย์เปาโลบอก พระเจ้าบอกว่าเขาเป็นอิสระแล้ว เขาได้รับความรอด เขาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเยซูได้ทำให้เขาเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว นั่นเขาเชื่อเมื่อตอนต้นๆ

            พอไปๆ มาๆ มีคนมาสอนเพิ่มว่าความเชื่ออย่างเดียวไม่พอ  จำเป็นต้องมีการประพฤติด้วย ท่านต้องทำโน่นทำนี่ ทำนั่นเพิ่มพูนขึ้นมา  เพื่อที่จะรักษาความรอดนี้ไว้ เพื่อทำให้ความรอดครบถ้วนสมบูรณ์ ซึ่งคำสอนเหล่านี้ เป็นคำสอนที่ไม่ตรงตามถ้อยคำของพระเจ้า ถ้อยคำของพระเจ้า พระเยซู พระองค์บอกว่าพระองค์ตายบนไม้กางเขน เป็นขึ้นมาจากความตาย  พระองค์ทำสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ทุกอย่าง พระองค์ทำให้ครบถ้วน สมบูรณ์ ใครก็ตามที่มาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะได้รับทุกสิ่งครบถ้วนสมบูรณ์ โดยที่เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีก แค่เชื่อเท่านั้น เขาก็ได้รับสิ่งสารพัด พระพรนานัปการพระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเขาเรียบร้อยไปแล้ว

            ฉะนั้น ตรงนี้อาจารย์เปาโลยังคงเน้นย้ำว่าพระเยซูคริสต์ได้ไถ่เรา ให้พ้นจากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ ก่อนหน้านั้น ในข้อที่ 10 บอกว่าแช่งทุกคนที่ไม่ได้ปฏิบัติตามทุกข้อทุกสิ่ง ที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ ซึ่งในยุคนั้นจะมีคำสอนที่ว่ามีความเชื่ออย่างเดียวไม่พอ  เราจำเป็นจะต้องทำตามกฎบัญญัติด้วย  ซึ่งอาจารย์เปาโลพยายามเน้นย้ำให้เห็นว่าถ้าใครก็ตาม  คิดที่จะทำตามบทบัญญัติ  เพื่อที่จะได้รับความรอด  เขาจำเป็นจะกระทำตามบทบัญญัติทุกจุด ทุกขีด ทุกเวลา ทุกวินาที คือไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีข้อผิดพลาดเลย เขาถึงสามารถได้รับพระพรจากพระเจ้า  แต่ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำได้  ใครก็ตามที่พึ่งบทบัญญัติก็ถูกสาปแช่ง  มันเป็นกฎที่ตายตัวอยู่แล้ว  เพราะพระเจ้าบอกว่าใครก็ตามที่ไม่ทำตามกฎบัญญัติทุกจุด ทุกขีด ก็ถูกสาปแช่ง

            พอมาถึงข้อที่ 13 อาจารย์เปาโลยืนยันว่าพระเยซูคริสต์ได้ยอมถูกสาปแช่ง  เพื่อพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว  เพราะว่าในพระคัมภีร์บอกว่าใครก็ตามที่ถูกแขวนไว้บนต้นไม้นั้น ก็ถูกสาปแช่ง แล้วพระเยซูคริสต์ได้ถูกแขวนไว้บนต้นไม้นั้น เรียบร้อยไปแล้ว ตอนนี้อาจารย์เปาโลพูดถึง ณ เวลานั้น ก็คือพระเยซูคริสต์เพิ่งสิ้นพระชนม์หมาดๆ เลย อาจจะไม่กี่ปีเท่านั้นเอง เพิ่งจะเป็นขึ้นมาจากความตาย 

            แต่มาถึงยุคของเรา คือ 2,000 ปีผ่านมาแล้ว สิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ ก็ยังเหมือนเดิม จริงๆ เรื่องของโลกวิญญาณ มันเป็นเรื่องของปัจจุบัน ที่ทุกวันนี้เราต้องพูดว่าเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  เพราะเรายังเป็นมนุษย์ เรายังต้องอธิบายให้ฟังว่ามันตั้งนานแล้วนะ ตั้ง 2,000 ปีที่แล้ว  แต่ความเป็นจริงในโลกวิญญาณ คือสิ่งนี้มันเกิดขึ้นเดี๋ยวนี้ ทันที ใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ได้ตายแทนเขาเดี๋ยวนี้ทันที เขาได้รับความรอดทันที นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ  ในโลกวิญญาณจะไม่มีสถานที่ ไม่มีเวลา ไม่มีอะไรทั้งนั้น ที่พระเยซูทำ ก็คือทำทันทีให้กับผู้เชื่อทั้งหลาย ใครก็ตามที่เชื่อสิ่งนี้ มันเกิดขึ้นกับชีวิตของเขาทันที นี่คือความจริง ที่อาจารย์เปาโลพยายามเน้นย้ำๆ ให้คนในยุคนั้น ชาวกาลาเทียรับรู้ และในขณะเดียวกัน เน้นย้ำให้พวกเราปัจจุบันที่ 2,000 ปีผ่านมาแล้ว เน้นย้ำเรื่องเดียวกัน เรื่องเดิม ก็คือมันเกิดขึ้นทันที ในชีวิตของพวกเรา ณ เวลานี้ พระเยซูคริสต์ได้ตายแทนพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว แล้วเราก็ได้รับสิ่งนี้เรียบร้อยไปแล้วด้วย ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็ได้รับไปแล้ว พอถึงข้อที่ 14 บอกว่า …

        กาลาเทีย 3:14 “พระองค์ทรงไถ่เรา เพื่อว่าพระพรที่มีแก่อับราฮัมจะมาถึงคนต่างชาติโดยทางพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าโดยความเชื่อเราจะได้รับพระวิญญาณตามพระสัญญา”

            ตรงนี้ ในพระคัมภีร์ พระเจ้าได้สัญญากับอับราฮัม ตั้งแต่ตอนที่พระเจ้าเรียกอับราฮัมออกจากบ้านเมือของตัวเอง ออกจากครอบครัวของตัวเอง แล้วพระองค์ก็บอกว่าจะอวยพรเขา อวยพรผ่านพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม ซึ่งพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมก็ไม่ได้หมายถึงคนเยอะแยะมากมาย แต่หมายถึงพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมผู้เดียวเท่านั้น ซึ่งเล็งถึงพระเยซูคริสต์

            ฉะนั้น ทุกประชาชาติจะได้รับพรผ่านทางพระเยซูคริสต์ เพื่อว่าคนที่เชื่อ ไม่ได้บอกว่าคนที่ประพฤตินะ ในพระคัมภีร์ อาจารย์เปาโลไม่เคยบอกว่าคนที่ประพฤติจะได้รับความรอด  เพราะว่าไม่มีใครสามารถทำได้ แต่ใครก็ตามที่เชื่อ ก็จะได้รับพระวิญญาณ ตามพระสัญญา

            เราจะได้รับพระวิญญาณตอนไหน? ตอนที่เราเปิดใจ วางใจ ยอมรับพระเยซูคริสต์เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาบัพติศมาเรา เข้ามาทำขบวนการของการบังเกิดใหม่ ทันทีที่เราบังเกิดใหม่ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเรา นั่นคือพระพร เป็นของขวัญ อย่างที่บอก พอเราเปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ สิ่งทั้งหมด มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งเราไม่สามารถลำดับเหตุการณ์ได้ว่าอะไรก่อน อะไรหลัง มันมาพร้อมๆ กันเลย เหมือนเป็นก้อน ที่ถูกส่งเข้ามาทันทีเลย

            สิ่งที่มันเกิดขึ้น ทันทีที่เราวางใจในพระเยซูคริสต์ ในหนังสือยอห์น 3:16 มันเกิดขึ้นทันที  ก็คือใครที่วางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ ในหนังสือยอห์นไม่ได้บอกว่าใครก็ตามที่ทำตามกฎบัญญัติ แล้วเขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ไม่มี ใครก็ตามที่วางใจในพระเยซูคริสต์ ทันทีเขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์  ชีวิตนิรันดร์ชนิดเป็นเหมือนพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ทันทีเลย ในโลกวิญญาณ  ซึ่งในโลกวิญญาณ เราจำเป็นจะต้องเชื่อตามถ้อยคำของพระเจ้า  เพราะเราสัมผัสไม่ได้ เรามองไม่เห็น เราเชื่อพระเจ้าก็ยังเหมือนเดิม  พฤติกรรมบางอย่าง เราก็ยังคงทำเหมือนเดิม  ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง

            แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลง คือวิญญาณข้างในของเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ พระเจ้าได้เปลี่ยนวิญญาณใหม่ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้วทันทีที่เราวางใจในพระเยซูคริสต์ มันเกิดขบวนการของการผ่าตัดวิญญาณ เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ซึ่ง ณ ปัจจุบันเราต้องใช้ความเชื่อเอา เราไม่สามารถที่จะมารับรู้ความจริงเหล่านี้ ด้วยเหตุผล หรือด้วยสติปัญญาของมนุษย์ มันทำไม่ได้ แต่เราเชื่อด้วยวิญญาณของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเรา จะเป็นผู้ยืนยันให้กับเราได้รับรู้ว่าตอนนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า พระวิญญาณข้างในยืนยันนะ ไม่อย่างนั้น เราไม่กล้าเรียกพระเจ้าว่าพระบิดาหรอก ใครจะกล้าเรียก ก่อนเชื่อพระเจ้า พี่น้องกล้าเรียกไหม? กล้าอธิษฐานไหม? …

            “พระเจ้า พระบิดา ลูกอย่างโน้น ลูกอย่างนี้ ลูกขอ ลูกโน่น นี่ นั่น”

            กล้าพูดไหม? ไม่กล้า เราเขินมาก พูดได้อย่างไร?  เหมือนลิเกเลย ใครจะกล้าพูด แต่สิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆ คือทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ข้างในวิญญาณ พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันกับเรา ทำให้เรามีความสามารถเชื่อว่าสิ่งนี้มันเป็นจริง และมันเกิดขึ้นกับเราจริงๆ  เราได้รับวิญญาณใหม่จากพระเจ้าจริงๆ เราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ  เราเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์จริงๆ เราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ มันเข้าไปอยู่ในวิญญาณของเรา  พอหลังจากเราเชื่อตรงนี้ นานวันเข้า เราอาจจะโดนคำสอนต่างๆ เข้ามา เขาก็จะไขว้เขว พอไขว้เขว มันก็จะเกิดปัญหา เราก็จะเริ่มสงสัย …

            “เชื่ออย่างเดียวไม่พอ เราน่าจะทำโน่นบ้าง ทำนี่บ้าง”

            ซึ่งมันไม่จำเป็นไง พระเจ้าบอก … “ฉันทำเสร็จแล้ว เธอไม่จำเป็นต้องทำอะไรหรอก เธอแค่เชื่อเอา”

            หลายคนอาจจะคิดว่า … “อ้าว! ไม่ต้องทำอะไร แล้วคริสเตียนทำอะไรล่ะ อยู่เฉยๆ หรือ?”

            มันเฉยไม่ได้หรอก พี่น้องเชื่อไหมว่าคริสเตียนเฉยไม่ได้  เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ตามถ้อยคำของพระเจ้า พระองค์จะประกอบกิจอยู่ในเรา  พระเจ้าจะเป็นผู้ทำงานในวิญญาณของเรา แล้วพระองค์ก็จะบอกเรา นำเราว่าวันนี้ พระองค์จะให้เราทำอะไร? เราแค่เงี่ยหูฟังอย่างเดียว  เราไม่ต้องนำหน้าพระเจ้า ให้พระเจ้านำเราทุกวัน ทุกวันพระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำเราในการทำงานของพระองค์ ไม่ว่างานนั้นจะเป็นงานเล็กงานน้อย งานฝอยอะไรก็แล้วแต่ แล้วแต่พระเจ้านำ บางคนอยู่ที่บ้าน เราอยู่ที่บ้านเฉยๆ แล้วพระเจ้าจะนำเราอย่างไร? นำได้นะ

            ถ้าพี่น้องเป็นแม่บ้าน พระเจ้าก็จะนำท่านในการดูแลครอบครัว ดูแลลูก ดูแลหลาน ดูแลสารทุกข์สุกดิบของครอบครัว  นี่คือหนึ่งของงานรับใช้นะ พี่น้องอาจจะคิดว่างานรับใช้พี่น้องต้องวิ่งมาที่โบสถ์ งานรับใช้พี่น้องต้องมาอยู่ทีมนมัสการ งานรับใช้พี่น้องต้องมาช่วยทำโน่นทำนี่ที่โบสถ์ ถึงเรียกว่างานรับใช้ แต่งานรับใช้จริงๆ มันอยู่รอบตัวเรา พระเจ้าสามารถใช้เราได้ทุกรูปแบบ วันหนึ่งพระเจ้าอาจจะทำงานในใจเรา พี่น้องคนหนึ่งป่วยนะ ในโบสถ์ของเรา แล้วพระเจ้าก็นำเรา มีความปรารถนาที่จะไปเยี่ยมพี่น้องของเรา นั่นแหละ คืองานรับใช้  แล้วเราก็ได้ไปหนุนจิตชูใจซึ่งกันและกัน

            ฉะนั้น งานรับใช้ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก พระเจ้าจะเป็นผู้นำเราเอง เราไม่ต้องพยายามที่จะขวนขวาย หรือพยายามที่จะเสาะหา หรือนั่งไล่ล่าเลยนะว่าวันนี้เราต้องทำอะไร?  เราต้องไปหาใคร? เราต้องไปโรงพยาบาล? เราต้องไปอธิษฐานวางมือให้คนเจ็บคนป่วย ให้คนนั้นหายโรค พระเจ้าจะใช้เราแบบนั้นจริงหรือ?  ไม่จริง พระเจ้าจะใช้เราแบบปกติ ธรรมดา ใช้ชีวิตประจำวันของเรานั่นแหละ  แล้วพระองค์จะส่งใครก็ได้ ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา แล้วเราก็ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้า ตามส่วนนั้นแหละ เมื่อพระเจ้านำ แล้วเมื่อเราทำเสร็จ  มันก็ไม่ได้เป็นความดีอะไรของเราเลย เราไม่ต้องยืดคอว่า …

            “ฉันได้ทำ”

            ไม่ใช่  เมื่อเราทำเสร็จ เราก็ขอบคุณพระเจ้า  ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ให้โอกาสเรา  ได้ทำส่วนนี้ ส่วนนั้น ในอาณาจักรของพระองค์ แต่อย่างที่บอก ไม่ว่าเราจะทำอะไรบนโลกใบนี้ มันไม่มีผลอะไรกับความรอดของเรา ไม่เกี่ยวกัน เรื่องของวิญญาณกับเรื่องของโลกนี้ มันไม่เกี่ยวกัน

            ฉะนั้น การปฏิบัติบนโลกใบนี้  มันจะส่งผลของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ถ้าเราดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณนำเรา ตามตัวตนแท้ๆ ที่อยู่ข้างในเรา ซึ่งเป็นความรักออกไป เราจะเก็บเกี่ยวผลบนโลกใบนี้ คือเราได้รับสันติสุข

            พี่น้องรู้สึกไหมว่าทันทีที่เราได้มีโอกาสทำอะไรให้ใคร แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยนิดเดียว ข้างในวิญญาณเรามีความสุข เป็นไหม? เรารู้สึกปลื้ม ไม่เห็นมีใครมาปลื้มกับเราเลย แต่เราปลื้ม เรามีความสุข หรือวันนี้เราไปเจอใคร ซึ่งไม่ต้องเป็นคริสเตียนก็ได้ บังเอิญอยู่ตรงหน้า อยู่บนรถเมล์ เขาไม่รู้จักที่ เขาบอกจะลงป้ายนี้ ช่วยบอกด้วยกระเป๋า ปรากฏว่าพอถึงป้ายกระเป๋าลืมบอก แล้วตะกี้เราได้ยินว่าเขาจะลงป้ายนี้ เราก็หันไปถาม …

            “จะลงป้ายนี้ใช่ไหมค่ะ”

            แค่นั้นเอง นั่นแหละ มีความสุขแล้ว เราได้ช่วยเขา ใช่ๆ ถึงที่ แล้วเขาก็ลงไป  แทนที่เราไม่บอก ช่างเขาเถอะ เรื่องของเขา  ไม่เกี่ยวกับเรา  เขาก็เลยไปหลายป้าย แล้วเขาก็ต้องวิ่งกลับมาอีก เสียเวลา

            นี่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เราสามารถทำได้จริงๆ  ซึ่งมันเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องพยายามไปสืบเสาะ หรือไปเที่ยวหาว่าวันนี้เราต้องไปรับใช้ใคร เราจะต้องไปสุ่มหาคนที่เราจะต้องปรนนิบัติรับใช้ ไม่ต้องนะพี่น้อง พระเจ้าจะนำเราเอง นี่คือภาพการดำเนินชีวิตของผู้เชื่อทั้งหลาย

            มีพี่น้องคนหนึ่ง เราไลน์คุยกัน …

            “ต้องขอโทษจริงๆ ช่วงนี้ไม่ได้มาโบสถ์เลย รู้สึกผิดมากเลย”

            “ทำไมถึงรู้สึกผิด”

            “ช่วงนี้ต้องดูแลคุณแม่ คุณแม่ติดเตียง ไม่สามารถมาโบสถ์ได้”

            ดิฉันบอกเขาว่า “นั่นคือหนึ่งของการรับใช้  แล้วไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะว่าอันนั้นแหละ คือส่วนที่ดีที่สุด”

            การมาโบสถ์ไม่ได้เป็นเครื่องหมายบอกว่าเรารักพระเจ้า  แต่การดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยของพระเจ้าต่างหาก คือสิ่งที่จำเป็น  ฉะนั้น ถ้าคุณแม่ป่วย ไม่สบาย ติดเตียง  แล้วไม่มีคนดูแล เราจำเป็นต้องเป็นคนดูแล แล้วเรายืนกรานว่า  …

            “ไม่ได้วันอาทิตย์เราต้องมาโบสถ์”

            ทิ้งคุณแม่ไว้แล้วกัน อยู่บ้านคนเดียว เรามาโบสถ์ แล้วเราค่อยกลับบ้าน เราทำเพื่ออะไร?  เพื่อให้คนอื่นมองว่าเรารักพระเจ้า เรามาโบสถ์หรือ?  มันไม่ใช่แน่นอน  มันเป็นไปไม่ได้  แล้วก็ไม่ใช่น้ำพระทัยพระเจ้าที่อยากให้เราเป็นอย่างนั้นด้วย

            ฉะนั้น ให้พี่น้องเห็นภาพ ความเป็นจริงในการดำเนินชีวิตคริสเตียน ที่เราไม่ได้ถูกยึดด้วยกฎบัญญัติ เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎบัญญัติที่บอกเราว่าต้อง ต้อง แล้วก็ต้อง

            พระเยซูบอกว่าถ้าท่านรู้ความจริง ความจริงจะปลดปล่อยท่านให้เป็นไทใช่ไหม? สมัยก่อนไม่รู้ความจริง เรามีความรู้สึกว่าขาดโบสถ์ไม่ได้ ดิฉันคนหนึ่ง รู้สึกว่าดิฉันขาดโบสถ์ไม่ได้ ขาดโบสถ์ ดิฉันรู้สึกผิดกับพระเจ้ามากๆ ไม่ว่าใครจะเป็นจะตายในบ้าน ปล่อยเขาไปก่อน  ต้องมาโบสถ์ก่อน แล้วค่อยกลับไปว่ากัน มันเป็นความคิดที่พอย้อนกลับไปดู ทำไมเราถึงเป็นคนแบบนั้น  ทำไมเราถึงมีความคิดแบบนั้น  ซึ่งมันไม่ถูกต้อง ไม่ใช่น้ำพระทัย พระเจ้าไม่ต้องการให้เราทำอย่างนั้น เหมือนที่พระเยซูบอกว่า …

            “เราประสงค์ความเมตตากรุณา เราไม่ได้ประสงค์เครื่องสัตวบูชา”

            พี่น้องนึกภาพออกไหม?  เหมือนพวกฟาริสีจับผิดพระเยซูคริสต์ว่ามาทำเรื่องโน้นเรื่องนี้ ช่วยเหลือคนในวันสะบาโต แล้วก็มาจับผิดพระเยซูว่าพระเยซูทำผิดกฎนะ แล้วพระเยซูก็ยกตัวอย่างว่าถ้าวันสะบาโต พี่น้องมีวัวควายตัวหนึ่งตกบ่อ ท่านไม่รีบไปช่วยขึ้นมาหรือ? ปล่อยเขาไป ปล่อยให้ตายอยู่ในบ่อ มาโบสถ์ก่อน เป็นไปได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้ ท่านก็ต้องช่วยก่อน แล้วค่อยมาโบสถ์ทีหลัง หรือวันนั้น อาจจะไม่มีโอกาสมาโบสถ์ ก็ไม่เป็นไร?

            ไม่ว่าพี่น้องจะมาโบสถ์หรือไม่มาโบสถ์  พระเจ้าก็อยู่ในท่าน  พระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน อยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าท่านอยู่ที่ไหน? พระเจ้าอยู่ด้วย แต่การมาโบสถ์ มันได้เสริมกำลัง มาโบสถ์ไม่ได้ทำให้ท่านเป็นลูกของพระเจ้าเพิ่มขึ้นเลย  ไม่เกี่ยวกันเลยนะ ท่านก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้าที่พระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ  เหมือนเดิมเลย  ไม่มีเพิ่มพูน แต่การมาโบสถ์ มันเป็นการหนุนจิตชูใจซึ่งกันและกัน เวลาเรามาโบสถ์  เราเห็นพี่น้อง เรามีความสุขไหม?  เห็นคนนี้มา เห็นคนโน้นมา แค่เห็น  ไม่ต้องทักก็ได้  แค่ดิฉันเห็นบนเวที ดิฉันยิ้ม เห็นแล้วมีความสุข วันนี้พี่น้องคนนี้มา คนนั้นมา เราก็มีความสุข นี่คือการหนุนจิตชูใจซึ่งกันและกัน แล้วการได้มาคริสตจักรของพระเจ้า ได้มาฟังถ้อยคำของพระองค์ ก็จะเสริมกำลังเรา พระองค์บอกว่าถ้อยคำของพระองค์เป็นฤทธิ์เดช ถ้อยคำของพระองค์ไม่ได้เป็นคำสอนแบบเหมือนเราสอนในโรงเรียน  สอนต้องทำอย่างโน้น ต้องทำอย่างนี้  ต้องทำอย่างนั้น ไม่มี พระเยซูไม่เคยสอนว่าต้องทำอะไร แต่พระเยซูสอนว่าควรทำอะไร?  “ต้อง” กับ “ควร” ไม่เหมือนกันนะ ต้อง คือการบังคับ ต้องทำให้ได้ ไม่ทำก็ผิด  แต่ควร หมายความว่าเราเป็นลูกของพระองค์แล้ว เราควรจะทำเลียนแบบเหมือนพระองค์ แต่ถ้าเกิดเราไม่ได้ทำ ก็ไม่เป็นไร เราก็ยังคงเป็นลูกของพระองค์เหมือนเดิม แต่ถ้าเรายังถูกคลุมด้วยความรู้เดิมๆ ที่บอกว่าเราต้อง  พอต้องปุ๊บ กลายเป็นว่าทุกอย่างที่เราทำให้พระเจ้า เราถูกบังคับมา ไม่ได้ทำจากใจ แต่พระเจ้าต้องการให้เรามาหาพระเจ้าจากใจ ใจข้างในเรา  ไม่มีใครบังคับเรามา  แต่เราอยากมา  อยู่ไกลแค่ไหน เราก็อยากจะดั้นด้นมา บางอาทิตย์เราไม่ได้มา เราก็ไม่เป็นไร ก็ไปฟังย้อนหลังทูยูป พระเจ้าน่ารักมาก ให้เทคโนโลยีช่วยเราได้เยอะเลย สมมติว่าอาทิตย์นี้เราตกงานอยู่ แล้วมีบริษัทเรียกเราไปสัมภาษณ์ แล้วมาเรียกวันอาทิตย์พอดี ยังไงล่ะ …

            “ไม่เอาเราต้องเอาพระเจ้าก่อน ทิ้งมันไป  แล้วรอคราวหน้า”

            รอคราวหน้า โอกาสอาจจะไม่มาถึงท่านก็ได้ พี่น้องนึกออกไหม?

            ฉะนั้น พระเจ้าไม่ได้ไปไหน? พระเจ้าก็อยู่กับท่าน  ไปกับท่าน อะไรที่ท่านสามารถทำได้ ท่านก็ไปทำ เมื่อพระเจ้าเปิดโอกาสแล้ว ท่านก็ไปสัมภาษณ์ สัมภาษณ์เสร็จ ท่านได้งาน มีโอกาส ท่านก็มาโบสถ์ ก็แค่นั้นเอง  มันไม่ได้เป็นภาระที่ว่าท่านจะต้องถูกบังคับ ด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่มนุษย์ตั้งขึ้น เพื่อบีบบังคับให้ท่านกลัวว่าถ้าวันไหนท่านไม่มาโบสถ์ พระเจ้าจะไม่พอใจ  ถ้าวันไหนท่านไม่อธิษฐาน พระเจ้าจะไม่รักเรา  หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ให้เรารับรู้ความจริงว่าไม่ว่าเราจะทำหรือไม่ทำ พระเจ้าก็รักเราเหมือนเดิมเลย เท่าเดิมเลย คือพระเยซูคริสต์รักเราจนที่สุดแล้ว ตายแทนเราบนไม้กางเขนเรียบร้อยไปแล้ว เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไม่ว่าพี่น้องจะทำอะไรมากหรือน้อย ความรักของพระเจ้าเท่าเดิม ท่านไม่สามารถที่จะปฏิบัติ หรือทำอะไร เพื่อทำให้พระเจ้ารักเรามากขึ้น  หรือประพฤติ ปฏิบัติให้เราเป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้น ยืนยัน พระเยซูคริสต์บอกว่าการเป็นผู้ชอบธรรม พระเยซูคริสต์ทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ทันทีที่บังเกิดใหม่ เราเป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือความจริงที่เราจะต้องยึดไว้

        กาลาเทีย 3:15-17 “15 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างจากชีวิตประจำวัน พันธสัญญาของมนุษย์ เมื่อตกลงกันแล้วก็ไม่มีใครยกเลิกหรือเพิ่มเติมได้ฉันใด กรณีนี้ก็ฉันนั้น 16 พระเจ้าทรงทำพระสัญญาต่างๆ  กับอับราฮัม และพงศ์พันธุ์ของเขา พระคัมภีร์ไม่ได้ระบุว่า “แก่บรรดาพงศ์พันธุ์” อันหมายถึงผู้คนมากมาย แต่ระบุว่า “แก่พงศ์พันธุ์ของเจ้า” อันหมายถึงคนเพียงคนเดียว  คือพระคริสต์ 17 ข้าพเจ้าหมายความว่าอย่างนี้  คือบทบัญญัติซึ่งมีมาภายหลัง 430 ปี  ไม่ได้ล้มล้างพันธสัญญาที่พระเจ้าได้ทรงตั้งไว้ก่อนแล้ว และด้วยเหตุนี้ บทบัญญัติจึงไม่ได้ยกเลิกพระสัญญา”

            สัญญาที่พระเจ้าให้อับราฮัม คือก่อนที่จะมีบทบัญญัติขึ้นมา ตั้งแต่ปฐมกาล พระเจ้าให้สัญญาว่า …

            “เราจะอวยพรเจ้า พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะเป็นเหมือนเม็ดทรายบนทะเล เหมือนดาวบนท้องฟ้า ถ้าเจ้านับได้ พงศ์พันธุ์ของเจ้าก็จะเยอะขนาดนั้น”

            นี่คือพระสัญญา พอจากนั้น ดำเนินมาเรื่อยๆ สัญญานี้ ก็ยังไม่สำเร็จ หลายสิบปีผ่านไป ก็ยังไม่สำเร็จ จนพระเจ้าอวยพรผ่านทางอิสอัค ซึ่งพระเจ้าบอกว่าพระเจ้าจะให้ลูกตามพระสัญญา  แล้วจากสายเลือดของอิสอัคเรื่อยๆ จนถึงพระเยซูคริสต์ พอถึงพระเยซูคริสต์ ตอนที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็คือพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้เรียบร้อยไปแล้ว  แต่กว่าที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์ พระสัญญาของพระเจ้าตั้งแต่ปฐมกาล ดำเนินมาหลายพันปี ซึ่งมนุษย์ในสมัยก่อนเขารอแล้วรออีก รอพระมาซีฮาห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  คือคนอื่นที่คนต่างชาติเขาไม่รู้จักหรอก พระมาซีฮาห์คือใคร? พระเยซูคริสต์คือใคร? แต่มีกลุ่มคนที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ ก็คือชาวยิว  เขาจะรู้จัก เพราะพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ แล้วพระองค์ก็บอกให้กับกลุ่มคนเหล่านี้ ให้รับรู้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า  พระองค์จะส่งพระมาซีฮาห์มา เพื่อช่วยเขาให้รอด แล้วให้คนยิวเหล่านี้ ยึดถือบทบัญญัติไว้ก่อน บทบัญญัติเป็นเงา ในอนาคตข้างหน้า ที่พระเยซูคริสต์จะมาทำบทบัญญัติให้ครบถ้วนสมบูรณ์  ซึ่งบทบัญญัติเหล่านี้ มาเพื่อที่จะบ่งบอกให้มนุษย์รู้ว่ามนุษย์เป็นคนบาป ช่วยตัวเองไม่ได้ บทบัญญัตินี้ไม่ได้มาเพื่ออะไรเลย พระเจ้าต้องการที่จะให้มนุษย์รู้ว่ามนุษย์เป็นคนบาป  มนุษย์เกิดมาบาป เพราะบรรพบุรุษของมนุษย์ล้มลงในความบาป  มี DNA บาป ต่อให้ทำดีขนาดไหน? เชื้อบาปก็ยังคงอยู่  ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เปลี่ยนแปลงได้ทางเดียว ก็คือต้องตาย แล้วไปเกิดใหม่เท่านั้นเอง ตายจากตระกูลบาป  ไปเกิดใหม่ในตระกูลชอบธรรม  มีวิธีเดียวเท่านั้น แล้ววิธีนี้ พระเจ้าก็วางแผนมานานมาก จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์

            ฉะนั้น เมื่อพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ไม่ได้เกิดจากเชื้อบาปของมนุษย์ แต่พระองค์เกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระองค์เป็นมนุษย์คนเดียวบนโลกใบนี้ ที่ไม่มีบาปเลย แล้วเป็นมนุษย์คนเดียวบนโลกใบนี้ สามารถที่จะทำตามกฎบัญญัติทุกจุด ทุกขีดอย่างไม่มีการผิดพลาดเลย นั่นแหละ พระองค์จึงสามารถที่จะมาเป็นตัวแทนของมนุษยชาติ ทำให้บทบัญญัติครบถ้วนสมบูรณ์ในตัวของพระองค์เอง แล้วพระองค์ก็เดินไปที่แดนประหาร เพื่อที่จะสิ้นพระชนม์ แทนมนุษยชาติทั้งหมด ตามกฎที่พระเจ้าตั้งไว้

            เราจำกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ตั้งแต่เริ่มต้นได้ไหม? ที่พระเจ้าบอกอาดัมว่า …

            “เจ้าอย่ากินต้นไม้ต้นนี้  ถ้าเจ้าขืนกิน เจ้าจะตาย”

            ค่าจ้างของความบาป คือความตาย  แต่ของประทานจากพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ คือความชอบธรรม พระพรนานัปการที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับมนุษยชาติ ฉะนั้น กฎอันนี้พระเจ้าล้มเลิกไม่ได้ เมื่อพระเจ้าตั้ง พระเจ้าเป็นผู้รักษากฎด้วย มีความตายอย่างเดียวเท่านั้น ที่จะสามารถชดใช้หนี้บาปนี้ได้ แล้วใคร? มนุษย์คนไหนในโลกใบนี้ ที่จะสามารถมาตายแทนกันได้ มีไหม? ไม่มี ทุกคนเป็นคนบาป  หรือจะพูดอีกนัยหนึ่ง คือทุกคนติดหนี้หมด ไม่มีใครสามารถใช้หนี้ให้กับใครได้เลย เป็นหนี้เป็นสินกันทั่วโลกเลย ซึ่งต้องมีใครคนหนึ่งที่ไม่มีหนี้เลย แล้วเป็นมหาเศรษฐีด้วย อัครมหาเศรษฐีที่จะมีเงินเป็นกอบเป็นกำ สามารถมาใช้หนี้แทนมนุษย์ทั้งหมดบนโลกใบนี้ได้

            พระเยซูไม่ได้มาใช้หนี้เป็นตัวเงิน แต่พระองค์มาใช้หนี้บาปด้วยชีวิตของพระองค์เอง ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต ถ้าไม่มีการหลั่งโลหิต ก็จะไม่มีการอภัยบาป  ถ้อยคำพระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น  ก็คือชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต จากวันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป  พระเจ้าฆ่าสัตว์ตัวหนึ่ง  เอาเลือดมาปะพรม เอาหนังมาห่อหุ้มร่างกาย  เป็นการชั่วคราว แล้วรอถึงวันที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาบนโลกใบนี้ พระเยซูคริสต์เป็นผู้ที่ยอมเดินไปที่ไม้กางเขน ยอมหลั่งพระโลหิตของพระองค์เอง ตอนนี้พระองค์ไม่ได้ใช้เลือดสัตว์  ถ้าเป็นมนุษย์ ปุโรหิตที่พระเจ้าตั้งไว้บนโลกใบนี้ ปุโรหิตทุกคนจะใช้เลือดของสัตว์ที่บริสุทธิ์ ที่ไม่มีตำหนิ เอาเข้าไปถวายในอภิสุทธิสถานของพระเจ้า เพื่อลบล้างบาปให้กับคนๆ นั้น คือแต่ละคนต้องพกสัตว์ของตัวเองมา ไม่มีใครแทนใครได้ สมัยก่อน ชาวยิวทุกคน ถึงปีหนึ่ง เขาต้องเดินทางไปที่เยรูซาเล็ม  แล้วก็เอาสัตว์ไปตัวหนึ่งไปให้ปุโรหิต ไปถวายเป็นเครื่องบูชา เอาเลือดไปปะพรมพระวิหาร ซึ่งปุโรหิตจะเข้าไปทำงานปีละครั้งเดียวเอง เข้าไปในอภิสุทธิสถาน

            ฉะนั้น เรื่องนี้ดำเนินมาหลายพันปีมาก จนพระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์  แล้วพระองค์เดินเข้าไปที่แดนประหารด้วยตัวของพระองค์เอง ใช้เลือดอันบริสุทธิ์ของพระองค์เอง ชำระล้างบาปของมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้  แล้วพระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูคริสต์หลั่งพระโลหิตครั้งเดียวเป็นพอ ก็คือไม่ต้องเหมือนกับปุโรหิตเอาเลือดสัตว์มาทุกปี ไม่ใช่ทุกปีอย่างเดียว มีบาปเบี้ยใบ้รายทางในชีวิตประจำวัน ก็ต้องเอาเครื่องบูชามาถวาย แต่เบี้ยใบ้รายทางไม่ได้เข้าไปในห้องอภิสุทธิสถาน ก็แค่ห้องวิสุทธิสถานเท่านั้น

            มันเป็นขบวนการที่ยุ่งยากมาก สำหรับมนุษย์และสำหรับชาวยิวในยุคนั้น แต่เขาก็ภาคภูมิใจว่าเขาเป็นประชากรของพระเจ้า เขาได้รับสิทธิพิเศษ เขามีโอกาสมาถวายเครื่องบูชาให้กับพระเจ้า แต่ในขณะเดียวกันพระเจ้าก็บอกว่าให้รอคอย วันหนึ่งพระองค์จะส่งพระมาซีฮาห์มา แล้วเมื่อพระมาซีฮาห์มา ก็คือตัวจริงมาแล้ว  เงาก็ไม่ต้อง ระหว่างตัวจริงกับเงา อะไรสำคัญกว่ากัน  ต้องตัวจริงสำคัญกว่าใช่ไหม? เมื่อพระเยซูคริสต์มา พระเยซูบอกว่าพระองค์ยอมหลั่งพระโลหิตครั้งเดียวก็จบ หมายความว่าวันที่พระเยซูคริสต์อยู่ที่ไม้กางเขน  แล้วพระองค์ตะโกนดังๆ ว่า “สำเร็จแล้ว” แปลว่าขบวนการการไถ่ถอน ขบวนการที่พระเจ้าวางแผนมาหลายพันปี ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป ได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว

            ต่อจากวันนั้น วันที่ 3 พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย พระเจ้าได้เปิดศักราชใหม่ เปิดหนทางใหม่ให้กับมนุษยชาติ มนุษย์มีตัวเลือกใหม่ ที่จะสามารถเลือกได้ว่ามนุษย์จะยังคงอยู่ที่เดิม คือในบาป ในอาดัม ในคำสาปแช่ง หรือมนุษย์เลือกที่จะย้ายที่อยู่ใหม่ หลังจากที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย เราเลือกได้  แล้วข่าวดีนี้ ก็ถูกประกาศไป ตั้งแต่กลุ่มชาวยิว มาจนถึงกลุ่มคนต่างชาติ  ก็คือพวกเราทุกคน ซึ่งไม่ใช่เป็นยิว แต่เราเป็นอิสราเอล โดยความเชื่อ

            เราได้เรียนรู้ ได้ยิน ได้ฟัง เรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ถูกประกาศมา 2,000 ปี จากบรรพบุรุษ มาจนถึงรุ่นของเรา ซึ่งเราได้ยิน หลายคนอาจจะได้ยินมาหลายสิบปี แต่ยังไม่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แต่ว่าเมล็ดพันธุ์แห่งข่าวดีนี้ ถ้าเราไม่ทิ้ง มันจะถูกหว่านลงไปในวิญญาณของเรา แล้วมันก็ค่อยๆ เกิดผลตามวาระของมัน เมื่อถึงเวลากำหนด ข้างในวิญญาณเรา เราไม่รู้ว่าพระเจ้าทำอย่างไร? ไม่รู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำอย่างไร? แต่เร้าจากข้างใน ไม่ใช่ข้างนอกนะ เร้าจากข้างในวิญญาณ ในเรื่องราวข่าวดีที่เราได้ยินได้ฟังมาหลายสิบปี มันถูกขุดขึ้นมา ทำให้เราต้องการพระเจ้า ต้องการพระเยซูคริสต์ โดยเราก็หาสาเหตุไม่เจอ ไม่รู้เหมือนกัน บอกไม่ได้ว่าทำไม? เพราะอะไร? แต่รู้อย่างเดียวว่าไม่ได้แล้ว เราต้องไปโบสถ์  ไม่ได้แล้ว เราอยากจะมีพระเยซูเป็นพระเจ้าส่วนตัวของเรา  เราจะไปต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            เมื่อก่อนเราก็คิดว่าต้อนรับพระเยซูคริสต์ต้องมาโบสถ์เท่านั้น แต่ความเป็นจริง คือท่านอยู่ที่ไหน? ท่านก็ต้อนรับได้  ท่านอยู่ในบ้าน ท่านก็ต้อนรับได้ ท่านอยู่บนเตียงนอน ท่านกำลังจะนอน ท่านก็สามารถต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดได้เช่นเดียวกัน ก็คือท่านอธิษฐานกับพระเจ้าเลย คุยกับพระเจ้าเลย คุยแบบง่ายๆ ไม่ต้องมีราชาศัพท์ บังเอิญเราอ่านพระคัมภีร์ ราชาศัพท์เยอะ เราก็เลยติดคำราชาศัพท์

            “พระเจ้า พระบิดา ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  พระเจ้า ลูก ข้าพระองค์”

            อะไรอย่างนี้ เราก็ติด แต่ถ้าเราคุยกับพระเจ้า พระเจ้าเป็นพ่อเรา เป็นพ่อกับลูก เราเรียกพระเจ้าว่าพ่อก็ได้ เรียกพระเจ้าว่าปะป๊าก็ได้ เรียกพระเจ้าว่าแด๊ดดี้ก็ได้ คือมันเป็นความผูกพัน พี่น้องนึกออกไหม? เราก็อธิษฐานคุยกับพระเจ้าได้ ถ้าพี่น้องอยู่ที่บ้าน แล้วข้างในวิญญาณเร้าท่านว่า …

            “ฉันอยากได้พระเจ้าองค์นี้ ฉันอยากได้จริงๆ ฉันฟังมาเยอะแล้ว ฟังมานานมากเลย แล้วทุกคนที่เชื่อพระเจ้าองค์นี้”

            ทำไมเขาถึงมีความสุขอย่างนี้ เรารู้ได้อย่างไรว่าเขามีความสุข ขณะที่เขาเผชิญความทุกข์ยาก เขายังสามารถชื่นชมยินดีได้ มันเกิดอะไรขึ้น เขาก็อยากได้เหมือนเรานั่นแหละ พออยากได้ปุ๊บ พี่น้องไม่ต้องวิ่งมาโบสถ์ก็ได้ ไม่ต้องให้อาจารย์พาท่านอธิษฐาน ท่านอธิษฐานเลย …

            “พระเจ้า พระเยซู ลูกอยากได้พระองค์เป็นพระเจ้าส่วนตัวของลูก ขอรับลูกเป็นลูกของพระองค์ด้วยอีกคนหนึ่ง เสด็จเข้ามาเถิดพระเจ้า” แค่นั้น เอง “ในนามพระเยซู”

            แค่ท่านเปิดปาก ยอมรับพระเยซูคริสต์เท่านั้น ท่านจะพูดอย่างไรก็ได้ ไม่ต้องราชาศัพท์ พูดแบบภาษาง่ายๆ …

            “พ่อจ๋า อยากได้พระองค์เป็นพ่อ” แค่นั้น จบ

            พระเจ้าก็เข้ามาทำขบวนการของพระองค์ทันทีในโลกวิญญาณ อย่างที่ในพระคัมภีร์บอกว่า …

            “นี่แน่ เราเคาะอยู่ที่ประตูใจของท่าน ถ้าใครได้ยินเสียงของเรา แล้วเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้น  เราจะเข้าไปกินข้าวด้วย แล้วเราจะอยู่ในเขา และเขาจะอยู่ในเรา”

            นี่เป็นถ้อยคำพระเจ้าจริงๆ ในหนังสือวิวรณ์ ซึ่งสมัยก่อน เราก็เข้าใจถ้อยคำข้อนี้ผิดมหันต์มาก เราเข้าใจว่าถ้อยคำข้อนี้ พูดกับคริสเตียน ผู้เชื่อเวลาทำอะไรไม่ดี ไม่ถูกต้อง ทำบาป พระเยซูก็ระเห็จออกไปจากชีวิตของเรา แล้วพระเยซูก็ไปยืนอยู่ข้างนอก แล้วพระองค์ก็มาทุบประตูเรา …

            “ฉันอยู่ตรงนี้ๆ เปิดประตูหน่อย ให้ฉันเข้าไปหน่อย”

            มันไม่เกี่ยวกัน มันไม่ใช่เลย เมื่อเราเป็นผู้เชื่อ เมื่อเราบังเกิดใหม่ เมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้ว  พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา แยกจากกันไม่ได้ อย่างที่อาจารย์บอก ขิงดอง กระเทียมดอง อะไรดองทั้งหลาย คือดองแล้วดองเลย กลับไปที่เดิมไม่ได้ ก็คือพระเจ้าไม่ไปไหน? พระเจ้าบอกว่า …

            “เราสถิตอยู่ในเจ้า เราไม่ทอดทิ้งเจ้า เราอยู่กับเจ้าจนกว่าจะสิ้นยุค”

            นี่คือพระสัญญา ฉะนั้น อย่าให้ใครหลอกว่าพอท่านเผลอไปทำผิด หรือวันนี้ดื้อ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับตัวตนแท้ๆ ของเรา วันนี้ทำอย่างนี้นะ พระเจ้าออกไปข้างนอกแล้ว ตอนนี้ เธอต้องคอยฟังเสียงพระองค์นะว่าเมื่อไร พระองค์จะมาเคาะประตู เธอรีบเปิดเลยนะ พระองค์จะได้เข้ามา มันไม่ใช่ เราถูกหลอกมานานแล้ว ดิฉันถูกหลอกมาหลายสิบปีแล้ว เพิ่งมารู้ความจริง พอรู้ความจริงเราก็มาบอกต่อกัน เราจะได้ไม่ถูกหลอกต่อ

            ถ้อยคำนี้ พระเจ้าพูดกับคนที่ไม่เชื่อ พระเจ้าเคาะที่ประตูใจเขาแบบไหน? แบบทุกที่ ทุกหน ทุกแห่ง เมื่อเขาไปเจอ อาจจะเป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง ญาติโกโหติกา วันดีคืนดีก็มาคุยเรื่องพระเยซูให้ฟัง เราฟังแล้ว เราอาจจะขัดใจบ้าง อะไรบ้าง ไม่รู้แหละ แต่พระเจ้าก็คอยเคาะๆ จนวันหนึ่งเมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อ ข่าวดีของพระเจ้าเข้าไป วันหนึ่ง ข้างในวิญญาณเราเปิด เปิดจากข้างใน แล้วเราก็เปิดใจให้พระเยซู ที่พระเยซูบอกว่า …

            “เมื่อท่านเปิดประตู เราจะเข้าไปหาท่าน แล้วเราก็จะไปกินข้าวด้วย”

            การกินข้าวด้วย ถ้าไม่คุ้นเคย ไม่กินด้วยนะ เวลาเรากินข้าว เราชอบกินกับใคร? เรากินกับครอบครัว มีความสุข  กินกับเพื่อนที่เรารัก เรามีความสุข  ไม่ใช่อยู่ดีๆ เราไปเจอคนแปลกหน้า บนถนน แล้วเราก็ไปลากเขา …

            “ไปๆ กินข้าวด้วยกัน”

            ไม่มีใครทำแบบนั้น เราไม่มีความสุข ที่จะกินกับใครก็ไม่รู้ เราไม่รู้จัก อยู่ดีๆ ชวนเขามากินข้าว หรือเขามาชวนเรากินข้าว เราก็มองหน้า ใคร? ทำอะไร? ไม่ไปด้วยหรอก? อะไรแบบนี้ นี่คือธรรมชาติที่เรามองภาพตรงนี้

            ฉะนั้น การที่พระเจ้าเข้ามาในใจเรา เข้ามากินข้าวกับเรา เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรา แปลว่าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เรายอมให้พระเจ้าเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา แล้วเราก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพระองค์ นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ที่ปัจจุบันพวกเราเป็นอยู่แล้ว  ฉะนั้น ให้เรายึดในถ้อยคำตรงนี้ ยึดในความจริงตรงนี้ ที่เราจะไม่โดนหลอกว่าวันดีคืนดี ถ้าเราทำไม่ดี พระเยซูจะทิ้งเรา พระเยซูจะออกจากตัวเรา พระองค์จะไปนั่งรอเราข้างบน หรืออะไรก็แล้วแต่

            เมื่อก่อนเขาพูดเล่น ถ้าท่านขับรถ 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พระเยซูนั่งอยู่ข้างๆ  ถ้าท่านขับ 90 พระเยซูไปนั่งเบาะหลัง ถ้าท่านขับเกิน 100 พระเยซูขึ้นไปรอท่านอยู่ข้างบน  เมื่อก่อนนักเทศน์ชอบเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง  เป็นเรื่องที่เขาจะคุยให้สนุกสนาน ให้เรารู้สึกมันเป็นอย่างนั้น แต่ความจริงมันไม่เป็นอย่างนั้นหรอก ต่อให้ท่านขับ 140 พระเยซูก็อยู่ในท่าน อยู่ในใจท่าน ไม่หนีท่านขึ้นไปรอข้างบน  เพราะว่าอย่างไรพระเยซูก็อยู่ในท่าน ถ้ายังไม่ถึงเวลากำหนดของท่าน พระเยซูก็ไม่ต้องขึ้นไปรอท่านข้างบน แต่ถ้าพระเยซูจะรับท่านไป คือถึงกำหนดเวลาแล้ว ท่านจะต้องกลับบ้านจริงๆ พระองค์ก็มารับวิญญาณท่านขึ้นไปอยู่ข้างบน นั่นแหละ นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่เราจำเป็นจะต้องรู้ และชัดเจนมากๆ พระเจ้าอวยพรค่ะ

**********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            เกิดโดยมนุษย์ ก็เป็นมนุษย์ เกิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็เป็นวิญญาณบริสุทธิ์

            มนุษย์เกิดมาโดยธรรมชาติก็เป็นมนุษย์ แม้จะอยู่ในครรภ์ก็เป็นมนุษย์แล้ว ไม่ต้องรอเรียนรู้จักการเดิน การปฏิบัติตัว ไม่ต้องรอจนอายุ 10, 20, 30, 50 ถึงจะเป็นมนุษย์ เพราะเกิดก็เป็นมนุษย์แล้ว

            เกิดเป็นมนุษย์หนึ่งวัน กับเกิดมาแล้ว 10 ปีก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน แต่เป็นมนุษย์ที่เจริญเติบโตไม่เท่ากัน

            เกิดเป็นมนุษย์ใหม่ๆ ยังไม่เจริญเติบโต ยังเป็นทารกเด็กเล็กๆ ประพฤติยังไม่สมกับการเป็นมนุษย์ แต่ก็เป็นมนุษย์อยู่ เห็นแก่ตัว อกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ผู้ให้กำเนิดกันทุกคน แต่พอเจริญเติบโต ก็รู้ว่าตนเองสมควรทดแทนพระคุณ

            เช่นเดียวกัน … เกิดใหม่โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ก็สามารถทำอะไรที่ไม่สมกับการเป็นลูกพระเจ้าได้ เพราะยังเด็กอยู่ ต้องรอการสอน การเรียนรู้ และเจริญเติบโตในวิญญาณ

            ธรรมชาติของการเกิดมาเป็นลูกของพระเจ้า

                   – เกิดมาเป็นผู้ให้อภัยเสมอ

                        – เกิดมาเป็นผู้ไม่โลภเลย

                        – เกิดมาเป็นผู้ให้แต่อย่างเดียว

                        – เกิดมาเป็นผู้ที่ไม่เห็นแก่ตัวเลย

                        – เกิดมาเป็นผู้ที่มีความสงบ

                        – เกิดมาเป็นผู้ที่มีใจกล้า ไม่มีความกลัว

                        – เกิดมาเป็นผู้ที่ยุติธรรม

                        – เกิดมาเป็นผู้ชอบธรรม

                        – เกิดมาเป็นผู้สะอาด บริสุทธิ์ ปราศจากบาปใดใด

                        – เกิดมาเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย

                        – เกิดมาก็เป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เป็นทายาท รับมรดกนิรันดร์จากพ่อแห่งฟ้าสวรรค์

                           เป็นผู้ที่พ่อแห่งฟ้าสวรรค์รักมากดังแก้วตาดวงใจ

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1488

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  กันยายน  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 8 “เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 8 “เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว”

            เชื่ออย่างนี้จริงหรือเปล่า? ที่พูดมั่นใจไหม? นี่คือสิ่งที่อาจารย์ยอห์น อัครสาวกได้เขียน ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เขียนเป็นข้อพระคัมภีร์ อธิบายความจริงเหล่านี้ให้เราฟัง ในหนังสือพระคัมภีร์ ได้เรียนรู้ว่าโลกวิญญาณมันได้เป็นอย่างนี้จริงๆ จงมองให้เห็นเถิด เป็นอย่างนี้จริงๆ มันต้องอาศัยความเชื่อ จะรู้มากเท่าไร? ไม่มีทางเข้าใจหมด จะพยายามเท่าไร ก็ไม่เข้าใจ ความคิดมนุษย์จะไม่สามารถหยั่งถึงได้ จึงต้องใช้ความเชื่อ เหมือนหนังสือฮีบรู 11:3 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ฮีบรู 11:3 “โดยความเชื่อ เราจึงเข้าใจว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างจักรวาล ด้วยพระดำรัสของพระองค์ ดังนั้น สิ่งที่มองเห็น จึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น”

            นี่คือหัวใจหลักของการที่จะมาแสวงหาพระเจ้า ที่แท้จริง การที่จะเรียนรู้จักพระเจ้าที่แท้จริง และเราทั้งหลายที่เรียนรู้จักพระเจ้า ในฐานะที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเกิดใหม่แล้ว เราเป็นคริสเตียนแล้ว มันก็ต้องยืนยันอยู่บนความเชื่ออย่างนี้ เชื่อในสิ่งที่มองไม่เห็น และรู้ว่าสิ่งที่มองไม่เห็นนั้น ใหญ่ที่สุด คือรวมคำว่า “พระเจ้า” การมาหาพระเจ้าต้องใช้ความเชื่อเท่านั้น อย่าใช้ความรู้สึก การมองเห็น การจับต้องอะไรได้ อย่างนี้มันของโลก อาจถูกหลอกได้ เพราะฉะนั้น เราต้องเชื่อในพระเจ้า เชื่อในถ้อยคำของพระองค์ว่าไว้อย่างไร?  อันดับแรกของการเรียนรู้ต้องเป็นอย่างนั้น

            ก่อนเป็นคริสเตียน ก่อนเราเปิดใจรับเชื่อ สิ่งแรกเราต้องเรียนรู้อะไรก่อน เราเชื่ออะไรก่อน  เราบอกเราเชื่อพระเยซู ถูก เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ถูก เชื่อว่าพระเยซูช่วยได้ ถูก แต่หัวใจของความเชื่อ เกิดขึ้นจากอะไร? เกิดขึ้นจากเราเชื่อใช่ไหมว่าเราเป็นมนุษย์วิญญาณ เราเป็นวิญญาณใช่ไหม? เราเชื่อพระเยซู เราวางใจในพระเยซูอะไรก็ตาม แต่เพราะว่าเราเชื่อว่าโลกวิญญาณมีจริงๆ ถึงแม้จะเลือนลางเต็มที เพราะว่ามีอะไรบางอย่างในโลกวิญญาณก่อนที่เราจะรับเชื่อ มนุษย์ที่จะมาหาพระเจ้า ต้องเริ่มต้นเชื่อว่ามีโลกวิญญาณ และตัวฉันเป็นวิญญาณ พระคัมภีร์บอกเลย มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิต ที่เป็นวิญญาณ มีความคิด จิตใจ ที่อยู่กับวิญญาณนั้น และอาศัยอยู่ในร่างกายเพียงชั่วคราว

            เราต้องเรียนรู้อย่างนี้ก่อนเลยว่า “ฉันเป็นวิญญาณ มีใจ และอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เพียงชั่วคราว ต้องมีพื้นฐานความรู้ตรงนี้ ไว้เป็นรากฐานในการแสวงหาความจริงจากพระเจ้าต่อไป  เพราะทั้งหมด มันจะเป็นเรื่องนี้เท่านั้น ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล คือเรื่องของชีวิตทางวิญญาณ  คือมองไม่เห็นด้วยตา สัมผัสแตะต้องด้วยร่างกายไม่ได้ ใช้ความคิดแบบมนุษย์ไม่ได้ ใช้ปัญญา ใช้วิชาการ ใช้ตรรกะเหตุผล แบบโลกนี้ไม่ได้ ต้องใช้ความเชื่อ เกี่ยวกับโลกวิญญาณ ความรู้เกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณของพระเจ้าเท่านั้น

            อาจารย์ยอห์น ก็เลยเขียนในหนังสือ 1 ยอห์น ที่เรากำลังเรียนรู้กัน เจาะลึกกัน เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ถ้าเราไปอ่านและไปเรียนรู้ โดยผสมเอาความคิดแบบมนุษย์ ความรู้สึกแบบมนุษย์ ความเข้าใจแบบมนุษย์  ตรรกะเหตุผลแบบมนุษย์ เราจะไม่เข้าใจ เราจะอ่านแล้วงง ไม่ค่อยรู้เรื่องเลย แต่พอสับสวิทส์มา เริ่มต้นว่า …

            “ทางวิญญาณๆ ฉันเป็นวิญญาณ ชีวิตฉันเป็นวิญญาณ”

            พูดถึง “ฉัน” เมื่อไร?  พูดถึง “ท่าน” เมื่อไร? ในพระคัมภีร์นี้ คือ “ฉันเป็นวิญญาณ” กำลังพูดถึงวิญญาณของเรา ทั้งคนเชื่อและไม่เชื่อ  พูดปุ๊บ หมายถึงวิญญาณของท่าน เวลาอ่านจะได้เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ มันก็จะง่ายขึ้น ชัดเจนมากขึ้น เข้าใจแล้ว หมายถึงเข้าใจแบบฝ่ายวิญญาณ เข้าใจว่ามันเป็นอย่างไร? อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราเห็นถึงอะไร? ให้มนุษย์คนที่เชื่อแล้ว คนที่เป็นคริสเตียน ให้เขารู้ว่าในทางวิญญาณ มันแตกต่างกับคนที่ไม่เชื่ออย่างไร?  ในโลกวิญญาณเป็นลักษณะอย่างไร? คริสเตียนมีหน้าตา อุปนิสัย ใจคอ มีชีวิตอย่างไรในโลกวิญญาณ แล้วคนไม่เชื่อเป็นอย่างไร?  นี่คือความแตกต่างที่อาจารย์ยอห์นพยายามชี้ให้เห็นว่ามันเป็นอย่างนี้ แล้วเราได้เรียนรู้มา 2-3 บทแล้ว

            สรุปรวมนะ คนที่เป็นคริสเตียนแล้ว เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์แล้ว วิญญาณของพวกเขาได้ย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ย้ายมาจากการที่เขาอยู่ในอาดัม อาดัมคือบรรพบุรุษของเรา ที่เป็นคนบาป เห็นไหม? เราฟังปุ๊บ เราต้องคิด เราอยู่ในพระคริสต์ ดำรงอยู่ในพระคริสต์ ทางวิญญาณ  เราอยู่ในประเทศไทย นั่นมาทางวัตถุ ทางสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้ ในโลกใบนี้  แต่ในทางวิญญาณ พระคัมภีร์บอกว่าเราอยู่ในพระคริสต์ เราอาศัยอยู่ต่อติดอยู่  มีชีวิตอยู่  หรือเป็นชีวิตที่อยู่ในพระคริสต์ เข้าใจไหม? ความคิดแบบมนุษย์ไม่มีทางเข้าใจหรอก  ต้องใช้ความเชื่อ

            “ในพระคริสต์ ฉันมีชีวิตอยู่ ในวิญญาณ ฉันอยู่ในพระคริสต์”

            อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นว่าในโลกวิญญาณ มีอยู่ 2 แห่งเท่านั้น คือในพระคริสต์ หรือในอาดัม จะอยู่ในอาดัมหรืออยู่ในพระคริสต์  ถ้าอยู่ในพระคริสต์ ก็อยู่ในพระเจ้า อยู่ในความสว่าง อยู่ในความจริง ถ้าอยู่ในอาดัม ก็อยู่ในความดำ อยู่ในความมืด ความไม่จริง ความเท็จ  ความหลอกลวง ไม่ได้มีพระเจ้าอยู่ที่นั่น  เพราะฉะนั้น มีอยู่แค่ 2 ที่เท่านั้นเอง  ไม่มีตรงกลาง เลือกเอา จะอยู่ที่ไหน? แค่นี้เอง  ก็เข้าใจง่าย ไม่ต้องไปเขียนตำราเยอะแยะ กว่าจะหาเจอว่าเราเป็นใคร? มาจากไหน?  จะไปไหน? โน้น วุ่นวายไปหมดเลย จริงๆ มีอยู่แค่นี้เอง

            ในภาษาอังกฤษ คำว่า “อาศัยอยู่” มันทำไม่ได้ หมายถึงมนุษย์ไม่สามารถปฏิบัติตน ให้อาศัยอยู่ อาศัยอยู่ มันเป็นลักษณะของวิญญาณ ที่เรียกว่าชีววิทยาทางวิญญาณ สภาวะของชีวิตทางฝ่ายวิญญาณว่าเราอยู่ที่ไหน? มันไม่สามารถที่จะประพฤติว่า …

            “ฉันจะพยายามทำตรงนี้ให้มันอยู่ในพระคริสต์มากยิ่งขึ้น”

            ไม่ได้ มันอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่นั่น แล้วอยู่ที่พระคริสต์ได้อย่างไร? อยู่ที่พระคริสต์ได้ โดยการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่เราได้เรียนรู้กันมาแล้ว  ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “Abide” เป็นภาษาโบราณ Abide แปลว่าดำรงอยู่ อาศัยอยู่ อยู่ข้างใน อยู่ร่วมกัน อย่างนี้เขาเรียกว่า Abide  ไม่สามารถที่จะประพฤติ เป็นอาศัยอยู่นี้ได้ แต่เป็นสภาวะที่เกิดขึ้น

            อาจารย์ยอห์นบอกว่าถ้าเรา Abide ผมพยายามใช้ภาษาไทยให้เยอะๆ ตามข้อพระคัมภีร์เขียนไว้ในภาษาไทย ถ้าเราได้อาศัยอยู่ หรือดำรงอยู่ หรือต่อติดอยู่ ฟังให้ดีๆ สิ่งเหล่านี้จะเขียนในพระคัมภีร์ ถ้าเราได้อาศัยอยู่ ได้ต่อติดอยู่ ได้ดำรงอยู่ในพระคริสต์ เราก็เป็นเหมือนพระคริสต์ คือเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์ แล้วท่านอยู่ในพระคริสต์หรือยัง? อยู่แล้ว เห็นหรือยัง?

            ท่านอยู่ เพราะอะไร? ท่านอยู่ เพราะท่านประพฤติหรือ?  ไม่ใช่ ท่านอยู่ เพราะว่าท่านเชื่อ วางใจในพระเยซู และพระเยซูกระทำทั้งหมด ทั้งสิ้นให้ท่าน ได้เข้าไปอยู่ในพระองค์ ท่านไม่ได้ทำอะไรเลย ท่านถูกย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านเชื่อไหม? ถามจริง? เชื่อด้วยอะไร? ด้วยเหตุผลหรือ? ที่อธิบายเมื่อตะกี้นี้ ฉันเข้าใจแล้ว ไม่เข้าใจ คิดออกไหมว่าตะกี้ที่พูดคืออะไร? คิดไม่ออก  แต่ฟัง แล้วได้ยินไหมถ้อยคำพระเจ้า ได้ยิน ชัดเจนเลยว่าผู้ที่ Abide ผู้ที่อาศัย ดำรงอยู่ ต่อติดอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์นั้น เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว เอเมน

            ผมจึงให้ท่านลองพูดดู ลองพูดใหม่อีกที พูดกับคนข้างๆ … “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว เหมือนพระคริสต์”

            เชื่อไหม?  เชื่อที่ตัวเองพูดหรือเปล่า? นี่แหละ คือหัวใจ มันมีแค่นี้เองจริงๆ นึกถึง 2,000 ปีที่แล้ว ที่ข่าวประเสริฐเริ่มต้น ที่ไม่มีตัวหนังสือมากมายถึงขนาดนี้ ไม่มีอุปกรณ์อะไรต่างๆ ที่จะมาเรียนรู้จักมากขนาดนี้  ไม่มีความรู้ พูดภาษาอื่นๆ ภาษาต่างประเทศอะไรเยอะแยะมากมาย คนอ่านหนังสือไม่ออกเยอะแยะไปหมด 80, 90% แล้วเขาถ่ายทอด หรือรับรู้เรื่องข่าวดีนี้ จนมาถึงปัจจุบัน เติบโต ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ข่าวประเสริฐของพระเจ้า ใหญ่ที่สุดในโลก ผ่านมาถึงเราได้อย่างไร?  ก็มาแค่นี้ที่บอก พระวิญญาณยืนยันให้เขาทุกวันๆ ว่า …

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว เดี๋ยวนี้ๆ”

            แล้วเขาพูดให้ใครฟัง? พูดให้ตัวเองฟังว่า “วิญญาณฉันเป็นเช่นนั้น” และในจดหมายฝาก ในพระคัมภีร์ อัครสาวกก็ย้ำยืนยันตรงนี้ ให้เขาอ่าน ให้เขาฟังทุกวันสะบาโต ทุกวันอาทิตย์ ทุกวันที่เขามารวมตัวกัน อ่านข้อความที่เขาอ่านไม่ออก ในหนังสือจดหมายฝากที่อัครสาวกเขียนนั้น สรุป ก็คือท่านเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม ท่านดีพร้อมแล้วๆ เหมือนพระเยซูเลย เดี๋ยวนี้ๆ เลย ไม่ต้องไปคิดมาก เอเมน

            ครั้งที่แล้ว เราจบลงที่ 1 ยอห์น บทที่ 2 เราเรียนมา 2 บทแล้ว  จบบทที่ 2 ข้อที่ 28 กับข้อที่ 29 เรามาทวนนิดหนึ่ง ที่บันทึกไว้ว่าอย่างนี้ …

        1 ยอห์น 2:28 “และบัดนี้ ลูกทั้งหลายเอ๋ย จงอาศัยอยู่ในพระองค์ เพื่อว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราทั้งหลายจะได้มีใจกล้า และไม่หลบพระพักตร์พระองค์ ด้วยความละอาย เมื่อพระองค์เสด็จมา”

            เห็นไหม อย่างที่บอกเมื่อตะกี้นี้ “จงอาศัย” ก็คือดำรงอยู่ Abide ต่อติดอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันอยู่กับพระองค์ พระองค์ คือพระคริสต์ ที่เราเรียนรู้ลึกไปกว่านั้น ก็คือพระคริสต์อยู่ในพระเจ้า พระเจ้าอยู่ในเรา เราอยู่ในพระคริสต์ 3 พระภาคอยู่ในเรา  เราอยู่ใน 3 พระภาค เป็นหนึ่งเดียวกัน

            และในนี้ ที่ตะกี้นี้อ่านบอกว่า “และบัดนี้” แปลว่าเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เมื่อตอนเขียนใหม่ๆ นั้น 2,000 ปีที่แล้ว ก็คือขณะนี้ คือตอนนั้น ตอนที่พระเยซูเพิ่งเป็นขึ้นจากความตาย  และเข้าไปอยู่ในสวรรค์ใหม่ๆ ไม่กี่ปี จนมา 2,000 ปีนี้ ขณะนี้ ก็คือเดี๋ยวนี้  เป็นจริงอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ ถ้าท่านเป็นคริสเตียนจริงๆ คืออาจารย์ยอห์นถือโอกาสประกาศเลยว่าคริสเตียนจะได้รับอย่างนี้เป็นประสบการณ์ของเขา เขาจะเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ถ้าท่านเป็นคริสเตียนจริงๆ ท่านจงรับรู้ว่าในโลกฝ่ายวิญญาณนั้น ท่านกำลังอาศัย ดำรงอยู่ในพระเยซูคริสต์ ท่านกำลังอยู่ในพระเยซูคริสต์ เดินอยู่บนโลกใบนี้ ท่านเดินอยู่ในพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์อาศัยอยู่ในท่าน  ดำรงอยู่ในท่าน เป็นหนึ่งเดียวกัน ท่านเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หมดบาปจนถึงนิรันดร์

            เราได้เรียนรู้ไป เหมือนที่ผมได้ยกตัวอย่าง ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง เหมือนน้ำส้มสายชู เกลือ น้ำตาล สมมติ เป็นพระเจ้า 3 พระภาค พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณ แล้วเราเป็นกระเทียม อยู่นอกโหล คือยังไม่เชื่อ เดี๋ยวมันก็เน่า ถ้าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระวิญญาณก็เอากระเทียม คือตัวเรา ใส่เข้าไปในโหล เข้าไปจุ่มอยู่ในน้ำส้มสายชู เกลือ และน้ำตาล จุ่มปุ๊บ เขาเรียกว่าดองกัน พอดองปุ๊บ กระเทียมก็จะดูดซับเอา 3 สิ่งนี้เข้าไปในตัวเนื้อกระเทียม นึกออกหรือยัง? กระเทียมอยู่ใน 3 สิ่งนี้ 3 สิ่งนี้ท่วมอยู่ในกระเทียม ชีวิตท่านเป็นอย่างนั้น หลับตาให้เห็นก่อน ชีวิตท่านเป็นกระเทียมที่ดองไปแล้ว ไม่มีวันแม้แต่เศษนิดเดียวของกระเทียมนั้น ไม่มีวันที่จะกลับกลายเป็นกระเทียมสดได้อีกต่อไปแล้ว มันเป็นกระเทียมดอง แม้สะกิดนิดเดียว ออกมาเป็นชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง มันก็เป็นกระเทียมดอง

            นิ้วก้อยของท่านก็เป็นชีวิตของพระเจ้าสถิตอยู่ นี่คืออย่างนั้น เส้นผมท่านทั้งหมด (ที่ยังไม่ร่วง) ร่วงแล้ว ก็เป็นของโลกนี้ไปแล้ว ที่ยังไม่ร่วง ก็ปกคลุมไปด้วยพระสิริของพระเจ้า 3 สิ่งนี้ปกคลุมอยู่เหนือท่าน  รวมทั้งวิญญาณท่านก็เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เอเมน เชื่อไหม? ต้องคุยอย่างนี้บ่อยๆ เชื่อไหม?

            อาจารย์ยอห์นพูดถึงตะกี้นี้บอกว่าให้ท่านรับรู้ความจริงเรื่องนี้ เรื่องที่เราอธิบายไปนี้ว่าท่านเป็นกระเทียมดองแล้ว ไม่มีทางเป็นอื่นแล้ว ท่านจะได้ไม่กลัววันพิพากษา ไม่ละอาย คือท่านไม่ได้เป็นคนบาป  คำว่า “ละอาย” ภาษาเดิม หมายถึงการเป็นคนบาป อยู่ต่อหน้าพระเจ้าไม่ได้ ละอาย ไม่ได้หมายถึงขี้อาย อยู่ต่อหน้าพระเจ้าไม่ได้ เขาเรียกว่าละอาย ไม่สามารถ ไม่กล้าอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เพราะว่าอยู่ต่อหน้าพระเจ้า พระเจ้าบริสุทธิ์  และเราเป็นคนบาป อยู่ด้วยกันไม่ได้เลย อยู่ด้วยกัน ถูกเผาผลาญเรียบร้อย ทั้งกลัว ทั้งละอาย หมายถึงอย่างนี้ พูดง่ายๆ ว่าเราก็ไม่เป็นคนบาปอีกต่อไป ถ้าเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เป็นกระเทียมดองแล้วอย่างนี้ อย่าหลงไปเชือคำสอนอื่นๆ อาจารย์ยอห์นกำลังชี้ให้เห็นตรงนี้ อย่าไปเชื่อคำสอนอื่นๆ ที่มาบอกท่านเป็นอย่างอื่น ท่านเป็นอย่างนี้แล้วจริงๆ

        1 ยอห์น 2:29 “ถ้าท่านรู้ว่าพระองค์เป็นผู้ชอบธรรม ท่านก็รู้ว่าทุกๆ คนที่ฝึกฝนการกระทำความชอบธรรม ตามธรรมชาติที่อยู่ภายในวิญญาณนั้น  ได้เกิดมาจากพระองค์ด้วย”

            และก็บอกต่อว่าธรรมชาติของคนที่บังเกิดใหม่ คริสเตียนในวิญญาณเป็นอย่างไร? ถือโอกาสประกาศต่อเลยว่าถ้าท่านเป็นคริสเตียนแล้ว ท่านก็จะได้รับรู้เองและมีความเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ถ้าท่านเป็นคริสเตียน ถ้าท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ท่านจะรู้อยู่ภายในของท่านว่าพระเยซูเป็นอย่างนี้

            เมื่อท่านรู้แล้ว ท่านจงรับรู้เถิดว่าวิญญาณของท่านได้เกิดใหม่จากพระองค์ เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เป็นวิญญาณที่เหมือนพระองค์ มีพระลักษณะของพระองค์อยู่ในวิญญาณของท่าน ท่านจึงมีตัวตนจริงๆ ในวิญญาณของท่าน ในใจของท่าน เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมด้วยเช่นเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่ท่านเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ นี่ยืนยันหมายถึงอย่างนั้น

            และผลออกมา ก็คือและท่านก็จะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยการฝึกฝนความประพฤติที่ชอบธรรม ฝึกฝนตามปกติ ตามธรรมชาติ ภายในที่เกิดใหม่นั้น  ที่เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ตามธรรมชาติที่อยู่ภายในวิญญาณของท่าน ที่เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ฝึกฝน โดยการนำของพี่เลี้ยงที่อยู่ในวิญญาณของเรา  คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พี่เลี้ยงก็จะนำเรา  นำโดยที่เราไม่รู้สึก นำโดยที่เราคิดไม่ถึง นำเรา โดยที่เราไม่รู้เลยว่ากำลังนำอยู่ เพราะทรงนำอยู่ตลอดเวลา เอเมนไหม?

            และการนำนี้ ทำให้เกิดอะไรขึ้น ท่านลองคิดดู วิญญาณของท่านเป็นเหมือนพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยง นำพาท่าน กำลังจูงมือท่านเดิน และเกิดอะไรขึ้น ท่านก็เกิดความเชื่อฟัง ไม่มีใครมายุ่งเกี่ยวเลย สะอาด บริสุทธิ์ ท่านก็เหมือนเด็กๆ เตาะแตะๆ กับพี่เลี้ยง ไปด้วยกัน มีพระบิดา เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ดูแลอยู่ และให้พี่เลี้ยงนำพาเรา  เราก็เหมือนเด็กในวิญญาณ พยายามฟังพี่เลี้ยงของเรา และก็เชื่อฟังเขา

            นี่คือความเป็นจริงชีวิตของท่าน  แม้ว่าเมื่อตะกี้ท่านอาจจะบอกว่าฉันยังทำบาปอยู่ ฉันยังโมโห ไม่เชื่อฟัง นั่นท่านกำลังฝึกฝนอยู่ ในนี้บอกว่าเรากำลังฝึกฝนที่จะทำตาม ขณะที่อยู่บนโลกใบนี้ เขาจึงเรียกว่าการฝึกฝน กระทำตามการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ที่สถิตอยู่ภายใน  มันต้องฝึกฝน คือบางครั้งถูกหลอกให้ดื้อ ให้ไม่ทำตามบ้าง อย่างนี้เขาเรียกว่าถูกหลอก แล้วพระวิญญาณก็จะฝึกเรา บอกเราว่าอย่างนี้ถูกหลอกนะ อย่างนี้ ไม่ดี ก็แก้ไขใหม่  ก็เปลี่ยนใหม่ เหมือนพี่เลี้ยงที่เลี้ยงเด็กที่บ้านของเรา เหมือนเราเลี้ยงลูก เด็กๆ เหมือนกัน

            เพราะฉะนั้น มั่นใจว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ที่บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม พร้อมที่จะเชื่อฟังพระเจ้า เป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง เด็ดขาด  และพร้อมที่จะกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง ให้สมกับที่เราเป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์  ชอบธรรม  ดีพร้อมแล้วนั้น นี่คือตัวตนแท้ๆ ของเรา ส่วนที่เราดื้อนั้น เราไม่อยากทำหรอก แต่เราถูกหลอก เชื่อไหม? ก็ไม่เชื่อ

            “ไม่จริงหรอก ต้องรับผิดชอบสิ คุณเป็นคนตัดสินใจ”

            พระคัมภีร์พูดอย่างนี้ แล้วจะเอาอย่างไร? ตัดสินใจเอาเองแล้วกัน

            นี่คือความจริง อาจารย์ยอห์นจึงมาชี้ให้เห็นความจริง อย่าไปถูกเขาหลอกว่า …

            “ฉันแย่ ฉันเลว”

            “พระเจ้าอภัยให้กี่ครั้งแล้ว ยังทำอยู่นั่นแหละ”

            ไม่จริงเลย วิญญาณของฉัน และใจของฉันไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เคยคิดจะทำอย่างนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เคยคิดจะละเมิดกฎของพระเจ้า หรือทำบาปเลย เพราะฉันเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อม ไม่มีความบาปอยู่ในตัวฉันเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ที่คิดและพลาดไปอย่างนั้น เพราะฉันถูกหลอกให้ทำ

            หลอกอะไรตั้งหลายครั้งแล้ว ไม่รู้จักเปลี่ยนสักที เนี้ย สติปัญญามนุษย์ ก็จะอย่างนี้แหละ แล้วก็จะฝืนกับความจริงของถ้อยคำพระเจ้า

            วันนี้เรามาต่อ บทที่ 3 วันนี้ยิ่งเห็นชัดขึ้นอีกเลยว่าที่ตะกี้นี้ อธิบายมาหมด ที่เราเรียนมาตั้งแต่ 1 ยอห์น บทที่ 1 จนถึงเดี๋ยวนี้ มันชัดมากเลยในโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นอย่างนี้แล้วจริงๆ ฟังมากๆ เพื่อจะให้ความจริงนี้ลงไปในวิญญาณของเรา เปลี่ยนความคิดของเราเสียใหม่ ให้เป็นความคิดที่เป็นไปกับถ้อยคำพระเจ้า ที่เรียกว่านมัสการพระองค์ด้วยวิญญาณและความจริง ไม่ถูกหลอก …

        1 ยอห์น 3:1 “จงดูเถิด พระบิดาทรงโปรดประทานความรัก แก่เราทั้งหลายเพียงไร ที่เราจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า และเราก็ได้เป็นเช่นนั้น  เหตุที่โลกไม่รู้จักเราทั้งหลาย ก็เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์”

            “จงมองให้เห็นเถิด” แปลว่าในโลกวิญญาณ  ถ้าในโลกวัตถุ ก็ไม่ต้องบอกว่า “จงมองให้เห็น” มันเห็นอยู่แล้ว อันนี้มันเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ เขาจึงบอกว่าจงมองให้เห็นเถิด ในภาษาอังกฤษ เขาใช้คำว่า Behold แปลว่ามันมองไม่เห็น แต่มองทางฝ่ายวิญญาณให้เห็น  และนี่คือความจริง

            ความจริง คือความรักของพระเจ้าอัศจรรย์เพียงใด ตรงนี้ความหมายลึกซึ้ง ตรงนี้มันแปลว่าอย่างนี้ ความรักของพระเจ้ายิ่งใหญ่ขนาดไหน? มหัศจรรย์เพียงใดในโลกฝ่ายวิญญาณ ได้ทำให้เกิดขึ้นอย่างนี้ ก็คือมอบของขวัญให้กับมนุษย์ ให้กับท่าน

            ของขวัญ คือการยอมรับเรา เป็นลูกของพระองค์ ทำให้เราได้เกิดใหม่ เป็นลูกของพระองค์ นี่คือของขวัญ อัศจรรย์ที่พระเจ้าประทานให้ อัศจรรย์จริงๆ และยิ่งต่อด้วยคำนี้ ยิ่งอัศจรรย์ใหญ่เลย …

            “และเราก็เป็นลูกของพระองค์จริงๆ”

            ภาษาเดิมตรงนี้ มันแปลว่าอย่างนี้ ที่ตะกี้นี้อ่านบอกว่า “และเราก็ได้เป็นเช่นนั้น” จริงๆ ตรงนี้ คือ “จริงๆ เราก็ได้เป็นอย่างนั้น” เป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ อาจารย์ยอห์นบอก จริงๆ ต้องเน้น เพราะมันเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ  “เราเป็นลูกพระเจ้าแล้วจริงๆ เดี๋ยวนี้เลย” เดี๋ยวนี้ คือขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะที่ยังเลิกบุหรี่ไม่ได้เลย เลิกเหล้าก็ได้บ้าง ไม่ได้หมด ยังเลิกหงุดหงิดไม่ได้เลย แต่ท่านเป็นลูกพระเจ้าแล้วจริงๆ เดี๋ยวนี้ หมายถึงอย่างนั้น

            “เหตุที่โลกไม่รู้จักเรา  ไม่ยอมรับเราที่เป็นคริสเตียน ก็เพราะว่าคนเหล่านั้น เขาไม่ได้เป็นคริสเตียนเหมือนกัน” เห็นไหม?  เห็นในโลกวิญญาณแล้วหรือยัง?  เพราะว่าเขาไม่ได้อาศัยอยู่ในอาณาจักรเดียวกับเรา เขาอยู่ในอีกด้านหนึ่ง เขาไม่รู้จักเราหรอก เขาอยู่ในอาดัม เพราะเขาแสวงหาพระเจ้าผิดองค์ พระเจ้าไม่จริง พระเจ้าไม่เที่ยงแท้ เขาไม่รู้จักพระเจ้าของเรา ซึ่งเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว  เป็นพระเจ้าของพระบิดาของพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดของเรา

            เห็นภาพหรือยัง? อาจารย์ยอห์นกำลังชี้ให้เห็นในโลกวิญญาณว่ามี 2 แห่ง เขาเลยไม่รู้จักเรา ไม่รู้จักเรา แปลว่าในวิญญาณเขาไม่ได้มาสามัคคีธรรมกับเรา เขาไม่รู้จักเราหรอก แต่เราทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม เรารู้จักกันหมด เพราะว่าในวิญญาณ เราเป็นวิญญาณเดียวกัน รู้จักกัน มันหมายถึงอย่างนี้

        1 ยอห์น 3:2 “ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ (ในโลกวิญญาณ) เราเป็นลูกของพระเจ้าก็จริง เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่เรารู้ว่าในเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ (ได้สวมร่างกายใหม่ที่เป็นขึ้นจากตาย) เพราะว่าเราจะสามารถเห็นพระองค์ตามความเป็นจริง อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น”

            เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกนี้ ก็คือในโลกวิญญาณ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้  โลกวัตถุนี้  ก็คือในโลกวิญญาณ ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้ เราเป็นลูกของพระเจ้าอยู่จริงๆ

            “ก็จริง” หมายความว่ามันก็จริงอยู่นั่นแหละที่เราเป็นลูกของพระเจ้า แต่ท่านยังสงสัยใช่ไหม? อาจารย์ยอห์นก็เลยบอกว่าในโลกวิญญาณ เราเป็นลูกของพระเจ้าก็จริงอยู่นะ แต่ในโลกวัตถุ เราก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร? ตรงเป๊ะ เราเชื่อ เรารู้ว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับเราในวิญญาณ เราเป็นลูกพระเจ้า แต่อนาคตเราจะเป็นอย่างไร? ร่างกายเราจะเป็นอย่างไร? เราตายไปแล้วเราจะเป็นอย่างไร? เรามีความหวัง แต่เราไม่รู้ แต่ที่เรารู้ว่าพระองค์เสด็จมาปรากฏ เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์

            อาจารย์ยอห์นเลยบอกให้ฟังว่าถ้าเราอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นลูกของพระเจ้า ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว เราก็ต้องรู้ว่าวันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้รับร่างกายใหม่ มาแทนร่างกายเดิม เห็นไหม?

            “ฉันเป็นวิญญาณ มีใจใหม่ มีวิญญาณใหม่ แต่อยู่ในร่างกายชั่วคราว ร่างกายชั่วคราวนี้จะหมดสิ้นไป สูญสิ้นไป จะตายไป ฉันจะได้รับร่างกายใหม่ ที่เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์”

            “เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์” คือเราจะสวมร่างกายใหม่ ที่เป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระเยซูคริสต์ เพราะว่าเราจะสามารถเห็นพระองค์ ตามความเป็นจริง อย่างที่พระองค์ทรงเป็นอยู่นั้น คือวิญญาณออกจากร่างไปปุ๊บ ทุกวันนี้ วิญญาณและใจของเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว แต่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ยังอยู่ในร่างกายเดิมนี้ ร่างกายเดิม ไม่มีความสามารถด้อยคุณภาพ ไม่สามารถมองเห็นทะลุเข้าไปในโลกฝ่ายวิญญาณได้ มิติฝ่ายวิญญาณยังเห็นไม่ได้ แต่วันหนึ่งข้างหน้า วิญญาณเดิม ใจเดิม แต่สวมร่างกายใหม่ที่มีคุณภาพดียอดเยี่ยม เป็นคุณภาพแบบพระเยซูคริสต์ ที่เรียกว่าร่างกายสวรรค์ พอสวมเข้าไปปุ๊บ ปิ๊ง มีตาฝ่ายวิญญาณ เห็นโลกฝ่ายวิญญาณ ตามความเป็นจริง ก็คือเห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า  เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ตามความเป็นจริง และเห็นตัวเองตามความเป็นจริงด้วย  เอเมน ในฟิลิปปี 3:20-21 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        ฟิลิปปี 3:20-21 “20 เราก็เป็นพลเมืองสวรรค์ และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอด จากสวรรค์ คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า 21 พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์ โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์”

            ตอนนี้เราเป็นพลเมืองสวรรค์ ตอนนี้เราเป็นประชากรของพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เป็นครอบครัวของพระเจ้าในสวรรค์แล้ว  อยู่ในสวรรค์แล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณ แต่เรารอคอยร่างกายใหม่ อย่างที่ตะกี้นี้พูดไว้ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เต็มไปด้วยพระสิริ พระเกียรติของพระองค์ เราจะได้รับสิ่งเหล่านี้ โดยฤทธานุภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ที่ทรงสถิตอยู่ภายในเรา ขณะนี้

            เมื่อถึงเวลานัด เราจะได้รับการผ่าตัดอีกครั้งหนึ่ง คือเปลี่ยนร่างกายใหม่  เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ เราเป็นคริสเตียน เต็มไปด้วยความหวังอย่างนี้แหละ ใครที่เป็นคริสเตียนก็เต็มไปด้วยความหวังอย่างนี้ คือหวังว่าจะได้รับร่างกายใหม่ในไม่ช้านี้  และจะได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เอเมน …

        1 ยอห์น 3:3 “และทุกคนที่มีความหวังอย่างนี้ในพระองค์ ก็ชำระตนให้บริสุทธิ์ เหมือนที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์”

            “ทุกคนที่มีความหวังอย่างนี้” รู้แล้วว่า …

            “ฉันเป็นวิญญาณ ที่เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ขณะนี้ มีใจที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เป็นใจใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้วขณะนี้”

            รอเพียงตายเมื่อไร? … “ฉันจะออกจากร่างกายนี้ แล้วไปรับร่างกายใหม่ในสวรรค์ ฉันมีความหวังอย่างนี้ ในพระองค์ ฉันก็เลยดำเนินชีวิต ชำระตนให้บริสุทธิ์ สมกับที่เป็นลูกที่บริสุทธิ์ ที่เหมือนพระองค์ ที่บริสุทธิ์แล้ว”

            อย่าเข้าใจผิดว่าหนังสือนี้กำลังสอนให้เราต้องรักษาความบริสุทธิ์นั้นไว้ เพื่อจะได้ไปอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า ได้รับร่างกายใหม่ ไม่ใช่ ในนี้หมายถึงให้ชำระตนให้บริสุทธิ์  รักษาชีวิตให้บริสุทธิ์ ให้สมกับที่บริสุทธิ์แล้ว เป็นลูกแล้ว มันต่างกัน

            การชำระตนให้บริสุทธิ์ ที่กล่าวถึงนี้  ไม่ใช่การพยายาม ด้วยความพยายามของตัวเราเอง แต่เป็นผลจากตัวตนใหม่ เขาเรียกว่าอัตลักษณ์ใหม่ ตัวตนใหม่ของเราในพระคริสต์ ในวิญญาณของเรา ที่เป็นเหมือนพระองค์แล้ว คือวิญญาณเราได้รับการเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมผ่านการเสียสละของพระองค์ การงานของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน

            เพราะฉะนั้น บทบาทของเราในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่พระเจ้าวางไว้  ก็คือให้เราดำเนินชีวิตตามความเป็นจริงในถ้อยคำพระเจ้านี้  โดยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำทางเรา ในการแสดงความบริสุทธิ์ ความดีพร้อม ความชอบธรรมนี้ ที่มันเป็นของเรา อยู่ในวิญญาณของเราแล้ว ในพระคริสต์ ไม่ได้หมายถึงว่าให้เราทำความบริสุทธิ์เพิ่มขึ้น มากขึ้นกว่าที่พระองค์ทรงกระทำ เพราะไม่มีทางบริสุทธิ์มากกว่านี้แล้ว เราบริสุทธิ์ เพราะว่าพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ บนไม้กางเขน และหลั่งพระโลหิต และได้เป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 เพื่อเราทั้งหลาย และเราได้รับเชื่อ ได้รับบัพติศมาเข้าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เราได้เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม เพราะการงานของพระองค์ ไม่ใช่เพราะเราทำเพิ่มเติม แต่ที่เราทำ และพระวิญญาณนำเราทำนั้น  ทำให้สมกับที่เราได้เป็นแล้ว เอเมน

            ในโรม 12:2 ก็ได้บอกอย่างนั้นว่าให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดเสียใหม่ เปลี่ยนแปลงคืออะไร?  แทนที่จะพยายามทำสิ่งที่ดีงามอะไรต่างๆ เพื่อจะเพิ่มพูนความดีงามของตัวเอง  เพื่อจะเพิ่มพูนความสมบูรณ์ดีพร้อมของตัวเอง ซึ่งมันแย้งกับถ้อยคำพระเจ้าว่าเราบริสุทธิ์ ดีพร้อม เพราะพระเยซูคริสต์ทำให้เราเรียบร้อยแล้ว เราเชื่อเท่านั้น จบแล้ว เข้าใจใช่ไหม?

            เพราะฉะนั้น เราต้องเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจตรงนี้เสียใหม่  ขบวนการการเปลี่ยนแปลงความคิดนี้ คือการปรับความคิด และการกระทำของเรา ให้ความคิดและการกระทำของเราสอดคล้องกับความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณว่าเราได้เป็นแล้ว ให้เรากระทำทุกสิ่งทุกอย่างให้สมกับที่เราได้เป็นแล้ว ถ้าเราไม่สม ก็แสดงว่าเราถูกหลอก ให้ทำในสิ่งที่ไม่เป็นไปตามความเป็นจริงของตัวเรา ให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจเสียใหม่ ให้คิดสอดคล้องไปกับความเป็นจริงว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์

            การเปลี่ยนแปลงความคิดนี้ คือการฝึกฝนความชอบธรรม การแสดงออก ซึ่งตัวใหม่ของเรา คือวิญญาณใหม่ ใจใหม่ของเรา ให้มันออกมาเป็นความประพฤติ มันต้องใช้การฝึกฝนในการวางใจในพระเจ้าว่าเราเป็นอย่างนั้น  เราจึงจะผลิตออกมาเป็นอย่างนั้นได้ ถ้าเราไม่เชื่อว่าเราเป็นอย่างนั้น เราก็ไม่สามารถผลิตอย่างนั้นได้  เรายังเชื่อว่าเราเป็นคนบาป เราก็ผลิตแต่สิ่งที่เป็นบาป  แต่ถ้าเราเชื่อว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว พระวิญญาณอยู่กับเราแล้ว มันจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงความคิดของเราเป็นอย่างนั้น เป็นความบริสุทธิ์ ดีพร้อม แล้วเราก็จะประพฤติออกมา เป็นความบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซู ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ …

        1 ยอห์น 3:4 “ทุกคนที่ทำบาป ย่อมละเมิดบทบัญญัติ อันที่จริงบาป ก็คือการละเมิดบทบัญญัติ”

            บทบัญญัติ คือกฎหมายของพระเจ้า พระเจ้าเป็นความชอบธรรม กฎหมายของพระเจ้า ก็คือให้ทำความชอบธรรมเหมือนพระเจ้านั่นเอง นี่คือกฎ ก็คือให้บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า โดยการกระทำด้วยตัวเอง นี่คือกฎ ซึ่งมีใครทำได้ไหม? ไม่มี เพราะว่าทุกคนตกเป็นทาสของความบาป เป็นคนบาป ไม่สามารถรักษากฎของพระเจ้า ก็คือไม่สามารถรักษาศีลธรรมตามมาตรฐานของพระเจ้าได้  ไม่มีทาง รักษาอย่างไรก็ไม่ครบหมด มันหมายถึงอย่างนั้น กฎศีลธรรม ก็คือกฎหมาย หรือกฎบัญญัติของพระเจ้านั่นเอง

            “ศีล” แปลว่าละเว้น งดเว้น  จากการละเมิดกฎของพระเจ้า  ศีล คือละเว้น อย่าทำ

            “ธรรม” คือให้ทำตามกฎของพระเจ้าที่วางไว้ พระเจ้าบอกให้ทำอย่างนี้ ให้ทำ และทำได้ไหม?  อันที่อย่าทำ เราก็ทำ อันที่บอกให้ทำ เราก็ไม่ทำ นี่คือมนุษย์ทั่วๆ ไป ตกลงไปในความบาป และอยู่ใต้อิทธิพลของความบาป เราไม่สามารถทำให้ดีพร้อม ครบถ้วนบริบูรณ์ได้เลยแม้แต่นิดเดียว คือชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระลักษณะของพระเจ้าที่ดีพร้อม บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรม นี่คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ทำ ก็คือทำเหมือนพระองค์ คือชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์ ซึ่งมนุษย์ไม่มีทางทำได้ นอกจากพระเจ้ามาช่วย  คือส่งพระเยซูคริสต์มาช่วยเรา เอาบาปออกไปจากเรา เพื่อให้เราบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม  โดยไม่ต้องทำ พระเยซูคริสต์ทำให้เสร็จ นี่ชัดเจนเลย พระเจ้าจึงส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาช่วยเหลือ รักษาให้มนุษย์หายจากความอ่อนแอนี้ คือไม่สามารถประพฤติตามกฎศีลธรรมตามมาตรฐานของพระเจ้าได้

            ให้พระเยซูคริสต์มา เพื่อให้ตัวบาปเก่าของเราได้ตายไป เพื่อว่าเราจะได้บังเกิดใหม่ พร้อมพระเยซูคริสต์ มาเหมือนพระเยซูคริสต์ และเข้ามาอยู่ในกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ซึ่งทำให้เราเป็นอิสระจากกฎของความบาป และความตาย กฎแห่งศีลธรรม เราเป็นอิสระทันที เพราะเราได้เกิดใหม่ในโลกฝ่ายวิญญาณแล้ว ในข้อ 5 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 3:5 “แต่ท่านทั้งหลายรู้ว่าพระองค์ได้มา เพื่อขจัดบาปของเรา และในพระองค์ไม่มีบาป”

            แต่ท่านทั้งหลายที่เป็นคริสเตียน คริสเตียนทั้งหลาย ท่านได้เกิดใหม่แล้ว ในวิญญาณของท่าน ท่านก็รับรู้ด้วยความจริงว่าท่านได้อยู่ในพระเยซูคริสต์จริงๆ และในพระคริสต์นี้ ไม่มีบาปเลยแม้แต่นิดเดียว  เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ คือไม่มีบาป ในตัวของเราเลย คือในวิญญาณของเรา ไม่มีบาป เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้วจริงๆ นั่นเอง วนเวียนอยู่ตรงนี้  พยายามอธิบายอยู่ตรงนี้ ให้เราคริสเตียนได้เห็นภาพชัดเจน …

        1 ยอห์น 3:6 “คน​ใด​ที่​อาศัย​อยู่​ใน​พระ​องค์ คน​นั้น​ไม่​ได้​มี​ปกติ​กระทำ​บาป ผู้ใดที่​มี​ปกติ​กระทำ​บาป ผู้​นั้น​ยัง​ไม่ได้​เห็น​พระ​องค์ และ​ยัง​ไม่ได้​รู้จัก​พระ​องค์”

            ในภาษาเดิมตรงนี้ หมายถึงว่า “คนใดที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์” คนใด ใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ และอาศัยอยู่ในพระคริสต์แล้ว คนนั้นไม่ได้มีปกติการทำบาป ไม่ได้มีการฝึกฝนปฏิบัติการกระทำบาปอย่างต่อเนื่อง ตามธรรมชาติวิสัยใหม่ พูดง่ายๆ ว่าตามปกติวิสัย ก็คือตามธรรมชาติ ชีวิตของเขา เขาจะไม่ทำอย่างนั้น “เป็นปกติวิสัย” ก็คือเป็นธรรมชาติ ในชีวิตของคริสเตียน ที่เกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์ พูดง่ายๆ ว่าคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว  ได้เกิดใหม่แล้วในพระเยซูคริสต์ จะมีธรรมชาติปกติวิสัย ฝึกฝนในการกระทำสิ่งที่ไม่ได้เป็นบาปเลย คือเขาไม่มีบาปอยู่ในตัวนั่นเอง ไม่มีธรรมชาติบาปอยู่ในตัวของเขา …

        1 ยอห์น 3:7 “เด็กผู้ชาย (หนุ่มๆ) อย่าให้ใครมาหลอกลวง  และนำคุณให้หลงทาง ผู้ที่ฝึกฝน ประพฤติความชอบธรรม (ตามธรรมชาติภายใน ที่เป็นผู้ชอบธรรมจากการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์) ก็เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระองค์ (พระเยซู) ผู้ทรงเป็นความชอบธรรม”

            นี่แยกให้เห็นชัดเจน อย่างที่บอกในโลกวิญญาณ มี 2 ทาง ข้างหนึ่งเป็นความมืด ข้างหนึ่งเป็นความสว่าง “อย่าให้ใครมาหลอกลวงท่าน” ก็คือคำสอนผิดๆ  “และนำคุณให้หลงทาง” คือไม่เข้าใจในเรื่องโลกวิญญาณ ท่านเป็นคริสเตียนแล้ว จะบอกให้ฟังว่าในโลกฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างนี้ ผู้ที่ฝึกฝนประพฤติความชอบธรรมตามธรรมชาติ ภายในที่เป็นผู้ชอบธรรม  จากการบังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ก็คือคริสเตียนทั้งหลาย ก็เป็นผู้ชอบธรรมเหมือนพระองค์ ก็แสดงว่าถ้าเป็นคริสเตียนแล้ว เป็นเหมือนพระองค์แล้ว เขาคนนั้น ข้างในวิญญาณเขาจะฝึกฝน ประพฤติความชอบธรรม ตามธรรมชาติภายใน ซึ่งเป็นผู้ชอบธรรม เขาได้บังเกิดใหม่แล้ว ยังไงๆ ก็ต้องเป็นอย่างนี้

            นี่คือลักษณะชีวิตในโลกฝ่ายวิญญาณของคนที่เป็นคริสเตียน เมื่อใครก็ตามเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาจะได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นหน่อเชื้อฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้า ที่เรียกว่าชีวิตนิรันดร์

            ชีวิตนิรันดร์มาจากพระเจ้า ชีวิตนิรันดร์เป็นของพระเจ้า  พระเจ้าแบ่งชีวิตนิรันดร์ให้เราได้เกิดใหม่ในพระองค์ วิญญาณของเราจึงมีพระลักษณะของพระเจ้า เป็นลักษณะชีวิตของเรา มันไม่มีบาป เราเป็นลูกของพระเจ้าที่มีวิญญาณใหม่ ใจใหม่ เหมือนพระเจ้าเลย  ที่เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์ แต่ยังคงดำเนินชีวิตอยู่ในร่างกายเดิม นึกออกไหม? บนโลกนี้ ซึ่งบนโลกนี้ ปกคลุมด้วยอิทธิพลของความบาป  ผู้คนยังมีบาปเยอะแยะ และโลกนี้ยังปกคลุมอยู่เหนือความบาป ต่อต้านความดีงามของพระเจ้า  คอยหลอกล่อหลอกลวงให้เราคริสเตียนประพฤติตัวไม่เหมาะสมกับธรรมชาติตัวตนที่แท้จริงของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าที่บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมแล้วนั้น นี่คือความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณ

            แล้วพระเจ้า ผู้เป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ ผู้ทรงได้เข้ามาสถิตอยู่ภายในเราแล้วนั้น ทั้ง 3 พระภาค ก็จะคอยฝึกฝน ฝึกสอนเรา ด้วยความอ่อนโยน  ด้วยความรักดังแก้วตาดวงใจ ให้รู้จักการโกหก หลอกลวงของโลกนี้ ให้เรารู้จักปฏิเสธ ไม่ประพฤติตามอิทธิพล การชักจูงการล่อลวง การหลอกลวงของศัตรูบนโลกนี้ ทุกฝีก้าว สอนเรา เราจะรู้หรือไม่รู้ จะรู้สึกหรือไม่รู้สึกไม่รู้ แต่ในโลกวิญญาณ พระองค์กำลังทำอย่างนี้อยู่ ในทิตัส 2:11-12 ได้บันทึกไว้ …

        ทิตัส 2:11-12 “11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าที่นำไปถึงการปลดปล่อย ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของบาปและความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว 12 พระคุณนี้สอนเรา ที่จะฝึกฝนปฏิเสธการทำบาป ไม่ทำตามกิเลส โลกียตัณหาของเนื้อหนัง และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ (ตามพระวิญญาณ) ตามทางพระเจ้า สมกับเป็นผู้ชอบธรรม (เป็นลูกที่บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า)”

            สมกับเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูกที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า พระคุณนี้สอนเรา คริสเตียนทั้งหลาย ลูกๆ ของพระองค์ ที่ได้รับการเป็นลูกจากพระคุณของพระเจ้า ในพระเยซูคริสต์นี้ พระองค์จะฝึกฝนให้เราปฏิเสธการทำบาป ไม่ทำตามกิเลสตัณหาโลกียตัณหาของโลกนี้  และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้  อย่างมีสติสัมปชัญญะตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ที่ทรงนำเราให้กระทำ สมกับที่เป็นผู้ชอบธรรมบริสุทธิ์ ดีพร้อม …

        1 ยอห์น 3:8 “ผู้ที่กระทำบาป ก็มาจากมาร เพราะว่ามารได้กระทำบาปตั้งแต่เริ่มแรก  พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏ ก็เพราะเหตุนี้  คือเพื่อทรงทำลายกิจการของมาร”

            อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นอีกแล้วว่าในโลกฝ่ายวิญญาณแบ่งออกเป็น 2 ข้าง เด็ดขาด ผู้ที่กระทำบาป ก็หมายถึงผู้ที่ฝึกฝนประพฤติบาป  ตามธรรมชาติที่อยู่ภายในวิญญาณ ก็เป็นของมาร มาจากมาร ฝั่งดำ  ฝั่งอาดัม ฝั่งมืด ไม่ใช่ฝั่งสว่าง ฝั่งความเท็จ เห็นไหม?  เพราะว่ามารได้กระทำบาปตั้งแต่เริ่มต้น เป็นฝั่งของมาร เพราะว่าบาป คือการต่อต้านพระเจ้า  ละเมิดกฎของพระเจ้า  เริ่มต้นบนโลกใบนี้ ไม่ใช่มาจากพระเจ้า  บาปไม่ได้มาจากพระเจ้า  บาปมาจากตัวของมารเอง  ที่เคยสอนมาแล้วตั้งแต่ครั้งก่อนๆ

            พระบุตรของพระเจ้าได้เสด็จมาปรากฏ ก็เพราะเหตุนี้แหละ  เพราะมนุษย์ถูกหลอก ตกลงไปในความบาป ไปเชื่อมาร ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของความบาป ต่อต้านพระเจ้า พระเจ้าจึงส่งพระบุตรมาเพื่อเหตุนี้  เพื่อทำลายกิจการของมาร  ก็คือเพื่อพามนุษย์ที่ตกลงไปในความบาป  อยู่ในอาณาจักรของความมืดพาเขาออกมาสู่อาณาจักรของความสว่าง ออกมาสู่อาณาจักรของพระเจ้า มาอีกฟากหนึ่งนั่นเอง

        1 ยอห์น 3:9 “ผู้ใดบังเกิดจากพระเจ้า ผู้นั้นไม่กระทำบาป เพราะสภาพของพระเจ้า ดำรงอยู่กับผู้นั้น และเขากระทำบาปไม่ได้ เพราะเขาเกิดจากพระเจ้า”

            มาดูอีกฝั่งหนึ่ง เห็นไหม? อันนี้ฝั่งสว่าง ฝั่งพระเจ้า บอกว่าผู้ใดที่บังเกิดจากพระเจ้า คือคริสเตียน ผู้นั้นไม่กระทำบาป แน่นอน ไม่มีทางทำเลย เพราะสภาพของพระเจ้าดำรงอยู่กับเขา ก็คือสภาพของตรีเอกานุภาพ สภาพของน้ำส้มสายชู น้ำตาล เกลืออยู่ในกระเทียมนี้แล้ว ไม่ได้เป็นอื่นเลย ดำรงอยู่กับเขาแล้ว สภาพของพระเจ้า 3 พระภาค ดำรงอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตวิญญาณของคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว เขาจะไม่ทำบาปเลย เขาทำบาปไม่ได้ ไม่มีทางทำบาปได้เลย เพราะเขาเกิดจากวิญญาณของพระเจ้า เกิดจากชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า เป็นชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า

            “ฉันเป็นชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า”

            พระเจ้าประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับเรา ให้เราได้บังเกิดใหม่ เราเป็นชีวิตนิรันดร์เหมือนพระเจ้า …

        1 ยอห์น 3:10 “เช่นนี้​แหละ จึง​ได้​ปรากฏ​ว่า​ใคร​เป็น​บุตร​ของ​พระ​เจ้า และ​ใคร​เป็น​ลูก​ของ​มาร คือ​ว่าคน​ใด​ที่​ไม่ได้​ประพฤติ​ตาม​ความชอบ​ธรรม และ​ไม่ได้​รัก​พี่​น้อง​ของ​ตน คน​นั้น​ก็​ไม่ได้​บังเกิด​มา​จาก​พระ​เจ้า”

            อาจารย์ยอห์นบอกว่าที่พูดมาทั้งหมดนั้น ก็รู้แล้วใช่ไหม? เช่นนี้แหละ อย่างที่อธิบายมาทั้งหมดนั่นแหละ ก็รู้แล้วว่าใครเป็นฝั่งไหน? ท่านอยู่ฝั่งไหน?  ท่านอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในความสว่าง อยู่ในความจริงของพระเจ้า หรืออยู่ในอาดัม อยู่ในความมืด อยู่ในความเท็จ  ท่านอยู่ฝั่งไหน?  ท่านอยู่ในพระเจ้า อยู่ในความรัก หรืออยู่ในความเกลียดชัง คนใดที่ไม่ได้ประพฤติตามความชอบธรรม ก็คือคนใดที่ไม่ได้ฝึกฝน ตามธรรมชาติที่อยู่ภายในของเขา เป็นผู้ชอบธรรม ก็คือเขายังไม่ได้บังเกิดใหม่ ยังอยู่ฝ่ายมืด ฝ่ายอาดัม ฝ่ายเท็จอยู่ คนนั้น เขาจะไม่ได้รักพี่น้องของตน คำว่า “พี่น้อง” หมายถึงเขาจะไม่รู้จักคริสเตียน เขาจะไม่รู้จักพระเจ้า  ไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ เขาไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพวกเรา  เขาไม่ได้รักเรา พอเขาได้ยินว่าเราเป็นคริสเตียน เขารังเกียจเรา  เขาไม่ชอบเรา แต่พอเราอยู่ฝั่งตรงข้าม เราอยู่ฝั่งสว่าง เราอยู่ฝั่งพระเจ้า เราเกิดใหม่แล้ว เราเป็นพี่น้องกัน ไม่ว่าจะอยู่ประเทศใด? อยู่เมืองไหน? พอเรารู้ว่าเขาเป็นคริสเตียน เรารักเขา เรารู้ว่าเขาบังเกิดใหม่ เรารักเขา เรารู้ว่าเขากลับใจใหม่มาเชื่อพระเยซูคริสต์ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพวกเรา เราดีใจ ทั้งที่ยังไม่เห็นหน้าเลย

            นั่นแหละ มันหมายถึงการแยกออกจากกันเด็ดขาด ในโลกฝ่ายวิญญาณ ระหว่างคนเชื่อที่เป็น คริสเตียนแล้วกับคนไม่เชื่อ  และคนไม่เชื่อ  ก็มีสิทธิ์มาเป็นคริสเตียนได้ไม่ยาก ง่ายนิดเดียว  ตามที่ยอห์นบอกมาตั้งแต่แรกแล้ว ก็คือสารภาพ ยอมจำนนว่าตนเองเป็นคนบาป และต้องการความช่วยเหลือ และวางใจในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยเหลือให้มนุษย์หลุดพ้นออกจากความบาป และเข้ามาสู่อาณาจักรของพระเจ้า ในแสงสว่างของพระองค์  พระเจ้าอวยพรครับ

*******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าประกาศเชิญมนุษย์ทั้งปวง!

            “สำเร็จแล้ว! สำเร็จแล้ว! เราทำสำเร็จแล้ว! มาเร็วๆ มารับสิทธิในการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพ่อในพระเยซูคริสต์เร็วๆ พ่อกำลังรอเจ้าอยู่”

            1 เปโตร 1:3-5 … “3 สรรเสริญพระเจ้า พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่ พระองค์ได้ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่ เข้าในความหวังอันยืนยง โดยการได้เป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ 4 และ (ได้เป็นทายาท) เข้าในมรดก อันไม่มีวันเสื่อมสลาย เน่าเสีย หรือเลือนหายไป ซึ่งได้ทรงเตรียมไว้ในสวรรค์แล้ว เพื่อพวกท่าน 5 โดยความเชื่อ (ในพระเยซู)  พระเจ้าได้กำลังปกป้องพวกท่านไว้ ด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ จนถึงความรอดอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งพร้อมแล้วที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย”

            คริสเตียน ท่านได้บังเกิดใหม่ด้วยหน่อเชื้อบริสุทธิ์ของวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว เป็นลูกของพระเจ้า ที่เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงอีกเลย

            และเพราะท่านได้บังเกิดใหม่ ด้วยความเชื่อและด้วยพระคุณ ความรัก ความช่วยเหลือ จากพระเจ้าล้วนๆ  เปล่าๆ ฟรีๆ ไม่ใช่ด้วยความประพฤติการกระทำของท่านเลย การกระทำของท่านไม่ว่าก่อนหรือหลังจากบังเกิดใหม่แล้ว ไม่มีผลกระทบอะไร ต่อสถานะการเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระเจ้าที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเลย

            ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระเยซูคริสต์ในพระเจ้าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่ในท่านแล้ว และเป็นใหญ่กว่าเขาทั้งหลายที่อยู่ในโลก อย่าให้มารใช้ระบบของโลกและสิ่งต่างๆ บนโลกนี้ โกหก หลอกลวง ข่มขู่ท่านให้กลัวสูญเสียความมั่นใจในสถานะการเป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ซึ่งพระองค์ทรงรักดังแก้วตาดวงใจ

            โรม 8:37-39 … “37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว  ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูง หรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใด ในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง  ล้วนไม่สามารถพรากเรา ไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”

            เมื่อท่านได้เปิดใจ  ต้อนรับพระเยซูคริสต์  ท่านได้บังเกิดใหม่  ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว

            ท่านได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว นิรันดร์ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1486

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  8  กันยายน  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 7 “คนที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ คือปฏิปักษ์พระคริสต์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 7 วันนี้ ผมให้ชื่อเรื่องว่า “คนที่ไม่ยอมรัรบว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ คือปฏิปักษ์พระคริสต์

            เรื่องนี้มีคนเข้าใจผิดเยอะมาก ในยุคปัจจุบัน  ครั้งที่แล้วเราจบกันที่ 1 ยอห์น 2:18-19 วันนี้จะมาทวนนิดหนึ่ง 1 ยอห์น 2:18 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 2:18 “ลูกที่รัก บัดนี้ เป็นวาระสุดท้ายแล้ว และตามที่ท่านได้ยินมาว่าปฏิปักษ์ของพระคริสต์กำลังมานั้น แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ก็มีมามากมายแล้ว ด้วยเหตุนี้ เราจึงรู้ว่านี่คือวาระสุดท้าย”

            วาระสุดท้าย คืออะไร? เราได้เรียนรู้กันไปครั้งที่แล้ว นี่เขาพูดวาระสุดท้าย เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  เรากำลังอ่านเรื่องเกี่ยวกับเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  ทำไมเป็นวาระสุดท้าย แล้วยังแถมบอกว่า “ลูกที่รัก บัดนี้”  คือตั้งแต่เดียวนี้เป็นต้นไป เป็นวาระสุดท้าย หรือยุคสุดท้าย หรือเวลาสุดท้าย สุดท้ายของอะไร? เริ่มต้นที่ไหน? ยุคสุดท้าย

            ยุคแรก คือยุคที่โลกใบนี้ยังไม่มีเลย เรียกว่าก่อนปฐมกาล พระคัมภีร์บันทึกไว้ก่อนปฐมกาล พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แล้ว  3 พระภาค ไม่มีอะไรเลย ไม่มีมนุษย์ ไม่มีโลกใบนี้

            ยุคต่อมา คือยุคที่พระเจ้าสร้างมนุษยชาติและโลกใบนี้ สรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ให้มนุษย์ครอบครอง เรียกว่ายุคสวนเอเดน  พระเจ้าอยู่กับมนุษย์ โลกนี้เป็นสวนเอเดน

            ยุคต่อมา เป็นยุคที่มนุษย์ปฏิเสธพระเจ้า  ทิ้งพระเจ้า ละพระเจ้าเรารู้กันอยู่แล้ว ที่เราเรียกว่าตกลงไปในความบาป  ความบาป คือการไม่เชื่อพระเจ้า คือการทำสิ่งที่ไม่เป็นไปตามจุดประสงค์ เป้าหมายของพระเจ้าที่สร้างมา เรียกว่าบาป

            ยุคต่อมา ยุคตั้งแต่บรรพบุรุษของมนุษย์ตกลงไปในความบาป พามนุษย์ทั้งปวงและโลกใบนี้ หล่นลงไปในคำสาปแช่ง ความบาป เรียกว่ากฎของความบาปและความตาย ปกคลุมอยู่บนโลกใบนี้ นี่ก็อีกยุคหนึ่ง และในยุคที่มนุษย์ตกลงไปในความบาปและความตาย พระเจ้าก็สัญญาว่าจะช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น กลับมาเหมือนยุคก่อน คือยุคสวรรค์ ยุคสวนเอเดน สัญญาโดยบอกตั้งแต่เริ่มต้น ยุคที่ตกลงไปในความบาปว่า …

            “เราจะส่งบุตรของเรามาช่วย ให้พวกเจ้า คือมนุษย์ทั้งปวง และโลกใบนี้ ได้รอดพ้นจากคำสาปแช่ง และการตกลงไปในความบาปนี้ เราจะส่งบุตรของเรามาช่วย  บุตรของเรานี้จะชื่อ “เยซู” เยซูที่มาเกิดนี้  เป็นบุตรของเราที่อยู่ในสวรรค์กับเรา มาตั้งแต่เริ่มต้น เราจะส่งเขามาเกิดเป็นมนุษย์  และเมื่อเขาเกิดเป็นมนุษย์ จะมีนามว่า “เยซู”

            ส่วน “คริสต์หรือไคร์ซ” หมายถึงหน้าที่ของเยซูผู้นี้ มีหน้าที่ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ ให้หลุดพ้นจากความบาปและคำสาปแช่ง ก็คือผู้ที่พระเจ้าตระเตรียม จัดตั้ง มอบหน้าที่ไว้ ภาษากรีกเรียกว่า “พระคริสต์” ภาษาฮีบรูเรียกว่า “เมซิยาห์” คือผู้ที่พระเจ้าจัดตั้งเตรียมไว้ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด ตามที่สัญญาไว้นั่นเอง

            นึกออกใช่ไหม? คราวนี้ รอมาๆ มายุคสุดท้าย คืออะไร?  ยุคสุดท้าย คือยุคที่พระบุตร คือพระเยซูคริสต์มาเกิดจริงๆ เลย มาเกิดแล้ว เพื่อช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากความบาป และพระเยซูคริสต์ก็เดินทางไปสำเร็จการงานของพระองค์บนไม้กางเขน ที่เราได้รู้ก่อนจะสิ้นพระชนม์ พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว อะไรสำเร็จ ที่ตะกี้เล่ามาทั้งหมด ที่สัญญาไว้ตั้งแต่เริ่มต้น สำเร็จแล้ว

            นับตั้งแต่ที่พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว นั่นคือยุคสุดท้าย นั่นคือเวลาสุดท้าย ช่วงเวลาสุดท้ายของมนุษยชาติที่จะเข้าสู่สวรรค์ พ้นจากความบาป พ้นจากคำสาปแช่ง  พ้นจากกฎของความบาปและความตาย เริ่มต้นตั้งแต่ที่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว และจะดำเนินไปเรื่อยๆ เป็นขบวนการ จนกว่าโลกใบนี้จะสูญสิ้น เพราะได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ก็คือพระเยซูคริสต์จะกลับมาอีกที

            เพราะฉะนั้น ตั้งแต่ช่วงที่พระเยซูบอกสำเร็จแล้ว จนถึงวันนี้ที่เรานั่งคุยกันอยู่นี้ อยู่ในยุคสุดท้าย เวลาสุดท้ายแล้ว พระเจ้าไม่ทำอะไรแล้ว เพราะว่ามันจบแล้ว พระเจ้ารอเพียงเวลาที่กำหนด คือโลกใบนี้สิ้นสุดลง มนุษย์คนสุดท้ายมาเชื่อพระเจ้า และมนุษย์คนสุดท้ายได้บังเกิดเป็นมนุษย์ ตามที่กำหนดไว้ และนั่นแหละ คือหมดยุคสุดท้ายนี้ คือพระเยซูคริสต์กลับมาอีกที  ก็มาหลังยุคสุดท้าย ก็คือยุคโลกใหม่ สวรรค์ใหม่ ที่เราจะครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานนิรันดร์

            ท่านจะเห็นแล้วนะว่ามันมียุคอะไรต่างๆ พอหนังสือพระคัมภีร์พูดถึงยุคสุดท้ายในพระคัมภีร์ใหม่ ในจดหมายหนังสือฝาก  ก็จงเห็นภาพว่าตั้งแต่วันนั้น วันที่พระเยซูคริสต์บอกสำเร็จแล้ว จนกระทั่งมาถึงเมื่อไรก็ตาม จนกระทั่งวันสุดท้ายที่โลกใบนี้แตก ดับสูญ พระเยซูคริสต์กลับมาอีกครั้งหนึ่ง นั่นแหละ คือช่วงเวลาของยุคสุดท้าย เราก็อยู่ในช่วงนั้น  และไม่มีใครรู้ว่าพระเยซูคริสต์จะกลับมาเมื่อไร? อัครสาวกต่างๆ เหล่านี้ ก็ไม่รู้ นึกว่าคงมาเร็วๆ นี้ ก็เลยบอกว่านี่ไง บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว ให้เราเตรียมตัวเลย  เพราะว่าเขาไม่รู้ ถ้าเขารู้ว่าอีก 2,000 ปีเราก็เตรียมตัวอย่างนี้เหมือนกัน เขาคงไม่กระตือรือร้นมากนัก แต่เขาไม่รู้ เพราะพระเยซูบอกไม่มีใครรู้ พระองค์ก็ไม่รู้ว่าพระเจ้าจะกลับมาเมื่อไร? พระองค์จะมาเหมือนขโมยมา ก็คือเราหลับสนิท เราไม่รู้เรื่อง  นี่คือที่เรารู้ว่ายุคสุดท้าย คืออะไร?

            ในนี้บอกว่า “ตามที่ได้ยินมาปฏิปักษ์พระคริสต์” ท่านรู้แล้ว ปฏิปักษ์พระคริสต์ “ปฏิปักษ์” ก็คือต่อต้าน ต่อต้านใคร? ต่อต้านพระคริสต์ พระคริสต์ คือใคร? พระคริสต์ คือพระเมซิยาห์ ในพระคัมภีร์ได้พูดถึง เปรียบเทียบว่าพระองค์เป็นแกะ เพื่อรับบาปให้กับมวลมนุษย์  ใช้ภาษาราชาศัพท์ว่า “พระเมษโปดก” แปลว่า “ลูกแกะของพระเจ้า” ก็คือแพะรับบาปที่เราคุ้นหูกัน  พระคัมภีร์บอก พระคริสต์ หรือพระเมซิยาห์ หรือพระเมษโปดก ลูกแกะของพระเจ้า คือพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าพระบิดาสัญญาว่าจะส่งพระบุตรมาช่วยให้มนุษย์ทั้งปวง รอดพ้นจากโทษของความบาปผิดทั้งปวง เพราะว่ามนุษย์ตกลงไปในความบาป  จึงต้องมาช่วย ถ้าไม่ตก ก็ไม่ต้องมาช่วย และใน 1 ยอห์น 2:19 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 2:19 “พวกเขาออกไปจากพวกเรา  แต่ที่จริงแล้ว เขาไม่ใช่พวกเรา เพราะถ้าใช่  เขาก็คงอยู่กับเราต่อไป  แต่การที่เขาจากไป  แสดงว่าในพวกเขาไม่มีสักคนเดียว ที่เป็นพวกเรา”

            อาจารย์ยอห์นกำลังจะบอกว่า “พวกเขาออกไปจากพวกเรา” ก็คือพวกเขาไม่ใช่คริสเตียน ไม่ใช่คนที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็คือปฏิปักษ์พระคริสต์นั่นเอง เพื่อต่อต้าน ไม่เชื่อในพระเยซู ก็คือผู้ที่ไม่ยอมรับพระเยซู ก็คือปฏิเสธว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ ช้าๆ นะ ปฏิเสธว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ เอาพระออกไป ปฏิเสธว่าคนนี้ที่ชื่อเยซู ที่อ้างว่าเป็นบุตรของพระเจ้า มาช่วย ไม่เชื่อว่าเขาเป็นพระคริสต์ เขาชื่อเยซู ลูกช่างไม้เฉยๆ  เป็นมนุษย์คนหนึ่งเฉยๆ  เขาปฏิเสธพระคริสต์ว่าคนนี้ไม่ใช่ ที่พระเจ้าเจิมไว้  ก็คือปฏิเสธว่าคนนี้ไม่ใช่พระเมซิยาห์  สำหรับชาวยิวที่ใช้ภาษาฮีบรู ที่รอพระเมซิยาห์ คนนี้ไม่ใช่ๆ ก็คือผู้ที่ปฏิเสธพระคริสต์ว่าไม่ได้เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระบิดาทรงสัญญาไว้ ก็คือปฏิเสธข่าวดีของพระเจ้าพระบิดา  ข่าวดี คือพระองค์ทรงประทานพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ พระเยซูคือพระคริสต์ คือพระเมซิยาห์ ที่มาช่วยเหลือมนุษย์ตามที่สัญญาไว้เรียบร้อยแล้ว

            เขาเหล่านี้ คือผู้ที่ไม่ยอมรับข่าวดี ก็คือไม่ได้เกิดใหม่ ไม่ได้ร่วมสามัคคีธรรม เป็นหนึ่งเดียวกันกับครอบครัวของพระคริสต์  ไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ ไม่ต้อนรับพระเยซูคริสต์ เพราะว่าหัวใจสำคัญของข่าวประเสริฐที่ทำให้มนุษย์รอดพ้นจากความบาปนั้น หัวใจสำคัญอยู่ที่การยอมรับ จำนนสารภาพว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระคริสต์ เป็นพระเมซิยาห์  เป็นพระเจ้า ที่เป็นพระบุตร  ที่พระบิดาเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับมนุษย์ทั้งปวง คนยุคก่อนโน้นว่าจะส่งมาช่วย บัดนี้มาเกิดแล้ว  เพื่อชำระมนุษย์ทุกคน ที่เป็นคนบาป  เขาไม่ยอมรับสิ่งนี้  คือไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ไม่ยอมรับว่าพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายที่ไม้กางเขน ไม่ยอมรับว่ามาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ไม่ยอมรับว่าตัวเขาเองเป็นคนบาปและทำบาป หัวใจสำคัญของข่าวประเสริฐ มีอยู่แค่นี้เอง

            นี่คือสรุปคร่าวๆ เมื่อตอนที่แล้ว วันนี้มาต่อ 1 ยอห์น 2:20 …

        1 ยอห์น 2:20 “แต่ท่านทั้งหลายได้รับการเจิมจากองค์บริสุทธิ์แล้ว และพวกท่านทุกคน ก็รู้ความจริง”

            “แต่ท่านทั้งหลาย” ก็คือไม่ได้ปฏิเสธพระคริสต์  แต่ท่านทั้งหลายไม่ได้ต่อต้านพระเมซิยาห์ แต่ท่านทั้งหลายยอมรับว่าเยซู ผู้นี้คือพระคริสต์ คือพระเมซิยาห์จริๆ วางใจในผู้นี้แหละ เมื่อวางใจในผู้นี้ ก็วางใจว่าคือผู้ที่พระเจ้าส่งมาไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ รวมทั้งฉันด้วย ก็เลยต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด

            แต่ท่านทั้งหลายที่ต้อนรับพระคริสต์แล้ว ได้รับการเจิมจากองค์บริสุทธิ์แล้ว  “แล้ว” หมายถึงคริสเตียนทั้งหลายที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์ของเขาแล้ว เขาได้รับการเจิมจากองค์บริสุทธิ์ องค์บริสุทธิ์นี้ ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า

            และในนี้ต่อด้วยว่า “และพวกท่านทุกคน ก็รู้ความจริง” รู้ความจริง เพราะมันเกิดขึ้นภายในวิญญาณของเรา เราจะรู้ทันทีว่าเราเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ แล้ว หมายถึงอย่างนั้น

            การเจิม หมายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเสด็จเข้ามา บัพติศมา คือผ่าตัดในวิญญาณ ก็ได้ จุ่มเราลงไป ก็ได้ แช่อิ่มเราลงไป ก็ได้ ในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เพื่อทำให้เรารวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ และให้วิญญาณเราได้บังเกิดใหม่  อาศัยอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อาศัยอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน

            การบัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ การจุ่มเรา การผ่าตัดวิญญาณเราเข้าไปในตัวตนของพระเยซูคริสต์ อยู่ในโรม บทที่ 6 ไปอ่านดูได้ ทั้งหมดเลย เป็นการย้ายข้างทางฝ่ายวิญญาณของผู้นั้น ที่ยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ย้ายข้างจากการเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ เป็นศัตรู อยู่ตรงกันข้ามกับพระเยซูคริสต์ ไม่เชื่อพระเยซูคริสต์ กลับมาเป็นอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ โดยแค่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระวิญญาณเข้ามาย้ายเราทันที ย้ายเราเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ เพราะว่าเรายอมรับพระคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เพราะเรายอมรับว่าเราเป็นคนบาปและต้องการการช่วยเหลือ เราจึงวางใจในพระเยซูว่าเป็นพระคริสต์ที่พระองค์ทรงถูกแต่งตั้งไว้ จากพระเจ้า มาช่วยเราให้ได้รับความรอด เราจึงรับพระองค์ เมื่อรับพระองค์ เราก็ได้รับความรอดจริงๆ คือพระเจ้าก็ส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาบัพติศมา หรือผ่าตัดวิญญาณของเรา เข้าไปอยู่ในพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เรียกว่าบังเกิดใหม่ภายในวิญญาณและในใจของเราได้วิญญาณใหม่เลย ได้ใจใหม่ วิญญาณใหม่และใจใหม่ของเรา รู้จักพระเจ้า รู้จักภายในวิญญาณ รู้จักพระเจ้าพระบิดา รู้จักพระเจ้าพระเยซูคริสต์

            อาจารย์ยอห์นบอกว่าอาณาจักรที่เราอยู่ในพระเจ้าพระบิดา และพระเจ้าพระเยซูคริสต์เป็นอาณาจักรฝ่ายวิญญาณที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความสว่าง  เป็นอาณาจักรที่มีแต่ความจริง ไม่มีความโกหกอยู่ในนั้น ไม่มีความมืด ไม่มีความเท็จอยู่เลย แม้แต่นิดเดียวก็ไม่มี เพราะว่าเป็นสถานที่สถิตของพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  เป็นสถานที่บริสุทธิ์จริงๆ เราได้ไปอยู่ตรงโน้นแล้ว โดยการรับเชื่อเท่านั้นเอง ใน 2 เปโตร 1:3-4 ได้บอกไว้ตรงนี้ เราได้รับตรงนี้แล้วจริงๆ ผมจึงยกมาให้ท่านได้อ่านดูว่าเมื่อเราได้บัพติศมาเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ กับพระบิดาเจ้าแล้ว เราได้เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์นั้น มันเกิดอะไรขึ้นในวิญญาณของเราบ้าง เราได้รับอะไรไปแล้ว ในโลกวิญญาณบ้าง มันเป็นเช่นไร? …

        2 เปโตร 1:3-4 “3 ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  ได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เรา  ที่จำเป็นแล้ว ในการมีชีวิตที่ชอบธรรม และดีงามเหมือนพระเจ้า ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์ (ในพระคริสต์) ผู้ทรงได้เรียกเราด้วยพระสิริ และความดีงามของพระองค์เอง ให้เข้าไปมีส่วนร่วม ในพระเกียรติสิริและความดีงามของพระองค์ (ในพระคริสต์) 4 “โดยสิ่งเหล่านี้ พระองค์ได้ประทาน พระสัญญาอันยิ่งใหญ่ และล้ำค่าของพระองค์แก่เรา เพื่อว่าโดยทางพระสัญญาเหล่านี้ พวกท่านจึงได้มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า (บังเกิดใหม่เป็นลูกพระเจ้า) และรอดพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ซึ่งเกิดจากตัณหาชั่ว (ความบาป)”

            นี่คือสถานะที่เกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ ในวิญญาณของท่านที่เป็นคริสเตียนแล้ว ที่เชื่อแล้ว มันเกิดขึ้นอย่างนี้ ตอนดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะที่นั่งอยู่ที่นี่ มันเป็นอย่างนี้แล้ว คือท่านได้เข้าส่วนร่วมในพระเกียรติสิริ และความดีงามของพระองค์ในพระคริสต์ ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าพระบิดา ผู้บริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ท่านคิดดูท่านบริสุทธิ์ขนาดไหน?  ท่านมีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า

            พระลักษณะของพระเจ้า คือธรรมชาติของพระเจ้า ท่านเข้าไปมีส่วนเลย เป็นวิญญาณเหมือนพระเจ้า บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า รอดพ้นจากความเสื่อมทรามในโลก ก็คือถูกย้ายออกมาจากอาณาจักรฝ่ายวิญญาณที่เป็นความมืด ที่ตกอยู่ในความบาปและคำสาปแช่ง ย้ายออกมาอยู่ในความสว่าง อยู่ในสวรรค์แล้ว อยู่กับพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียนแล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูแล้ว เราคริสเตียนได้มีทุกสิ่งที่ครบถ้วนสมบูรณ์ทุกอย่างในโลกวิญญาณแล้ว เราได้รับจากพระเจ้าแล้ว นี่คือคำยืนยันจากพระเจ้า ในข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ เราไม่ต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว ในโลกวิญญาณ ไม่ต้องมีใครมาหลอกเราว่าต้องไปเติมอันโน้นอันนี้ ไม่ต้องเติมแล้ว เราครบถ้วนบริบูรณ์ ในพระเยซูคริสต์แล้ว อย่าให้ใครมาหลอกเราว่าเราเป็นคริสเตียน ยังขาดตกบกพร่องในโลกวิญญาณตรงโน้นตรงนี้ ต้องอธิษฐานเพิ่มขึ้น เพื่อจะได้ตรงนี้มา ต้องไปสัมมนาที่นี่ ที่นั่น เพื่อจะได้รับพระวิญญาณมากขึ้น  พระวิญญาณอยู่กับท่านอยู่แล้ว ก็คือพระวิญญาณเป็นบุคคล ไม่ใช่เป็นแก๊สมาส่งทีละถังๆ ไม่พอ ไปเติมถังใหม่ เป็นบุคคล เป็นหนึ่งคน  เข้าไปอยู่กับท่าน คืออยู่กับไม่อยู่เท่านั้นเอง อยู่ก็คืออยู่ ไม่อยู่ก็คือไม่อยู่ ไม่ใช่อยู่แค่ครึ่งคน เข้าใจใช่ไหมครับ? เพราะฉะนั้น อย่าให้ใครมาหลอก

            เรารู้ความจริงเหล่านี้ โดยจากภายในวิญญาณเรา เรารู้ เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ภายในเรา เราจึงรู้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ความคิดเราอาจจะต่อต้านว่าเราไม่รู้เรื่อง แต่ข้างในใจเรารับรู้ว่าเหล่านี้เป็นจริง เป็นพระเมซิยาห์จริงๆ เรารับจริงๆ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา และยืนยันสิ่งเหล่านี้ให้กับเราจริงๆ เพราะฉะนั้น จงรับรู้และอย่าให้ใครมาหลอกท่านว่าท่านขาดตกบกพร่องในสิ่งใด ท่านไม่ขาดเลยแม้แต่นิดเดียว  เราทั้งหลายที่เป็นคริสเตียนได้รับการเจิมครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยแล้ว โดยเราอาศัยอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในเรา และเรากับพระคริสต์อยู่ในพระบิดา เราทั้ง 3 เป็นหนึ่งเดียวกัน 1 ยอห์น 2:21 …

        1 ยอห์น 2:21 “ที่ข้าพเจ้าเขียนมานี้ ไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้ความจริง แต่เพราะท่านรู้ และเพราะไม่มีความเท็จใดๆ มาจากความจริง”

            อาจารย์ยอห์นบอกว่าที่ข้าพเจ้าเขียนมานี้ ไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้ความจริง ผมเขียนมา เพราะท่านรู้อยู่ในใจของท่านอยู่แล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันอยู่ในใจของท่านอยู่แล้ว  ท่านรู้อยู่แล้ว  ท่านรู้เพราะอะไร?  เพราะความจริงอยู่ในท่าน  พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในท่าน วิญญาณที่อยู่ในเรา ไม่มีการโกหกหลอกลวงเลย เพราะไม่มีใครโกหกหลอกลวงได้ เพราะวิญญาณแห่งความจริง คือพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ในเรา  ในยอห์น 16:13 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 16:13 “แต่เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมา พระองค์จะทรงนำพวกท่าน ไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะไม่ตรัสโดยลำพังพระองค์เอง แต่จะตรัสเฉพาะสิ่งที่ทรงได้ยิน และจะทรงแจ้งแก่พวกท่าน ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น”

            ตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกนี้ ที่ประกาศข่าวดี ตอนที่จะทำให้สำเร็จที่บนไม้กางเขนนั้น พระองค์บอกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เสด็จมาสถิตอยู่กับเรา  พระองค์จะทรงนำท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล พระวิญญาณจะเอาความจริงบอกเราข้างใน

            ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่พระเยซูส่งสาวกออกไปประกาศว่าพระองค์เป็นพระเมซิยาห์ โดยมอบสิทธิอำนาจพิเศษให้เฉพาะตอนนั้น ตอนที่พระองค์ยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ ให้ออกไปประกาศว่าพระองค์เป็นพระเมซิยาห์จริงๆ อัครสาวกเหล่านี้ก็ออกไปประกาศ ประกาศเสร็จแล้ว กลับมารายงานพระเยซู

            พระเยซูถามว่า … “เขาว่าเราเป็นใคร?”

            เวลาท่านไปประกาศ แล้วคนเขาตอบว่าเป็นใคร? สาวกคนโน้นคนนี้ก็ตอบว่า …

            “เขาตอบว่าพระองค์เป็นผู้เผยพระวจนะ พระองค์เป็นเอลียาห์ พระองค์เป็นรับบี”

            แล้วพระองค์ก็ถามเปโตร “เปโตร ท่านว่าเราเป็นใคร?”

            เปโตรเป็นผู้เดียวที่ตอบว่า “พระองค์ คือพระคริสต์”

            พระคริสต์ หมายถึงพระเมซิยาห์

            พระเยซูตอบกลับให้กับเปโตร “ไม่ใช่ท่านพูดหรอก ที่ท่านพูด เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นผู้ให้ความจริงนี้กับท่าน”

            ขณะนั้นเปโตรยังไม่ได้เป็นคริสเตียน ยังไม่ได้เกิดใหม่ แต่พระวิญญาณที่อยู่ภายนอก ได้ส่งความจริงนี้ให้กับเปโตรได้รู้ว่าพระองค์ คือพระคริสต์ สิ่งเหล่านี้จะรู้ได้โดยโลกวิญญาณ  โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น 1 ยอห์น 2:22-23 …

        1 ยอห์น 2:22-23 “22 ใครเล่าคือคนโกหก ก็คือคนที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ คนเช่นนี้แหละ คือปฏิปักษ์ของพระคริสต์ เขาปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร 23 ผู้ใดปฏิเสธพระบุตร ก็ไม่มีพระบิดา ผู้ใดรับพระบุตร ก็มีพระบิดาด้วย”

            คนที่ไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระคริสต์ เป็นผู้ที่พระเจ้าส่งมา เป็นพระมาซิฮาห์ ก็แสดงว่าในใจของเขาไม่มีความจริงอยู่ เมื่อไม่มีความจริงอยู่ ก็เหลืออยู่อย่างเดียว ก็คือความไม่จริง คือความเท็จ คือเป็นคนโกหก จากข้างใน เพราะว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ คือผู้ที่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับข่าวดี ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้านั่นเอง นี่คือความจริง และเขาไม่เชื่อ แสดงว่าในใจของเขามีแต่ความเท็จอยู่

            ฉะนั้น หัวใจของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ก็คืออย่างที่บอก ต้องยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าทรงประทานให้มนุษย์ เพื่อช่วยให้มนุษย์ได้รับความรอด จากบาป ได้รับชีวิตนิรันดร์ ตามยอห์น 3:16 ก็คือหัวใจของข่าวประเสริฐนั้น

            ยอห์น 3:16 ที่บอกว่า “พระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ลงมาบนโลกใบนี้ คือพระเยซูคริสต์ คือพระเมซิยาห์”

            เพื่อผู้ที่วางใจในพระองค์ คือวางใจในพระบุตรนี้ว่าเป็นพระเมซิยาห์ จะไม่พินาศ คือถูกตัดสินให้พินาศ หลังจากความตาย ลงนรกนั่นเอง  แต่ได้รับชีวิตนิรันดร์ คือชีวิตที่เหมือนพระเจ้า  1 ยอห์น 2:24 …

        1 ยอห์น 2:24 “ให้สิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่แรก ดำรงอยู่ในท่าน หากสิ่งนี้ ดำรงอยู่ในท่าน ท่านก็จะดำรงอยู่ในพระบุตร และในพระบิดาด้วย”

            “ให้สิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่แรก” ผมตัดคำว่า “จง” ออกไป เพราะว่าพอมีคำว่า “จง” เรามักจะเข้าใจผิด คิดว่าพระคัมภีร์หรืออาจารย์ยอห์นกำลังสั่งให้เราพยายามทำให้มันเกิดขึ้น แต่มันไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นแล้ว โดยพระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จแล้วบนไม้กางเขน ทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น  เพราะฉะนั้น ก็ควรจะบอกว่าให้ท่านรับรู้ว่านี่มันเกิดขึ้นแล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น ให้รับรู้ความจริงเหล่านี้ที่เกิดขึ้น และอยู่ในตัวท่านแล้ว คือเรื่องพระเยซูคริสต์เป็นพระเมซิยาห์ เป็นพระคริสต์ เรื่องการเจิมจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ท่านได้รับบัพติศมาด้วยฤทธิ์เดชอำนาจ จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ คือความจริง คือการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ ในพระคริสต์นั่นเอง ให้ท่านรับรู้

            “ดำรงอยู่” หมายถึงอาศัยอยู่ เป็นอยู่ในท่าน เป็นสภาวะทางฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าดำรง คงอยู่ เป็นอยู่ ไม่ใช่ทำให้มันดำรง ไม่ใช่ มันอาศัยอยู่ มันเป็นอยู่อย่างนั้นแล้ว พระคริสต์อาศัยอยู่ ดำรงอยู่ในวิญญาณของท่านแล้ว คิดตามนะ …

            “พระคริสต์ คือพระเยซูคริสต์ดำรงอยู่ อาศัยอยู่ในวิญญาณของฉันแล้ว”

            ต้องทำอะไรเพิ่มไหม? อธิษฐานให้มากขึ้น จะได้พระเยซูคริสต์มากขึ้นไหม? ไม่ใช่ พระองค์อยู่ก็คืออยู่ ไม่อธิษฐาน แล้วยังอยู่ไหม? ก็อยู่ ไม่ไปไหน?  ก็อยู่แล้วอยู่เลย แล้วเข้ามาอยู่ได้อย่างไร? ก็โดยที่ฉันเปิดใจยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ เป็นพระมาซิฮาห์ ฉันวางใจในพระองค์ว่าพระองค์เป็นผู้นั้น ที่พระเจ้าส่งมา และฉันยอมรับว่าฉันเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ฉันถึงต้อนรับพระเยซูคริสต์หัวใจของข่าวประเสริฐ แค่นี้

            พอต้อนรับปุ๊บ ทุกอย่างเหล่านี้ ก็เกิดขึ้นทันที พระเยซูคริสต์ก็เข้ามาอยู่ในฉันทันที  เพราะฉะนั้น มันก็มีอยู่แค่ 2 อันเท่านั้นเอง คือจะอยู่หรือไม่อยู่ ไม่ใช่อยู่แค่ครึ่งเดียว และอีกครึ่งหนึ่งเราต้องปฏิบัติตัวเอง ทำดีเยอะๆ ประพฤติตัวดีๆ เยอะๆ มาโบสถ์เป็นประจำ ถวายเยอะๆ ออกไปประกาศเยอะๆ จะได้พระเยซูเพิ่มขึ้นในตัว ไม่ใช่เลย พูดไปพูดมาอย่างไรก็ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติของเราเลย พูดไปพูดมาอย่างไร สิ่งเหล่านี้เราได้รับมา โดยความเชื่อในการกระทำ ในความประพฤติของพระเยซู ซึ่งได้ทำให้เรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขน  ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว

            พระเยซูดำรง อาศัยอยู่ในตัวท่าน หรือตัวเรา  และเราก็อาศัยอยู่ ดำรงอยู่ในพระบุตร คือในพระคริสต์แล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว และพระคัมภีร์บันทึกว่าและเราก็อยู่ในพระบิดา เข้าส่วนร่วมสามัคคีธรรมในวิญญาณ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตรีเอกานุภาพอย่างสมบูรณ์แบบเรียบร้อยแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์เรียบร้อยเลย  อาจารย์ยอห์นเลยชี้ให้เห็นว่าจงรับรู้ความจริงในเรื่องโลกวิญญาณนี้ว่ามันเป็นอย่างนี้แล้ว …

            “ฉันอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในฉัน ฉันอยู่ในพระคริสต์ ฉันเป็นชีวิตนิรันดร์  เหมือนพระเยซูคริสต์ เกิดจากวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์ เรียกว่าชีวิตนิรันดร์  เอเมน”

        1 ยอห์น 2:25 “และนี่คือสิ่งที่พระองค์ ได้ทรงสัญญาไว้กับเรา คือชีวิตนิรันดร์นั่นเอง”

            อาจารย์ยอห์นบอกว่า “ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่พระเจ้าสัญญาไว้แล้วว่าผู้ใดที่วางใจในพระบุตรที่เราส่งมาว่าเป็นพระเมซิยาห์ ช่วยให้ท่านรอดได้ ผู้นั้น ก็ได้รับชีวิตนิรันดร์ แทนที่จะถูกพิพากษาให้พินาศ กลายเป็นได้รับชีวิตนิรันดร์ ตรงกันข้ามกันเลย”

            เพราะฉะนั้น อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าให้รับรู้ ถ้าท่านไม่ตัดคำว่า “จง” ออก ก็ใส่คำว่า “รับรู้” เข้าไปเพิ่มเติมก็ได้ จงรับรู้ว่าท่านได้รับชีวิตนิรันดร์ที่พระเจ้าสัญญาไว้ในหนังสือพระคัมภีร์ ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม สมัยปฐมกาลแล้ว จนถึงปัจจุบันนี้

            “จงรับรู้”

            เวลาพระคัมภีร์เขียนคำว่า “จง” เมื่อไรให้เข้าใจตรงนี้ว่ามันเกิดขึ้นแล้ว …

        1 ยอห์น 2:26  “ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้มาถึงท่าน เกี่ยวกับบรรดาผู้พยายามชักจูงให้ท่านหลงผิด”

            ทำไมเตือนเราให้เราจงรับรู้ เพราะว่าพยายามชี้ให้เราเห็นถึงความจริงในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็นว่าอะไรเกิดขึ้นในวิญญาณและให้เรารับรู้ จะได้ไม่ถูกหลอก  แค่นั้นเอง  หลอกให้อะไรก็ตามที่อยู่ตรงกันข้ามความจริงนี้ ก็คือเอาความเท็จมาหลอกเรา อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นว่าเรา ซึ่งเป็น คริสเตียนที่เกิดใหม่ในโลกวิญญาณแล้ว เราอยู่ในกลุ่มใด กลุ่มที่มีความจริงอยู่ในวิญญาณ  โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์  หรือกลุ่มที่มีความโกหกอยู่ มีความหลอกลวงอยู่ในวิญญาณที่ตกลงไปในความบาปและความตายอยู่ เราอยู่ในกลุ่มไหน? กลุ่มที่เป็นความจริง หรือกลุ่มที่ถูกหลอก

            ถ้าเราอยู่ในกลุ่มที่เป็นความจริง ก็คือจงรับรู้ความจริงเหล่านี้ และยึดมั่นเอาไว้ นิ่งๆ เอาไว้ มั่นคงเอาไว้ อย่าหวั่นไหว อย่าให้ใครมาหลอกท่านได้ มันหมายถึงอย่างนี้

            หลงผิด คือไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮาห์ นี่คือหลงผิด เข้าใจผิด หรือรับว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าเฉยๆ แต่ไม่รับว่าพระองค์เป็นมนุษย์ อย่างนี้ก็ไม่รับว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ ถ้ารับว่าพระองค์เป็นพระคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ ต้องมั่นหมายว่าพระองค์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ชำระบาป และเป็นขึ้นจากความตาย ครบถ้วนบริบูรณ์เหล่านี้ ถึงเรียกว่าไม่ปฏิเสธ ถ้าต่อต้านสิ่งใดสิ่งหนึ่งเหล่านี้ ถือว่าปฏิเสธ เพราะมันโยงกันหมดเลย เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มีไหม? มี แต่ไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นมนุษย์ ก็แสดงว่าไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ถูกส่งมาไถ่บาปให้กับมนุษย์ ก็ไม่รอด นึกภาพออกใช่ไหม? ฉะนั้น หลงผิด เป็นการเข้าใจผิด เกี่ยวกับข่าวประเสริฐ ข่าวดีของพระเจ้า ระวังที่จะรับการสอนเหล่านี้เข้ามาในชีวิตของท่าน

            “ท่าน” ในที่นี้ หมายถึงท่านที่ต้อนรับพระเยซูคริสต์จริงๆ เป็นคริสเตียนจริงๆ แล้ว ระวังคำสอนเหล่านี้ ที่แปลกๆ เป็นข่าวดีที่ผสมผสานความคิดของมนุษย์เข้าไปในความจริง ทำให้เราหลงผิด ซึ่งปัจจุบันก็มีเยอะแยะ เพื่อทำลายความจริงของข่าวประเสริฐของพระเจ้า ซึ่งเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ  เพื่อจะทอนฤทธิ์เดชอำนาจของข่าวประเสริฐนี้  แต่มันทอนไปไม่ได้เยอะหรอก เพราะว่าความจริง คือความจริง ความจริง คือฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า ข่าวประเสริฐของพระเจ้าเป็นฤทธิ์เดช  ยังไงมันทะลุมาถึงมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ได้ อย่างที่เห็น 2,000 ปีนี้ เต็มไปหมดเลย ทั้งๆ ที่ปฏิปักษ์พระคริสต์ ใน 2,000 ปีนี้เกิดขึ้นเยอะแยะมากมายไปหมดเลย

            ปฏิปักษ์พระคริสต์ ก็คือผู้ที่ปฏิเสธพระคริสต์ทั้งหลายนั่นเอง

            เพราะฉะนั้น อย่าให้ผู้ที่ทำให้ข่าวประเสริฐของพระเจ้า กลายเป็นข่าวดีที่ผสมผสานความคิดของมนุษย์ และระบบของโลกใบนี้เข้าไป  ก็คือไม่เชื่อในความจริงทั้งหมดของข่าวประเสริฐว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร? ไม่เชื่อในผลทางฝ่ายวิญญาณของข่าวดีในพระคริสต์ว่าคืออะไร? ทั้งๆ ที่ถ้อยคำพระเจ้าได้เขียนไว้ชัดเจน ที่บอกว่าวางใจในพระบุตรเท่านั้นและรับชีวิตนิรันดร์แค่นั้นเองจริงๆ อย่ามาบวก

            สอนผิดๆ คือวางใจในพระบุตรของพระเจ้าและบวกด้วยความประพฤติที่ดีๆ ด้วย ไม่ใช่ ความจริง คือวางในพระบุตรว่าเป็นพระคริสต์เท่านั้น ได้รับความรอดแล้ว อย่างนั้นมันก็ง่ายเกินไปสิ อย่างนี้ใครๆ ก็ไปทำบาปกันหมดสิ นี่แหละ คือคำสอนที่ผิด มันดูเหมือนดี แต่มันไม่ตรงกับความเป็นจริงของข่าวประเสริฐของพระเจ้า

            การเป็นคริสเตียนแล้วของเรา เราได้รับความรอดแล้วอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ให้เราเชื่ออย่างนั้น แต่คนที่มาสอนผิด คืออะไร? เพราะมันมี 2 ลักษณะ สำหรับคนที่ไม่เชื่อ ยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้เป็นคริสเตียน เราถูกสอนให้หลงผิด คิดว่าความเชื่ออย่างนั้น การประพฤติอย่างนั้น การปฏิบัติอย่างนั้น เราได้รับความรอด อย่างนั้นเรียกว่าคนไม่เชื่อเลย ก็คือปฏิเสธพระเยซูเลย ไม่ยอมรับพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด จบเลย อย่างนั้นมันง่าย สังเกตง่าย แต่ที่สังเกตยาก ก็คือเมื่อเราเป็นคริสเตียนแล้ว แล้วมีคนมาสอนว่าเรายังไม่เกิดใหม่ สิ่งที่เราพูดมา สิ่งที่อาจารย์ยอห์นพูดมาทั้งหมดนั้น ไม่เป็นความจริง ต่อต้าน นั่นสังเกตยาก

            อาจารย์ยอห์นจึงมาชี้ให้เห็นว่าเราวางคำสอนอย่างนี้ เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราบังเกิดใหม่จริงๆ แล้ว มันได้รับเรียบร้อยไปแล้ว อย่าให้ใครมาสอนสิ่งที่ผิดไป เช่น ไม่เชื่อว่าเรามีวิญญาณที่เกิดใหม่แล้วจริงๆ วิญญาณที่เกิดใหม่ เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าจริงๆ เป็นวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้าที่มาอยู่ในวิญญาณของเราจริงๆ เป็นจริงๆ เลย เราได้มีธรรมชาติใหม่แล้วจริงๆ เลย

            คำสอนเหล่านี้ ที่ว่าไม่จริง เราไม่ได้เกิดใหม่ มันเต็มไปหมดเลย ในหมู่ของคริสเตียน ฟังให้ดีๆ ในหมู่ของคนที่เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียน แล้วเป็นคริสเตียนจริงๆ ด้วย  แต่เขาหลงผิดไป หลงผิดตรงนี้ ทำให้เขารอดไหม? เขาก็ยังรอดอยู่ดี แต่ข่าวประเสริฐของพระเจ้า มันไม่ครบ รอดเหมือนรอดด้วยไฟ รอดด้วยความทุกข์ยากลำบาก ข่าวประเสริฐก็ถูกทำให้เสียหาย

            เขาไม่เชื่อว่าคริสเตียนมีธรรมชาติในวิญญาณที่เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ บังเกิดใหม่แล้วจริงๆ ไม่มีบาปหลงเหลืออยู่เลยจริงๆ ในวิญญาณของเขา ทั้งๆ ที่ยังทำบาปอยู่ แต่เขาดีพร้อม สะอาดบริสุทธิ์ ตามถ้อยคำพระเจ้าแล้ว แม้ว่ายังถูกล่อลวงให้ทำบาปอยู่ นี่เป็นเรื่องจริง แต่เขาไม่เชื่อ เขาก็เลยไปสอนให้คริสเตียนด้วยกัน หลงผิดไปว่าเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเมซิยาห์แล้ว ยอมรับพระองค์แล้ว ยอมรับตัวเองเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือแล้ว ได้รับความรอดเรียบร้อยไปแล้ว บังเกิดใหม่เรียบร้อยไปแล้ว กลายเป็นชักเขว …

            “ฉันรอดหรือยังเนี้ย? แล้วฉันทำดีหรือยังเนี้ย? เมื่อวานนี้ฉันยังทำไม่ดีอยู่เลย ประพฤติไม่ดีอยู่ แล้วฉันรอดอยู่หรือเปล่า? ฉันสารภาพบาปพอไหม? แล้วสรุปสุดท้าย คือตายไป ฉันได้รับความรอดไหม?”

            ทั้งๆ ที่เขาได้รับความรอดแล้ว เขาอยู่เหมือนคนที่ไม่มีความรอด  พอนึกออกไหม? …

        1 ยอห์น 2:27 “ส่วนท่านทั้งหลาย การเจิมที่ท่านได้รับจากพระองค์ ก็ดำรงอยู่ในท่าน จึงไม่จำเป็นต้องมีใครสอนท่าน แต่เพราะการเจิมของพระองค์สอนท่านทุกสิ่ง และเพราะการเจิมนั้น จริงแท้ ไม่ปลอมแปลง จงดำรงอยู่ในพระองค์ตามที่การเจิม ได้สอนท่านไว้แล้ว”

            “จงดำรงอยู่ในพระองค์” เห็นไหมอีกแล้ว “ตามที่การเจิมได้สอนท่านไว้แล้ว คือท่านรู้แล้ว มันอยู่ข้างในท่านแล้ว ให้ท่านเรียนรู้ รับรู้เอา รับตัวเองอย่างนั้นตามถ้อยคำพระเจ้า ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า

            “Be it unto be according to your words”

            “โอ้ พระเจ้าขอให้เป็นไปตามนั้น ตามถ้อยคำของพระองค์ที่บันทึกเอาไว้เถิด ขอให้เป็นอย่างนั้น ใช่มันเป็นอย่างนั้น เอเมนๆ”

            ไม่ใช่ “เอ๊ะ แต่ว่า”

            พระเจ้าบอก “ได้รับชีวิตนิรันดร์แล้ว”  … “เอ๊ะ แต่ว่า”

            พระเจ้าบอก “เราเป็นผู้ที่ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า มีชีวิตนิรันดร์เหมือนพระองค์ เหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว” … “เอ๊ะ แต่ว่า”

            แทนที่จะ “แต่ว่า” เป็น “เอเมน” ได้ไหม? เอเมนไหม?

            อาจารย์ยอห์นบอกให้เรารับรู้ความจริงเหล่านี้ เตือนตัวเอง วิธีเตือน คือพอได้ยินอะไรต่างๆ เหล่านี้ รู้สึกมันตรงกับในหัวใจของเรา บอก “เอเมน” ใช่ พอมันไม่ใช่ ก็เกรงใจคนที่เขาพูด ก็นึกในใจ ไม่เอเมน แล้วก็เดินหนีเลย อย่าไปฟัง ใครที่บอกท่านว่ายังไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ ท่านต้องรับการเจิม เจิมๆ มันทุกวันๆ เอเมนไหม? ไม่เอเมน ถ้าใครบอกท่านว่าการเจิมท่านครบถ้วนบริบูรณ์ สมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว ครบถ้วน พระเยซูทำให้เรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ท่านเป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซูแล้ว ทั้งหมดนี้สมบูรณ์แบบอยู่ในท่าน ท่านก็บอกว่าเอเมนดังๆ เลย

            “ส่วนท่านทั้งหลาย” ก็คือคริสเตียน “การเจิมที่ท่านได้รับ” เห็นไหม? สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ท่านได้รับเรียบร้อยแล้วจากพระองค์ อยู่ที่ไหน? ก็ดำรงอยู่ในท่าน อยู่ในท่านอยู่แล้ว คริสเตียน ที่ท่านได้รับจากพระองค์ ก็คือได้รับจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่บัพติศมาท่าน และสถิตอยู่กับท่านตอนนี้ ดำรงอยู่ในท่านแล้ว อยู่ในตัวท่านแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องมีใครมาสอนท่านอีก

            “ไม่จำเป็นต้องมีใครมาสอนฉันว่าฉันได้รับการเจิมพอหรือยัง?”

            ไม่ต้องมาสอน ไม่ต้องมาชี้แนะว่าอันนี้ขาด อันนั้นขาด

            “ฉันไม่ขาดเลยแม้แต่นิดเดียว ในโลกฝ่ายวิญญาณ เอเมน ฉันต้องแสวงหา รับรู้สิ่งเหล่านี้ว่ามันอยู่ในตัวฉันแล้ว”

            แต่เพราะการเจิมของพระองค์สอนท่านทุกสิ่ง เพราะว่าอยู่ในใจ ไม่ใช่มาต่อต้านเรื่องการสอน เรียนพระคัมภีร์ไม่ใช่ ถ้อยคำพระเจ้ายังสำคัญอยู่ แต่ควรเป็นถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นไปตามความจริงของข่าวประเสริฐของพระเจ้า เรียกว่าถ้อยคำพระเจ้า อนุโลมเรียกว่าถ้อยคำพระเจ้า ก็หมายถึงถ้อยคำพระเจ้าที่เป็นจริง ของปลอมนั้น เราไม่เรียกว่าถ้อยคำพระเจ้าหรอก เราเรียกว่าถ้อยคำแห่งความเท็จ  แต่อ้างว่าถ้อยคำพระเจ้า มันเป็นความเท็จ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไร? ในวิญญาณเราจะรู้ว่ามันไม่ใช่ เรายึดมั่นอยู่แค่นี้ …

            “ฉันเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เป็นพระมาซีฮาห์ของฉัน เป็นพระคริสต์ของฉัน ฉันวางใจ ฉันได้รับชีวิตนิรันดร์เรียบร้อยแล้ว ฉันไม่มีบาปหลงเหลืออยู่เลย อาจารย์ยอห์นบอกฉันได้ถูกลบบาปออก หมดสิ้น ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคตนิรันดร์เลย ฉันอยู่ในพระคุณของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน ฉันไม่ฟังอย่างอื่นแล้ว อะไรที่มาแย้งกับตรงนี้ ฉันไม่รับทั้งสิ้น เอเมน”

            หนังสือเยเรมีย์ 31:34 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ ตามพระสัญญาของพระเจ้า ก่อนที่พระเยซูจะทำให้สำเร็จ และพระเยซูคริสต์ได้ทำสำเร็จแล้ว …

        เยเรมีย์ 31:34  “ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า’ เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุด ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด”  องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น “เพราะเราจะอภัยความชั่วร้ายของเขา และจะไม่จดจำบาปทั้งหลายของเขาอีกต่อไป”

            ก็หมายถึงทุกคนจะรู้จักความจริงเหล่านี้ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ภายในของท่าน การที่ผมสอนเกี่ยวกับถ้อยคำพระเจ้าแห่งความจริง หรือท่านได้ยินถ้อยคำพระเจ้าแห่งความจริง แล้วท่านรู้ว่ามันใช่ ไม่ใช่เพราะผมสอน ผมเพียงแต่พูดให้ท่านได้ฟัง แล้วท่านได้รับการยืนยันจากข้างในวิญญาณของท่านว่ามันเป็นจริง ท่านลองสังเกตดู หลายเรื่องเรารู้อยู่แก่ใจ หลายเรื่องบางทีเราฟังถ้อยคำพระเจ้าจากคำสอน หรือเราเดินออกไปข้างนอก เราได้ยินถ้อยคำพระเจ้าบ้าง ได้ยินคำพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐบ้าง แล้วเรามีความรู้สึก เหมือนเราได้รู้เรื่องนี้มาก่อนแล้ว ไม่มีใครสอน ไม่มีใครเคยพูดให้เราฟัง แล้วเราไม่เคยอ่านมาจากไหน? แต่ข้างในมีความรู้สึกเหมือนคุ้นๆ เราก็เชื่ออย่างนี้ เราก็รู้อย่างนี้เหมือนกัน นั่นแหละ ก็มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเราเหมือนกัน หลายเรื่องเราเอเมนเลย ทั้งๆ ที่ไม่มีใครสอน ไม่มีใครบอก เราเอเมนอยู่ในใจ ใช่ เป็นอย่างนั้นจริงๆ นั่นแหละ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังสอนเรา

             อย่างเช่นพระคัมภีร์เมื่อตะกี้ ที่บอกว่า “เพราะเราจะอภัยในความบาปชั่วของเขา และจะไม่จดจำบาปของเขาอีกเลย”

            พระเจ้าบอกไม่จดจำความบาปของเขาอีกเลย แสดงว่าไม่มีบาปอีกเลยแม้แต่นิดเดียว ต่อให้ท่าน ก่อนตาย ทำบาป พอวิญญาณออกจากร่าง พระเจ้าก็จำไม่ได้ว่าท่านทำบาปไปเมื่อตะกี้นี้ เกิดหงุดหงิดไปโกรธ ไปด่าพยาบาล หมอ เพราะมันเจ็บ หงุดหงิด สมมติ แล้วก็สิ้นลมไปพอดีเลย พระเจ้าก็จำไม่ได้ พระเจ้าบอก …

            “เราจะไม่จดจำความบาปของเจ้าอีกเลย”

            แล้วเราไปจดจำทำไม? คนมาสอนให้เราจดจำ ถูกไหมล่ะ ก็ต้องบอกไม่เอเมน ถ้าบอกพระเจ้าไม่จดจำ แล้วเราไม่จดจำด้วย  ก็ต้องบอกว่า “เอเมน” ไปจดจำทำไม มันก็จบ ไปแล้ว ไม่ต้องมีคำว่า “แต่”

            “แต่ว่าถ้าไม่จดจำ แล้วเราจะแก้ไขอย่างไร?”

            เอ้อ! น่า ไม่จดจำแล้วกัน เดี๋ยวมันจะแก้ไขอย่างไร? เดี๋ยวพระวิญญาณจะนำเราอย่างไร? เอเมนไหม? มันมีวิธี คิดให้มันเป็นทางบวก คิดให้มันเป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า  คิดให้มันเป็นทางเดียวกับพระเจ้าได้ ไม่จำเป็นต้องไปคิด สิ่งที่มันตรงกันข้าม สิ่งที่มาต่อต้าน แล้วบอกว่าจะช่วยเรา ให้เราประพฤติดี ไม่มี ความเท็จ ก็คือความเท็จ มันหลอก มันเหมือนดี แต่มันส่งผลไม่ดีกับเรา พระวิญญาณที่สถิตอยู่ภายใน จะเป็นพี่เลี้ยงคอยสอน และเป็นพยานยืนยันว่าถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้ เป็นจริงหรือไม่? ถามข้างใน เดี๋ยวท่านจะรู้เองว่าใช่หรือไม่?

            สมัยก่อนไม่มีเครื่องมือ ไม่มีวัสดุอุปกรณ์ในการสอนถ้อยคำพระเจ้าแบบนี้ ท่านลองคิดดู 2,000 ปีก่อน เขาอยู่อย่างไร? ข่าวประเสริฐจึงมาถึงปัจจุบันได้ ตั้ง 2,000 ปีแล้ว เจริญเติบโตด้วย เขาอยู่ได้อย่างไร? เขาแข็งแรงได้อย่างไร? ถ้อยคำพระเจ้าไม่มี พระคัมภีร์ไม่มี มีแต่หนังสือจดหมายฝาก ฉบับหนึ่ง สองฉบับ อ่านวนไปวนมา แล้วหลายคนก็อ่านหนังสือไม่ออก หลายคนก็ไม่รู้จักตัวหนังสือ แล้วเขาอยู่กับข่าวประเสริฐอย่างไร? ก็อยู่ด้วยวิธีนี้แหละ คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะสอนเขาเอง บอกเขาเอง บอกหัวข้อที่เป็นข่าวประเสริฐของพระเจ้านิดเดียว ให้เขาตัดสินใจต้อนรับพระเยซู ต้อนรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในตัว แค่นั้นเอง จบ พระวิญญาณจะเป็นผู้นำเขาเองว่าอะไรเป็นอะไรต่อไป เอเมนไหม? ปัจจุบันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ ปัจจุบัน พอต้อนรับพระเยซูคริสต์มาแล้ว เต็มไปหมดเลย ภาระ ต้องไปอ่านตรงนี้ ต้องไปค้นคว้าตรงนี้ ต้องไปอย่างโน้น ต้องไปอย่างนี้ ผมไม่ได้ต่อต้านการค้นคว้าถ้อยคำพระเจ้า ผมชอบ สนุกด้วย แต่มันคนละเรื่องกันกับข่าวประเสริฐของพระเจ้าทั่วๆ ไป ทั้งหมด

            คนส่วนใหญ่จะต้องเหมือนผมอย่างนี้หรือ? กว่าจะได้รับความรอดที ค้นคว้าข่าวประเสริฐ ฮีบรูเขาว่าอย่างไร? ภาษาอังกฤษเขาว่าอย่างไร? ภาษาไทยแปลผิดว่าตรงนี้ ตรงนี้ควรจะต้องแปลว่าอย่างนั้น ต้องรู้อย่างนี้หรือ? ไม่ต้อง เพียงหัวใจที่อยู่ในวิญญาณของเขา ที่เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แรกๆ นั้น รับว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร? ไม่ได้ปฏิเสธพระเยซูคริสต์ เขาไม่ได้เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ แค่นั้นพอแล้ว ไม่ต้องรู้อะไรมาก พระเยซูจะกลับมาเมื่อไร? โลกนี้จะสูญสิ้นเมื่อไร? ไม่ต้องรู้ ในอดีต เขาก็ไม่รู้อะไรมากมายขนาดนั้นหรอก …

        1 ยอห์น 2:28 “และบัดนี้ ลูกทั้งหลายเอ๋ย จงอาศัยอยู่ในพระองค์ เพื่อว่าเมื่อพระองค์ทรงปรากฏ เราทั้งหลายจะได้มีใจกล้า และไม่หลบพระพักตร์พระองค์ด้วยความละอาย เมื่อพระองค์เสด็จมา”

            เดี๋ยวนี้ ก็หมายถึงขณะนี้ ขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้นะ คริสเตียนทั้งหลาย มาอีกแล้ว “ให้รับรู้เถิดว่า” ก็คือจงรับรู้เถิดว่าท่านกำลังอาศัยอยู่ในพระคริสต์ พระเยซูคริสต์อาศัยอยู่ในท่าน ท่านเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หมดบาปเรียบร้อยแล้ว  จนถึงนิรันดร์เลย  เอเมน มีใครในใจไม่เอเมนบ้าง? มีใครในใจบอกว่า “แต่ว่า เดี๋ยว ถ้าไปทำบาปอีก” มีใครคิดอย่างนี้ไหม? กลับใจใหม่ซะ

            จงรับรู้ความจริงนี้ จะได้มีใจกล้า ก็คือจะได้ไม่กลัว กลัวอะไร? กลัวความตาย เพราะว่ากลัวการพิพากษา หลังความตาย  เพราะฉะนั้น ฝากถึงคริสเตียนควรรับรู้ความจริง ไม่กลัวหลังความตาย เพราะว่าฉันรอด 100% อยู่แล้ว ไม่ว่าฉันจะประพฤติอะไรก็ตาม จากนี้ต่อไป เอเมน ต้องกล้าพูดคำนี้ ไม่ใช่มาพูดอย่างนี้ พอมีคนมาบอก อ้าว! อย่างนี้พยายามพูด สอนให้เห็นว่าทำบาปได้สิ คุณอยากไปทำบาปหรือเป็นคริสเตียนแล้ว เอาง่ายๆ

            อย่าหลงไปเชื่อคำสอนผิดๆ ที่ทำให้ท่านเกิดความกลัว แต่ท่านต้องรักษาความประพฤติอันดี จนกระทั่ง ถึงวันสุดท้าย จากโลกใบนี้ เพื่อว่าท่านจะได้รับความรอด  ไม่ถูกพิพากษา  เนี้ย กลัวไหม? กลัวสิ ใครจะไม่กลัว ฟังไปบ่อยๆ อย่างนี้ ทั้งๆ ที่เกิดใหม่แล้ว กลัว มีหลายคนที่เป็นอย่างนี้จริงๆ แล้วมาปรึกษา มาถาม เราก็ได้แต่พูดความจริงให้เขาฟัง สิ่งที่จะแก้ให้เขาได้ ก็คือหยุดรับข้อมูลของคนที่หลงผิด และสอนผิดๆ เหล่านั้น แล้วหันมารับข้อมูลที่ถูกต้อง ตามหลักพระคัมภีร์จริงๆ มันธรรมดา มันง่ายๆ ไม่ได้ยากอะไรเลย มนุษย์เราเก่งมากเลยเรื่องนี้ กระทำสิ่งที่ง่ายให้ยาก …

        1 ยอห์น 2:29 “ถ้าท่านรู้ว่าพระองค์เป็นผู้ชอบธรรม ท่านก็รู้ว่าทุกๆ คน ที่ฝึกฝนการกระทำความชอบธรรม ตามธรรมชาติที่อยู่ภายในวิญญาณนั้น ได้เกิดมาจากพระองค์ด้วย”

            ก็หมายถึงพูดง่ายๆ ต่อจากเมื่อตะกี้นี้ คือรอดแล้ว ท่านรอดเลย ไม่ต้องกลัวว่าจะสูญเสียความรอด เพราะท่านเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว พูดง่ายๆ คือธรรมชาติของคริสเตียนที่ได้บังเกิดใหม่ ในวิญญาณของท่าน เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ คือชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม  เหมือนพระองค์แล้วเลย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว

            “ธรรมชาติ” แปลว่าอะไร? ธรรมชาติ ก็แปลว่าธรรมชาติ แปลว่าการเกิดมา แล้วเป็น ไม่ต้องทำอะไรเลย มันเป็นไปตามที่เกิด เพราะฉะนั้น มีได้แค่ธรรมชาติเดียวเท่านั้น ถูกไหม? เหมือนตัวอย่างที่ผมพูดบ่อยๆ ตามธรรมชาติของมนุษย์ ที่เป็นทาร์ซาน รู้จักทาร์ซานไหมครับ? ต่อให้ทาร์ซานไปอยู่กับลิงเท่าไร? ทำท่าทางเหมือนลิง กินอาหารเหมือนลิงเท่าไร? อยู่กับลิงให้เยอะๆ เลย จนกระทั่งถึงแก่เฒ่า จนตายเลย เขาก็เป็นมนุษย์ ทาร์ซานเป็นมนุษย์ ฉันใดก็ฉันนั้น พระคัมภีร์บอกว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าและได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าได้เปลี่ยนแปลงธรรมชาติ ตัวตนที่แท้จริงของเรา จากธรรมชาติเก่า ที่เป็นธรรมชาติแห่งวิสัยบาป เป็นคนบาป มาเป็นธรรมชาติที่เป็นเหมือนพระเจ้า มีพระลักษณะเหมือนพระเจ้า

            และเมื่อพระเจ้าได้เปลี่ยนแปลงธรรมชาติของเราเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะสามารถมาเปลี่ยนได้อีก เป็นไปไม่ได้อีกแล้ว  เพราะธรรมชาติใหม่ของเราเป็นธรรมชาติ ที่เป็นพระลักษณะของพระเจ้า เป็นวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า

            ผมจึงใช้คำว่า “ฉันเป็นวิญญาณนิรันดร์ของพระเจ้า ฉันเป็นชีวิตนิรันดร์” ไม่ใช่ “ฉันมีชีวิตนิรันดร์”

            “มี” มันอาจจะหายได้ ผมจึงใส่คำว่า “ฉันเป็น” เป็นอะไร? เป็นชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า เกิดจากชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า DNA ของพระเจ้า คริสเตียนจึงมีธรรมชาติของวิญญาณที่เป็นเหมือนพระเจ้า ตัวตนเก่าที่เป็นคนของบาป ได้ตายไปแล้ว พร้อมกับพระเยซูบนไม้กางเขน ไม่มีอีกแล้วธรรมชาติ วิสัยบาปในตัวเรา ไม่มี เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไป

            ถามว่าคริสเตียนมีธรรมชาติเหมือนพระเจ้าแล้ว ยังทำบาปอีกไหม? ตอบพร้อมกันว่า “ทำ” ทำแน่นอน ยังทำบาปอีก  แต่เป็นการทำบาป ที่ไม่ได้เป็นไปตามธรรมชาติ วิสัยตัวตนที่แท้จริงในวิญญาณ ไม่ได้มาจากวิญญาณของเรา  และมาจากไหน? พระคัมภีร์บอกให้ชัดเจนเลย โรม 6:6 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 6:6 “เรารู้แล้วว่าคนเก่าของเรานั้น ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวที่บาปนั้น จะถูกทำลายให้สิ้นไป และเราจะไม่เป็นทาสของบาปอีกต่อไป”

            “คนเก่าของเรา” คือตัวเก่าของเรา ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวเก่าที่เป็นบาปนั่น จะถูกทำลายให้สิ้นไป สูญไปแล้วนะ คนเก่าของเรา ก็คือตัวตนเก่าของเรา  ที่เป็นธรรมชาติ วิสัยบาป ถูกตรึงไว้กับพระเยซูคริสต์แล้ว  ถูกทำลายจนหมดสิ้นแล้ว เราได้บังเกิดใหม่แล้ว  ได้เปลี่ยนธรรมชาติ วิสัยบาปแล้ว มาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ในโลกฝ่ายวิญญาณเป็นอย่างนั้น ธรรมชาติ วิสัยของพระเจ้าได้อยู่ในตัวเรา  เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้า ธรรมชาติ วิสัยของพระเจ้า ที่อยู่ในเราคืออะไร? คือเราสะอาด บริสุทธิ์ ไม่มีบาป  และไม่ทำบาป เพราะฉะนั้น เมื่อไรเราทำบาป ก็แปลว่าเรากำลังฝืน ธรรมชาติในวิญญาณของเรา  เราไม่ได้ทำออกมาจากในวิญญาณของเรา  เหมือนทาร์ซานถูกช่วยออกมาจากป่าแล้ว มาอยู่บ้าน มาอยู่กับพ่อแม่ที่เป็นคนแล้ว ตื่นขึ้นมา ยังเผลอทำเหมือนลิงอยู่ แต่เขาไม่ได้เป็นลิง เขาเป็นคน

            คริสเตียนจึงมีธรรมชาติที่เหมือนพระเจ้า  แต่ยังคงทำบาปอยู่ เพราะยังมีเนื้อหนัง พระคัมภีร์ใช้คำว่า “เนื้อหนัง” เนื้อหนัง คืออิทธิพลของความบาป ที่ยังคงฝังอยู่ในความคิด ในสมอง ความเคยชินในร่างกาย ซึ่งเคยเป็นทาสของมันอยู่ในอดีต ก่อนที่เราจะรับเชื่อ ก่อนที่เราจะเป็นคริสเตียน  ความเคยชิน อิทธิพลของโลกนี้ มันยังอยู่ ซึ่งพระคัมภีร์ใช้คำว่า “เนื้อหนัง” มาจากคำว่า “Sarx” หรือ “Fresh” มันไม่ใช่ธรรมชาติ ลักษณะของเราเลย ไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นเหมือนกับพยาธิ ปรสิต กาฝากที่แอบซ่อนอยู่ คอยกระตุ้นล่อลวงให้เรากระทำตามมัน พระคัมภีร์ใช้คำว่า “มัน” นะ มัน แสดงว่าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตัวเรา

            เพราะฉะนั้น มาถึงตรงนี้เรา ก็พอสรุปได้จากข้อความที่อาจารย์ยอห์นชี้ให้เราเห็นว่าเมื่อเราได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ตัวตนแท้จริงของเรา คือวิญญาณของเรา มีธรรมชาติที่เป็นเหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์ และข้อสำคัญ คือมันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นเลย แม้แต่นิดเดียว เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าเราได้รับความรอด  ได้อยู่ในสวรรค์แล้วแน่นอน 100% ตั้งแต่วินาทีแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ และได้รับการบังเกิดใหม่แล้ว

            ต้องรับตรงนี้ เอาความจริงตรงนี้อยู่ในใจ จงให้ความจริงเหล่านี้ อยู่ในใจของท่านตลอดเวลา รับรู้อยู่ตลอดเวลา  เพราะฉะนั้น แค่ยอมรับว่าตนเองเป็นคนบาป และได้ทำบาป  และให้เราเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน  เพื่อเราทั้งหลาย มนุษย์ และรวมทั้งฉันด้วย ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 ช่วยฉันได้ แค่นั้น ทุกสิ่งเหล่านี้ ที่เราคุยกันในวันนี้  ก็เป็นของท่าน หรือของเรา  หรือของใครก็ตาม ที่ยอมรับความจริงของข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์นี้ เอเมน พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            พระเจ้าได้ให้คำสัญญาและสาบานกับมวลมนุษย์หลายพันปี ก่อนทำให้สำเร็จ โดยพระเยซูคริสต์ คำสัญญาและสาบานนั้นคือ?

            เอเสเคียล 36:25-27 … “25 เราจะประพรมน้ำ ชำระลงบนเจ้า แล้วเจ้าจะสะอาด เราจะชำระล้างเจ้า  จากมลทินโสโครกทั้งปวง และจากรูปเคารพทั้งปวงของเจ้า 26 จะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเรา ไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้า  ให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”

            มนุษย์ถูกสร้างประกอบไปด้วยร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ ตัวตนจริงๆ ของเราคือวิญญาณ และใจที่อาศัยอยู่ในเรือนดิน คือร่างกายนี้

            มนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ เป็นวิญญาณที่ตายจากพระเจ้า  ดำเนินชีวิตอยู่ในบาป อยู่ใต้อำนาจบังคับของบาป

            เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์  พระเจ้าก็เข้ามาผ่าตัดวิญญาณของเรา บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ เพื่อตายพร้อมพระองค์ และเป็นขึ้นจากความตาย บังเกิดใหม่ร่วมกับพระองค์ ด้วยวิญญาณใหม่และใจใหม่ที่เป็นเหมือนพระองค์

            ความต้องการภายในจิตใจ แรงจูงใจภายในจิตใจใหม่ทั้งสิ้นเหมือนพระเจ้า

            วิญญาณและใจใหม่ของเรา มีการเปลี่ยนแปลงอย่างอัศจรรย์ จากเดิมกลายเป็นเหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์ มีความต้องการ มีความดีงาม มีความบริสุทธิ์เหมือนพระเยซู เมื่อสะอาดบริสุทธิ์ไร้ตำหนิแล้ว พระวิญญาณของพระองค์ ก็สามารถเข้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของเรา รวมเป็นหนึ่งกับวิญญาณของเราที่เกิดใหม่นั้นได้ทันที

            เราจึงกลายเป็นอภิสุทธิสถานของพระเจ้า และเป็นวิหารของพระเจ้า แม้กระทั่งร่างกายของเรา ก็ได้รับการชำระด้วยโลหิตของพระเยซูคริสต์ ให้บริสุทธิ์ ที่พระเจ้าสามารถรับได้แล้ว เดี๋ยวนี้จึงสามารถเข้ามาสถิตอยู่กับเราได้

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1485

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  1  กันยายน  2024

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย”  ตอน 7

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในกาลาเทีย 3:8 สัปดาห์ที่แล้ว เราจบลงในข้อที่ 7 ที่บอกว่า …

        กาลาเทีย 3:7 “ฉะนั้น จงเข้าใจเถิดว่าคนที่เชื่อ ก็เป็นวงศ์วานของอับราฮัม”

            พอวันนี้มาต่อข้อที่ 8 …

        กาลาเทีย 3:8 “พระคัมภีร์รู้ล่วงหน้า  ว่าพระเจ้าจะทรงนับว่าคนต่างชาติเป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ และประกาศข่าวประเสริฐล่วงหน้าแก่อับราฮัมว่า “ทุกประชาชาติจะได้รับพรผ่านทางเจ้า”

            พระพรตรงนี้ ที่พระเจ้าทรงตรัสกับอับราฮัม สัปดาห์ที่แล้ว เราคุยกันในหนังสือปฐมกาล บทที่ 12 ที่พระเจ้าบอกกับอับราฮัมว่า …

            “เราจะอวยพรเจ้า เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่  เราจะให้ประชาชาติทั้งหลายได้รับพร ผ่านทางเจ้า”

            สิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าเขียนไว้ บอกไว้กับอับราฮัม มันสำเร็จเรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ ก็คือเป็นแผนการตั้งแต่เริ่มต้น ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้สำหรับมนุษยชาติ ที่ล้มลงในความบาปแล้ว แล้วพระเจ้าก็บอกว่าวันหนึ่งข้างหน้า พระองค์จะทรงอำนวยพระพร แล้วให้ลูกหลานที่สืบเชื้อสายจากอับราฮัม อับราฮัมเป็นบุรุษแห่งความเชื่อ ทุกคนที่สืบเชื้อสายจากอับราฮัม ก็คือเผ่าพันธุ์ที่มาโดยความเชื่อจะได้รับพระพร จากพระเจ้าผ่านทางอับราฮัม ในข้อที่ 9 บอกว่า …

        กาลาเทีย 3:9 “ฉะนั้น ผู้ที่เชื่อจึงได้รับพระพรร่วมกับอับราฮัมบุรุษแห่งความเชื่อ”

            ตรงนี้พระคัมภีร์ไม่ได้พูดถึงการประพฤติเลย อาจารย์เปาโลไม่ได้พูดถึง ไม่ได้เน้นย้ำถึงการประพฤติดีหรือชั่ว ไม่เกี่ยวกัน แต่กำลังเน้นย้ำถึงความเชื่อที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำ เพื่อมนุษยชาติ ที่ไม้กางเขน เพื่อเราเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น ใครก็ตามที่เชื่อตามที่พระเจ้าเขียนไว้ในพระคัมภีร์บอกเรา คนนั้นแหละ เป็นลูกหลานของอับราฮัม สัปดาห์ที่แล้ว เราคุยกันถึงเรื่องความเชื่อของอับราฮัม ที่พระเจ้านับว่าอับราฮัม เป็นบิดาแห่งความเชื่อตอนไหน?  ตอนที่อับราฮัมเดินทางออกจากบ้านเมืองของตัวเอง บอกว่าให้ออกมาเลย  แล้วเราจะอวยพรเจ้า  อับราฮัมทำตามทันที โดยที่ไม่ได้ลังเลใจว่าตกลงพระเจ้าจะพาเราไปไหน? ไม่บอกด้วย แค่บอกว่าให้ออกมา อับราฮัมก็มีความเชื่อว่าพระเจ้า เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว เมื่อพระองค์สั่งอับราฮัมเชื่อตามนั้น ก็เดินทางออกมา นั่นแหละ เป็นครั้งแรก จุดเริ่มต้นที่อับราฮัมถูกพระเจ้าถือว่าเป็นผู้ชอบธรรม

            ฉะนั้น จากวันนั้นถึงวันนี้ ปัจจุบันด้วย ใครก็ตามที่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน คนนั้นก็ได้ชื่อว่าเป็นลูกหลานของอับราฮัม และได้รับพระพรผ่านทางความเชื่อ  พอถึงข้อที่ 10 บอกว่า …

        กาลาเทีย 3:10 “คนทั้งปวงที่พึ่งการทำตามบทบัญญัติ  ก็ถูกสาปแช่ง เพราะมีเขียนไว้ว่า “ขอแช่งทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ”

            พอมาพูดถึงบทบัญญัติ บทบัญญัติอันนี้มันขัดแย้งกับความเชื่อที่พระเจ้าให้อับราฮัมไหม? ทำไมพระเจ้าต้องให้บทบัญญัติให้กับโมเสส ตั้งแต่ในยุคนั้น ให้ชนอิสราเอลยึดถือบทบัญญัตินั้น พระองค์มีเป้าหมายอะไร? บทบัญญัติเป็นเครื่องที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์เป็นคนบาป เป็นสิ่งแสดงว่ามนุษย์ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ มนุษย์ไม่สามารถที่จะประพฤติปฏิบัติตามกฎบัญญัติทุกจุดทุกขีด  ที่พระเจ้าสั่งไว้ ฉะนั้น บทบัญญัติพระเจ้าให้มา  เพื่อทำให้มันมีกฎมีเกณฑ์ เพื่อจะได้อยู่ด้วยกันเป็นระเบียบ

            ก่อนหน้าที่มีบทบัญญัติ หรือก่อนหน้าที่มีกฎหมายบ้านเมือง เขาเรียกว่าคนเมืองเถื่อน  ก็คือใครจะทำอะไรก็ได้ ฆ่าคนตาย ก็ไม่ผิด จะไปแย่งชิงอะไรของใคร ก็ไม่ผิด เพราะว่าไม่มีกฎหมาย ถ้าเธอไปแย่งของเขา เธอผิดนะ เธอต้องชดใช้นะ  พอไม่มีปุ๊บ ก็เลยทำผิดทำบาป ก็ไม่ได้ถูกกฎเกณฑ์บังคับว่าฉันต้องชดใช้ นั่นคือสิ่งที่มันเกิดขึ้นในบทบัญญัติของโมเสส ฉะนั้น พอพระเจ้าให้บทบัญญัตินี้ปุ๊บ ก็ทำให้มนุษย์รู้ว่าไม่ได้แล้วนะ ถ้าเราทำผิดจากที่กฎหมายบังคับไว้ แปลว่าเราต้องได้รับโทษ เหมือนกับกฎหมายไม่ได้บอกว่าข้ามถนน โดยไม่ข้ามทางม้าลาย จะถูกปรับ ถูกลงโทษ เราข้ามที่ไหนก็ได้ เราก็รู้สึกเฉยๆ เพราะไม่มีกฎหมายบังคับ แต่พอมีกฎหมายบังคับว่าเวลาข้ามถนน ให้มาข้ามทางม้าลายนะ จะได้ปลอดภัย ถ้าเราไปข้ามที่อื่นปุ๊บ ข้างในจิตใจเราจะรู้สึกฟ้องผิดเอง เราทำไม่ถูกต้องนะ เราควรจะเดินไปที่ทางม้าลาย นอกจากว่าถนนเส้นนั้น กว่าจะเดินไปถึงทางม้าลาย  เป็นระยะทาง 2-3 กิโลฯ  อันนั้น ก็เป็นข้อยกเว้นนะ แต่ส่วนใหญ่ ม้าลายเขาก็จะมีเป็นช่วงๆ ให้ หรืออะไรหลายๆ อย่างที่ถูกระบุไว้ในกฎหมาย ถ้าเราไม่ทำปุ๊บ เราก็รู้ว่าฉันทำผิดแล้ว มันเป็นสิ่งที่พระเจ้าตั้งขึ้นมา เพื่อให้มนุษย์รู้ว่ายังไงๆ เธอก็ไม่สามารถทำตามกฎบัญญัติได้ทุกข้อ ทุกจุด ทุกขีด ทุกเวลาได้

            ในข้อที่ 10 บอกว่า “ขอแช่งทุกคนที่ไม่ปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือบทบัญญัติ” ดูเหมือนใจร้าย ไม่ทำตามบัญญัติก็ถูกแช่งเลย นั่นคือกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ พระองค์บอกว่าใครก็ตามที่จะเป็นผู้ชอบธรรม จำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า คนนั้นต้องสะอาด บริสุทธิ์ หมดจด ชอบธรรม คือไม่ทำผิดเลยแม้แต่ครั้งเดียว หรือคนๆ นั้น จำเป็นจะต้องรักษากฎบัญญัติที่ในยุคของพระคัมภีร์เดิมที่พระเจ้าตั้งไว้ ใครก็ตามที่ทำผิดกฎตรงนั้น ก็ต้องมาถวายเครื่องบูชา ซึ่งพระเจ้ากำหนดไว้ชัดเจนว่าถ้าทำผิดแบบนี้ ต้องเอาอะไรมาถวายให้พระเจ้า เพื่อลบล้างความผิด คนอิสราเอลหนักกว่าคนทั่วไป ที่พวกเราเป็นคนต่างชาติ เราไม่ได้อยู่ภายใต้บทบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ แต่ว่าเราก็ยึดถือกฎเหล่านี้ เพราะข้างในมันจะบอกเราเองว่าถ้าเราทำอย่างนี้ ถ้าเราฆ่าคนตาย ข้างในวิญญาณจะรับรู้ว่า …

            “ฉันทำผิด ฉันฆ่าคนตาย”

            ต้องชดใช้ ต้องถูกลงโทษให้ตัดสินประหารชีวิตเหมือนกัน คือกฎพระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของมนุษย์ทุกคน ทั่วไป บนโลกใบนี้เรียบร้อยไปแล้ว  ฉะนั้น พระเจ้าจึงบอกว่าใครก็ตามที่จะเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า  ต้องทำตามทุกจุด ทุกขีด ไม่ผิดเลยแม้แต่นิดเดียว ตลอดชีวิตของเขา มีใครทำได้ไหม? มันไม่มี เพราะไม่มีไง พระเจ้าเลยต้องส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ซึ่งเป็นสภาพของพระเจ้า  ที่ไม่มีเชื้อบาปของอาดัมเลย มาจุติในครรภ์ของหญิงพรหมจารี แล้วพระองค์คลอดออกมาตามธรรมชาติ เหมือนมนุษย์ทุกคน ก็คือพระองค์เป็นทั้งมนุษย์ และเป็นทั้งพระเจ้า  และในตัวพระเยซูคริสต์เอง  ไม่มีเชื้อบาป เป็นเชื้อที่บริสุทธิ์ ซึ่งมาจากพระเจ้า ฉะนั้น พระเยซูคริสต์สามารถที่จะทำตามกฎบัญญัติที่พระเจ้าตั้งไว้ ครบถ้วนสมบูรณ์โดยไม่มีผิดเลยแม้แต่นิดเดียว พระองค์ไม่ทำบาป  ฉะนั้น สิ่งที่มันปรากฏขึ้น ก็คือพระเจ้าบอกว่าถ้าใครคิดว่าตัวเองจะเป็นผู้ชอบธรรม โดยการประพฤติของตัวเอง คือพยายามตะเกียกตะกาย อยากจะทำดี เพื่อว่าตัวเองจะไปอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าบอกอยากทำอย่างนั้นได้เหมือนกัน คือเธอจะต้องทำตามกฎทุกจุด ทุกขีด ไม่มีขาดตกบกพร่อง และไม่มีข้อยกเว้นแม้แต่วินาทีเดียว  ตลอดชีวิตของเธอ ซึ่งแค่ฟังแค่นี้ หงายท้องเลย ไม่มีใครสามารถทำได้แน่นอน

            พอไม่มีใครสามารถทำได้ พระเจ้าก็เลยนำเสนอบอก “เรามีตัวช่วยนะ” ตัวช่วยเราได้ถูกส่งมาแล้ว  เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ตัวช่วยที่พระเจ้าส่งมา คือพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ ถูกส่งมา บนโลกใบนี้ เพื่อจะเป็นตัวแทนของมนุษยชาติ มาตายแทนมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้

            ในพระคัมภีร์ ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม พระเจ้าบอกว่าค่าจ้างของความบาป คือความตาย เมื่อมนุษย์ทำบาป ก็คือไม่เชื่อฟังพระเจ้า ผิดจากเป้าหมายที่พระเจ้าวางไว้ ตั้งแต่เริ่มต้น สำหรับมนุษยชาติ พระเจ้าวางเป้าหมายไว้ สำหรับอาดัมและเอวา ก็คือเธอไม่ต้องทำอะไร เธอไม่ต้องคิดอะไรเยอะ เธอแค่รับรู้ว่า …

            “เธอสะอาดบริสุทธิ์ เธอเหมือนฉัน แล้วเธอก็ดำเนินชีวิตให้สบายใจ สิ่งที่เราสร้างมาในสวนเอเดน ให้เธอเชยชม กินได้ทุกอย่าง ยกเว้นอันเดียวแค่นั้น”

            นั่นคือบทพิสูจน์ความเชื่อฟังของมนุษย์คู่แรก ก็คืออาดัมกับเอวา แล้วเมื่อพระเจ้าสั่ง พระเจ้าบอกผลด้วย ไม่ได้สั่งเฉยๆ ถ้าเราเป็นมนุษย์ เราสั่งลูก แล้วเราไม่บอกเหตุผล ลูกก็ไม่เข้าใจ ทำไมถึงทำไม่ได้

            “พ่อบอกมาสิ ทำไมถึงทำไม่ได้”

            “เชื่อเถอะ ทำไม่ได้ ก็แล้วกัน”

            เด็กก็มีความต้องการอยากจะรู้ว่าทำไมถึงไม่ได้ อยากจะทำ ยิ่งห้าม เหมือนยิ่งยุ  ก็เลยไปทำ ทำเสร็จ ก็เลยต้องถูกลงโทษ นี่คือมนุษย์ทั่วไป แต่พระเจ้าของเราไม่เหมือนมนุษย์ ตอนที่พระองค์สั่งอาดัมเอวาว่า …

            “อย่ากินต้นไม้ต้นนี้นะ เป็นต้นไม้ที่สำนึกความดีความชั่ว แล้วต้นไม้ต้นนี้ เธอไม่จำเป็นต้องไปแตะมัน เพราะว่าเธอไม่รู้จักความชั่ว เธอรู้จักอย่างเดียว คือความดีงาม เธอเป็นเหมือนฉัน ดีงามแค่นั้น พอแล้ว ใช้ชีวิตให้มีความสุข”

            แล้วพระเจ้าบอกว่า … “ถ้าวันใดเจ้าขืนกิน เจ้าจะตาย”

            บอกล่วงหน้าด้วย อย่าไปยุ่งกับมัน ถ้าเธอไปแตะเมื่อไร? เธอตายนะ ตายฝ่ายร่างกายและตายฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าบอกล่วงหน้า แต่มนุษย์ก็ถูกล่อลวง พระเจ้าให้อิสรภาพกับมนุษย์ตั้งแต่ยุคอาดัมจนถึงยุคเรา ยุคพระคุณ พระเจ้าก็ยังคงให้อิสรภาพกับเราผู้เชื่อทุกคน แม้ว่าพระองค์ได้ซื้อชีวิตของเราด้วยชีวิตของพระองค์เอง จริงๆ พระองค์บังคับเราได้นะ ห้ามทำอย่างนี้ ห้ามทำอย่างนั้น กดปุ่มหยุดๆ เลิกทำ แต่พระเจ้าไม่ทำ พระเจ้าให้เสรีภาพกับเรา เพราะพระเจ้ารักเรา พระเจ้าให้อิสรภาพเราในการตัดสินใจว่าเราจะเชื่อพระองค์ หรือเราจะเชื่อฟังการล่อลวงของข้างนอกที่ส่งมา หรือเราจะเชื่อฟังตัวเราเอง ที่มีอีโก้ของตัวเองว่าฉันเก่ง ฉันแน่ คือมันเป็นความบาปที่ส่งเข้ามาวันที่มนุษย์ล้มลงในความบาป เกิดความเย่อหยิ่งจองหอง คิดว่าตัวเองสามารถทำได้ เทียบเท่าพระเจ้าด้วย

            ฉะนั้น เมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าก็ยังคงให้อิสรภาพเราเหมือนเดิม แต่พระเจ้าจะขอร้องเรา พี่น้องลองคิดดู พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด พระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก  ผู้ที่เป็นเจ้านายผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ซื้อชีวิตของเรา ตายแทนเราด้วย  แต่พระองค์ต้องขอร้องเรา ขอร้องให้เรามาเชื่อพระองค์ ขอร้องให้เราทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเรา พระองค์ขอร้องนะ ไม่ได้บังคับ ไม่ได้สั่ง แต่พระองค์บอกว่าให้มาทำแบบนี้เถอะ อย่าไปหลงเชื่อกลลวงของโลกใบนี้ที่ส่งเข้ามา  แล้วสิ่งที่เป็นตัวช่วยที่ดีที่สุด คือพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา  พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคอยู่ในเรา พระองค์จะคอยบอก คอยเตือนให้เรารับรู้ว่าอันนี้ มาจากพระองค์ อันนี้ไม่ได้เป็นของพระองค์ เรารู้อยู่แก่ใจ

            ก่อนที่เราจะทำอะไร? ข้างในวิญญาณเรารู้แล้ว พระเจ้าบอกว่า “ถ้าลูกทำแบบนี้ นี่คือธรรมชาติใหม่ ที่เราให้กับเจ้านะ ตอนนี้เจ้าเป็นลูกของเรา เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ ตอนนี้เจ้าเป็นคนที่บริสุทธิ์ สะอาด ดีงาม เป็นความรัก”

            นั่นคือธรรมชาติใหม่ของผู้เชื่อทุกคน ข้างในวิญญาณเรารับรู้ แล้วถ้าอะไรก็ตามที่ส่งผลออกมา ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เรารู้ ก็คือสิ่งที่พระเจ้าบอก อันนั้นก็แปลว่ามันไม่ได้เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า  อย่างที่พระเจ้าบอก “ให้เรารักซึ่งกันและกัน เหมือนดังที่พระเจ้าทรงรักเรา” พระเจ้ารักเราก่อน พระเจ้าใส่ความรักลงมาในวิญญาณของพวกเราทั้งหลาย ในวิญญาณเราเป็นความรักอยู่แล้ว เราไม่ต้องพยายามตะเกียกตะกาย เพื่อที่จะไปรักคนอื่น ไม่ใช่ แต่ให้เรารับรู้ความจริงว่าข้างในตัวตนแท้ๆ ของเรา เป็นความรัก แล้วให้เรายอมให้พระเจ้าทำงานในวิญญาณของเรา ส่งผลให้ความรักที่เป็นตัวตนแท้ๆ ของเราออกไปสู่ผู้คนรอบข้าง มันต่างกัน ไม่ใช่พยายามต้องรัก ไม่ใช่ เราเป็นความรักแล้ว เป็นอยู่แล้ว แค่เรายอมให้พระเจ้าใช้อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา ส่งผลที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ออกไปให้ผู้อื่นได้สัมผัส จับต้องได้ แค่นั้นเอง เมื่อเช้าที่อาจารย์หนุ่ยพูดถึงหนังสือโรม 12:1-2 ที่บอกว่าเมื่อเรารู้ความจริงตรงนี้ ที่ว่าพระเจ้าได้ทรงโปรดประทานความรอดให้กับพวกเราทั้งหลาย แล้วพระเจ้าก็ทรงให้เราทุกคนได้รับสิ่งสารพัดเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เป๊ะเลย ฉะนั้น ให้เรายอมจำนน ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา ตา หู จมูก ลิ้น กาย สมองให้กับพระเจ้า เพื่อพระเจ้าจะใช้ทุกส่วนในร่างกายของเรา ส่งผลที่เป็นผลของพระวิญญาณของพระเจ้า ออกไปสู่ผู้คนรอบข้าง

            ฉะนั้น ตรงนี้เป็นจุดสำคัญ สมองของเราเป็นป้อมปราการ เป็นสนามรบที่เรา ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า ตัวเราเอง มีสิทธิ์ที่จะตัดสินใจว่าเราจะมอบสนามนี้ ให้กับใคร? เราจะมอบให้พระเจ้าไหม? ถ้าเรามอบให้พระเจ้า สมองเราคิดอะไร? สมองจะสั่งการมาที่ร่างกายของเรา แล้วร่างกายของเราจะทำตามที่สมองสั่ง แต่ถ้าเราไม่ยอมให้พระเจ้าใช้อวัยวะทุกส่วนของเรา เรายอมให้กับโลกใบนี้ส่งข้อมูล ที่เราชอบพูด …

            “แค้นนี้ต้องชำระ ไม่ได้ เขาทำกับเรา 10 เราต้องทำกลับไป 100” อะไรอย่างนี้

            ถ้าเราอนุญาตให้ความคิดนี้ส่งเข้ามาในสมองของเรา พอส่งเข้ามา เก็บข้อมูลปุ๊บ สมองสั่งเหมือนกัน สั่งลงไปที่ร่างกายของเรา แล้วร่างกายของเราก็จะทำตาม เขาเหยียบขาเรา สมองสั่งเลย …

            “ไม่ได้ เธอต้องเหยียบกลับ เหยียบให้เจ็บกว่าเดิม อภัยให้ไม่ได้”

            แล้วถ้าสมองส่วนที่เป็นป้อมปราการ เป็นตัวกลางของเราให้พระเจ้าใช้ พระเจ้าว่าอย่างไร? พระเจ้าเป็นความรัก พระองค์ก็บอกอภัยให้เขาเถิด เขาแค่เหยียบขา เราเจ็บแป๊บเดียว เดี๋ยวก็หาย ถ้าเราไปเหยียบกลับ เจอคนที่รุนแรง เขาอาจจะเอาอะไรเหวี่ยงใส่หัวเราก็ได้ มันไม่ได้ผลดีหรอก ต่อให้เราทำไป สะใจ แค่ชั่ววินาทีเดียว  แต่มานั่งเสียใจอีกหลายเวลาเลย …

            “ทำไมเป็นแบบนี้ ทำไมเราถึงทำไปแบบนี้”

            ทั้งๆ ที่ข้างในวิญญาณของเรา เป็นความรักเหมือนพระเจ้าแล้ว

            นี่คือจุดสำคัญในชีวิตของผู้เชื่อทุกคน แล้วหลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้า พระเจ้าบอกเราว่าวิญญาณของเรา ได้เป็นเหมือนพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว วิญญาณของเราสะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรม เหมือนพระเจ้าเลย แล้ววิญญาณเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ความคิดจิตใจเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ เป็นเหมือนพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ตัวเก่าของเราที่เป็นบาปได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว มันไม่มีผลอะไรกับชีวิตของเราแม้แต่นิดเดียว  ไม่ว่าเราจะทำอะไรบนโลกใบนี้ เราจะเผลอไม่ยอมเชื่อฟังพระวิญญาณที่อยู่ข้างใน เผลอไปเชื่อฟังการหลอกลวงของโลกใบนี้ แล้วเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราก็อย่าให้หลอกต่อ พอเราทำผิดปุ๊บ โลกนี้หลอกเราต่อนะ …

            “เห็นไหม? แกมันเลว แกเป็นคริสเตียนนะ แกทำผิดอย่างนี้ได้อย่างไร? พระเจ้าไม่รักแกแล้ว”

            เคยเป็นไหม ความรู้สึก แย่เลย “ฉันทำอย่างนี้ พระเจ้าไม่รักฉันแน่ๆ เลย เราถูกหลอก ไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตามที่ผิดไปจากความเป็นจริง ในตัวตนของเรา มากน้อยขนาดไหน? ไม่สามารถที่จะสั่นคลอนความรักของพระเจ้าที่มีอยู่ในพระเยซูคริสต์ในตัวเราได้ พระเจ้ารักเราจนถึงที่สุด พระเจ้าตายแทนเราได้ ฉะนั้น ความรักของพระเจ้าอยู่ในเรา มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต่อให้เราเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พี่น้องจำตรงนี้ ประโยคนี้ ดิฉันจะพูดทุกครั้ง เราเป็นผู้ชอบธรรม ที่บางครั้งเผลอไปทำบาป หรือเผลอไปทำผิด แต่ไม่ว่าเราเผลอไปทำผิดทำบาปขนาดไหน? เราก็ยังคงเป็นผู้ชอบธรรมอยู่ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เป็นผู้ชอบธรรมที่เผลอไปทำผิด แล้วก็รับผล คือแทนที่เราจะมีความสุข เราอยู่กับพระเจ้า เรายอมจำนนกับพระเจ้า ยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์นำเรา ทุกวันเราก็ใช้ชีวิตเต็มล้นด้วนสันติสุข ที่มันอยู่ข้างในเรา แทนที่มันจะเป็นอย่างนั้น ก็กลายเป็นเราทุกข์ไง

            มีพี่น้องผู้เชื่อคนไหนที่ทำผิด แล้วมีความสุข  ดิฉันเชื่อว่าไม่มีแน่นอน เพราะว่าวิญญาณเราถูกเปลี่ยนใหม่แล้ว ทำผิดเราจะทุกข์ เราจะทรมาน เราจะรู้สึกไม่น่าเลย ทำไมเราถึงเป็นคนแบบนี้ แค่ชั่วพริบตาเดียว ทำไมเราไม่อดทน อะไรก็แล้วแต่ มันจะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ หลายคนคิดว่าถ้าเราไม่สอนว่าต้องอย่างโน้น ต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนั้น แล้วคริสเตียนก็สบายสิ ทำอะไรก็ได้ มันไม่จริงหรอก ข้างในวิญญาณเราจะไม่มีความสบาย ถ้าเราทำอะไรก็ตามที่ผิดจากธรรมชาติ ที่พระเจ้าให้เราใหม่

            ฉะนั้น ให้เราขอบคุณพระเจ้าเถิดว่าพระเจ้าผู้ทรงเริ่มต้นการงานดีไว้ในชีวิตของเรา วันแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่ในเรา แล้วพระองค์ก็จะทรงนำพาย่างเท้าของเรา จูงมือเราเดิน เดินไปจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต จนถึงวิญญาณเราออกจากร่าง หัวทิ่มบ้าง หัวตำบ้าง หลับบ้าง ตื่นบ้าง อะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าพระเจ้าสัญญา พระองค์จะนำพาวิญญาณของเรา จนถึงวินาทีสุดท้าย ไม่ต้องกลัวว่าวินาทีสุดท้าย เราจะหลุดไปจากทางของพระเจ้า คนที่วินาทีสุดท้ายหลุดออกจากทางของพระเจ้า คนนั้น วิญญาณเขาอาจดูเหมือนเชื่อ แต่เขาไม่ได้เชื่อจริงๆ

            แล้วใครจะรู้ว่าใครเชื่อจริง ใครเชื่อไม่จริง ไม่มีใครรู้ แต่พระเจ้ารู้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเราจะรู้ว่าเราเป็นพวกเดียวกับพระองค์ หรือไม่ใช่พวกเดียวกับพระองค์ เราอาจจะทำตัวเหมือนคริสเตียนที่สุดยอดเลย ทำทุกอย่างตามกฎระเบียบเป๊ะ แต่ข้างในวิญญาณเราอาจจะยังไม่ได้บังเกิดใหม่ก็ได้ ไม่มีใครรู้ และไม่มีใครสามารถตัดสินได้ว่าคนนี้เชื่อจริง คนนี้เชื่อไม่จริง แต่ว่าพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ข้างในเรา จะเป็นคนบอกเราเอง ถ้าเราเชื่อพระเจ้าจริงๆ ข้างในวิญญาณเราจะปรารถนาทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า นี่คือจุดที่เราสามารถจะทดสอบ หรือตรวจสอบตัวเองได้ ถ้าเราไม่ปรารถนาที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว พระเจ้าสั่งซ้ายเราไปขวา พระเจ้าสั่งเดินหน้า เราอยากจะถอยหลัง อันนั้นก็ต้องมีเครื่องหมายคำถาม ตกลงเธอบังเกิดใหม่ไหม? ถ้าบังเกิดใหม่จริงๆ มันเผลอได้นะ บางครั้งอาจจะดื้อกับพระเจ้า แต่ไม่ใช่ทุกครั้งแน่นอน ข้างในวิญญาณคนที่บังเกิดใหม่ มีใจปรารถนาที่จะทำตามสิ่งที่พระเจ้าบอกอยู่แล้ว แล้วเราทำตามได้อย่างไร? ก็คือยอมให้พระเจ้าใช้ ไม่ต้องไปพยายามทำ  ไม่ต้องไปพยายามรักคนอื่น ความรักมันอยู่ข้างใน มันจะส่งผลออกมาเอง

            เหมือนดอกไม้ ต้นไม้เขาไม่ต้องพยายามที่จะบีบตัวเองให้ออกดอก ไม่ต้อง ก็คือถ้าถึงฤดูกาลของมัน มันจะออกดอกสะพรั่งให้เราเชยชมแน่นอน แต่ถ้ายังไม่ถูกฤดูกาลเราก็จะไม่เห็นดอก เห็นแต่ใบเต็มไปหมด หรือต้นไม้ที่ออกผล เขาก็จะมีฤดูกาลของเขา ถ้าเราไปบีบให้ออกผลนอกฤดูกาล มันก็ไม่อร่อย มันก็ไม่สวยงาม ทุกอย่างมีฤดูกาลของมัน แล้วพระเจ้าก็เฝ้ามองเราอยู่ ตามสายตาของมนุษย์ อาจจะเห็นว่าคนนี้เชื่อมา 10 ปีแล้ว ไม่เห็นเปลี่ยนแปลงอะไรเลย แต่สายพระเนตรของพระเจ้ามองดูคนๆ นี้ เขาสวยงาม เขาสำเร็จแล้ว ตามที่เราวางแผนไว้ สำหรับชีวิตของคนๆ นี้ แต่ละคนพระเจ้าวางแผนไว้เรียบร้อยแล้ว แล้วพระองค์ก็จะจูงมือเราเดินไปจนถึงแผนการที่พระเจ้าวางไว้ สำหรับชีวิตของเรา สำเร็จปุ๊บ พระเจ้าบอกเสร็จงานแล้ว ไป กลับบ้าน ถ้ายังไม่เสร็จงาน อยู่ต่อก็แล้วกัน ต่อให้อายุเยอะขนาดไหน? ยังไม่เสร็จงาน พระเจ้าก็ให้อยู่ก่อน

            บางคน 90, 100 พระเจ้ายังไม่พากลับบ้านเลย งานยังไม่เสร็จ เขายังมีงานที่พระเจ้าให้ทำอยู่ แต่บางคนอายุยังน้อยอยู่เลย อ้าว! ทำไมพระเจ้าพากลับบ้านล่ะ เหตุผลง่ายๆ คืองานที่พระเจ้าใช้เขาสำเร็จแล้ว พระเจ้าบอกพอแล้วๆ งานจบแล้ว ให้ทำงานแค่นี้แหละ บางคนทำงานแค่ชั่วโมงเดียว บางคนต้องทำงานตรากตรำถึง 10 กว่าชั่วโมง แล้วแต่ละคนที่ทำงาน พระเจ้าเป็นผู้กำหนด พระองค์วางแผนการไว้เรียบร้อยแล้ว ให้เราสามารถมั่นใจในพระเจ้า ผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้ทรงสถิตอยู่ในเรา และทรงนำพาย่างเท้าของเรา แล้วพวกเราทุกคน ที่ได้รับพระคุณ พระพรตรงนี้ ก็ไม่ได้เกิดจากความดีงามของเราเลย  ไม่ใช่เราเก่ง ไม่ใช่เราแน่ ไม่ใช่เราเป็นคนดีมากๆ ช่วยเหลือคนอื่นทั่วไป ไม่ใช่ เราจะช่วยเหลือไม่ช่วยเหลือ ก็ไม่เกี่ยวกัน พระเจ้าไม่ได้มองตรงนี้ พระเจ้ามองตรงที่ว่าวิญญาณเราอยู่ที่ไหน? ณ เวลานี้ วิญญาณเราอยู่ในพระคริสต์แล้วหรือยัง? เมื่อวิญญาณเราอยู่ในพระคริสต์ ให้เรามั่นใจได้เลย หลับๆ ตื่นๆ เดี๋ยวพระเจ้าก็พาเราไปจนถึงจุดหมายปลายทาง แล้วก็พาเรากลับบ้านไปพักผ่อนกับพระเจ้า

            บางคนถูกเรียกมาหนักหนาสาหัสเหมือนอาจารย์เปาโล อาจารย์เปาโลรับใช้พระเจ้าแบบหนักหนาสาหัสมาก ล้มลุกคลุกคลาน ถูกข่มเหงทุกรูปแบบ แต่อาจารย์เปาโลก็รับใช้พระเจ้า อย่างไม่ย่อท้อ แล้วพระเจ้าให้กำลังเขาด้วย ถ้าพระเจ้าจะใช้ใครในงานรับใช้ ที่ใหญ่โตมโหฬาร พระเจ้าจะเป็นผู้เสริมกำลังให้กับผู้นั้น พี่น้องไม่ต้องกลัวนะ …

            “พระองค์เจ้าข้า ลูกไม่ไหว งานใหญ่ขนาดนี้ ลูกจะไปได้อย่างไร?”

            พระเจ้าบอก … “ลืมไปแล้วหรือ! คนที่อยู่ในเจ้าคือใคร? คือฉัน พระเจ้าตรีเอกานุภาพ”

            พระองค์สถิตอยู่ในเรา และพระองค์จะเป็นผู้นำพาชีวิตของเรา ให้จุดหมายปลายทางของเราที่พระเจ้ามอบหมายไว้ให้กับเราสำเร็จ ตามน้ำพระทัยของพระองค์ …

            กาลาเทีย 3:11 “เห็นได้ชัดว่าต่อหน้าพระเจ้า  ไม่มีใครถูกนับว่าเป็นผู้ชอบธรรมได้โดยบทบัญญัติ เพราะว่า “คนชอบธรรมจะดำรงชีวิตโดยความเชื่อ”

            “คนชอบธรรมจะดำรงชีวิตโดยความเชื่อ” ในพระคัมภีร์บอกว่า “เริ่มต้นด้วยความเชื่อ ดำเนินชีวิตในความเชื่อ จบลงด้วยความเชื่อ”

            ความเชื่อตรงนี้ไม่ได้เชื่อว่าเราจะสามารถทำหมายสำคัญ ทำการอัศจรรย์ ไม่ใช่ ไม่เกี่ยวกัน บางคนบอกต้องเริ่มต้นด้วยความเชื่อ พี่น้องต้องเชื่อนะ เชื่อว่าเราอธิษฐาน แล้วพระเจ้าจะทำตามที่เราอธิษฐาน ตามความเชื่อของเรา ไม่เกี่ยวกันเลยนะ

            “ความเชื่อ” ตรงนี้ หมายความว่าเริ่มต้นด้วยความเชื่อ เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายแทนเราบนไม้กางเขน และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์  ทำให้เราสามารถบังเกิดใหม่เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าได้ นี่คือความเชื่อเริ่มต้น  และจากนั้น ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ คือยึดความเชื่อตรงนี้ไว้ ว่าตอนนี้เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าสถิตอยู่ในเราแล้ว แล้วเรายึดมั่นตรงนี้ มั่นคงเลย ไม่เกี่ยวอะไรกับผลการกระทำของเราแม้แต่นิดเดียว ถ้าเรายึดมั่นตรงนี้ปุ๊บ ระหว่างทางที่เราเดินอยู่ เราอาจจะเจอหุบเขา เงาแห่งความตาย เราอาจจะเผชิญกับปัญหาทุกข์ยากลำบากมากมาย เจอแน่นอน พระเยซูบอกแล้ว ในโลกนี้ ท่านจะประสบกับความทุกข์ยาก แต่ให้ท่านชื่นชมยินดี เพราะฉันชนะโลกแล้ว ความทุกข์ยากเอาชนะฉันไม่ได้ ทุกข์แค่บนโลกใบนี้เท่านั้น หายใจเข้า หายใจออก เดี๋ยวเราก็กลับบ้านแล้ว บ้านเราอยู่ไหน? อยู่บนสวรรค์ บ้านของผู้เชื่อทุกคนอยู่บนสวรรค์ ไม่ได้อยู่บนโลกนี้ ขณะที่อยู่บนโลกนี้ แม้เราจะมีบ้านเป็น 10 หลัง หรือ 100 หลัง มีบ้านที่เป็นคฤหาสน์ ที่ใหญ่โตขนาดไหน? วันหนึ่งเราก็ต้องทิ้งบ้านเหล่านี้ไป เพราะว่ามันไม่ใช่บ้านถาวรของเรา มันเป็นแค่ที่อยู่ชั่วคราวเท่านั้นเอง แต่บ้านถาวรของผู้เชื่อทุกคน อยู่บนสวรรค์ แล้วพระเจ้าเตรียมที่ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้วด้วย

            ดังนั้น ขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ พี่น้องนึกถึงภาพที่เราไปเข้าค่าย บางทีเราก็เจอค่ายที่ดี ไปอยู่โรงแรมหรู อยู่โรงแรม 5 ดาว มีของอร่อยกิน 3 มื้อ ไม่ต้องทำอะไรเลย กินๆ นอนๆ เล่นๆ เข้าค่ายกินๆ นอนๆ เล่นๆ จริงๆ  แล้วเสร็จจบค่าย ต่อให้ค่ายที่เราไปจะสะดวกสบาย ดีงามขนาดไหน? เราก็ไม่อยากอยู่ตลอดชีวิตแน่นอน บอกค่ายมี 3 วัน วันที่ 3 เราอยากกลับบ้านแล้ว ต่อให้อาหารอร่อยแค่ไหน? ที่พักสวยงามแค่ไหน? …

            “ไม่เอาแล้ว ฉันคิดถึงเตียงที่บ้านฉัน”

            เตียงที่บ้านเราอาจจะไม่หรูเท่ากับโรงแรม   อาจจะเป็นแค่เตียงไม้   ไม่มีฟูกด้วย    แต่เป็นที่ๆ เราคุ้นชิน    เราอยู่แล้วมีความสุข  นั่นคือบ้านเรา  แต่ที่พระเจ้าบอก     ก็คือบ้านของเราถาวรอยู่บนสวรรคสถาน ไม่ว่าบนโลกใบนี้เราจะได้รับพระพรขนาดไหน? มากกว่าคนอื่นขนาดไหน? บางคนถูกเรียกมายากจนตลอดชีวิต จนลมหายใจออกจากร่าง ก็ยังยากจนอยู่เลย ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ก็ยากจนแค่บนโลกใบนี้เท่านั้น เขามีความหวังใจ เขาไม่ได้มองที่ตัวเองอยู่ ณ เวลานี้ แต่ผู้เชื่อคนนั้น มองไปที่พระเจ้า และมีความหวังใจ อยู่แป๊บเดียวๆ อยู่แค่ชั่วคราวเอง เป็นบ้านเช่าด้วย ไม่มีบ้านตัวเองด้วย  บ้านเช่าไม่พอ เช่าถูกๆ ด้วย ฝนตกที ต้องหากะละมัง ถังมารองน้ำฝนที่ตกจากหลังคา เขาก็ยังมีความสุขที่จะอยู่ เพราะเขาไม่ได้คิดว่าเขาจะอยู่ถาวร ณ ที่แห่งนั้น บ้านของเขาอยู่ที่สวรรคสถาน เขาจับจ้องมองดูที่พระสัญญาที่พระเจ้าบอกเขาว่าวันหนึ่ง เมื่อเราทำงานเสร็จ พระเจ้าจะให้เรากลับบ้าน

            ฉะนั้น ผู้เชื่อทุกคน วันที่เรากลับบ้านบนสวรรค์ เป็นวันที่เรามีความสุขที่สุด เราไม่กลัวว่าตายไป เราจะไปอยู่ไหน? เพราะว่าพระเจ้าบอกเราแล้ว เราเชื่อวางใจในพระเจ้า พระเยซูอยู่ในเราขณะนี้ ไม่ต้องรอตาย เราก็อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว อยู่ในสวรรคสถานแล้ว ในโลกวิญญาณ เราใช้ความเชื่อ แต่วันหนึ่ง เมื่อวิญญาณเราออกจากร่าง เราไม่ต้องใช้ความเชื่อ เราไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้าเลย นี่คือพระพรที่พระเจ้าบอกกับพวกเราว่าเราจะได้รับแบบนี้แหละ

            ฉะนั้น ในพระคัมภีร์ตรงนี้บอกว่าเราดำรงชีวิตด้วยความเชื่อ จบลงด้วยความเชื่อ ยังไง เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าสัญญากับเรา ยึดมั่นในสิ่งนั้น แล้ววันหนึ่ง เมื่อลมหายใจเราออกจากร่าง คือวันที่เราพักผ่อน เรามีความสุข ดังนั้น เวลาเรามีงานไว้อาลัย เราจึงไม่โศกเศร้าจนเกินไป  เพราะว่าเราแค่จากกันชั่วขณะหนึ่ง วันหนึ่งเราจะได้ไปพบกับคนที่เรารัก และในพระคัมภีร์ คริสเตียนไม่ได้ตาย

            พระเยซูบอก … “เราเป็นเหตุให้ท่านได้รับชีวิต และเป็นชีวิตที่ครบถ้วนบริบูรณ์”

            คริสเตียนจะไม่ตาย เขาเรียกว่าล่วงหลับ  เราแค่หลับไป เมื่อวิญญาณออกจากร่าง ตื่นขึ้นมาอีกที ก็ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า แค่นั้นเอง นี่คือภาพที่เรายึดมั่นและมีความหวังใจในพระองค์ …

        กาลาเทีย 3:12 “บทบัญญัติไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเชื่อ   แต่  “ผู้ใดที่ทำสิ่งเหล่านี้  จะมีชีวิตอยู่โดยสิ่งเหล่านี้”

            “ทำสิ่งเหล่านี้” คือทำตามบทบัญญัติ ในพระคัมภีร์ตรงนี้ อาจารย์เปาโลบอกว่าถ้าใครที่คิดว่าตัวเองจะประพฤติปฏิบัติตามกฎบัญญัติทุกประการ  เพื่อที่จะได้รับความรอด เขาก็จะมีชีวิตตามสิ่งเหล่านี้ ก็คือตามบทบัญญัติ เมื่อตามบทบัญญัติปุ๊บ ข้อข้างบนบอกว่าใครที่ทำตามบทบัญญัติ คนนั้นจะถูกสาปแช่ง ก็คือมนุษย์ทุกคนอยู่ในคำสาปแช่งอยู่แล้ว ถ้าเขาไม่คิดที่จะย้ายสถานที่ที่เขาอยู่ ก็คืออยู่ในบาป อยู่ในคำสาปแช่ง ถ้าเขาไม่ยอมย้ายมาอยู่ในพระเยซูคริสต์

            อยู่ในพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร? ก็คือผ่านทางความเชื่อเท่านั้น  เชื่อในสิ่งที่พระเยซูทำให้กับเขาบนไม้กางเขน เท่านั้นเอง  เขาก็จะได้รับสิ่งสารพัดที่พระเจ้าเตรียมการไว้ให้กับเขาเรียบร้อยไปแล้ว ทำเรียบร้อยไปแล้ว ของขวัญจัดไว้เรียบร้อยไปแล้ว แค่รอให้ใครก็ตามได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเจ้า แล้วเดินเข้ามารับของขวัญชิ้นนี้ไป แค่นั้นเอง

            อาจารย์เปาโลพยายามชี้ให้ผู้ที่อยู่ในกาลาเทียได้เห็นภาพ ว่าถ้าใครคิดว่าจะทำตามกฎบัญญัติ ก็ต้องทำให้ครบถ้วนทุกประการ เหมือนพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์คิดว่าตัวเองสามารถทำตามกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าตั้งไว้  เพื่อตัวเองจะได้ไปถึงพระเจ้า  ไปถึงสวรรค์ พระเยซูมาประกาศว่า …

            “เธอทำไม่ได้หรอก ยังไงเธอก็ทำไม่ครบ มาเชื่อฉันเถอะ”

            แต่เขาก็ยังเย่อหยิ่งเกินไป ที่จะมายอมรับในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ พระเจ้าก็ไม่ห้าม พอเขาตัดสินใจแบบนั้น พระเยซูต้องพูดว่า “เอเมน” เอเมน แปลว่าเป็นไปตามนั้น  ท่านตัดสินใจอะไร? ท่านจะรับผลตามนั้น

            เราขอบคุณพระเจ้าที่ข่าวดีของพระเจ้ามาถึงพวกเราทุกๆ คน แล้วเราก็ตัดสินใจแล้ว มาพึ่งในพระเยซูคริสต์ เมื่อเราพึ่งในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ พระเยซูคริสต์ก็อาเมนเหมือนกัน  ก็คือได้ตามนั้นเลย เราจะได้รับชีวิตใหม่  เราได้รับวิญญาณใหม่  เราได้เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า  เราได้มาเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เราได้รับชีวิตนิรันดร์แบบพระเจ้าเลย วิญญาณเราได้อยู่กับพระเจ้าแล้ว หลังความตาย เราไม่ต้องไปรับโทษทัณฑ์ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้รับโทษแทนเราเรียบร้อยไปแล้ว  นี่คือข่าวดี นี่คือพระพร นี่คือพระคุณที่พระเจ้าได้ทำให้กับพวกเรามนุษยชาติทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ผู้ใดที่ฟังพระวจนะ แต่ไม่ได้ทำตาม ผู้นั้นก็เป็นเหมือน คนที่ส่องกระจก มองหน้าตัวเอง หลังจากส่องดูแล้วก็ไป และทันใดนั้น ก็ลืมว่าหน้าตาตนเอง เป็นอย่างไร

            ยากอบ 1:22-25 … “22 อย่าเพียงแต่ฟังพระวจนะ  ซึ่งเป็นการหลอกตัวเอง  แต่จงปฏิบัติตามพระวจนะนั้น 23 ผู้ใดที่ฟังพระวจนะ  แต่ไม่ได้ทำตาม  ผู้นั้นเป็นเหมือนคนที่ส่องกระจก  มองหน้าตัวเอง 24 หลังจากส่องดูแล้วก็ไป  และทันใดนั้นก็ลืมว่าหน้าตาตนเองเป็นอย่างไร 25 ส่วนผู้ที่พินิจดูบทบัญญัติอันสมบูรณ์  ซึ่งให้เสรีภาพ  และทำสิ่งนี้ต่อไป  โดยไม่ลืมสิ่งที่เขาได้ยิน  แต่ปฏิบัติตาม  เขาก็จะได้รับพรในสิ่งที่ตนทำ”

            ผู้ใดที่ฟังพระวจนะ  แล้วไม่เชื่อ ไม่ได้ทำตาม ก็อยู่ในการพิพากษาลงโทษเหมือนเดิม

            ผู้ใดที่ฟังพระวจนะ  แล้วเชื่อและได้ทำตาม ก็ได้รับการบังเกิดใหม่รับความรอดนิรันดร์

            สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว  ถ้อยคำพระเจ้าเป็นเหมือนกระจกเงาให้เราส่องดูว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์  หน้าตาของเราเป็นอย่างไร  สะอาดหมดจดแค่ไหน  บาปของเราได้รับการยกออกแล้ว วิญญาณของเราและจิตใจใหม่ของเราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย  ให้เราจดจำถ้อยคำเหล่านี้

            เพื่อเราจะไม่ถูกหลอกให้ลืมความจริงนี้  และไปติดตามคำยุแยงของศัตรู  ที่ส่งกระแสเข้ามา  ผ่านทางอิทธิพลของความบาป  ล่อลวงให้เราทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับถ้อยคำพระเจ้า

            เมื่อเราเกิดใหม่แล้ว มองดูตนเองในกระจกเงา คือถ้อยคำของพระเจ้าก็จะเห็นว่าตัวเองเป็นลูกพระเจ้าเป็นความรักเหมือนพระเจ้า  แล้วก็ดำเนินชีวิตอยู่ในความรัก

            ตรงนี้พระเจ้าให้เสรีภาพกับเรา  ไม่ว่าเราจะประพฤติออกมาเป็นความรักหรือไม่ก็ตาม  ทำผิดหรือทำถูก  ก็ไม่มีการลงโทษใดๆ ทั้งสิ้น

            เพราะเราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้อยู่ในความรักแล้ว  อยู่ในกฎใหม่แล้ว  ตัวจริงๆ ของเราตามธรรมชาติใหม่

            เป็นความดีงาม  เป็นความรัก  ถ้าเราไม่เผลอลืม  เราก็จะดำเนินชีวิตตามความรัก  พระเจ้าไม่ได้บังคับเราว่าต้องปฏิบัติ

            แต่ให้เราปฏิบัติตามความเป็นจริง  ตามธรรมชาติที่เกิดใหม่ของเรา  ไม่ถูกหลอก ถ้าเราทำอย่างนี้  เราก็จะได้รับพรในสิ่งที่เราทำ  เกิดเป็นผลดีต่อชีวิตของเราทางฝ่ายโลก ไม่เกี่ยวอะไรกับทางวิญญาณของเราเลย

            เมื่อเราเชื่อ  วิญญาณเรารอดแล้วแน่นอน  ความประพฤติไม่สำคัญเลย  แม้จะทำดีหรือทำไม่ดี  ก็ไม่มีผลกับวิญญาณของเราเลย

            เพราะพระเจ้าบอกเราว่าเราได้รับความรอด โดยพระคุณความรักของพระเจ้าไม่ใช่โดยการกระทำความประพฤติของตนเอง

            แต่ร่างกายของเรา ยังอาศัยอยู่บนโลกนี้ ยังอยู่ภายใต้ กฎของความบาปและความตาย กฎแห่งกรรม กฎแห่งการทำดีละชั่ว กฎของการหว่าน  และการเก็บเกี่ยว  หว่านอะไรต้องเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น ถ้าเราประพฤติอย่างถูกต้อง  ด้วยความเคารพยำเกรงในกฎทั้งสอง ซึ่งพระเจ้าเป็นผู้พิพากษาดูแล ด้วยความยุติธรรม

            เราก็จะได้รับผลดีในชีวิตของเรา เป็นพระพรตามที่พระเจ้าได้ระบุไว้ในถ้อยคำของพระองค์อย่างแน่นอน

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1484

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  25  สิงหาคม  2024

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 6

โดย วราพร  คงล้วน

            เรายังอยู่ในหนังสือกาลาเทีย วันนี้เราจะมาเริ่มบทที่ 3 คราวที่แล้วที่เราเรียนกัน เรื่องของอาจารย์เปโตร ที่ไปทานข้าวกับคนต่างชาติ กำลังทาน สนุกสนานกันอยู่ พอเห็นคนยิวเข้ามา ด้วยความตกใจ ก็รีบลุกขึ้น แล้วก็ชะแว๊บหายไปเลย เป็นสิ่งที่อาจารย์เปาโลรับไม่ได้ ก็เลยว่ากันแรงๆ ไม่ได้ไปแอบว่า คือว่ากันต่อหน้าว่า …

            “ท่านเป็นคนยิว ท่านยังรู้ว่ามนุษย์ไม่มีความสามารถที่จะได้รับความรอด โดยผ่านทางบทบัญญัติ แล้วท่านยังจะมาทำท่าทางแบบว่าไม่ได้ ฉันกับคนต่างชาติอยู่ด้วยกันไม่ได้ คนละระดับ”

            ซึ่ง ณ เวลานี้ สิ่งที่อาจารย์เปาโลกำลังประกาศ คือโดยพระคุณความรักของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ได้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อมนุษยชาติ คนต่างชาติกับคนยิวที่ได้เข้ามา เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาจะอยู่ในสถานะเดียวกัน ก็คือเป็นประชากรของพระเจ้าร่วมกัน สามารถที่จะเป็นพี่น้องกัน แต่อาจารย์เปโตรทำอย่างนี้ เหมือนไม่ได้เป็นพี่น้องกัน ซึ่งมันขัดกับความจริงของข่าวประเสริฐของพระเจ้า  อันนี้อาจารย์เปาโลรับไม่ได้  ไม่ยอมด้วย ไม่ให้มันผ่านไป ต้องเคลียร์ให้เสร็จๆ เลยว่าทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ณ ปัจจุบัน ความรอดมาถึงทุกคนแล้ว ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาเป็นพี่น้องของเรา เขาอยู่ในสถานะเดียวกัน เขามีพระเจ้าองค์เดียวกันกับเรา ซึ่งเป็นพ่อของเราทั้งหลาย และมีพระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นพี่ชายใหญ่ของเรา ทุกอย่างมันเป็นไปตามนั้น อย่างที่เราเรียนรู้จากในหนังสือเอเฟซัส  ไม่มียิว ไม่มีกรีก ไม่มีทาส ไม่มีไท คือทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกัน ในพระเยซูคริสต์

            พอมาถึงบทที่ 3 เรามาดูบทที่ 1 ข้อที่ 1

        กาลาเทีย 3:1-2 “1 “ชาวกาลาเทียผู้โง่เขลาเอ๋ย! ใครสะกดท่านให้หลงไปเสียแล้วเล่า? ภาพพระเยซูคริสต์ถูกตรึงตายบนไม้กางเขน ก็ชัดเจนอยู่ต่อหน้าต่อตาท่าน 2 สิ่งเดียวที่ข้าพเจ้าอยากรู้จากท่าน  คือท่านได้รับพระวิญญาณ โดยการทำตามบทบัญญัติ หรือโดยการเชื่อสิ่งที่ท่านได้ยิน?”

            แปลว่าตรงนี้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นในกาลาเทีย ตั้งแต่บทที่ 1 ที่อาจารย์เปาโลบอกว่าใครก็ตามที่มาประกาศข่าวประเสริฐอื่น นอกเหนือจากที่อาจารย์เปาโลประกาศไว้แล้ว ให้คนนั้นถูกสาปแช่ง ไม่ว่าคนนั้นจะใหญ่มาจากที่ไหน? ไม่ว่าจะเป็นทูตสวรรค์หรือใครก็ตาม  ถ้าประกาศข่าวประเสริฐอื่น ขอให้เขาถูกสาปแช่ง

            ฉะนั้น ตรงนี้แปลว่ามีผู้คนมาประกาศข่าวประเสริฐอื่นให้กับชาวกาลาเทีย แล้วไม่เพียงแต่ประกาศข่าวประเสริฐอื่นเท่านั้น ชาวกาลาเทียเชื่อด้วย  แล้วก็ไปทำตาม พอเชื่อและไปทำตาม อาจารย์เปาโลก็เลยบอกว่าท่านโง่ถึงขนาดนี้ ใช้คำว่า “โง่” เลยนะ ฉลาดน้อยไปหน่อย อะไรประมาณนี้ แต่โง่จริงๆ เพราะว่าข่าวประเสริฐที่พระเจ้าให้กับมนุษยชาติ ที่อาจารย์เปาโลประกาศ คือข่าวประเสริฐเป็นพระคุณ

            “พระคุณ” หมายความว่ามนุษย์ทำเองไม่ได้  แล้วก็ไม่สามารถทำได้ด้วย ไม่ว่าการประพฤติดีใดๆ ตามกฎบัญญัติทุกอย่างที่พระเจ้าตั้งไว้ ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถประพฤติได้เต็ม 100% ตามมาตรฐานของพระเจ้า แปลว่าไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถใช้วิธีการประพฤติปฏิบัติตามบทบัญญัติ หรือถ้าไม่ใช่ชาวยิว ไม่รู้จักบทบัญญัติ คือทำดี ประพฤติดีตามกฎที่เขาได้รับมา เพื่อไปถึงมาตรฐานของพระเจ้าได้ ซึ่งตรงนี้ไม่มีใครทำได้เลย

            แล้วอาจารย์เปาโลเลยถามว่าอยากจะรู้จริงๆ ว่าพวกท่านรับพระวิญญาณ โดยการประพฤติใช่ไหม? หรือว่ารับโดยความเชื่อที่ท่านได้ยินการประกาศข่าวดี ผ่านทางอาจารย์เปาโล ข่าวดีนี้ คือพระเจ้าได้ส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ซึ่งเป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้า เป็นผู้เดียวที่เกิดบนโลกใบนี้ ที่ไม่มีเชื้อบาปเลย  แล้วเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่ถูกส่งมา เป็นผู้ที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาปว่าจะส่งพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอดมาให้กับมนุษยชาติ พระเจ้าผู้นี้ คือพระเยซูคริสต์ เพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่มาเกิดเป็นมนุษย์ และมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย เหมือนที่เมื่อกี้เราทำมหาสนิท ก็คือพระเยซูคริสต์ยอมสละพระองค์เอง ให้มนุษย์นำไปตรึงบนไม้กางเขน ยอมหลั่งพระโลหิตของพระองค์ จนถึงเลือดหยดสุดท้ายของพระองค์

            แล้วพี่น้องลองคิดดู พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า ถ้าพระองค์ไม่ยอมละวิญญาณของพระองค์เอง ไม่มีใครฆ่าพระเยซูคริสต์ได้ พระเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าพระเยซูไม่ยอม เราขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์ยอม การยอมของพระเยซูคริสต์ต้องใช้พลังมหาศาลมาก ทำไมเรารู้ว่าใช้พลังมหาศาล เราเห็น หลังจากที่พระเยซูคริสต์ทำมหาสนิทกับสาวกแล้ว ร้องเพลง “วันนี้เป็นวันที่พระเจ้าจัดไว้ เราจะชื่นชมยินดี” แต่โดยความเป็นมนุษย์ พี่น้องนึกออกไหม?  ณ เวลานั้น พระเยซูยังเป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์อยู่ มีความกลัวอยู่ พระองค์กลัวมากๆ เพราะพระองค์รู้ทุกอย่าง รู้สิ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้ รู้ว่าต่อแต่นี้ไป อีกไม่กี่นาที พระองค์จะต้องไปเผชิญกับอะไร?  กลัวขนาดที่อธิษฐานกับพระเจ้า เหงื่อออกมาเป็นเลือด อธิษฐานกับพระเจ้าถึง 3 ครั้ง

            “ไม่ไปได้ไหม พระองค์เจ้าข้า ให้ถ้วยนี้เลื่อนไปได้ไหม? ไม่อยากไป มันทรมาน”

            ชนิดที่พระเยซูเป็นมนุษย์ จะรู้ว่ามันเจ็บ มันปวด มันทรมาน และที่ทรมานมากกว่านี้ คือพระเยซูคริสต์จะต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้าพระบิดา ช่วงระยะหนึ่ง ตอนที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  จนถึงวันที่ 3 ที่พระองค์ได้ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย คือด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้ชุบให้พระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย และที่ทรมานมากกว่านี้ คือพระเยซูคริสต์จะต้องถูกตัดขาดจากพระเจ้า ช่วงระยะหนึ่งตอนที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน จนถึงวันที่ 3 ที่พระองค์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย  คือด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย

            ฉะนั้น การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์มีความหมายมากๆ สำหรับมนุษยชาติ ถ้าพระเยซูคริสต์แค่หลั่งพระโลหิตของพระองค์ เพื่อชำระล้างบาปของเราเท่านั้น มนุษย์ก็ได้รับการยกโทษบาปเฉยๆ  แต่มนุษย์จะไม่สามารถเป็นเหมือนพระเจ้า คือไม่สามารถที่จะบังเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า ก็แค่ได้รับการยกโทษ มนุษย์ก็ทำผิดแล้วผิดอีก ก็ยกโทษแล้วยกโทษอีก ก็ไม่มีผลอะไร? เพราะว่าวิญญาณของมนุษย์ยังอยู่ที่เดิม คืออยู่ในอาดัม อยู่ในบาป อยู่ในคำสาปแช่ง

            พระเยซูคริสต์จำเป็นต้องยอมละวิญญาณของตัวพระองค์เอง คือยอมตายบนไม้กางเขน การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ เพื่อว่ามนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ จะได้ตายพร้อมกับพระองค์ วิญญาณเก่าที่เป็นบาปจะได้ถูกนำไปไว้กับพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน และตายด้วยกัน ถ้าวิญญาณเก่าของมนุษย์ไม่ตาย มนุษย์ก็ไม่สามารถที่จะเกิดใหม่ เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าได้ นี่เป็นขบวนการ เป็นแผนการที่พระเจ้าเตรียมไว้ตั้งแต่วันแรกที่มนุษย์ล้มลงในความบาป แล้วแผนการนี้ พระเยซูคริสต์จะเป็นผู้ร่วมมือกับพระเจ้า ก็คือพระเยซูคริสต์ต้องยอมด้วย เหมือนกับพวกเรา เมื่อเรามาเชื่อวางใจในพระเจ้า พระเจ้าก็ไม่ได้บังคับเรา เราต้องยอม ด้วยตัวของเราเองว่ายอมให้พระเจ้าทำงานในชีวิตของเรา  ยอมที่จะทำตามสิ่งที่เราได้บังเกิดใหม่ ธรรมชาติใหม่ที่มันเป็นตัวตนของเราแล้ว เรายอมให้พระเจ้าใช้อวัยวะทุกส่วนของเรา เพื่อที่จะส่งผลของการบังเกิดใหม่ของเราออกไปให้ผู้คนได้สามารถเห็นได้ ตรงนี้เป็นภาพที่พวกเราจำเป็นจะต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ว่าถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ตาย เราก็ตายไม่ได้ คือตัวเราเองตายอยู่ในบาปแล้ว ตายนิรันดร์เลย หลังจากโลกนี้สลายไป วิญญาณออกจากร่าง เราก็ยังอยู่ที่เดิม คืออยู่ในบาป  แต่เพราะพระเยซูคริสต์ยอมตาย  พระเจ้าจึงสามารถนำตัวเก่าของเราเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ตายไปด้วย เมื่อตัวเก่าของเราตายปุ๊บ ฝังกับพระเยซูคริสต์ แล้วเราเป็นขึ้นมาจากความตาย ก็คือบังเกิดใหม่ ด้วยพระสัญญาใหม่ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับมนุษยชาติ พระเจ้าสัญญาว่า …

            “เราจะให้ใจใหม่กับเจ้า เราจะให้วิญญาณใหม่กับเจ้า  แล้วเจ้าจะเป็นประชากรของเรา แล้วเราจะเป็นพระเจ้าของเจ้า”

            นี่คือพระสัญญาในพระคัมภีร์เดิม ที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์จะทำ และสิ่งนี้ได้ทำให้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้วในพระเยซูคริสต์ วันที่พระองค์ได้สิ้นพระชนม์ ถูกฝังและเป็นขึ้นมาจากความตาย

            ฉะนั้น มนุษย์ทุกคนมีทางเลือกใหม่ เลือกที่จะยอมให้พระเจ้าย้ายเราจากในอาดัม จากความบาป จากคำสาปแช่ง จากการไม่มีพระเจ้านิรันดร์กาล ย้ายมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ ทันทีที่เราย้ายมาอยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน  แล้วเราได้ตามพระสัญญา ก็คือเราได้รับวิญญาณใหม่ ได้รับความคิดจิตใจใหม่ที่พระเจ้าให้ใหม่เลย ณ วันนี้ ผู้เชื่อทุกคน พวกเราทุกคนจำตรงนี้แม่นๆ ก็คือตัวตนของเราจริงๆ ไม่มีบาปเลย  อย่าให้ใครมาใส่ความเรา หรือใส่ความคิดลงมาว่า …

            “เธอยังบาปอยู่เลย เธอยังทำโน่นนี่ไม่ถูกต้อง

            เราต้องยืนกรานตามถ้อยคำของพระเจ้าว่า … “ฉันไม่มีบาปแล้ว ตัวบาปเก่าของฉันตายไปกับพระเยซูคริสต์แล้ว ณ เวลานี้ ฉันเป็นวิญญาณใหม่ที่สะอาดบริสุทธิ์ หมดจด ชอบธรรม ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า เหมือนพระเยซูคริสต์เลย”

            นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกกับเรา ดังนั้น หลังจากที่ผู้เชื่อได้เปิดใจต้อนรับเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว พระเยซูคริสต์บอกว่าพระองค์ทำสำเร็จแล้ว คำว่า “สำเร็จแล้ว” ก็คือครบถ้วน สมบูรณ์ ใครก็ตามที่เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมอีก พระเจ้าทำให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เราไม่ต้องพยายามที่จะทำเพิ่ม เพื่อเราจะได้เป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้น  ไม่ต้อง พระเจ้าบอก …

            “เธอชอบธรรมแล้ว”

             เราไม่จำเป็นต้องพยายามตะเกียกตะกาย ทำอะไรก็ตาม เพื่อให้เราสะอาด บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ไม่ต้อง เพราะว่าพระเจ้าทำให้เราเสร็จสิ้น สมบูรณ์แล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรม เราสะอาด ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า พระเยซูคริสต์เป๊ะ ตอนนี้วิญญาณใหม่ของเราไม่มีบาปแม้แต่นิดเดียวเลย นี่คือความจริง  ความจริงในโลกวิญญาณเป็นอย่างนั้น แต่เนื่องจากเรายังอยู่ในโลกใบนี้อยู่ ร่างกายเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ โอกาสที่เราจะเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องมันมี ฉะนั้น ไม่ว่าผู้เชื่อคนไหนก็ตามที่เผลอไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติใหม่ของเรา  คนๆ นั้นก็จะได้รับผล เฉพาะบนโลกใบนี้เท่านั้น แต่มันจะไม่สามารถกระทบกระเทือนกับวิญญาณของเราเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนที่อาจารย์นครบอก ขิงมันถูกดองไปแล้ว  จะเอากลับไปเป็นขิงสดไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ มันก็คือเป็นขิงดอง แล้วก็ดองตลอดไป จนกว่าจะถูกกินหมด นั่นคือความจริง

            เราจำเป็นจะต้องมองภาพพวกนี้ให้เห็น ให้ชัด  เพื่อเราจะได้ไม่ถูกหลอก  เพราะว่าโลกนี้พยายามหลอกเรา หลอกผู้เชื่อว่าต้องไปทำโน่นเพิ่ม ทำนี่เพิ่ม เห็นไหม เธอต้องพยายามทำโน่นทำนี่ เพื่อเธอจะได้เป็นที่รักของพระเจ้า  เพื่อเธอจะได้เป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้น  แต่พระเจ้าบอกว่าไม่ต้องทำอะไรเลย  เธอเป็นผู้ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว เธอเป็นที่รักของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว พระองค์รักเราดังแก้วตาดวงใจเรียบร้อยไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าจากนี้ต่อไป เราไม่ต้องทำอะไรเลย เราจะสังเกต เราไม่ต้องพยายามตะเกียกตะกายทำด้วยตัวเราเอง แต่พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเรา พระองค์จะนำเรา ในการทำ ให้ส่งผลของธรรมชาติใหม่ของเราออกไป ให้ผู้คนรอบข้างได้เห็น ถ้าเรารู้ความจริงมากเท่าไร? ผลนั้นจะถูกส่งออกไปมากเท่านั้น ถ้าเรารู้ความจริงน้อย ก็จะถูกหลอกว่า …

            “เธอยังบาปอยู่เลย เธอยังทำโน่นก็ไม่ดี ทำนี่ก็ไม่ดี”

            แต่เราก็ไม่ต้องไปสนใจ โลกนี้ส่งข้อมูลพวกนี้มา เราต้องยืนกรานว่า … “พระเจ้าบอกว่าฉันดี ต่อให้ตอนนี้ฉันเผลอไปทำสิ่งที่ไม่ดี พระเจ้าก็ยังบอกว่าฉันดี ฉันเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ที่บางครั้ง เผลอไปทำบาปเท่านั้นเอง” เผลอทำบาปนะ

            ฉะนั้น การเผลอทำบาปของผู้เชื่อ มันจะอยู่กับเรานานไหม? พี่น้องอาจจะถามว่าเมื่อไรเราจะไม่เผลอล่ะ ก็เมื่อลมหายใจเราออกจากร่างนั่นแหละ เราก็จะไม่เผลอ ไม่อย่างนั้นเราเผลอทุกวัน ไม่มีข้อยกเว้น แม้แต่ศิษยาภิบาลก็มิสิทธิ์เผลอด้วยใช่ไหม? เราทุกคนเป็นลูกของพระเจ้า มีสถานะเดียวกัน แค่พระเจ้าใช้แต่ละคนในตำแหน่งหน้าที่ที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง เรามีสิทธิ์ที่จะเผลอ แต่ไม่ว่าเราจะเผลอขนาดไหนก็ตาม เราต้องรับรู้ความจริง และยืนยันความจริงว่า …

            “ฉันแค่เผลอ ทำสิ่งที่ไม่เป็นไปตามตัวตนของฉันเท่านั้นเอง  แต่ตัวตนของฉัน ฉันสะอาด บริสุทธิ์ ฉันชอบธรรม ฉันเป็นเหมือนพระเจ้าเลย ฉันไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียว ในสายพระเนตรของพระเจ้า”

        กาลาเทีย 3:3-4 “3 ท่านโง่เขลาปานนี้หรือ?  หลังจากที่เริ่มต้นด้วยพระวิญญาณ บัดนี้ ท่านกำลังพยายามบรรลุจุดหมายของท่าน ด้วยการขวนขวายของมนุษย์หรือ? 4 ท่านได้ทนทุกข์มากมาย โดยเปล่าประโยชน์หรือ? สิ่งนี้เป็นการเปล่าประโยชน์จริงๆ หรือ?”

            มันเปล่าประโยชน์จริงๆ ถ้าเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว พระเยซูคริสต์บอกพระองค์ทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ในชีวิตของเรา เราได้รับผลสำเร็จทั้งหมดที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราแล้ว แต่ผู้เชื่อยังสามารถถูกหลอกว่า …

            “แค่นั้นไม่พอ เธอต้องพยายามทำโน่นทำนี่ ทำนั่น เพื่อที่เธอจะได้เป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้น”

            อาจารย์เปาโลกำลังบอกว่าอย่าให้ถูกหลอกว่าเราจำเป็นจะต้องทำโน่นนี่นั่น  เพิ่มเติมจากสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ผลสำเร็จทั้งหมด เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว มันจะต่างกันตรงที่ว่าหลังจากที่เราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เราได้รับวิญญาณใหม่จากพระเจ้าแล้ว พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในเราแล้ว  หลังจากนั้น เราก็ฝึกฝน มันต่างกันนะ หลังจากนั้น เราฝึกฝน ให้ธรรมชาติใหม่ที่เราเป็นอยู่ให้พัฒนา แล้วก็ถูกสำแดงออกไป มันต่างออกไป ที่เราพยายามทำๆ เพื่อเราจะได้รับความรอด แต่ความเป็นจริง คือผู้เชื่อได้รับความรอดแล้ว ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว หลังจากนั้น เราก็ฝึกฝนการเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ให้สำแดงความชอบธรรมของพระองค์ออกไป ให้กับผู้คนรอบข้างได้เห็นชัดเจนมากขึ้น มันจะต่างกัน

            เหมือนกับครอบครัว เราอยู่ในครอบครัว เราเป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่ เราไม่จำเป็นที่ต้องพยายามทำอะไรก็ตาม เพื่อทำให้เราเป็นลูกของพ่อแม่ ไม่ต้อง ต่อให้เราไม่ทำ ต่อให้นั่งไป นอนไป กินไป เล่นไป  เราก็ยังเป็นลูกของพ่อแม่อยู่ มันเปลี่ยนแปลงสถานะนี้ไม่ได้ แต่ที่เราลุกมาทำโน่นทำนี่  เพราะเรารักพ่อแม่ เราอยู่ในบ้าน เราลุกขึ้นมา ช่วยแม่กวาดบ้าน ช่วยแม่ถูบ้าน ช่วยแม่หุงข้าว ช่วยแม่ทำโน่นทำนี่ ไปจ่ายตลาด ไปช่วยแม่หิ้วของ ซื้อของ นั่นคือความรักที่มาจากข้างใน เรารู้ว่าเราเป็นลูกของแม่ เราอยากจะทำให้แม่หายเหนื่อย เราก็ไปทำ แค่นั้นเอง ภาพมันจะต่างกันกับการที่เราต้องพยายามทำโน่นทำนี่ เพื่อให้แม่หรือพ่อยอมรับว่าฉันเป็นลูก มันไม่ใช่ ไม่จำเป็นเลย ก็คือเราเป็นลูกเรียบร้อยไปแล้ว หลังจากนั้น เราค่อยทำอะไรบางอย่าง เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่ชื่นใจ

            ในภาพเดียวกัน เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้า เราไม่จำเป็นต้องพยายามดิ้นรนทำโน่นทำนี่ เพื่อให้พระเจ้ายอมรับว่าเราเป็นลูกของพระองค์ เราเป็นเรียบร้อยไปแล้ว แต่ที่เราต้องการ ที่เราปรารถนาอยากจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า เพราะธรรมชาติใหม่ข้าง ในเราเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เราเป็นความดีงามอยู่แล้ว เราเป็นเหมือนพระเจ้าอยู่แล้ว แล้วเราก็อยากจะสำแดงความเป็นตัวตนแท้ๆ ของเราออกไป เพิ่มพูนมากขึ้นทุกวันๆ นี่คือภาพ พี่น้องต้องแยกให้ออก ถ้าแยกไม่ออก เราก็จะถูกหลอก พอนานๆ เข้า การที่เรามีความสำนึกว่า …

            “ฉันเป็นลูกพ่อลูกแม่ ฉันเข้าบ้าน บ้านของพ่อแม่ คือบ้านฉัน”

            เป็นไหม? ความรู้สึกมันเป็นอย่างนี้จริงๆ บ้านของพ่อแม่ คือบ้านฉัน พอเราเข้าบ้านพ่อแม่ เราก็เปิดตู้เย็น เราก็หยิบของกิน เรามีความสุข วันนี้เราขี้เกียจทำอะไร เราก็นอนตีพุง เปิดโทรทัศน์ดู พ่อแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร? หรือแค่บอกว่าลุกขึ้นมาหน่อย อะไรแบบนี้  ก็แค่นั้น แต่เรายังมีความรู้สึกของการเป็นลูกของบ้านนี้อยู่ ไม่ใช่ว่าเราเข้ามา เราก็เกร็งๆ …

            “บ้านนี้ของฉันหรือเปล่า? บ้านพ่อแม่ไหม? เวลาฉันจะหยิบจับอะไร? ฉันเกร็งมากเลย  ฉันไม่กล้าหยิบ ฉันกลัวโน่นกลัวนี่ไปหมด”

            มันไม่ใช่ภาพปกติ ธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ใช่แน่นอน แต่ว่าธรรมชาติของการเป็นมนุษย์ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เรามีความรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในสิ่งที่พ่อแม่เรามีและเป็น ในภาพของโลกวิญญาณเหมือนกัน เรากับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกัน เราเห็นภาพนี้ชัดเจนมาก ในขณะที่เรามีความสุข มีสันติสุข สบายใจ เวลาอยู่ในบ้านของพระเจ้า  เราไม่ต้องพยายามเกร็งมากเลย ต้องพยายามทำโน่นทำนี่ เพื่อให้พระเจ้าพอใจ ไม่ต้องนะ พระเจ้าพอใจเรามากอยู่แล้ว

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเลยถามคนกาลาเทียว่า … “ที่ท่านเชื่อ เชื่อเพราะว่าท่านได้รับ ได้ยินข่าวดีของพระเจ้าผ่านทางฉัน  ฉันประกาศให้เธอ หรือเพราะท่านปฏิบัติดี ท่านจึงได้รับความรอด” อันนี้ต่างกันนะ

        กาลาเทีย 3:5-7 “5 พระเจ้าประทานพระวิญญาณของพระองค์แก่ท่าน และทรงทำการอัศจรรย์ท่ามกลางพวกท่านนั้น ก็เพราะท่านรักษาบทบัญญัติ หรือเพราะท่านเชื่อสิ่งที่ท่านได้ยิน? 6 จงพิจารณาดูอับราฮัม “เขาเชื่อพระเจ้าและความเชื่อนี้ พระองค์ทรงถือว่าเป็นความชอบธรรมของเขา” 7 ฉะนั้น จงเข้าใจเถิดว่าคนที่เชื่อ ก็เป็นวงศ์วานของอับราฮัม”

            อาจารย์เปาโลยกตัวอย่างอับราฮัม ทำไมอับราฮัมได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งความเชื่อ  และเพราะความเชื่อของเขา พระเจ้าถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม  เป็นความชอบธรรม อับราฮัมได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ชอบธรรม ตั้งแต่เมื่อไร?  ก็คือตั้งแต่ตอนที่พระเจ้าเรียกเขาในหนังสือปฐมกาล บทที่ 12 พระเจ้าเรียกเขาให้ออกมา

        ปฐมกาล 12:1-3 “1 องค์พระผู้เป็นเจ้า ได้เคยตรัสกับอับรามว่า “จงละบ้านเมืองของเจ้า วงศ์ตระกูลของเจ้า และครอบครัวบิดาของเจ้า เพื่อไปยังดินแดนที่เราจะสำแดงแก่เจ้า 2 “เราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ และเราจะอวยพรเจ้า เราจะทำให้ชื่อเสียงของเจ้าเลื่องลือ และเจ้าจะเป็นพร 3 เราจะอวยพรบรรดาผู้ที่อวยพรเจ้า และเราจะสาปแช่งบรรดาผู้ที่แช่งเจ้า ทุกชนชาติทั่วโลกจะได้รับพรผ่านทางเจ้า”

            นี่เป็นคำเผยพระวจนะที่พระเจ้าบอกไว้ แล้วเป็นสิ่งที่พระเจ้าเรียกอับราฮัมตั้งแต่เริ่มแรก เมื่อก่อนไม่ได้ชื่อ “อับราฮัม” นะ ชื่อ “อับราม” พระเจ้าบอกกับอับรามว่าให้ออกจากบ้าน ออกจากเมือง ไปตามที่พระเจ้าได้สั่งให้เขาไป เพราะอับราฮัมเชื่อว่าพระองค์เป็นพระเจ้า แล้วเชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง เพียงความเชื่อของอับราฮัมเพียงครั้งเดียว ก็คือเมื่อพระเจ้าตรัสปุ๊บ เขาพาภรรยา ตอนนั้นยังไม่มีลูกนะ พาภรรยา เอาคนใช้ เดินทางไปเลย ไปตามที่พระเจ้าสั่ง ณ เวลานั้น พระเจ้าก็ไม่ได้บอกว่าจะให้ไปที่ไหน? บอกมาแล้วกัน แล้วเราจะทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ให้เกิดขึ้นกับเจ้า ความเชื่อของอับราฮัมเพียงครั้งเดียว  เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ ที่อับราฮัมเชื่อว่า …

            “พระเจ้ามีอยู่จริง แล้วเชื่อว่าพระเจ้าองค์นี้ ที่สั่งให้เขาเดินทางออกจากบ้านเมืองของตัวเอง ออกจากญาติพี่น้องของตัวเอง แล้วเดินตามพระองค์ไป มันเป็นความเชื่อในโลกวิญญาณที่อับราฮัมเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง แล้วฉันก็จะตามไปด้วย”

            หลังจากความเชื่อตรงนี้ เราจะเห็นความแตกต่างระหว่างความเชื่อและความเชื่อฟัง

            เรื่องของความเชื่อ เป็นเรื่องของโลกวิญญาณ  แต่เรื่องของการเชื่อฟัง เป็นเรื่องของโลกใบนี้ โลกวัตถุ ฉะนั้น การเชื่อของอับราฮัม  หรือของพวกเรา ณ ปัจจุบันที่เราเป็นผู้เชื่อแล้ว การที่เราจะเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังพระเจ้า มันเป็นการดำเนินชีวิต ซึ่งเรามีโอกาสที่จะไม่เชื่อฟังก็ได้ ตอนที่อับราฮัมไม่เชื่อฟังพระเจ้า พระเจ้าก็ยังถือว่าเขาชอบธรรมอยู่ ไม่ใช่พอ ไม่เชื่อฟังปุ๊บ พระเจ้าบอกไม่เอาแล้ว ไม่ให้เป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ไม่ใช่ อับราฮัมไม่เชื่อฟังพระเจ้าหลายต่อหลายครั้ง เรารู้ได้จาก …

            ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่เห็นชัดๆ คือตอนที่พระเจ้าบอกกับอับราฮัมว่า …

            “เราจะให้เจ้ามีลูกหลานดกทวีคูณเต็มแผ่นดิน”

            และคนที่จะเป็นทายาทในฝ่ายวิญญาณ จะเกิดจากนางซาราย ผู้เดียวเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับคนอื่น แล้วตอนที่อับราฮัมได้ยิน ท่านเชื่อตามนั้น แต่เนื่องด้วยสภาวะของร่างกาย หรือเนื่องด้วยความเป็นมนุษย์ อยู่กันไป ก็เชื่อตามนั้นแหละ พระเจ้าบอกว่าให้ไปดูเม็ดทราย ลูกหลานของเจ้าจะเต็มเหมือนเม็ดทราย ลูกหลานของเจ้าจะเป็นเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า อับราฮัมก็เชื่อตามนั้น ตอนที่พระเจ้าคุยกับอับราฮัม อายุ 75 จนเวลาผ่านไป 10 ปี อายุ 85 แล้ว อับราฮัมก็มอง 10 ปีผ่านไป ไม่เห็นมีวี่แววเลย  นางซารายก็เลย คิดจะช่วยพระเจ้า ยกนางฮาการ์ คนใช้ของตัวเองให้อับราฮัมไปเป็นภรรยาอีกคนหนึ่ง  แล้วอับราฮัมก็ไปนอนกับนางฮาการ์ นี่ถือว่าไม่เชื่อฟัง เพราะพระเจ้าบอกแล้วไง …

            “ลูกหลานของเธอจะมาทางสายของนางซารายเท่านั้น”

            แต่ในความเป็นมนุษย์ อับราฮัม ก็ไม่เชื่อฟัง ก็ไปนอนกับนางฮาการ์ มีลูกออกมาคนหนึ่ง พอหลังจากนั้น พระเจ้าก็ยังถือว่าอับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรมอยู่ จนอายุ 99 พระเจ้ามาหาอับราฮัมอีกครั้งหนึ่ง  แล้วก็บอกอับราฮัมว่า …

            “วันนี้ ปีหน้า นางซารายจะคลอดบุตรชาย”

            แล้วบุตรคนนั้น ให้ตั้งชื่อว่าอิสอัค บุตรคนนี้แหละ เป็นบุตรแห่งพันธสัญญา  ที่เราได้มีเป้าหมายไว้ เราจะอวยพรบุตรคนนี้ผ่านทางลูกหลานของเขา นี่คือสิ่งที่พระเจ้าได้บอกกับอับราฮัม แล้ววันนั้น อับราฮัมก็ยังจริงหรือไม่จริง ในขณะที่นางซารายก็แอบหัวเราะด้วยนะ พระเจ้าล้อเล่นไหมเนี้ย ตอนนั้นแก่มากแล้ว ประจำเดือนหมด จะมีลูกได้อย่างไร? พระเจ้าสามารถที่จะทำทุกอย่างได้ ตามที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ แล้วนางซารายก็คลอดลูกจริงๆ

            พอคลอดลูกเสร็จ อิสอัคเป็นที่รักของอับราฮัมมาก รอมานานมาก จากนั้น สิ่งที่ไม่คาดฝัน คือพระเจ้าสั่งอับราฮัมว่าให้เอาอิสอัคไปถวาย  แล้วพวกเราอาจจะคิดว่าตอนที่อับราฮัมถวายอิสอัค เป็นความเชื่อเริ่มต้น ไม่ใช่ ความเชื่อเริ่มต้น ก็คือตอนที่เดินทางมา ดังนั้น การถวายอิสอัคเป็นเพียงการพิสูจน์ความเชื่ออีกครั้งหนึ่งของอับราฮัม ที่เขาเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง แล้วเขาก็ถวายอิสอัค แล้วเขาก็เชื่อต่อว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถที่จะทำให้คนตายเป็นขึ้นมาใหม่ได้ เมื่อเขาถวายอิสอัค พระเจ้าสามารถ พระเจ้าจะทำให้อิสอัคเป็นขึ้นมาจากความตายก็ได้  นั่นคือผลหรือบทพิสูจน์ความเชื่อที่อับราฮัมมีอยู่แล้ว เอาอิสอัคไปถวาย แล้วพระเจ้าก็เห็นแล้วตอนนี้ สิ่งที่พิสูจน์ความเชื่อของอับราฮัม ก็ได้ทำแล้ว พระเจ้าเลยบอกหยุดๆ ไม่ต้อง พอแล้ว เราเห็นแล้ว แล้วพระเจ้าก็เตรียมแกะตัวหนึ่งให้อับราฮัม แล้วอับราฮัมก็เอาแกะตัวนั้น ไปถวายแด่พระเจ้า

            การที่มนุษย์จะเชื่อวางใจในพระเจ้าครั้งแรก ที่พวกเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นความเชื่อครั้งเดียวที่เราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าจริงๆ มาเกิดเป็นมนุษย์จริงๆ มาตายแทนเราบนไม้กางเขนจริงๆ เชื่อว่าพระโลหิตของพระเยซูคริสต์หลั่งมา เพื่อชำระล้างความผิดบาปของเราจริงๆ ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้าด้วย เราเชื่ออย่างนั้นจริงๆ แล้วเราเชื่อว่าพวกเราทุกคนได้เป็นขึ้นมาจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์จริงๆ แล้วเรายังเชื่ออีกว่าพระพรนานัปการที่บอกว่าทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว มันเป็นจริง ณ บัดนี้ เราได้รับพระพรเหล่านั้น เรียบร้อยไปแล้วในโลกวิญญาณ เราเชื่อจริงๆ  เราจึงมีความหวังใจ

            อย่างที่อาจารย์เปาโลบอก ถ้าผู้เชื่อหรือคริสเตียนทุกคน ไม่ได้เชื่อตามนี้ ถ้าพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย การเชื่อของเราก็เปล่าประโยชน์ เราก็เป็นคนโง่เขลา เพราะถ้าพระเยซูคริสต์ไม่เป็นขึ้นมาจากความตาย พวกเราก็ไม่สามารถบังเกิดใหม่ พวกเราก็ไม่สามารถเข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้าได้ พวกเราไม่สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้าได้เลย

            เพราะฉะนั้น ใครก็ตามหลังจากนั้น ที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์จะอวยพรผู้คนผ่านทางอับราฮัม ฉะนั้น ไม่ว่าใครก็ตาม หลังจากอับราฮัมจนถึงพวกเราในยุคปัจจุบัน ถ้าเราทำตามกฎนี้ คือกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ เราก็จะเป็นบุตรของอับราฮัมผ่านทางความเชื่อ กฎนี้ ก็คือกฎที่เราเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า และเราเข้ามารับความรอดผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ไม่มีการกระทำใดๆ เข้ามาผสมผเสเลยแม้แต่นิดเดียว  เพราะว่าเราทำเองไม่ได้ ต้องให้พระเจ้าทำให้กับเรา ให้พระเจ้าเอาวิญญาณเก่าของเราไปตายพร้อมกับพระเยซู ให้วิญญาณเก่าเราไปฝังพร้อมกับพระเยซู แล้วให้พระเจ้าใส่วิญญาณใหม่ เป็นขึ้นมาใหม่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น อับราฮัมเป็นบรรพบุรุษของเราทางวิญญาณ พวกเราทุกคนก็เป็นลูกหลานของอับราฮัม ผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเราทั้งหลายบนไม้กางเขน

            ฉะนั้น ตรงนี้ อาจารย์เปาโลก็เลยต้องเน้นย้ำว่าสิ่งที่ผู้เชื่อทั้งหลายได้รับ ผ่านทางความเชื่อทั้งนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติของเราเลย  เมื่อเราเชื่อแล้ว หลังจากที่เราเชื่อ ไม่ว่าเราจะทำผิดบ้าง ถูกบ้าง พลาดบ้าง พระเจ้ายังถือว่าเราเป็นลูกของพระองค์ ดูจากตัวอย่างอับราฮัม อับราฮัมโกหกเก่งนะ ไปไหนก็บอกให้นางซาราบอกใครต่อใครว่าเธอไม่ใช่เมียฉัน เธอเป็นน้องฉันนะ  เพราะว่ากลัวตาย ภรรยาสวย ใครจะเอาภรรยาไปเป็นเมีย ก็ฆ่าฉัน ฉันกลัวตาย ฉันก็เลยบอกอย่างนี้  โกหกไหม? โกหก แต่พระเจ้ายังถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม มันไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติใดๆ เลย ถ้าพี่น้องเห็นภาพตรงนี้ พี่น้องจะชัดเจนมากว่าปัจจุบันเหมือนกัน อย่าให้ใครหลอกเราว่าเมื่อเราเผลอทำบาป พระเจ้าไม่เอาเราแล้ว พระเจ้าทิ้งเราแล้ว พระเจ้าไม่นับเราเป็นลูกแล้ว เรารับรองไม่รอดแน่ๆ  เผลอๆ ตายไป เราไม่ได้ไปอยู่สวรรค์แน่ๆ เลย อย่าให้ใครหลอกเรา ให้เรายึดในความจริง ในถ้อยคำของพระเจ้า ในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกว่า ณ ปัจจุบัน เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานเรียบร้อยแล้วในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้น เป็นจริงๆ แล้วเราก็เอเมน ตามนั้น แล้วเราดำเนินชีวิตไปตามที่พระวิญญาณที่อยู่ข้างในนำเราในแต่ละวัน ผิดบ้าง พลาดบ้าง ไม่เป็นไร ก็เดินตามที่พระเจ้านำเรา จนถึงวันที่ลมหายใจเราออกจากร่าง เราก็ไปอยู่ที่เดิม  ก็คืออยู่ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่เดิมเลย แต่มันจะต่างจากที่ทุกวันนี้ เรามองอะไรไม่ชัดเจน  เราไม่สามารถสัมผัสจับต้องพระเยซูคริสต์ได้ แต่เราใช้ความเชื่อเอา พอถึงวันนั้น เราได้เห็นพระเยซูคริสต์หน้าต่อหน้า  เราไม่ต้องไปซ่อนอยู่ในพระเยซูคริสต์อีกแล้ว เรามีร่างกายใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเรา ผู้เชื่อทุกคนไปสวมร่างกายนั้น ตามพระสัญญาที่พระเจ้าบอกกับเรา เอเมน พระเจ้าอวยพรค่ะ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            “ผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ได้เกิดใหม่ สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป ทุกสิ่งทั้งหมดเป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            2 โครินธ์ 5:17 … “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ (บังเกิดใหม่) สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไปได้ตายไปแล้ว  จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมดเป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            สิ่งเก่าทั้งหมด คือวิญญาณ จิตใจและร่างกาย

            สิ่งใหม่ทั้งหมด คือวิญญาณ จิตใจและร่างกาย

            … คือ …

            วิญญาณเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ จิตใจเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายเดิม แต่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ใหม่ ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์สะอาดบริสุทธิ์ดีพร้อม ไร้มลทินไร้ตำหนิใดใด ที่พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ดีพร้อม พอใจรับได้ และสามารถเข้ามาอาศัยสถิตอยู่ด้วยได้ และรอรับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์ร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่ได้ทรงสถิตอยู่กับเราแล้วนั้น สวมร่างกายใหม่ร่างกายสวรรค์นี้ทันที หลังจากร่างกายเดิมนี้สิ้นสุดลงหมดลมหายใจ  และเข้าสู่มิติฝ่ายวิญญาณที่เรียกว่าสวรรค์ของพระบิดาอย่างสมบูรณ์เต็มรูปแบบ ด้วยตัวตนแท้จริงที่สมบูรณ์แบบเหมือนพระเยซูคริสต์ ที่จะอยู่ในสวรรค์กับพระบิดาผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ตลอดนิรันดร์

            คือ … ด้วยวิญญาณเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ จิตใจเกิดใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ ร่างกายใหม่ร่างกายสวรรค์ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์

            โคโลสี 1:13 … “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเรา ให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเรา เข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยซูคริสต์) ที่รักของพระองค์”

            เราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในสวรรค์ หรือที่เรียกว่าในพระคริสต์แล้ว ตั้งแต่วันที่เปิดใจต้อนรับพระเยซู ได้เป็นพลเมืองของอาณาจักรสวรรค์ ตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว และจะอาศัยอยู่ในอาณาจักรสวรรค์นี้ อยู่กับพระเจ้า ตั้งแต่โลกนี้จนถึงโลกหน้าตลอดนิรันดร์

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1483

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  18  สิงหาคม  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 6 “คริสเตียนไม่ได้อาศัยอยู่ในโลก แต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เราอยู่ใน “หนังสือ 1 ยอห์น” วันนี้ตอนที่ 6 ชื่อเรื่อง “คริสเตียนไม่ได้อาศัยอยู่ในโลก แต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก”

            เราได้เรียนรู้อะไรกันมาแล้วบ้าง? 5 ตอนแล้ว ตอนนี้ตอนที่ 6 ในหนังสือยอห์น บอกเราถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณมากกว่า ที่บอกว่าคริสเตียนจริงๆ แล้ว เป็นใครอยู่ที่ไหน? ในโลกวิญญาณเรามองไม่เห็น อาจารย์ยอห์นไม่ได้มาสอนว่าให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องทำอันโน้นอันนี้อย่างไร? แต่กำลังมาชี้ความเป็นจริง สิ่งที่เรามองไม่เห็นด้วยตา ก็คือในโลกฝ่ายวิญญาณว่าเวลาเราเป็นคริสเตียนแล้ว วิญญาณของเรามันเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง? ยกตัวอย่างเช่น เราเรียนรู้แล้ว อาจารย์ยอห์นบอกว่าคริสเตียนอาศัยอยู่ในความสว่าง ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  พอเราเป็นคริสเตียน รับเชื่อพระเจ้าปุ๊บ  เราได้ย้ายจากอาณาจักรของความมืด มาอยู่ในความสว่าง เรียกว่าอาศัยอยู่ในความสว่าง ทั้งๆ ที่เราก็อยู่เหมือนเดิม เมื่อคืนปิดไฟนอน มืดไหม? มืด แต่เราเป็นคริสเตียน ทำไมพระคัมภีร์บอกว่าเราอาศัยอยู่ในความสว่าง  เห็นไหม? นี่คือความรู้ทางโลกวิญญาณ ที่เป็นเรื่องเดียวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลที่สอนให้คริสเตียน ให้ผู้คนได้รู้ ได้เข้าใจ  เพราะมันมองไม่เห็น  เราเรียนรู้ว่าคริสเตียนอาศัยอยู่ในความสว่าง ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ด้วยความรัก  ที่อยู่ภายในวิญญาณ

            ซึ่งได้เรียนรู้ว่ามันตรงกันข้ามกับก่อนหน้าที่เราไม่ใช่คริสเตียน  เราอาศัยอยู่ในความมืด ดำเนินชีวิตด้วยความเกลียดชัง  อยู่ภายในวิญญาณของเรา นี่คือความจริงที่เราได้เรียนรู้กันมา อาจารย์ยอห์นบอกว่าถ้าท่านเป็นคริสเตียน อาศัยอยู่ในความสว่างจริงๆ ท่านดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  แล้วไปทำบาป เรียกว่าเผลอ ถูกหลอกลวงให้ไปทำบาป ในขณะที่กำลังอยู่ในความสว่าง อยู่กับพระเจ้านั้น ขณะที่ทำบาป เขาก็ยังอยู่ในความสว่าง กำลังอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้า  พระเจ้าก็อยู่กับเขา นี่เป็นเรื่องจริงที่เราได้เรียนรู้กันมา 5 ตอนแล้ว

            ยกตัวอย่างใน 1 ยอห์น 2:10 ที่เราได้เรียนรู้กันชัดเจนมาก ผมยกมาให้เห็นชัดๆ …

        1 ยอห์น 2:10 “ผู้ที่รักพี่น้องของตน ก็อยู่ในความสว่าง และในความสว่างนั้นไม่มีอะไร เป็นเหตุที่จะทำให้สะดุด (ทำบาป) เลย”

            “ผู้ที่รักพี่น้องของตน” ก็คือคริสเตียน ก็อยู่ในความสว่าง คริสเตียนอยู่ในความสว่าง ผู้ที่รักพี่น้องของตน ก็อยู่ในความสว่าง

            พูดความจริงอย่างนี้ เราได้เรียนรู้แล้วนะ อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็นเลยว่าจงมั่นใจอย่างนี้ นี่คือตัวท่าน เป็นคริสเตียนในโลกวิญญาณ เราไม่มีธรรมชาติภายในวิญญาณของเรา ที่เป็นสาเหตุให้เรา ไปทำบาปเลย นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ไม่เหมือนตอนที่เรายังไม่เชื่อ ตอนก่อนเชื่อ ยังไม่ได้เป็น คริสเตียน เราอยู่ในความมืด  เราทำตามธรรมชาติในความมืดนั้น ทำบาปตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้น คริสเตียนควรรับรู้เรื่องความจริงเหล่านี้ว่าในโลกวิญญาณ เราเป็นใครในพระคริสต์?

            “ฉันเป็นใครในพระคริสต์”

            เราต้องคิดอย่างนี้อยู่ตลอดเวลา เป็นการอธิษฐานถามพระเจ้า ที่สถิตอยู่ภายในเรา ที่เราเรียนรู้ว่าพระองค์ทรงอยู่กับเราเสมอ …

            “แล้วลูกเป็นใครในพระองค์ ในพระคริสต์”

            สถานะทางโลกวิญญาณของเราคริสเตียนนั้น เป็นอย่างไร? ที่ยอห์นกำลังชี้ให้เราเห็นถึงความจริงแห่งพระคุณนี้ ตลอดทั้งเล่มของพระคัมภีร์ใหม่ เรียกว่า “พระคุณแห่งข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์” “พระคุณแห่งข่าวดี” หรือ “ข่าวดีแห่งพระคุณ” ต้องจำคำนี้ไว้เลยว่าข่าวดีนี้ เป็นข่าวดีแห่งพระคุณ หรือพระคุณแห่งข่าวดี

            พระคุณแห่งข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คืออะไร? คือเมื่อผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ต้อนรับข่าวดีแล้ว เขาก็จะได้รับพระคุณเหล่านี้ ที่เราได้เรียนรู้มาตลอด เขาได้รับฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแต่เปิดใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์ พระคุณเหล่านี้เป็นของเขา ได้รับฟรีๆ โดยความเชื่อนี้ คือได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้อยู่ในความสว่าง ได้อยู่ในสวรรค์ ได้เป็นคนบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์  และจะอยู่ในสวรรค์กับพระคริสต์อย่างนี้ ตลอดชั่วนิรันดร์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว ไม่ว่าเขาจะเผลอ ถูกล่อลวงให้ทำบาป อะไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะประพฤติตัวอย่างไรก็ตาม เขาได้รับความรอด จากการถูกพิพากษา ลงโทษแล้ว เขาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว แล้วเขาจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป ชั่วนิรันดร์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง นี่เรียกว่า “พระคุณ”

            และเมื่อรับรู้พระคุณเหล่านี้ได้มากเท่าไร? พระคัมภีร์บอกว่าคนๆ นั้น หรือคริสเตียนคนนั้น เขาก็จะกระทำตัวให้เหมาะสม เขาก็จะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เป็นเหมือนความจริงในโลกวิญญาณได้มากขึ้น ตามที่เขาเป็นอยู่  ก็คือเขาถูกหลอก ล่อลวงให้ทำบาปน้อยลง เพราะเขารู้ความจริง

            ถ้ารู้ความจริง คนก็จะมาหลอกเราไม่ได้ ถ้าเรารู้ความจริงเยอะๆ คนก็มาหลอกลวงเราไม่ได้เยอะๆ ถ้าเรารู้น้อย ตรงที่เราไม่รู้ เราก็มีสิทธิ์ที่จะถูกหลอกล่อ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น

            ในพระคัมภีร์พูดถึงเรื่อง “พระคุณ” อย่างนี้ ในข่าวดีของพระเจ้า ในข่าวประเสริฐของพระองค์ ทั้งหมดในพระคัมภีร์ใหม่ ทั้งเล่ม ทุกเล่มในหนังสือจดหมายฝาก ก็คือข่าวดีแห่งพระคุณของพระเยซูคริสต์ อ้างถึงตรงนี้ตลอด สอนถึงเรื่องราวตรงนี้ตลอด ให้เราจดจำตรงนี้ตลอด ให้เราระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ตลอด ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ซึ่งอาจจะถูกหลอกให้ทำบาป  ก็ได้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่การอาศัยอยู่ในสวรรค์ อยู่ในความสว่าง อยู่กับพระเจ้านั้น เป็นนิรันดร์ไปแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้ว  เกิดจากความเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ ตรงนี้เรียกว่าพระคุณ

            ยกตัวอย่างเช่น ในหนังสือโรม อาจารย์เปาโลก็พูดอย่างนี้แหละ ในโรม 12:1-2 …

        โรม 12:1-2  “1 พี่น้อง (คือคริสเตียน) เพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้มอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อมความคิดและสติปัญญาของท่าน (ให้สมกับที่พระเจ้าได้ทรงชำระท่าน) ให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ บริสุทธิ์สะอาดศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า) และเป็นที่พอใจพระเจ้าแล้ว ซึ่งเป็นการ กตัญญูต่อพระเจ้าที่สมควรในวิญญาณของเรา ที่ได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้า ด้วยวิญญาณและความจริง 2 อย่ายอมประพฤติตามระบบของโลกนี้ แต่มายอมรับการเปลี่ยนแปลงความประพฤติ โดยการเปลี่ยนแปลงความคิดสติปัญญาเสียใหม่ เพื่อท่านจะสามารถรับรู้ว่าอะไรที่เป็นความต้องการของพระเจ้า อะไรที่ดี อะไรที่ดียอดเยี่ยมสมบูรณ์แบบในสายตาของพระองค์ ตามแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ให้กับท่าน”

            พระคุณของพระเจ้าทำให้เราสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ให้เห็นพระคุณตรงนี้ เพื่อท่านจะได้ดำเนินชีวิตให้สมกับที่พระเจ้าได้กระทำให้ท่านสำเร็จเรียบร้อยแล้ว เอเมน ในทิตัส 2:11-12 ก็เช่นเดียวกัน …

        ทิตัส 2:11-12 “11 เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าที่นำไปถึงการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ จากการเป็นทาสของบาปและความรอดนิรันดร์ ได้ปรากฏแก่คนทั้งปวงแล้ว 12 พระคุณนี้สอนเราที่จะฝึกฝนปฏิเสธการทำบาป และไม่ทำตามโลกียตัณหา และดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันนี้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ตามทางพระเจ้า สมกับการได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า  เป็นผู้ชอบธรรม (บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้าแล้ว)”

            ฝึกฝนเราให้ปฏิเสธการถูกล่อลวงให้ทำบาป  ต้องเรียนรู้จักพระคุณนี้

            วันนี้มาต่อตอนที่ 6 เรื่อง “คริสเตียนไม่ได้อาศัยอยู่ในโลก แต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก” เราไม่ได้อาศัยอยู่ในโลก  แต่เราอยู่ในพระคริสต์ เราไม่ได้อยู่ในโลก แต่เราอยู่ในสวรรค์แล้ว เราอยู่ในพระเจ้า แต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก มันหมายถึงอย่างนี้  พูดง่ายๆ ว่าเราดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่างแล้ว ในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกที่เป็นความมืด วันนี้มาต่อจากครั้งที่แล้ว 1 ยอห์น 2:15 …

        1 ยอห์น 2:15  “อย่ารักโลก หรือสิ่งของในโลก  ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดา ไม่ได้อยู่ในผู้นั้น”

            “อย่ารักโลก หรือสิ่งของในโลก” เห็นอะไรบางอย่างไหม? อยู่ตรงข้ามกับในพระเจ้า ในพระคริสต์ “ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดา ไม่ได้อยู่ในผู้นั้น” อาจารย์ยอห์นกำลังชี้ให้เห็น คนที่ไม่ใช่คริสเตียนแท้ ที่อ้างตนเองว่าเป็นคริสเตียน แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ ที่เข้ามาในชุมชนของคริสเตียน สมัยนั้น ภายในวิญญาณของเขาไม่ได้เป็นความรัก  ไม่สามารถรักพระเจ้าได้ เขาจึงมีธรรมชาติในวิญญาณที่รักโลก และสิ่งของบนโลก เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดา ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่อยู่ตรงกันข้าม เป็นศัตรูกับพระเจ้า

            อาจารย์ยอห์นก็พูดว่า … “เพราะฉะนั้น พี่น้องคริสเตียน อย่าถูกหลอกให้รักโลกนั่นเอง”

            ความหมายของ 1 ยอห์น 2:15 ก็คืออย่าถูกหลอกให้รักโลกและสิ่งของบนโลก เพราะนั่นไม่ใช่ตัวจริงของเรา แต่เป็นตัวตนของผู้ที่ไม่ใช่คริสเตียน ในตรงนี้ อาจารย์ยอห์น ชี้ให้เห็นถึงคนที่เป็น คริสเตียนแท้ๆ ว่าสถานะทางวิญญาณเขาเป็นเช่นไร? แตกต่างจากคนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนอย่างไร? เพื่อจะได้สังเกตตัวเองด้วย ในขณะนั้นนะ

            คนที่เป็นคริสเตียนแท้จะเป็นความรักแบบอากาเป้เหมือนพระเจ้า และรักพระเจ้าพระบิดา แต่จะเกลียดชัง ปฏิเสธโลก และสิ่งของบนโลก ระบบของโลก ซึ่งอยู่ใต้อิทธิพลของความบาปและความชั่ว นี่เป็นธรรมชาติทางวิญญาณของคนที่เป็นคริสเตียนแท้ๆ เมื่อเราเชื่อในพระเยซู วิญญาณได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่หมดเรียบร้อยแล้ว เราไม่สามารถไปด้วยกันกับโลกนี้อีกต่อไป  เพราะมันอยู่ตรงกันข้ามกัน  2 โครินธ์ 5:17 ได้บันทึกไว้อย่างนั้น เราได้รับการขอร้องจากพระเจ้า ผ่านทางพระคัมภีร์ ขอร้องให้เราดำเนินชีวิต บนโลกใบนี้ ตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายในเรา ขอร้องเรานะ เพื่อเราจะได้ไม่ถูกหลอก ให้ทำตามโลกใบนี้ ที่พระคัมภีร์ใช้คำว่าเนื้อหนัง เราจะได้ไม่ถูกหลอกให้ทำตามเนื้อหนัง เราจะได้ทำตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายใน ทำให้สมกับฐานะคริสเตียนของเรา ที่เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ซึ่งนั่นก็คือสิ่งที่สมควรจะกระทำ มองไปที่วิญญาณที่อยู่ข้างใน ที่เป็นนิรันดร์ ไม่ใช่มองดูข้างนอก ระบบของโลกนี้ ที่อยู่เพียงชั่วคราว

            คริสเตียนแม้จะดำเนินชีวิตบนโลกนี้ แต่ไม่ได้เป็นของโลก แล้วเป็นของใคร? เป็นของพระเจ้า เป็นประชากรของพระเจ้า เป็นพลเมืองของพระเจ้า ไม่ได้เป็นพลเมืองของโลกใบนี้อีกต่อไป  แต่ก่อนเราเป็นพลเมืองของโลก แต่เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ย้ายเรามาอยู่ในอาณาจักรของพระองค์ อยู่ในพระคริสต์ เป็นประชากรของพระเจ้าแล้ว แต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลก ฟิลิปปี 3:20-21 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ฟิลิปปี 3:20-21 “เราก็เป็นพลเมืองสวรรค์ และเราเฝ้ารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า พระองค์จะทรงเปลี่ยนกายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนพระกายอันทรงพระเกียรติสิริของพระองค์ โดยฤทธานุภาพที่สยบทุกสิ่งไว้ใต้อำนาจของพระองค์”

            เราเป็นพลเมืองสวรรค์  เป็นประชากรสวรรค์แล้วในขณะนี้  เพียงแต่เฝ้ารอคอยวันที่จะได้ไปพบพระเยซูหน้าต่อหน้า พอได้พบพระเยซู ก็ได้รับร่างกายใหม่  มาแทนร่างกายนี้ ได้รับร่างกายสวรรค์ ที่สามารถอยู่ในสวรรค์จริงๆ ได้ ได้เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า เห็นตัวเองตามความเป็นจริงในร่างกายใหม่ เรารอคอยตัวนั้น  เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ จึงไม่ใช่เป็นของโลก ในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าเราเป็นเหมือนคนต่างด้าว เป็นเหมือนคนแปลกหน้า บนโลกใบนี้ ฉะนั้น เดินบนโลกใบนี้ ขณะเดียวกัน เป็นคริสเตียน ต้องรู้ว่าเราเดินอยู่บนโลกที่ไม่ได้เป็นบ้านของเรา เราอยู่เพียงชั่วคราวเอง ในทางวิญญาณแล้ว เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว ในขณะนี้

            ท่านคิดดูสิ ถ้าเกิดเราระลึกถึงพระคุณของพระเจ้าอย่างนี้ ชัดเจนมากๆ ตลอดทุกลมหายใจเข้าออก มันจะมีความสุขขนาดไหน? เรานึกออกใช่ไหม? เราไม่ได้รอคอยสวรรค์ เราอยู่ในสวรรค์แล้ว และจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป แล้วพระเจ้าก็สถิตอยู่กับเรา ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ 1 เปโตร 2:11 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 เปโตร 2:11 “ดูก่อนท่านที่รัก ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านทั้งหลาย ผู้อาศัยในโลกอย่างโลกไม่เป็นบ้านเกิดเมืองนอน ให้เว้นจากตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งเป็นข้าศึกต่อวิญญาณจิตของท่าน”

            วิงวอน ขอคริสเตียน ที่เป็นคนแปลกหน้าของโลกใบนี้ อยู่บนโลกใบนี้ อย่างไม่ใช่บ้านเกิดของเรา ให้ละเว้น ก็คือให้ระวังอย่าถูกล่อลวง โดยกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ซึ่งเป็นข้าศึก ศัตรู อยู่ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยพระเจ้า โคโลสี 1:13 ได้เรียนแล้ว ชัดเจนมากเลย …

        โคโลสี 1:13 “เพราะพระองค์ได้ทรงช่วยเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และทรงนำเรา ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระบุตร (พระเยซูคริสต์) ที่รักของพระองค์”

            เราได้รับการย้ายเข้ามาแล้ว ย้ายเลยเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่รอตายก่อน ขณะนี้ เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ทันที วิญญาณเราได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่อาณาจักรหนึ่ง เรียกว่าสวรรค์ในพระคริสต์ เรียกว่าเข้ามาอาศัยอยู่ในพระคริสต์  อาศัยอยู่ในสวรรค์กับพระคริสต์ มาเป็นพลเมืองสวรรค์กับพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว เรายังคงถูกเรียกให้ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ก่อน เพื่อจะได้ประกาศข่าวประเสริฐ พระเจ้าจะได้ใช้เรา อยู่บนโลกใบนี้ เพื่อทำงานเหมือนคนต่างด้าว กำลังทำงาน เพราะเรามาจากสวรรค์ ขณะนี้เราอยู่ในสวรรค์ เราไม่ได้เป็นของโลกใบนี้  โลกใบนี้เต็มไปด้วยความบาป ความมืด แต่เราอยู่ในความสว่าง อยู่ในความชอบธรรม  อยู่ในพระเจ้า 1 ยอห์น 2:16 …

        1 ยอห์น 2:16 “เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัณหาของเนื้อหนัง [ความอยากในร่างกาย] ตัณหาของตา [ความปรารถนาอันโลภมากของจิตใจ] และความเย่อหยิ่งในชีวิต [ความมั่นใจในความรู้ความสามารถ สติปัญญาของตนเอง หรือความมั่นคงของสิ่งของทางโลก]  สิ่งเหล่านี้  ไม่ได้มาจากพระบิดา แต่มาจากโลกเอง”

            ในโลกนี้มีอะไร? อาจารย์ยอห์นชี้ให้เห็น ในโลกที่เราไม่ได้อยู่อาศัยนั้น  แต่เราดำเนินชีวิตอยู่ ตรงนี้มีอะไรบ้าง? พูดถึงสิ่งที่อยู่ในโลก ซึ่งไม่ได้มาจากพระบิดา ผู้สถิตอยู่ภายใน แต่มันเป็นของโลกเอง ให้เห็นความแตกต่างระหว่างภายในเรา  ที่เราอยู่กับพระบิดา  อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ ในขณะนี้ อาศัยอยู่ในความสว่าง ในขณะนี้ กับเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลก โลกเต็มไปด้วยความมืด  แต่เราอาศัยอยู่ในความสว่าง มันต่างกันมากเลย มันคนละเรื่องกันเลย

            ในโลกนี้ พระคัมภีร์ใช้คำนี้ว่าสิ่งที่อยู่ในโลกนี้  ที่เรียกว่ากิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของโลก จะใช้คำนี้ ลักษณะนี้ ก็คือตัณหาหรือกิเลสทางฝ่ายเนื้อหนังของระบบของโลกนี้ ซึ่งกิเลสตัณหาของโลกนี้ ระบบของโลกนี้ที่หลอกลวง ล่อลวงเรา เป็นอิทธิพลที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกนี้ ซึ่งมันสามารถแยกแยะออกมาเป็น 3 สิ่งหลักของกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังนี้ อาจารย์ยอห์นจะชี้ให้เราได้เห็น  เพื่อเราจะได้เรียนรู้ว่านี่แหละ คือศัตรูของเราตัวจริง นี่แหละ คือตัวที่ทำให้เราไปทำบาป ขณะที่เราเป็นคริสเตียน พระเจ้าสถิตอยู่ภายในเรา  เราไปทำบาป ทำผิดพลาด ก็เพราะตัวนี้ไม่ใช่ตัวเรา แต่มันเป็นกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง มันๆๆๆๆ มันประกอบไปด้วย 3 สิ่งหลักเหล่านี้ คือ …

            (1) ตัณหาของเนื้อหนัง หมายถึงความปรารถนาที่จะได้รับความพึงพาใจทางกาย คือความสุขทางกาย หรือความสุขทางกายภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่มักจะดึงดูดใจมนุษย์  นี่แหละ ชี้ให้เห็นเลยว่ามันมาจากตรงนี้แหละ มาจากกายที่ถูกเร้า

            (2) ตัณหาของตา หมายถึงความโลภ หรือความปรารถนาที่จะได้มีสิ่งที่เห็นอยู่นั้น อยากได้สิ่งที่เห็น ซึ่งจะนำไปสู่ความอิจฉาริษยา ความบาปต่างๆ ความโลภต่างๆ ทำให้เกิดการทำชั่วต่างๆ เกิดขึ้น จากสิ่งที่ตามองเห็นและอยากได้

            (3) ความเย่อหยิ่งในชีวิต หมายถึงความมั่นใจในทรัพยากรของตนเอง ทรัพยากรของตนเอง ก็คือที่พระเยซูบอกว่าอย่าสะสมทรัพย์ไว้กับตนเอง ทรัพย์ตัวนี้ ไม่ได้หมายถึงเงินทอง แต่หมายถึงปัญญาทรัพย์ ความเย่อหยิ่งว่าฉันรู้ ฉันเก่ง ฉันดี ฉันยอดเยี่ยม อะไรต่างๆ เหล่านั้น ฉันเป็นคนดี ฉันเป็นอะไรก็แล้วแต่ เรียกว่าความมั่นใจในทรัพยากรของตนเอง หรือความมั่นคงในสิ่งทางโลก  อันนี้หมายถึงทรัพย์แล้ว  ความมั่นคง คือในฐานะ ตำแหน่ง ทรัพย์สิน เงินทอง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ความมั่นใจ ความมั่นคงเหล่านี้ อาจทำให้เราคริสเตียน เกิดกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง คือเกิดการพึ่งพาตนเองมากกว่าการพึ่งพาพระเจ้า ซึ่งก็คือบาป นั่นเอง แทนที่จะพึ่งพระเจ้า มั่นใจตัวเองจนเกินไป

            พระคัมภีร์ตรงนี้กำลังเตือนเรา คริสเตียนว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า อย่ากล่าวหาพระเจ้าว่าพระเจ้าล่อลวงเราให้ทำบาป  อย่ากล่าวหาพระเจ้าว่าชักจูงเราให้ทำบาป อย่ากล่าวหาว่าพระเจ้านำพาเราให้ไปทำบาป ไม่ใช่ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากตัวตนแท้จริงของเรา ที่ตะกี้เราอ่านตั้งแต่ข้อแรก 1 ยอห์น 2:10 มันไม่มีเหตุจากภายในของเรา ที่บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ในวิญญาณของเรา วิญญาณของเราบริสุทธิ์ สะอาด อย่าไปกล่าวหาเขา สิ่งเหล่านี้มาจากข้างนอกตัวเรา ตัวตนแท้จริงของเราสะอาด บริสุทธิ์  ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า แต่มันเป็นสิ่งที่มากระตุ้น จูงใจเราจากระบบของโลกนี้ ซึ่งเป็นระบบที่เป็นศัตรู ขัดแย้งกับพระเจ้า และขัดแย้งกับความจริงของพระเจ้าที่อยู่ภายในเรา ซึ่งได้บังเกิดใหม่  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว

            แล้วพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายใน พระเจ้าก็จะทรงฝึกฝนเรา นี่แหละ คือสงครามที่อยู่ในโลกวิญญาณ ขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ของคริสเตียน พระเจ้าก็จะฝึกฝนเราให้ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณที่สถิตอยู่ภายใน ฝึกฝน ด้วยความรัก ฝึกฝนเราว่าอันนี้ล่อลวง อันนี้เป็นอย่างไร? อะไรต่างๆ ให้ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ  ไม่ถูกล่อลวงให้ทำตามกิเลสตัณหาทางเนื้อหนัง เมื่อตะกี้นี้ที่เราหนุนใจกัน ซึ่งในหนังสือกาลาเทีย บทที่ 5 ได้เขียนไว้ชัดเจนว่าจงดำเนินชีวิตด้วยพระวิญญาณที่อยู่ภายใน อย่าสนองกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง

        กาลาเทีย 5:16-17 “ดังนั้น ข้าพเจ้าขอบอกว่าจงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ อย่าสนองตัณหาของวิสัยบาป เพราะตัณหาของวิสัยบาป ขัดกับพระวิญญาณ และพระวิญญาณ ขัดกับวิสัยบาป ทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน สิ่งที่ท่านอยากทำ จึงไม่ได้ทำ”

            “เนื้อหนัง” ในที่นี้ พอพูดปุ๊บ จำไว้เลยว่าระบบของโลกนี้ มันคือศัตรู มันไม่ใช่ตัวท่าน มันคือตัณหาของวิสัยบาป  ก็คือตัณหาของเนื้อหนัง  พูดอีกนัยหนึ่ง ให้เข้าใจได้ง่าย ก็คือตัณหาของเนื้อหนัง คือความอยากได้  อยากเป็น อยากมี ในสิ่งที่ตนเองต้องการ หรือความไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น ไม่อยากมีในสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการ นึกออกไหม? มีอยู่แค่ 2 อันแค่นี้เอง  ทั้งหมดเลยที่ตะกี้นี้ว่ามา 3 หัวข้อหลักของกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง  สรุปมาได้แค่ 2 ข้อว่ามันทำแค่นี้ ทำให้มนุษย์เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้น กระตุ้นให้ทั้งคนที่เชื่อและไม่เชื่อ โดยกระตุ้นอย่างนี้ทั้งหมด คือความอยากได้ อยากเป็น อยากมีในสิ่งที่ตนเองต้องการ  ในสิ่งที่เราอยากได้ เราต้องการ  หรือความไม่อยากได้ ไม่อยากเป็น ไม่อยากมีในสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการ  อันนี้เข้าใจยากนิดหนึ่ง เราไม่ต้องการอะไร? เราป่วยเป็นมะเร็ง เราก็ไม่อยากได้ อยากจะแข็งแรง นี่แหละ รวมความแล้ว ก็คือความไม่มีความพึงพอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ เป็นอยู่นั่นเอง

            ความพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมให้เราเรียบร้อยแล้ว ในวินาทีนี้ ในขณะนี้ เราพอใจไหม? ถ้าเราพอใจ นั่นแหละ คือน้ำพระทัยพระเจ้า ถ้าเราพอใจ นั่นแหละ เราไม่ถูกหลอกด้วยกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ถ้าเราไม่พอใจเมื่อไร? นั่นแหละ เริ่มต้นถูกหลอกแล้ว  ถูกหลอกเพราะอะไร? เพราะตัวเราเอง ไม่ใช่ ตัวข้างในเราพึงพอใจในตัวเราเองที่เป็นอยู่แล้ว อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในความสว่าง แต่มันเป็นการล่อลวง จากกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง ภายนอก

            “กิเลสตัณหาที่อยู่ในโลกนี้ อยู่ภายนอกตัวเรา”

            ต้องจดจำความจริงให้แม่นเลย  เพื่อจะได้ไม่ถูกหลอก บางคนถูกหลอกว่ามาจากพระเจ้า เลยเละเลย เลยไม่รู้ว่าศัตรูเรา คือใคร? นึกว่ามาจากพระเจ้าทำให้เราเป็นอย่างนี้ วิงวอนขอจากพระเจ้าให้เราหลุดพ้นจากสิ่งพวกนี้ มันก็ไม่หลุดสักที ก็เพราะว่าเราไม่รู้ศัตรูตัวจริง ศัตรูมันแอบอยู่ ยุยง เป็นเหตุให้เราทำบาป  ก็คือมันนั่นแหละ แล้วมันก็บอกว่าที่เราทำ เพราะตัวเราอยากทำเอง เห็นไหม? แค่นี้ไม่พอ หมัดที่ 2 บอกว่า “พระเจ้าเป็นคนล่อลวงให้แกทำ” กล่าวหาพระเจ้าอีก  แล้วก็บอกว่าพระเจ้าไม่ชอบ พระเจ้าเขี่ยแกทิ้งแล้ว เราก็รู้สึกฟ้องผิด แย่แล้ว ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์แล้ว ตกสวรรค์ไปแล้ว  ไม่ได้รับความรอดแน่ๆ เลย ตายไป แทนที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์ ไม่ได้รับแล้ว จะรอดหรือเปล่าหนอ นี่ไง เราถูกหลอกด้วยศัตรูมันยุแหย่ ยุยงให้เราตีกันเองกับพวกเรา พี่น้องคริสเตียนด้วยกัน หรือมนุษย์ด้วยกัน แล้วไปตีกันเองกับพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายในเรา ซึ่งรักเรามากเหลือเกิน มาก ดังแก้วตาดวงใจ ข้อต่อไป 1 ยอห์น 2:17 …

        1 ยอห์น 2:17 “โลก​และ​กิเลส​ของ​โลก ​ก็​กำลัง​ล่วงลับ​ไป แต่​ผู้​ที่​กระทำ​ตาม​ความ​ประสงค์​ของ​พระ​เจ้า ​จะ​ดำรง​อยู่​ตลอด​ไป”

            พูดง่ายๆ คืออย่าให้มันหลอก ให้เราไปยึดติดกับสิ่งเหล่านั้น อยากได้สิ่งเหล่านั้น มันอยู่ชั่วคราว มันเอามาหลอกและล่อเรา อีกไม่นาน มันก็สูญสิ้นไปแล้ว เหมือนที่มันหลอกล่อพระเยซู นำพระเยซูขึ้นไป บอกว่า …

            “ทรัพย์สินทั้งหมดบนโลกใบนี้ สิทธิอำนาจในโลกใบนี้เป็นของเรา เราจะมอบให้ใครก็ได้  เพราะฉะนั้น ถ้าท่านกราบไหว้เรา” ซาตานทดลองพระเยซู “เราจะให้ท่านสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด”

            พระเยซูบอก “ไปให้พ้น”

            จะให้สิทธิอำนาจบนโลกใบนี้ ทรัพย์สินบนโลกใบนี้ทั้งหมด ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันอยู่ชั่วคราว แป๊บเดียว เดี๋ยวมันก็ไปแล้ว โลกและกิเลสของโลก กำลังล่วงลับไป  อิทธิพลเหล่านี้กำลังหมดไป  กำลังจบสิ้นไป อดทน นิดเดียวเท่านั้นเอง

            ยอห์นสรุปในที่นี้นะ เพราะฉะนั้น พี่น้องที่เป็นคริสเตียนทั้งหลาย อย่าถูกล่อลวงให้แสวงหาสิ่งของที่อยู่บนโลกใบนี้ มันหมายถึงอย่างนี้  ไม่ได้มาสั่งให้เราบอกว่าท่านทั้งหลายอย่าทำนะ  เพราะอาจารย์ยอห์นรู้ว่าภายในท่าน ไม่ได้เป็นคนอย่างนั้นอยู่แล้ว ท่านจะถูกล่อลวง มันไม่ได้มาจากตัวท่าน  มันมาจากข้างนอก  เพราะฉะนั้น พี่น้องอย่าถูกล่อลวงให้แสวงหาสิ่งของที่อยู่บนโลกนี้ เพราะมันอยู่ไม่ได้นาน มันเป็นของไม่จีรังยั่งยืน  พูดง่ายๆ เดี๋ยวมันก็ล่วงลับไปแล้ว

            อย่าถูกล่อลวงให้แสวงหาสิ่งของที่อยู่บนโลกใบนี้ โดยผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และความคิดของท่าน ที่ถูกปลุกเร้าและต้องการจนเสียความสมดุลตามธรรมชาติที่ควรจะเป็น มันเสียสมดุลไป เช่น …

            ควรจะพอใจในสุขภาพร่างกายเท่าที่สามารถทำได้ ก็ไม่พอใจอีก อยากจะแข็งแรงกว่านี้ มันก็ทุกข์สิ นึกภาพให้ดีๆ แทนที่จะยอมรับ และรู้ว่านี่คือความจริง พระคัมภีร์ก็บอกไว้อย่างนั้นว่ากายภายนอกของเราจะต้องทรุดโทรมไป  เราก็ไม่ยอมให้มันทรุดโทรม ไม่ให้ทรุดโทรมมันก็โอเค ออกกำลังกาย ก็ว่ากันไปตามเหตุและผล ตามความพอเหมาะ ไม่ใช่ไปแสวงหาแบบจิ๋นซีฮ่องเต้ หายาอายุวัฒนะอะไรที่มันแปลกประหลาด ที่มันมากเกินเลย มันทำลายความสมดุลของเราตะกี้นี้ ก็คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของโลกนี้ มันยุแยงให้มนุษย์ทำอะไรก็ตามที่มันเกินไป หรือไม่ก็น้อยเกินไป หาอายุวัฒนะอะไรแปลกประหลาดเกินเลย มันทำลายสมดุลของเราตะกี้นี้ ก็คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังของโลก ยุยงให้มนุษย์ทำอะไรก็ตามที่มันมากเกินไป หรือน้อยเกินไป ไม่พอดี

            ควรจะพอใจในการกิน การอยู่ และทรัพย์สินเงินทองเท่าที่สามารถทำได้ ตามที่พระเจ้าประทานให้ พระเจ้าได้ทรงประทานกำลัง ควรจะพอใจ ก็แค่นั้นแหละ  เราขอบคุณพระเจ้า ขยันทำงาน ทำมาหากิน แต่ไม่เว่อร์ ถึงกับโลภ …

            “ปีหน้าฉันต้องได้อย่างนี้ ปีต่อไป ฉันต้องได้มากกว่านี้ ฉันจะต้องร่ำรวยเหมือนคนนี้ๆ”

            นี่แหละความไม่สมดุล ไม่มีความพอใจในสิ่งที่ตนเองมี ก็เกิดความทุกข์

            ควรพอใจในคำสรรเสริญเยินยอ ตามสถานะในสังคม ที่ผู้คนยกย่อง ตามความเป็นจริง ไม่เกินไปหรือขาดไป  ขาดไปอย่างไร? เกินไปเรารู้อยู่แล้ว เกิดความมั่นใจ เกิดความเย่อหยิ่ง แต่ขาดไป คือเกิดความไม่มั่นใจในตัวเอง ฟ้องผิดในตัวเอง ถล่มตัวเองอยู่ตลอดเวลา …

            “ฉันมันเลวๆ”

            นึกออกไหม? ตำหนิตัวเองอยู่ร่ำไปตลอดเวลา  … “ลูกมันแย่อย่างนั้น” อย่างนี้ก็เกินไป  ไม่มีความพึงพอใจ แต่ให้เรามีความพอใจในสถานะนั้น ที่พระเจ้าได้ให้เราเป็นอยู่ในขณะนั้น ไม่ว่ากำลังถูกคนเขานินทา ลบหลู่เกียรติ หรือกำลังยกย่องเราก็ตาม เราก็รับได้ สมดุล บางคนก็ขาดความสมดุล ยกตัวอย่างเช่น คนมาชมเรา …

            “ไม่หรอก ไม่ ขอบคุณพระเจ้าๆ”

            บางครั้งมันก็เว่อร์ไป อย่างนี้ คิดให้ดีๆ พอมันเว่อร์ไป ในที่สุด มันตกขอบ พอตกขอบ มันไม่มีตรงกลาง มันก็คือบาปนั่นเอง  เพราะว่าในโลกวิญญาณ ในสวรรค์ที่เราอยู่อาศัยกับพระเจ้าเรียบร้อยแล้วในขณะนี้ มันอยู่นิรันดร์ แต่สิ่งของที่อยู่บนโลก ที่บอกให้เราพึงพอใจนั้น มันอยู่เพียงชั่วคราว เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว เราควรจะพึงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ที่พระเจ้าให้เราเป็นอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ เพราะมันอยู่แค่แป๊บเดียว ไม่ว่าอะไรก็ตาม มันอยู่แค่แป๊บเดียว ถ้าเขาจะสรรเสริญเยินยอเรา มันก็อยู่แค่แป๊บเดียว ไม่ว่าเขาจะติฉินนินทาเรา มันก็อยู่แค่แป๊บเดียว ไม่ว่าเราจะเจ็บป่วยขนาดไหน? มันก็อยู่แค่แป๊บเดียว ไม่ว่าเราจะแข็งแรงเท่าไร? มันก็อยู่แค่แป๊บเดียว เพราะโลกนี้อยู่ในการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทุกวินาที ไปสู่ความสูญสิ้น แต่ในโลกวิญญาณที่เราอยู่แล้ว ในสวรรค์ ในวิญญาณเรา ในพระคริสต์นั้น มันอยู่ถาวรนิรันดร์ ตลอดไปเป็นนิตย์  เพราะฉะนั้น เราควรจะจดจ่อชีวิตเราไปอยู่ที่ไหน? อาจารย์ยอห์นกำลังจะชี้ให้เราเห็นถึงสถานะทางโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเป็นอย่างนี้นะ อย่ามองในสิ่งที่มองเห็นได้บนโลกใบนี้ เพราะมันอยู่เพียงชั่วคราว แต่จงมองไปในสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะมันอยู่นิรันดร์  สิ่งที่มองไม่เห็น คืออะไร? ก็คือสวรรคสถาน คือพระคริสต์ ที่เราได้อาศัยอยู่แล้ว

            พระเยซูตรัสว่าให้เราแสวงหาสิ่งของที่อยู่ในสวรรค์ ให้เราแสวงหา ไม่ใช่หมายถึงให้เราไปค้นคว้าหา     แต่ให้จดจ่อ    ให้ความสนใจกับทรัพย์สินที่เรามีอยู่แล้ว       ที่พระเจ้าให้เราเรียบร้อยแล้วในโลกฝ่ายวิญญาณที่มันเหลือล้นมากเลย  พระพรนานัปการให้เราเรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์ ในสวรรคสถาน ในขณะนี้ เรียบร้อยไปแล้ว

            “แต่ผู้ที่ทำตามความประสงค์ของพระเจ้าจะดำรงอยู่ตลอดไป” ในข้อนี้ พระเยซูบอกว่าอย่างไร? คนไหนที่ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า จะดำรงอยู่ตลอดไป บางคนก็คิดว่านี่กำลังจะบอกว่าถ้าใครทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ก็จะดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิจ ก็จะได้รับความรอดจนถึงนิรันดร์

            มันไม่ใช่อย่างนั้น ตะกี้เราคุยกันแล้วว่าดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อาจจะถูกล่อลวงให้ทำผิด ทำพลาดไป  ไม่ได้ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าสักหน่อย นึกออกไหม? แต่ทำตามการถูกล่อลวงด้วยกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง แล้วตรงนี้หมายถึงอะไร? “แต่ผู้ที่กระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า” ตอนที่พระเยซูประกาศข่าวประเสริฐ เดินอยู่บนโลกใบนี้ มีคนมาถามพระเยซู …

            “แล้วต้องทำอย่างไร? ต้องทำอะไรตามพระประสงค์ของพระเจ้าบ้าง? กิจการงานอะไรที่ควรจะทำบ้าง? เพื่อว่าจะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า จะได้ดำรงอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า”

            พระเยซูเปลี่ยนคำว่า “การงานต่างๆ” อะไรบ้างหลายอย่าง เปลี่ยนเป็นเอกพจน์ คืออย่างเดียวเท่านั้น พระประสงค์อย่างเดียวเท่านั้นที่พระเจ้าต้องการให้ท่านทำ เพื่อที่ท่านจะดำรงอยู่เป็นนิจกับพระองค์ คือวางใจในเรา ผู้ที่พระองค์ทรงส่งมา คือวางใจในพระเยซู พูดง่ายๆ ตรงนี้ คือแต่ผู้ที่วางใจในพระเยซูคริสต์จะดำรงอยู่ตลอดไป เอเมน อาจารย์ยอห์นกำลังจะพูดอย่างนี้

            ถ้าคนเข้าใจผิดตรงนี้ เอาไปพูดบอกว่าเพราะฉะนั้น ต้องทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า คิดสิ จะทำอะไรที่ต้องคิด ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ตามปุ๊บ ก็ไม่ดำรงอยู่กับพระเจ้าเป็นนิจ ก็อาจจะไม่ได้ไปสวรรค์นะ เป็นคริสเตียน พลาดไปทำบาป พลาดไปโกหก ใช่น้ำพระทัยพระเจ้าไหม? ไม่ใช่ พลาดไปโลภ โลภเป็นน้ำพระทัยพระเจ้าไหม? ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น ไม่รอดแน่ เห็นไหม? ถูกหลอกอีกแล้ว แต่น้ำพระทัยพระเจ้า ก็คือวางใจในพระเยซูคริสต์เท่านั้น  ประตูเปิดให้ทุกอย่างเรียบร้อย พระเจ้าต้องการแค่นี้  ไม่ต้องคิดอะไรมากเลย เธอมนุษย์คนหนึ่ง ต้องการเพียงแค่วางใจในพระเยซูคริสต์ ที่เหลือพระเจ้าทำหมด

            พอวางใจในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ได้บังเกิดใหม่ ได้รับเข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้านิรันดร์กาลเรียบร้อยเลย เรียกว่าความรอดนิรันดร์ ชัดเจน …

        1 ยอห์น 2:18 “ลูกที่รัก บัดนี้ เป็นวาระสุดท้ายแล้ว และตามที่ท่านได้ยินมาว่าปฏิปักษ์ของพระคริสต์กำลังมานั้น แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้ ปฏิปักษ์พระคริสต์ ก็มีมามากมายแล้ว ด้วยเหตุนี้ เราจึงรู้ว่านี่คือวาระสุดท้าย”

            “วาระสุดท้าย” คือวันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาพิพากษาโลก วาระสุดท้าย หรือยุคสุดท้าย ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาพิพากษาเร็วๆ นี้ กำลังชี้ให้เห็นอะไร? ยอห์น คืออัครทูต ในสมัย 2,000 ปีก่อน เขียนถึงคริสเตียนอย่างนี้  เพราะว่าอัครทูตเป็นผู้ที่ใกล้ชิดพระเจ้าที่สุดแล้ว อัครทูตเหล่านี้ ก็ยังไม่รู้เลยว่าพระเยซูจะกลับมาเมื่อไร? เขาและพวกยังคิดว่าพระเยซูกำลังจะกลับมาเร็วๆ นี้ หมายถึงเมื่อ 2,000 ปีก่อน อาจจะมาอีก 10 วันมั้ง พระเยซูสัญญาว่าจะกลับมาอีกทีหนึ่ง ตอนที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย และอยู่กับเขา 40 วัน เขารู้ไหมว่าอยู่อีก 40 วัน เขาไม่รู้หรอก  แต่เขารอตามที่พระเยซูสั่งให้รอ ก็รอ รอไปแค่ 10 วัน พระเยซูกลับมาแล้ว วันเพ็นเตคอส เขาก็นึกว่าหลังจากวันเพ็นเตคอส พระเยซูอยู่ด้วยกันกับเขา แล้วก็บอกว่าจะกลับมาอีกทีหนึ่ง เขาก็คิดว่ารออีกไม่นาน คงกลับมาแน่ เขาก็คิดว่ากลับมาในยุคที่เขามีชีวิตอยู่นั่นแหละ นึกออกไหม? แม้กระทั่งอัครทูตยังไม่รู้เลย พระเยซูก็บอกว่าพระองค์ก็ไม่รู้ว่าวันสุดท้าย หรือวันที่พระองค์จะกลับมาใหม่นั้นเป็นวันใด? โมงใด? ไม่มีใครรู้ พระบุตรเองก็ไม่รู้ แต่มีมนุษย์ทั้งหลาย พยายามอยากรู้มาตลอด เขียนหนังสือบ้าง? บรรยายบ้างว่าจะกลับมาวันนั้น วันนี้ พระคัมภีร์เขียนไว้อย่างนั้น ในหนังสือวิวรณ์เขียนบอกอีก อย่างนั้นอย่างนี้ พยายามบอกทุกอย่าง ตรวจต่างๆ แล้วบอกว่าจะมาวันนั้น แล้วไม่มาสักที เช่นเดียวกัน วาระสุดท้ายตรงนี้ ก็หมายถึงเขาคิดว่าจะมาในวาระสุดท้าย คือวันนั้น

            และคำว่า “ตามที่ท่านได้ยินมาว่าปฏิปักษ์ของพระคริสต์ จะมาในวาระสุดท้ายนั้น”

            และที่เข้าใจผิดอีกคำหนึ่ง ก็คือ “ตามที่ท่านได้ยินมาว่าปฏิปักษ์ของพระคริสต์ หรือแอนตี้ไครซ์” ก็หมายถึงมาร ซึ่งเป็นศัตรู มารซึ่งเป็นปฏิปักษ์ของพระคริสต์ แม้กระทั่งเดี๋ยวนี้  ปฏิปักษ์พระคริสต์มีมามากมาย  เหตุนี้ เราจึงรู้ว่านี่คือวาระสุดท้าย  หมายถึงอะไร? คนก็เข้าใจผิด นึกว่าวาระสุดท้าย คือมีคนอ้างตัวเองว่าเป็นพระเยซูเยอะแยะ มาทำอัศจรรย์ หลอกล่อคน มันไม่ใช่หมายถึงอย่างนั้นเลย  นึกย้อนไป 2,000 ปีก่อน อาจารย์ยอห์นกำลังจะบอกว่ามารซึ่งเป็นศัตรู เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์ ต่อข่าวดีของพระคริสต์ ถึงเรียกว่าปฏิปักษ์พระคริสต์

            ข่าวดีของพระคริสต์ คือพระเจ้าจะส่งพระบุตรของพระองค์ลงมา  เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทั้งปวง  มารเป็นศัตรู เป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์  ต่อข่าวดีของพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนปฐมกาลแล้ว พระคัมภีร์บันทึกไว้มารตกกระป๋องมา  ก็เพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อพระคริสต์  เป็นศัตรูต่อพระคริสต์ ตั้งแต่ตอนสมัยที่ยังไม่ได้เป็นมาร เป็นลูซีเฟอร์อยู่ แล้วมาถึงตอนนี้ แผนการของพระเจ้าที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด คือส่งพระมาซีฮาห์มา มารก็ต่อต้านพระมาซีฮาห์ ต่อต้านพระคริสต์มาตั้งแต่ปฐมกาลแล้ว เรื่อยมา แล้วจะมาเร่งการงานของมันมากขึ้น ในยุคสุดท้ายนี้ มันหมายถึงอย่างนั้น ในยุคสุดท้าย วาระสุดท้าย มันจะมีมากมายขึ้น คือกระทำการงานผ่านทางคนมากมาย เพราะว่ามันจะหมดเวลาของมันแล้ว  ก่อนที่จะสิ้นสุดโลกใบนี้ ก็คือในยุคสุดท้าย ก่อนที่พระเยซูจะกลับมาพิพากษาโลกใบนี้  ก่อนที่มันจะถูกพิพากษาลงโทษ โยนลงไปในบึงไฟนรกนิรันดร์นั่นเอง มันก็เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของมันแล้ว มันหมายถึงอย่างนั้น และก่อนที่มันจะสิ้นสุดโอกาสในการที่จะล่อลวงมนุษย์ให้หลงผิด เชื่อในความเท็จของมัน  โดยการปิดบังตามนุษย์ไม่ให้มนุษย์เห็นความจริงในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ มารก็เร่งการงานมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งรู้ว่าใกล้วันเท่าไร ก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ  พูดง่ายๆ มีคริสเตียนมากขึ้นเรื่อยๆ มารมันก็ทำงานผ่านทางคนนี่แหละ ผ่านทางมนุษย์นี่แหละ ในการบิดเบือนข่าวประเสริฐ จึงเป็นการเตือนจากอาจารย์ยอห์นให้คริสเตียน ที่อยู่ในชุมชนคริสเตียน อยู่ในคริสตจักรขณะนั้น เกี่ยวกับการปรากฏตัวของปฏิปักษ์พระคริสต์ ซึ่งเป็นบุคคลหรือกลุ่มคนที่ต่อต้านพระคริสต์  และคำสอนของพระองค์ในเรื่องเกี่ยวกับข่าวประเสริฐ แค่นี้เอง ซึ่งคือใคร? ในบริบทนี้ ยอห์นกำลังเตือนสติให้ระวังผู้ที่พยายามหลอกลวง เบี่ยงเบนความเชื่อของพวกเขาคริสเตียนที่แท้จริง

            จำได้ไหม บทที่ 1 เราได้เรียนรู้แล้วว่ามีคนที่อ้างตัวเองว่าเป็นคริสเตียน แต่ไม่ใช่คริสเตียน แล้วได้มาอยู่ในท่ามกลางเหล่าคริสเตียน  แล้วก็มาสอนอะไรที่ผิดๆ ก็คือมาต่อต้านพระคริสต์ ยอห์นใช้คำว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ เพื่อที่จะบ่งบอกถึงผู้ที่ปฏิเสธว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์ พยายามบิดเบือนความจริงของข่าวประเสริฐ ในเรื่องเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระมาซีฮาห์ คือปฏิเสธพระเยซูว่าเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อช่วยคนบาป ได้บันทึกแล้วก็เขียนถึงคนเหล่านี้ ใน 1 ยอห์น 2:22 …

        1 ยอห์น 2:22 “ใครเล่าคือคนโกหก ก็คือคนที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์  คนเช่นนี้แหละ คือปฏิปักษ์ของพระคริสต์ เขาปฏิเสธพระบิดาและพระบุตร”

            นี่แหละปฏิปักษ์พระคริสต์ คือคนที่โกหก ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ เป็นพระมาซีฮาห์  เป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่พระเจ้าเตรียมไว้  ปฏิปักษ์ของพระคริสต์ในบริบทนี้ จึงหมายถึงบุคคลที่ปฏิเสธพระมาซีฮาห์ พระคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งมีมากมาย นับไม่ถ้วนในโลกนี้ ไม่ได้หมายถึงบุคคลที่ตั้งตนเอง หรืออุปโลกน์ตัวเองว่า …

            “ฉันเป็นพระเยซูมาเกิด ฉันคือพระเยซูเสด็จกลับมาครั้งที่ 2 แล้ว” คนละเรื่อง

        1 ยอห์น 2:19  “พวกเขาออกไปจากพวกเรา แต่ที่จริงแล้ว เขาไม่ใช่พวกเรา เพราะถ้าใช่ เขาก็คงอยู่กับเราต่อไป แต่การที่เขาจากไป แสดงว่าในพวกเขา ไม่มีสักคนเดียว ที่เป็นพวกเรา”

            คนที่เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์เหล่านี้ อยู่ในชุมชนของคริสเตียนแท้ ในขณะนั้น ทุกวันนี้ก็มีอยู่ ดูเหมือนคริสเตียน แต่ไม่ใช่  เพราะว่าเขาปฏิเสธพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระมาซีฮาห์ แต่เขาอ้างตัวเองว่าเป็นคริสเตียนเหมือนกัน และพยายามสอน แนะนำความเชื่อที่แตกต่าง ที่เป็นความเชื่อที่ปฏิเสธข่าวดีแห่งพระคุณ ก็คือข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ในหลายๆ รูปแบบ เช่น พวกนอสซีส ที่พูดไว้ตั้งแต่ 1 ยอห์น บทที่ 1 แล้ว ก็คือ …

            “เธอรับเชื่อพระเจ้าหรือยัง?”

            “รับเชื่อแล้ว”

            “เธอเป็นคริสเตียนหรือยัง?”

            “ฉันก็เป็นคริสเตียน มาเชื่อพระเจ้าแล้วเหมือนกัน แต่ฉันจะบอกให้นะ ยังไม่พอหรอก เธอต้องเพิ่มความรู้ เพิ่มพิธีกรรม เพิ่มโน่น เพิ่มนี่ ต้องเชื่อตรงโน้นด้วย เชื่อตรงนี้ด้วย พระเยซูไม่ได้เป็นพระเจ้าจริงหรอก  แต่ฉันรู้ว่าพระเยซูเป็นผู้เผยพระวจนะ”

            หรือไม่ก็ “พระเยซูเป็นพระเจ้าจริง แต่ไม่ได้เป็นมนุษย์หรอก จะบอกให้” อะไรอย่างนี้

            ซึ่งปัจจุบันก็มีอย่างนี้แหละ ลักษณะเดียวกัน ซึ่งปฏิปักษ์ของพระคริสต์เหล่านี้ ไม่ได้สามัคคีธรรม ทางวิญญาณกับคริสเตียนเลย ไม่ได้เกิดใหม่  ไม่ได้บัพติศมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เป็นหนึ่งเดียวกันกับเราทางวิญญาณ  พูดง่ายๆ ไม่รู้จักพระเยซูคริสต์ทางวิญญาณเลย ถ้าเขารู้จักพระเยซูคริสต์ทางวิญญาณ เขาจะต้องเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปของฉันที่เป็นคนบาป และไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ทั้งโลกที่เป็นคนบาป และทำบาป ตรงนี้เป็นหัวใจของข่าวประเสริฐแห่งพระคุณของพระเจ้า สำคัญที่สุด

            และอาจารย์ยอห์นบอกว่าพวกคนเหล่านี้ ที่เขาปฏิเสธพระเยซูคริสต์ เขาไม่รู้ตัวว่าเขาเป็นปฏิปักษ์กับพระคริสต์แล้ว เป็นแอนตี้ไครซ์ ก็มีเยอะแยะมากมายไปหมดเลย มาในรูปแบบของบุคคลเอย เป็นคณะ เป็นคำสอนอะไรต่างๆ เยอะแยะ ปัจจุบันก็มีเยอะแยะ  เช่น บอกว่าพระเยซูไม่ใช่พระเจ้าอันดับหนึ่ง พระเจ้าอันดับหนึ่ง คือพระบิดา อะไรแบบนี้ ท่านต้องระวังไว้ให้ดี เหล่านี้ ก็คือปฏิปักษ์พระคริสต์ ซึ่งมีเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด อาจารย์ยอห์นบอกว่านอกเสียจากว่าพวกเขาเหล่านี้ เมื่อได้ยินได้ฟังความจริงจากพวกเราที่เป็นคริสเตียนแท้ ที่อยู่ในคริสตจักรแล้ว ได้ยินคำประกาศของอาจารย์ยอห์นแล้ว ถ้าเขายอมรับความจริง แล้วเปลี่ยนความคิดจิตใจเขาเสียใหม่ กลับใจใหม่ มายอมสารภาพ มายอมจำนนว่าพระเยซูคริสต์นี้ เป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อคนบาปอย่างท่าน อย่างเรา มนุษย์ทุกคน ซึ่งเป็นคนบาป  และต้องการความช่วยเหลือ เขาจึงสามารถเข้ามาบัพติศมา ในพระเยซูคริสต์ มาเป็นคริสเตียนเหมือนเราได้  ที่เราได้เรียนรู้ไปใน 1 ยอห์น 1:9 ถ้าเขาสารภาพบาป เขาก็จะได้รับสิ่งเหล่านี้เหมือนกัน

            และในทุกวันนี้ ก็เช่นเดียวกัน ใครก็ตามที่ยอมรับ สารภาพ ยอมจำนนว่าตนเองเป็นคนบาปและทำบาป ต้องการการช่วยเหลือ และเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทุกคนให้รอดจากความบาป ชำระทุกคนด้วยพระโลหิตของพระองค์ได้ เขาก็จะได้กลายเป็นคริสเตียนแท้จริง เช่นเดียวกัน  พระเจ้าอวยพรครับ

*************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            คริสเตียน! ท่านได้บังเกิดใหม่ ได้มีชีวิตใหม่ ได้เป็นคนใหม่ ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

            จงหมั่นอดทนฝึกฝนธรรมชาติใหม่ของชีวิต ที่ได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ ด้วยความภาคภูมิใจให้สมกับที่ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ด้วยพระคุณและความเชื่อ

            ฟิลิปปี 2:12-13 … “12 ดังนั้น  ท่านที่รักตามที่ท่านเชื่อฟัง (คำแนะนำของข้าพเจ้า) มาโดยตลอด  ดังนั้นตอนนี้ไม่เพียงแต่ (ด้วยความกระตือรือร้นที่ท่านจะแสดง) ต่อหน้าข้าพเจ้า  แต่ยิ่งกว่านั้นอีกมาก  ในขณะที่ข้าพเจ้าไม่อยู่  จงหมั่นอดทนฝึกฝน (ไปให้ถึงเป้าหมาย และทำให้สมบูรณ์) ผลของความรอดของท่านเอง  ด้วยความรัก  เคารพยำเกรงพระเจ้า  13 (ไม่ใช่ด้วยกำลังของท่านเอง) เพราะเป็นพระเจ้าผู้ทรงทำงานอยู่ภายในตัวท่านตลอดเวลา (พระองค์ให้พลัง  และสร้างพลัง  และใส่ความปรารถนาภายในตัวท่าน) ให้ท่านเกิดความต้องการ  อีกทั้งเกิดการกระทำดี  ตามพระประสงค์ของพระองค์  เพื่อความพอใจและความปิติยินดีของพระองค์”

            ในฟีลิปปี 2:12  อาจารย์เปาโลพูดกับพี่น้องชาวฟิลิปปีว่า …  “พี่น้องที่รัก  ท่านเคยเชื่อฟังคำแนะนำของเรามาตลอด  ตอนที่ท่านต้อนรับข่าวดี ได้รับความรอดผ่านทางพระเยซูคริสต์ ได้รับการอภัยจากความบาปทั้งสิ้น และได้บังเกิดใหม่ ได้เป็นลูกของพระเจ้า สะอาด บริสุทธิ์แล้ว ท่านมีธรรมชาติใหม่ของพระเจ้าอยู่ในวิญญาณท่าน และท่านก็เชื่อตามที่เราบอกท่านไว้ ให้ท่านอดทน ฝึกฝน ให้ผลของธรรมชาติใหม่นี้ ได้ถูกสำแดงออกมา  โดยผ่านทางความช่วยเหลือของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ในท่าน  ตอนที่เราอยู่กับท่าน ท่านก็ฝึกฝนอยู่แล้ว  แต่ตอนนี้เราไม่ได้อยู่กับท่านแล้ว ขอให้พี่น้องมีความกระตือรือร้นฝึกฝนด้วยความอดทน ให้เป็นไปตามธรรมชาติการเป็นลูกของพระเจ้า  พระวิญญาณจะเป็นพี่เลี้ยงคอยฝึกฝน ให้กำลังความสามารถ สติปัญญากับท่านเอง  ให้ท่านพัฒนาธรรมชาติใหม่  ที่ท่านเป็นลูกพระเจ้า ให้หมั่นฝึกฝนพุ่งเป้าไปที่ความรอดที่ท่านได้แล้ว ให้ฝึกฝนให้ผลของความรอดออกมาในการดำเนินชีวิตในพระวิญญาณ  ฝึกฝนให้รู้ว่าอะไรคือเนื้อหนัง ที่เป็นศัตรูอยู่ตรงข้ามกับพระวิญญาณ  อะไรคือพระวิญญาณ  ฝึกฝนที่จะทำตามพระวิญญาณ ฝึกฝนที่จะปฏิเสธการกระทำตามเนื้อหนัง”

            เช่นพระวิญญาณที่อยู่ในเราแนะนำ พร้อมให้กำลังเรา  บอกเราว่าควรสำแดงความรักแทนความโกรธ  ฝึกฝนให้สันติสุขและความชื่นชมยินดีออกมา  ฝึกฝนคอยสังเกตว่าแต่ละวันเราเผชิญกับอะไรสถานการณ์ไหน  เราควรจะตอบสนองออกไปแบบไหนตามพระวิญญาณหรือตามเนื้อหนัง ผิดบ้างพลาดบ้าง นี่เป็นบทเรียน นี่คือการฝึกฝนของผู้เชื่อในแต่ละวัน  เพื่อเราจะได้สำแดงธรรมชาติใหม่ที่อยู่ภายในเรา ออกมามากขึ้นด้วยความรัก เคารพ ยำเกรง ให้เกียรติพระเจ้า พ่อของเรา

            คำว่า “ด้วยความเคารพยำเกรง ให้เกียรติพระเจ้า” หมายถึงพระเจ้าเป็นผู้ตั้งกฎและรักษากฎอย่างเคร่งครัดพระองค์ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด  ถ้าใครทำผิดกฎ  ก็จะถูกลงโทษ  คนที่ทำตามกฎที่พระเจ้าวางไว้  ถือว่าผู้นั้นให้ความเคารพยำเกรงพระองค์  ให้เกียรติกับกฎระเบียบที่พระเจ้าเป็นผู้ดูแลอยู่  ฉะนั้น การฝึกฝน เพื่อให้ความเคารพยำเกรงพระเจ้า  ฝึกฝนผลของพระคุณที่ทำให้ท่านรอด  ให้ท่านพ้นจากบาป  ทำให้ท่านเป็นขึ้นจากความตาย  เป็นลูกพระเจ้าแล้ว  ท่านควรจะทำตัวให้สมศักดิ์ศรีของการเป็นลูกของพระเจ้า ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเรา ฉายแสง สำแดงธรรมชาติตัวจริงภายในของเราที่บังเกิดใหม่แล้วนั้น ออกมาเป็นความประพฤติ

            ถ้าท่านทำดีตามพระวิญญาณนำ ท่านก็เก็บเกี่ยวผลจากพระวิญญาณ คือชีวิต ความชื่นชมยินดี สันติสุข

            แต่ถ้าท่านทำตามเนื้อหนัง ท่านก็เก็บเกี่ยวความตาย ความทุกข์ลำบาก

            ฉะนั้น ถ้าท่านฝึกฝนที่จะทำตามพระวิญญาณนำ ท่านก็ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ทำให้พระเจ้ามีความสุขด้วย แต่ถ้าท่านทำตามเนื้อหนัง ท่านก็จะได้รับผลในโลกนี้ คือความทุกข์ยากลำบาก ซึ่งทำให้พระเจ้า ผู้เป็นพ่อทุกข์ใจเสียใจ

            ในข้อ 13 บอกว่า … “พระเจ้าเป็นผู้กระทำการงานในท่าน ให้กำลังท่านจากข้างใน  ให้ท่านสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้”

            แปลว่าท่านแค่มอบถวายทุกส่วนในร่างกายของท่าน ให้กับพระเจ้าและพระเจ้าจะทรงเป็นผู้กระทำการงาน  ให้ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้สำแดงออกมาเอง โดยธรรมชาติที่เราเป็นอยู่ในขณะนี้  ขอบคุณพระเจ้า

            พระเจ้าพระบิดาผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด  ลูกขอบคุณพระองค์  สำหรับพระคุณความรัก  ความเมตตาที่ได้ทรงโปรดประทานให้กับลูก  ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรอด  การเป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรมของพระองค์ เป็นความรัก เป็นความสว่าง  เป็นสันติสุข  เป็นความชื่นชมยินดี  ขอบคุณที่พระองค์ประทานกำลังให้ผลเหล่านี้ ได้ถูกสำแดงออกมาจากชีวิตของลูก ลูกขอบคุณพระองค์ในพระนามพระเยซูคริสต์ อาเมน

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1481

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  สิงหาคม  2024

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 5 “ฉันรักคุณด้วยความรักของพระเจ้า”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอนที่ 5 “ฉันรักคุณด้วยความรักของพระเจ้า” เรายังอยู่ในหนังสือ 1 ยอห์น เป็นซีรี่ย์ยาวเลย ซึ่งเน้นเกี่ยวกับเรื่องความรัก ความรักชนิดที่ไม่ใช่ของโลกนี้ ความรักแบบอากาเป้ ความรักแบบที่เป็นของพระเจ้า  ซึ่งเกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ นอกจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์จะสำแดงให้เราได้รู้ ได้เข้าใจ ได้เห็นแล้ว ไม่มีทางที่เราจะได้เห็น  เป็นไปไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น อาจารย์ยอห์นจึงเขียนหนังสือนี้มาให้เราได้เข้าใจ เราได้รู้ถึงสถานะของเราในโลกวิญญาณว่าเมื่อเราเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้วอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างในโลกวิญญาณ ภายในตัวของเรา ซึ่งเป็นวิญญาณอยู่นี้ ไม่ได้มาเขียน เพื่อมาสอนศาสนาให้กับเราว่าให้เรามีศีลธรรมที่ดี ให้รักษากฎบัญญัติว่าไว้ให้รักษาความดีงามอะไรต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งเราเห็นว่ามันก็ดีอยู่แล้วในโลกใบนี้ มีคำสอนเยอะแยะมากมายต่างๆ ไม่ใช่เราต่อต้านความดีเหล่านั้น ไม่ใช่

            เรากำลังพูดถึงความเป็นจริงของหนังสือ 1 ยอห์น เขียนมา เรื่องเกี่ยวกับอะไร?  เพื่อเราจะได้รู้ เราจะได้เข้าใจ มิฉะนั้น เราจะไขว้เขว เราจะผิดเป้าหมาย  เราอ่านแล้ว เราจะไม่รู้เรื่อง หรืออ่านแล้ว ก็ตีความเป็นหนังสืออื่นทั่วๆ ไป เหมือนหนังสือความรู้เรื่องศีลธรรม ความดีงาม กฎระเบียบต่างๆ ของศาสนาต่างๆ เหล่านั้น การรักษาศีลธรรมอะไรต่างๆ เหล่านั้น เหมือนกับทั่วๆ ไปเขาสอนกัน มันก็ไม่ต่างอะไรกับเขาเลย แต่นี่ไม่ใช่ มันคือข่าวดีของพระเจ้า ที่เรียกว่าข่าวดีของพระคริสต์ ที่เรียกว่า “พระคุณ”

            พระคุณความดีงามของพระเจ้า เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการกระทำ การประพฤติ จะเน้นถึงเรื่องสถานะทางวิญญาณ เราไม่รู้ว่าทางวิญญาณเป็นอะไร? เปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน? แต่พระเจ้ากำลังสอนเรา โดยให้อาจารย์ยอห์นเขียนสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา เพื่อจะให้เรารู้ ถ้าเผื่อจะมาสอนแบบความประพฤติหรือการกระทำต่างๆ เหล่านั้น ไม่ต้องสอนก็ได้  มนุษย์รู้กันอยู่แล้ว มนุษย์รู้จักกฎ มนุษย์รู้จักระเบียบดี มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่กฎสมัยก่อนนี้ เรียกว่ากฎของโมเสส มนุษย์รู้มา จนกระทั่งเป็นหลัก เป็นรากฐานของกฎต่างๆ ศาสนาต่างๆ เขียนมาจากกฎเหล่านี้แหละ  พื้นฐานของโมเสสเหล่านี้ว่าอะไรดี อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ  ไม่ทำอย่างนี้ จนกระทั่งถึงกฎหมายระดับประเทศ ที่ดูแลกันอยู่ ก็มาจากกฎเหล่านี้ทั้งสิ้น อะไรดี อะไรไม่ดี ทำ โดนลงโทษอย่างนี้  เขาเรียกว่ากฎแห่งการกระทำ กฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งมันดี มันเหมาะสม สำหรับการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ แต่มันดีไม่พอ สำหรับชีวิตนิรันดร์

            ชีวิตนิรันดร์ คือเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ถูกไหม? ไม่อย่างนั้น เราจะเรียกชีวิตนิรันดร์ทำไม? ชีวิตนิรันดร์ คือเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ พระเจ้าเป็นวิญญาณ ฉะนั้น เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า เป็นเรื่องโลกวิญญาณทั้งสิ้น เอเมน  เราต้องเข้าใจเรื่องนี้ก่อน เราจึงจะเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าจะสอนเรา  ไม่อย่างนั้น เราก็จะมัวแต่คิดเหมือนเดิมว่าเรายังอยู่ในกฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำดีได้ดี มันต้องทำดีสิ ต้องพูดถึงการทำดี ซ้ำๆ ใช่อันนั้นอีกเรื่องหนึ่ง  แต่ตอนนี้เรากำลังเรียนเรื่องพระคัมภีร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องเกี่ยวกับหนังสือ 1 ยอห์น ยิ่งแทงทะลุไปในโลกวิญญาณ  มิฉะนั้น เราจะไม่เข้าใจ แล้วจะเข้าใจผิดด้วย  ไม่ใช่ไม่เข้าใจอย่างเดียว

            เราได้เรียนรู้มาถึง 4 ตอนแล้ว …

            ตอนที่ 1 เราให้เชื่อเรื่องว่า “พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า และยอมถ่อมลงมาเกิดในร่างมนุษย์จริงๆ” ซึ่งเรื่องนี้อยู่ในหนังสือ 1 ยอห์น 1:1-10 สรุปคร่าวๆ ก็คือเป็นเรื่องที่อาจารย์ยอห์นเขียนเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เกี่ยวกับผู้ที่เป็นคนที่อ้างว่าเป็นคริสเตียน อ้างว่าเขารู้จักพระเจ้าพระบิดาเหมือนกัน เขารู้จักพระเยซูเหมือนกัน เขาอยู่ในท่ามกลางคนที่เป็นคริสเตียน อยู่ในคริสตจักร ชุมชนของคริสเตียน  สมัยก่อนโน้น เขียนให้พวกเขา พวกเขาอ้างว่าอย่างนั้น  แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ อาจารย์ยอห์นบอกว่าไม่ใช่ เพราะในวิญญาณ เขาไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เขาไม่ได้ทำกันในฝ่ายวิญญาณกับพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เขาจึงไม่ได้สามัคคีธรรมกับวิญญาณของคริสเตียน ผู้เชื่อแท้ทั้งหลายที่มีสามัคคีธรรม เป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว

            อาจารย์ยอห์นรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้ ไม่ได้อยู่ในการสามัคคีธรรมทางฝ่ายวิญญาณกับคริสเตียนด้วยกัน กับพระเยซูคริสต์ ก็เพราะเขาปฏิเสธว่าเขาไม่ได้เป็นคนบาป เขาไม่ได้ทำบาป เขามีความเชื่อตามลัทธิเก่าของเขาว่าเขาเป็นคนไม่มีบาป ซึ่งเป็นหนึ่งข้อในเงื่อนไขของผู้ที่จะกลับใจใหม่มาเชื่อในพระเยซูคริสต์ แล้วบังเกิดใหม่ เข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ แสดงว่าเขาปฏิเสธความจริงที่พระเยซูคริสต์มาประกาศให้เขาฟัง ถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณว่ามนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และทำบาป จึงต้องการได้รับการช่วยเหลือ ให้พ้นจากความบาป  และเขายังปฏิเสธอีกว่าพระเยซูคริสต์ไม่ได้เป็นพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของข่าวประเสริฐว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าจริงๆ และได้มาเกิดในร่างกายมนุษย์ เป็นมนุษย์แท้ๆ เหมือนเรา มีเลือด มีเนื้อ มีความเจ็บปวด เหมือนเราจริงๆ นี่คือหัวข้อของข่าวประเสริฐ เห็นไหมเกี่ยวกับโลกวิญญาณเลย

            อาจารย์ยอห์นเลยเขียนจดหมายนี้มาเพื่อเป็นพยานบอกกับคนเหล่านี้ ที่เขาไม่รู้ความจริง เขาอ้างตัวว่าเขาเป็นคริสเตียนเหมือนกัน เขารู้จักพระบิดาเหมือนกัน แต่ปฏิเสธไม่ยอมรัรบว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าที่มาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น เขาไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป เขาจึงไม่ต้องการหมอ พระเยซูคริสต์เป็นหมอ มาเพื่อรักษาคนบาป อาจารย์ยอห์นจึงเขียนเป็นพยาน เริ่มต้นตั้งแต่บทที่ 1 เลย ว่าเขียนให้กับพวกคนเหล่านี้ ซึ่งก็คือไม่ใช่คริสเตียนแท้นั่นเอง อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน แต่จริงๆ ไม่ใช่คริสเตียน เป็นคริสเตียนจริงๆ นะ จะต้องรู้ จะต้องยอมรับสิ่งเหล่านี้ เราเป็นพยานได้ เรา คืออัครสาวกที่เดินกับพระเยซูคริสต์ตั้งแต่พระเยซูคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ เดินอยู่บนโลกใบนี้ สอนอยู่กับพวกเรา เดินอยู่กับพวกเรา 3 ปี แล้วเป็นขึ้นจากความตาย เห็นชัดๆ แล้วมาปรากฏให้กับเราอีก 40 วัน เดินอยู่กับเรา กินข้าวอยู่กับเรา เราได้แตะต้องพระองค์ ได้คุยกับพระองค์ ได้นอนกับพระองค์ ได้ซบอกพระองค์ ได้โอบกอดพระองค์ เห็นพระองค์ชัดๆ  พระองค์เป็นมนุษย์ และเป็นพระเจ้าจริงๆ  เป็นขึ้นจากความตายผู้เดียวเท่านั้น  ที่เป็นพระเจ้าได้จริงๆ เป็นพยานได้จริงๆ เป็นอย่างนี้ 

            เพราะฉะนั้น ผู้ใดเข้าใจความจริงนี้แล้ว ถ้าท่านยอมสารภาพตาม 1 ยอห์น 1:9 ซึ่งเป็นหัวใจของบทนี้ ถ้าท่านยอมรับสารภาพ ยอมจำนนกับความจริงเหล่านี้ว่าท่านเป็นคนบาป และทำบาป พระเยซูก็รักษาคำมั่นสัญญาของพระองค์ คือพระองค์ทรงชำระบาปให้กับท่านได้ ถ้าท่านยอมรับ ก็เข้ามารับสิทธิของท่านในพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงตายที่ไม้กางเขน เพื่อท่าน รับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเมซียาห์ ท่านก็จะได้รับความรอด คราวนี้ท่านก็จะได้เป็นคริสเตียนจริงๆ เข้ามาสามัคคีธรรมทางวิญญาณอย่างแท้จริงกับพวกเรา ก็คือพวกที่เป็นคริสเตียนแท้อยู่แล้ว ในพระเยซูคริสต์ นี่คือบทสรุปของบทที่ 1 ที่เราได้เรียนรู้ไป

            มา 1 ยอห์น บทที่ 2 เราก็เริ่มต้นด้วยตอนที่ 2 ให้ชื่อเรื่องว่า  “พระเจ้าลบบาปทั้งปวง ไม่ใช่เพียงบาปของคริสเตียนเท่านั้น  แต่บาปทั้งปวงของคนทั้งโลกด้วย 2,000 ปีมาแล้ว” นี่หัวข้อเรื่อง ซึ่งบรรยายจาก 1 ยอห์น 2:1-2 ในตอน 2 นั้น

        1 ยอห์น 2:1 “ลูกที่รักของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านเช่นนี้ เพื่อท่านจะไม่ทำบาป แต่ถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ ผู้ทูลแก้ต่างต่อพระบิดาเพื่อเราทั้งหลาย คือพระเยซูคริสต์ องค์ผู้ชอบธรรม”

            หัวใจตรงนี้ ที่สรุปให้ ก็คือ “ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านทั้งหลายเช่นนี้  เพื่อท่านจะไม่ทำบาป” เขียนอะไรมา เขียนถึงเรื่องเกี่ยวกับพระคุณของพระเจ้า คือข่าวประเสริฐของพระองค์ ในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ พระคุณของพระองค์ คือท่านเป็นคนบาป ท่านช่วยเหลือตัวเองไม่ได้หรอก พระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อท่าน หลั่งพระโลหิตเพื่อท่าน เพื่อให้ท่านได้เป็นคนใหม่  โดยไม่ต้องทำอะไร? ชำระบาปให้กับท่าน ลบบาปออกไปจากท่านทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ทั้งหมดเลย เรียบร้อยไปแล้ว  โดยท่านไม่ต้องประพฤติอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว เอเมน นี่คือพระคุณ เขียน อธิบายเรื่องพระคุณเหล่านี้ให้กับท่าน เราได้เรียนรู้เรื่องนี้แล้ว เพื่อท่านจะไม่ทำบาป  ไม่ใช่เขียนมา เพื่อให้ท่านรู้ว่าบาปในอดีตของท่านถูกลบล้างไปเรียบร้อยแล้ว  บาปปัจจุบันของท่านก็ถูกลบล้างไปเรียบร้อยแล้ว บาปที่ท่านกำลังจะทำในอนาคต พรุ่งนี้ มะรืนนี้  ก็ได้ถูกลบบาปนี้ออกไปเรียบร้อยแล้ว ลบออกไปจนถึงนิรันดร์เลย เรียบร้อยแล้ว ให้ท่านรู้เหล่านี้ เพื่อให้ท่านไปทำบาปหรือ? ไม่ใช่ เพื่อให้ท่านไม่ทำบาป ถ้าท่านรู้เรื่องเหล่านี้มากๆ ท่านจะไม่ทำบาป แต่มนุษย์ก็ไปคิดว่าถ้ารู้เรื่องเหล่านี้ ไปยุแหย่ให้เขาทำบาป ไม่ใช่ มันกลับกัน เห็นไหม?  ต้องเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ในโลกวิญญาณ แล้วมาถึงข้อ 2 บอกว่า …

        1 ยอห์น 2:2 “พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชา ลบบาปทั้งปวงของเราทั้งหลาย และไม่ใช่เพียงบาปทั้งปวงของเราเท่านั้น แต่บาปทั้งปวงของคนทั้งโลกด้วย”

            บาปทั้งปวง คือบาปทั้งในอดีต ตั้งแต่ก่อนเกิด อยู่ในอาดัม เชื้อบาปนั้น และหลังจากเกิด  จนกระทั่ง มาถึงก่อนที่ท่านจะเป็นคริสเตียน ทำบาปเท่าไร จนกระทั่งมาเชื่อแล้ว  ทำบาปอีกเท่าไร?  จนกระทั่งถึงวันนี้ และพรุ่งนี้ มะรืนนี้  ก่อนตาย ไปอีกกี่ปีไม่รู้ ท่านจะทำบาปอีกเท่าไร? ไม่รู้ มันได้ถูกลบล้างออกไปหมดแล้ว  จนกระทั่งวิญญาณท่านออกจากร่างไปเรียบร้อยแล้ว เรียกว่าตายจากโลกนี้ไปแล้ว วิญญาณท่านไปอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ก็ไม่มีบาปอะไรเลย แม้แต่นิดเดียว   เรียกว่าบาปในอนาคต   นิรันดร์ บาปเหล่านี้ได้ถูกลบออกไปเรียบร้อยแล้ว    โดยพระเยซูคริสต์    เป็นพยานยืนยันอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรคสถานในขณะนี้  เป็นทนายแก้ต่างให้กับท่าน ใช่เป็นอย่างนี้จริงๆ  รู้เหล่านี้ เพื่อท่านจะไม่ทำบาป คือไม่ถูกหลอกให้ทำบาป นั่นเอง

            และการทำอย่างนี้ ไม่ใช่เพียงบาปทั้งปวงของเราเท่านั้น คืออาจารย์ยอห์นกำลังพูดกับคนที่ยังไม่เป็นคริสเตียน ในบทที่ 1 ที่อ้างตัวเป็นคริสเตียนในบทที่ 2 เน้นถึงคนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ที่เชื่อในพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ยอห์นบอกว่าบาปทั้งหลายที่ได้ถูกยกนั้น ไม่ใช่เพียงบาปทั้งหลายทั้งปวงของเราเท่านั้น  “เรา” ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงเราที่เป็นคริสเตียน แต่เราในที่นี้ หมายถึงเราที่เป็นชาวยิว อาจารย์ยอห์นกำลังเขียนถึงผู้เชื่อและผู้ไม่เชื่อ ที่อ้างว่าเชื่อพระเจ้าแล้วนั้น ที่ส่วนใหญ่เป็นคนยิวทั้งนั้น คนยิวเหมือนกับอาจารย์ยอห์น อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่า “เรา” ชาวยิวด้วยกัน ที่เป็นคริสเตียนแล้ว บาปทั้งหลายทั้งปวงที่ถูกยก ไม่ใช่บาปของเราเท่านั้น ไม่ใช่ของชาวยิว เขานึกว่าพระเจ้าองค์นี้ มาช่วยคนยิวเท่านั้น ไม่ใช่ เพื่อคนต่างชาติ แต่อาจารย์ยอห์นบอกไม่ใช่ อย่าไปคิดอย่างนั้น อย่าไปเหยียดผิว เหยียดชาติอย่างนั้นว่าไม่ใช่ พระเยซูมาเพื่อยกบาปให้กับพวกเราทั้งหมดชาวยิว

            บาปทั้งหมด ต่างชาติ ใครก็ตาม หมดเลย ทั้งโลก ซึ่งมันไม่ใช่อัตโนมัติว่าจะได้รับทั้งหมดทุกคนอย่างนี้  ไม่ต้องทำอะไรเลย ไม่ใช่ ข่าวดีนี้เป็นพระคุณจริง ทำให้จริง ฟรีจริง  แต่คนๆ นั้น เมื่อได้ยินข่าวประเสริฐแล้ว ต้องทำสิ่งหนึ่ง ก็คือต้องสนองตอบ ต้องยอมรับว่ามันจริง ฉันจะเอา ฉันจะใช้สิทธิของฉัน แสดงเจตจำนง คือยอมเข้ามารับสิทธิ ตรงนี้ ที่เรียกว่าเปิดใจรับเชื่อนั่นเอง ข่าวประเสริฐประกาศไปเพื่อให้คนมาเชื่อและใช้สิทธิของเขา พอใช้สิทธิของเขา แล้วเขาก็เป็นคริสเตียน

            มาตอนที่ 3 ใช้หัวข้อเรื่องว่า “คริสเตียนเป็นความรัก เหมือนพระเยซูเป็นความรัก” จากหนังสือ 1 ยอห์น 2:3 ตอนที่ 3 ใช้ข้อเดียวเท่านั้นเอง …

        1 ยอห์น 2:3 “ถ้าเรารักษาพระบัญญัติของพระองค์ เราก็รู้ว่าเรารู้จักพระองค์”

            “ถ้าเรารักษาบัญญัติของพระองค์” เห็นไหมตอนแรกๆ ที่ผมบอก นึกถึงโลกวิญญาณ ความหมายอะไรเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ถ้าเราอ่านเฉยๆ ถ้าเรารักษาบัญญัติของพระองค์ เราก็นึกว่าถ้าเรารักษาศีลธรรม รักษากฎบัญญัติว่าอะไรทำ อะไรอย่าทำ อะไรไม่ควรทำ ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ขโมยของเขา ไม่พูดปด ไม่ผิดศีลธรรมทางเพศ  ไม่โกงเขา ไม่โลภ อะไรต่างๆ เหล่านี้ เราคิดถึงอย่างนั้น ใช่ไหม? นั่นแหละ คือที่ผมบอก  คือระบบของโลก ระบบของมนุษย์ที่เขาสอนกัน ไม่ได้เกี่ยวกับโลกวิญญาณ แต่ตรงนี้กำลังพูดถึงโลกวิญญาณ ถ้าเรารักษาบทบัญญัติของพระองค์

            บทบัญญัติของพระองค์ คือรักซึ่งกันและกัน ความรัก ซึ่งเป็นวิญญาณแห่งความรัก ถ้าเราเก็บรักษาตรงนี้ รู้ว่าภายในตัวเราเอง วิญญาณจริงๆ เราเป็นความรัก

            คำว่า “รักษา” ตรงนี้ ไม่ได้หมายถึงการกระทำ ความประพฤติ  แต่รักษาอยู่ในใจ เหมือนกับเรามีเงินทองอยู่ที่ใจของเรา รักษาไว้ให้ดีๆ  เหมือนกับคนไทยที่ชอบพูดว่า “ขวัญเอ๋ย อย่าหนีไปไหนนะ ขวัญเอ๋ยจงมา รักษาขวัญของตัวเองไว้ดีๆ” ขวัญข้างใน รักษาไว้ คือมันมีอยู่แล้ว ให้รักษาไว้ ให้สนใจ จดจ่ออยู่ที่มัน

            “ถ้าเรารักษาบัญญัติของพระองค์” บัญญัติของพระองค์ คำสั่งของพระองค์ คือจงรักซึ่งกันและกัน จากใจ รักษาความรักตรงนี้ไว้ “เราก็รู้ว่าเรารู้จักพระองค์” คือเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ บัพติศมา สามัคคีธรรมในวิญญาณกับพระองค์ รู้จักกัน รวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ก็คือเป็นคริสเตียนนั่นเอง

            พูดง่ายๆ ก็คือถ้าเรารู้ว่าเราเก็บรักษาถ้อยคำของพระองค์ ที่สั่งให้เรารักซึ่งกันและกัน อยู่ภายในวิญญาณของเรา ถ้าเรารู้ว่าวิญญาณของเราเป็นความรัก ถ้าเรารู้นะ ในใจของเรา เราก็จะรู้ว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ เราก็จะรู้ว่าเราสนิทสนม แล้วเรารู้ว่าเรารักพระองค์ ท่านลองคิดดูในใจตอนนี้ง่ายๆ ว่าท่านรักพระเยซูไหม? แค่นี้ เป็นตัวบ่งบอกว่าท่านเป็นคริสเตียนแท้ไหม? ท่านรักพระเยซู รักพี่น้องที่เป็นคริสเตียนด้วยหรือเปล่า? นึกออกใช่ไหม?  และท่านรักคนทั้งโลกไหม? ท่านเกลียดชัง หรืออาฆาตคนไหม?  นั่นแหละ คือการรักษาถ้อยคำของพระเจ้า  ที่อยู่ข้างใน รักถ้อยคำ บัญญัตินี้ ก็คือดำเนินชีวิตด้วยความรัก

            แล้วก็มาต่อตอนที่ 4 คริสเตียนแท้อาศัยอยู่ในพระคริสต์ ดำเนินชีวิตด้วยความรักของพระองค์ ข้อที่ 4 จาก 1 ยอห์น 2:4-6 ในหัวข้อนี้นะ  ข้อที่ 4 บันทึกไว้ว่า …

        1 ยอห์น 2:4 “ผู้ใดที่กล่าวว่า ‘ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์  แต่ไม่ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ ผู้นั้นเป็นคนโกหก และความจริงไม่ได้อยู่ในผู้นั้น”

            ถ้าไม่ได้เป็นคริสเตียน ข้างในใจจะไม่เป็นความจริงอยู่ในนั้น มีแต่ความโกหก หลอกลวง มีแต่ความเท็จ  แต่ถ้าเป็นคริสเตียนแท้จริง  ความจริงจะอยู่ในตัวเขา ความจริง คือถ้อยคำพระเจ้า พูดไว้เกี่ยวกับโลกวิญญาณว่าเป็นเช่นไร?  ความหมายในข้อนี้ คือผู้ใดที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน  แต่ไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้นะ แต่อ้างว่าตัวเองเป็นคนเชื่อในพระเยซู เชื่อในพระบิดาเช่นเดียวกันกับพวกท่านทั้งหลายที่เป็นคริสเตียน เราก็คริสเตียนเหมือนกัน เราก็เชื่อพระเจ้าเหมือนกัน  แต่คนนั้น ไม่ได้ดำเนินชีวิตในความรักในใจของเขา ต่อพี่น้องคริสเตียนด้วยกัน และต่อคนทั้งโลก ผู้นั้น ก็โกหกตัวเอง คือไม่ได้เป็นคริสเตียนแท้จริงนั่นเอง  แต่บอกว่าเป็น มันไม่ใช่ รู้อยู่ที่ไหน? รู้อยู่ในใจของเขา ในข้อที่ 5 ต่อมา บอกไว้อย่างนี้ …

        1 ยอห์น 2:5  “แต่ถ้าผู้ใดเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ ความรักของพระเจ้าก็เต็มบริบูรณ์อยู่ในผู้นั้น ด้วยวิธีนี้ เราจึงรู้ว่าเราอาศัยอยู่ในพระองค์”

            ในโลกวิญญาณตรงกันข้ามกันใช่ไหม? เห็นไหม? ที่ตะกี้ผมบอก สถานะผู้เชื่อกับผู้ไม่เชื่อ อยู่ต่างกัน อยู่คนละแห่งกัน อยู่คนละอาณาจักรกันทางโลกวิญญาณ อยู่คนละสภาพ แต่ถ้าผู้ใดเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ คนที่เป็นคริสเตียนแล้ว ความรักของพระเจ้า ก็เต็มบริบูรณ์อยู่ในผู้นั้น

            ความรักของพระเจ้าเต็มบริบูรณ์ เขาสร้างขึ้นมาหรือ? เปล่า พระเจ้าให้ความรักเต็มบริบูรณ์ คือความรักแบบอากาเป้ แบบพระเจ้า ด้วยวิธีนี้ เราจึงรู้ว่าเราอาศัยอยู่ในพระองค์ เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ คืออยู่ในพระคริสต์ คือเป็นคริสเตียนแท้ เพราะว่าความรักของพระเจ้าอยู่ในเรา เรารู้ได้อย่างไร? “ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ” เรียนรู้ไปแล้ว  เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราเป็นคริสเตียนที่บังเกิดใหม่ ได้อาศัยอยู่ในพระคริสต์แล้ว ตามข้อพระคัมภีร์เมื่อตะกี้นี้  ก็คือเราดำเนินชีวิตด้วยความรักของพระเจ้าท่วมท้นล้นอยู่ในใจของเรา ต่อผู้คนรอบข้าง รู้ได้อย่างไรว่ารัก “ข้ารู้ เพราะอยู่ในใจ” เราไม่ได้มาวัดกันที่ข้างนอกว่าความประพฤติคนนี้เป็นอย่างไร? แต่มันอยู่ข้างใน ตัวคนนั้นแหละจะรู้ และมันก็จะสำแดงออกมาเป็นการประพฤติทีหลัง รักและให้อภัยได้เสมอ ในใจ ในวิญญาณ  ไม่ได้เกี่ยวกับความประพฤติข้างนอก  รักและอภัยได้ทุกอย่างในใจ อภัยให้ได้ 70×7 ครั้ง ต่อหนึ่งความผิดของคนอื่น คืออภัยได้ตลอดเลย ในใจๆ แต่ความประพฤติตอนนี้ยังทำใจไม่ได้ เคยได้ยินไหม? ตอนนี้ยังทำใจไม่ได้ ความประพฤติมันคนละเรื่องกัน

            พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่สถิตอยู่ภายในจะค่อยๆ ฝึกฝนคริสเตียนคนนั้น ให้ปฏิบัติตามความเป็นจริงที่อยู่ในใจ ให้สมกับที่เป็นลูกของพระเจ้าที่เกิดใหม่แล้วในใจ ให้สมกับความรักนั้น ค่อยเป็นค่อยไป ฝึกฝนไปเรื่อยๆ เหมือนเด็กเกิดใหม่ ฝึกที่จะพลิกตัว แล้วฝึกที่จะคลาน แล้วฝึกที่จะเดิน แล้วฝึกที่จะวิ่ง  แล้วฝึกที่จะวิ่งเร็วขึ้น  แล้วฝึกที่จะปีนขึ้นบนที่สูง คล้ายๆ อย่างนั้น

            แล้วมาจบครั้งที่ 4 ครั้งที่แล้ว คือ 1 ยอห์น 2:6  …

        1 ยอห์น 2:6 “ผู้ใดที่อ้างว่าเขาอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นจะดำเนินชีวิตเหมือนที่พระองค์ ได้ดำเนินชีวิต”

            “ผู้ใดที่อ้างตัวว่าเขาอยู่ในพระองค์” ก็คือคนที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียน แต่ไม่ได้เป็น ถ้าเขาเป็นจริง ในนี้บอกว่าเขาจะดำเนินชีวิต เหมือนที่พระองค์ได้ดำเนินชีวิต คือดำเนินชีวิตในความรักแบบอากาเป้ คนนั้นจะรู้เอง อาจารย์ยอห์นจะให้พิจารณาดู คนเหล่านั้นที่เป็นคริสเตียนแท้หรือไม่แท้ ตัวเองพิจารณาตัวเองด้วย ขณะเดียวกัน เราสามารถพิจารณาคนอื่นได้ด้วย  คือคนนั้นดำเนินชีวิตด้วยความรักพระเจ้า รักคนทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียนก็ตาม  เหมือนที่พระเยซูรัก ไม่มีผิดเลย  เราสามารถสังเกตได้ คนนี้รักพระเจ้าจริงไหม?  รักพระเยซูไหม? สังเกตออกใช่ไหม? รู้ใช่ไหม? รักเหมือนพระเยซูไหม? พระเยซูรักคนทั้งโลก  คนนี้เขารักคนทั้งโลกไหม?  คนนี้ปฏิเสธพระคริสต์ไหม?  เกลียดชังคริสเตียน เกลียดชังพระเยซูคริสต์ไหม? อย่าพูดชื่อพระเยซูให้ได้ยินนะ ฉันเบื่อจะฟัง นั่นแหละ และเราล่ะ ตัวเราเอง อยากฟังเรื่องพระเยซูไหม?  เมื่อเราได้ยินว่าคนๆ นี้ได้รับความรอดในพระเยซูคริสต์ เราดีใจไหม? เมื่อเราไม่รู้จักกัน เราได้ยินว่าคนนี้มาเป็นคริสเตียน เราดีใจไหม? คนนี้เป็นคริสเตียน เป็นแท้หรือไม่แท้เราไม่รู้เลย แต่เขาเป็นคริสเตียนแล้ว เรารู้สึกกระดี๊กระด๊าน่าดูเลย นั่นแหละ การดำเนินชีวิตด้วยความรักเหมือนพระเยซู

            จำได้ไหมตะกี้นี้บอก มันเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เป็นการดำเนินชีวิตด้วยความรักที่อยู่ในใจ คริสเตียนเป็นความรักเหมือนพระคริสต์ อยู่ในใจของเขา  ไม่ใช่เกลียดชัง เป็นศัตรู ทำร้ายและทำลายโลกและมนุษย์คนอื่นๆ แต่รักมนุษย์ทั้งปวงด้วยความรักของพระเจ้าที่อยู่ในตัวของเขา รักพระเยซู รักคริสเตียนด้วยกัน  เป็นเหมือนพี่น้องกัน รักคริสเตียนคนอื่นๆ รวมทั้งคนทั้งโลก เราก็รัก  และไม่ใช่ความรักที่ถูกบังคับ ให้ทำตามกฎบัญญัติว่าเธอต้องรักเขานะ ไม่ใช่ ไม่มีคำว่า “ต้อง” มีแต่บอกว่าสำแดงออกมา

            “พระเจ้าได้ใส่ความรักลงไปอยู่ในใจของเราเรียบร้อยแล้ว”

            ไม่จำเป็นต้องถูกบังคับให้ทำตามกฎบัญญัติ คำสั่งให้รักผู้อื่น หรือให้รักพระเจ้า เพราะมันเป็นธรรมชาติของวิญญาณ ที่บังเกิดใหม่เป็นความรัก แบบอากาเป้ เหมือนพระเจ้า อยู่แล้วในวิญญาณที่บังเกิดใหม่นั้น เหมือนพระเยซู

            เพราะฉะนั้น การเริ่มต้นการวางใจในพระเจ้า  เชื่อในพระเยซูคริสต์ คือเปิดใจต้อนรับพระเยซู เป็นพระผู้ช่วยให้รอด จึงทำให้คนๆ นั้น หรือเรานั้น ได้บังเกิดใหม่ เป็นความรักเหมือนพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้า มีพระลักษณะของพระเจ้า เป็นธรรมชาติที่อยู่ภายในตัวของเรา จึงไม่เป็นภาระสำหรับเรา ในการที่จะรักพระเจ้า และรักคนอื่นๆ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักเราก่อน และให้เรานั้น  ส่งต่อความรักล้นออกมาจากใจ เผื่อแผ่ไปถึงผู้อื่นรอบข้างเรา เป็นไปตามธรรมชาติ เอเมน นี่เกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น เห็นไหม?

            พอเรามาคุยกันถึงเรื่องนี้ ความประพฤติ กลายเป็นภาระหนัก แบกกันใหญ่เลย เธอจำเป็นต้องรักเขา พอทำไม่ได้ กลุ้มใจ ฉันทำบาป ฉันไม่ดี ฉันแย่ ฉันเลว ทั้งๆ ที่ความรักท่วมท้นอยู่ในใจ อย่างที่บอกนะ จำได้ใช่ไหม? ความรักกับความชอบไม่เหมือนกัน รักอยู่ในใจได้ แต่บางทีเราไม่ชอบ มันคนละเรื่องกัน เราไม่ได้เกลียดเขานะ แต่เราไม่ชอบ มันคนละรสชาติกัน ไม่ใช่รักทุกคน ชอบทุกคน ไม่ใช่ รักทุกคน รักคนอินเดีย แต่ไม่ชอบอาหารอินเดียได้ไหม? ได้ รักคนไทย แต่ไม่ชอบอาหารไทย เพราะมันเผ็ดมาก ก็ได้ มันคนละเรื่องกัน

            วันนี้มาต่อ นี่เป็นการพิสูจน์ได้ว่าเราเป็นคริสเตียนแท้หรือเปล่า? วันนี้มา 1 ยอห์น ตอนที่ 5 ผมให้ชื่อเรื่องว่า “ฉันรักคุณด้วยความรักของพระเจ้า” เริ่มต้นด้วย 1 ยอห์น 2:7 …

        1 ยอห์น 2:7  “ท่านที่รัก ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนถึงท่าน ด้วยพระบัญญัติใหม่ แต่เป็นพระบัญญัติเดิม ที่ท่านมีตั้งแต่เริ่มแรก พระบัญญัติเดิมนั้น คือพระวจนะที่ท่านได้ยินแล้ว”

            ในข้อนี้ ยอห์นกำลังเน้นถึงความสำคัญของบัญญัติ ที่ผู้เชื่อได้รับตั้งแต่เริ่มแรก คิดตามนะ ซึ่งก็คือคำสอนของพระเยซูเกี่ยวกับอะไร? ถ้าทางโลกมนุษย์ ก็คืออย่าฆ่าคน ถ้าว่าเขาว่าไอ้โง่ ไอ้บ้า ก็เท่ากับฆ่าคนตาย อย่าล่วงประเวณี แค่มองคนอื่นด้วยความกำหนัด  ก็ถือว่าล่วงประเวณี ใช่ไหม? ให้ดำเนินชีวิต โดยการเสียสละ ถ้าเขาขอเสื้อมา ให้เสื้อคลุมไปด้วยเลย ให้เพิ่มไปอีก ไม่ว่าเขาขออะไร ก็ต้องให้ ไม่ให้ไม่ได้ ใช่ไหม? นี่คือมนุษย์คิดอย่างนั้น พระเยซูมาสอนอย่างนั้น ผมบอกแล้วไงว่าพระเยซูมาสอนเกี่ยวกับโลกวิญญาณ

            คำสอน คำบัญญัติของพระเยซู คือท่านจงรักซึ่งกันและกัน จบข่าว คือดำเนินชีวิตด้วยความรัก  เราจะรู้ได้อย่างไร เราเป็นคริสเตียนอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ก็คือเราดำเนินชีวิตด้วยความรัก 

            เพราะฉะนั้น บัญญัติที่ผู้เชื่อได้รับจากพระเยซู ก็คือคำสอนของพระเยซู เกี่ยวกับความรัก รักต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนมนุษย์รอบข้าง เห็นหรือยัง? เปลี่ยนไปไหม? ทัศนคติเราเปลี่ยนไปเลยนะ บัญญัตินี้ เป็นเรื่องเกี่ยวกับความรัก เราก็นึกว่าให้เราไปเน้นเรื่องอย่าโกรธเขา อย่าเกลียดเขา อย่าฆ่าคน อย่าเอาเปรียบคน อย่าโกหก อย่าโลภ อะไรต่างๆ เหล่านั้น มันไม่ใช่เลย สรุปมีเรื่องเกี่ยวกับความรักอย่างเดียวเท่านั้น

            ใน 1 ยอห์น 3:23 ที่เราได้เคยยกตัวอย่างมาว่าบัญญัตินี้คืออะไร? มาเน้นให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง …

        1 ยอห์น 3:23 “และนี่เป็นพระบัญญัติ (ใหม่) บัญญัติเดียวของพระองค์ คือว่าให้เราทั้งหลาย วางใจในพระนามของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระองค์ และให้เรารักซึ่งกันและกัน ตามที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติ (ใส่) ไว้ (ในใจ) แก่เรา”

            ตามที่พระองค์บัญญัติไว้ในใจ คือใส่ไว้ในใจให้กับเรา เห็นหรือยัง? วางใจในพระนามของพระเยซู พระบุตรของพระองค์ และให้เรารักซึ่งกันและกัน วางใจ ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด แล้วความรักก็จะเข้ามาอยู่ในใจของเรา จากนี้ไป ดำเนินชีวิตด้วยข้างในใจของท่าน นี่คือคำสั่ง นี่คือบัญญัติ คำสอนของพระเยซู ซึ่งเกี่ยวข้องกับโลกวิญญาณ โดยตรงเลย  ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความประพฤติ ว่าให้ท่านไปประพฤติอะไร?  มีเงินทองก็แบ่งปันให้คนอื่นเขาเยอะๆ เขาขอเสื้อ ก็ให้เสื้อคลุมเขาไปด้วยเลย  อภัยให้เขา เขาทำบาปผิดอะไรต่างๆ  ทำอะไรผิดต่อท่าน อภัยให้เขา 70×7 ครั้ง ต้องอภัยตลอด ถ้าไม่อภัย ท่านก็เศร้าสร้อย ทำไม่ได้ ก็หงอย  ไม่ใช่แบบนั้น แต่ให้ท่านดำเนินชีวิตตามวิญญาณที่เกิดใหม่ ที่เราใส่ลงไปในใจท่าน และเป็นวิญญาณแห่งความรักตรงนั้น  และใครจะเป็นคนสอน พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่ภายในจะสอนท่าน

            ในยอห์น 13:34-35 ได้พูดถึงบัญญัติใหม่ที่พระเยซูให้ไว้อันหนึ่ง คือ …

        ยอห์น 13:34-35 “เราให้​บัญญัติ​ใหม่​ไว้​แก่​เจ้​าทั้งหลาย คือให้​เจ้​ารัก ซึ่​งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้​าจงรั​กกันและกันด้วยอย่างนั้น ถ้าเจ้าทั้งหลายรั​กกันและกัน ดังนี้​แหละ  คนทั้งปวงก็จะรู้​ได้​ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา”

            คนทั้งปวงจะรู้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นคริสเตียน  ก็เพราะว่าท่านทั้งหลายดำเนินชีวิตด้วยความรัก รักซึ่งกันและกัน เหมือนที่เรารักท่าน คือเรารักท่านอย่างไร? เราใส่ความรักของเราเข้าไปที่ตัวท่านอย่างไร? ท่านก็เอาความรักนั้น แบ่งปันให้คนอื่นอย่างนั้น ไม่ได้เป็นภาระอะไรเลย เป็นธรรมชาติ เราเป็นอย่างไร? ท่านก็เป็นอย่างนั้น เขาถึงเรียกว่าเราเป็นกลุ่มเดียวกัน เป็นพวกเดียวกัน พี่น้องคริสเตียน คือพี่น้องแห่งความรัก ครอบครัวแห่งความรักของพระคริสต์นั่นเอง

            ยอห์นไม่ได้แนะนำสิ่งใหม่เลย นี่ไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ แต่กำลังย้ำถึงความสำคัญของความรักซึ่งกันและกัน ความรักในการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของคริสเตียน คำสอนของพระเยซูนั่นเอง

            พระบัญญัติเดิมที่ยอห์นกล่าวถึง คืออะไร? คือคำสอนที่ผู้เชื่อได้รับตั้งแต่ตอนเริ่มแรกของการเป็นคริสเตียน ของสมัยโน้นนะ ตอนเริ่มแรก ก็คือตอนที่พระเยซูมาประกาศข่าวประเสริฐใหม่ๆ ในช่วง 3 ปี พระองค์ก็พูดเรื่องความรักๆ ที่ผมยกตัวอย่าง ไม่ใช่บัญญัติเลย แต่ความรักสำคัญกว่า พระเยซูบอกฟาริสีบอกว่าท่านมัวแต่รักษาบัญญัติๆ เคร่งครัดในเรื่องบัญญัติ เครียดในบัญญัติ ชี้เรื่องบัญญัติ แต่ท่านขาดซึ่งความเมตตาและความรัก เป็นหัวใจสำคัญของพระเจ้า วันสะบาโตไม่ได้มีไว้ เพื่อให้ท่านไปลงโทษคนอื่น แต่ว่ามีไว้ เพื่อท่านจะได้ระลึกถึงความรักของพระเจ้าที่มีต่อท่าน สรุปแล้ว ก็คือความรักสำคัญมาก สำคัญที่สุด ซึ่งความรัก ที่เป็นหัวใจสำคัญ ตั้งแต่เริ่มต้น พระเยซูเริ่มสอน ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้  ตอนที่เริ่มต้นคริสเตียนใหม่ๆ ตอนที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายแล้ว ในวันเพ็นเตคอส เริ่มต้นชีวิตคริสเตียน นั่นแหละ ความรักเริ่มต้นตั้งแต่วันนั้น ให้ดำเนินชีวิตด้วยความรัก เป็นคำสั่งของพระองค์ตั้งแต่วันนั้น พระองค์สั่งสาวกตั้งแต่เดินอยู่บนโลกใบนี้ว่าจงวางใจในเรา และรักซึ่งกันและกัน เหมือนตะกี้ที่เราได้อ่านข้อพระคัมภีร์ในหนังสือยอห์น บทที่ 13 พระองค์พูดด้วยพระองค์เอง ตอนที่อยู่บนโลกใบนี้ว่าวางใจในเราและรักซึ่งกันและกัน นี่คือคำสั่งไว้ตั้งแต่เริ่มต้น คำสั่งเดิม นั่นเอง

            อาจารย์ยอห์นจึงบอกว่าที่เขียนเรื่อความรักนี้ ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกใหม่เลย แต่ซ้ำอันเดิมที่พระเยซูพูดไว้เมื่อหลายปีก่อน นี่อาจารย์ยอห์นเขียน หลังจากที่พระเยซูประกาศบนโลกใบนี้แล้ว ประมาณสัก 50-60 ปีผ่านไป อาจารย์ยอห์นก็เขียน

            “ที่ผมเขียนเรื่องความรัก ว่าให้ดำเนินชีวิตด้วยความรัก ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย ก็อันเดิมกับที่ท่านเคยได้ยิน ตอนเริ่มต้นชีวิตคริสเตียนใหม่ๆ บนโลกใบนี้ พระเยซูก็เป็นผู้สอนเอง อันเดียวกันนั่นแหละ มาข้อที่ 8 …

        1 ยอห์น 2:8 “อีก​นัย​หนึ่ง ก็​นับ​ได้​ว่า​ข้าพเจ้า​เขียน​ถึง​ท่าน เกี่ยว​กับ​ข้อ​บัญญัติ​ใหม่ ​ถึง​ความ​จริง​ที่​ปรากฏ​ใน​พระ​องค์ ​และ​ใน​ท่าน​ทั้ง​หลาย เพราะ​ว่า​ความ​มืด​ผ่าน​ไป และ​ความ​สว่าง​ที่​แท้จริง ​ก็​ทอแสง​แล้ว”

            เห็นไหม? “อีกนัยหนึ่ง ก็คือข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน เกี่ยวกับบัญญัติใหม่” ก็ว่าได้อันนี้ ก็คืออันใหม่แหละ อันใหม่จากอันเก่าที่เหมือนกัน ก็คือความรักเป็นพื้นฐานของชีวิต ของคนที่จะมาเชื่อพระเจ้า ตั้งแต่ในอดีต  ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาประกาศข่าวประเสริฐอีกด้วยซ้ำ พูดง่ายๆ ว่าพระเจ้าเป็นความรัก ความรักสำคัญที่สุด สำหรับพระเจ้าของเรา เป็นพระลักษณะของพระเจ้าที่โดดเด่นที่สุด   ตั้งแต่เริ่มแรก ตั้งแต่ปฐมกาลมาแล้ว ท่านก็รู้อยู่ “ท่าน” ในที่นี้ หมายถึงชาวยิวเขาจะรู้ นี่กำลังพูดกับชาวยิว ท่านก็รู้ตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่ปฐมกาลมาแล้วว่าความรักในเรื่องของพระเจ้า มันสำคัญที่สุด  ตอนที่พระองค์เดินอยู่บนโลกใบนี้ ประกาศข่าวประเสริฐ มีธรรมาจารย์ที่เป็นพวกที่เคร่งและคล่อง ต้องชำนาญเกี่ยวกับเรื่องธรรมบัญญัติ เกี่ยวกับบทศีลธรรมทางศาสนา จะทดสอบความรู้พระเยซู

            “ท่านอาจารย์ บทบัญญัติทั้งหมด 613 ข้อของพระเจ้า ข้อไหนสำคัญที่สุด”

            พระเยซูตอบอย่างไร? … “จงรักพระเจ้าด้วยสุดจิต สุดใจของเจ้า  และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

            ก็คือไม่ใช่ข้อนั้น ข้อนี้ ข้อโน้นที่ท่านคิดว่าสำคัญ รวมทั้งหมดแล้ว คือรักพระเจ้าด้วยสุดจิต สุดใจของท่าน และรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง รักมนุษย์ทุกคน  และทำได้ไหม? ไม่ได้ ในขณะนั้น เขายังไม่สามารถทำได้ เพราะวิญญาณยังไม่ได้เกิดใหม่ ถ้าเป็นคริสเตียนแล้ว ทำได้แล้ว เพราะวิญญาณใหม่ มันหมายถึงอย่างนั้น

            ความจริงอยู่ในพระองค์ และความจริงอยู่ในท่าน  ก็คือกฎใหม่ บัญญัติใหม่ที่เกี่ยวกับความรัก ถึงความจริงที่ปรากฏในพระองค์และในท่านทั้งหลาย  ก็คือความจริงที่อยู่ในพระองค์ อยู่ในพระเยซู ฟังให้ดีนะ ความจริงที่อยู่ในพระเยซูและความจริงที่อยู่ในท่านทั้งหลาย  ก็คือความรักที่อยู่ในพระเยซู และความรักที่อยู่ในท่าน เป็นความจริง เป็นกฎใหม่ ยอห์นกำลังเน้นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ก็คือกฎใหม่ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของผู้เชื่อ คือคริสเตียนในพระเยซูคริสต์ กฎใหม่ของผู้เชื่อที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ คือเมื่อเราเชื่อวางใจในพระองค์ และอาศัยอยู่ในพระองค์จริงๆ แล้ว ความจริงจะอยู่ในตัวเรา ก็คือความรักจะอยู่ในตัวเรา เราจะดำเนินชีวิตด้วยความจริง ไม่มีการหลอกลวงอยู่ภายในเรา ไม่มีความเกลียดชังอยู่ภายในเราเลย มีแต่ความจริง คือความรักที่อยู่ในเรา ความจริงในตัวเรานี้ เป็นความจริง ที่ไม่มีการแปรผัน พระเยซูจึงบอกว่าเราเป็นความสว่างที่แท้จริง  ที่มาจากพระองค์ เป็นเหมือนพระองค์

            ความสว่างกำลังทอแสงอออกมา ความมืดได้ผ่านไป  เพราะเราเป็นคริสเตียน ในวิญญาณ ในใจของเรา ไม่มีความมืดเหลืออยู่ มีแต่ความสว่าง มีแต่ความรักเท่านั้น ต้องรับรู้สิ่งเหล่านี้  แม้ว่าความประพฤติภายนอก บางครั้ง ยังทำดูเหมือนเกลียด เหมือนไม่ชอบ แต่เราแค่ไม่ชอบ แต่ข้างในนี้ เราเป็นความรัก เราต้องยอมรับตรงนี้ มันเรื่องจริง

            หลายครั้งเราเห็นคนทำอะไรไม่ถูกต้องกับเรา เราโกรธมากเลย แต่ยังไงก็ตาม ในใจเรารู้ เดี๋ยวไม่ช้าไม่นาน เราก็ “พระเจ้าอภัยให้เขาเถอะ” หรือแม้เราไม่พูด แต่ในใจเราก็ไม่จงเกลียดจงชังเขา อาฆาตแค้นเขา ถูกไหม? นี่แหละคือหัวใจของคริสเตียน

            พระเยซูคริสต์เป็นแสงสว่างของโลก  และเมื่อเราเชื่อในพระองค์ เราก็จะไม่เดินในความมืดอีกต่อไป มันหมายความว่าอย่างนั้น แต่จะเป็นแสงสว่างของโลกเช่นเดียวกัน นอกจากนี้พระเยซูยังบอกว่าเราก็เป็นแสงสว่างของโลก และเราจะส่องสว่างออกไปให้กับคนอื่นๆ ได้เห็น เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เห็นการดีของเรา เห็นหรือยัง? ความประพฤติมาทีหลัง เพื่อพวกเขาจะได้เห็นการดีของเรา และสรรเสริญพระบิดาในสวรรค์ ในมัทธิว บทที่ 5 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ พระเยซูพูดเอง เรื่องเกี่ยวกับความรักและแสงสว่างที่อยู่ในตัวเราผู้เชื่อ

            ดังนั้น ในข้อนี้จึงเป็นการเตือนให้เราระลึกถึงความประพฤติ การกระทำ ไม่ใช่ เฉพาะข้อนี้นะ ให้เราระลึกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย ภายในชีวิตของเรา เมื่อเราเชื่อและวางใจในพระคริสต์ เป็นคริสเตียน  และให้เราดำเนินชีวิตในความจริง ในความสว่างของพระองค์อย่างนั้น เสมอ ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ชั่วนิรันดร์เลย จะทำได้มากน้อยเพียงใดไม่รู้ แต่ให้รู้ว่าเราเป็นอย่างนั้นอยู่  เป็นธรรมชาติของเราอยู่  เราอาศัยอยู่ในความสว่าง ในความรักตลอดเวลา  และตลอดไป จนถึงนิรันดร์ เราอยู่ในความสว่าง ในความรัก แต่บางครั้ง การดำเนินชีวิต อาจจะตามความมืด ความเกลียดชัง ความเท็จ การหลอกลวงของโลกนี้ ระบบของโลกนี้

            ในขณะที่คริสเตียนทำบาป  ทำไม่ถูกต้อง หรือเรียกว่าทำชั่วก็ตาม  แต่ภายในวิญญาณ ก็ยังอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์อยู่ นี่เรื่องจริง ขณะที่เราทำไม่ดี ทำไม่ถูกต้อง ไม่ว่าจะมากหรือน้อย วิญญาณเราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรเลย วิญญาณเราก็เป็นอย่างนี้ตลอดนิรันดร์ เหมือนกับที่ตะกี้เราพูดกัน วิญญาณเรายังคงอาศัยอยู่ในพระคริสต์  และจะอยู่อย่างนี้ตลอดไป วิญญาณ คือตัวตนเราที่จะอยู่นิรันดร์นั้น ยังเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์อยู่ ในขณะที่เราทำผิด ทำบาปอยู่ เอเมนไหม? ภายในวิญญาณเรายังบัพติศมาอยู่ในพระคริสต์ ยังรู้จักพระคริสต์  อย่างสนิทสนม เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ เพราะว่าเราบังเกิดใหม่ในวิญญาณของเรา เราจึงรู้จักสนิทสนมลึกซึ้ง เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ และอาศัยอยู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์อยู่ในเราตลอดไปชั่วนิรันดร์ อยู่แล้ว ตั้งแต่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  และเราได้อาศัยอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในความสว่าง อยู่ในความรัก ที่เรากำลังพูดอยู่นี้ตลอดเวลาอยู่แล้ว อยู่ในความจริง อยู่ในการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตลอดไปชั่วนิรันดร์ เอเมน พระวิญญาณจะนำพาเราไป จนกระทั่งถึงนิรันดร์ พระคัมภีร์บันทึกอย่างนั้นเลย

            แน่นอน แต่การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ความประพฤติอาจไม่เป็นไปตามความจริงนี้ เพราะถูกล่อลวงจากอิทธิพล กิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนังบนโลกใบนี้ ซึ่งเราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ ยังมีอิทธิพลของโลกใบนี้ต่างๆ และความคิดเดิมๆ ของเรา ที่ก่อนเชื่อยังมีอิทธิพลล่อลวง  หลอกลวงให้เราสามารถที่จะทำผิดทำพลาดได้ ยอห์นกำลังชี้ให้เราเห็นถึงความแตกต่างที่อยู่ภายในวิญญาณ อย่างเด็ดขาดของเรา ยอห์นกำลังชี้เรื่องโลกวิญญาณ  ไม่ใช่เรื่องการประพฤติ ชี้เรื่องโลกวิญญาณว่าเด็ดขาดเลย ไม่ว่าท่านจะทำอะไรอยู่ก็ตาม แต่ทางโลกวิญญาณ ถ้าท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ สารภาพตัวเองว่าเป็นคนบาป ต้องการความช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และเชื่อว่าพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เป็นพระเมสิยาห์แล้ว ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่  และอาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์อย่างนี้ตลอดไป  ได้รับการชำระบาปตลอดไป ชั่วนิรันดร์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น โดยเด็ดขาด

            นี่คือความแตกต่างที่อยู่ภายใน อย่างเด็ดขาดของคริสเตียนแท้ แตกต่างกับผู้ที่อ้างตัวว่าเป็น คริสเตียน นี่คือเนื้อของสิ่งที่อาจารย์ยอห์นเขียน แจ้งให้กับคริสตจักรได้ฟังใน 1 ยอห์น มันต้องดูที่ภายในวิญญาณเป็นอย่างไร? แล้วมันก็ค่อยๆ สามารถสำแดงออกมาเป็นภายนอกได้ คือรักพระเยซูและรักพี่น้องคริสเตียน รักเพื่อนร่วมโลก ให้สังเกตตรงนี้  ไม่ใช่มองว่าเขาเป็นคนดี บริจาค ถวายโบสถ์เยอะเลย  เขาเป็นคริสเตียนแน่นอน  ไม่ใช่ไปดูว่าเขาเป็นคนนิสัยดี ไม่กินเหล้า เมายา เพราะฉะนั้น เป็นคริสเตียนแน่นอน ไม่ใช่ดูว่าเขาเป็นคนไม่หงุดหงิดเลย มีบุคลิกดี สงบเสงี่ยม ไม่ขุ่นเคืองอะไรเลย เป็นคริสเตียนแน่นอน  แล้วก็มาบอกว่าคนนี้ ไม่น่าจะเป็นคริสเตียนหรอก เพราะเมายา  คนนี้ไม่น่าจะเป็นคริสเตียนเลย คนนี้เป็นคนที่ขี้หงุดหงิด ขี้โกรธ ปากไม่ค่อยดี  เราก็ตัดสินคนด้วยภายนอก ด้วยการกระทำอย่างนี้ ยกตัวอย่างให้ฟัง มาข้อ 9 …

        1 ยอห์น 2:9 “ผู้​ที่​กล่าว​ว่า​ตน​อยู่​ใน​ความ​สว่าง แต่​ใจ​เกลียดชัง​พี่​น้อง​ของ​ตน​ก็​นับว่ายัง​อยู่​ใน​ความมืด”

            นี่คือความแตกต่างโดยสิ้นเชิงของคริสเตียนแท้กับคริสเตียนไม่แท้ “ผู้ที่อาศัยอยู่ในความสว่าง” ก็คืออาศัยอยู่ในความรักแบบอากาเป้ กับผู้ที่อาศัยอยู่ในความมืด อาศัยอยู่ในความเกลียดชัง ไม่ใช่แบบอากาเป้ ก็คือแบบธรรมชาติ  อาศัยอยู่ในความเกลียดชัง ไม่มีความรักของพระเจ้าอยู่ในตัวเขา แบบธรรมชาติ ภาษาแบบเดิมๆ บอกว่าอาศัยอยู่ในความมืด  เกลียดชังตามสันดาน คือเกิดมาเป็นอย่างนั้น

            ถ้าพูดตรงนี้ ก็คือความแตกต่างโดยสิ้นเชิงของคริสเตียน กับไม่เป็นคริสเตียน คือคนที่เป็น คริสเตียนจะอาศัยอยู่ในความสว่าง  ในความรักแบบอากาเป้ เป็นสันดานของเขา …

        1 ยอห์น 2:10 “ผู้ที่รักพี่น้องของตน ก็อยู่ในความสว่าง และในความสว่างนั้นไม่มีอะไร ที่จะทำให้สะดุด”

            เห็นหรือยัง? นี่เกี่ยวกับโลกวิญญาณชัดเจนเลย คริสเตียนที่ได้มีวิญญาณและใจใหม่ เป็นความรักแบบพระเจ้า แบบอากาเป้ ไม่มีความเกลียดชังอยู่ในนั้นเด็ดขาด เป็นไปไม่ได้ คริสเตียนแท้จะไม่มีทางดำเนินชีวิตโดยการเกลียดชัง  มันเป็นไปไม่ได้  เพราะเขามีหัวใจใหม่ วิญญาณใหม่ ที่พระเจ้าทรงใส่วิญญาณเรียบร้อยแล้ว  แต่ความประพฤติภายนอกอาจจะอย่างที่บอก อาจไม่ชอบหลายอย่าง  หรือว่าบางคนชอบทุกอย่าง ถามจริงๆ เถอะ ชอบทุกอย่างที่เขาทำ คริสเตียนด้วยกัน ไม่จริง อย่าพูดโกหกเลย ไม่ชอบทุกอย่างเป็นไปไม่ได้หรอก ชอบแค่อย่างเดียว ก็ดีใจแล้ว แต่เรามีมารยาท เราก็เก็บไว้ในความคิดว่าไม่ชอบ แต่ในใจจริงๆ รักครับ เป็น คริสเตียนแล้ว ดีใจแล้ว พอได้ยินว่าเขาเชื่อใหม่ โอ้โห! ดีใจเหลือเกิน

            คริสเตียนแท้บังเกิดใหม่ เป็นความรัก เป็นความสว่าง เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์แล้ว ในโลกวิญญาณ เป็นอย่างนั้น แต่ความคิด ความประพฤติยังคงสะดุดอยู่บ่อยๆ ได้ในหลายๆ ทาง

            “ผู้ที่รักพี่น้องของตน ก็อยู่ในความสว่าง ความสว่างนั้น ไม่มีอะไรที่จะทำให้เขาสะดุด”

            ไม่มีอะไรทำให้คริสเตียนสะดุดได้ คือความคิดและความประพฤติสะดุดไหม?  สะดุด  ไม่ชอบ คือสะดุดแล้วไง  คือทำบาป ไม่ชอบ  เขาบอกให้รัก ภายนอกยังทำไม่ได้ ไม่เป็นไร ได้รับการอภัยโทษในบาปเสร็จสิ้นไปเรียบร้อยก่อนล่วงหน้าแล้ว รู้ว่าเธอทำไม่ได้ รู้ว่าเธออดไม่ได้หรอก ทำอย่างนี้ลงไป เธอต้องด่ากลับ แล้วด่าไหม? ด่า  โกรธไหม? โกรธ ถ้าเธอเจออย่างนี้เข้าไป เธอต้องโลภแน่ เธอต้องเห็นแก่ตัวแน่ๆ เลย แล้วโลภไหม? โลภ อย่างนี้เขาเรียกว่าสะดุด แต่มันเป็นความประพฤติภายนอก ได้รับการอภัยโทษไปเรียบร้อยแล้วก่อนหน้า ด้วยพระโลหิตพระเยซูคริสต์ และพระองค์ผู้ทรงทูลอธิษฐานแก้ต่าง ให้กับเราที่อยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ในขณะนี้ คือพระเยซูคริสต์ นี่กำลังพูดถึงในโลกวิญญาณ ในโลกวิญญาณไม่มีอะไรทำให้คริสเตียนสะดุดได้ เขาอยู่ในความสว่างแล้ว ไม่มีวันสะดุดได้เลย ในวิญญาณเขาไม่มีเลย เพราะวิญญาณเขาไม่เคยเกลียดชังใครเลย มันจึงเป็นข่าวดีของพระเยซูคริสต์ที่ช่วยให้เรารอดจากบาป โดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยความประพฤติ ถ้าเรารอด โดยการประพฤติ เราตายแน่ เราทำไม่ได้หรอก เราอ่านหนังสือ

            หรือไปดูป้ายโฆษณาอะไรบางอย่าง … “คนนี้หล่อจัง” นั่นแหละ ล่วงประเวณีแล้ว

            หรือไม่เคยดูเลย ไปไหน หลับตาตลอด ปลงตลอด … “คนนี้ก็ไม่สวย คนนั้นก็น่าเกลียดๆ ห้ามดู ห้ามชอบเหมือนกัน” พอชอบ ล่วงประเวณีแล้ว อย่างนั้นหรือ?

            ใครทำอะไรก็ต้อง … “ครับๆ ขอบคุณครับๆ” ไม่โกรธเขาเลยหรือ?

            ดังนั้น เป็นข่าวดีที่พระเยซูคริสต์ช่วยเรารอดจากบาปทั้งปวงด้วยความเชื่อ ในพระองค์ วางใจในพระองค์เท่านั้น  และดำเนินชีวิตด้วยความรักต่อไป …

        1 ยอห์น 2:11 “แต่​ผู้​ที่​เกลียดชัง​พี่​น้อง​ของ​ตน ​ก็​นับว่า​อยู่​ใน​ความ​มืด เดิน​อยู่​ใน​ความ​มืด และ​ไม่​ทราบ​หนทาง​ที่​จะ​ไป  เพราะ​ว่า​ความ​มืด​ได้​ทำ​ให้​ตา​เขา​บอด​เสีย​แล้ว”

            รู้ได้อย่างไรว่าอาศัยอยู่ในความมืด ก็ตรงกันข้ามกับอาศัยอยู่ในความสว่าง ก็คือการแสดงออกมา ซึ่งความเกลียดชังผู้เชื่อหรือคริสเตียน หรือเกลียดชังพระเยซูคริสต์

            เราไม่รู้ว่าผู้นี้เป็นคริสเตียนหรือเปล่า? ตัดสินด้วยการประพฤติไม่ได้ภายนอก  เราไม่สามารถพูดได้ เขาอาจจะเชื่ออยู่ภายใน เราไม่รู้ แต่ที่เรารู้ เมื่อไรก็ตามที่เขาแสดงออกด้วยการกล่าวถึง หรือพูดถึงท่าทีของเขาต่อพระเยซูคริสต์ และต่อคริสเตียนด้วยกัน มันเป็นอย่างไร? เราจะรู้เอง พอบอกพูดอะไรก็พูดได้ พูดถึงเครื่องรางของขลัง ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น  พิธีกรรมอย่างนี้ การเข้าเจ้า เข้าทรง ผีต่างๆ ฟังอย่างดีเลย ฟังปรัชญาชีวิต พอบอก “พระเยซูตรัสว่า” เธออย่าพูดเรื่องพระเยซูมากนัก อย่างนั้น เหมือนเราในอดีต 1 ยอห์น 2:12 …

        1 ยอห์น 2:12  “ลูกเล็กๆ ทั้งหลายเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะว่าบาปทั้งปวงของท่าน ได้รับการอภัยแล้ว เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์”

            “ลูกเล็กๆ”  เหมือนกับว่าพี่น้องในครอบครัวพระเยซูคริสต์ เราเป็นพี่น้องกัน  ได้รับการอภัยแล้ว ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และในอนาคต ถึงนิรันดร์ เรียบร้อยแล้ว เพราะว่าเป็นการยกย่องถวายเกียรติแด่พระนามพระเยซูคริสต์ เพราะว่าเป็นการเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว ยอมเชื่อฟังพระองค์ ก็คือยอมถวายเกียรติแด่พระองค์ว่าพระองค์ทำจริง ตายเพื่อเราจริงๆ ในการถวายเกียรติอย่างนั้น  ถ้าเราไม่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว เรายังคงอธิษฐานขอการอภัยลบบาป เมื่อไรจะลบบาปลูกสักที หรือไม่เชื่อเลย  ก็เป็นการหมิ่นพระเยซู ไม่ถวายเกียรติแด่พระเยซูนั่นเอง 1 ยอห์น 2:13-14 สุดท้าย …

        1 ยอห์น 2:13-14 “ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้​รู้​จั​กกับพระองค์ ​ผู้​ทรงดำรงอยู่​ตั้งแต่​เริ่มแรก ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้ชัยชนะแก่มารร้าย ท่านทั้งหลายผู้เป็นลูกเล็กๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้​รู้​จั​กกั​บพระบิดา ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายได้​รู้​จั​กกับพระองค์​ ผู้​ทรงดำรงอยู่​ตั้งแต่​เริ่มแรก ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่มๆ ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านทั้งหลายมีกำลังมาก และพระวจนะของพระเจ้า ดำรงอยู่ในท่านทั้งหลาย และท่านได้ชัยชนะแก่มารร้ายแล้ว”

            สรุปสั้นๆ ก็คือนี่กำลังพูดถึงครอบครัวในฝ่ายวิญญาณของผู้ที่เป็นคริสเตียนแท้ คริสเตียนจริงๆ ด้วยกัน เป็นเหมือนพี่น้องกันในครอบครัวทางฝ่ายวิญญาณในพระคริสต์

            “ท่านที่เป็นบิดา” ในข้อแรก หมายถึงพวกที่เป็นชาวยิว อายุมากๆ เขาจะรู้เรื่องเกี่ยวกับพระมาซีฮาห์  … พระมาซีฮาห์ คือพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าได้สัญญาไว้กับบรรพบุรุษของเขาว่าเป็นพระเจ้ามาโปรดช่วยมนุษย์ให้รอด โดยเฉพาะมาช่วยชาวยิวให้ได้รับความรอด ในอดีตนั่นเอง  พระเยซู คือพระเมซิยาห์ที่พระเจ้าสัญญาไว้ในอดีตเริ่มแรก อาจารย์ยอห์นกำลังพูดอย่างนั้น

            “สำหรับคนหนุ่ม ท่านทั้งหลายอาศัยอยู่ในพระคริสต์อยู่ในความสว่าง เป็นความสว่าง ชนะความมืด ชนะมารร้าย พระเจ้าสถิตอยู่ภายในท่าน ท่านใหญ่กว่ามันทั้งหลายที่อยู่ในโลก ท่านจงดำเนินชีวิตด้วยความเป็นอิสระ ไม่มีการลงโทษใดๆ กับท่านที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์ เพราะกฎแห่งวิญญาณแห่งชีวิตในพระคริสต์ ได้ทำให้ท่านเป็นอิสระจากกฎของความบาป และความตายเรียบร้อยแล้ว มันหมายถึงอย่างนี้ หมายถึงท่านไม่ต้องกลัวอะไรต่างๆ เหล่านั้นจะมาลงโทษท่าน  ท่านทำอะไรผิดไป ท่านได้รับการอภัยจากความบาปผิดทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ตามบริบทนี้ ก็คือพูดถึงเรื่องนี้  ให้ท่านดำเนินชีวิตด้วยความรัก เป็นอิสระจากฎระเบียบ มาสั่งอะไรท่านไม่ได้อีกแล้ว  ท่านไม่ต้องดำเนินตามกฎระเบียบอะไร บทบัญญัติทางโมเสสอะไรต่างๆ เหล่านั้นอีกแล้ว  ท่านเป็นอิสระแล้ว ดำเนินชีวิตด้วยใจที่เป็นความรักเหมือนพระเยซู

            “ลูกเล็กๆ ทั้งหลาย”  เปรียบเหมือนลูกๆ เล็กของพระเจ้า ท่านทั้งหลาย พระเจ้าดูแลท่านเปรียบเหมือนลูกเล็กๆ ของพระเจ้า พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ที่ท่านเรียกพ่อว่าอับบา พ่อจ๋า ปาป๊า สนิทสนมกัน ท่านเป็นลูกเลย และไม่มีเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นแล้ว ท่านไม่ต้องกลัว ท่านทำบาปผิดไป เหมือนกับท่านเป็นเด็กอยู่ เดินหกล้มบ้าง พระเจ้าอภัยให้ท่านตลอดนั่นแหละ ท่านจงมาอยู่ใกล้ๆ พระเจ้าเลย พระเจ้ารักท่านมาก ดั่งแก้วตาดวงใจของพระองค์ พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ มีท่าทีอย่างนี้กับท่าน เป็นอิสระ จงรักซึ่งกันและกัน จงดำเนินชีวิตด้วยความรักที่อยู่ภายใน คือรักของพระเจ้า พระเจ้าอวยพรครับ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ให้เข้าไปร่วมชีวิตกับท่านแล้วหรือยัง?

            มนุษย์ผู้ใดก็ตามที่ยังไม่ได้เปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้าไปร่วมชีวิตด้วย ท่านทราบหรือไม่ว่าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด กำลังจีบท่านทุกวัน  ขอเข้าไปมีชีวิตร่วมกับท่าน พระองค์ให้สัญญาว่าจะดูแลชีวิตของท่าน ยิ่งกว่าชีวิตของพระองค์ตลอดไป ไม่มีเสื่อมสลายในความรักแท้ของพระองค์

            พระองค์จะเข้าไปเป็นหุ้นส่วน สัมพันธ์กับชีวิตของท่านเหมือนสามีที่ปกป้อง คุ้มครอง ดูแล เอาใจใส่ทะนุถนอมท่าน ด้วยรักที่ไม่มีเงื่อนไข

            ท่านจะยอมหรือไม่? เท่านั้นเอง

            ท่านมีค่าและเป็นที่รักของพระองค์อย่างมากมาย ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร รู้สึกตัวเองว่าต่ำต้อยหรือสกปรกเพียงใดก็ตาม จะมีประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านการทำบาปมากมายแค่ไหนก็ตาม พระองค์ได้ให้อภัยทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว พระองค์ยังคงรักและรอคอย ที่จะร่วมหอร่วมชีวิตกับท่าน

            มาเป็นเจ้าสาวของพระองค์เถิด

            พระเจ้าพระบิดา ได้ทรงไถ่มนุษย์ทุกคน มาเป็นของขวัญ ประทานให้เป็นเจ้าสาวของพระคริสต์

            ยอห์น 17:24 …  พระเยซูอธิษฐานว่า … “พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ปรารถนาให้บรรดาผู้ที่พระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์นั้น อยู่กับข้าพระองค์ ในที่ซึ่งข้าพระองค์อยู่ และให้พวกเขาเห็นเกียรติสิริของข้าพระองค์ คือเกียรติสิริซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ เพราะพระองค์ทรงรักข้าพระองค์ ตั้งแต่ก่อนที่พระองค์ทรงสร้างโลก”

            ยอห์น 10:28-29 … พระเยซูประกาศว่า … “28 เราให้ชีวิตนิรันดร์แก่แกะนั้น แกะนั้นจะไม่พินาศเลย ไม่มีผู้ใดชิงแกะนั้นไปจากมือของเราได้ 29 พระบิดาของเรา ผู้ประทานแกะนั้นแก่เรา ทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าสิ่งทั้งปวง ไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะนั้น จากพระหัตถ์พระบิดาของเราได้”

            พระเจ้าอวยพรครับ