วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1511

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  23  กุมภาพันธ์  2025

เรื่อง “พิธีบัพติศมาในน้ำ เป็นภาพคนบาปได้เกิดใหม่”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            หัวข้อเรื่อง คือ “พิธีบัพติศมาในน้ำ เป็นภาพของคนบาปได้เกิดใหม่” พระคัมภีร์บอกมนุษย์ทุกคนเกิดมา ไม่ต้องทำอะไรก็เป็นคนบาปแล้ว การบัพติศมาในน้ำ เป็นภาพ ในโลกฝ่ายวิญญาณที่ทำให้เห็น เป็นภาพของการเกิดใหม่ หรือเรียกว่าบังเกิดใหม่ทางฝ่ายวิญญาณ ในนามพระเยซู เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ซึ่งมองไม่เห็น พระเจ้าเลยให้ทำอย่างนี้ เพื่อให้เห็นภาพว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เราเริ่มต้นที่ 1 เปโตร 3:21 บันทึกอย่างนี้ อย่างชัดเจน …

        1 เปโตร 3:21 “และบัพติศมาด้วยน้ำนี้ ซึ่งเป็นภาพของการช่วยให้รอดทางฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่รอดโดยการขจัดความสกปรกของร่างกายภายนอก แต่โดยได้รับการชำระภายใน ได้บังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่และใจใหม่ ที่บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเจ้า ผ่านความเชื่อของท่าน ในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์”

            การบัพติศมาด้วยน้ำนี้ เป็นภาพของการช่วยให้รอดทางฝ่ายวิญญาณ ชัดเจน ไม่ใช่รอดโดยการกระทำภายนอก ก็คือขจัดความสกปรกทางร่างกายภายนอก พูดง่ายๆ เปโตรกำลังยกตัวอย่างว่าการที่ท่านลงน้ำบัพติศมา มันเหมือนกับการอาบน้ำ อาบน้ำเพื่อชำระภายนอก ก็คือชำระขี้โคลน ขี้ดินอะไรต่างๆ เหล่านั้น พอลงน้ำ ขึ้นมามันก็สะอาด แต่นี่เป็นสิ่งที่ทำเป็นภาพของโลกวิญญาณ มีการชำระเกิดขึ้น แต่ไม่ใช่ชำระขี้โคลน ขี้ดินออกจากร่างกาย แต่เป็นการชำระบาป เอาบาปออกไปจากวิญญาณของท่าน ซึ่งเป็นคนบาป ท่านรอดจากการเป็นคนบาป  ได้รับการชำระภายใน ด้วยการบังเกิดใหม่ ได้รับวิญญาณใหม่  และใจใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า ผ่านทางความเชื่อของท่าน ในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ก็คือเชื่อในข่าวดีของพระเยซูว่าพระองค์ทรงเป็นพระมาซีฮาห์  เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าทรงประทานให้กับมนุษย์ทั้งปวง รวมทั้งฉันด้วย รวมทั้งท่านด้วย ท่านจึงได้รับการชำระจากภายใน ก็คือวิญญาณท่านได้รับการบังเกิดใหม่นั่นเอง

            เพราะฉะนั้น ท่านบังเกิดใหม่ ท่านได้รับความรอด โดยความเชื่อ …

            “ผ่านทางความเชื่อของฉัน ฉันจึงได้รับความรอดนี้”

            รอดจากเป็นคนบาป เพราะฉะนั้น เราจึงรู้ว่าไม่ใช่ความประพฤติภายนอก ที่ทำให้เรารอด ไม่ใช่โดยพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ มากมายของชาวยิวหรือของมนุษย์ตั้งขึ้นมา พิธีกรรมอะไรเยอะแยะมากมายที่กระทำ ไม่ใช่ด้วยสติปัญญา หรือความเฉลียวฉลาดของมนุษย์ หรือความรู้เยอะแยะมากมายไปหมดเลย รู้เรื่องโน้น รู้เรื่องนี้ รู้เรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า รู้เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ รู้เรื่องเกี่ยวกับบทบัญญัติของพระเจ้าเยอะแยะมากมายไปหมด ไม่ใช่การสั่งสมความดีให้ได้มากที่สุด ทำบาปให้ได้น้อยที่สุด ตามที่มนุษย์คิด เพราะการกระทำดีเหล่านั้น ก็ไม่ได้ช่วยให้เขาคนนั้น กลายเป็นคนดีได้ เขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่  เขาต้องเกิดใหม่เท่านั้น

            เกิดใหม่โดยความเชื่อ  เพราะฉะนั้น เป็นความเชื่อเท่านั้น ที่ทำให้เขาได้เกิดใหม่ เชื่อภายในใจของท่าน เกี่ยวกับเรื่องพระเยซูคริสต์ เกี่ยวกับเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตครั้งเดียวเป็นพอ เพื่อไถ่บาปให้กับท่าน ยกบาปใก้กับท่าน ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตทั้งหมดทั้งปวง ยกออกหมดเลย และพระองค์ทรงถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 ถ้าใครเชื่อข่าวดีตรงนี้ ความเชื่อตรงนั้น ทำให้เขาได้รับความรอดจากการถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตาย คือหลังควาตายเขาไม่ต้องพินาศ เขาได้รับการบังเกิดใหม่ในวิญญาณทันที บนโลกใบนี้เลย ในขณะที่เขาเชื่อและวางใจในข่าวดีของพระเยซูคริสต์

            ดังนั้น พิธีบัพติศมาในน้ำ ที่เราจะกระทำในวันนี้ และผู้คนกระทำมา 2,000 ปีแล้ว จึงไม่ใช่เป็นสิ่งที่ช่วยให้คนใดคนหนึ่งได้รับความรอดจากการเป็นคนบาปเลย พูดง่ายๆ คือไม่ได้ช่วยให้รอดจากความพินาศ  เพราะความรอดเกิดขึ้นเมื่อใครก็ตามเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ และสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขนนั่นต่างหาก เอเฟซัส 2:8-9 ยืนยันในเรื่องนี้ว่า …

        เอเฟซัส 2:8-9  “8 เพราะโดยพระคุณ ความเมตตา และความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอด พ้นจากการถูกตัดสินลงโทษเนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ ผ่านทางความเชื่อ 9 ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้”

            ไม่ใช่ความรอด โดยการประพฤติหรือการกระทำ หรือความพยายามที่จะรักษาบทบัญญัติ รักษาความดี ตามที่เราคิด พระเจ้าบอกว่าเพื่อจะได้ไม่มีใครอวดได้ว่า …

            “ฉันรอด ฉันกลายเป็นคนบริสุทธิ์ ดีพร้อม ไปอยู่ในสวรรค์ได้ เพราะฉันกระทำดีมากกว่าเธอ”

            นี่เขาเรียกว่าโอ้อวด

            “ฉันกระทำดีมากกว่าเธอ ฉันรักษาศีลได้มากกว่าเธอ ได้มากข้อกว่าเธอ รักษาบัญญัติของพระเจ้าได้มากกว่าเธอ ประพฤติดีได้มากกว่าเธอ”

            ไม่มีใครสามารถอวดได้อย่างนี้ว่าเขาได้รับความรอด ไปสู่สวรรค์ ด้วยความดีของเขา ที่พยายามทำ อันนี้ไม่ได้หมายถึงว่าไม่ต้องทำดี ทำดีก็ได้ผลของสิ่งที่กระทำดีนั้น  เก็บเกี่ยวของดีนั้นบนโลกใบนี้เท่านั้น  แต่มิได้เกี่ยวกับผลของการอยู่ในสวรรคสถาน หลังความตายเลย

            อาจารย์เปาโลอยากจะให้พี่น้องได้เห็นว่าสิ่งที่พระเจ้าบอกให้กระทำนั้น มันเล็งถึงโลกฝ่ายวิญญาณ ซึ่งสำคัญกว่าสิ่งที่พระเจ้าบอกให้ทำ พระเจ้าบอกให้รับบัพติศมาด้วยน้ำ เพื่อเล็งถึงภาพ หรือพูดง่ายๆ เพื่อระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณว่ามันคืออะไร? อาจารย์เปาโลเลยไม่อยากให้พี่น้อง คริสเตียนทั้งหลาย ไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่เป็นภาพหรือเป็นสัญลักษณ์มากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในโลกวิญญาณ พระเจ้าต้องการให้มนุษย์เห็นภาพว่าในโลกวิญญาณมันเกิดขึ้นอย่างนี้ แต่มนุษย์ก็ไปติดยึดกับพิธีกรรมต่างๆ เหล่านั้นว่ามันเป็นจริงเป็นจังมากเหลือเกิน ลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

            อาจารย์เปาโลเลยบอกว่าท่านไม่รู้หรือว่าอะไรได้เริ่มต้นเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด วันนั้น วันไหนก็ไม่รู้ วันที่ท่านได้ยินได้ฟังถ้อยคำของพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายวัน หลายปี หลายเดือนแล้ว แล้วท่านตัดสินใจว่านี้ ฉันเชื่อพระเจ้าแล้ว ที่ท่านคิดว่าท่านเชื่อท่านวางใจ ท่านต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นทันที คือการบัพติศมาในวิญญาณของท่าน ท่านได้บังเกิดใหม่ อาจารย์เปาโลบอกว่าท่านไม่รู้หรือว่าอะไรเกิดขึ้น เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับข่าวดีของพระเยซูคริสต์

            การบัพติศมาในน้ำ เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ของการที่ท่านได้เข้าส่วนร่วม เป็นวิญญาณเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ในการถูกตรึงตายบนไม้กางเขน ถูกฝังและได้เป็นขึ้นจากความตาย คือได้บังเกิดใหม่ พร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ตั้งแต่วันที่ท่านเปิดใจ การลงน้ำ เป็นภาพให้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณนั้น โรม 6:3-5 อาจารย์เปาโลจึงได้อธิบายถึงการลงน้ำบัพติศมา เห็นภาพอะไรเกิดขึ้น ในโลกวิญญาณอย่างชัดเจนมาก สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อวันที่ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตั้งแต่วันนั้นแล้ว  วันนี้ท่านจะมาลงน้ำ ก็ให้เห็นภาพ เพื่อจะได้ระลึกถึงว่า …

            “ฉันได้เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นวิญญาณเดียวกับพระองค์แล้ว ตั้งแต่วันก่อนโน้น วันนี้มาระลึกถึง มาฉลอง”

        โรม 6:3-5 “3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่เชื่อ (พระเยซู) ก็ได้ (รับบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า) ถูกนำเข้าไป เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ (ที่ไม้กางเขน) ในการบัพติศมานั้น 4 ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเอง ก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) ด้วย”

            บัพติศมา ก็คือการจุ่มเข้าไป มุดเข้าไป เข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันนั่นเอง บัพติศมาหมายถึงอย่างนี้ แปลว่าอย่างนี้ ตามภาษา

            อาจารย์เปาโลบอกว่า “ท่านไม่รู้หรือว่า”

            พูดกับใคร? พูดกับคนที่เป็นคริสเตียน  “ท่านไม่รู้หรือว่า” ก็คือท่านควรจะรู้ว่าท่านทั้งปวงที่เชื่อในพระเยซู เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว ก็ได้รับบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าแล้ว  ตั้งแต่วันนั้น วันที่ท่านเปิดใจ พระวิญญาณจุ่มท่านลง นำท่านเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ท่านถูกนำเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ และก็ได้เข้าส่วนร่วมในความตายของพระองค์ที่ไม้กางเขน เมื่อร่วมความตายกับพระองค์ที่ไม้กางเขนแล้ว

            ข้อ 4 บอกดังนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์ด้วย ก็คือพระองค์ถูกฝัง เราก็ถูกฝังด้วย โดยการบัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย เราก็ถูกฝังด้วย เพื่อเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่ บังเกิดใหม่ เช่นเดียวกับพระเจ้า ได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย  คือได้บังเกิดใหม่ โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พูดง่ายๆ ว่าให้เราเข้าไปอยู่ในวิญญาณเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ แล้วก็ร่วมไปกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันเลย พระองค์สิ้นพระชนม์ เราก็ตายไปพร้อมกับพระองค์ เพราะเราอยู่ในพระองค์ แล้วพระองค์ทรงถูกฝังไว้ เราก็ถูกฝังไว้  วันที่สาม พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย  เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย ฉะนั้น ถ้าเราได้มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการตาย แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในการเป็นขึ้นจากความตาย คือได้บังเกิดใหม่พร้อมกับพระองค์ด้วย เพราะว่าเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ไปแล้ว

            เพราะฉะนั้น พิธีบัพติศมาในน้ำ จึงเป็นภาพของคนบาปได้เกิดใหม่ เกิดมาเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ คือผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ขอบคุณพระเจ้า สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เกิดอะไรขึ้น? ข้อ 6 กับข้อ 7 ได้บันทึกต่อว่า …

        โรม 6:6-7 “เพราะเรารู้ว่าตัวเก่าของเรา (ที่อยู่ในบาปในอาดัม) ได้ถูกตรึงไว้กับพระองค์แล้ว เพื่อตัวบาปเก่านั้น จะได้ถูกขจัดไป (ตายจากบาป) เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป เพราะว่าผู้ใดที่ตายจากบาปแล้ว ก็เป็นอิสระจากบาป”

            ในโลกฝ่ายวิญญาณอะไรเกิดขึ้น เรารู้ตัวเก่าของเรา ก็คือเราเป็นคนบาป เกิดมาก็บาปแล้ว เพราะเราเกิดมาจากตระกูลของอาดัม  เป็นลูกหลานของอาดัมทั้งสิ้น ตัวเก่าของเราที่เป็นคนบาป ได้ถูกตรึงไว้กับพระเยซูคริสต์ ที่บนไม้กางเขนแล้ว เพื่อตัวเก่านั้นจะได้ถูกขจัดออกไป ก็คือได้ตายไป พร้อมกับพระเยซูที่ไม้กางเขน เพื่อเราจะไม่เป็นทาสบาปอีกต่อไป  เพราะว่าผู้ใดที่ตายจากบาปแล้ว เป็นอิสระจากบาป ก็คือไม่เป็นคนบาปอีกต่อไปแล้ว เอเมน ตัวเก่าที่เป็นคนบาป ต้องตายก่อน ถึงจะเกิดใหม่ได้ นึกให้ดีๆ อยู่ดีๆ มาเกิดได้อย่างไร? ยังไม่ได้ตายเลย ตัวเก่ายังอยู่ ไม่มีทางเกิดได้ จะเกิดได้ ต้องตายก่อน

            “จะเกิดใหม่ได้ ตัวเก่าต้องตายก่อน”

            ผมนึกถึงอะไรรู้ไหม? นึกถึงคำพูดของพระเยซู ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ ประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์เรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ พูดถึงสิ่งนี้แหละ แต่ตอนนั้น มนุษย์หรือชาวยิวยังไม่ได้เข้าใจดีว่ามันหมายถึงอะไร? เพราะเขายังไม่ได้เกิดใหม่  ไม่รู้เรื่องของโลกฝ่ายวิญญาณ พระเยซูตรัสไว้ในหนังสือมัทธิว 16:24 อย่างนี้ว่า …

        มัทธิว 16:24 “แล้วพระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า “หากผู้ใดปรารถนาจะเป็นสาวกของเรา ให้ผู้นั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตน แบกและตามเรามา”

            พระเยซูบอก … “ใครก็ตามที่เชื่อและวางใจในพระองค์ อยากจะเป็นสาวกของพระองค์ใช่ไหม? ให้ผู้นั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตน แบกและตามเรามา”

            มันเกี่ยวอะไรกับการตาย “ให้ผู้นั้นปฏิเสธตนเอง” ปฏิเสธตนเอง ก็คือไม่พึ่งพาตนเอง ในการรักษาบทบัญญัติ หรือในการกระทำต่างๆ เพื่อจะได้ไปสู่สวรรค์ ไปหาพระบิดาในสวรรค์ ซึ่งมนุษย์ทุกคนก็แสวงหาสวรรค์อย่างนี้กันทั้งนั้น ก็คือพยายามกระทำดีที่สุด เพื่อจะไปหาพระเจ้าในสวรรคสถาน พระเยซูบอกว่าถ้าเผื่อไม่ปฏิเสธตนเอง ยังพึ่งพาตนเองในการกระทำอย่างนี้ ไม่มีวันที่จะถึงสวรรค์ได้หรอก ซึ่งมันเป็นจริง มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่เธอจะรักษาความดีงามนั้นตลอดไป ไม่ทำผิดเลยแม้แต่นิดหนึ่ง มันเป็นไปไม่ได้จริงๆ ใครจะอยู่สวรรค์ได้ ต้องบริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเจ้า พระเยซูบอก เพราะฉะนั้น เธอต้องปฏิเสธตนเอง

            ปฏิเสธตนเอง ที่จะชดใช้หนี้บาปเวรกรรม ด้วยตนเอง โดยการคิดว่ากระทำดีเหล่านี้ จะลดหนี้บาปลง มันไม่ได้หมดหรอก เธอต้องปฏิเสธตนเอง แล้วรับกางเขนของตน กางเขน คืออะไร? กางเขน คือสัญลักษณ์ของความบาปและคำสาปแช่ง ในพระคัมภีร์ทั้งเล่มทั้งพระคัมภีร์เก่าและพระคัมภีร์ใหม่ พูดถึงกางเขน ก็หมายถึงการถูกสาปแช่ง การเป็นคนบาป อยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า รับกางเขนของตน ก็คือให้คนนั้นแบกความบาปของตน เพราะว่าตัวเองเป็นคนบาป กำลังพูดกับคนที่ไม่เชื่อว่าคุณเป็นคนบาป คุณจะชดใช้หนี้บาปด้วยตนเอง ทำไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้  เลิกซะ แล้วเอาความบาปนั้น ที่ถูกสาปแช่งให้ตกนรก แบกรับเอาไว้ นี่ยังไม่เชื่อนะ แบกไว้ แล้วทำอะไร? ตามเรามา พระเยซูพูดเอง คนบาป แบกบาปของตน คำสาปแช่งของตน หนี้บาปของตน  แทนที่จะชดใช้ด้วยตัวเอง  ไม่เอาแล้ว เลิก มาเชื่อพระเจ้าดีกว่า เชื่อพระเยซู แบกตามพระเยซูไป

            ตอนนี้ท่านพอจะเดาออกได้ไหม? ถามว่าพระเยซูกำลังบอกว่าแบกตามพระองค์ไป ไปไหน? ไปที่ตะกี้นี้ที่เราอ่านในหนังสือโรม 6:3-7 นั้น แบกไปที่ที่เขาตรึงพระเยซูคริสต์ ตอนที่พูดอยู่นี้ กำลังพูดกับสาวก เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แบกตามเรามา แล้วพระองค์ไปไหน? เป้าหมายของพระองค์ คือไปที่หุบเขากลโกธา หุบเขาหัวกะโหลก เพื่อไปถูกตรึงบนกางเขน พระองค์กำลังบอกว่าให้แบกบาปของเราไปพร้อมกับพระองค์ แล้วไปถูกตรึงไว้กับพระองค์ ร่วมกับพระองค์ที่กลโกธา บนไม้กางเขนนั้น แบกบาปของท่าน แบกคำสาปแช่งของท่านไปที่นั่น แล้วไปถูกตรึงร่วมกับพระองค์ ตัวเก่าที่เป็นบาปนั้น จะได้ตายไป

            เพราะฉะนั้น เวลาเราร้องเพลงนี้ ก็ควรจะเข้าใจถึงถ้อยคำพระเจ้าแบบนี้เช่นกันว่าพระเยซูกำลังบอกให้สาวกทำอะไร? เราทั้งหลายนำมาใช้ได้ในปัจจุบัน ท่านทั้งหลายที่จะลงน้ำในวันนี้ ท่านได้ตัดสินใจแล้ว ก่อนวันนี้ ท่านได้ตัดสินใจแล้วว่า …

            “ข้าตัดสินใจแล้ว จะตามพระเยซู (x3)         ไม่หันกลับเลย (x2)”

            ท่านตัดสินใจไปแล้ว วันไหนไม่รู้ เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ นั่นแหละ คือการตัดสินใจของท่าน  ท่านตามพระเยซูมาตั้งแต่วันแรกที่ท่านได้ยินข่าวดี เมื่อไรก็ไม่รู้ ท่านก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง แต่ก็รับฟังไว้อย่างนั้นแหละ ท่านไม่ปฏิเสธ ท่านฟังจากเพื่อน จากพี่ จากน้อง จากพ่อ จากแม่ จากสื่อต่างๆ ฟังแล้วฟังเล่า ท่านไม่ปฏิเสธ ท่านฟังข่าวดีไป ฟังไปเรื่อยๆ เข้าท่า จนกระทั่งวันหนึ่ง ท่านปฏิเสธตัวเอง ไม่ไหวแล้ว ฉันอยู่อย่างนี้ไม่ได้แล้ว มีแต่ปัญหา วุ่นวายไปหมด แล้วจิตใจก็ไม่สงบ ฉันรู้สึกว่าชดใช้หนี้บาปเวรกรรมตัวเองไม่ไหวแล้ว  ฉันขอพึ่งในพระเยซูดีกว่า ท่านกำลังปฏิเสธตนเอง แล้วก็เอาไม้กางเขน ความบาปและคำสาปแช่ง ที่ตัวเองรับอยู่ตามพระเยซูไป ไปที่ไม้กางเขน  แล้วท่านก็เปิดใจต้อนรับ นั่นแหละวันนั้น พอท่านเปิดใจปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็นำวิญญาณของท่านเข้าไปร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน ย้อนกลับไป 2,000 ปี และท่านก็เข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่ ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์

            ฉะนั้น ข้าตัดสินใจแล้วจะตามพระเยซู (x3)  ไม่หันกลับเลย (x2) ไม่มีทางหันกลับแล้วอีกต่อไป เพราะว่าเมื่อท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ พระองค์กอด รัดท่านไว้ ไม่มีใครแยกท่านออกจากพระองค์ได้อีกเลยแม้แต่นิดเดียว แม้ท่านอยากจะออกไป ยังออกไม่ได้เลย เข้าแล้วออกไม่ได้ นี่เรื่องจริง ต่อให้ถูกล่อลวง ถูกหลอกด้วยความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ซึ่งเกิดขึ้น เป็นเรื่องธรรมดา ท่านอาจจะเหนื่อยทางร่างกาย ท่านอาจจะบ่นกับพระเจ้า ไม่เอาพระองค์ แต่ท่านได้เชื่อพระองค์ และได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว พระองค์ก็บอกว่าล้มลงไม่เป็นไร? จะล้มลงกี่ครั้ง เราก็ยังซื่อสัตย์ เราก็ยังจะอุ้มเจ้า ชูขึ้นมา เอเมนไหม?

            นี่แหละ คือข่าวดีของพระเจ้า คือเชื่อแล้วเชื่อเลย รอดแล้ว รอดเลย ท่านเองจะทำอะไรให้มันเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย พระเจ้าบอกเมื่อเข้าคอกของพระองค์ ไม่มีใครเอาแกะออกจากคอกของพระองค์ได้ พระเจ้าบอกว่าไม่มีใครที่ไหน? อำนาจอะไรต่างๆ เหล่านั้น จะใหญ่ขนาดไหนก็ตาม ไม่สามารถมาเอาเราออกจากความรักของพระเยซูคริสต์ได้ เอเมน พระเจ้าบอก เราจะไม่ละทิ้งเจ้า เราจะอยู่กับเจ้าเสมอ และตลอดไปเป็นนิจนิรันดร์ เอเมน พระเยซูบอกว่าเราจะอยู่กับเจ้าจนถึงสิ้นยุค ก็คือจนกระทั่งสุดโลกใบนี้  จนกระทั่งถึงนิรันดร์  นี่คือภาพ

            เราอย่าถูกหลอก เมื่อตัดสินใจ เชื่อพระเยซูแล้ว ได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว ยังถูกหลอกให้ร้องเพลงนี้บอกว่า “ฉันยังแบกกางเขนของฉันอยู่” เป็นคริสเตียนแล้ว ไม่ต้องแบกกางเขนของตนเองแล้ว เพราะว่ากางเขนของตัวเองอยู่ที่ไหนตอนนี้ อยู่ที่ไม้กางเขนของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ บนไม้กางเขนนั้น  เราถูกตรึงอยู่ที่นั่นแล้ว ตัวเก่าของเราที่เต็มไปด้วยความบาปและคำสาปแช่งได้ถูกตรึงอยู่บนไม้กางเขน มองไม้กางเขน มองชัยชนะอย่างนี้  ไม่ใช่มองไม้กางเขน ฉันยังแบกบาป คำสาปแช่งอยู่ ทารุณเหลือเกิน ไม่ใช่อย่างนั้น ในกาลาเทีย 2:20 อาจารย์เปาโลจึงได้บันทึกอย่างนี้ว่าเมื่อถูกตรึงบนไม้กางเขนแล้ว เป็นคริสเตียนแล้ว มันจะเกิดอะไรขึ้นอย่างนี้ ฉันดำเนินชีวิตอยู่ด้วยคอนเชปนี้ คือ …

        กาลาเทีย 2:20 “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว และข้าพเจ้าไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า”

            เพลงข้าตัดสินใจแล้ว ท่อน 2 บอกว่า “กางเขนนำหน้าข้า  ทิ้งโลกไว้เบื้องหลัง (x3) ไม่หันกลับเลย (x2)” ท่านรู้แล้วใช่ไหม “ไม่หันกลับเลย” แปลว่าอะไร? ไม่หันกลับเลย ท่านเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว ไม่มีใครเอาท่านออกไปจากสวรรค์นี้ได้อีกแล้ว

            กางเขนนำหน้าข้า คืออะไร? ก็คือสัญลักษณ์ของตัวเก่าของฉันที่ถูกตรึงบนไม้กางเขนนั้น ตัวเก่า บาปมันตายไปแล้ว มันจบไปแล้ว ชีวิตที่ดำเนินอยู่ทุกวันนี้ เป็นชีวิตใหม่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ฉันดำเนินชีวิตในพระคริสต์ พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า พระคริสต์ต่างหากที่อยู่ในฉัน  พระคริสต์กับบาปอยู่ด้วยกันได้อย่างไร? ไม่ได้ ฉันกับพระคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน พระคริสต์ชอบธรรมอย่างไร? ฉันก็ชอบธรรมอย่างนั้น พระคริสต์บริสุทธิ์อย่างไร? ฉันก็บริสุทธิ์อย่างนั้น พระคริสต์ดีพร้อมอย่างไร? ฉันก็ดีพร้อมอย่างนั้น

            “กางเขนนำหน้าข้า ทิ้งโลกไว้เบื้องหลัง” โลก คือชีวิตเก่าของเรา  โลก คือความบาปและความตาย  และคำสาปแช่ง ที่อยู่บนโลก เราหลุดจากโลกเรียบร้อยแล้ว โลกอยู่เบื้องหลัง

            กางเขนนำหน้าข้า คือข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าไม่ได้มีชีวิตอยู่แบบโลกนี้อีกต่อไป  แต่พระคริสต์ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้าต่างหาก เอเมน

            เพราะฉะนั้น การบัพติศมาในน้ำ จึงเป็นการประกาศความเชื่อ ที่มีพลังมหาศาลที่สุดเลย เป็นความจริง เป็นอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่คนๆ หนึ่งสามารถประกาศตรงนี้ได้ว่า …

            “ฉันไม่ได้เป็นคนบาปอีกต่อไปแล้ว  ฉันได้บังเกิดใหม่ในพระคริสต์เรียบร้อยแล้ว ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว  สมบูรณ์ครบถ้วน ไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียวแล้ว ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ทันทีแล้ว ฉันเชื่ออย่างนี้ ฉันจึงมาลงน้ำ บัพติศมา เพื่อให้เห็นภาพว่านี่แหละ คือสิ่งที่เกิดขึ้น”

            ฟังให้ดีๆ “ฉันเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าว่าฉันเป็นคนดี บริสุทธิ์ สมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ฉันเป็นคนชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม”

            “ฉันเป็นคนบริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อมในพระคริสต์แล้ว แต่ฉันไม่ใช่คนที่ประพฤติบริสุทธิ์ ดีพร้อม สมบูรณ์แล้วในพระคริสต์”

            ปฏิบัติมันคนละเรื่องกับความเป็น … “ฉันเป็นแล้ว แต่ฉันไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้มีการกระทำ ความประพฤติที่ดีพร้อม สมบูรณ์ ครบถ้วนเหมือนพระเจ้า เดินบนโลกใบนี้  ไม่ใช่ ฉันก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ แต่เป็นมนุษย์ที่อยู่ภายใต้การนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ข้างในฉันเกิดใหม่ เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว ฉันจึงประกาศว่าฉันได้อยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์แล้ว”

            เราลงน้ำ บัพติศมา ให้เราเห็นภาพนี้ว่า …

            “ฉันได้อยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์แล้ว พระคริสต์ได้อยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริแล้ว ตั้งแต่วันที่ฉันเปิดใจต้อนรับ  พระเยซูคริสต์ไปเรียบร้อยแล้ว”

            มันเป็นความจริงในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ แต่มันเป็นเรื่องจริง …

            “ฉันรู้ว่าฉันรู้ ฉันรู้ เพราะอยู่ในใจ อยู่ข้างในลึกๆ พระวิญญาณบริสุทธิ์ยืนยันให้กับวิญญาณของฉัน ฉันเข้าใจรู้ว่าใช่อย่างนี้จริงๆ ฉันจึงตัดสินใจลงน้ำ บัพติศมา เพื่อสำแดงให้เห็นว่านี่แหละ ฉันจะระลึกถึงสิ่งนี้ตลอด”

            บางท่านอาจจะถามว่าที่เป็นความจริงในโลกฝ่ายวิญญาณที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ ถ้าเป็นจริงตามนั้นว่าเราได้รับสิ่งเหล่านี้แล้ว ตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด มันเกิดขึ้นแล้ว

            บางท่านอาจมีคำถามว่าเมื่อบังเกิดใหม่ เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่เปิดใจต้อนรับพระเยซู  อาจจะถามว่า … “ถ้าอย่างนั้น ฉันได้เกิดใหม่แล้ว ไม่เข้าพิธีรับบัพติศมาในน้ำได้หรือไม่?”

            “เกิดใหม่แล้ว ไม่รับบัพติศมาในน้ำได้หรือไม่?”

            “ได้ เพราะว่าฉันรอด เพราะความเชื่อ”

            ถ้าถามอย่างนี้ล่ะ … “รับบัพติศมาในน้ำแล้ว แต่ฉันไม่เกิดใหม่ได้หรือไม่?”

            “ไม่ได้”

            มีไหม? มี บางคนไม่รู้เรื่องอะไร? เห็นเขาลงกัน “ฉันลงด้วย น้ำคงศักดิ์สิทธิ์มั้ง มาที่คริสตจักรโฮลี่ สระน้ำศักดิ์สิทธิ์มาก ลงไป ขึ้นมา ฉันหายจากบาปทันที” มีประโยชน์ไหม? ไม่มี

            สมัยก่อนนี้ ตอนประกาศความเชื่อเรื่องฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าใหม่ๆ พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับการรักษาโรค หลายคนบอกว่าลงน้ำ บัพติศมา ขึ้นมา ก็จะหายโรคเลย โดยเฉพาะให้ฝ่ามือไล่มาร เป็นคนทำพิธีให้ จะช่วยทำให้มีความเชื่อเพิ่มขึ้น ลงน้ำ บัพติศมา ขึ้นมา โรคหายทันที ไม่ใช่ การเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ต่างหาก เชื่อและวางใจในการกระทำของพระองค์บนไม้กางเขน ทำให้บังเกิดใหม่ จึงเป็นกุญแจสำคัญที่นำมาสู่ความรอดจากความพินาศในนรก จะลงน้ำเท่าไรก็ตาม ถ้าไม่มีความเชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า ในการกระทำของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  ลงน้ำ ขึ้นมา ก็ยังเป็นคนบาปเหมือนเดิม ไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่ความเชื่อและวางใจในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ทรงกระทำอะไรให้กับเราที่ไม้กางเขนนั้นต่างหาก ที่เป็นกุญแจสำคัญ

            คราวนี้ จุดประสงค์ของการรับบัพติศมาในน้ำคืออะไร?  มาฟัง คนที่จะรับบัพติศมาในน้ำจะเห็นว่าถ้าเช่นนั้น มันไม่สำคัญ ก็ไม่ต้องมาลงสิ เดี๋ยวก่อน มีพร มีประโยชน์ มีสิ่งดีๆ อยู่ในนั้น …

            จุดประสงค์ของการรับบัพติศมาในน้ำ คือ …

            1. การแสดงออกถึงความเชื่อ : การบัพติศมาในน้ำ เป็นการประกาศต่อสาธารณะว่าเราเชื่อในพระเยซู และยอมรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ในหนังสือกิจการ 2:38 ได้มีตัวอย่างให้เห็น

        กิจการ 2:38 “พวกท่านทุกๆ คนจงกลับใจ และรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์   เพื่อรับการยกโทษบาปของท่าน  แล้วท่านจะได้รับของประทาน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์”

            อะไรมาก่อน จงกลับใจเชื่อ และกลับใจ ได้รับของประทาน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วก็ลงน้ำซะ ลงน้ำ เพื่อมาฉลองและระลึกถึงสิ่งที่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ

            2. การระลึกถึงการตายและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู : จุดประสงค์ คือการะลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ การลงไปในน้ำเป็นสัญลักษณ์ของการตาย เดี๋ยวพอท่านลงไปในน้ำ ไม่ใช่เป็นความศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นสัญลักษณ์ เป็นภาพของการตาย วิญญาณตายพร้อมพระเยซู และการถูกฝังร่วมกับพระเยซู พอท่านลงไปในน้ำ จะมุดหรือไม่มุดก็ตาย ให้เห็นภาพว่าลงไปในน้ำนั้น ก็คือการตาย และถูกฝังไว้พร้อมพระเยซูคริสต์ และการขึ้นจากน้ำเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นขึ้นจากความตาย เกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์เช่นเดียวกัน  ให้เห็นภาพอย่างนี้ ในโรม 6:4 …

        โรม 6:4 “ดังนั้น เราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ โดยการได้บัพติศมาเข้าส่วนร่วมในความตาย เพื่อว่าเราเอง ก็จะได้มีชีวิตใหม่ (บังเกิดใหม่) เช่นเดียวกับที่พระเจ้าได้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย (บังเกิดใหม่) โดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณ และพระเกียรติสิริของพระบิดา”

            3. การยืนยันความเป็นหนึ่งเดียวกันกับคริสตจักร : การบัพติศมาในน้ำเป็นการแสดงถึงการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวคริสเตียนทั่วโลก ครอบครัวของพระเจ้าทั่วโลกเลย ทางด้านวิญญาณ  ท่านเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขาแล้ว 1 โครินธ์ 12:13 …

        1 โครินธ์ 12:13 “เพราะเราทั้งหมดก็รับบัพติศมา โดยพระวิญญาณองค์เดียว เข้าเป็นกายเดียวกัน ไม่ว่าเราจะเป็นยิวหรือกรีก เป็นทาส หรือเป็นไท และเราทั้งหมดก็ได้รับพระวิญญาณองค์เดียวกัน”

            ตอนนี้ท่านเป็นพี่น้องกับคริสเตียนในวิญญาณทั่วโลก อยู่ขั้วโลกเหนือ ท่านก็เป็นพี่น้องกับเขา

            4. การยืนยันความเชื่อมั่นในพระคุณของพระเจ้า : การบัพติศมาในน้ำ เป็นการยืนยันว่าเราได้รับการอภัยบาปและรับชีวิตใหม่เรียบร้อยแล้ว  ผ่านพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยการประพฤติ การกระทำของเราเอง เอเฟซัส 2:8-9 …

        เอเฟซัส 2:8-9 “เพราะโดยพระคุณ ความเมตตา และความโปรดปรานของพระเจ้า ที่ได้นำท่าน  เข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับความรอด พ้นจากการถูกตัดสินลงโทษ เนื่องจากบาป และได้รับชีวิตนิรันดร์ ผ่านทางความเชื่อ ความรอดนี้ ไม่ได้เป็นผลจากการพยายามทำด้วยตัวท่านเอง แต่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่ได้ประทานให้”

            เราหมดบาป หมดเวร หมดกรรม หมดสิ้นแล้ว หมดมลทินทั้งปวง ด้วยพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่การกระทำของตนเอง

            การรับบัพติศมาในน้ำ จึงเป็นการเฉลิมฉลองความรอด ระลึกถึงความรอด และการบังเกิดใหม่ที่เราได้รับผ่านทางความเชื่อในพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้รับมาแล้ว เรามาฉลองกัน และเป็นการยืนยันถึงความเชื่อ ในความสัมพันธ์ใกล้ชิดติดสนิทกับพระองค์มากที่สุดถึงที่สุด ก็คือเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์ และเป็นครอบครัวที่มีพี่น้องฝ่ายวิญญาณในสวรรค์ร่วมกันในพระองค์ เป็นหนึ่งเดียวกันในสากลโลกเลย

            เพราะฉะนั้น ในขณะที่ท่านกำลังรับบัพติศมาในน้ำอยู่ หรือตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ท่านจงรับรู้ และจงมองให้เห็นเถิดว่า …

                        –  ฉันได้อยู่ในพระคริสต์ เป็นชีวิตนิรันดร์แล้ว

                        –  พระคริสต์ได้อยู่ในฉัน เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริแล้ว

                        –  ฉันได้เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ดีพร้อมแล้ว

                        –  ฉันบริสุทธิ์เหมือนพระองค์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์แล้ว

                        –  ไม่มีใครแยกเราออกจากกัน  เพราะความรักของพระองค์ เป็นนิรันดร์

                            ที่มอบให้กับฉันแล้ว

                        –  ฉันเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระองค์แล้ว

                        –  ฉันซ่อนอยู่ในพระองค์ตลอดไป

                        –  ฉันได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว 

                        –  พระคริสต์ได้อยู่ในฉันแล้ว

                        –  เราได้เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว … ตั้งแต่บัดนี้จนถึงนิรันดร์

            พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 14

                        คริสเตียน!

            ก่อนเชื่อ … เป็นลูกแห่งการไม่เชื่อฟังพระคริสต์

            หลังเชื่อ … เป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระคริสต์

            ก่อนเชื่อ … ได้เกิดมาเป็นลูกของมาร ผู้ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อต้านพระคริสต์

            เอเฟซัส 2:2 … “ครั้งเมื่อก่อนท่านเคยประพฤติในการบาปนั้น ตามวิถีของโลก ตามเจ้าแห่งย่านอากาศ คือวิญญาณที่ครอบครองอยู่ ในบรรดาลูกแห่งการไม่เชื่อฟัง (เป็นปฏิปักษ์ต่อต้านพระคริสต์)”

            หลังเชื่อ … ได้เกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้า ผู้ซึ่งเป็นพระบิดาของพระคริสต์

            1 เปโตร 1:2-3 … “2 พระเจ้าพระบิดา  ได้ทรงเลือกสรรพวกท่าน  ตามที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้าแล้ว  ผ่านทางการทรงชำระให้บริสุทธิ์ของพระวิญญาณ  เพื่อให้พวกท่านมาเชื่อฟังพระเยซูคริสต์ (เพื่อให้ท่านมาบังเกิดใหม่เป็นลูกแห่งการเชื่อฟังพระคริสต์) และรับการประพรม  ด้วยพระโลหิตของพระองค์  ขอพระคุณและสันติสุข  มีแต่พวกท่านอย่างล้นเหลือ 3 สรรเสริญพระเจ้า  พระบิดาขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา  ด้วยพระเมตตายิ่งใหญ่  พระองค์ทรงให้เราทั้งหลายบังเกิดใหม่  เข้าในความหวังอันยืนยง  โดยการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์”

            ก่อนเชื่อ …

            ได้เริ่มต้นด้วยการรับฟัง เมล็ดพันธุ์แห่งข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ไปเรื่อยๆ  แล้วก็จะมีวันเวลาหนึ่งที่เมล็ดพันธุ์นั้น เจริญเติบโตงอกออกมา เป็นผลทำให้ท่านพร้อมที่จะเปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้จริงๆ จากใจ

            หลังเชื่อ …

            และทันทีที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์  เข้ามาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด  พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าก็ได้นำท่านเข้าสู่กระบวนการการบังเกิดใหม่  เข้ามาในอาณาจักรของพระเจ้า  เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า ที่เต็มไปด้วยความเชื่อศรัทธาในพระเจ้าทันที   จากการเป็นลูกที่ไม่เชื่อฟังพระคริสต์ มาเกิดใหม่เป็นลูกที่เชื่อฟังพระคริสต์

            เราทำแค่อย่างเดียว คือตัดสินใจ เปิดใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาปเท่านั้น

            แล้วพระเจ้าจะประทานความเชื่อศรัทธา ชนิดที่เป็นของพระเจ้าเท่าเมล็ดมัสตาร์ด  เข้ามาในวิญญาณและใจของเรา ทำให้เราได้รับการบังเกิดใหม่ เป็นลูกแห่งการเชื่อฟัง จากนั้น ก็ไม่ต้องทำอะไรเลย  พระเจ้าจะเป็นผู้ดูแลวิญญาณของเรา ที่พระองค์ได้ไถ่ไว้เองทั้งหมด  เขาจึงเรียกว่าพระคุณ

            คริสเตียนจึงมีความเชื่อที่เป็นของประทาน เป็นธรรมชาติอยู่ภายในวิญญาณที่บังเกิดใหม่ เป็นความเชื่อที่เป็นนิรันดร์ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

            ไม่ใช่ ความเชื่อแบบโลกที่มนุษย์คิด ที่มนุษย์อุปทาน ที่มนุษย์พยายามสร้างขึ้นมาเอง ตามระบบของโลก

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1509

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  กุมภาพันธ์  2025

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 13

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในหนังสือกาลาเทีย ครั้งที่แล้ว เราจบลงที่ข้อ 15 ที่อาจารย์เปาโลมาประกาศข่าวดี คนเหล่านี้ได้ต้อนรับอาจารย์เปาโลอย่างดี แต่พอนานเข้า มีข่าวประเสริฐที่แทรกแซงเข้ามา เหมือนคนเหล่านี้เขาไม่ชอบใจอาจารย์เปาโลว่า …

            “มาสอนอะไร? ฉันต้องทำโน่นทำนี่ ถึงจะได้รับความรอด แต่อาจารย์เปาโลยังคงยืนยันเหมือนเดิม ความรอดมาจากพระคุณ ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติของใคร?  เรามาดูข้อที่ 16 บอกว่า …

        กาลาเทีย 4:16 “บัดนี้ ข้าพเจ้าได้กลายเป็นศัตรูของท่าน   เพราะบอกความจริงแก่ท่านหรือ?”

            ตั้งคำถามกับชาวกาลาเทียว่าที่พวกคนเหล่านี้ไม่พอใจอาจารย์เปาโล  เป็นศัตรูกับอาจารย์เปาโล เพราะว่าอาจารย์เปาโลได้พูดความจริงเกี่ยวกับเรื่องราวข่าวดีของพระเจ้ากระนั้นหรือ? จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไหม? ซึ่งความเป็นจริง ณ เวลานั้น การปฏิบัติของคนกาลาเทีย เขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ เขามีความรู้สึกว่าอาจารย์เปาโลไม่น่าเชื่อถือ คนที่มาสอนเขาทีหลังว่าควรจะต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้ น่าเชื่อถือกว่าเยอะ

            พระคัมภีร์บอกว่ามนุษย์เป็นคนบาป แต่ตอนนี้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราไม่ได้เป็นคนบาปอีกแล้ว ก่อนหน้านั้น มนุษย์พยายามอยากจะทำดี ด้วยกำลังของตัวเอง พี่น้องฟังดีๆ ทำดี ไม่ได้ทำสิ่งที่ไม่ดี พยายามทำดีตามกำลังของตัวเอง ซึ่งการพยายามทำดีตามกำลังของตัวเอง ก็หล่น พ้นจากพระคุณของพระเจ้า

            ความบาปที่ใหญ่หลวงของมนุษย์  ไม่ใช่เพราะเขาทำดี  ไม่เกี่ยวนะ แต่เพราะเขาพยายามพึ่งพาการกระทำดีของตัวเอง แทนที่จะมาพึ่งพาพระเจ้า นี่แหละคือบาปของมนุษย์ ฉะนั้น เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว สิ่งที่พระเจ้าต้องการให้เรารับรู้ความจริง ก็คือพระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราทุกคนสำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว ความรอดได้สำเร็จเรียบร้อยไปแล้ว  แล้วพวกเราได้รับเรียบร้อยไปแล้วด้วย ฉะนั้น เราไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะพยายามทำอะไรก็ตามเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เพื่อทำตัวเองให้ได้รับความรอด เรารอดแล้ว แต่ผลที่มันมาแตกต่างกัน ก็คือหลังจากที่เรารอดแล้ว มันจะจากข้างในวิญญาณของเรา ที่เราปรารถนา อยากจะทำดีให้กับพระเจ้า มันต่างกัน เราพยายามทำดี เพื่อเราจะได้รับความรอด หรือพยายามทำดี เพื่อจะให้พระเจ้าพอใจในเรา อันนั้นเรากำลังทำผิด แต่ถ้าเราทำดีจากข้างใน รับรู้ว่าเราเป็นคนดีแล้ว โดยพระคุณพระเจ้า แล้วเราจะสำแดงตัวตนแท้ๆ ที่เป็นความดีออกไปให้คนได้เห็น อันนี้ต่างกัน ถ้าเราทำแบบหลังจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า เป็นการนมัสการที่ถูกต้อง ก็คือทำตามสิ่งที่พระเจ้าได้ใส่ไว้ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ข้อที่ 17 …

        กาลาเทีย 4:17-19 “17 คนพวกนั้นร้อนรนเพื่อชนะใจท่าน  แต่ไม่ใช่เพราะหวังดี สิ่งที่เขาต้องการ   คือแยกท่านออกไปจากเรา  เพื่อให้ท่านร้อนรนเพื่อพวกเขา 18 ถ้าร้อนรนเพราะหวังดีก็ดีอยู่    ขอให้เป็นเช่นนั้นตลอด ไม่ใช่แค่เฉพาะช่วงที่ข้าพเจ้าอยู่กับท่าน 19 ลูกที่รักเอ๋ย ข้าพเจ้ายังต้องเจ็บปวดราวกับคลอดบุตรเพื่อท่านอีก จนกว่าพระคริสต์จะทรงก่อร่างขึ้นในท่าน”

            อาจารย์เปาโลพยายามบอกกับชาวกาลาเทียว่าคนที่มาทีหลังท่าน ที่พยายามมาเสี้ยมสอนให้ชาวกาลาเทียประพฤติปฏิบัติอะไรก็แล้วแต่ ที่เขานำเสนอมา แล้วชาวกาลาเทียก็เห็นด้วย เพราะธรรมชาติอยากทำอยู่แล้ว  เป็นพื้นฐานของความบาปของมนุษย์   ที่พยายามอยากทำ      แต่พระเจ้าบอกเราว่าไม่ต้องทำแล้ว คือเรารอดแล้ว  แต่ถ้าเราจะทำจริงๆ มันจะต้องทำจากข้างในวิญญาณของเราออกมา ไม่ใช่ทำจากการหว่านล้อมทุกรูปแบบของคนรอบข้าง  อันนี้เราต้องชัดเจน

            ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกว่า … “คนเหล่านี้ไม่ได้หวังดีกับพวกเธอหรอก เขาพยายามที่จะส่งข้อมูลให้เธอ แทนที่เธอจะเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เธอกลับพยายามทำ ด้วยกำลังของตัวเอง”

            ซึ่งผลปลายทาง มันจะมีผลที่น่ากลัวมาก  ก็คือถ้าเราเชื่อพระเจ้าแล้ว แล้วเราถูกหลอกให้พยายามทำดี  แล้วมนุษย์พยายามทำดี คือดีแค่นี้เราไม่พอ  พอดีแค่นี้ เราก็อยากดีอีก ดีขึ้นเรื่อยๆ ดี จนถึงจุดหนึ่งที่เราดีไม่ไหวแล้ว เราแป๊ก แล้วเราทำอย่างไร? เกิดอาการฟ้องผิดว่าแย่เลย ทำไมเราทำไม่ดี กลายเป็นว่าเราพึ่งในตัวเองว่าเราต้องทำดี เพื่อให้พระเจ้าพอใจ  แต่ความเป็นจริง คือพระเจ้าพอใจเรามากๆ ตรงไหน? ตรงที่ว่าเราเปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  นั่นคือความพอใจของพระเจ้า วิญญาณเราได้รับการบังเกิดใหม่  พระเจ้าพอใจมาก  แล้วพระเจ้าก็รับเราเป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย นี่คือความพึงพอใจของพระเจ้า

            แล้วพระเจ้าบอกว่าพระองค์ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว แล้วไม่มีมนุษย์คนไหนในโลกใบนี้ สามารถดึงเรา หรือแยกเราออกจากความรักของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ตรงนี้ได้เลย มันทำไม่ได้ มันทำได้อย่างเดียว คือหลอกเรา หลอกผู้เชื่อทั้งหลาย ให้ผู้เชื่อพยายามดิ้นรน  เพื่อที่จะทำโน่นทำนี่ ซกๆ  เพื่อจะทำให้พระเจ้าพอใจ แล้วพระเจ้าก็ไม่ต้องการให้เราเป็นแบบนั้น

            สิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำให้พวกเราสำเร็จแล้ว ก็คือให้เราเข้ามารับพระพร ชีวิตของผู้เชื่อ คือเข้ามารับพระพรจากพระเจ้า พระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการที่พระเจ้าให้เราเรียบร้อยไปแล้ว นั่งนับพระพรที่พระเจ้าให้กับเราในโลกฝ่ายวิญญาณ แต่โลกฝ่ายวัตถุ เราเคยร้องเพลงนับพระพรไหม?  เพลงนับพระพร เขาจะพูดถึงคุณภาพชีวิตของผู้เชื่อในระหว่างที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราจะเจอกับปัญหาอุปสรรคมากมายผ่านเข้ามาในชีวิตของเราแน่นอน แต่ว่าพอเราเจอปัญหาปุ๊บ สิ่งที่เราจะทำได้ ก็คือหันไปนับพระพรฝ่ายวิญญาณ ที่พระเจ้าทำให้เราสำเร็จแล้ว แล้วเมื่อเราเรียนรู้ที่จะนับพระพรปุ๊บ ใจเราเกิดสันติสุข  ตรงที่ว่าไม่เป็นไร การที่เราอยู่บนโลกใบนี้ มันเป็นช่วงสั้นมาก  แม้เราจะต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ปัญหา 108, 1009 พระเจ้าไม่ได้อยากให้เราเจอปัญหา แต่เพราะโลกนี้ มันเสื่อมโทรมไปแล้ว เราก็เลยต้องเจอหางว่าว โดยปริยาย แต่สิ่งที่มันสำคัญ ก็คือผู้เชื่อมีหลักประกันที่แน่นอน มีเกราะป้องกันที่ยิ่งใหญ่มาก ก็คือพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในเรา ในขณะที่เราเผชิญกับปัญหามากมาย ที่เราดูเหมือนว่าไม่ไหวแล้ว แต่พระเจ้าที่อยู่ในเรา พระองค์จะจูงมือเราเดิน พระองค์จะให้กำลังเรา ให้สติปัญญาเรา เมื่อเราหันกลับไป ผ่านมาได้อย่างไรไม่รู้ เชื่อพระเจ้ามา 30 กว่าปี เจอทุกรูปแบบ ผ่านร้อนผ่านหวาน พี่น้องเห็นดิฉันยืนอยู่ตรงนี้ว่าสุขสบายดี ไม่สุขสบายดีหรอก มีปัญหาเหมือนชาวบ้านนั่นแหละ แค่ไม่คุยให้ฟังเท่านั้นเอง

            ฉะนั้น ปัญหาทุกคนมี แล้วเราก็จะเห็นพระคุณของพระเจ้า ผ่านทางปัญหาทุกรูปแบบ ที่เข้ามาในชีวิตของเรา ถ้าไม่มีปัญหา เราไม่สามารถเห็นพระคุณของพระเจ้าได้เลย เราก็อยู่ไปทุกวัน แฮปปี้มีความสุข  ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า กลายเป็นความเคยชิน ที่ว่ามันก็โอเคแล้ว แต่ว่าพอปัญหาผ่านเข้ามาปุ๊บ สิ่งแรกที่เราจะนึกถึง คือเรามีพระเจ้า พระเจ้าอยู่ข้างในเรา แล้วพระองค์ผู้นี้ เป็นพระผู้ทรงฤทธานุภาพยิ่งใหญ่สูงสุด  เป็นพระผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เหนือกว่านั้นอีก เป็นพ่อของเรา

            พี่น้องลองคิดดู พระเจ้าองค์นี้เป็นพ่อของเรา มีพ่อคนไหนที่จะยอมปล่อยให้ลูกตัวเองตกระกำลำบาก ไม่มีพ่อคนไหนเขาอยากทำ แต่ว่าที่ลูกต้องตกระกำลำบาก มันเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ เหมือนกับเวลาเราเลี้ยงลูก ลูกเล็กๆ ไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกหกล้ม หัวโน แต่เหลนดิฉัน คนโต เจ้าต้นโอ๊คหัวโนเป็นประจำ  เป็นเด็กที่ชอบวิ่ง วิ่งเร็ว หัวทิ่ม หัวโน ร้องไห้ ร้องไห้แล้วทำอย่างไร? ดินสอพอง มะนาวมาคนๆ แล้วก็ทาๆ  เด็กเดี๋ยวก็หาย

            ฉะนั้น ไม่มีพ่อแม่คนไหนเขาอยากให้ลูกเจ็บ จะคอยบอก คอยเตือนตลอดเวลา แต่เราห้ามเขาไม่ได้ เราจะไปผูกเขา หรือล็อคเขา หรือเอาเขาไปขังไว้ในที่แคบๆ อย่าวิ่ง อยู่เฉยๆ นะ จะได้ไม่เจ็บตัว มันเป็นไปไม่ได้  เราก็ต้องปล่อยให้เขาใช้ชีวิตแบบปกติธรรมชาติของเด็ก เด็กก็ต้องซน เป็นเรื่องปกติ  เด็กไม่ซน ก็ไม่น่าจะเป็นเด็กเนอะ ผู้ใหญ่ยังซนเลย พี่น้องอย่าไปคาดหวังว่าเด็กไม่ซน แล้วเด็กส่วนใหญ่ พอโตระดับหนึ่ง ก็ดื้ออีก  เราก็ต้องดูแลและจับจุดให้ได้ว่าเราควรจะจัดการกับเขา หรือพูดคุยกับเขา หว่านล้อมเขาแบบไหน? อย่างไร?  เพื่อให้เขาสามารถดำเนินชีวิตอยู่กับคนอื่นได้

            พระเจ้าเหมือนกัน พระเจ้าทรงดูแลพวกเราทุกคน  พวกเราที่เป็นลูกเล็กๆ ของพระองค์ ในสายตาของพระเจ้า เรายังเป็นเด็กเล็กๆ ของพระองค์ บางครั้งเราก็ดื้อ เราต้องยอมรับความจริงว่าเรามาเชื่อพระเจ้า เราเป็นคนดี ศรีอยุธยา เราไม่เคยดื้อกับพระเจ้าเลย เราเชื่อฟังตลอดเวลา มันไม่มีทางหรอก บางครั้งเราก็ดื้อกับพระเจ้า บางครั้งเราก็บ่นกับพระเจ้าอีก  บางครั้งเราก็ไม่ค่อยถูกใจสิ่งที่พระเจ้าส่งมาให้เรา พระองค์เอามาทำไม ไม่เห็นถูกใจเราเลย อะไรประมาณนั้น ไม่เอาได้ไหม? ไม่รับได้ไหม?  แต่ว่าความจริงแล้ว สิ่งเหล่านี้มันเป็นโอกาส ที่จะทำให้เราฝึกฝนในการเชื่อวางใจพระเจ้า แล้วมั่นใจในพระเจ้าที่ทรงสถิตอยู่ในเราว่าพระองค์ผู้นี้ ไม่ทิ้งเราแน่นอน เมื่อถึงวาระจำเป็น พระองค์มาทันเวลาเสมอ แต่มันจะไม่ได้ดังใจเราคิด ซึ่งสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงๆ

            เรายอมรับอันหนึ่งว่ามนุษย์ถูกสาปแช่งไปเรียบร้อยแล้ว ตัวร่างกายเรานะ ไม่เกี่ยวกับวิญญาณ ตอนนี้เราเชื่อพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์ ไม่ถูกสาปแช่งแล้ว ไม่มีคำสาปแช่งใดๆ ในวิญญาณของเรา เราได้รับความรอด ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ หลังความตายเรียบร้อยไปแล้ว แต่ร่างกายของเราที่ยังอยู่บนโลกใบนี้ ยังอยู่ภายใต้คำสาปแช่งอยู่ ซึ่งมันเลี่ยงไม่ได้ เราจะมาคิดว่าพอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว พระองค์จะต้องทำตรงนี้ให้มันเสร็จสรรพ เรามาเชื่อพระเจ้า เราต้องไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ไข้ ไม่ยาก ไม่จน  เราจะต้องดีตลอดเวลา เป็นไปไม่ได้ มันขัดกับธรรมชาติที่มันเป็นไปแล้ว โลกนี้เสียหายไปแล้ว มนุษย์บนโลกนี้ ก็เสียหายไปแล้ว รอวันหนึ่ง คือรอวันไหนที่วิญญาณเราออกจากร่าง แล้วเราทิ้งร่างกายเก่านี้ ร่างกายที่โกโรโกโส ไม่เห็นน่าอภิรมย์เท่าไรเลย แต่ว่าในขณะที่พระเจ้าให้เราอยู่กับร่างกายนี้  เราก็ดูแลเขานิดหนึ่ง อย่าปล่อยปละละเลย ดูแลทำความสะอาด ดูแลรักษาสุขภาพเท่าที่กำลังเราทำได้ ถ้ากำลังทำได้แค่ไหนแค่นั้น  ถ้าเราทำจนสุดความสามารถของเราแล้ว อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด ไม่เป็นไร  แป๊บเดียวเดี๋ยวมันก็ผ่านไป โลกนี้เป็นที่อยู่ชั่วคราว พระเจ้าบอกเราชัดเจน  ต่อให้เราอยู่ดีมีสุขจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต ยังไงเราก็ต้องตาย ยังไงเราก็ต้องทิ้งร่างกายนี้ไว้ ยังไงวิญญาณเราก็ต้องกลับไปสู่พระเจ้าอยู่ดี

            แต่ความคาดหวังของมนุษย์ทุกคน ไม่มีใครอยากจะได้สิ่งไม่ดีแน่นอน  มันเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าเราก็สามารถอธิษฐานได้ ขอพระเจ้าทุกวันนั่นแหละ อยากจะสุขภาพแข็งแรง พระองค์เจ้าข้า อยากจะมีความสุข อยากอะไร ก็ขอไปเถอะพี่น้อง  แต่ว่าพระเจ้าจะให้หรือไม่ให้ นั่นอีกเรื่องหนึ่ง บังเอิญ สิ่งที่เราขอ พระเจ้าเตรียมไว้ให้เราแล้ว เราก็ได้ตามนั้น

            ฉะนั้น พระเจ้าทรงให้แต่ละคนไม่เหมือนกัน  แต่คำว่าไม่เหมือนกัน ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้ารักเราน้อยกว่าคนอื่น นึกออกไหม? พระเจ้ารักทุกคนเท่ากันเลย พระเจ้าไม่ลำเอียง ไม่เหมือนพวกเรา เราเป็นมนุษย์ เรายังรักคนนี้มากกว่าคนโน้น บ้านเราเอง เรายังรักพี่น้องคนนี้มากกว่าพี่น้องคนโน้นถูกคอ คุยกระหนุงกระหนิง คุยได้หลายชั่วโมง แต่คนนี้สวัสดี เราก็จบแล้ว อะไรประมาณนั้น อันนี้เป็นเรื่องปกติของโลกใบนี้ ไม่ต้องไปรู้สึกยังไง ก็เอาให้มันเป็นธรรมชาติ แต่สิ่งที่เรารับรู้ ก็คือพระเจ้าทรงรักเราถึงที่สุดแล้ว พระเยซูคริสต์ก็ได้ทำภารกิจของพระองค์สำเร็จแล้ว

            เราผู้เชื่อทุกคน ทุกวันนี้ ก็คือมารับเอาผลสำเร็จที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้า นับพระพรแต่ละวัน ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรอดที่พระองค์ให้กับเรา ขอบคุณพระเจ้า สำหรับการเป็นหนึ่งเดียวกันที่พระเจ้าทำให้เราพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกัน ขอบคุณพระเจ้าที่พระองค์ไม่เคยทอดทิ้งเรา นี่คือพระสัญญา ในขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา แต่พระเจ้าไม่เคยสัญญาว่าเราจะอยู่ดีมีสุขตลอดเวลา นึกออกไหม? ไม่มีนะคำสัญญาตรงนี้ แค่พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา ก็เหลือกินเหลือใช้แล้ว  ก็ขอบคุณพระเจ้าจริงๆ

            พอถึงข้อที่ 19 อาจารย์เปาโลบอกว่า “ลูกที่รักเอ๋ย ข้าพเจ้ายังต้องเจ็บปวดราวกับคลอดบุตรเพื่อท่านอีก จนกว่าพระคริสต์จะทรงก่อร่างขึ้นในท่าน” อาจารย์เปาโลกำลังอธิบายถึงลักษณะของพี่เลี้ยง อาจารย์เปาโลเป็นผู้เลี้ยงดูคนเหล่านี้ ลักษณะเป็นเหมือนผู้หญิงที่กำลังจะคลอดลูก เจ็บปวดขนาดไหน? อาจารย์เปาโลมีความรู้สึกแบบนั้น ที่เจ็บปวดแทนพี่น้องเหล่านี้ว่าเมื่อได้ดูแลเขาในฝ่ายวิญญาณ ทำให้เขาได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว

            สิ่งที่อาจารย์เปาโลคาดหวัง คือให้เขาได้เจริญเติบโต ให้พระเยซูคริสต์ได้ก่อร่างสร้างขึ้นในชีวิตของพวกเขาทุกๆ คน นี่คือความปรารถนาของผู้เลี้ยงที่ดีทุกคน สิ่งที่เราปรารถนา เราไม่ได้ปรารถนาให้สมาชิกต้องมาทำอะไรให้เรา แต่เราปรารถนาที่จะให้พี่น้องทุกคนเจริญเติบโตในเรื่องของความจริงในถ้อยคำของพระเจ้าเพิ่มพูนมากขึ้น เมื่อเราเจริญเติบโตมากขึ้น รับรู้ความจริงมากขึ้น  เราจะถูกหลอกน้อยลง แล้วชีวิตเราก็จะมีสันติสุขมากขึ้นด้วย ไม่ต้องหัวทิ่มหัวตำอะไรอย่างนี้ ก็คือมีสันติสุขในใจมากขึ้น อย่างที่พระเยซูคริสต์บอกความจริงจะทำให้เราเป็นไท นี่คือความจริงเลย  อิสรภาพอย่างแท้จริงที่มันจะบังเกิดขึ้นในวิญญาณของเรา เมื่อเรารับรู้ความจริงว่าขณะนี้ พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา

        กาลาเทีย 4:20 “ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างยิ่ง  ที่จะอยู่กับท่านตอนนี้ และเปลี่ยนน้ำเสียงของข้าพเจ้า  เพราะข้าพเจ้าข้องใจในตัวท่าน!”

            จดหมายฉบับนี้ อาจารย์เปาโลเขียนถึงชาวกาลาเทียยังไม่เจอหน้ากันเลยนะ อาจารย์เปาโลบอกอยากเจอหน้าจริงๆ เจอหน้าจะได้เปลี่ยนน้ำเสียงจากน้ำเสียงที่อ่อนโยน เป็นน้ำเสียงที่น่าจะเกรี้ยวกราดพอสมควร เหมือนกับว่า …

            “ทำไมเธอถึงฉลาดน้อยขนาดนั้น พระเจ้าให้เธอเป็นอิสระแล้ว ทำไมเธอถึงเอาตัวเองไปอยู่ใต้บังคับของกฎระเบียบเยอะแยะมากมาย แทนที่จะมีอิสรภาพ กลายเป็นว่าตอนนี้ฉันไม่อยากมีอิสรภาพ ฉันไปขอแบกแอกเอาไว้ด้วยตัวของฉันเอง” ประมาณนั้น

            อาจารย์เปาโลก็บอกเจอหน้าเดี๋ยวต้องดุแรงๆ ตาใจฝ่ายวิญญาณจะได้เปิดออก จะได้เข้าใจในความจริงในพระเจ้ามากขึ้น  เหมือนตอนที่เริ่มต้น  เริ่มต้นเข้าใจมากเลยนะ ไปๆ มาๆ เริ่มต้นเป็นลำไม้ไผ่ เหลาไป กลายเป็นบ้องกัญชา ประมาณนั้น ตอนมาใหม่ดูดีนะ ไปๆ มาๆ ทำไมกลายเป็นแบบนั้นล่ะ ไหนบอกเชื่อพระเจ้าไง ไหนบอกว่าพระเยซูคริสต์ทำให้เราสำเร็จเรียบร้อยไปแล้วไง ไหนบอกเราเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้วไง อ้าว! ไปๆ มาๆ เดี๋ยวก่อนๆ ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติดีๆ เดี๋ยวโอกาสที่การเป็นลูกของพระเจ้าจะหลุดหายไป หรือว่าการเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์อาจจะพระเจ้าบอกไม่เอาแล้ว นิสัยไม่ดี ปลดเธอออกจากตำแหน่งทายาทของพระเจ้า มันเป็นไปได้ไหม?  เป็นไปไม่ได้ ถ้อยคำของพระเจ้าบอกชัดเจนว่าเมื่อพระเจ้าสถาปนาไปแล้ว ไม่มีมนุษย์หน้าไหนที่จะทำให้เปลี่ยนแปลงได้ เป็นแล้วเป็นเลย เราเป็นลูกของพระเจ้า ก็เป็นเลย

            แล้วถ้าผู้เชื่อยังคงทำแบบนี้  ถามว่าความรอดหายไปไหม? ไม่หาย แต่แทนที่เราจะอยู่บนโลกนี้ อย่างมีความสุข เราก็อยู่แบบเหมือนดำน้ำ ขึ้นๆ ลงๆ ผวาตลอดเวลา ทำโน่นทำนี่ ก็ …

            “ตกลงทำไปทำมา ฉันจะรอดไหม? วินาทีสุดท้ายของชีวิต ลมหายใจสุดท้ายออกจากร่าง ฉันจะยังอยู่กับพระเจ้าไหม?”

            มันจะเกิดข้อกังขาขึ้นมาทันที ถ้าเราพึ่งการกระทำของตัวเอง เพราะเราไม่มีความสามารถที่จะทำดีได้ตลอดเวลา 100% อย่างแน่นอน ฉะนั้น ถ้าเราวางใจในพระเจ้า  แล้วมั่นใจว่าพระเจ้าที่ทรงสถิตอยู่ในเรา พระองค์ทรงเป็นผู้นำเราในการทำทุกอย่าง ในพระคัมภีร์บอกว่าพระองค์ทรงใส่ความปรารถนาในใจให้กับเรา  นำเราในการทำสิ่งที่ดีทุกอย่าง  ฉะนั้น ในการดำเนินชีวิตของเรา ถ้าเราดำเนินชีวิต หรือทำอะไรในชีวิตประจำวัน ถ้ามันไม่ได้อยู่ตรงกันข้ามกับความดีงามของพระเจ้า ถือว่าพระเจ้าเป็นผู้นำเรา  แต่ถ้าพระเจ้าเป็นความรัก แล้ว ณ เวลานี้ เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในความเกลียดชัง แปลว่าไม่ใช่แล้ว ตอนนี้ เราหลงทาง เราถูกหลอก โลกนี้กำลังนำเราอยู่ แค่นี้เอง เราจะรู้ สามารถเทียบได้  พอเทียบได้ปุ๊บ ทำอย่างไร? เราเป็นผู้เชื่อแล้วใช่ไหม?  เรารอดแล้วใช่ไหม? เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วใช่ไหม? ทำอย่างไร?  เราก็หันหลังกลับสิ หลงทาง ก็ต้องรีบกลับ  ถ้าหลงทางแล้วยังปล่อยให้ไม่เป็นไร ปล่อยให้หลงไป ก็จะเสียเวลา

            พี่น้องเคยนั่งรถเมล์หลงทางไหม? ดิฉันเคยนั่ง นั่งผิดฝั่ง อันนี้นานแล้วนะ สมัยโน้น 10 กว่าปีที่แล้ว เวลานั่งรถเมล์ รู้แค่ 2-3 ที่ ไปตลาด มาโบสถ์ กลับบ้าน ไปแค่นี้เอง  แล้วถ้าเลยจากนี้ ไปไม่ถูกเลย อย่างไปห้าง ถ้าไม่จำดีๆ เข้าห้าง หาทางออกไม่เจอ  มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้เลย หาทางออกไม่เจอ เวลาหลงทาง ทุกข์นะ นี่ไม่ได้หลับ แต่นั่งผิดฝั่ง ตอนนั้นไปเซ็นทรัล ลาดพร้าว  แล้วจะนั่งรถไปทางลำลูกกา ต้องนั่งฝั่งไหนไม่รู้ จำไม่ได้ ตอนไปก็ไปกับพี่น้องในโบสถ์ พอขากลับ ต่างคนต่างแยกย้ายกัน เราต้องกลับเอง  เราก็ไปจำผิด ไปขึ้นผิดฝั่ง  แล้วไม่ชะล่าใจด้วย ปล่อยมันพาไปเรื่อยเปื่อย ตั้งแต่ตะวันสว่าง จนฟ้ามืดแล้ว ทำไมมันไม่ถึงบางเขนสักที เราจะได้ไปต่อรถไปลำลูกกา แล้วมานึกขึ้นได้ 3 ชั่วโมงผ่านไปพี่น้อง มันเสียเวลามาก  แล้วก็ไปถาม เราจะกลับไปตรงนั้น  เราต้องนั่งรถอย่างไร? เขาก็ชี้ข้ามถนนไป แล้วก็กลับมา เสียเวลามาก นี่คือแค่เราเสียเวลา ไม่เป็นไรแก่แล้ว ถือว่าไปนั่งรถเที่ยวแล้วกัน อะไรประมาณนี้

            แต่ชีวิตความเป็นจริงของเรา การหลงทางมันน่ากลัว  ถ้ามนุษย์ที่ไม่รู้จักพระเจ้า  จะไปหาพระเจ้าก็ไม่รู้จัก แล้วเขาหลงทาง หลงแล้วหลงเลยนะ  อันนั้นกลับมาไม่ได้เลย แต่ถ้าเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เราเกิดหลงทาง พระเจ้าก็จะสะกิดเรา ไม่ได้ปล่อยปละละเลยไป 2-3 ชั่วโมง  ยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร? ไม่ใช่ พระเจ้าก็จะสะกิดเรา …

            “ลูกๆ หลงแล้ว กลับมา”

            เราจะวัดจากตรงไหน? วัดจากถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าพระลักษณะชีวิตของพระเจ้าเป็นอย่างไร? แล้วเมื่อไรก็ตามที่เราดำเนินชีวิตตรงกันข้ามกับพระลักษณะของพระเจ้า แปลว่าเราหลงทางแล้ว  พระเจ้าเป็นความรัก เรากำลังดำเนินชีวิตแบบเกลียดชัง เราหลงทางแล้ว  พระเจ้าเป็นความดีงาม ถ้าเราดำเนินชีวิตไม่เห็นดีเลย  พาลไปทั่วเลย แปลว่าเรากำลังหลงทาง เมื่อเราหลงทาง เรามีวิธีเดียว หันหลังกลับ แล้วก็กลับมาที่เดิม  แค่นั้นเอง ไม่มีอะไร แค่เสียเวลาไปนิดหนึ่ง แต่ถ้าเราหลงทาง แล้วเราไม่ยอมกลับ  ปล่อยตัวเองให้เตลิดไป  ไม่เป็นไร มันสนุกดี เราก็ทำไป  เราก็ทุกข์ใจในขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ แทนที่จะมีสันติสุข มีความสุข เราก็ไม่มีความสุข  แต่เราก็ยังคงได้รับความรอดเหมือนเดิม อย่าตกใจว่าเราจะหลุดไปจากทางของพระเจ้า ไม่มี

            พระเจ้าบอกเมื่อเราบัพติศมา เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้ว อย่างไรเราก็รอด  แต่รอดแบบทุลักทุเลกับรอดแบบเดินผิวปาก มีความสุข ร้องเพลงไป มันต่างกันเนอะ เราอยากจะรอดแบบไหน? เราสามารถเลือกได้  แล้วพระเจ้าให้สิทธิ์ในการเลือกด้วย พระเจ้าไม่บังคับเรา เราก็ขอพระคุณพระเจ้าช่วยเหลือเราว่าเมื่อเราหลงทาง สะกิดให้เรารู้ทันเร็วๆ อย่าให้มันนานเกิน  แล้วมันทรมานจิตใจตัวเอง ไม่ได้ไปทุกข์กับใครเลย ทุกข์กับตัวเอง

            ฉะนั้น เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับอาจารย์เปาโล ขอบคุณพระเจ้าสำหรับถ้อยคำต่างๆ ที่สอนเรา บอกเรา แม้จะเป็นถ้อยคำที่เหมือนย้ำเตือนเราตลอดเวลา แต่มันเป็นถ้อยคำแห่งความจริงที่จะทำให้เราสามารถดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ด้วยเสรีภาพในพระองค์ เอเมน ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรค่ะ

************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 12

                        คริสเตียน!

            ก่อนเชื่อ … เป็นศัตรู  เข้ากับพระเจ้าไม่ได้

            หลังเชื่อ … เป็นลูก  ได้กลับคืนดีกับพระเจ้า

            โรม 5:8-11 … “8 แต่พระเจ้าได้แสดงความรักต่อเรา โดยยอมส่งพระคริสต์ มาตายเพื่อเรา ทั้งๆ ที่เรายังเป็นคนบาป (เป็นศัตรูกับพระเจ้า) อยู่ 9 ตอนนี้ พระเจ้ายอมรับเรา  (เป็นผู้ชอบธรรม) แล้ว เพราะเลือดของพระคริสต์ ยิ่งกว่านั้น เราจะรอดพ้นจากความโกรธ (การถูกลงโทษเพราะบาป) ของพระเจ้า (ในวันพิพากษา) เพราะพระคริสต์อย่างแน่นอน 10 เพราะถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรู (บาป) ต่อต้านกับพระเจ้าอยู่นั้น เรายังได้รับการรักษาให้กลับคืนดี  เข้ากันได้กับพระเจ้า  ผ่านทางการตายของพระบุตร แน่นอน มากกว่านั้นอีกสักเท่าไร ที่เดี๋ยวนี้ เราได้คืนดี เข้ากันได้กับพระเจ้าแล้ว เราก็ได้รับการปลดปล่อย ช่วยให้รอด จากการเป็นทาสของ อำนาจของความบาป ผ่านทางการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ 11 ไม่ใช่เพียงเท่านั้น เรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรงเป็นเหตุ ให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้า”

            พระเยซูคริสต์จึงเป็นเหตุ ให้มวลมนุษย์กับพระเจ้า กลับคืนดีกัน

            • นี่คือทรัพย์สมบัติอันล้ำค่าที่สุดของชีวิตมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ คือการได้กลับคืนดีกับพระเจ้า เข้ากันได้ คือการได้บังเกิดใหม่  เข้าไปอยู่ในสวรรค์ เป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้าได้แล้วทันที ตั้งแต่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว

            • และพระเจ้าจะเข้ามาสถิตอยู่ในเรา  จะเป็นผู้นำพาชีวิตของเราจากภายใน ไปจนถึงหมดลมหายใจ ทิ้งร่างกายเดิม  แล้วรับร่างกายใหม่ ร่างกายสวรรค์และอยู่กับเราจนถึงนิรันดร์

            • แค่ตัดสินใจ! เปิดใจ ต้อนรับสิทธิ ในพระเยซูคริสต์นี้ เท่านั้น

            และหลังตัดสินใจเปิดใจต้อนรับแล้ว

            เอเฟซัส 2:19 บอกว่า … “ดังนั้น ท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าว แปลกถิ่นอีกต่อไป  แต่เป็นพลเมืองเดียวกันกับประชากรของพระเจ้า และเป็นสมาชิก ในครอบครัวของพระเจ้า”

            ตัดสินใจ กลับมาเป็นลูก เป็นทายาท รับมรดกร่วมกับพระเยซูคริสต์เถิด … พิสูจน์ได้ เดี๋ยวนี้ ทันที ไม่ต้องรอให้ตายก่อน

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1508

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  2  กุมภาพันธ์  2025

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น”

ตอน 15 “ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกแห่งความบาปและความตายนี้ได้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            “หนังสือ 1 ยอห์น” เราเรียนกันมาแล้ว 14 ตอน วันนี้ตอนที่ 15 ชื่อเรื่องเท่ห์เลย “ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกแห่งความบาปและความตายนี้ได้”  1 ยอห์น 5:1 คือข้อเริ่มต้นในวันนี้ …

        1 ยอห์น 5:1 “ทุกคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์ ก็ได้บังเกิดจากพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า และทุกคนที่รักพระเจ้า (พระบิดาผู้ให้กำเนิด) ก็รักลูกคนอื่นๆ ที่เกิดจากพระองค์ด้วย”

            ยอห์นก็เน้นย้ำถึงความจริงนี้ เพราะเป็นบริบทของ 1 ยอห์น ก็คือการเน้นย้ำถึงความจริง เรื่องพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมซียาห์ เน้นย้ำ เพราะว่ามีพวกต่อต้านพระคริสต์อยู่ในขณะนั้นมากมายที่เกิดขึ้น ที่เราเรียกกันว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ ต่อต้านพระคริสต์ว่าพระคริสต์ไม่ใช่พระเมซียาห์ เราได้เรียนรู้ไปหลายตอนแล้ว ใน 1 ยอห์น 5:1 คือมนุษย์ผู้ใดก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเมซิยาห์เป็นพระคริสต์ เป็นพระบุตรของพระเจ้า ผู้ซึ่งพระเจ้าได้ส่งมาเกิดเป็นมนุษย์ ที่ช่วยเหลือมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาปและความตาย

            ความเชื่ออย่างนี้จะทำให้คนๆ นั้น บังเกิดใหม่จากพระวิญญาณของพระเจ้า  กลายมาเป็นลูกของพระเจ้า  และเขาคนนั้นที่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เขาก็จะรักพระเจ้า ในฐานะลูกของพระเจ้า  พระบิดาผู้ให้กำเนิด เพราะเขาบังเกิดจากพระเจ้า พระบิดา เขาจะรู้จักพระบิดา รักพระบิดา

            เขาจะเริ่มอธิษฐานว่า “พ่อจ๋า”

            เขาจะเริ่มอธิษฐานกับพระเจ้าว่า “พระเจ้าพระบิดา”

            สมัยก่อน เขาไม่กล้าพูดแม้กระทั่งว่าพระเจ้าด้วยซ้ำไป เขาพูดแค่ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่เขายังไม่รู้จัก  แต่พอเขาเกิดใหม่ปุ๊บ  เขาจะบอกว่า “พระบิดา” หรืออาจจะเริ่มต้นเขินๆ ว่า “พระเจ้า ข้าพเจ้า” แล้วต่อไปก็สนิทขึ้น  “พระบิดา ลูกขอ” นี่คือชีวิตของคริสเตียน ที่อาจารย์ยอห์นบอกว่าคือจะมีอาการนี้ออกมา ในทางฝ่ายโลกวิญญาณ สำหรับคนที่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระมาซีฮาห์ เป็นพระบุตรของพระเจ้าที่ทรงบังเกิดมาเป็นมนุษย์จริงๆ เป็นพระเจ้าที่อยู่ในร่างของมนุษย์จริงๆ ยืนยันด้วยวิธีนี้

            นอกจากนี้ การยืนยันเหล่านี้ สำหรับบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าว่าพระองค์ส่งพระเยซูคริสต์มาช่วยให้รอดแล้ว นอกจากจะรักพระเจ้า เป็นพยานยืนยันกับตัวเองว่าเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราเรียกพระเจ้าพระบิดาแล้ว นอกจากที่จะรักพระเจ้าพระบิดาแล้ว เขาคนนั้นก็จะรักคนอื่นๆ ที่เป็นลูกของพระบิดาเดียวกัน ก็คือรักผู้เชื่อคนอื่นๆ ด้วย จะเป็นพยานยืนยันอย่างนี้เลย

            สมัยก่อนเรารักได้ไหม? เรารักไม่ได้ เราไม่รู้เรื่อง เราเฉยๆ เผลอๆ จะไม่ชอบด้วยซ้ำไป  1 ยอห์น 5:2 …

        1 ยอห์น 5:2 “แบบนี้สิ ​เรา​ถึง​รู้​ว่าเรา​รัก​ลูกๆ ​ของ​พระเจ้า​จริง คือ​เมื่อ​เรา​รัก​พระเจ้า ​และ​ทำ​ตาม​คำสั่ง​ (บัญญัติ) ของ​พระองค์”

            เมื่อเรารักบรรดาผู้เชื่อ หรือคริสเตียนคนอื่นๆ ที่เป็นลูกของพระเจ้า  พระบิดาเดียวกันกับเราแล้ว  ตรงนี้เป็นการแสดงการยืนยันว่าเราได้บังเกิดใหม่แล้ว  เราเป็นลูกพระเจ้าในวิญญาณจริงๆ แบบนี้สิ จึงรู้ว่าเรารักผู้เชื่อคนอื่นๆ จริงๆ ในวิญญาณของเรา ในวิญญาณใหม่ ในใจใหม่ของเรา เรารักผู้เชื่อคนอื่นๆ  เพราะเราได้รับความรัก จากพระเจ้าก่อน  และความรักจากพระเจ้าทำให้เราสามารถรักพระเจ้า แล้วรักพระเจ้าไม่พอ  ยังทำตามบัญญัติ คือคำสั่งของพระเยซูคริสต์ เมื่อเรารักพระเจ้าพระบิดา  แล้วก็รักษา ทำตามบัญญัติคำสั่ง  ไม่ได้หมายถึงบัญญัติคำสั่ง สมัยโมเสส 613 ข้อ หรือบัญญัติ ในกฎศีลธรรมต่างๆ ของศาสนาเดิมที่เราเคยอยู่ หรือกฎของประเพณีวัฒนธรรม ไม่ใช่ แต่เป็นบัญญัติคำสั่งของพระเยซูเพียวๆ เลย ที่พระองค์ทรงประทานให้กับเรา บัญญัติเดียว คือท่านทั้งหลายจะดำเนินชีวิตด้วยความรัก รักซึ่งกันและกัน นั่นคือบัญญัติใหม่ ด้วยความรัก แบบอากาเป้  พอเราบังเกิดใหม่ปุ๊บ ในใจของเราบัญญัติมันจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เราจะเป็นความรักเหมือนกับพระเจ้า พระบิดาของเรา เราจึงรักพระเจ้าได้ นึกออกไหม?  เราจึงรักพี่น้อง คริสเตียนที่เป็นลูกของพระเจ้าคนอื่นได้ เพราะเราเป็นความรักเหมือนพระเจ้า 1 ยอห์น 5:3 เป็นข้อเสริมอย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 5:3 “เพราะนี่แหละ เป็นความรัก (ด้วยวิญญาณและความจริงใจ) ต่อพระองค์ คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ (ซึ่งใส่ไว้ในวิญญาณและจิตใจใหม่ของเรา) และพระบัญญัติของพระองค์ (ให้เรารักกันและกัน ด้วยวิญญาณและใจจริง) นั้น ไม่เป็นภาระ (หนักใจ ทุกข์ใจ เหลือบ่ากว่าแรง)”

            เพราะนี่แหละ เป็นความรัก (แบบอากาเป้ ) ด้วยวิญญาณและความจริงใจต่อพระองค์ คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ ซึ่งใส่ในวิญญาณและจิตใจใหม่ของเรา และพระบัญญัติของพระองค์  ตอนที่เราบังเกิดใหม่  และพระบัญญัติของพระองค์ให้กับเราไว้ คือให้เรารักกันและกันด้วยวิญญาณและใจจริง ก็คือแบบอากาเป้นั้น ไม่เป็นภาระหนักใจทุกข์ใจ เหนือบ่ากว่าแรงเลย  ไม่ใช่ความรักแบบมนุษย์ที่ต้องอดทนแบบมนุษย์ ที่ต้องพยายามกัดฟันรัก รักได้ไหม? ไม่ได้ เพราะวิญญาณจากข้างในไม่มีพลังของความรักแท้ คืออากาเป้ แต่นี่เราได้บังเกิดใหม่ เป็นความรักแบบอากาเป้ อยู่ข้างในแล้ว มันจึงไม่เป็นภาระสำหรับเรา  เพราะเป็นธรรมชาติของเรา ภายใน ยกตัวอย่าง เหมือนกับนก ให้นกบิน เขาสบายไหม? ไม่เป็นภาระ ไม่เหนือบ่ากว่าแรง แต่ให้นกมาเดินเหมือนไก่ มันไม่ไหว เดินๆ ไป มันรำคาญนะ หรือให้งูมาเดินเหมือนลิง มันก็พยายามยืนตรงได้สักครู่หนึ่ง มันก็ตกไป ยกเว้นว่าแขกอินเดียเป่าปี่ มันก็ขึ้น มันจะอยู่ได้นานขนาดไหน? ไม่นาน ก็ต้องลงมานอนเลื้อย เพราะว่าเป็นไปตามธรรมชาติ มันเหนื่อยไหมที่จะเลื้อย มันไม่เหนื่อย เป็นธรรมชาติของมัน  แล้วเราลองเอาลิงมาเลื้อย มันเลื้อยได้นานเท่าไร? ไม่ได้นานเท่าไร มันก็ลุกขึ้นมายืน ฉันใดฉันนั้น เราเป็นความรัก เราก็ดำเนินชีวิตด้วยความรัก ไม่เป็นภาระ แล้วมันเป็นบัญญัติเดียวที่พระเจ้าสั่งให้เรารักษาเอาไว้ ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทำได้ไหม? ยิ้มสิ

            เพราะฉะนั้น ขณะที่เราไม่มีความรัก ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่นี้ ประพฤติความเกลียดชัง ตรงกันข้ามกับความรักที่อยู่ในใจนั้น  เรากำลังฝืนธรรมชาติ  ทำไปได้นานไหม? ไม่ได้นาน เหมือนตะกี้นี้บอก งูที่ถูกเป่าปี่ พยายามลุก เดี๋ยวมันก็หล่นลงไป เลื้อยตามธรรมชาติ ของเราก็เหมือนกัน ต่อให้เกลียดอย่างไร? หรือไม่ชอบอย่างไร? หรือจับความผิดเขาอย่างไร? อิจฉาเขาอย่างไร? หรืออะไรต่างๆ เหล่านี้ เดี๋ยวมันก็กลับมาที่รักเขาเหมือนเดิม  เพราะว่ามันไปไม่ได้ไกล มันฝืนธรรมชาติ เพราะฉะนั้น การรักษาบัญญัติของพระเยซูคริสต์ที่บอกไว้ วิธีการคืออะไร? สำหรับคริสเตียน ฉันรักษาบัญญัติของพระเยซูคริสต์ ที่บัญญัติให้เรารักกันและกัน ก็คือให้เราจดจ่อความคิดจิตใจของเรา ไปที่ความรักของพระคริสต์ที่อยู่ในวิญญาณ อยู่ในใจของเรา  เพื่อประพฤติตามธรรมชาติของวิญญาณของเราว่าฉันเป็นความรัก ฉันก็ต้องดำเนินชีวิตตามความรักนี้สบายๆ

            เป็นธรรมชาติในวิญญาณของผู้ที่เชื่อพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเมซิยาห์ และได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้รับความรอดแล้ว ได้บังเกิดใหม่ เป็นความรักเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว มันจึงเป็นธรรมชาติของความรักนี้ จดจ่อไปที่นั่นเลย นี่แหละคือการรักษาพระบัญญัติของพระเยซูคริสต์ ตามที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ ไม่ใช่รักษาบัญญัติตามที่พระเยซูคริสต์บันทึกเอาไว้ด้วยกำลังของตนเอง ไม่ใช่ แต่ด้วยธรรมชาติที่เราได้เกิดใหม่แล้ว  เป็นความรักเหมือนพระคริสต์ก่อน แล้วค่อยประพฤติตามสิ่งที่เป็นนั้น

            “ได้เกิดใหม่แล้ว เป็นความรักเหมือนพระคริสต์ก่อน แล้วค่อยประพฤติตาม”

            –  ไม่ใช่ประพฤติตาม เพื่อให้เป็นความรักเหมือนพระคริสต์ ไม่ใช่ประพฤติตามบัญญัตินั้น เพื่อจะได้ ฉันจะได้เป็นความรักเหมือนพระคริสต์

            –  ไม่ใช่เพื่อให้ได้รับความรอด หรือเพื่อรักษาความรอดให้คงอยู่ ฉันไม่ได้ประพฤติความรัก เพื่อรักษาความรอดให้คงอยู่ หรือให้ได้รับความรอด  โดยการประพฤติ ความรักนี้

            –  ไม่ใช่ถูกบังคับให้รักษากฎเกณฑ์ตามคำสั่ง เพื่อจะไม่ถูกลงโทษว่าไม่ทำตามคำสั่ง ไม่ใช่ แต่ฉันประพฤติหรือดำเนินชีวิตด้วยความรัก เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติของตัวฉัน ฉันเป็นความรัก ไม่มีใครมาบังคับหรอก นี่มันเป็นอย่างนั้น

            เพราะฉะนั้น การดำเนินชีวิตด้วยความรัก มันคือผลของความรอด ผลของการบังเกิดใหม่ จากชีวิตนิรันดร์ของพระเจ้า ซึ่งดำรงบริบูรณ์ด้วยพระลักษณะของพระเจ้า คือพระเจ้าเป็นความรัก เราก็เป็นลูกของพระเจ้าที่เป็นความรักเหมือนพระองค์ เป็นความรักที่เราได้รับแล้วในพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราบังเกิดใหม่แล้ว เราจึงปฏิบัติความรักนี้ได้ มิฉะนั้น ไม่มีใครสามารถทำความรักอย่างนี้ได้ คือความรักที่ไม่มีเงื่อนไข คือความรักแบบอากาเป้นี้ ไม่สามารถประพฤติได้เลย ถ้าเผื่อไม่มีความรักแท้นี้อยู่ในวิญญาณ อยู่ในใจใหม่ ที่บังเกิดใหม่นั่นเอง 1 ยอห์น 5:4-5 …

        1 ยอห์น 5:4-5 “4 เพราะทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้า มีชัยชนะเหนือโลก (แห่งความบาปและความตาย) และความเชื่อของเราเอง คือฤทธิ์อำนาจ ที่เอาชนะโลก (แห่งความบาปและความตาย) แล้ว 5 ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกนี้ได้ ก็คนที่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระบุตรของพระเจ้า”

            เพราะทุกคนที่เป็นลูกของพระเจ้า มีชัยชนะเหนือโลกแห่งความบาปและความตาย ตรงนี้สำคัญมาก  คนที่เชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระบุตรของพระเจ้า  ก็คือเป็นพระมาซีฮาห์ ก็ได้รับสิทธิเป็นลูกของพระเจ้า มีชัยชนะอยู่เหนือโลกแห่งความบาปและความตาย ก็คือคริสเตียนมีชัยชนะเหนือโลกแห่งความบาปและความตายแล้ว เพราะว่าความเชื่อของเขาในพระเยซูคริสต์ ทำให้เขา คือคริสเตียนมีชัยชนะเหนือโลกแห่งความบาปและความตายแล้ว นี่เป็นเรื่องจริง แต่คริสเตียนก็ยังต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้อยู่

            คริสเตียนเราชนะโลกแห่งความบาปและความตาย ชนะการหลอกลวง ชนะความเท็จในโลก เกี่ยวกับเรื่องข่าวประเสริฐของพระเจ้า ปิดบังตาเรามาตั้งนาน จนกระทั่งเราชนะ ก็คือเราเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ข่าวดีของพระเจ้า เรารับไว้ เราจึงชนะโลกก่อนเลย ก็คือชนะการหลอกลวงและความเท็จของโลกนี้ ด้วยความเชื่อ ถูกไหม? เป็นคริสเตียนด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ด้วยความประพฤติ แต่ด้วยความเชื่อ เชื่อในถ้อยคำพระเจ้าเกี่ยวกับข่าวดีในพระเยซูคริสต์นั่นเอง

            เชื่อว่าข่าวดีในพระเยซูคริสต์ที่เราได้ยินนั้น เป็นจริง ข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือเราได้รับการอภัยโทษในบาปผิดทั้งสิ้น ทั้งบาปในอดีต บาปในปัจจุบัน และบาปในอนาคตนิรันดร์เลย และได้เข้าอยู่ในสวรรค์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคและเข้ามาอยู่ในเรา นี่สั้นๆ ของข่าวดีนี้ เราเริ่มเปิดใจเชื่อในความจริงเหล่านี้ เรารับเข้ามาแล้ว นั่นแหละ เราเริ่มต้นมีชัยชนะเหนือโลกแห่งความบาปและความตายทันที ด้วยความเชื่อไม่ใช่ด้วยความประพฤติ หรือการกระทำใดๆ ที่เราจะชนะความบาปและความตายบนโลกใบนี้ได้ ไม่มีทางอื่นเลย ไม่ใช่ด้วยการกระทำของเราเลย ทำอย่างไร เราก็ไม่มีทางชนะความบาปและความตายที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกใบนี้ได้เลยแม้แต่นิดเดียว พระเยซูบอกมีทางเดียวเท่านั้น คือวางใจในเรา คือวางใจในพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าส่งมา ก็คือพระมาซีฮาห์

            เพราะฉะนั้น การชนะโลก จึงไม่ได้หมายถึงสิ่งที่มนุษย์ทั่วๆ ไปคิด หรือคริสเตียนอาจจะคิดอย่างนี้ หรือถูกหลอกให้คิดอย่างนี้ การชนะโลก ไม่ได้หมายถึงการที่เราไม่ต้องเผชิญปัญหาอุปสรรค หรือการไม่ต้องมีความทุกข์ยากลำบากในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ไม่ได้หมายถึงไม่เจ็บป่วย ไม่ยากจน ไม่มีเหตุการณ์ร้ายใดๆ เกิดขึ้นกับเราบนโลกใบนี้ ซึ่งบางครั้งเราถูกหลอกว่าเราชนะโลกนี้ สิ่งเหล่านี้ต้องไม่เกิดขึ้น พอมันเกิดขึ้น เราก็รู้สึกไขว้เขว

            “ถ้อยคำพระเจ้าจริงไหม? พระเจ้าอยู่ด้วยหรือเปล่า?” … อะไรต่างๆ เหล่านั้น

            การชนะโลก จริงๆ แล้ว หมายถึงการมีชีวิตที่มีชัยชนะในพระคริสต์ คือเราไม่ถูกครอบงำ เป็นทาสบาป ความชั่ว ตามระบบของโลกนี้ ที่ถูกสาปแช่งไปแล้ว แต่เรามีชีวิตใหม่ในพระองค์ ในพระเยซูคริสต์ และสามารถดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสถิตภายในเราตลอดเวลา นี่คือชัยชนะ แต่ขณะเดียวกันยังคงอยู่ภายใต้อิทธิพลของความบาปและความตายบนโลกใบนี้อยู่ ซึ่งมารใช้ในการโกหกหลอกลวงมาตลอด  เรายังคงสามารถถูกล่อลวง จากระบบของโลกให้ทำบาปได้ หมายถึงเราคริสเตียนนะ ผู้ที่เชื่อ ที่มีชัยชนะเหนือโลกแล้ว เรายังคงสามารถถูกล่อลวง หลอกลวง ไม่เชื่อความจริงจากถ้อยคำพระเจ้าที่พูดถึงเรา ที่ได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราอาจจะไม่เชื่อทั้งหมด เพราะว่าระบบของโลกนี้มันยังปิดบังตาเราต่อไปอยู่ ไม่ให้เรารู้ความจริงทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น ปิดบังตาเราต่อไปว่าเรายังไม่ชนะ 100% นะ เราไม่เป็นคนชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์ ตามที่ถ้อยคำพระเจ้า เป็นความจริงที่บอกเรา เห็นไหม? เรายังต้องประพฤติปฏิบัติตัวให้ดี ให้พร้อม  เพื่อให้เป็นผู้ชอบธรรมมากขึ้นกว่านี้ นี่คือการถูกหลอก แต่จริงๆ แล้วทั้งหมดนี้ เราได้รับไปเรียบร้อยแล้ว  เราชนะ 100% แล้วจริงๆ

            ชนะโลก หมายถึงชนะโลกแห่งความบาปและความตายฝ่ายวิญญาณ  ไม่ใช่ฝ่ายวัตถุ คนส่วนใหญ่จะเอาไปใช้ในเรื่องฝ่ายวัตถุว่าเราเป็นคริสเตียน เราเป็นลูกของพระเจ้า เราชนะโลกแล้ว เพราะฉะนั้น เราไม่ยากจน ไม่มีทุกข์ยากลำบากเกิดขึ้นกับเรา สิ่งชั่วร้ายต่างๆ จะไม่เกิดขึ้น เราอยากได้ อยากได้ไม่เป็นไรนะ แต่อย่าเคลมว่ามันต้องเป็นของเรา เพราะเราชนะโลกนี้แล้ว

            การชนะโลก หมายถึงการหลุดพ้น การเป็นอิสระจากการถูกพิพากษาลงโทษ ถูกสาปแช่งให้พินาศตายฝ่ายวิญญาณ  เพราะเป็นบาป นี่คือตามบริบท ที่อาจารย์ยอห์นเน้น ชี้ให้เราเห็นถึงในโลกฝ่ายวิญญาณว่าอะไรเกิดขึ้น เราชนะโลกหมายถึงอะไร? ชนะโลกของความบาปและความตาย  ชนะการเป็นคนบาป ก็คือหลุดพ้นจากการเป็นคนบาป เป็นอิสระจากการเป็นคนบาป มาเป็นคนชอบธรรม และมีชัยชนะอยู่เหนือความตายนิรันดร์ เป็นคนชอบธรรม  และมีชัยชนะอยู่เหนือความตายนิรันดร์ในวิญญาณ  ก็คือไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้นิรันดร์ กลายเป็นมาอยู่กับพระเจ้านิรันดร์ได้ นี่คือชัยชนะเหนือโลก

            ชนะ หมายถึงการหลุดพ้น การเป็นอิสระจากความบาป ความชั่ว ชนะการเป็นศัตรูกับพระเจ้า ชนะการเข้ากับพระเจ้าไม่ได้ คือเป็นอิสระจากการอยู่ภายใต้เป็นทาสของมาร การอยู่ในอาณาจักรของความมืด ในโลกฝ่ายวิญญาณก่อนที่เราจะรับเชื่อในพระเจ้า ซึ่งชัยชนะเหนือโลกนี้ เกิดขึ้น โดยความเชื่อในฤทธิ์เดชอำนาจของพระเยซูคริสต์ ที่กระทำบนไม้กางเขน ซึ่งเราเรียกกันว่าข่าวดี และการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ ทำให้มนุษย์ทั้งหลายที่เชื่อ ได้ถูกย้ายเข้ามาอยู่ในอาณาจักรแห่งแสงสว่างในพระเยซูคริสต์ อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า  เป็นผู้ชอบธรรม เป็นคนที่กลับคืนดีกับพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้า และจะอาศัยอยู่ในอาณาจักรสวรรค์นี้นิรันดร์ พระองค์ทรงกระทำสำเร็จไปเรียบร้อยแล้ว เป็นความจริง

            แต่โลกนี้ปกคลุมไปด้วยความบาปและความตาย ก็คือปกคลุมไปด้วยความเท็จ นี่บริบทของอาจารย์ยอห์นจะพูดอย่างนี้เสมอ นี่มีแต่ความเท็จทั้งนั้นเลย  ทุกคนอยู่ในความเท็จ จนกว่าเมื่อไรเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด นั่นแหละ มีชัยชนะอยู่เหนือโลก อยู่เหนือความเท็จทั้งหลายเหล่านี้

            อาณาจักรของพระเจ้าคืออะไร? อาจารย์ยอห์นได้เล่าให้เราฟังแล้ว ชี้ให้เราได้เห็นแล้ว อาณาจักรของพระเจ้า คือตัวของพระเยซูคริสต์เอง ก็คือผู้เชื่อหรือคริสเตียนที่ยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ผู้เชื่อนั้น ได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ “ได้เข้าไปอยู่” ก็คือได้ดำรงอยู่ อาศัยอู่ในพระคริสต์ และพระคริสต์ได้เข้ามาอาศัย ดำรงอยู่ในผู้เชื่อคนนั้น  เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นอาณาจักรของพระบิดา ที่ลงมาตั้งอยู่บนโลกนี้แล้ว เริ่มต้นตั้งแต่วันแรก วันเพ็นเตคอสที่พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จลงมา หลังจากที่พระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จแล้ว  คือสิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3  หลังจากนั้น 40 วัน วันที่พระองค์ปรากฏพระองค์เองกับบรรดาสาวกและเสด็จขึ้นสวรรค์ อีก 10 วัน เป็นการประกาศเริ่มต้นยุคใหม่ ที่สวรรค์ลงมาตั้งอยู่บนโลกใบนี้แล้ว

            สวรรค์ลงมาตั้งอยู่แล้ว มันเป็นข่าวดีของพระเยซูคริสต์ และข่าวดีมาถึงมนุษย์ทั้งหลาย ก็คือเป็นวันที่พระเจ้าเสด็จเข้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์เป็นครั้งแรก และจากนั้นต่อมาจนถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีแล้ว ก็เป็นอย่างนั้นมาตลอดเลย คือสวรรค์มาตั้งอยู่ที่ร่างกายของมนุษย์ ร่างกายของมนุษย์เป็นสวรรค์แล้ว คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ทันทีปุ๊บ เป็นสวรรค์ทันทีเลย ก็คือเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตภายในเขา  เขาเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เสร็จแล้วเขาผู้เชื่อกับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกันนั้น พระคัมภีร์บอกว่าทั้ง 2 นั้นอยู่ในพระบิดา นึกภาพออกไหม? ทั้ง 3 เป็นหนึ่งเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยงให้กับเขา สรุปแล้วก็คือทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสร้างบ้าน สร้างที่อยู่อาศัยในผู้เชื่อ คริสเตียนคนนั้น นี่แหละ คือชัยชนะเหนือโลก ตามบริบทนี้ ไม่ได้หมายถึงอะไรต่างๆ บนโลกใบนี้ ที่มนุษย์อยากได้

            พอผู้เชื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้วทันทีนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะย้ายเขาออกจากโลกนี้ โลกแห่งความบาปและความตายนี้ ย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์  หรือเรียกว่าในสวรรค์ทันที พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ ทำบ้านอยู่ในตัวเขาทันที  โคโลสี 1:13-14 ไม่ต้องรอตาย มันเกิดขึ้นทันที บนโลกใบนี้แหละ  แต่เป็นในฝ่ายวิญญาณ …

        โคโลสี 1:13-14 “13 พระเจ้าได้ช่วยชีวิตเราให้พ้นจากอาณาจักรของความมืด และนำเรา เข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระบุตร ซึ่งก็คือพระบุตรที่พระเจ้ารัก 14 พระองค์ได้ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ และอภัยบาปต่างๆ ของเราด้วย”

            เข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระบุตร ก็คือเข้าไปอยู่ในสวรรค์อย่างที่บอก ย้ายเขาเข้าไปอยู่ในบ้านของพระเจ้า

            บ้านของพระเจ้า ก็คือพระองค์มาสร้างบ้านของพระองค์ ก็คือสวรรค์มาตั้งอยู่ในร่างกายของผู้เชื่อนั่นแหละ ทั้งวิญญาณ ใจและร่างกายของเขา เป็นวิหารของพระเจ้า ผู้ทรงสถิตอยู่ ทั้ง 3 พระภาค ไปไหน ไปด้วยกัน ตั้งแต่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้แล้ว ไม่ต้องรอให้ตาย แล้วเกิดขึ้น  เห็นหรือยังว่านี่คือความจริง ซึ่งมารก็พยายามปิดบังความจริงบนโลกใบนี้ ด้วยระบบของโลกใบนี้ว่าถ้าไม่เห็น อย่าไปเชื่อ สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ มันมองไม่เห็นหรอก แต่มันเป็นความจริงตามถ้อยคำพระเจ้า

            “ไหนล่ะ เชื่อพระเจ้าแล้วอยู่ในสวรรค์ อยู่ในสวรรค์ยังเจ็บป่วยอยู่เลย อยู่ในสวรรค์เจ็บป่วยได้อย่างไร? นี่คือระบบของโลกที่พยายาม ที่จะหลอกลวง มดเท็จ ต่อต้านความจริงของพระเจ้า มารและโลกที่เราเห็นอยู่นี้ และทุกสิ่งในโลก สรรพสิ่งทั้งหลายในโลก พระคัมภีร์บอกว่าตกอยู่ภายใต้คำพิพากษา  กำลังอยู่ในคำพิพากษา คำสาป ให้พินาศ  อยู่ในความสูญสิ้น เข้าสู่การสำเร็จโทษ คือตัดสินไปแล้วว่าให้สูญสิ้น ถูกลงโทษไปแล้ว แต่ว่ายังไม่สำเร็จโทษนั่นเอง มารจึงพยายามพามนุษย์ลงไปกับมัน ไปอยู่ที่เดียวกันกับมัน ที่ไหน? ก็ที่ที่ไม่มีพระเจ้า ก็คือบึงไฟนรก อย่างที่เราเคยเรียนรู้กัน

            แล้วใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกที่ถูกสาปแช่งนี้ได้ ในเมื่อโลกมันกำลังถูกสาปแช่ง  มันต้องสูญสิ้นไป มันจะไปอยู่บึงไฟนรกแล้ว ทั้งหมด ทั้งโลกนี้ แล้วใครกันล่ะ 1 ยอห์น 4:4 ที่เราได้เรียนรู้มา ตอนที่แล้ว …

        1 ยอห์น 4:4 “ลูกๆ เอ๋ย พวกคุณเป็นของพระเจ้า จึงมีชัยชนะเหนือโลก คือเหนือพวกศัตรูของพระคริสต์ เพราะพระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลกนี้”

            เห็นไหม? “พระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ยิ่งใหญ่กว่ามารที่อยู่ในโลกนี้” พูดง่ายๆ พระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ ก็คือสวรรค์ที่อยู่ในคุณ สวรรค์ที่อยู่ในตัวเรา ยิ่งใหญ่กว่า สวยงามกว่ามารที่อยู่ในโลก ก็คือโลกที่ถูกสาปแช่ง โลกแห่งความบาปและความตาย โลกที่ไม่มีพระเจ้าอยู่ โลกแห่งความทุกข์ยากลำบากนิรันดร์ พระเจ้าที่อยู่ในพวกคุณ คือสวรรค์ที่อยู่ในเราใหญ่กว่า ใครกันล่ะ ในข้อ 5 บอกว่า …

        1 ยอห์น 4:5 “ใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลก ที่ถูกสาปแช่งแล้วนี้ได้ ก็คนที่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระบุตรของพระเจ้า”

            เห็นไหม? เน้นเรื่องนี้อีกแล้ว เน้นเรื่องพระเมซิยาห์ คนที่จะชนะโลกแห่งความบาปและความตาย ชนะโลกที่ต้องสูญสิ้นไป ชนะโลกที่กำลังตกลงไปในความตาย อยู่ในนรกนิรันดร์นั้น คือคนเหล่านั้นที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ว่าเป็นพระเจ้ามาเกิดเป็นมนุษย์ เพราะว่ามีคนจำนวนมากตั้งตัวขึ้นมาสอน ความเชื่อแบบเก่าๆ ในสมัยนั้น ต่อต้านพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้า พระองค์ไม่ใช่พระมาซีฮาห์

            อาจารย์ยอห์นก็เลยพยายามเน้นตรงนี้อยู่ตลอดเวลาว่าเป็นพระเมซิยาห์จริงๆ  และถ้าท่านเชื่อนะ ท่านก็จะชนะโลก ชนะความเท็จเหล่านั้น ท่านจะเข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระคริสต์ ท่านจะเริ่มต้นรู้จักพระเจ้า พระเจ้าจะสอนท่าน ท่านจะรักพระเจ้า ท่านจะเห็นพระองค์ในทางวิญญาณ ท่านจะชนะการหลอกลวง ล่อลวงของมารบนโลกนี้ นี่คือคนที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เขาก็จะได้กลายเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าเข้ามาดำรงอาศัยอยู่ในร่างกายของเขา เขาก็ชนะบาป ที่มันเคยอยู่มาก่อน ในใจของเรา ในใจของมนุษย์ ตอนนี้ผู้ที่เข้ามาอยู่แทน ก็คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  และความชอบธรรมของพระองค์ก็เป็นของเรา มาแทนที่ความบาป ที่เป็นคนบาปในอดีต

            ความจริงที่สำคัญมาก ที่พระเจ้าต้องการให้มนุษย์ได้เรียนรู้ ได้รับรู้ ก็คือโลกและทุกสิ่งบนโลก หรือสรรพสิ่งในโลกนี้ ที่จับต้องมองเห็นได้ จะต้องสูญสิ้นไปในวันหนึ่ง ไม่รู้เมื่อไร แต่สูญสิ้นไปแน่นอน แต่โลกวิญญาณที่มองไม่เห็น จับต้องไม่ได้ มันอยู่ตลอดไป พระคัมภีร์จึงพยายามเน้นให้มนุษย์สนใจโลกฝ่ายวิญญาณมากกว่าเยอะ เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องให้ความสนใจ ให้ความเรียนรู้

            ซึ่งในโลกฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์ก็ได้บอกแล้วว่ามี 2 แห่งเท่านั้นเอง และมันจะเป็น 2 แห่งอย่างนี้ตลอดไป ไม่มีแห่งที่ 3 แห่งที่ 4 ไม่ว่ามันจะเป็นแห่งหนึ่งที่เรียกกันว่าสวรรค์ ที่มีพระเจ้าอยู่ ที่เรียกว่าสุขนิรันดร์ หรืออีกที่หนึ่งที่เรียกว่าบึงไฟนรก ที่เรียกว่าที่มืด ที่มีแต่ความเจ็บปวด ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มีแต่ความทุกข์ตลอดนิรันดร์ ไม่ใช่ 80 ปี 100 ปี เหมือนโลกใบนี้ที่เรามีชีวิตอยู่ แต่มันเป็นนิรันดร์ของสิ่งมีชีวิต ที่เรียกว่าวิญญาณของมนุษย์ มารพยายามพามนุษย์ให้สนใจ จดจ่อในโลกแห่งวัตถุที่มองเห็น ที่บนโลกใบนี้ เพราะมันจะหลอกเราได้ ล่อลวงเรา ให้เราหลงอยู่ในโลกที่มองเห็นนี้ ส่วนพระเจ้าพยายามให้เราสนใจ จดจ่อในโลกที่มองไม่เห็นสำคัญมากกว่า สิ่งที่มองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน คือสิ่งดี ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้กับผู้ที่แสวงหา ผู้ที่รักพระองค์ พระองค์ตรัสไว้อย่างนั้น ผู้ที่มาแสวงหาพระองค์ ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ ใช้ความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น จับต้องในโลกวัตถุนี้ แต่มารบอกว่าถ้าไม่ได้มองเห็นด้วยตา จับต้องด้วยตัว ไม่ได้อะไรต่างๆ เหล่านั้น อย่าไปเชื่อนะ มันคนละขั้วกันเลย

            โลกและมนุษย์ทั้งโลกได้ถูกพิพากษา ตัดสิน ถูกลงโทษ  ถูกสาปแช่งให้พินาศไปแล้ว อยู่ในที่มืด ที่ซึ่งไม่มีพระเจ้า เต็มไปด้วยความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่แล้ว  เพียงแต่รอการสำเร็จโทษในวันข้างหน้า สำหรับมนุษย์ทั้งหลาย ก็คือวันที่หมดลมหายใจบนโลกใบนี้

            แต่ความจริงในถ้อยคำพระเจ้า คือพระเจ้าได้ช่วยเหลือมนุษย์ โดยการอภัยโทษให้เรียบร้อย เมื่อ 2,000 ปีมาแล้ว ผ่านทางพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ แล้วก็เป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 เป็นการเริ่มต้น ปีแห่งความโปรดปราน ปีแห่งการอภัยโทษ ปีแห่งการประกาศอิสรภาพ ปีแห่งพระคุณแก่มวลมนุษย์ทั้งปวง 2,000 ปีมาแล้ว และมีคนมากมายได้รับชัยชนะ ได้รับสิทธินี้ไปแล้ว จนถึงปัจจุบัน  แต่ก็ยังมีคนถูกล่อลวงด้วยระบบของโลกนี้ ถูกปิดบังตา ถูกขโมยเอาความจริงนี้ไป ในโลกวิญญาณจึงมีการย้ายสถานที่เกิดขึ้น เมื่อผู้ใดผู้หนึ่งเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  มีการย้ายในโลกฝ่ายวิญญาณ ย้ายตำแหน่งที่อยู่อาศัยของผู้ที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็คือโลกแห่งความบาปและความตายนี้  ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของเขาอีกต่อไป พระคัมภีร์บอก ในโลกฝ่ายวิญญาณ ถ้าเราเป็นคริสเตียน โลกไม่ใช่ที่อยู่อาศัยของเรา  ผู้เชื่อไม่ได้อยู่ในโลกที่ถูกพิพากษา ถูกสาปแช่ง เพราะความบาปอีกต่อไป แต่เขาอยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรคสถานกับพระเจ้าแล้ว เราอยู่ในสวรรคสถานแล้ว นี่คือความจริง

            เราเคยกล้าพูดอย่างนี้ไหม? แม้เราจะเชื่อพระเจ้ามาหลายปีแล้ว เราเคยกล้าพูดอย่างนี้ว่า …

            “ฉันอยู่ในสวรรค์แล้วจริงๆ”

            ในขณะที่เจ็บป่วยอยู่ ในขณะที่เป็นโควิด ในขณะที่ติดเชื้อ กำลังรักษาอยู่ ในขณะที่ทนทุกข์ ขัดสนอยู่ ในขณะที่ PM.2.5 ปกคลุม เกิดอาการแพ้ ในขณะที่ไฟไหม้ป่า ลามมาถึงบ้านเรา

            “พระเจ้าอยู่ไหนๆ ทำไมไม่ช่วยดับไฟป่า” แล้วเราก็บอก “นี่หรือสวรรค์”

            ขอพระเจ้าช่วยเรื่องไฟไหม้ป่าได้ไหม? ได้ แต่ถ้ามันจะเกิดขึ้น หรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม เราไม่สามารถมาลบล้างความจริงของพระเจ้าได้ว่า …

            “เราอยู่ในสวรรค์แล้วนะลูกเอ๋ย”

            แล้วเราจะมาบอกว่า … “อยู่ในสวรรค์แล้ว ทำไมเป็นแบบนี้”

            ในโลกนี้ มันไม่ใช่สวรรค์ โลกสวรรค์อยู่ในทางวิญญาณ แต่วันหนึ่งข้างหน้า เราจะได้อยู่ที่นั่นอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ อย่างแท้จริง

            ถ้าอยู่ในโลกนี้ คนที่ยังไม่ได้เกิดใหม่ ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์ ถ้ายังอาศัยอยู่ในโลกแห่งการถูกสาปแช่ง โลกแห่งความบาปนี้อยู่ เขาก็ต้องสูญสิ้นไปกับโลกใบนี้  ในวันหนึ่ง  เพราะโลกและทั้งหมดที่อยู่ในโลกนี้  ถูกตัดสินไปแล้ว ถูกลงโทษเรียบร้อยไปแล้ว ให้พินาศไป และกำลังเดินทางไปสู่ความสูญสิ้นนี้ ถ้าใครคนใดคนหนึ่งยังไม่ย้ายฝั่งมาอยู่ในพระคริสต์ ยังอยู่ในโลกนี้อยู่  ก็ต้องสูญสิ้นไปด้วยกันกับโลก เรียกว่าถูกลงโทษให้พินาศ เพราะว่าเป็นศัตรู อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า  เข้ากับพระเจ้าไม่ได้  เคมีไม่เข้ากัน บาปและความบริสุทธิ์มันเข้ากันไม่ได้ ความชั่วและความดีไม่สามารถเข้ากันได้ ขาวและดำอยู่ด้วยกันไม่ได้ พระเจ้าและความบาปอยู่ด้วยกันไม่ได้ ไม่ใช่ไม่รักเรา ไม่ใช่พระเจ้าลงโทษเรา  เราถูกกฎลงโทษอยู่แล้ว จากความบาปตั้งแต่ในอดีต ตั้งแต่บรรพบุรุษเราเอาเข้ามา  มันเป็นกฎ เป็นระเบียบ ซึ่งเป็นกฎทางวิญญาณที่พระเจ้าเป็นผู้สถาปนา ดูแลให้เป็นไปตามกฎ เพราะพระองค์เป็นผู้พิพากษาของมหาจักรวาลที่ยุติธรรม และเที่ยงตรงที่สุด ไม่ลำเอียง

            เพราะฉะนั้น มนุษย์จำเป็นต้องย้ายสถานที่อยู่ทางวิญญาณ ในขณะที่ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  เพื่อมาอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ ก่อนหมดลมหายใจ มารก็พยายามหลอกว่าสวรรค์รอไว้ เมื่อหมดลมหายใจ แต่พระเจ้าบอกว่าต้องตัดสินใจ ก่อนหมดลมหายใจนะ มันคนละขั้วกันเลย การโกหกมดเท็จกับความจริงของพระเจ้า คนละเรื่องกันเลย  เพราะฉะนั้น เราเป็นคริสเตียนแล้ว เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราเกิดแล้ว เราต้องเชื่อว่าเราอยู่อีกฝ่ายหนึ่งแล้ว อยู่ในฝ่ายความจริง  เราอยู่ในสวรรค์แล้วจริงๆ ซึ่งมันเป็นความเชื่อ ซึ่งประกาศข่าวประเสริฐไปในตัวด้วย สำหรับคนที่เขายังไม่เชื่อ เขาจะได้รู้ว่าสวรรค์มันต้องตัดสินใจตอนนี้เลย เดี๋ยวนี้ทันที ในโลกใบนี้ ถ้ารอให้ตายก่อน มันสายไปแล้ว

            ซึ่งการจะอยู่ในสวรรค์มันง่ายนิดเดียว ย้ายเดี๋ยวนี้เลย ตอนหายใจอยู่นี่แหละ คือต้องบังเกิดใหม่ในพระวิญญาณบริสุทธิ์ สะอาด เข้ากับพระเจ้าได้ จึงสามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ ซึ่งการทำตัวให้บริสุทธิ์ สะอาด เข้ากับพระเจ้าได้ พระคัมภีร์บอกแล้วว่าไม่สามารถกระทำได้ด้วยการประพฤติของตนเอง ด้วยการกระทำของตนเอง กระทำดี สะสมไว้ ทำไม่ได้หรอก ที่บอกกระทำ สะสมไว้ชาติหน้า ไม่มีชาติหน้า  ตายไป ก็ต้องถูกตัดสินเลย อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งพระเยซูเท่านั้นที่เป็นทางเดียวที่คนจะสามารถบังเกิดใหม่ได้ ย้ายเข้ามาอยู่กับพระเจ้าได้ ในขณะที่มีลมหายใจ พระองค์ทรงเตรียมพระเยซูไว้ด้วยความรัก ให้กับมนุษย์ทั้งปวงแล้ว

            หลังจากย้ายแล้ว เกิดอะไรขึ้น? ก็เข้ามาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าทันทีเลย ไม่ต้องรอ และจะอยู่ในสวรรค์อย่างนี้ ตลอดไป ไม่ใช่อยู่เฉพาะเดี๋ยวนี้ แต่อยู่ตลอดไป  ไม่ใช่มาอยู่สวรรค์เดี่ยวนี้ แล้วก็นึกว่าตอนอยู่ในสวรรค์เดี่ยวนี้ แล้วทำอะไรผิด ไม่ดีเพิ่มขึ้น หรือเยอะขึ้น หรือน้อยลง อะไรต่างๆ เหล่านี้ ไม่เกี่ยวกันอีกแล้ว ที่อยู่ในสวรรค์ก็อยู่เลย อยู่ตลอดไปเลย ไม่ว่าท่านจะประพฤติอะไรจากนี้ต่อไปอีกก็ตาม  ท่านได้รับการอภัยโทษเรียบร้อยไปแล้ว โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่หลั่งที่ไม้กางเขนครั้งเดียวเป็นพอ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์อย่างนี้ พระเจ้าไม่จดจำความบาปของท่าน พระองค์เอาออกไป ลบออกไป ความบาปไม่ได้อยู่กับท่านอีกต่อไป

            ห่างกันเท่าไร? ตะวันออกห่างจากตะวันตกเท่าไร? พระองค์ทรงเอาความบาปผิดของท่านออกไปห่างเท่านั้น  ไม่มีได้เจอกันอีกแล้ว อยู่ตลอดไป พระเจ้าสถิตอยู่กับเราตลอดไป ไม่มีใครเอาเราออกจากพระเจ้าได้ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ในวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ร่างกายเราเป็นวิหารของพระเจ้าอยู่อาศัย แล้วพระเจ้าก็จะใช้ร่างกายเรานี้  ที่ยังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ทำงานให้พระองค์ คือประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ ฉายแสงสว่างของพระองค์ นำพาความรักของพระองค์ ไปยังบรรดาผู้คนรอบข้าง  โดยเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องพยายาม พระเจ้าพาไปเอง  เอเมนไหม? ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน? สวรรค์ก็อยู่ในตัวท่าน ไม่ว่าอยู่ที่ไหน? 3 พระภาคก็อยู่ในตัวท่าน ไม่ว่าท่านจะไปที่ไหน? ท่านไม่ได้ไปคนเดียว 4 วิญญาณเลย พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์  และวิญญาณของท่านเองไปพร้อมกัน เอเมนไหม?

            แล้วชีวิตหลังความตายล่ะ พระคัมภีร์ก็บอกไว้อย่างนี้ ชีวิตหลังความตาย พระเจ้าก็จะทรงสร้างโลกใหม่ คือโลกที่เราเห็นอยู่ปัจจุบันนี้ ที่ถูกสาปแช่งไปแล้ว มันมีแต่แย่ลงๆ ทุกวัน มลภาวะ มลพิษอะไรต่างๆ จะมากขึ้นทุกวัน ในที่สุดมันจะล่มสลายไป พระเจ้าจะสร้างสรรพสิ่งขึ้นใหม่ ในโลกใหม่หมด ซึ่งรวมทั้งร่างกายของมนุษย์ใหม่ด้วย ร่างกายของเราจะเป็นร่างกายใหม่ที่มีลักษณะเหมือนพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ร่างกายใหม่ที่เราจะได้รับหลังความตายนี้ ก็จะไม่มีโควิด ไม่มีมะเร็ง ไม่มีเบาหวาน  ความดัน หัวใจ โรคภัยไข้เจ็บใดๆ ที่มันจะทำร้าย ทำลายร่างกายเราได้อีก ไม่มีเชื้อโรคที่จะทำให้เราป่วย ไม่มีความชั่วร้าย ไม่มีความเกลียดชัง ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีการทำร้ายกันและกัน ไม่มีแก่งแย่ง ไม่มีความเศร้าโศก เสียใจ เพราะการสูญเสียอีกต่อไป ไม่มีความทุกข์อีกต่อไป นี่เรื่องจริงๆ เลย ทั้งโลกวิญญาณและโลกที่จับต้องมองเห็นได้ เป็นโลกใหม่ ไม่มีสิ่งเหล่านี้อีกแล้ว

            และข้อสำคัญที่สุด ที่ไม่มีในโลกใหม่ สรรพสิ่งใหม่ ที่พระองค์ทรงสร้าง ที่เราจะอยู่หลังความตาย นั่นก็คือไม่มีมารมาล่อลวงให้เราทำบาปอีกต่อไปแล้ว ที่มันมาล่อลวงให้เราทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำบนโลกใบนี้มันเหนื่อยนะ มันลำบากนะ เป็นคริสเตียนยังโดนอยู่ ตราบใดที่ยังอยู่บนโลกแห่งความบาปและความตายนี้  มันยังถูกล่อลวงอยู่ แต่ในโลกใหม่ไม่มีมาร ไม่มีอิทธิพลของความบาป  มาล่อลวงให้เราทำบาป  หรือล่อลวงให้เราเป็นศัตรู ไม่เชื่อฟังพระเจ้าอีกแล้ว ก็โดนอีก ตราบใดที่ยังอยู่ในโลกแห่งความบาปและความตายนี้ ยังอยู่ในโลกเดิมอยู่ แต่ในโลกใหม่ไม่มีมาร ไม่มีอิทธิพลของความบาป  มาล่อลวงให้เราทำบาป หรือล่อลวงให้เราเป็นศัตรู ไม่เชื่อฟังพระเจ้าอีกแล้ว  เราไม่ต้องใช้ความเชื่อ ไม่ต้องมีความหวังอีกต่อไป  เพราะว่าสิ่งที่เราหวังไว้ มันได้แล้ว เห็นแล้ว เห็นต่อหน้าต่อตา จับต้อง มองเห็นแล้ว เพราะเราจะเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า ตามความเป็นจริง เราได้อยู่ในความรัก ในสวรรค์กับพระเจ้า สืบไปนิรันดร์ แบบจับต้องมองเห็นได้เลย เอเมน ขอบคุณพระเจ้า

            และเหล่านี้ที่พูดมาทั้งหมด ที่เรากำลังตื่นเต้นนี้ ยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้น จากความจริงของถ้อยคำพระเจ้าเหล่านี้  ทั้งก่อนตายและหลังตายเป็นอย่างนี้  และนี่คือชัยชนะนิรันดร์ เหนือโลกแห่งความบาปและความตายที่ถูกสาปแช่งให้สูญสิ้นไปแล้วนั่นเอง ตามชื่อเรื่อง ก็คือใครกันล่ะ ที่เอาชนะโลกแห่งความบาปและความตาย ที่ถูกพิพากษานี้ได้ ใครกันล่ะ? ตอบสิใคร? ก็คือคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า

            “ใครกันล่ะที่เอาชนะโลกแห่งความบาปและความตายที่ถูกพิพากษานี้ได้”

            “ก็คนที่เชื่อว่าพระเยซู เป็นพระบุตรของพระเจ้า”

            คราวนี้เราตอบแบบสั้นๆ เพื่อให้โลกที่โกหกหลอกลวงนี้รู้ว่าเรารู้ความจริงแล้ว

            “ใครกันล่ะที่เอาชนะโลกแห่งความบาปและความตายที่ถูกพิพากษานี้ได้”

            “ก็ฉันนะสิ”

            เพราะว่าพระเยซูคริสต์จะเข้าไปดำรงอาศัยอยู่ในเขา และเขาจะดำรงอาศัยอยู่ในพระคริสต์ และทั้งสองวิญญาณจะเป็นหนึ่งเดียวกัน  และทั้งสองวิญญาณที่เป็นหนึ่งเดียวกันนี้จะซ่อนอยู่ในพระบิดา ผู้สถิตอยู่ในสวรรค์ และทั้ง 3 พระภาคก็สถิตอยู่ในเขาเป็นหนึ่งเดียวกันตลอดนิรันดร์ เอเมน

*******************************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            วิญญาณของท่านอยู่ที่ใด?

                        ในเชื้อสายอาดัม

                                    หรือ …

                        ในเชื้อสายพระคริสต์?

            อาดัมตาย ทิ้งมรดกไว้ให้ลูกหลาน คือคำสาปแช่งความพินาศ

            พระเยซูคริสต์ตาย ทิ้งมรดกไว้ให้กับลูกหลาน คือสวรรค์และชีวิตนิรันดร์

            มรดกจากอาดัม ต้นตระกูลแรกเริ่มของมวลมนุษย์ คือคำสาปแช่งหนี้บาปและความพินาศ

            มรดกจากพระเยซู ต้นตระกูลใหม่ของมวลมนุษย์  คือความรอดความบริสุทธิ์ชอบธรรมและชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์

            โรม 5:19 … “เพราะการไม่เชื่อฟัง (ความบาป)  ของมนุษย์คนเดียว (คืออาดัม  ต้นประกูลเดิมเผ่าพันธุ์มนุษย์) ทำให้คนเป็นอันมาก  เป็นคนบาปคนอธรรม  (ติดเชื้อบาป) ฉันใด  การเชื่อฟัง (ยอมทำตามพระเจ้า ยอมตายบนกางเขน) ของมนุษย์คนเดียว (คือพระเยซู ต้นตระกูลใหม่เผ่าพันธุ์มนุษย์)  ก็ทำให้คนเป็นอันมาก  เป็นผู้ชอบธรรม (ได้รับการรักษาให้หายจากเชื้อบาป) ฉันนั้น”

            สดุดี 37:28-29 … “28 เพราะพระเจ้าทรงรักความยุติธรรม พระองค์จะไม่ทอดทิ้งผู้ชอบธรรม ของพระองค์ จะทรงสงวนคนเหล่านั้นไว้เป็นนิตย์ แต่ลูกหลานของคนอธรรม (อาดัม) จะถูกตัดออกไปเสีย 29 คนชอบธรรมจะได้แผ่นดินสวรรค์นั้นเป็นมรดก และจะอาศัยอยู่ที่นั่นตลอดไป”

            มาย้ายจากการอยู่ในเผ่าพันธุ์เดิม ต้นตระกูลอาดัมมาอยู่ในเผ่าพันธุ์ใหม่ต้นตระกูลพระเยซูคริสต์กันดีกว่า

            มนุษย์ทุกคนเกิดมาบนโลกนี้พร้อมกับมรดกตกทอด จากอาดัมบรรพบุรุษต้นตระกูล  คือคำสาปแช่งหนี้บาปและความพินาศ

            วิญญาณ คือตัวตนแท้ๆ ได้อยู่ในความพินาศ ในโลกวิญญาณในสถานที่ที่เรียกว่าความมืด ไม่มีพระเจ้าและจะอยู่ที่นี่ตลอดไปนิรันดร์ ถ้า ไม่มีใครช่วย ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ย้ายสถานที่อยู่ก่อนหมดลมหายใจ

            พระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ทุกคนด้วยการส่งพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์และตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต เพื่อลบล้างความผิดบาป ใช้หนี้ความบาปและแบกรับเอาคำสาปแช่งของมนุษย์ทุกๆ คนแล้ว

            พระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูให้เป็นขึ้นจากความตาย ประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับพระองค์และแต่งตั้งให้พระเยซูคริสต์นี้เป็นต้นตระกูลของมนุษย์พันธุ์ใหม่ คือเป็นพันธุ์ที่บริสุทธิ์สะอาดชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้าอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้นิรันดร์

            ซึ่งพระพรนานัปการในวิญญาณเหล่านี้ เรียกว่ามรดกในพระเยซูคริสต์ มนุษย์ทุกคนมีสิทธิ์ได้มรดกนี้ฟรีๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงใช้สิทธิของตนเองเท่านั้น จึงเรียกว่าข่าวดีมาถึงมวลมนุษยชาติทุกคนแล้ว

            ใครที่เชื่อข่าวดี ที่เปิดใจต้อนรับสิทธินี้ ก็จะได้รับการ ย้ายตระกูลที่อยู่อาศัยในโลกวิญญาณ คือได้บังเกิดใหม่  ย้ายจากความพินาศมาสู่ชีวิตนิรันดร์  ย้ายจากความมืดมาอยู่ความสว่าง  ย้ายจากการเป็นคนบาปมาเป็นคนชอบธรรม เป็นลูกของพระเจ้า  ย้ายจากคำสาปแช่งมาสู่พระพรนานัปการในสวรรคสถานในพระเยซูคริสต์

            ก็คือย้ายจากการอยู่ในเผ่าพันธุ์เดิม ต้นตระกูลอาดัมมาอยู่ในเผ่าพันธุ์ใหม่ ต้นตระกูลพระเยซูคริสต์นั่นเอง

            เงื่อนไขเดียวที่ต้องทำ คือเชื่อในข่าวดีและเปิดใจต้อนรับผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตนี่แหละ คือการใช้สิทธิ์ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้สำเร็จแล้ว เพื่อมนุษย์ทุกคนบนไม้กางเขน

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1506

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  19  มกราคม  2025

เรื่อง “หนังสือ 1 ยอห์น” ตอน 14 “บนโลกนี้

เราชอบธรรมเหมือนพระเยซูชอบธรรม”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            เรามาต่อหนังสือ 1 ยอห์นกัน มาถึงตอนที่ 14 ชื่อเรื่องว่า “บนโลกนี้ เราชอบธรรมเหมือนพระเยซูชอบธรรม” ตกใจไหม? หลายคนฟังแล้วตกใจ ถ้าไม่ได้ติดตามมาตั้งแต่ต้น เหมือนพระเยซูเลยเหรอเนี้ย  เอาอย่างนั้นเลยหรือ? ฉันเนี้ยนะ เป็นอย่างนั้น

            ชอบธรรม หมายถึงสามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ผู้บริสุทธิ์ได้ ปกติมนุษย์ไม่สามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้ เพราะพระเจ้าบริสุทธิ์  คำว่า “บริสุทธิ์” เป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจ ทำลาย หรืออยู่ตรงข้าม เป็นศัตรูกับความบาป ความสกปรก เข้ากันไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น คนบาป สกปรกแม้แต่นิดเดียว ก็ไม่สามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้ เขาจะถูกทำลายด้วยฤทธิ์อำนาจ ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า แต่วันนี้ เราจะเรียนหนังสือใน 1 ยอห์น  ที่แสดงให้เราได้เห็นความจริง ในโลกวิญญาณว่าขณะที่เราดำเนินชีวิตในโลกใบนี้ ในฐานะเป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อในพระเจ้าแล้ว เรายืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ผู้บริสุทธิ์ได้ เหมือนกับที่พระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระเจ้ายืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้

            คำว่า “ยืนอยู่ต่อหน้า” ก็คือการสามารถเข้าหาพระเจ้าได้ตลอดเวลาทุกเมื่อ และยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้อย่างไร? ก็ต้องมีคุณสมบัติเหมือนพระเจ้า  ก็คือบริสุทธิ์เหมือนพระองค์

            คำว่า “บริสุทธิ์เหมือนพระองค์” ตามภาษาของโลกใบนี้ มนุษย์ทั้งหลายเรียกว่า “ดีพร้อม” พระเจ้าทรงแสนดี คือพระองค์ทรงดีพร้อมทุกประการ ไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียว เราก็เป็นผู้ที่ดีพร้อม  ไม่มีที่ติเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนใคร? เหมือนพระเยซูคริสต์ ว๊าวไหม? ว๊าว …

            “ฉันอยู่บนโลกใบนี้ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์”

            เชื่อไหม? เอเมนไหม? ที่ติดตามมา 13 ตอนแล้ว ต้องเอเมนแล้ว รู้แล้ว เพราะว่าเรื่องของพระเจ้า เรื่องของพระเยซูที่เรากำลังเรียนรู้กัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น  พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ มองไม่เห็น  แล้วก็บันทึกไว้ว่ามนุษย์ก็เป็นวิญญาณ  มีใจหรือจิตใจ อาศัยอยู่ในร่างกาย นี่เริ่มต้นของโลกวิญญาณ ต้องเรียนรู้ตรงนี้ ต้องเชื่อตรงนี้ก่อน ถ้าไม่รับรู้ตรงนี้ ไม่เชื่อตรงนี้ ก็ไม่มีทางรู้เรื่องหรอก จะเอาความคิดแบบมนุษย์ เอาแบบที่ตามองเห็น ไม่มีทางที่จะเรียนรู้ได้เลย

            “มนุษย์เป็นวิญญาณ มีจิตใจ อาศัยอยู่ในร่างกาย”

            จำไว้เลยว่าฐานตรงนี้ ต้องอยู่ในจิตใต้สำนึก อยู่ในความคิด อยู่ในทุกอณูเนื้อของเราชาวคริสเตียน ที่กำลังแสวงหาพระเจ้า ที่กำลังจะเรียนรู้ความจริงของพระเจ้า ให้ความรู้นี้อยู่ในตัวของเราตลอดเวลา ยอห์น 4:24 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        ยอห์น 4:24 “พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง”

            พระเยซูเป็นผู้พูดเองว่าพระเจ้าทรงเป็นวิญญาณ  และผู้ที่นมัสการพระองค์ ก็คือผู้ที่เข้ามาหาพระองค์  เข้ามาพูดคุย เข้ามามีความสัมพันธ์กับพระองค์ ต้องนมัสการพระองค์ด้วยจิตวิญญาณ ก็หมายถึงวิญญาณที่อยู่ภายในร่างกายของมนุษย์คนนั้น ด้วยวิญญาณและด้วยความจริง ความจริง ก็คือจากถ้อยคำของพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริง ถ้อยคำของพระองค์ เป็นถ้อยคำแห่งความจริง

            จากความจริง คือถ้อยคำของพระเจ้าที่บอกเรา สอนเรา ชี้ให้เราเห็นถึงความจริงในโลกวิญญาณ ที่ตามองไม่เห็นนั้น หูไม่ได้ยินนั้น ความจริง มันคืออะไร? ยกตัวอย่างเมื่อสักครู่นี้ ความจริง คือท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านเชื่อในพระเยซูคริสต์ ท่านเป็นคริสเตียนแล้ว  ท่านชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้วขณะนี้  กำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ท่านเป็นอย่างนี้เหมือนพระคริสต์เลยทีเดียว นี่คือความจริง ถ้าจะนมัสการพระองค์ ท่านก็ต้องเชื่อด้วยวิญญาณและจิตใจของท่าน ให้เป็นไปตามถ้อยคำแห่งความจริงเมื่อสักครู่นี้ ที่พูด นี่คือโลกวิญญาณ เห็นชัดเลย

            ยกตัวอย่าง อย่างเช่นหนังสือพระคัมภีร์ ท่านจะได้ยินบ่อยๆ ว่าพอถึงเรื่องสำคัญๆ ไม่ว่าเป็นพระเยซูเอง หรือสาวก อัครทูตที่เขียนพระคัมภีร์จากการทรงนำของพระวิญญาณนั้น ก็จะใช้คำนี้ว่า “จงมองให้เห็นเถิด” แปลว่าอะไร จงมองให้เห็นเถิด? ก็คือมันมองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน มันจับต้องได้ จงมองให้เห็นเถิด อย่างเช่น 1 ยอห์น 3:1 บันทึกไว้อย่างนี้ …

        1 ยอห์น 3:1 “จงมองให้เห็นเถิดความรักที่พระบิดามีต่อพวกเรานั้น มันมากมายมหาศาลแค่ไหน ถึงขนาดได้เรียกเราว่าเป็นลูกของพระองค์”

            เป็นลูกของพระองค์ ก็คือเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูเป็นลูกของพระองค์เลย เห็นไหม? ไม่เห็น มันเกิดขึ้นที่โลกวิญญาณ ที่ตัวตนจริงๆ ของเรา คือวิญญาณ และใจที่ได้บังเกิดใหม่ ที่อยู่ตลอดไปนี้ มันมองไม่เห็น เพราะฉะนั้น ความจริงมันเป็นอย่างนี้ อาจารย์ยอห์นจึงใช้คำว่าจงมองให้เห็นเถิด ความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรานั้น มันมากมายมหาศาลขนาดไหน? ถึงขนาดรับเราทั้งหลายผู้เป็นคนบาป ผู้ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ความประพฤติไม่ดี รับเราเป็นลูกของพระองค์ ทำให้เราเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์เลยทีเดียว ปรบมือขอบคุณพระเจ้าของเรา ถ้าเผื่อท่านเชื่อนะ  ถ้าเผื่อท่านรับรู้ ท่านต้องรู้สึกเลยว่าโอ้โห! ถ้าท่านเชื่อถ้อยคำพระเจ้านี้จริงๆ อย่างเช่นใน 2 โครินธ์ 5:17 ก็บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        2 โครินธ์ 5:17 “ฉะนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่ (บังเกิดใหม่) สิ่งเก่าๆ ทั้งหมดได้ล่วงไป สูญสิ้นไป ได้ตายไปแล้ว จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น”

            “จงมองให้เห็นเถิด ทุกสิ่งทั้งหมด เป็นใหม่ทั้งสิ้น” ทั้งหมด ทุกสิ่ง ก็คือวิญญาณ จิตใจ และร่างกาย เป็นใหม่ทั้งสิ้น ใหม่ ก็คือเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว เหมือนพระเยซูคริสต์ ท่านก็สะดุ้งเลย  แต่ใช้ความเชื่อ การรับรู้ทางวิญญาณ พระเยซูตรัสเอง พูดถึงผู้เชื่อของพระองค์แต่ละคนที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้อยู่ เรียกว่าสาวกของพระองค์ พระเยซูตรัสกับผู้เชื่อแต่ละคน ผู้เชื่อ ก็คือสาวก ฟังให้ดีๆ นะ พระเยซูตรัสว่าอย่างไร?  ก่อนที่จะเสด็จเข้าสู่สวรรค์ นี่มองไม่เห็นแล้ว  เข้าสู่มิติโลกฝ่ายวิญญาณ  พระองค์ตรัสสิ่งสำคัญไว้อย่างนี้ว่า …

        มัทธิว 28:20 “พระเยซูตรัสกับผู้เชื่อแต่ละคนว่า “จงมองให้เห็นเถิด เราอยู่กับท่าน ในท่านตลอดเวลา เสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก”

            จงมองให้เห็นเถิดว่าเรา (ก็คือพระเยซู) อยู่กับสาวกผู้เชื่อ อยู่ในสาวกผู้เชื่อตลอดเวลา เสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก  ตั้งแต่เมื่อไร? ตั้งแต่เดี๋ยวนี้  บนโลกใบนี้เลย อยู่กับมนุษย์ที่เชื่อในพระองค์ และได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระองค์ พระองค์จึงสามารถเข้ามาอยู่ได้ สามารถให้เรายืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้  ทำให้เราบริสุทธิ์ ดีพร้อม ชอบธรรมเหมือนพระองค์ พระองค์จึงสามารถเข้ามาในร่างกาย มาอยู่กับเราได้ เห็นไหม?

            เราจะเห็นว่าในพระคัมภีร์จะเป็นอย่างนี้หมดเลย เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ให้เรารับรู้ความจริงเหล่านี้ ด้วยความเชื่อทางฝ่ายวิญญาณ ส่วนระบบของโลก ที่เขาอยู่อาศัย ตามที่เราเห็น เขาอยู่อาศัยด้วยอะไร? ด้วยความรู้สึก ด้วยสิ่งที่ตามองเห็น  ถ้าไม่เห็น ไม่เชื่อ แล้วก็ชักจูงให้มนุษย์ทั้งหมด ดำเนินชีวิต ให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตามองเห็น จับต้องได้เท่านั้น  และพอมาถึงเรื่องโลกวิญญาณ ก็ไม่เชื่อ หาว่างมงาย เป็นต้น

            พระคัมภีร์โคโลสีจึงบอกว่าให้เราจดจ่อไปที่เบื้องบน เบื้องบน หมายถึงเรื่องโลกวิญญาณ ให้เราจดจ่อไปที่เบื้องบน ในที่ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ สวรรคสถาน ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ให้เราจดจ่อ ก็คือให้เราตั้งตา ตั้งใจ จดจ่อ ก็คือมองให้เห็นเถิด  มองเห็นวันนี้ชัดไม่ชัด จงมองเห็น ก็พยายามเรียนรู้ต่อไปเรื่อยๆ จะเห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น จงมองให้เห็นเถิด มองที่ไหน? มองที่เบื้องบน มองที่สิ่งต่างๆ ที่โลกฝ่ายวิญญาณ  ตามถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พระคัมภีร์จึงบอกอย่างนั้น ให้เรามองที่โลกวิญญาณ อย่าไปตามระบบของโลกนี้ อย่าไปมองที่ฝ่ายโลก ที่จับต้องมองเห็นได้ต่างๆ เหล่านั้น เมื่อเรารู้ว่าเป็นโลกฝ่ายวิญญาณ เรารู้แล้วว่าพยายามให้นึกและคิดไปถึงเรื่องที่เกี่ยวกับการเกิดขึ้นในเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณเท่านั้น ท่านจะเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าคำว่าจงมองให้เห็นเถิด มันไม่สามารถเที่ยวเดียว รู้หมดเลย ได้ยิน ได้เห็นหมดเลย โลกฝ่ายวิญญาณ ไม่ใช่

            จงมองให้เห็นเถิด หมายถึงจงเรียนรู้ มองไปเรื่อยๆ แล้วจะเห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ เพ่งไปเรื่อยๆ จะเห็นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

            คราวนี้มาต่อจากครั้งที่แล้ว ครั้งที่แล้วตอนที่ 13 วันนี้ตอนที่ 14 จะเริ่มต้นที่ 1 ยอห์น 4:13 …

        1 ยอห์น 4:13 “เรารู้ว่าเราดำรงอาศัยอยู่ในพระองค์ และพระองค์ดำรงอาศัยอยู่ในเรา เพราะว่าพระองค์ได้มอบพระวิญญาณของพระองค์ให้แก่เราแล้ว”

            เห็นไหม? ชัดไหม? “เรารู้ว่า” ไม่ใช่ “เรารู้สึกว่า” ไม่ใช่  “เพราะเราเข้าใจว่า” หรือไม่ใช่ “เพราะเราจับต้องมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อของเราว่า” ไม่ใช่เลย  แต่เรารู้ว่า … รู้จากไหน? จากภายในวิญญาณของเรา เพราะมันเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ แต่เรารู้ว่าเพราะพระวิญญาณพระเจ้าสถิตอยู่ภายในเรา ช่วยเราให้เห็นถึงโลกฝ่ายวิญญาณนี้ว่าเป็นเช่นนั้น เรารู้ว่าอะไร? เรารู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้าดำรงอาศัยอยู่ในเรา เพราะว่าพระองค์ได้มอบพระวิญญาณของพระองค์ให้แก่เราแล้ว

            พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในเรา เห็นไหม? ไม่เห็น รู้สึกไหม? ไม่รู้สึก พระวิญญาณเข้ามา มันต้องมีการขนลุกนะ ต้องมีการสั่นนะ ต้องโน่น ต้องนี่นะ จะมีก็ได้ ไม่มีก็ได้  ไม่มีอะไรเลย ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราบังเกิดใหม่ เป็นคริสเตียน พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็สถิตอยู่ในเราแล้ว ครบถ้วนบริบูรณ์เลย ไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่ในเราแล้ว โรม 8:16 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 8:16 “พระวิญญาณเอง ได้เป็นพยานต่อวิญญาณของเราว่าเราเป็นบรรดาบุตรของพระเจ้า”

            ไม่ต้องมีใครมาเป็นพยานและยืนยันให้กับเราว่า “พระวิญญาณสถิตอยู่กับเธอ เธอต้องสั่น พระวิญญาณสถิตอยู่กับเธอ เธอต้องขนลุก”

            ไม่ต้อง เพราะเราเชื่อในถ้อยคำ ถ้อยคำบอกอย่างไร? เป็นอย่างนั้น “พระวิญญาณเอง ได้เป็นพยานต่อวิญญาณของเรา” ข้างใน มันเกิดขึ้นข้างใน เป็นพยานว่าอย่างไร? “ว่าเรารู้ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้า” ต่อด้วย “ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระเยซูคริสต์” เรารู้อยู่ข้างใน เพราะพระวิญญาณบอกเรา

            คราวนี้มาถึงคำว่า “ดำรง อาศัยอยู่” ที่ผมใส่คำว่าดำรง อาศัยอยู่ในข้อความนี้ เพื่อให้เห็นชัดเจนถึงกิริยานี้  แปลตรงนี้ให้มันชัดๆ ทั้ง 3 คำนี้เลย  อยู่ อาศัย ดำรง … ดำรงอาศัยอยู่ หมายถึงอย่างไร? หมายถึงการเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นเนื้อเดียวกัน แยกกันไม่ได้ เหมือนพระเยซูยกตัวอย่าง เหมือนลำต้นกับกิ่งไม้ ลำต้นองุ่น ก็คือเถาองุ่นกับกิ่งองุ่น เชื่อมกันอย่างไร?  ดำรงอาศัยอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า วิญญาณของเราเป็นอย่างนั้น เรากำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ ที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ต้องจำไว้นะ มันแยกกันไม่ได้เลย วิญญาณของผู้เชื่อกับวิญญาณของพระเจ้า 3 พระภาคเป็นหนึ่งเดียวกันเลย

            ถ้ายกตัวอย่าง พยายามให้สามารถพอที่จะเข้าใจได้ ตามความคิดของมนุษย์ จริงๆ เราใช้ความเชื่ออย่างเดียวก็พอแล้ว แต่ต้องยกตัวอย่างนิดหนึ่ง พระเยซูยังยกตัวอย่างเลย เหมือนกับเถาองุ่นกับกิ่งองุ่นเป็นหนึ่งเดียวกัน กิ่งองุ่นดำรงอาศัยอยู่ในเถาองุ่น เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างไร?

            ผมจะยกตัวอย่างของผมบ้างในปีพ.ศ.นี้ 2,000 ปีผ่านมาแล้วว่าการเป็นหนึ่งเดียวกันตรงนี้ การดำรงอาศัยอยู่ในพระเจ้าตรงนี้ พระเจ้าดำรงอาศัยอยู่ในเรา เมื่อเป็นหนึ่งเดียวกัน มันเชื่อมต่อเป็นเนื้อเดียวกันอย่างไร? ท่านรู้จักน้ำชาใช่ไหม? น้ำชาสีอะไร? น้ำชาสีชา สมมติว่าเราเป็นน้ำ พระเจ้านำเราเป็นน้ำหยดหนึ่งใส่ไปในแก้วน้ำชา ถามว่าท่านเห็นตัวเองไหม? ท่านกลายเป็นน้ำชาไปด้วย แล้วท่านแยกออกจากกันได้ไหมว่าจากนี้พยายามไปเอาตัวท่านออกมา เรียกว่าท่านอยู่ที่ไหน? ไม่ได้แล้ว ท่านอยู่ในน้ำชานั้น แล้วน้ำชานั้นแยกออกได้ไหมว่าน้ำชาอันนี้เป็นชาพระบุตร อันนี้เป็นชาพระวิญญาณ อันนี้เป็นชาพระบิดา  ทั้ง 3 พระภาคเป็นหนึ่งเดียวกัน  เราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับ 3 พระภาคมันเป็นอย่างนี้ นี่พยายามอุปมา ยกตัวอย่างให้เรา พอที่จะใช้ความคิดอันต่ำต้อยแบบมนุษย์ของเรา พอจะเห็นภาพบ้าง ในหนังสือเอเฟซัส 1:13-14 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ …

        เอเฟซัส 1:13-14 “และท่านทั้งหลายก็ได้ร่วมอยู่ในพระคริสต์เช่นกัน เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะแห่งความจริง คือข่าวประเสริฐแห่งความรอดของท่าน เมื่อท่านเชื่อก็ทรงประทับตราท่านไว้ในพระองค์ด้วยดวงตรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสัญญาไว้ ผู้เป็นมัดจำค้ำประกันว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ของเรา จนกว่าคนของพระเจ้าจะได้รับการไถ่ อันเป็นการสรรเสริญพระเกียรติสิริของพระองค์”

            เหมือนกันเลยเห็นไหม? “ท่านทั้งหลาย ผู้เชื่อทั้งหลาย ก็ได้ร่วมอยู่ ก็ได้ร่วม ดำรง อาศัยอยู่ในพระคริสต์” อยู่ในน้ำชานี้ ท่านผู้เชื่อทั้งหลาย ท่านได้ดำรงอาศัยอยู่ในพระคริสต์เช่นกัน  เมื่อท่านฟังถ้อยคำพระเจ้า และเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็คือในอดีตเราฟังข่าวประเสริฐของพระเยซู แล้วก็เปิดใจต้อนรับพระเยซู ทันทีทันใด บนโลกใบนี้นั้น เราได้บังเกิดใหม่  พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเราเข้าไปดำรงอาศัยอยู่ในพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เป็นน้ำหยดหนึ่งที่ใส่ลงไปในแก้วน้ำชา 1 ยอห์น 4:14 …

        1 ยอห์น 4:14 “เราได้เห็นและยืนยันว่าพระบิดาได้ส่งพระบุตรให้เป็นผู้ช่วยโลก ให้รอดพ้น”

            อัครทูตยอห์นได้ย้ำยืนยันว่าเขาเองและอัครสาวกเพื่อนๆ อีก 11 คน ได้เห็น อันนี้ได้เห็นจริงๆ ด้วยตาเนื้อเลย และยืนยันว่าพระบิดาส่งพระบุตร คือส่งพระเยซูมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจริงๆ คือย้ำยืนยันอีกทีหนึ่ง ตะกี้โลกวิญญาณ ตอนนี้ ในโลกวัตถุบอกว่าตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ อยู่กับพระเยซูเขาได้เห็นว่านี่ พระองค์จริงๆ เห็นตอนที่พระเยซูเดินอยู่บนโลกใบนี้  เห็นตอนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เห็นพระเยซูตอนที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย  อยู่กับพระองค์ตอนเป็นขึ้นจากความตาย ปรากฏให้เห็นและอยู่ด้วยกันอีก 40 วัน เขาได้เห็นและยืนยันจริงๆ ว่ามันเป็นเช่นนั้น

            เกิดอะไรขึ้นในวิญญาณ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ก็คือต้อนรับข่าวดีของพระเยซู มันเกิดอะไรขึ้น 1 ยอห์น 4:15 บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 4:15 “ถ้าผู้ใดยอมรับและรับรู้ในวิญญาณว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงอาศัยอยู่ ดำรงอยู่ในผู้นั้น และเขาก็ดำรงอยู่ในพระเจ้า”

            ถ้าใครก็ตาม หรือมนุษย์ผู้ใดก็ตามยอมรับ หรือรับรู้ในวิญญาณของเขาว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า  ก็คือใครก็ตามที่ได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเยซูว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขนให้กับมวลมนุษยชาติ  และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ ในวันที่ 3 ก็เหมือนกับเราทั้งหลายที่เชื่อไปแล้ว นี่สำหรับคนที่ยังไม่เชื่อ สามารถทำตรงนี้ได้ เมื่อทำแล้วเกิดอะไรขึ้น  มันก็จะเกิดความเชื่อในข้อมูลข่าวดีนี้ เริ่มต้น ค่อยๆ เชื่อมากขึ้น แล้วก็จริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเขาไม่หยุด ที่จะรับฟังข่าวดีนี้  ยอมรับข่าวดี แล้วก็รับไปเรื่อยๆ อย่างจริงๆ ในใจ  ก็จะเกิดความเชื่อขึ้นในวิญญาณของเขา วิญญาณภายในที่เป็นคนบาป  เป็นบาปอยู่นั้น ก็จะเกิดสิ่งหนึ่งขึ้นมา ที่เรียกว่าความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด ผลที่เกิดขึ้น ก็คือวิญญาณของคนๆ นั้น ก็จะได้รับการชำระให้พ้นจากมลทินบาปทั้งปวง ได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ สะอาด ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์ เหมือนพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็จะได้สามารถเข้ามาดำรงอาศัยอยู่ในเขาผู้นั้นตลอดไป นี่ขบวนการที่เกิดขึ้น 1 ยอห์น 4:16 …

        1 ยอห์น 4:16 “เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้เราได้มารู้จักสนิทกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว และได้เชื่อศรัทธาอย่างมั่นใจลึกซึ้งในความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา พระเจ้าเป็นความรักผู้ใดดำรงอาศัยอยู่ในความรัก ก็ดำรงอาศัยอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าดำรงอาศัยอยู่ภายในผู้นั้นตลอดเวลา”

            เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คือเมื่อเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และพระเจ้าเข้ามาดำรงอยู่ในผู้นั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำให้ผู้นั้นหรือเราที่ได้เชื่อและได้บังเกิดใหม่แล้ว ได้มารู้จัก สนิทสนม เป็นการส่วนตัวกับพระเจ้า

            รู้จัก ไม่ได้หมายถึงมารู้ว่าได้ยินเรื่องพระเจ้า เขาพูดกัน แล้วได้รู้จัก ไม่ใช่รู้จักอย่างนั้น

            รู้จักในที่นี้ หมายถึงการเป็นหนึ่งเดียวกัน การอยู่ด้วยกัน การเข้ามาอยู่ในครอบครัวเดียวกัน  ค่อยๆ ศึกษานิสัยใจคอ ได้มารู้จักสนิทสนม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัวเลย  และได้เชื่อศรัทธาอย่างมั่นใจ ลึกซึ้งในความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา หมายถึงความเชื่อที่มันเกิดขึ้นจากการบังเกิดใหม่ เป็นความเชื่อที่เป็นของประทาน มันเกิดขึ้นมาในวิญญาณของเรา  ทันทีเลย เพราะเราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า มีความเชื่อติดตัวมาเลย ความเชื่อที่เชื่อว่าพระเจ้าเป็นความรัก เชื่อว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเรา  เชื่อในโลกฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าบอกกับเรา

            ผู้ใดอาศัยดำรงอยู่ในความรัก ก็จะดำรงอาศัยอยู่ในพระเจ้า ก็จะรู้จักภายในว่าพระเจ้าเป็นความรัก และเราก็เป็นลูกแห่งความรักเหมือนพระเจ้า เราก็จะเริ่มต้นฝึกฝนการดำรงชีวิต จากความรักที่อยู่ภายใน  เพราะรู้ว่าพระเจ้าดำรงอยู่กับเราตลอดเวลานั่นเอง รู้จากภายใน 1 ยอห์น 4:17 …

        1 ยอห์น 4:17 “ในการได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์นี้ ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในตัวเรา (ทั้งวิญญาณและจิตใจ) เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นวิญญาณและจิตใจที่เหมือนกับวิญญาณและจิตใจของพระคริสต์”

            “ในการได้เข้าส่วนร่วมเป็นหนึ่งกับพระคริสต์นี้” ก็คือการบังเกิดใหม่ การเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เกิดขบวนการนี้ขึ้นมา เมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ เป็นส่วนหนึ่ง เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์อะไรเกิดขึ้น ความรัก ที่ผมเน้น แปลให้ท่าน จากภาษาเดิม ความรักนี้ ไม่ใช่ความรัก “ฉันรู้สึกว่ารัก” ไม่ใช่ แต่เป็นความรักที่เป็น ไม่ใช่มีความรัก แต่เป็นความรัก คือวิญญาณเป็นความรักแบบพระเจ้า

            ความรักแบบอากาเป้ คือความรักที่เป็นแบบพระเจ้าเป็นอยู่ ไม่ใช่พระเจ้ามีความรักแบบอากาเป้  พระเจ้าทรงเป็นความรัก แบบอากาเป้  เราก็เป็นความรักแบบอากาเป้  ความรักแบบอากาเป้นี้จึงได้เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนในเรา  คือความรักที่สมบูรณ์ครบถ้วนบริบูรณ์ มนุษย์ไม่สามารถทำได้เลย จะรักขนาดไหน ไม่มีทางได้รักเท่านี้ เพราะนี่เป็นความรักของพระเจ้า ความรักแบบสมบูรณ์ ก็จะเกิดขึ้น คือเข้ามาอยู่ในตัวของผู้เชื่อ คือเป็นตัวตนของเรา  เป็นความรัก  เราจึงมีความมั่นใจในคำพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจ เต็มเปี่ยมล้น  เพราะวิญญาณ จิตใจของเรานั้น เป็นความรักเหมือนพระเยซูคริสต์

            แปลตรงนี้ก่อน … “เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา” ก็คือมนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และอยู่ภายใต้การพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว ต้องลงบึงไฟนรก  ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลง หลังความตาย ก็ถูกสำเร็จโทษ ถูกพิพากษาลงโทษให้ไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้าตลอดไปชั่วนิรันดร์ แต่ถ้าเปลี่ยนใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และได้บังเกิดใหม่ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว  สิ่งนี้เกิดขึ้น ก็คือในใจเขาดำเนินชีวิตอยู่บนโลกนี้  ก็ไม่กลัวการพิพากษาแล้ว ไม่กลัวความตาย ไม่กลัวหลังความตายว่าจะเกิดอะไรขึ้น  เพราะมั่นใจ 100% ว่าหลังความตาย เราไม่ได้เป็นคนบาป เราไม่กลัวการพิพากษา เราหลุดพ้นจากการพิพากษาตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว พระคัมภีร์ตรงนี้จึงเขียนว่า ไม่กลัว เพราะว่าวิญญาณและจิตใจของเรา ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้นั้น เป็นวิญญาณและเป็นใจใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์แล้วไง บริสุทธิ์ ชอบธรรม ดีพร้อม ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว  ขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราบริสุทธิ์และดีพร้อมแล้ว  ในขณะที่เรากำลังดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตแบบผิดๆ ถูกๆ บ้าง ตกๆ หล่นๆ เดี๋ยวทำบาป เดี๋ยวทำดี เดี๋ยวทำไม่ดี แต่อยากจะบอกว่าจงมองให้เห็นเถิด ท่านเห็นตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองไม่ดี รู้สึกตัวเองยังทำไม่ถูกต้อง รู้สึกว่าตัวเองยังทำบาปอยู่ มันเห็น มันรู้สึกได้ มันมองได้ ยังโกรธเขา ยังเกลียดเขา ยังอิจฉาเขา มองได้ รู้สึกได้ แต่จงมองให้เห็นเถิด ไปมองในสิ่งที่มองไม่เห็น ในโลกฝ่ายวิญญาณสิ จงมองให้เห็นเถิดว่าในโลกฝ่ายวิญญาณ ความจริงจากพระเจ้า คือท่านหรือเรากำลังดำรงชีวิต อาศัยอยู่ในพระคริสต์ เราชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้วตลอดไป ไม่ว่าตาเราจะเห็นอะไรอย่างไรก็ตาม จงยอมรับด้วยความถ่อมใจ พระคัมภีร์บอกให้ถ่อมใจ นี่คือความถ่อมใจที่แท้จริง ถ่อมใจทำไม? รับความจริงจากพระเจ้า แม้จะไม่เข้าใจ แม้จะขัดแย้งกับความคิดและความรู้สึกของตนเองก็ตาม ขัดแย้งกับระบบของโลกนี้ ขัดแย้งกับบรรดาผู้คนรอบข้างที่เขาพูดว่าเราต่างๆ เหล่านั้น เพราะเขามองเห็นภายนอก ซึ่งเรียกว่าความถ่อมใจโดยแท้จริง ตามพระคัมภีร์บอก พระคัมภีร์บอกถ่อมใจ หมายถึงตรงนี้ คือถ่อมใจยอมรับความจริงจากพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าบอกว่า

            “มันเป็นอย่างนี้จริงๆ เธอชอบธรรม บริสุทธิ์และดีพร้อมแล้ว ก็รับไว้สิ”

            ไม่ใช่ความชอบธรรมแบบมนุษย์คิดเอง ตั้งขึ้นมาเอง ไปหาพระเจ้าทีหนึ่งต้องถ่อมใจนะ …

            “ลูกยังชั่วอยู่เลย ลูกไม่ดีพร้อมเลย ลูกยังอิจฉาริษยาเขาอยู่ ลูกยังทำบาปอยู่เลย ลูกสกปรก มีมลทิน โอ๊ย! พระเจ้าเมตตาลูกด้วยเถิด”

            หรือไม่ ก็คิดในใจว่า  … “โอ๊ย! เป็นไปไม่ได้หรอก เราจะชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์เป็นไปไม่ได้เลย เรายังทำบาปอยู่เลย  เรายังสกปรกอยู่เลย  ไม่มีทางที่จะชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม ไม่มีทางที่จะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  เป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม เหมือนพระคริสต์ได้  เป็นไปไม่ได้เลย  เป็นการลบหลู่พระเจ้ามาก”

            คิดอย่างนี้ คือคิดแบบมนุษย์ ซึ่งความคิดอย่างนี้  ความรู้สึกอย่างนี้ จะบอกให้ว่ามันเป็นอะไร? มันเท่ากับกำลังต่อต้าน ปฏิเสธความจริงในพระคริสต์ ถูกไหม? ก็ในเมื่อพระเยซูคริสต์ พระเจ้าเองได้ตรัสความจริงของพระองค์ว่าเราเป็นอะไร? อย่างไรในพระคัมภีร์แล้ว แล้วเราบอกว่าเราไม่เป็น ด้วยความรู้สึกและความคิดของเราเอง

            ความจริงในพระคริสต์คืออะไร? ความจริงในพระคริสต์ คือท่านอยู่ในพระคริสต์เป็นชีวิตที่ทรงสร้างใหม่ บริสุทธิ์ ดีพร้อม ทั้งกาย ใจ และวิญญาณทั้งหมด ใหม่ทั้งสิ้น สำเร็จ เสร็จสิ้นแล้ว  เหมือนตะกี้เราเริ่มต้น 2 โครินธ์ 5:17  ที่บอกว่า “จงมองให้เห็นเถิด ทั้งสิ้น เป็นใหม่หมดเลย”

            ทั้งสิ้น คือวิญญาณ จิตใจและร่างกายเป็นใหม่เอี่ยมเลย ใน 1 โครินธ์ 6:19-20 ก็ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 โครินธ์ 6:19-20 “19 ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้สถิตในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง 20 พระเจ้าทรงซื้อท่านไว้ด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้น จงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า ผู้ทรงสถิตอยู่กับท่าน”

            ซ้ำ 2 ครั้งเลยนะ บอกว่า “ท่านไม่รู้หรือ? ท่านไม่ยอมรับรู้หรือ? ท่านควรที่จะรู้นะว่าในโลกวิญญาณท่านเป็นอะไร? ท่านบริสุทธิ์สะอาดแล้ว เป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ในท่าน  ถ้าท่านไม่สะอาด สกปรกอย่างที่ท่านคิดหรือรู้สึก พระเจ้าจะมาสถิตอยู่ในท่านได้อย่างไร?  เป็นไปได้ไหม? พระเจ้าอยู่กับท่านไม่ได้หรอก ถ้าอย่างนั้น แต่นี่พระเจ้าสถิตอยู่กับท่านจริงๆ”

            โรม 12:1 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โรม 12:1 “พี่น้องเพื่อเห็นแก่พระคุณความเมตตาของพระเจ้า ที่มีต่อเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ให้ยอมมอบอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย พร้อมความคิดและสติปัญญา (สมอง) ของท่าน ให้สมกับที่พระเจ้าได้ทรงชำระท่านแล้วด้วยพระคุณให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ เป็นผู้บริสุทธิ์สะอาดศักดิ์สิทธิ์ (เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า ที่พระเจ้าสามารถรับเป็นบุตรได้) และเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า”

            “สมกับที่พระเจ้าได้ทำให้กับท่านแล้ว” ทำอะไร?  “ได้ทรงชำระท่านแล้ว ด้วยพระคุณ ให้เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอยู่ เป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมบัติส่วนตัวของพระเจ้า ที่พระเจ้าสามารถรับเป็นบุตรได้ และเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า เอเมน”

            เชื่อไหม? ถ้าเชื่อ มันก็เป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง  ถ้าเชื่อ มันก็เป็นการกตัญญูต่อพระเจ้า ที่สมควรในวิญญาณของเรา เมื่อเรารู้ มันเป็นกตัญญูต่อพระเจ้าที่สมควร ที่ทำให้กับเรา ในวิญญาณของเรา ที่เราได้รับรู้ว่าเราได้บังเกิดใหม่ โดยพระคุณของพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริงนั่นเอง

            ท่านก็ต้องคิดแล้วว่าแล้วที่ทำผิด ทำบาปนั้นเป็นอะไร? อาจจะฝังไว้ตามความจริง พระเจ้าบอกว่าอย่างไร? พระเจ้ารู้ว่าท่านจะคิดอะไร? ก็คือมนุษย์จะเป็นอย่างนี้บนโลกใบนี้  เพราะโลกใบนี้มีศัตรูที่ต่อต้านพระเจ้าอยู่ คือระบบของโลกนี้ ที่ปกคลุมอยู่เหนือโลกนี้ ที่ครอบงำโดยมารซาตาน เขาเรียกว่าความบาปและคำสาปแช่ง  กฎในระบบของโลกนี้ ที่มีอิทธิพลอยู่ คอยชักจูงและนำพาให้ทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับน้ำพระทัยพระเจ้า

            เพราะฉะนั้น ส่วนที่ท่านทำบาปต่างๆ ที่ใจของท่านเหมือนพระเยซู ไม่ต้องการทำ ในพระคัมภีร์พูดอย่างนั้น ท่านไม่ต้องการทำนะ  แต่ที่ท่านทำ เพราะถูกหลอก ถูกอิทธิพลชักจูง ใจท่านไม่ต้องการทำ  แสดงว่ามันมีตัวกลางแอบซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นต้นเหตุ เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อความคิดของท่าน ที่อยู่บนโลกใบนี้  มันคอยชักจูงให้ท่านหลงเชื่อ ทำตามมัน “มัน” คือกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น คือระบบของโลก ฝ่ายโลก ซึ่งมันไม่ใช่ตัวท่านเอง  มันเป็นศัตรูอยู่ภายนอกร่างกาย ตัวตนของเรา มันคอยทำลายชีวิตเรา  โดยการชักจูงเรา ให้เราดื้อต่อพระวิญญาณที่สถิตอยู่ในเรา ให้เราไม่เชื่อฟังต่อพระวิญญาณ ให้เราไม่สามารถที่จะทำตามความปรารถนาในใจของเรา  ที่ต้องการทำตามพระเจ้าผู้ทรงใส่ความปรารถนาในใจของเรา

            พูดง่ายๆ ว่าภายนอก ระบบของโลกนี้ ตามกาลาเทียบอกไว้ว่าเป็นศัตรูกับพระเจ้า ที่สถิตอยู่ภายในเรา ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำเรา 2 อันนี้เป็นศัตรูกัน มันไม่ได้เกี่ยวกับเรา เห็นชัดไหม? พระเจ้าต้องการให้เรารับรู้ความจริงตรงนี้ ก็คือรับรู้เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เพื่อที่จะฝึกฝน ดำเนินตามความจริงนี้  โดยมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพี่เลี้ยงที่อยู่ในใจของเรา ให้รู้ว่าที่พลาดไป เพราะถูกชักจูงให้ทำอย่างนี้นะ แต่ไม่ใช่ตัวเจ้าหรอก ที่อยากทำ มันหลอกลวง เพราะฉะนั้น มาพึ่งในพระวิญญาณ มาอธิษฐานของกำลังจากพระเจ้า และพระวิญญาณก็จะค่อยๆ นำพาเราไป  อย่างนี้แหละ คือนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง คือการเปลี่ยนแปลงความคิดของเรา … ความคิดของเราถูกชักจูงไปในทางระบบของโลกนี้ พลาดไปเมื่อไร พระวิญญาณค่อยๆ เตือนเรา แล้วก็ให้เราเปลี่ยนแปลงความคิดนั้นใหม่ ด้วยถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้า  แล้วเราก็สามารถดำเนินชีวิตตามความคิดใหม่ ตามพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ อย่างนี้แหละเรียกว่านมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ถวายแด่พระเจ้า ตรงนี้แหละ คือความถ่อมใจที่แท้จริง ใน 2 เปโตร 1:3 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        2 เปโตร 1:3 “ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เรา ที่จำเป็นแล้ว ในการมีชีวิตที่ชอบธรรม และดีงามเหมือนพระเจ้า ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์ (ในพระคริสต์) ผู้ทรงได้เรียกเรา ด้วยพระสิริและความดีงามของพระองค์เอง ให้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระเกียรติสิริ และความดีงามของพระองค์ (ในพระคริสต์)”

            “ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า  ด้วยพลังอำนาจของพระเจ้า ความจริงของพระเจ้า  ได้จัดเตรียมทุกสิ่งให้แก่เรา  ที่จำเป็นแล้ว”

            คนเอาไปใช้ผิด ที่จำเป็นแล้ว ในเรื่องเกี่ยวกับอะไร? เรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณ เอาไปใช้ผิด …

            “ได้จัดเตรียมให้แก่เราแล้ว ในเรื่องโลกวัตถุ เราจะไม่ขัดสนเลย  เราไม่มีทางขัดสน ไม่มีทางยากจนเลย”

            ใครบอกว่าเป็นคริสเตียนแล้ว ไม่มีทางยากจน ยากจนได้ แต่เราพึงพอใจในสิ่งที่พระองค์ทรงนำ  เราเพียงพอในนั้น เราเชื่อมั่นว่าพระเจ้าสามารถพาเราผ่านไปได้ ในความทุกข์ยากลำบากนั้น ตรงนี้หมายถึงโลกวิญญาณ ได้จัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เรา ที่จำเป็นแล้ว ในเรื่องโลกวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องโลกวัตถุ เราอ่านต่อไปชัดเจน

            “ได้จัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นให้แก่เราแล้ว ในการมีชีวิตอยู่ที่ชอบธรรม” คือจัดเตรียมทุกสิ่งเกี่ยวกับโลกวิญญาณให้พร้อมเลย สำหรับเราที่ดำเนินชีวิต เป็นลูกพระเจ้าที่บริสุทธิ์ ดีพร้อม ชอบธรรมเหมือนพระเยซูแล้ว  ก็คือไม่มีบาปแล้ว เราพ้นจากบาปแล้ว บาปได้รับการชำระแล้ว โดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขนนั้น ได้ตายเพื่อเรา และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 นั้น พระโลหิตได้ชำระบาปให้กับเราทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตต่อไปนิรันดร์ นี่แหละคือความจำเป็นของเราในการเป็นผู้ชอบธรรม  ก็คือมีบาปไม่ได้เลย  เราไม่มีบาปแล้ว

            “อ้าว! ไม่มีบาปแล้ว ยังทำบาปอยู่”

            ก็ทำบาปนั้น พระโลหิตพระเยซูชำระให้ตั้งแต่อยู่บนไม้กางเขนแล้ว เพราะฉะนั้น มาทำบาปในอนาคต มันก็ถูกลบล้าง ออกไปหมด ด้วยการสิ้นพระชนม์ หลั่งพระโลหิตของพระองค์เพียงครั้งเดียวเป็นพอ เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  นี่คือความหมายเป็นอย่างนั้น ซึ่งมันเป็นฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า จากถ้อยพระเจ้าที่บันทึกเอาไว้ เพราะฉะนั้น เราไม่ขัดสน ไม่ขาดแคลนในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ อย่างเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม เป็นลูกพระเจ้าเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว ไม่มีขาดอะไรเลย แม้ว่าเราจะประพฤติบางอย่างไม่ถูกต้อง แม้ว่าเราทำบาปอยู่ แต่ขณะที่ทำไปนั้น มันได้ถูกลบออกไปหมดสิ้น ก่อนล่วงหน้า ตั้งแต่ในอดีตแล้ว เอเมน มันยากที่จะเข้าใจใช่ไหม? ผมเข้าใจนะ แต่จงมองให้เห็นเถิด แล้วค่อยๆ เรียนรู้จากความจริงในถ้อยคำพระเจ้าไปเรื่อยๆ

            “ได้จัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างให้แก่เรา ที่จำเป็นแล้วในการมีชีวิตที่ชอบธรรมและดีงามเหมือนพระเจ้า” เห็นไหม?

            “ดีได้อย่างไร? เมื่อวานยังโกหกอยู่เลย”

            มันไม่ใช่ท่าน และมันได้ถูกลบล้างด้วยพระโลหิตพระเยซูคริสต์แล้ว ท่านยังดีงามเหมือนพระเจ้าอยู่ในพระเยซูคริสต์ เอเมนไหม? ต้องเอเมนนะ เดี๋ยวออกไปข้างนอก มีคนมาเฉี่ยวรถเราอะไรต่างๆ เกิดหงุดหงิดขึ้นมา บาปไหม? บาป แต่ในขณะเดียวกัน ในจิตวิญญาณของเรา เราเป็นผู้บริสุทธิ์ ดีพร้อม ชอบธรรม ดีงามเหมือนพระเจ้าแล้ว เอเมน

            บริสุทธิ์ ดีพร้อม ชอบธรรม ในนี้บอกเหมือนพระเจ้า ผ่านทางอะไร? ผ่านทางความประพฤติของเราหรือ? ไม่ใช่ ผ่านทางการรับรู้เรื่องราวของพระองค์ในพระคริสต์  ก็คือผ่านทางข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์  เพราะฉะนั้น เราดีพร้อมเหมือนพระองค์ ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ที่ทำให้กับเรา ไม่ใช่การประพฤติ การกระทำของเราเอง เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา มั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะอย่างนี้แหละ มั่นใจ เพราะว่าขณะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราก็เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว  เราจึงไม่กลัวการพิพากษาหลังความตาย  เพราะเราก็อยู่ในสวรรค์แล้วตั้งแต่เดี๋ยวนี้ อยู่กับพระเจ้าตลอดไปนิรันดร์ 1 ยอห์น 4:18 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 ยอห์น 4:18 “ไม่มีความกลัวในความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) แต่ความรัก (อากาเป้ แบบพระเจ้า) ที่สมบูรณ์ครบถ้วน (ภายในเรา) ขจัดความกลัวออกไป จนหมดสิ้น”

            เมื่อเราเชื่อและเรารู้ว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ เราเป็นความรักแบบอากาเป้ ในความรักแบบอากาเป้นี้ ไม่มีความกลัว … ความกลัว หมายถึงไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเองว่าจะได้อยู่ในสวรรค์หลังความตาย ไม่สามารถยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้ ก็คือสมัยเราในอดีตที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ที่ยังไม่เชื่อ วิญญาณเป็นบาปอยู่ เรารู้ตัวเอง จิตสำนึกเราบอกเองว่าเราต้องชดใช้หนี้ เวรกรรม ไม่รู้เมื่อไรจะหมดสิ้น นั่นแหละ คือความกลัว จะแสดงออก หรือไม่แสดงออกก็ตาม แต่พระคัมภีร์บอกว่าจิตใจของเราเต็มไปด้วยความบาป ความกลัว กลัวว่าตายแล้วจะไปไหน?  และกลัวว่าไปไม่รอดแน่ ไม่ได้อยู่ในสวรรค์แน่

            เพราะความกลัว ทำให้เกิดความคิดฟ้องผิดว่าถูกตัดสินลงโทษ ในจิตใต้สำนึกบอกว่าเราเป็นคนบาป  เรายังไม่ได้เกิดใหม่ เรายังไม่ได้เชื่อพระเยซู ในจิตใจก็เต็มไปด้วยความกลัวว่าจะถูกตัดสิน เมื่อวันหนึ่งที่เราจากโลกนี้ไป  เราต้องชดใช้บาปเวรกรรม ดังนั้น พระคัมภีร์ตะกี้นี้จึงบอกว่าผู้ที่ยังอยู่ในความกลัว ผู้ที่กลัวอย่างนี้  คือไม่มั่นใจในความชอบธรรมของตนเอง กลัวถูกพิพากษาในวันพิพากษา กลัวถูกลงโทษสำเร็จโทษในวันพิพากษา หลังความตายนั้น ก็คือผู้ที่ยังไม่มีความรัก แบบอากาเป้ที่สมบูรณ์ครบถ้วนภายในเขา ก็คือผู้ที่ยังไม่เกิดใหม่ วิญญาณยังไม่ได้เป็นความรัก วิญญาณยังเป็นความเกลียดชัง อยู่ในความมืด เป็นวิญญาณบาปอยู่ เขาก็กลัวสิ

            เมื่อไม่บังเกิดใหม่ ก็กลัว เพราะรู้ว่าต้องไปชดใช้เวรกรรมในอนาคต หลังความตาย แต่ก็ยังมีผู้ที่ถูกหลอก ก็คือเป็นคริสเตียนแล้ว เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์แล้ว เรื่องจริง คือวิญญาณและจิตใจ ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เขาได้เป็นลูกของพระเจ้าที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์แล้ว  อยู่ในสวรรค์กับพระองค์แล้ว หลังความตาย เขาไม่ได้รับการพิพากษาใดๆ เลย เขาได้รับความรอดแล้ว  แต่เขาไม่รู้ เขานึกว่าเขาต้องพึ่งการกระทำของตนเอง ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนตาย เพราะฉะนั้น จึงเกิดความกลัวอยู่ ทั้งๆ ที่ความรักแบบอากาเป้อยู่ภายในวิญญาณของเขาแล้ว เขาเป็นแล้ว  แต่เขาไม่รู้ความจริง จากถ้อยคำของพระเจ้านั่นเอง เขาก็อยู่ด้วยความกลัว ทั้งๆ ที่เขาได้รอดแล้ว ก็มีอยู่เหมือนกัน ก็ไม่มีสันติสุขในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้  ไม่เกิดความปิติยินดี ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตไปแบบกลัวๆ

            กลัวว่าหลังความตายจะไม่เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า หลังความตายจะไม่ได้อยู่ในสวรรค์ หลังความตายจะอยู่ในสวรรค์แบบครึ่งๆ กลางๆ หลังความตายอาจจะต้องถูกพิพากษา ได้รับรางวัลน้อย หลังความตายอาจจะได้แมนชั่นห้องเล็กๆ เอง ไม่ได้ห้องใหญ่ มันไม่ใช่เลย มันได้เท่ากันทุกคน 1 ยอห์น 4:19-21 …

        1 ยอห์น 4:19-21 “19 เรารัก ก็เพราะพระองค์ได้รักเราก่อน 20 ถ้าผู้ใดกล่าวว่าข้าพเจ้ารักพระเจ้า แต่ก็ยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นเป็นคนโกหก ด้วยว่าผู้ไม่รักพี่น้องที่ตนมองเห็น ผู้นั้นก็ไม่สามารถรักพระเจ้าที่ตนไม่เคยเห็นได้ 21 และเราได้ข้อบัญญัติที่มาจากพระองค์ คือผู้ใดที่รักพระเจ้า ก็ต้องรักพี่น้องของตนด้วย”

            ชัดเจน  เรารัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน ก็คือเราเป็นความรักได้ ก็เพราะว่าพระเจ้าเป็นความรัก และรักเราก่อน ก็คือมอบพระเยซูคริสต์ให้มาสิ้นพระชนม์ เพื่อเรา  จะได้บังเกิดใหม่ เป็นความรัก พอเราเป็นความรักเหมือนพระองค์ เราก็เลยสามารถที่จะรักพระองค์ได้ พอเข้าใจใช่ไหม? ถ้าเราไม่ได้บังเกิดใหม่เป็นความรักเหมือนพระองค์ เรารักพระเจ้า ไม่มีทางได้หรอก เราจะเกลียดพระเจ้าด้วยซ้ำไป เราไม่ชอบพระเจ้า อย่ามาพูดถึงเรื่องพระเจ้า อย่าพูดถึงเรื่องพระเยซูคริสต์เลย  เพราะว่าไม่ชอบ ไม่ชอบเพราะอะไร? ไม่รู้

            “ฉันไม่เคยทำอะไรให้เธอเลย”

            “ไม่รู้ ฉันไม่ชอบชื่อนี้”

            ก็เพราะข้างในยังไม่ได้เป็นความรักแบบอากาเป้ ยังไม่ได้เกิดใหม่ พิสูจน์ได้ ก็คือเมื่อคนที่บังเกิดใหม่และเป็นความรักแล้ว เขาจะรักจากภายใน  แตกต่างจากเมื่อตะกี้นี้ที่เกลียดจากภายใน เขาจะรักจากภายใน เห็นชัดเจนเลย ได้ด้วยวิธีใด? พิสูจน์ด้วยวิธีใด?  ก็คือเขาจะรักพระเจ้า แล้วรักพระเจ้าไม่พอ เห็นชัดเจน คือเขาจะรักคริสเตียนด้วยกัน  เขาจะรักมนุษย์ทั้งหมดเลย จากวิญญาณข้างในเขา เขาจะรักมนุษย์ และรักคริสเตียนด้วยกัน เพราะเขาเป็นความรักจากข้างใน

            นี่คือการสามารถมองเห็น ได้ว่าเราเป็นผู้ที่ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระเยซูคริสต์ ได้บังเกิดใหม่แล้วจริงๆ หรือไม่? สังเกตตัวเอง ก็รู้ พอเรารู้ว่าคนนี้เป็นคริสเตียน เราดีใจแทบตาย ดีใจมากเลย ใครก็ไม่รู้ ไม่รู้จักกัน แต่เรารู้ว่าเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราดีใจมาก เราไปเจอคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน  เราก็อยากจะอธิษฐานให้เขา อยากให้เขารู้จักพระเจ้า เราก็เป็นพยาน พูดคุย แล้วก็ถูกต่อต้าน ถูกด่า ถูกอะไรต่างๆ ถูกดูถูกบ้าง เราก็อดทนเอา เราอยากจะให้เขาเชื่อ อยากจะให้เขารู้จัก จริงหรือไม่จริง พิสูจน์ได้อย่างนี้  เพราะว่าความรักตรงนี้มันบังเกิดขึ้น ในวิญญาณของเรา มันจึงเป็นของประทานจากพระเจ้า ใส่เข้ามาในวิญญาณเราที่บังเกิดใหม่  และพระเจ้าให้เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ โดยใช้ใจเดิน โดยดำเนินชีวิตด้วยวิญญาณ ด้วยจิตใจ ทำอะไรก็ทำมาจากใจ ก็คือทำจากวิญญาณตรงนี้ ซึ่งเป็นความรัก เป็นของประทานจากพระเจ้า ซึ่งท่านจะมีลักษณะอย่างนี้ ท่านจะเห็นชัดเลยว่านี่คืออาการของวิญญาณแห่งความรัก แบบอากาเป้ที่จะสำแดงออกมา เป็นการกระทำบนโลกใบนี้ 1 โครินธ์ 13:4-8 …

        1 โครินธ์ 13:4-8 “4 ความรักเป็นการอดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักเป็นการไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง 5 ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด 6 ไม่ชื่นชมยินดี เมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ 7 ความรักเป็นการทนได้ทุกอย่าง แม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง 8 ความรักไม่มีวันสูญสิ้น”

            พระองค์ต้องการให้เรารับรู้ความจริงตรงนี้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ ในวิญญาณเราเป็นอย่างไร? ตัวจริงๆ ของเราเป็นใคร? รับรู้ความจริงนี้ แล้วซึมซับรับเอาความรักของพระเจ้า ตรงนี้ ที่พระเจ้าสถิตอยู่ภายในเรา ภายในวิญญาณของเรา และฝึกฝน โดยให้พระวิญญาณบริสุทธิ์นำเรา ที่จะยอมมอบอวัยวะในร่างกายทั้งหมด ที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์แล้ว ในร่างกายของเรา ให้พระเจ้าใช้เป็นเครื่องมือ ปลดปล่อยจากวิญญาณในใจของเรา สำแดงออกมาเป็นการกระทำภายนอก ฝึกฝน บางครั้งมันก็ไม่ได้ ผิดพลาดบ้าง เขาถึงเรียกฝึกฝน พระเจ้าถึงบอกว่าให้พระวิญญาณฝึกเรา  บางทีมันพลาดบ้าง ก็อย่าไปสนใจมันมากนัก ให้มอง เพ่งในโลกฝ่ายวิญญาณ เพ่งไปที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่เป็นพี่เลี้ยงเรา ที่อยู่ภายใน และให้เรามั่นใจในการเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมแล้ว

            “ฉันเป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระคริสต์แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ขณะดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เป็นผู้ชอบธรรม บริสุทธิ์ ดีพร้อม สมเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เอเมน”

            พระเจ้าอวยพรครับ

*********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            ก่อนเชื่อ … เป็นลูกน้อยหลงทางพินาศอยู่ในโลกอันชั่วร้าย

            หลังเชื่อ … ได้กลับสู่สวรรค์บ้านของพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ แล้วทันที

            พระเยซูอธิบายให้ฟังว่าพระเจ้าเป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ ที่เต็มไปด้วยความรักมวลมนุษย์ทั้งหลาย ดังแก้วตาดวงใจ เป็นพ่อที่เต็มไปด้วยความเมตตากรุณา อภัยให้ลูกๆ เสมอ ไม่ว่าจะความผิดร้ายแรงแค่ไหนก็ตาม

            ลูกา 15:3-10 … “พระเยซูจึงตรัสคำอุปมาให้พวกเขาฟังว่า “สมมุติว่าพวกท่านคนหนึ่งมีแกะหนึ่งร้อยตัวและตัวหนึ่งหายไป เขาจะไม่ละแกะทั้งเก้าสิบเก้าตัวไว้กลางทุ่ง แล้วไปตามหาแกะตัวที่หายไปนั้น จนกว่าจะพบหรือ? เมื่อเขาพบแล้ว ก็แบกแกะนั้นใส่บ่า ด้วยความชื่นชมยินดี และกลับบ้าน จากนั้น เขาก็เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพร้อมกัน และกล่าวว่า ‘มาร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบแกะตัวที่หายไปนั้นแล้ว’ เราบอกท่านว่าทำนองเดียวกัน ในสวรรค์จะมีความชื่นชมยินดีในคนบาปคนหนึ่งซึ่งกลับใจใหม่ มากยิ่งกว่าในคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคน ซึ่งไม่ต้องการกลับใจใหม่” “หรือสมมุติว่าหญิงคนหนึ่งมีเหรียญเงินสิบเหรียญ และหายไปเหรียญหนึ่ง หญิงนั้นจะไม่จุดตะเกียงกวาดเรือน และค้นหาอย่างถี่ถ้วนจนกว่าจะพบหรือ? และเมื่อพบแล้ว นางก็เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมาพร้อมหน้ากัน และกล่าวว่า ‘มาร่วมยินดีกับเราเถิด เราได้พบเหรียญที่หายไปนั้นแล้ว’ เราบอกท่านว่าในทำนองเดียวกัน จะมีความชื่นชมยินดีท่ามกลางเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า ในคนบาปคนเดียวซึ่งกลับใจใหม่”

            ลูกา 15:11-24 …  “คำอุปมาเรื่องบุตรที่หลงหาย 11 พระเยซูตรัสต่อไปว่า “ชายคนหนึ่งมีบุตรชายสองคน 12 บุตรชายคนเล็กพูดกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ขอยกสมบัติส่วนของข้าพเจ้าให้ข้าพเจ้าเถิด’ ดังนั้น บิดาจึงแบ่งทรัพย์สมบัติของตนให้บุตรทั้งสอง 13 “ต่อมาไม่นาน บุตรชายคนเล็กนี้ก็รวบรวมสมบัติทั้งหมดของตนแล้วไปเมืองไกล และผลาญทรัพย์ของตนด้วยการใช้ชีวิตเสเพล 14 พอเขาหมดตัว ก็เกิดการกันดารอาหารอย่างหนักทั่วแถบนั้น และเขาเริ่มขัดสน 15 ดังนั้น เขาจึงไปรับจ้างชาวเมืองคนหนึ่ง และคนนั้นใช้เขาออกไปเลี้ยงหมูในทุ่งนา 16 เขาอยากจะอิ่มท้องด้วยฝักถั่วที่หมูกิน แต่ไม่มีใครให้อะไรเขากิน 17 “เมื่อเขาคิดขึ้นได้จึงกล่าวว่า ‘บิดาของเรามีลูกจ้างหลายคน พวกเขามีอาหารเหลือเฟือ แต่นี่เรากำลังจะอดตาย! 18 เราจะกลับไปหาบิดาของเราและกล่าวกับท่านว่า “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย 19 ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป ให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างคนหนึ่งของท่านเถิด’ 20 ดังนั้น เขาจึงลุกขึ้น กลับไปหาบิดาของเขา “แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล บิดาเห็นเขาก็สงสาร จึงวิ่งมาหาบุตรชายแล้วสวมกอดและจูบเขา 21 “เขากล่าวกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าทำบาปต่อสวรรค์และต่อท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป’ 22 “แต่บิดาสั่งคนรับใช้ว่า ‘เร็วเข้า! จงนำเสื้อผ้าที่ดีที่สุดมาให้เขาสวมใส่ เอาแหวนมาสวมนิ้วของเขา และเอารองเท้ามาสวมให้เขา 23 จงนำลูกวัวขุนมาฆ่า ให้เราจัดงานเลี้ยงฉลอง 24 เพราะบุตรชายคนนี้ของเราได้ตายไปแล้ว และกลับเป็นขึ้นมาอีก เขาหายไปแล้วและได้พบกันอีก’ ดังนั้น เขาทั้งหลายจึงเริ่มเฉลิมฉลองกัน”

            พระเจ้าเป็นพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ที่เตรียมแผนการดีดีสิ่งดีดีให้กับมวลมนุษย์ ที่ตัดสินใจ กลับสู่สวรรค์บ้านของพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ผ่านทางความเชื่อในพระคริสต์ เพราะรักมนุษย์ยิ่งนัก

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1505

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  12  มกราคม  2025

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 12

โดย วราพร  คงล้วน

            วันนี้เรามาต่อในหนังสือกาลาเทีย 4:6 ปีที่แล้ว เราจบลงข้อที่ 5 ที่บอกว่า

        กาลาเทีย 4:5 “เพื่อไถ่คนทั้งปวง ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตรอย่างสมบูรณ์”

            การไถ่มนุษยชาติให้เป็นบุตรของพระองค์ ทำให้เราได้รับอิสรภาพ ได้รับสิทธิการเป็นบุตรอย่างสมบูรณ์ การไถ่นี้ มันเกิดขึ้นโดยกำลังของเราไม่ได้ แต่โดยพระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว และเราเข้ามารับเอา เรามาต่อในข้อที่ 6 …

        กาลาเทีย 4:6-7 “6 ในเมื่อท่านเป็นบุตร   พระเจ้าจึงทรงให้พระวิญญาณของพระบุตรของพระองค์เข้ามาในใจเรา พระวิญญาณผู้ทรงร้องเรียกว่า “อับบา พ่อ” 7 ฉะนั้น ท่านจึงไม่เป็นทาสอีกต่อไป แต่เป็นบุตร และเพราะท่านเป็นบุตร พระเจ้าจึงทรงให้ท่านเป็นทายาทด้วย”

            อันนี้เป็นพระพรเลย  เป็นความจริงในโลกวิญญาณ ทันทีที่พวกเราทั้งหลายได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราได้รับสิทธิที่พระเจ้าบอกกับเรา คือได้เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าที่สมบูรณ์แบบมากๆ ตามที่พระเจ้าได้กระทำไว้เรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา ได้สำแดงให้เรารับรู้ว่าเราเป็นลูกพระเจ้าจริงๆ เราจึงกล้าเรียกพระเจ้าว่าพ่อ ก่อนที่เราจะรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ คงไม่มีใครกล้าเรียกพระบิดาว่าพ่อ มีไหม? กล้าไหม? คงไม่กล้า เราไม่กล้าอธิษฐานกับพระเจ้า ไม่กล้าสนิทสนมกับพระองค์ เพราะว่าอยู่กันคนละทิศ คนละทางกัน วิญญาณของเรา กับวิญญาณของพระเจ้าอยู่กันคนละพวก

            ฉะนั้น เมื่อวิญญาณของเรากับวิญญาณของพระเจ้าเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกัน ผ่านทางการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ในเรา แล้วพระวิญญาณก็ทำงานร่วมกับวิญญาณของเรา ให้เราสามารถรับรู้ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ ไม่ได้มโน  บางคนคิดว่าเรามโนไปหรือเปล่า แค่อธิษฐานแค่นี้ เราก็เป็นลูกของพระเจ้าหรือ? แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกอย่างนั้นจริงๆ ว่าในโลกวิญญาณได้บังเกิด แล้วก็เกิดมาเป็นผลที่เราสามารถสัมผัสจับต้องได้ จากที่ข้างในวิญญาณเรารับรู้ ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะบอกกับเราได้ ด้วยเหตุผลของบนโลกใบนี้ที่จะบอกเรา 1, 2, 3, 4 ไม่ได้ แต่ข้างในวิญญาณ เรารู้เลยว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด องค์นี้ เป็นพระเจ้าของเรา เป็นพ่อของเรา  แล้วเกิดความผูกพัน สนิทสนม  เป็นหนึ่งเดียวกัน มันเกิดขึ้นทันทีในโลกวิญญาณ ซึ่งการเกิดขึ้นตรงนี้ ไม่ได้เป็นการกระทำของเราเลย แต่เป็นการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผูกพันเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า ทำให้เรามีความรู้สึกข้างในวิญญาณว่าเรากับพระเจ้าเป็นพ่อเป็นลูกกัน

            พอความรู้สึกตรงนี้จากข้างในวิญญาณปุ๊บ เราเลยกล้าที่จะอธิษฐานกับพระเจ้า เรียกพระเจ้า พระบิดา หรือเรียกพ่อ เรียกปะป๊า เรียกแด๊ดดี้ เรียกอะไรก็ได้  ที่มันเป็นความรู้สึกของความผูกพันในวิญญาณของเรา

            เมื่อเราเป็นบุตรแล้ว ในข้อที่ 7 บอกว่าเราจึงไม่เป็นทาสอีกต่อไป  อาจารย์เปาโลกำลังยืนยันกับชาวกาลาเทียให้รับรู้ความจริงว่าตอนนี้ท่านทั้งหลายเป็นลูกของพระเจ้าแล้วนะ ท่านไม่ได้เป็นทาสอีกแล้วนะ ไม่ได้เป็นทาสของกฎบัญญัติต่างๆ ที่พยายามจับคนกาลาเทีย หรือแม้แต่ปัจจุบัน กฎต่างๆ พยายามจับพวกเรา ซึ่งเป็นผู้เชื่อ ซึ่งเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ไปอยู่ภายใต้กฎเหล่านั้น ซึ่งพระเจ้าบอกว่าเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้า  เราเป็นอิสระจากกฎของความบาปและความตายเรียบร้อยไปแล้ว

            เมื่อพระเจ้าให้เราเป็นลูกปุ๊บ เราก็ได้เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ นี่คือพระสัญญาที่พระเจ้าเขียนไว้ในถ้อยคำของพระองค์ และยืนยันอย่างชัดเจนในพระคัมภีร์ว่าเราไม่เพียงแต่เป็นลูกเท่านั้น ลูกเฉยๆ ยังแบบปกติมาก แต่เป็นทายาท

            คำว่า “ทายาท” มีความหมายมากๆ สมมติว่าครอบครัวนี้มีลูกสัก 10 คน แต่จะมีคนเดียวที่เป็นทายาทของครอบครัวนี้ คำว่าทายาท หมายความว่าเขาจะได้รับมรดกมากกว่าคนอื่น อาจจะได้รับทั้งหมด แต่ส่วนคนอื่นๆ คุณพ่อคุณแม่จะแบ่งสรรปันส่วนให้กับลูกคนอื่นๆ อีก 9 คน อาจจะคนละนิดคนละหน่อย แบ่งไป …

            “แต่คนนี้ฉันเลือกไว้แล้วว่าจะเป็นทายาทของตระกูลนี้ ซึ่งเขาสามารถรับมรดกทั้งหมดของฉัน”

            นี่คือความสำคัญของการเป็นทายาท ไม่อย่างนั้นจะมีศึกการชิงมรดกหรือ? จ้องจะฆ่าทายาทให้ตายอย่างเดียว ซึ่งนี่เป็นความจริงในโลกวิญญาณที่พระเจ้าบอกกับพวกเราผู้เชื่อว่าเราไม่ใช่เป็นบุตรเฉยๆ แต่เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ หมายความว่าพระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? เราเป็นอย่างนั้น  พระเยซูมีอะไร? เรามีอย่างนั้น พระเยซูคริสต์ได้รับอะไรจากพระเจ้าพระบิดา เราได้รับด้วยอย่างนั้น

            นี่คือความหมายของคำว่า “ทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์” นี่คือสิทธิพิเศษ สำหรับพวกเราผู้เชื่อ เราขอบคุณพระเจ้า ซึ่งของประทานนี้ เป็นของประทานแห่งความรอดที่พระเจ้าให้กับมนุษย์เปล่าๆ ใครก็ได้ ตาสีตาสา เรียนหนังสือ อยู่ป.1 หรือไม่มีเงินเรียน หรือจบดร. ถ้าเขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คน 2 คนนี้จะมีสถานะเดียวกัน  คนที่จบแค่ ป.1 กับคนที่จบ ดร. มีสถานะเดียวกัน คือเป็นลูกของพระเจ้า ร่วมกันในพระเยซูคริสต์ อย่างที่พระคัมภีร์บอกไม่มีหญิงไม่มีชาย ไม่มีกรีก ไม่มีชนชาติใดๆ ทั้งนั้น เพราะเราทั้งหลายเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์

            สถานะเราทุกคน จะเป็นสถานะเดียวกัน เป็นพี่น้องในพระคริสต์ ดังนั้น คนที่เข้ามาหาพระเจ้าจะไม่มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ แม้ว่าในตัวตนแท้ๆ ที่เขาเป็นอยู่ เขาอาจจะเป็นลูกน้อง เป็นลูกจ้าง เคยไปทำงานที่ไม่มีเกียรติ แต่เขามีเกียรติในสายพระเนตรของพระเจ้า  เพราะพระเจ้าถือว่าเราเป็นบุตรที่รักของพระองค์ และเป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์

        กาลาเทีย 4:8-9 “8 เมื่อก่อนท่านยังไม่รู้จักพระเจ้า ท่านเป็นทาสของผู้ซึ่งโดยสภาพแล้ว  ไม่ใช่เทพเจ้าเลย 9 แต่เดี๋ยวนี้ ท่านรู้จักพระเจ้าแล้ว หรือที่ถูกคือพระเจ้าทรงรู้จักท่านแล้ว ท่านยังจะหวนกลับไปหาหลักการเก่าๆ ซึ่งอ่อนแอและน่าสังเวชหรือ? ท่านอยากตกเป็นทาสด้วยสิ่งทั้งปวงนี้อีกหรือ?”

            เหตุผลที่อาจารย์เปาโลพูดอย่างนั้น เพราะในคริสตจักรกาลาเทีย ตอนที่อาจารย์เปาโลมาประกาศข่าวดีของพระเจ้า ชาวกาลาเทียเหล่านี้เขาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเขา และเขาได้รับรู้ความจริงในข่าวประเสริฐของพระเจ้าว่าเขาได้เป็นอิสรภาพจากกฎของความบาปและความตาย  เขาไม่ได้อยู่ภายใต้กฎอีกต่อไป แล้วเขาก็ชื่นชมยินดีมาก หลังจากนั้น อาจารย์เปาโลก็เดินทางไปประกาศที่อื่น แล้วก็มีผู้คนที่มาสอนเรื่องความรอด ซึ่งแตกต่างจากที่อาจารย์เปาโลสอน เป็นความรอดที่ต้องบวกการประพฤติด้วย ซึ่งพระเจ้าบอกว่ามันไม่มี ไม่ต้องบวก เราทำไม่ได้หรอก พระเยซูทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ 100% เรียบร้อยไปแล้ว  เราไม่จำเป็นต้องทำอีกแล้ว เรารับเอาอย่างเดียว แต่มีคนมาสอนชาวกาลาเทียว่า …

            “เธอเชื่อพระเจ้าอย่างเดียวไม่พอหรอก รอดไม่ 100% เธอจำเป็นจะต้องทำอย่างนี้ เธอจำเป็นจะต้องทำโน่นนี่นั่นเยอะแยะมากมาย”

            มันเป็นกฎมายาวมาก แล้วชาวกาลาเทีย คือโดยความเป็นมนุษย์ แล้วก็พอฟังเยอะๆ ตกใจ …

            “ตกลงฉันรอดไหมเนี้ย ฉันต้องทำโน่นต้องทำนี่ไหม”

            แล้วก็หลงเชื่อ แล้วก็ไปทำตาม ถ้าเมื่อไรที่เราพยายามประพฤติ เพื่อได้รับความรอด เราก็ตกจากระดับของพระเจ้า ดังนั้น การประพฤติของผู้เชื่อ ไม่ได้ประพฤติ เพราะจะทำให้เราได้รับความรอด พี่น้องต้องฟังให้ชัด เรารอดแล้ว เราถึงประพฤติดี การประพฤติดี คือการประพฤติตามธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของเรา คือเป็นคนดี  เป็นความดี เป็นความรัก พระเจ้าใส่มาเรียบร้อยแล้ว แล้วเราก็ฝึกฝนที่จะทำมันออกไป คือปฏิบัติออกไป  นี่คือหลักการของผู้เชื่อ  แต่ไม่ได้หมายความว่าเราทำพวกนี้ เพื่อทำให้เราได้รับความรอด เรารอดแล้ว

            ยกตัวอย่าง นาย ข. เป็นลูกของนาย ก. คลอดออกมาแล้ว เป็นลูกแล้ว ต่อแต่นี้ไป นาย ข. ไม่ว่าจะทำอะไร เพราะเขารักนาย ก. ที่เป็นพ่อ เขาทำสิ่งที่ดี เพื่อให้คุณพ่อมีความสุข  แต่ไม่ได้หมายความว่านาย ข. พยายามทำดี เพื่อให้ตัวเองได้เป็นลูกของพ่อ ต่างกันนะ  พยายามทำความดี เพื่อให้ตัวเองมาเป็นลูกของพ่อ แล้วพ่อก็มอง

            “เธอเป็นลูกฉันแล้ว เธอไม่ต้องทำดี แม้แต่ไม่ทำอะไรเลย เธอก็ยังเป็นลูกฉันอยู่ เหมือนเดิม”

            อันนี้ คือความจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งคริสเตียนจะโดนหลอกตลอดเวลาว่าเราต้อง ต้องๆๆๆ และต้อง ถ้าไม่ต้อง แล้วพระเจ้าไม่รัก  ไม่จริง พระเจ้ารักเราที่สุดแล้ว เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว พระเจ้าเป็นพ่อของเราแล้ว แม้เราจะไม่ประพฤติตามตัวตนแท้ๆ ของเรา พระเจ้าก็ยังคงรักเราอยู่ แต่พระเจ้าจะทำการงานในใจของเรา พระเจ้าจะโน้มนำเรา จะคอยบอกเรา ให้เราพร้อมและยอมที่จะทำตาม เรียกว่าตัวตนใหม่ของเรา ให้มันส่งผลออกไป นี่คือสิ่งที่พระเจ้าจะทำ

            ฉะนั้น อย่าให้ใครหลอกเราว่าถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ พระเจ้าจะไม่รักเรา  ไม่จริง แต่พระเจ้าก็จะทุกข์ใจนิดหนึ่ง ตรงที่ว่าถ้าเราไม่ทำตาม สิ่งที่เป็นตัวตนแท้ๆ เราก็จะทำตามสิ่งตรงข้าม มันไม่มีตรงกลาง ไม่ดำก็ขาว ไม่ซ้ายก็ขวา ไม่มีกลางๆ ถ้าเราไม่ทำตามพระเจ้า เราก็ไปหลงทำตามกฎของโลกใบนี้ คืออยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตาย ถ้าเราไม่รัก ก็เกลียด มันอยู่ตรงกันข้าม ฉะนั้น ถ้าเราไม่ทำตาม ข้างในวิญญาณที่พระเจ้าบอกว่าเราเป็นอย่างนี้แล้ว  เราไม่ทำตามปุ๊บ สิ่งที่มันเกิดขึ้น คือเราจะเก็บเกี่ยวผล ผลของสิ่งที่เรากระทำออกไป ซึ่งมันไม่ได้เป็นน้ำพระทัยที่พระเจ้าอยากให้ลูกของพระองค์ต้องเก็บเกี่ยวผลเหล่านี้  แต่กฎก็คือกฎ พระเจ้าตั้งกฎมา แล้วพระองค์เป็นผู้รักษากฎอีกต่างหาก

            กฎในโลกวิญญาณกับกฎในโลกวัตถุ มันก็มี 2 กฎ กฎในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกว่าไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตทำให้ท่านหลุดพ้นจากกฎของความบาปและความตาย นี่คือกฎในโลกวิญญาณ พระเจ้าบอกแล้ว มันไม่มีผลอะไร ไม่ว่าจะประพฤติแบบไหน? ไม่มีผลกับวิญญาณของเรา วิญญาณของเรารอดแล้ว เราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เรากับพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว คือสถานะนี้ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ใครก็ไม่สามารถกระชากเราออกจากเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าลงมาอยู่ข้างล่างได้ ในโลกวิญญาณ เราอยู่ตรงนั้นแล้วกับพระเยซูคริสต์

            แต่กฎของโลกใบนี้ ก็ยังมีอยู่ พระเจ้าตั้งไว้เหมือนกัน ก็คือใครหว่านอะไร ก็ต้องเก็บเกี่ยวอย่างนั้น เราเป็นผู้เชื่อ ถ้าเราหว่านสิ่งไม่ดี  เราก็ต้องเก็บเกี่ยวสิ่งไม่ดี เราจะไปร้องโวยวายกับพระเจ้าไม่ได้

            “พระองค์เจ้าข้า ทำไมให้สิ่งนี้เกิดขึ้น” อะไรอย่างนี้ มันไม่ได้ เพราะว่ากฎก็คือกฎ พระเจ้าตั้งไว้แล้ว ถ้าเราขว้างก้อนหินออกไป มันโดนกำแพง มันก็เด้งกลับมา ขว้างยิ่งแรงเท่าไร? มันก็เด้งกลับมาแรงเท่านั้น  ก็คือเราจะต้องเก็บเกี่ยวผล

            เราขอบคุณพระเจ้าที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่อยู่ข้างในเรา พระองค์จะคอยช่วยเหลือเรา คอยแนะนำเรา คอยเตือนเรา สะกิดเรา เป็นไหม บางครั้งเราคิดจะทำอะไรที่ไม่ดี ความคิดมา พระวิญญาณที่อยู่ข้างใน จะเตือนเรา ไม่ดี ไม่เอา มันจะมีการตัดสินใจ การตัดสินใจอยู่ที่เรา ซึ่งพระเจ้าไม่ตัดสินใจแทนเรา  และพระเจ้าไม่บังคับเราด้วย คือเราจำเป็นจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจในแต่ละวัน แต่ละนาที แต่ละเหตุการณ์ ที่มันผ่านเข้ามาในชีวิตของเราว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นกับเรา เราจะตัดสินใจแบบไหน? เราจะตัดสินใจแบบธรรมชาติใหม่ของเรา ซึ่งเต็มไปด้วยความรัก หรือเราจะตัดสินใจตามระบบของโลกนี้ส่งเข้ามาว่าแค้นนี้ต้องชำระ ดูหนังจีนเยอะ แค้นนี้ต้องชำระ อย่างนี้ เราตัดสินใจได้ แล้วพระเจ้าก็ไม่ได้ห้ามการตัดสินใจของเรา  แต่พระเจ้าจะบอกผลของการตัดสินใจของเรา ในแต่ละครั้ง  ตัดสินใจตามพระเจ้า เราก็ได้เก็บเกี่ยวสิ่งดี ตัดสินใจตามโลกนี้ เราก็ได้เก็บเกี่ยวสิ่งไม่ดี ซึ่งพระเจ้าไม่ต้องการ ไม่อยาก แต่พระเจ้าก็บีบคอเราไม่ได้  พระเจ้าน่ารักมาก คือไม่บีบคอลูกของพระองค์

            “ไม่ได้ๆ” ลากกลับมา

            ไม่มี พระเจ้าก็ปล่อยให้เราเรียนรู้ ให้เรามีประสบการณ์ในการตัดสินใจต่างๆ เหมือนกับคุณพ่อคุณแม่ เมื่อเราเลี้ยงลูก เราไม่สามารถครอบเขาเหมือนเอาสำลีห่อไว้ ทำอะไรไม่ได้ อยู่ที่บ้าน เราก็ต้องป้องกันอย่างแรง ลูกเราวิ่งหัวทิ่มหัวตำ ไม่เจ็บ เป็นไปไม่ได้  ถ้าลูกเราวิ่งหัวทิ่มหัวตำ ก็ต้องเจ็บ แต่ว่าการเจ็บของเขา เขาจะเรียนรู้ เหมือนเด็กๆ ส่วนใหญ่เขาเห็นรูไม่ได้ แปลกดี แปลกแต่เป็นเรื่องจริงนะ เห็นอะไรมีรูไม่ได้ นิ้วเล็กๆ ขอแหย่นิดหนึ่ง  แล้วสมัยก่อน เขาไม่เอาปลั๊กไฟอยู่ข้างบน  ปัจจุบันก็เหมือนกัน เขาไม่เอาปลั๊กไฟอยู่ข้างบน เขาจะเอาอยู่ข้างล่าง มันก็ล่อตาล่อใจเด็ก เด็กคลานไปคลานมาก็เอานิ้วไปจิ้ม ก็โดนไฟช๊อต พ่อแม่ก็จะคอยบอก …

            “ลูกอย่าทำนะ อย่าๆ”

            บอกว่าอย่าและบอกเหตุผล แต่เผลอทีไร ลูกก็ไปทำ แต่ถ้าเขาทำ ครั้งแรกช๊อตไม่เยอะ เขาอาจจะไม่จำ พอคราวหน้าเขาลืม คลานไป เขาก็ไปลองจิ้มดูใหม่ แต่ถ้าช๊อตเยอะ คือเจ็บ เขาก็จะจำ เขาก็จะมอง อันนี้อันตราย คราวหน้าก็ถอยห่างหน่อย เราไม่เข้าใกล้แล้ว มันอันตราย นี่คือลักษณะของเด็ก

            พวกเราเหมือนกัน เราเป็นผู้เชื่อ เราก็เป็นเด็กเล็กๆ ของพระองค์ พระองค์ก็จะอนุญาตให้เรามีประสบการณ์ ในการตัดสินใจทุกอย่าง  แต่พระเจ้าจะบอกเลยว่า …

            “ถ้าตัดสินใจแบบนี้ ลูกจะได้แบบนี้ ถ้าทำอย่างนี้ ลูกจะได้อย่างนี้”

            พระเจ้าบอกไว้เรียบร้อยทุกอย่าง แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้าที่เรามีตัวช่วย ตัวช่วยของเราสุดยอดที่สุด  ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา ที่จะคอยช่วยเรา โน้มนำเรา ให้ทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

            ทุกๆ การตัดสินใจของเรา  พระเจ้าจะคอยอยู่ข้างๆ แต่พระเจ้าก็จะไม่บังคับเรา คือเราตัดสินใจแล้ว เราก็ต้องรับผิดชอบการตัดสินใจของเราทุกอย่าง แต่เราขอบคุณพระเจ้าที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์จะคอยบอกเรา  อยู่ที่ว่าบอกแล้วเราจะได้ยินหรือไม่ได้ยิน  หรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่เป็นไรหรอกพี่น้อง ไม่ว่าเราตัดสินใจอย่างไร? สมมติ พลาดไป เราก็เริ่มต้นใหม่  เราก็ลุกขึ้นมา โอเค อันนี้ พลาดไป ก็เสียเวลานิดหนึ่ง ไม่เป็นไร เราก็มาเริ่มต้นใหม่ อะไรประมาณนี้  เพราะว่าผู้เชื่อทุกคนมีโอกาสที่จะเริ่มต้นใหม่เสมอ พระเจ้าให้เรามีโอกาสนั้น

        กาลาเทีย 4:10 “ท่านกำลังถือวัน เดือน ฤดูและปี”

            คนกาลาเทียเริ่ม คือเวลาเราเชื่อพระเจ้า สิ่งที่สำคัญที่สุด พระเจ้าบอกว่าทุกวันดี ดีหมด เราดูจากในหนังสือปฐมกาล  ตอนที่พระเจ้าสร้างโลกใบนี้ วันแรกสร้างอะไร? พอสร้างจบ พระเจ้าบอกว่าดี วันที่สอง, สาม, สี่, ห้า, หก พระเจ้าก็ยังคงบอกคำเดียวกัน คือดี  แล้วพอวันที่เจ็ด พระเจ้าพัก หมายความว่าทุกอย่างที่พระเจ้าสร้างมา มันดีหมด แต่มนุษย์ไปทำให้มันเสียหาย คือไม่ดี พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ ทุกวันเป็นวันดี ถ้าวันนั้นเราสบาย นึกออกไหม? เราสบาย ไม่เดือดร้อนใคร เราว่าง เราสามารถไปได้ สามารถทำสิ่งนั้นได้  ถือว่าเป็นวันดีหมด

            ฉะนั้น ผู้เชื่อไม่จำเป็นจะต้องไปยึดวันเดือนปีว่าเราจะทำอย่างนั้น เราควรจะเลือกแบบไหน? หรือเราต้องไปให้หมอดูไหมว่าวันไหนดี? ผู้เชื่อต้องไปให้หมอดูว่าวันไหนดีไหม? ไม่ต้อง เราไม่ได้อยู่ภายใต้กฎเหล่านี้แล้ว เมื่อพระเจ้าบอกว่าดี แล้วข้างในวิญญาณเรายืนยันว่าดี เราตัดสินใจเอาวันนี้แหละดี หรือแม้แต่เราจะฉลองวันเกิด มันไม่ตรงกับวันที่เราว่าง

            สมมติเราเกิดวันที่ 12 แล้ววันนี้เราไม่ว่าง เพื่อนก็ไม่ว่าง แล้วเราไม่จำเป็นต้องเป๊ะๆ มาจัดวันที่ 12

            “เพื่อน วันไหนสะดวก พรุ่งนี้หรือ? วันที่ 13 โอเค เรานัดกัน ไปฉลองวันเกิดกัน วันที่ 13 เราถือว่าเป็นวันดี”

            นี่คือลักษณะ ฉะนั้น อย่ายึดวันเดือนปีว่าต้องอย่างโน้นต้องอย่างนี้ ถึงจะเป็นวันดี  เพราะพระเจ้าบอกกับเราว่าเมื่อเราอยู่ในพระเจ้า ทุกวันดีหมด

        กาลาเทีย 4:11 “ข้าพเจ้าหวาดหวั่นแทนท่าน เกรงว่าที่ข้าพเจ้าบากบั่นทุ่มเทให้ท่านนั้น จะเปล่าประโยชน์”

            อาจารย์เปาโลหวาดหวั่นแทนชาวกาลาเทีย เพราะว่าสิ่งที่อาจารย์เปาโลหว่านลงไปที่คริสตจักรชาวกาลาเทีย คือความรอดที่ไม่ได้พึ่งการประพฤติ แต่เป็นความรอดที่ผ่านทางความเชื่อในพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับ เราได้รับความรอด  และเป็นความรอดที่ครบถ้วนสมบูรณ์  ไม่เกี่ยวอะไรกับการประพฤติใดๆ เลย ฉะนั้น เมื่อชาวกาลาเทียเริ่มต้นไปเชื่อฟังคำสอนอะไรก็ไม่รู้ ที่เขามาสอนว่า …

            “เชื่อแค่นี้ไม่พอ  เธอต้องทำเพิ่ม เธอต้องอย่างโน้นอย่างนี้ ต้องๆๆๆๆๆ”

            ขบวนการต้องทั้งหลายแหล่ ซึ่งพระเจ้า พระเยซูคริสต์ไม่เคยใช้คำว่าต้องกับพวกเรา  คำว่าต้องคือบังคับ  ต้องทำ ไม่ทำไม่ได้  ถ้าไม่ทำ ต้องถูกลงโทษ  นี่คำว่า “ต้อง” พระเจ้าไม่เคยใช้คำว่าต้องกับลูกของพระองค์  แต่พระเจ้าจะใช้คำว่า “ควร” มันนุ่ม

            “ลูกเอ๋ย ลูกควรทำแบบนี้นะ เรื่องนี้ตัดสินใจ ลูกควรจะทำอย่างนี้นะ ลูกควรจะสำแดงความรักนะ เพราะว่าลูกเป็นความรักแล้ว มันอยู่ข้างใน มันไม่ยากเลย  ลูกแค่สำแดงออกไปเท่านั้นเอง”

            คำว่า “ควรจะ” หมายความว่าถ้าเราไม่ทำ พระเจ้าก็ไม่ว่าอะไร?  …

            “อ้าว! ไม่ทำหรือลูก ควรจะ แต่ลูกไม่ทำใช่ไหม? ลูกไม่ทำ ลูกต้องรู้นะ เดี๋ยวลูกจะเก็บเกี่ยวผลบนโลกใบนี้เท่านั้นเอง”

            แล้วเราก็เริ่มเรียนรู้จากการตัดสินใจของเรา ในทุกๆ เรื่อง เรียนรู้ว่าตัดสินอย่างนี้ผิด พระวิญญาณบริสุทธิ์เตือนแล้ว แต่เราไม่เชื่อฟัง เราก็เก็บเกี่ยวผล แค่นั้นเอง เห็นไหมว่าการเชื่อพระเจ้าเป็นเรื่องที่ง่ายมาก แล้วพระเยซูทำให้ง่ายมากๆ แต่มนุษย์จะพยายามทำให้มันยุ่งยากเข้าไว้ เหมือนมันมีอะไรให้ทำ แต่ว่าพระเยซูบอก …

            “ไม่ต้องทำอะไรแล้ว เพราะว่าฉันทำให้เสร็จหมดแล้ว เธอแค่มารับอย่างเดียว ก็โอเค จบแล้ว”

            ดังนั้น อาจารย์เปาโลก็กลัวว่าชาวกาลาเทียทั้งหลาย จะเริ่มต้นไม่ได้เชื่อในข่าวดี ที่อาจารย์เปาโลประกาศไว้ตั้งแต่เริ่มต้นไปใช้กำลังของตัวเอง เพื่อที่จะทำโน่นทำนี่  ทำให้ได้รับความรอด อันนี้น่ากลัว

        กาลาเทีย 4:12-15 “12 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอร้องท่าน ขอให้เป็นเหมือนข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าได้เป็นเหมือนท่าน ท่านไม่ได้ทำผิดอะไรต่อข้าพเจ้า 13 ท่านก็ทราบอยู่ตอนแรก ที่ข้าพเจ้าประกาศข่าวประเสริฐแก่ท่านนั้น ก็เพราะความเจ็บป่วย 14 แม้ว่าความเจ็บป่วยของข้าพเจ้า   เป็นการทดลองสำหรับท่าน ท่านก็ไม่ได้ดูถูกหรือสบประมาทข้าพเจ้าเลย กลับต้อนรับราวกับข้าพเจ้าเป็นทูตของพระเจ้า ราวกับข้าพเจ้าเป็นองค์พระเยซูคริสต์เอง 15 ความชื่นชมยินดีของท่านหายไปไหนหมดแล้ว? ข้าพเจ้ายืนยันได้ว่าถ้าท่านทำได้ ท่านก็คงจะควักตาของท่านให้ข้าพเจ้าแล้ว”

            อาจารย์เปาโลท้าวความให้ชาวกาลาเทียฟังว่าตอนที่ท่านมาประกาศข่าวดี ให้กับชาวกาลาเทีย ท่านไม่ได้มาแบบคนที่แข็งแรง มาแบบสง่างาม มาแบบห้าวหาญ  มาแบบด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าในนามพระเยซู หยุดๆ ไม่ใช่ ไม่มี แต่อาจารย์เปาโลมาในลักษณะที่ป่วยออดๆ แอดๆ ในพระคัมภีร์ตรงนี้บอกว่าถ้าเป็นไปได้ ท่านอาจจะควักตาให้กับข้าพเจ้า อาจารย์เปาโลอาจจะป่วยด้วยเรื่องสายตา อาจารย์เปาโลเคยตาบอด จำได้ใช่ไหม? ตอนเจอพระเยซูคริสต์ ตกม้า ท่านตาบอดไป 3 วัน ฉะนั้น ความป่วยไข้ตรงนี้อาจจะเกี่ยวกับเรื่องของตาด้วย แต่ว่าชาวกาลาเทียไม่ได้สนใจสิ่งภายนอกของอาจารย์เปาโลเลย แต่เขาสนใจข่าวดีที่อาจารย์เปาโลประกาศ  ซึ่งตัวอาจารย์เปาโลเองไม่ได้มีความสำคัญใดๆ เจ็บป่วย แต่ชาวกาลาเทียยังคงยืนยันความเชื่อของเขาด้วยถ้อยคำของพระเจ้าที่อาจารย์เปาโลประกาศเป็นฤทธิ์เดชอำนาจ  แล้วคนเหล่านี้ก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกว่า ณ เวลานั้น วันแรกที่เราเจอกัน ได้พูดคุยเรื่องข่าวดีของพระเจ้า ท่านทำอย่างนี้จริงๆ แทบจะคิดว่าฉันเป็นพระเยซูคริสต์ แต่ไม่ใช่หรอก ท่านรับเอาข่าวดีของพระเจ้า ซึ่งเป็นฤทธิ์เดช เป็นอำนาจ  ที่ทำให้ท่านได้กลับใจใหม่

            พอถึงข้อที่ 15 บอกว่า … “ความชื่นชมยินดีของท่านหายไปไหนหมดแล้ว” ก็คือจากข้อมูลที่ได้ยินได้ฟัง ข้อมูลข่าวประเสริฐที่มีการเจือปน บวกๆๆๆ  แล้วก็บวกว่าไม่ใช่ความเชื่ออย่างเดียวที่ได้รับความรอด ต้องกระทำด้วย ฉะนั้น ความชื่นชมยินดีมันหายไปหมดเลย เริ่มไม่เชื่ออาจารย์เปาโลแล้ว เริ่มพยายามทำด้วยกำลังของตัวเองแล้ว ฉะนั้น อาจารย์เปาโลบอกถ้าเราพยายามประพฤติด้วยกำลังของตัวเราเอง เพื่อที่จะได้รับความรอด เราก็หล่นจากพระคุณของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว

            เราขอบคุณพระเจ้าสำหรับพวกเราทุกๆ คน ในการดำเนินชีวิตกับพระเจ้า เวลาเราเดินกับพระเจ้า ตอนเราเชื่อใหม่ๆ เราเชื่อจริงๆ …

            “พระเยซูคริสต์ทำให้ฉันรอด ฉันรอดโดยพระคุณด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ทำดีด้วยตัวของฉันเอง”

            พอเชื่อพระเจ้าไปนานๆ เริ่มรู้สึก … “ฉันต้องทำอย่างนี้ ฉันต้องทำอย่างนั้น ฉันต้องๆๆๆๆ”

            มาแล้ว มาเป็นขบวนการ ซึ่งมันเป็นการหลอกล่อ หลอกลวงของโลกใบนี้ที่พยายามทำให้เราพึ่งพากำลังของตัวเอง แทนที่เราจะพึ่งพาพระเจ้า ดังนั้น คำว่า “ต้อง” ไม่มี การประพฤติของคริสเตียน คือเมื่อเราเชื่อแล้ว เราอยากจะทำให้พระเจ้ามีความสุข เราอยากจะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า

            นี่คือความเป็นจริงในโลกวิญญาณที่มันจะเกิดขึ้นกับพวกเราทุกๆ คน อาจารย์เปาโลก็เป็นห่วงเรื่องนี้ ในขณะเดียวกัน พวกเราทุกคน เหมือนกัน ในความเป็นห่วงของพระเจ้า พระเจ้าต้องการให้ท่านเชื่อ วางใจในพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น  แล้วรับเอาสิ่งที่พระเจ้าทำสำเร็จให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้วเท่านั้นเอง นี่คือข่าวดีที่มาถึงพวกเราทุกๆ คนในเช้าวันนี้ พระเจ้าอวยพรค่ะ

*******************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 10

                        คริสเตียน!

            ก่อนเชื่อ … เป็นประชากรของโลกนี้

            หลังเชื่อ … เป็นประชากรในสวรรค์ของพระเจ้าทันที

            1 เปโตร 2:9-10 … “9 แต่พวกท่าน (ผู้เชื่อพระเยซู)  เป็นพงศ์พันธุ์ที่ทรงได้เลือกสรร (ได้ย้ายแล้ว)  เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์  เป็นประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า  เพื่อให้พวกท่านประกาศพระเกียรติคุณ  (ความยิ่งใหญ่แห่งพระสิริ บารมี และพระคุณ) ของพระองค์  ผู้ใด้ทรงเรียกพวกท่าน (ย้ายพวกท่าน)  ให้ออกมาจากความมืด  เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์ 10 เมื่อก่อน (ก่อนเชื่อ) ท่านทั้งหลายไม่มีชาติ แต่บัดนี้ท่านเป็นชนชาติของพระเจ้าแล้ว เมื่อก่อนท่านทั้งหลาย หาได้รับพระกรุณาไม่ แต่บัดนี้ ท่านได้รับพระกรุณาแล้ว”

            • แต่ก่อนนี้ ก่อนเชื่อท่านไม่ได้เป็นประชากรของพระเจ้า แต่เป็นคนของโลก ท่านอยู่ในอาดัม

ตอนนี้ หลังเชื่อ ท่านได้ถูกย้ายมาอยู่ในพระเยซู

            แต่ก่อนนี้  ก่อนเชื่อท่านอยู่ในความพินาศ ในอาดัม ในความบาป เดี๋ยวนี้หลังเชื่อท่านได้รับความรอด ได้รับชีวิตนิรันดร์ อยู่ในพระเจ้า อยู่ในพระคริสต์ อยู่ในสวรรค์กับพระองค์

            • แต่ก่อนนี้ ก่อนเชื่อ ตอนที่ยังไม่ได้อยู่ในพระเยซูคริสต์  ตอนที่ท่านยังไม่ได้เชื่อในพระเจ้า  ท่านอยู่ในความพินาศ  เพราะไม่ยอมรับพระคุณ ความเมตตาของพระเจ้า ทั้งๆ ที่พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จแล้ว  แต่ท่านไม่เอาเอง  แต่ตอนนี้ ท่านเชื่อแล้ว  ก็เท่ากับท่านยินยอมรับเอา  พระเมตตาและพระคุณของพระเจ้า  เข้ามาแล้ว

                        เพราะฉะนั้น

            ก่อนเชื่อ … เป็นประชากรของโลกนี้

            หลังเชื่อ … เป็นประชากรในสวรรค์ของพระเจ้าทันที

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1504

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  5  มกราคม  2025

เรื่อง “เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา … เราเผชิญพรุ่งนี้ได้”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้ ชื่อเรื่องพิเศษหน่อย เป็นวันเริ่มต้นปีนี้ ก็ทำให้มันพิเศษ เป็นจุดเริ่มต้นดี ใช้ชื่อเรื่องว่า “เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา … เราเผชิญพรุ่งนี้ได้” โลกเราทุกวันนี้ ก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทางด้านวัตถุแบบก้าวกระโดด รวดเร็วมาก เผลอแป๊บเดียว ตามเขาไม่ทันเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสาร แต่ในขณะเดียวกัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้นนี้ ก็กำลังย้อนกลับมาสร้างปัญหาอันใหญ่โตให้กับมวลมนุษย์บนโลกใบนี้ เราจะเห็นชัดเจน ที่เราคุยกันมาตลอดว่ามีอยู่ 2 โลก ในโลกวิญญาณเอย ในโลกวัตถุเอย แต่ยุคปัจจุบันนี้ ต้องเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่ง โลก เขาเรียกว่าไซเบอร์ หรือโลกออนไลน์ คือโลกที่มองไม่เห็น  แต่มีอยู่จริง และเรามีชีวิตอยู่ในนั้น

            ออนไลน์ คือพวกคอมพิวเตอร์ทั้งหลาย  หรือเรียกว่าหุ่นยนต์ก็ได้  โลกออนไลน์นี่แหละที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมโลกมนุษย์ทุกวันนี้ ทุกแห่งในปัจจุบัน มันไปถึงหมดเลย ครอบคลุมโลกใบนี้หมด  แล้วน่ากลัวที่สุด คือกระทบถึงเด็กรุ่นใหม่ เด็กเยาวชนที่เริ่มเกิดใหม่ แล้วอยู่กับ 3 โลกนี้ อย่างพวกเราอายุมากแล้ว ก็ตามไม่ทัน ก็มีชีวิตอยู่มานานแล้ว ก็ได้สัมผัสถึงโลกไซเบอร์ โลกออนไลน์นี้บ้าง แต่เด็กๆ เขาต้องอยู่กับโลกไซเบอร์นี้ ตั้งแต่เล็กเลย แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น

            จากรายงานสถิติออนไลน์ทั่วโลก พบว่าเด็กมากกว่า 300 ล้านคนได้ตกเป็นเหยื่อของการแสวงหาผลประโยชน์ทางออนไลน์ทุกปี ซึ่งรวมถึงการเผยแพร่ภาพหรือวีดีโอ โดยไม่ได้รับความยินยอม การถูกล่อลวงทางออนไลน์  และการกระทำอื่นๆ เช่น การใช้เทคโนโลยี AI ในการหลอกลวง  AI ก็คือปัญญาประดิษฐ์ พูดง่ายๆ คือหุ่นยนต์ที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เอาไปใช้ในสิ่งที่ดี มันก็ดี มีประโยชน์ แต่เอาไปใช้เป็นโทษ มันก็เพิ่มโทษ เพิ่มความร้ายกาจของมนุษย์มากยิ่งขึ้น  ให้มนุษย์มีการทำร้าย ทำลาย ทำชั่วเยอะขึ้นนั่นเอง

            นอกจากงานวิจัยที่ออกมารายงานแล้วว่าการใช้โซเซียลมีเดีย การสื่อสารออนไลน์มากเกินไป การใช้เรื่องราวเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ไซเบอร์เหล่านี้มากเกินไป ยังมีความเสี่ยงต่อสุขภาพทางร่างกายและจิตใจของเด็กด้วย เพราะฉะนั้น เด็กตอนนี้เขาจะมีหน่วยงานที่มาคุ้มครอง ดูแลเรื่องนี้ เขาก็แนะนำให้พ่อแม่ระวัง ควบคุมดูแล ให้ตั้งแต่ทารก ตั้งแต่เด็กๆ เริ่มต้นเรียนรู้จักการใช้สื่อออนไลน์ มือถือ ไอแพค ไอโฟน หรือแม้กระทั่งในทีวีตอนนี้ เป็นแบบไซเบอร์ก็มีให้จำกัดเวลา ให้ระมัดระวังในเรื่องนี้ บางราย บางสถาบันเขาถึงขนาดแนะนำว่าเด็กตั้งแต่คลอดจนถึง 3, 4 ขวบ ไม่ให้เสพออนไลน์เหล่านี้เลย  ไม่ให้ดูจอเลย  ให้เลี้ยงดูแบบธรรมชาติเหมือนเดิม แล้วค่อยๆ ปล่อยให้เขาได้เรียนรู้ สอนให้เขาได้เรียนรู้ เมื่อเขาโตขึ้น อาจจะ 6, 7 ขวบ หรืออะไรก็ตาม

            ล่าสุด เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ออสเตรเลียได้ประกาศ เป็นประเทศแรกได้ผ่านร่างกฎหมายควบคุมเข้าถึงโซเซียลของเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี หมายถึงให้เหตุผลว่าโซเซียลมีเดียเป็นอันตรายต่อลูกหลานของเรา และถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องยุติมัน  คือกฎหมายนี้ออกมา ไม่ให้เด็กวัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 16 ปี เปิดบัญชีเข้าไปใช้ เข้าเป็นบุคคลหนึ่งในโลกของไซเบอร์  ในโลกของวิญญาณที่เป็นไซเบอร์ ที่บอกว่าเป็นวิญญาณ คือมันมองไม่เห็น มันมีอยู่จริง ก็คือไปเป็นสมาชิก เป็นตัวตนคนหนึ่งในเฟสบุ๊คบ้าง ในยูทูปบ้าง ในออนไลน์อะไรต่างๆ ไม่ให้เลย มันต้องมี ID ต้องเป็นสมาชิก ก็คือเป็นบุคคลคนหนึ่งอยู่ในโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น ที่เรียกว่าไซเบอร์นี้

            ที่พูดถึงข่าวนี้ขึ้นมา เพื่อย้ำให้เราเห็นถึงถ้อยคำพระเจ้าที่ว่าอยู่บนโลกนี้ เราต้องเผชิญกับการหลอกล่อ หลอกลวงของมาร มาทุกรูปแบบ ในพระคัมภีร์หมายถึงถูกล่อลวง โดยมารซาตาน ผ่านทางมนุษย์บนโลกใบนี้นั่นเอง ไม่ใช่เป็นผีอะไรที่ไหนหรอก คือวิญญาณเหล่านี้ ที่มีหัวหน้าเป็นมาร ทำงานผ่านระบบของโลกใบนี้ ผ่านทางมนุษย์บนโลกใบนี้ ทุกคน ผ่านทางอิทธิพลของมันที่อยู่บนโลกใบนี้ การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ คือการถูกหลอก ถูกล่อ ถูกลวงด้วยระบบของการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่มารเป็นผู้วางระบบไว้ว่าโลกใบนี้มันเป็นอย่างนี้ๆ ต้องแข่งกัน ต้องทำร้ายกัน ต้องเห็นแก่ตัวอะไรต่างๆ เหล่านี้ โดยผ่านทางมนุษย์

            เพราะฉะนั้น การถูกหลอกโดยมาร ก็คือผ่านทางมนุษย์ มนุษย์มาหลอกเราอีกที แล้วก็ใช้ไซเบอร์เหล่านี้ ใช้ออนไลน์เหล่านี้  ปัญญาประดิษฐ์เหล่านี้ เป็นเครื่องมือในการมาหลอก ในยุคปัจจุบัน คือเทคโนโลยีของ AI คือ Artificial Intelligence คือปัญญาประดิษฐ์ เหมือนหุ่นยนต์ เอาหุ่นยนต์มาใช้งาน ไปหลอกเขา นึกออกใช่ไหมว่ามันหนักขนาดไหน? แล้วชีวิตของมนุษย์บนโลกใบนี้ พระคัมภีร์ไม่ได้พูดถึงแค่นี้อย่างเดียว  แต่ยังพูดถึงความทุกข์ลำบากในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ต้องผจญกับอะไร? ไม่ว่าจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ทุกคน โรคภัยไข้เจ็บ ก็เยอะแยะมากมายไปหมด อะไรแปลกๆ ก็เข้ามาเยอะแยะไปหมด และไหนจะอุบัติเหตุที่แบบแปลกๆ ก็มี การล่อลวงของระบบของโลกใบนี้ โดยผ่านทางมนุษย์ ที่บอกไปเมื่อสักครู่นี้ ไหนจะเรื่องการทำมาหากิน เรื่องปากท้อง ลำบากขึ้นทุกวัน ภัยธรรมชาติอีก อันตรายที่เกิดจากมนุษย์ทำร้ายกันเอง หรือเกิดสงคราม ขัดแย้งกันเอง และเป็นผลพวงทำให้คนที่ไม่ได้ขัดแย้งก็ทุกข์ไปด้วย เหล่านี้ มันเกิดขึ้น ณ โลกใบนี้ในปัจจุบัน อย่างเห็นได้ชัด

            แล้วเราถามตัวเราเองสิว่าแล้วใครเล่าจะช่วยเราได้  กฎหมายที่ออกมาจะช่วยเราได้แค่ไหน?  บอกว่าประเทศออสเตรเลียประกาศกฎหมายนี้ออกมาแล้ว จะช่วยเด็กวัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 16 ปี ได้มากน้อยเพียงใด? ถ้าเป็นลูกหลานของเรา จะช่วยเขาได้อย่างไร? มากน้อยเพียงใด? ในอนาคตอันใกล้นี้ ลูกหลานของเรา ต้องเผชิญกับสิ่งที่เราพูดมาเมื่อสักครู่นี้ ทั้งหมด มากขึ้นเรื่อยๆ เผชิญกับความทุกข์ยากลำบากกับโลกใบนี้ที่เกิดขึ้นได้อย่างน่ากลัวที่สุดเลย แล้วเรารู้สึกกังวลหรือเป็นห่วงไหม?  เราดูลูกหลานของเรา เป็นห่วงไหม? อายุ 1 ขวบ 2 ขวบ 3 ขวบ เจริญเติบโตมาอยู่ในท่ามกลางที่เรากำลังเห็นอยู่นี้ แล้วมันจะหนักขึ้นทุกวัน หลอกล่อ หลอกลวง ไม่ว่าคนแก่ คนเฒ่า คนหนุ่ม คนสาว ถูกหลอกหมดเลย  เรากังวลไหม? เรามีความรู้สึกไหมว่าลูกหลานเราจะเป็นอย่างไร?  ใครคือคำตอบของเรา

            หัวข้อการบรรยายในวันนี้ ก็คือคำตอบที่ถามมาเมื่อสักครู่นี้ว่าใครเล่าจะช่วยเราได้ พระคริสต์ทรงอยู่ในเรา เราเผชิญพรุ่งนี้ได้  ลูกหลานของเราเผชิญพรุ่งนี้ได้ เพราะว่าพระคริสต์ทรงอยู่ในเขาทั้งหลาย

            เพราะพระคริสต์ทรงอยู่ในเรา นำทางเรา เราจึงเผชิญทุกสิ่งได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง นี่คือความจริงที่จะมาเปิดเผยจากถ้อยคำพระเจ้า ในเช้าวันนี้  เพื่อเป็นเครื่องมือ เป็นกำลัง เป็นสติปัญญาที่พระเจ้าประทานให้กับเราทั้งหลายในยุคนี้ ในวันปีใหม่นี้ เราจะเริ่มต้นจากมัทธิว 28:18-20 ซึ่งได้กล่าวไว้อย่างนี้ …

        มัทธิว 28:18-20 “18 พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้ แล้วตรัสกับเขาว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้น ในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดี ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว 19 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ 20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัด ซึ่งเราได้สั่งพวกท่านไว้ ดูเถิด เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก เอเมน”

            เรามาเจาะลึกกันดูว่าหมายถึงอะไร? เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนที่พระเยซูทำภารกิจของพระองค์สำเร็จแล้วบนไม้กางเขน คือสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อชำระบาปและช่วยเหลือเราให้รอดพ้นจากการเป็นคนบาป  และทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3  เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าและเป็นขึ้นมาใหม่จริงๆ พระองค์ก็ปรากฎตัวของพระองค์ในลักษณะของกายใหม่ที่เป็นขึ้นจากความตาย ปรากฏให้กับสาวก 40 วัน เดินกับสาวก 40 วัน ให้สาวกจับ แตะเนื้อต้องตัว ทานอาหารกับสาวก พูดคุยกับสาวก เพื่อยืนยันว่าสิ่งที่พระองค์ทรงบอกไว้ให้วางใจในพระองค์  พระองค์เป็นพระเมซีฮาห์ มาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาปนั้น เป็นจริง พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายจริงๆ พอครบ 40 วัน พระองค์ก็เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ เข้าไปในโลกวิญญาณ  แล้วก็ให้สาวกออกไปประกาศ  ตามที่พระองค์ทรงบอกไว้

            ข้อ 18 “พระเยซูทรงเข้ามาใกล้ แล้วตรัสกับเขาว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดี ทรงมอบไว้แก่เราแล้ว” กำลังจะขึ้นไปบนสวรรค์ ลอยขึ้นไป จากนี้ต่อไป พวกสาวกที่เชื่อในพระองค์ จะไม่เห็นพระองค์แล้วนะ จะต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อแล้วนะ จะต้องใช้วิญญาณเดินแล้วนะ เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระองค์ทรงพูดนี้ เป็นครั้งสุดท้าย ไม่มีการปรากฎตัวอีกแล้วนะ ต้องใช้ความเชื่อเอา สิ่งที่พระองค์ทรงพูดจึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุดเลย  เพราะจะเปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตของเหล่าสาวกทั้งหลาย พระองค์บอกเลยว่าสิทธิอำนาจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโลกที่มองเห็น หรือโลกที่มองไม่เห็น ทั้งหมดเลย ได้ถูกมอบไว้ที่พระองค์แล้ว ใครมอบ แน่นอน ก็ต้องเป็นพระเจ้า ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก พระเจ้าพระบิดาได้มอบสิทธิที่มองเห็น ทั้งในโลกที่มองไม่เห็น อยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว ในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าอยู่ที่ไหนพระเยซูคริสต์ ลอยขึ้นไปอยู่ในสวรรคสถาน นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า

            การที่นั่งอยู่ที่เบื้องขวา ก็หมายถึงสิทธิอำนาจทั้งหมดของพระเจ้า พระบิดาที่ครอบครองอยู่เหนือสรรพสิ่งทั้งหลายที่อยู่บนโลกใบนี้ และโลกที่มองไม่เห็นทั้งหมดนั้น ได้ถูกมอบให้กับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้สำเร็จราชการ พูดง่ายๆ  เป็นผู้ใช้อำนาจนี้ทั้งหมดเลย อยู่ที่พระองค์ผู้เดียว ยิ่งใหญ่ที่สุดเลย แล้วพระคัมภีร์ยังบันทึกไว้ เราได้เรียนรู้แล้วว่าเราทั้งหลายที่เป็นผู้เชื่อ ที่เป็นสาวก ที่พระองค์กำลังพูดกับสาวกเหล่านี้  สาวกของพระองค์ หรือผู้ที่เชื่อของพระองค์เหล่านี้  ได้นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ในสวรรคสถานด้วย แม้จะมองไม่เห็น แต่นี่เป็นความจริง พระเยซูกำลังจะพูดอย่างนั้น

            ในข้อ 19 “เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้รับบัพติศมาในพระนามพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์”

            รับบัพติศมา คืออะไร? เราเรียนรู้ไปแล้วว่ารับบัพติศมา หมายถึงจุ่มลงไป ไปเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์ เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ จุ่มเข้าไป ใส่เข้าไป ใส่วิญญาณของเราเข้าไปในพระเยซูคริสต์  เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ใน 1 โครินธ์ 6:17 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        1 โครินธ์ 6:17 “ผู้เชื่อที่ได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ (บัพติศมาในพระคริสต์) ก็ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์”

            พูดง่ายๆ ก็คือผู้เชื่อที่ได้เข้าส่วนร่วม เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็คือผู้เชื่อที่ได้รับบัพติศมาในพระคริสต์ ก็ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของพระองค์

            บัพติศมาในพระเยซูคริสต์ ไม่ได้หมายถึงบัพติศมาในน้ำเพียงอย่างเดียว แต่เล็งไปถึงโลกวิญญาณว่าบัพติศมาในพระคริสต์ คือวิญญาณเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เน้นถึงความสัมพันธ์ที่ลึกซึ่ง ระหว่างผู้ที่เชื่อในพระองค์ คริสเตียนและพระเจ้า ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งเป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณ เมื่อใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เขาก็จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับ 3 พระภาคของพระเจ้า  ก็คือพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ หมายความว่าเราได้อยู่ในความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเยซู และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ใกล้ชิดสนิทสนมที่สุดแล้ว  ไม่มีใกล้ชิดได้กว่านี้อีกแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันเลย ไม่มีสิ่งใดสามารถแยกเราออกจากความรักของพระเจ้า สถานะที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ได้ชั่วนิรันดร์ จะอยู่อย่างนี้ อยู่กับพระองค์ชั่วนิรันดร์

            ในข้อที่ 20 “สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัด ซึ่งเราได้สั่งพวกท่านไว้”

            สอนผู้เชื่อให้ถือรักษาสิ่งสารพัด สิ่งสารพัดที่พระองค์ทรงสั่ง คืออะไร? ใครจำได้บ้าง? สอนผู้เชื่อให้วางใจในพระองค์และรักซึ่งกันและกัน ก็คือบัญญัติที่พระองค์ทรงให้ไว้ ที่เราได้เรียนรู้มา ที่พระองค์ทรงบอกว่า

            “นี่คือบัญญัติที่เราให้กับพวกเจ้าทั้งหลายและสาวกของเราทั้งหลายทุกคน ก็คือจงวางใจในเรา และดำเนินชีวิตด้วยความรัก คือรักซึ่งกันและกัน”

            พระเยซูตรัสกับผู้เชื่อ นี่กำลังพูดกับคนที่เชื่อแล้วแต่ละคนเลยว่าให้วางใจในพระองค์และรักซึ่งกันและกัน และที่สำคัญกว่านั้น พระองค์ตรัสไว้ตอนท้ายสุดของข้อนี้ว่า “ดูเถิด เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก เอเมน” หมายถึงพูดกับคนที่เชื่อในพระองค์  คือสาวกของพระองค์ คือคริสเตียนแต่ละคน ไม่ใช่พูดถึงรวมนะ แต่กำลังพูดกับท่านที่เป็นคริสเตียนแล้ว พูดว่าอย่างไร? …

            “จงมองให้เห็นเถิด เราอยู่กับท่าน”

            ซึ่งตัวนี้สามารถแปลได้ในพระคัมภีร์ใหม่ว่า “อยู่ในท่านตลอดเวลา เสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก”

            พระเยซูตรัสกับท่านทั้งหลายที่เป็นคริสเตียน ตั้งแต่วันโน้น  จนถึงวันนี้ ก็ได้ตรัสว่า “จงมองให้เห็นเถิด” เพราะเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มองไม่เห็น เพราะฉะนั้น จึงบอกคริสเตียนว่าท่านทั้งหลาย ควรจะมองให้เห็นในโลกฝ่ายวิญญาณ คือให้รับรู้เรื่องโลกฝ่ายวิญญาณ รับรู้ว่าอย่างไร? จงมองให้เห็นเถิด เราอยู่ในท่าน อยู่กับท่านตลอดเวลา เสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก

            คำว่า “จนกว่าจะสิ้นโลก” หมายถึงจนกว่าพระองค์จะกลับมาใหม่  เพื่อพิพากษาโลกนี้ จนกว่าวันที่โลกนี้ ถูกกำหนดไว้ ที่ถูกพิพากษาไปแล้ว ให้จบลง ให้สิ้นสุดลง เพื่อพระเจ้าจะได้สร้างโลกใหม่ให้กับพวกเราผู้ที่เชื่อในพระองค์ครอบครองต่อไป จนกว่าถึงวันนั้น เราอยู่กับท่าน หมายถึงอยู่กับ คริสเตียนผู้เชื่อในยุคไหนก็ตาม  ไม่ว่าจะ 2,000 ปีที่แล้ว  พระองค์ก็อยู่ในผู้เชื่อตลอดเวลาเสมอไป คือต่อให้ผู้เชื่อที่จะมาเชื่อ ในวันพรุ่งนี้ หรือปีหน้า หรืออีก 10 ปีหน้า หรืออีก 100 ปีหน้า ถ้าพระเยซูยังไม่กลับมาใหม่ ยังไม่สิ้นโลก เขาผู้นั้นที่เป็นคริสเตียน ที่เป็นผู้เชื่อนั้น พระเยซูก็สัญญาว่าพอเขาเชื่อปั๊บ พระเยซูก็จะเข้าไปอยู่ในร่างกายของเขาตลอดเวลา

            “พระเยซูตรัสว่าจงมองให้เห็นเถิด  เราอยู่กับท่าน อยู่ในท่านตลอดเวลา เสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก”

            พูดกับเราทุกคนแต่ละคน เป็นส่วนตัวเลย พระคริสต์สถิตอยู่ในผู้เชื่อ จึงเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ ในพันธสัญญาใหม่ ในพระเยซูคริสต์ที่พระเจ้าเตรียมไว้ และกระทำสำเร็จแล้ว ในโลกมนุษย์ เรียกว่า 2,000 ปีมาแล้ว ซึ่งแสดงถึงความลึกซึ้ง ในความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความใกล้ชิดสนิทสนมระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เหมือนที่พระเยซูได้ยกอุปมาว่าสนิทสนมกัน เหมือนเราเป็นกิ่งก้านขององุ่น แล้วพระองค์เป็นลำต้น ต่อกันสนิทอย่างนั้น เหมือนกับที่พระคัมภีร์ อาจารย์เปาโลบอกว่าเราเป็นอวัยวะชิ้นหนึ่งในร่างกายของพระเยซู ซึ่งพระเยซูเป็นศีรษะ เราเป็นส่วนหนึ่งในร่างของพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกันขนาดไหน? แล้วถามว่าเราจะรู้ได้อย่างไร? ว่าขณะนี้มันเป็นอย่างนี้ในวิญญาณภายในของเรา เราจะรู้ได้อย่างไรว่าขณะนี้วิญญาณของเราบังเกิดใหม่แล้ว เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว อยู่ในสวรรคสถานกับพระเจ้าแล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรคสถานแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว เราจะรู้ได้อย่างไร?  ก็โดยความเชื่อ  เพราะสิ่งเหล่านี้เราได้มาโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยความประพฤติ ใน 2 โครินธ์ 13:5 ได้บอกถึงวิธีทดสอบดูว่าท่านรู้ได้อย่างไร? ดูสิว่าอาจารย์เปาโลว่าอย่างไร? …

        2 โครินธ์ 13:5 “จงสำรวจตนเองว่าท่านตั้งมั่นในความเชื่อหรือไม่ จงทดสอบตัวเอง ท่านไม่รู้ (ไม่เห็น) หรือว่าพระเยซูคริสต์ทรงอยู่ในตัวท่าน แน่นอนนอกจากว่าท่านไม่ผ่านการทดสอบ”

            ถ้าท่านผ่านการทดสอบ ก็หมายถึงท่านเชื่อ ท่านรู้และเห็นว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในตัวท่านนั่นเอง คำว่า “ท่านไม่รู้” ก็คือ “ท่านไม่เห็นเหรอ” “ไม่รู้เหรอ” มันเกี่ยวกับเรื่องโลกวิญญาณ หรือว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในท่าน ก็พระองค์บอกว่าจงมองให้เห็นเถิด เพราะว่ามันอยู่ในโลกวิญญาณ เราอยู่ในท่านที่เป็นความจริง แต่ท่านสามารถทดสอบได้ว่าท่านมีความเชื่อหรือไม่? ก็คือท่านเห็นไหม? ท่านรู้ไหมว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในท่านจริงๆ ความจริงนี้ท่านรับรู้หรือไม่? สำรวจตัวเองว่าเราได้เชื่อในข่าวดีจริงๆ หรือเปล่า? ได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ได้อาศัยอยู่ในสวรรค์ขณะนี้แล้วจริงๆ หรือไม่? ด้วยวิธีการ คือเห็นไหม? รู้ไหมว่าพระคริสต์สถิตอยู่ภายในเรา  และพิสูจน์ตอนไหน? ทั้งตอนมีความสุขและมีความทุกข์ แน่นอนท่านก็รู้อยู่แล้วว่าตอนไหน? ทดสอบง่ายกว่ากัน

            ก็คือเมื่อเผชิญกับการทดลองต่างๆ การทดลองความเชื่อว่าตอนนี้ท่านรู้ไหม? ท่านเห็นไหมว่าพระคริสต์สถิตอยู่กับท่าน ทดลองอย่างไร? เมื่อยามเราทุกข์ เมื่อยามเราเจ็บป่วยในร่างกาย เมื่อยามเราวิตกกังวล อยู่ในความเครียด ในการทำมาหากินฝืดเคือง ที่ดูเหมือนยากขึ้นทุกวัน ทุกข์มากขึ้นทุกวัน ความขัดแย้งในสังคม ในครอบครัว  เมื่อยามพบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติเกิดขึ้น เมื่ออุบัติเหตุเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อยามวันคืนแห่งความเหนื่อยล้า ในการดำเนินชีวิตอยู่ในแต่ละวันบนโลกนี้ กลับไปถึงบ้าน ก่อนนอน ลำบาก เหนื่อยเหลือเกินพ่อ หรือในแต่ละวันต้องต่อสู้กับกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง ของระบบของโลกนี้ ที่เต็มไปด้วยความบาป ซึ่งมีอิทธิพลชักจูงให้เราทำบาป กระทำในสิ่งที่วิญญาณและจิตใจไม่อยาก ไม่ต้องการจะทำเลย โกรธ หงุดหงิด กลัว เราไม่อยากกลัว แต่มันก็กลัว เราไม่อยากหงุดหงิด แต่มันก็ทำไปแล้ว เราไม่อยากทำอย่างนี้เลย แต่มันก็ทำไปแล้ว อธิษฐานก็อธิษฐานไม่ออก เราอยากจะร้องเพลง ก็ร้องเพลงไม่ได้ เราอยากมาโบสถ์ แต่เราก็ขี้เกียจ

            ทั้งในยามทุกข์และยามสุข  เราทดสอบตัวเราเองว่าฉันยังรับรู้ ยังเห็นอยู่ไหมว่าพระคริสต์สถิตอยู่ภายในฉัน ท่านยังรับรู้ ยังเห็นอยู่ไหมว่าพระเยซูคริสต์อยู่ในท่าน ตอนที่ท่านเจ็บปวด เจ็บป่วย ตอนที่ท่านกระทำในสิ่งที่ท่านไม่อยากทำ แล้วก็ทำไปแล้ว แล้วก็บอกว่าจะไม่ทำอีก แต่มันก็ทำอีกจนได้ วนเวียนอยู่นั่นแหละ ท่านเหนื่อย ตอนนั้น ตอนที่ท่านทำในสิ่งที่ตัวเองไม่อยากทำ ตอนที่ท่านอธิษฐานไม่ออก ตอนที่ท่านเจ็บปวด เจ็บป่วย แล้วบอกพระเจ้าอยู่ไหน? ปากบอกว่าพระเจ้าอยู่ไหน? แต่ใจจริงของท่านทั้งๆ ที่รู้ใช่ไหมว่าพระคริสต์ พระเจ้าสถิตอยู่ภายในท่าน นั่นแหละ คือสิ่งที่พิสูจน์ว่าท่านเชื่อหรือไม่? ท่านเชื่อจริง มันจะออกมาอย่างนี้แหละ  มันจะออกมาขัดแย้งกับความคิด ความรู้สึก คำพูด กิริยาท่าทาง พูดง่ายๆ ว่าทั้งๆ ที่รู้ว่า …

            “พระคริสต์ทรงสถิตอยู่ แต่ฉันก็อดที่จะพูด หรือคิดไม่ได้ว่าพระเจ้าอยู่ที่ไหน?  ขณะที่ลูกเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน พระเจ้าอยู่ไหน?  ทำไมพระเจ้าไม่ตอบคำอธิษฐานสักที พระเจ้าทอดทิ้งแล้วหรือ?”

            มันไม่ได้หมายความว่าเรามีจิตใจที่ไม่เชื่อ ในใจยังเชื่ออยู่ แต่เราอ่อนแอเกินไป ที่จะดำเนินกิริยาท่าทางต่างๆ ให้เป็นไปกับความเชื่อที่อยู่ในวิญญาณ ซึ่งเป็นความเชื่อที่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่สร้างขึ้นมาเอง เรายังเชื่อพระคริสต์สถิตอยู่ภายใน ตาฝ่ายวิญญาณของเรา ยังเห็นพระเจ้าอยู่ ถ้าทดสอบดู ยังเห็นอยู่ไหม? ถ้ายังเห็นอยู่ เราทดสอบ เราผ่าน แต่ถ้าเราบอกพระเจ้าอยู่ที่ไหน? แล้วไม่เห็นเลย ไม่เคยคิด ไม่เคยรู้เลยว่าพระเจ้าอยู่กับเรา อย่างนี้เขาเรียกว่าสอบไม่ผ่าน

            การทดสอบตนเองในบริบทของ 2 โครินธ์ 13:5 ที่เรากำลังพูดถึง ไม่ได้หมายถึงว่าเป็นการผ่านการทดลองในการทุกข์ยากลำบาก เพื่อพิสูจน์ ยืนยันความเชื่อของเราในพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่เป็นการพิสูจน์ความเชื่อของเรา เพราะว่าความเชื่อของเราเป็นของประทานจากพระเจ้า แต่เป็นการตรวจสอบภายใน เพื่อยืนยัน ย้ำเตือนให้เรารู้ และเห็นความจริงว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเราแล้วจริงๆ เป็นการยืนยันว่าเรารู้

            ความเชื่อของเราไม่อยู่กับการผ่านการทดสอบความเชื่อหรือไม่?  อย่างที่ตะกี้บอก การทดสอบเราอาจจะไม่ผ่าน  แต่เรารู้อยู่ข้างในว่าพระคริสต์สถิตอยู่กับเรา การผ่านการทดสอบหรือไม่? หรือท่าทีต่อการตอบสนองต่อการทุกข์ยากลำบากจะเป็นอย่างไร? ผ่านหรือไม่ผ่านนั้น ไม่สำคัญ  คือพูดง่ายๆ ความประพฤติไม่สำคัญ  การมีปฏิกิริยาอะไรออกมาทางร่างกาย มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับตรงนั้น แต่มันขึ้นอยู่กับการยอมรับ และการเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์ในการงานของพระองค์ที่ทำที่ไม้กางเขน ตรงนี้มากกว่า และก็รู้ว่าความเชื่อที่เราบังเกิดใหม่ต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นของประทาน ไม่ใช่ตัวเราเอง โอ้อวดตัวเราเอง ตัวเราเองอาจจะอ่อนแอ แต่ความเชื่อที่เท่าเมล็ดมัสตาร์ดอยู่ข้างใน ซึ่งมันจะเกิดผลอย่างมากมาย ความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ มันเป็นเพียงเครื่องที่สามารถเป็นโอกาสที่พระเจ้าจะใช้ให้เราเติบโตในความเชื่อ และพึ่งพาพระเจ้าได้มากขึ้น ฝึกฝนเรา ไม่ได้เกิดจากพระเจ้า เกิดจากความวิปริตบนโลกใบนี้อยู่แล้ว  แต่พระเจ้าถือโอกาสใช้ให้มันเป็นประโยชน์ สำหรับชีวิตของเรา อุปสรรค ปัญหา ความทุกข์ยากลำบาก ความเจ็บปวด ช่วยให้เราผู้เชื่อเห็นตามที่พระเยซูบอกว่าจงมองให้เห็น  มันจะเห็นชัดเจน เมื่อเราประสบกับความทุกข์ยากลำบาก ไม่ใช่เห็นอย่างชัดเจนเมื่อยามที่เรามีความสุขดี เมื่อยามที่พระเจ้าตอบคำอธิษฐานเรา เป็นไปตามที่เราอธิษฐานเป๊ะเลย อัศจรรย์เกิดขึ้น นั่นเราไม่เห็นหรอก เรามีกิริยาที่ดูเหมือนเห็น แต่ข้างในใจไม่ได้ช่วยอะไรเรามากเท่าไร? แต่มันจะช่วยเรามาก ตอนที่เราประสบกับความทุกข์ยากลำบาก  และภายนอก ความคิด การกระทำของเรา ดูเหมือนไม่เชื่อ แต่ข้างในนั้น เต็มไปด้วยความเชื่อ ที่แท้จริง  และเป็นความรู้ถึงการทรงสถิตของพระคริสต์ในชีวิตเรา นี่แหละคือประโยชน์ของอุปสรรคปัญหา ความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้น ความเจ็บปวด

            การยืนยันมั่นคง ความรู้ ในความเชื่อของเรา ตามที่พระเยซูบอกว่าให้เราเห็น ให้เรารับรู้ เราจะยืนยันได้ โดยความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้น พระคริสต์ทรงอยู่ในเรา เราอยู่ในพระองค์ตลอดเวลา เป็นหนึ่งเดียวกันตลอดเวลา ไม่ว่าเราจะรับรู้หรือไม่ รู้สึกหรือไม่? คิดตามความจริงนี้หรือไม่?  หรือจะปฏิบัติตัวอย่างไร? จะตอบสนองอย่างไรก็ตามความจริงว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา มันก็เป็นความจริงอย่างนั้นตลอดไป โคโลสี 1:27 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …

        โคโลสี 1:27 “สำหรับพวกเขา พระเจ้าได้ทรงประสงค์ที่จะสำแดงความมั่งคั่งอันทรงเกียรติสิริของข้อล้ำลึกนี้ ในหมู่คนต่างชาติ คือพระคริสต์สถิตในท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ”

            “ความมั่งคั่งอันทรงเกียรติสิริ” หมายถึงของที่มีค่าอย่างมากมาย ก็คือมีพระลักษณะเหมือนพระเจ้า เป็นเหมือนพระคริสต์ เต็มด้วยสง่าราศี นี่พูดถึงเราผู้เชื่อ และตรงนี้เป็นแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้วว่าจะให้มนุษย์ได้เกิดใหม่ แล้วเป็นอย่างนี้ ปิดซ่อนไว้ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ตั้งแต่พระคัมภีร์เดิม  และเปิดเผยเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว เมื่อพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และเป็นขึ้นจากความตาย  เป็นข้อความล้ำลึก ก็คือพระคริสต์สถิตในท่านทั้งหลาย เป็นความหวังแห่งเกียรติสิริ เห็นไหม?

            เพราะฉะนั้น เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เราต้องมีความหวังอยู่ในพระคริสต์อย่างเดียว ความหวังไม่ได้อยู่ที่คำตอบคำอธิษฐาน  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่างๆ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความประพฤติของเราด้วยซ้ำไป ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอะไรเลย ขึ้นอยู่อย่างเดียว คือจงรับรู้ และจงเห็นเถิดว่าพระคริสต์สถิตอยู่ในเราตลอดเวลา เสมอไป นิจนิรันดร์ กาลาเทีย 2:20 …

        กาลาเทีย 2:20 “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว และข้าพเจ้าไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า”

            อันนี้เห็นชัดเลย เราต้องมีความรู้สึกอย่างนั้นเลยว่าพอเจริญเติบโต เข้าไปในความจริงนี้มากขึ้นเรื่อยๆ พระคริสต์สถิตอยู่ในเราตลอดเวลา และเราก็ได้บังเกิดใหม่อยู่ในพระคริสต์ตลอดเวลา ชีวิตที่เราดำเนินอยู่บนโลกใบนี้ ทุกวัน เป็นชีวิตที่พระคริสต์นำหน้าเรา มันหมายถึงอย่างนั้น  แสดงให้เห็นว่าชีวิตของผู้เชื่อ ถูกเปลี่ยนแปลงโดยมีพระคริสต์อยู่ภายใน  เราไม่ได้ดำเนินชีวิตด้วยตัวเราเองเพียงลำพังอีกต่อไป แต่เรามีพระคริสต์นำหน้า  เหมือนการจูงมือกัน แต่เป็นการจูงมือที่แนบแน่นกว่านั้น ก็คือลำต้นจูงมือกิ่ง  ไม่ใช่จูงมือเอามือแตะกันเฉยๆ แต่เชื่อมกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนกับศีรษะจะไปไหน? หน้าอกไปด้วย มือไปด้วย เป็นหนึ่งเดียวกันอย่างนั้น  ในยอห์น 14:23 พระเยซูตรัสว่า …

        ยอห์น 14:23  “ถ้าผู้ใดรักเรา เขาจะรักษาคำของเรา  และพระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะมาหาเขา และอยู่กับเขา”

            “เราจะมาหาเขา และอยู่กับเขา” คำว่า “อยู่กับเขา” ตรงนี้หมายถึงอาศัยเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขา เราจะมาหาเขา และอาศัยเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขา  “เขา” คือผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เป็นการยืนยันถึงการทรงสถิตอยู่ของพระคริสต์ในชีวิตของผู้เชื่อ

            การที่พระคริสต์สถิตอยู่ในเรานั้น เป็นการยืนยันความสัมพันธ์ที่ไม่อาจแยกกันได้เลย คือเป็นหนึ่งเดียวกัน ระหว่างพระเยซูคริสต์กับผู้เชื่อ คือคริสเตียน และเป็นการรับรองถึงความสมบูรณ์ ความบริบูรณ์ในพระองค์ ความเหมือนพระองค์ ถ้าศีรษะมีเซลล์ เป็นเช่นไร? ข้อเท้าก็มีเซลล์เป็นเช่นนั้น ถ้าศีรษะมีเซลล์เป็นคุณนคร หัวแม่เท้าก็มีเซลล์เป็นคุณนคร มันหมายถึงอย่างนั้น โคโลสี 2:10 …

        โคโลสี 2:10 “และท่านมีชีวิตที่บริบูรณ์ในพระองค์ และพระองค์เป็นประมุขเหนือการปกครอง และสิทธิอำนาจทั้งปวง”

            พระองค์ยิ่งใหญ่สูงสุด เป็นประมุขสูงสุดของการครอบครองทุกอย่าง  ไม่ว่าจะเป็นโลกใบนี้ หรือโลกที่มองไม่เห็น สิทธิอำนาจทั้งปวง ทั้งโลกนี้และโลกที่มองไม่เห็น มันอยู่ที่พระองค์ทั้งสิ้น และเราอยู่ในพระองค์ บริบูรณ์ในพระองค์ หมายถึงเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ ฟีลิปปี 4:13 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ สำหรับคริสเตียน …

        ฟิลิปปี 4:13 “ข้าพเจ้าเผชิญได้ทุกสถานการณ์ ไม่ว่าดีหรือร้าย โดยฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ ผู้ทรงเสริมกำลังให้กับข้าพเจ้า”

            เมื่อพระองค์ องค์พระเยซูคริสต์ยิ่งใหญ่สูงสุด เหนือสิทธิอำนาจทั้งปวง สถิตอยู่ในข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงเผชิญทุกอย่างได้ ไม่ว่าดีหรือร้าย ตามสายตาที่เราเห็น เพราะฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์อยู่ในเรา เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา   เราจึงสามารถเผชิญทุกสิ่งทุกอย่าง  เผชิญวันพรุ่งนี้  ก็คือเผชิญอนาคตได้ ไม่ว่าดีหรือร้าย สำหรับเรา คริสเตียนที่มีพระเยซูคริสต์สถิตอยู่ สำหรับเราดีเสมอ ตลอดเวลา  เพราะพระเจ้าผู้ทรงควบคุมสถานการณ์ อยู่ภายในเรา รักเรา จูงมือเราเดินผ่านหุบเขาเงามัจจุราชบนโลกใบนี้ ก็คือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้  ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระองค์ ด้วยความรักของพระองค์ที่เป็นนิรันดร์ เราจึงไม่กลัว และในพระคัมภีร์ได้บันทึกว่าพระเยซูคริสต์ตรัสว่า …

            “เรายืนเคาะประตูอยู่ ใครได้ยินเสียงเรา และเปิดประตู เราจะเข้าไปข้างใน และกินอาหารร่วมกับคนนั้น”

            ทุกวันนี้พระเยซูคริสต์ยังคงพูดผ่านทางผู้ที่เป็นคริสเตียนแล้ว ผู้ที่เชื่อแล้ว  ไปยังบรรดามนุษย์ทั่วๆ ไปที่ยังไม่ได้รู้จักพระเยซู ยังไม่ได้ต้อนรับพระเยซูพูดว่าอย่างไร? พูดว่าพระองค์ทรงเคาะประตู พระองค์อยากเข้าไปอยู่ในท่าน มนุษย์ทุกคน เราจะเข้าไปข้างใน เราจะเข้าไปอยู่ในท่าน เหมือนกับที่ข้อพระคัมภีร์ที่เราอ่านเมื่อสักครู่นี้

            นี่คือข่าวดีที่พระเยซูให้สาวก คริสเตียนทุกคนประกาศ  สั่งสอนให้มนุษย์ทุกคนได้รู้ คือพระองค์ทรงเคาะประตูอยู่ อยากจะเข้าไป เข้าไปทำอะไร ก็อย่างที่ตะกี้นี้ เราได้เรียนรู้กันมาวันนี้ เข้าไปนำพาชีวิตท่าน แล้วท่านได้ยินแล้ว ท่านจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์หรือไม่? ถ้าเปิดใจเมื่อไร? ทันที พระองค์ก็เข้าไปอยู่ในท่าน และชีวิตคนๆ นั้น ก็จะเปลี่ยนไป

            เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา เราเผชิญพรุ่งนี้ได้ มีบทเพลงอยู่บทเพลงหนึ่งดีมาก …

                        เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา เราเผชิญพรุ่งนี้ได้

                        เพราะพระองค์ทรงอยู่ในเรา ความกลัวสิ้นไป

                        เพราะเราแน่ใจ แน่ใจ พระองค์ทรงอยู่ในเรา และทรงนำหน้า

                        ชีวิตมีค่า เพราะรู้ว่าองค์พระคริสต์ ทรงอยู่ในเรา

            ไม่ว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าโรคภัยไข้เจ็บของเราจะหายหรือไม่หายก็ตาม ไม่ว่าสถานะของเราจะขัดสนหรือมีมากล้นก็ตาม  จะสุขหรือทุกข์ก็ตาม แค่รู้เพียงว่าพระองค์ทรงอยู่กับเราด้วยตลอดเวลา อยู่ภายในเรา ก็เพียงพอแล้ว สันติสุขอันยิ่งใหญ่เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ จะเข้าปกคลุมอยู่เหนือความคิดจิตใจของเราในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงอยู่ในเรา พระเยซูคริสต์จึงตรัสย้ำยืนยันเรื่องนี้หลายตอนเลย  ซึ่งสรุปได้ว่า …

            “ท่านจงมองให้เห็นเถิด เพราะมันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ แต่มันเป็นความจริงที่ยิ่งใหญ่ ก็คือพระคริสต์สถิตอยู่ในผู้เชื่อ จงมองให้เห็นเถิด เราอยู่กับท่าน อยู่ในท่านตลอดเวลาเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก”

            พระเยซูตรัสว่า … “จงมองให้เห็นเถิด เราอยู่กับท่าน อยู่ในท่านตลอดเวลาเสมอไป จนกว่าจะสิ้นโลก”

            พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 9

            ก่อนเชื่อ … ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ อยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า พ่อผู้แสนดีอยู่ด้วย

                                นิรันดร์

            หลังเชื่อ … รอดพ้นจากการถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ได้กลับมาอยู่กับพระเจ้า พ่อผู้แสนดี

                               ในสวรรค์นิรันดร์

            “18 คนที่วางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่ในความพินาศ ในความตายในความบาปเหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            พระเยซูทรงเป็นพระเจ้า ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นประตูสวรรค์ให้กับมนุษย์ ที่จะบังเกิดใหม่ จากการเชื่อและวางใจในพระองค์ได้เข้าสู่สวรรค์ อยู่กับพระเจ้านิรันดร์ ซึ่งพิสูจน์ได้ทันทีเดี๋ยวนี้ ขณะที่ดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เลย เพราะประสบการณ์ในการเข้าอยู่ในสวรรค์นี้ เริ่มต้นขึ้นทันทีหลังจากเปิดใจรับเชื่อในข่าวดีนี้ ไปจนถึงชีวิตนิรันดร์ หลังความตายจากร่างกายนี้

            ยอห์น 3:16-17 … “16 พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ  (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์ 17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตร เข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลกให้รอด จากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยทางการวางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์”

            พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1503

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  29  ธันวาคม  2024

เรื่อง “หนังสือกาลาเทีย” ตอน 11

โดย วราพร  คงล้วน

            คราวที่แล้วเราจบลงที่ข้อ 27 ขออ่านย้อนข้อ 26-27 อีกครั้งหนึ่ง …

        กาลาเทีย 3:26-29 “26 ท่านทั้งหลายล้วนเป็นบุตรของพระเจ้า  โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ 27 เพราะพวกท่านทั้งปวงผู้ได้รับบัพติศมา  เข้าส่วนในพระคริสต์แล้ว  ได้คลุมกายของท่านด้วยพระคริสต์ 28 ไม่มียิวหรือกรีก ทาสหรือไท ชายหรือหญิง เพราะพวกท่านทั้งปวง เป็นหนึ่งเดียวในพระเยซูคริสต์ 29 ถ้าท่านเป็นของพระคริสต์  ท่านก็เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมและเป็นทายาทตามพระสัญญา”

            ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระคุณของพระองค์ที่ได้ทรงบอกเราในถ้อยคำของพระเจ้า เมื่อพี่น้องทุกคนเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เราก็ได้บัพติศมา เป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์

            “เป็นหนึ่งเดียวกัน” หมายความว่าพระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาสถิตอยู่กับวิญญาณของเรา  เราไปไหน? พระเจ้าไปด้วย จะไม่มีแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ที่พระเจ้าจะทิ้งให้เราอยู่เพียงลำพัง ไม่มีนะ ไม่ว่าจะทุกข์ ไม่ว่าจะสุข ไม่ว่าเราทำดี ไม่ว่าเราทำไม่ดี  เราต้องยอมรับ อยู่ในพระเจ้าเราก็เผลอทำไม่ดี แต่ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหนก็ตาม ให้รับรู้ว่าพระเจ้าไม่เคยทิ้งเรา พระเจ้าอยู่ในเราตลอดเวลา ฉะนั้น เมื่อเราเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ในพระคัมภีร์บอกว่าจะไม่มียิว ไม่มีกรีก ไม่มีทาส ไม่มีไท ก็คือไม่มีแบ่งชั้นวรรณะ ไม่ว่าคนนั้นจะอยู่ในเชื้อชาติใด สัญชาติใด หรืออยู่ในสถานะแบบไหน?  เป็นคนที่มีเงินล้นฟ้า หรือเป็นคนที่ไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียว  แต่ว่าเมื่อเขามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ ทุกคนอยู่ในสถานะเดียวกัน คือเป็นลูกของพระเจ้า เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ เรามีสถานะเดียวกัน

            ฉะนั้น อย่าให้ใครรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ  เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้า เราอยู่ในสถานะที่ตามความเห็น  หรือตามสายตาของมนุษย์ว่าเราด้อยกว่า อาจจะการศึกษาด้อยกว่า การงานด้อยกว่า ทรัพย์สมบัติก็มีน้อยกว่า ให้เราภาคภูมิใจในความรักที่พระเจ้าให้กับเรา ก็คือพระเจ้าให้เรามีสถานะเป็นลูกของพระองค์ เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์ นี่คือสถานะเดียวกันของพวกเราทุกๆ คน ในโลกวิญญาณ มันเป็นอย่างนั้น

            ฉะนั้น พอเข้ามาถึงคริสตจักรของพระองค์ จะไม่มีการแบ่งชั้นวรรณะใดๆ คือทุกคนเท่าเทียมกันหมด เป็นพี่น้องในพระคริสต์ร่วมกัน ให้เรามีความรู้สึกผูกพันแบบนี้ว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน เราหนึ่งในสมาชิกครอบครัวของพระเจ้า ซึ่งอยู่ในบ้านที่มีชื่อว่าอภิสุทธิสถานนี้ บ้านของพระเจ้า ก็คือมีทุกที่ ทุกหน ทุกแห่ง โบสถ์ในประเทศไทยก็มีเยอะมาก คือภายใต้ชื่ออะไรก็แล้วแต่คนจะตั้งขึ้นมา เพื่อให้รู้ว่าโบสถ์เราชื่ออย่างนี้ เหมือนกับของเรา โบสถ์เราชื่ออย่างนี้นะ เหมือนบ้านเราอยู่ตำแหน่งนี้ อยู่ตรงนี้ เกิดเราอยากจะไปเชิญชวนเพื่อนฝูงมาเที่ยวบ้านเรา เราก็สามารถชวนมาได้ ระบุได้ว่าบ้านเราเป็นหน้าตาแบบนี้ ชื่อแบบนี้

            แต่ว่าความเป็นจริงในโลกวิญญาณ พระเจ้าไม่มีแบ่งว่าโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์, ใจสมาน, กรุงเทพ หรืออะไรแล้วแต่ ไม่มี คือทุกคริสตจักรเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยที่มีพระเยซูคริสต์ทรงเป็นศีรษะของทุกคริสตจักร ฉะนั้น คริสตจักรทุกคริสตจักรมีหน้าที่ อย่าเรียกว่าหน้าที่เลย คือพระเจ้าจะเรียกให้แต่ละคริสตจักรที่พระองค์จะใช้สอยแตกต่างกัน แต่ว่าอยู่ภายใต้การนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์องค์เดียวกัน อยู่ภายใต้การควบคุมของพระเยซูคริสต์เท่าเทียมกัน ไม่มีอะไรที่แปลกใหม่กว่านั้น ฉะนั้น เมื่อเราทั้งหลายเป็นของพระคริสต์แล้ว เราก็เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม เราคุยกันคราวที่แล้ว พงศ์พันธุ์ของอับราฮัม พระเจ้าถือว่าอับราฮัมเป็นบิดาแห่งความเชื่อ เพราะว่าเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริง พระเจ้าเลยถือว่าเขาเป็นผู้ชอบธรรม

            ฉะนั้น พวกเราที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เราก็จะเป็นลูกหลานของอับราฮัมผ่านทางความเชื่อ ไม่ได้โดยการประพฤติใดๆ ของเรา  คือไม่มีความดีงามอะไรที่เราจะไปอวดใครได้เลยว่าเราเก่งกว่าคนอื่น หรือเราทำดีได้มากกว่าคนอื่น เราประพฤติปฏิบัติตามกฎบัญญัติได้เยอะกว่าคนอื่น ไม่มี มันเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าทุกคนสามารถผ่านเข้ามาในประตูสวรรค์ตรงนี้ โดยผ่านทางความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขนเท่านั้นอย่างเดียว … พอมาถึงบทที่ 4 ข้อที่ 1 กล่าวว่า …

        กาลาเทีย 4:1-5 “1 “สิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังกล่าวอยู่นี้ ก็คือตราบใดที่ทายาทยังเด็กอยู่ก็ไม่ต่างอะไรกับทาส แม้เขาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สินทั้งหมด 2 เขาก็ยังอยู่ในบังคับของผู้ปกครอง    และผู้ดูแลทรัพย์สิน จนกว่าจะถึงเวลาที่บิดากำหนด 3 เช่นกันเมื่อเรายังเด็ก    เราเป็นทาสอยู่ใต้บังคับของหลักการพื้นฐานทั้งหลายของโลก 4 แต่เมื่อถึงกำหนด พระเจ้าได้ทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาประสูติจากครรภ์ของผู้หญิง ถือกำเนิดภายใต้บทบัญญัติ 5 เพื่อไถ่คนทั้งปวง ซึ่งอยู่ใต้บทบัญญัติ  เพื่อเราจะได้รับสิทธิของบุตรอย่างสมบูรณ์”

            ในกาลาเทีย บทที่ 4 ตรงนี้ อาจารย์เปาโลกำลังพูดกับผู้เชื่อชาวกาลาเทีย เขาเชื่อแล้วนะ พูดให้เขาฟังว่าก่อนที่เขาจะเชื่อ  เหมือนกับพวกเราทั้งหลายที่สมัยก่อน ก่อนที่เราจะเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เราก็ยังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ อยู่ภายใต้กฎระเบียบต่างๆ ที่มนุษย์หรือโลกนี้เขาตั้งขึ้นมา ถ้าเป็นชาวยิวก็อยู่ภายใต้บทบัญญัติของโมเสส ถ้าเป็นคนต่างชาติ อย่างพวกเรา ถือว่าเป็นคนต่างชาติ ก็อยู่ภายใต้กฎของศีลธรรม กฎของจริยธรรมต่างๆ ก็คือในจิตใต้สำนึกของพวกเราทุกๆ คน มีกฎพวกนี้อยู่ ไม่ต้องมีคนสอน พอเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องปุ๊บ ข้างในวิญญาณจะฟ้องเราเองว่าอันนี้ไม่ใช่ มันไม่ถูกต้อง แต่ว่าหลายครั้ง เราก็ไม่สามารถที่จะฝืนกำลังของโลกใบนี้ เราก็ยังคงทำเรื่องเหล่านี้ต่อไป แต่ว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าก็ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากกฎเหล่านี้ ให้เราสามารถที่จะหลุดพ้น หรือสามารถมีชัยชนะเหนือกฎเหล่านี้ได้

            ฉะนั้น กฎของความบาปและความตาย ตรงนี้ มันคือกฎที่มนุษย์พยายามที่จะพึ่งพาตนเอง เพื่อทำความดี พึ่งพาตัวเองที่จะพยายามรักษากฎบัญญัติให้ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่พระเจ้าบอกว่ากฎบัญญัติเหล่านี้ ไม่มีมนุษย์คนไหน สามารถรักษาให้ครบถ้วนสมบูรณ์ได้ ฉะนั้น ถ้าใครก็ตามที่ยังพยายามพึ่งพาความดีงามของตัวเอง ก็หล่นจากมาตรฐานของพระเจ้า ซึ่งมันไม่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า  ฉะนั้น ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะเสด็จมาทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ ก็คือมนุษย์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นยิว หรือเป็นคนต่างชาติ  ก็ยังอยู่ภายใต้กฎเหล่านี้ ก็คือมรดกพระเจ้าเตรียมไว้แล้ว  แต่ว่าการที่คนจะรับมรดก ก็คือผู้ที่ทำสัญญา ทำพินัยกรรม ต้องเสียชีวิตก่อน พินัยกรรมถึงจะถูกเปิด เพื่อที่ทายาทจะได้รับมรดก

            ฉะนั้น ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ แม้ว่าเราได้ชื่อว่าเป็นทายาทของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ผู้ที่สามารถที่จะรับทรัพย์สินต่างๆ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้เรา แต่ว่ายังไม่ถึงกำหนด พวกเราทั้งหลาย ไม่ว่ายิว หรือคนต่างชาติ ก็ยังคงเป็นทาสของกฎบัญญัติต่างๆ อยู่ นี่อาจารย์เปาโลกำลังย้อนให้กับคนกาลาเทียได้รับรู้ความจริงว่าเขายังอยู่ภายใต้บังคับของผู้ปกครอง ก็คือพ่อให้มรดก ลูกยังเล็ก ก็ต้องมีคนมาดูแลมรดกก่อน ลูกเล็กๆ ก็ยังทำอะไรไม่ได้

            นั่นเป็นภาพเดียวกันในเรื่องของโลกวิญญาณ ที่พระเจ้าบอกว่าก่อนหน้าพระเยซูคริสต์จะทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ มนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้บังคับของกฎของความบาปและความตาย  ฉะนั้น ในอดีต คนต่างชาติมีกฎที่อยู่ข้างในวิญญาณทุกคน แล้วคนยิวมีตัวอักษรที่โมเสสเขาเขียนขึ้นมา จากเดิมอันแรกที่พระเจ้าให้ศิลา 2 ก้อนกับโมเสส ก็คือบัญญัติ 10 ประการ นั่นในพระคัมภีร์เขาเขียนว่าพระเจ้าเป็นคนเขียนด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระองค์เอง แล้วศิลา 2 ก้อนแรกที่โมเสสเอาลงมาจากภูเขา พี่น้องจำประวัติศาสตร์ได้ใช่ไหม? เอาลงมาจากภูเขา ถ้าเราเคยดูหนัง บัญญัติ 10 ประการ โมเสสก็จะอุ้มศิลา 2 ก้อนแบบใหญ่ๆ เดินลงมาจากภูเขา พอเดินลงมา เห็นคนอิสราเอล จากไปอดอาหารอธิษฐาน 40 วัน คนอิสราเอลให้อาโรนทำรูปเคารพขึ้นมา คือเอาทองมาปั้นเป็นรูปวัวทองคำ แล้วก็เต้นรำร้องเพลงแบบยกย่อง สรรเสริญว่าวัวทองคำนั้น คือพระเจ้า พี่น้องนึกภาพความโกรธของโมเสส กำลังเอาบัญญัติ 10 ประการลงมาให้กับชนชาติอิสรเอล มาถึงทนไม่ไหว โมเสสทำอย่างไร? เอาศิลา 2 ก้อน ซึ่งเป็นนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า ขว้างลงไปแตกกระจายเลย ถ้าเป็นความคิดของมนุษย์ โมเสสต้องโดนพระเจ้าทำโทษแน่ๆ กล้าดีอย่างไรเอาศิลาที่พระเจ้าเป็นผู้เขียนเอง มาทุ่มทิ้งขนาดนี้ แต่ความโกรธของโมเสสตรงนั้น พระเจ้าถือว่าชอบธรรม ทำไมถึงชอบธรรม เพราะว่าโกรธแทนพระเจ้าว่าคนอิสราเอลทำไมถึงนิสัยแบบนี้ แค่ 40 วันเอง ก็เปลี่ยนใจไปร้องรำทำเพลง ถวายเครื่องบูชากับวัวทองคำแล้ว

            เมื่อพระเจ้าจะทำลายชนชาติอิสราเอล เพราะว่ากบฏกับพระเจ้า โมเสสขึ้นไปใหม่ ไปอธิษฐานอดอาหารอีก 40 วัน 40 คืน แล้วก็ได้ศิลาแผ่นที่ 2 ลงมา  แล้วจากนั้น เราจะเห็นประวัติศาสตร์พูดถึงเรื่องราวของชนชาติอิสราเอล มันจะเป็นคล้ายๆ กับมนุษยชาติที่อยู่ในความบาป มนุษย์ทุกคนอยู่ในบาป เป็นคนบาป จึงทำบาป นี่เป็นความจริง เป็นคนบาป จึงทำบาป ฉะนั้น ไม่ยกเว้นชนชาติอิสราเอล

            ชนชาติอิสราเอลในยุคก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดเป็นมนุษย์  เขาก็ยังเป็นคนบาป แต่เป็นคนบาปพิเศษที่พระเจ้าเลือกสรรไว้ แยกตัวออกมา เป็นประชากรของพระองค์ แต่พื้นฐานจริงๆ ก็คือในวิญญาณเขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่ แค่มีสิทธิพิเศษที่พระเจ้าให้ทำพิธีกรรมต่างๆ ที่ถวายเครื่องบูชาปีต่อปี วันต่อวันที่ทำผิด ก็เอาเครื่องบูชามาถวายให้กับพระเจ้า  ก็ลบล้างความผิดไปเรื่อยๆ จนกว่าวันหนึ่งข้างหน้าพระองค์จะส่งพระบุตรของพระองค์ลงมา เรียกว่าพระมาซีฮาห์ พระผู้ช่วยให้รอด เพื่อว่าเมื่อพระบุตรลงมาแล้ว พระองค์จะทำให้สำเร็จ คือจากนั้นต่อไป พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  เป็นขึ้นมาจากความตาย มนุษยชาติทั้งหมด ไม่ต้องถวายเครื่องบูชาอีกต่อไป  เพราะว่าพระเยซูคริสต์ได้ถวายเครื่องบูชาให้กับพระเจ้าครั้งเดียวพอ

            มนุษย์ถวายเครื่องบูชาด้วยสัตว์ที่ไม่มีมลทิน แต่พระเยซูคริสต์ถวายเครื่องบูชา โดยเอาตัวพระองค์เองมาถวายให้กับพระเจ้า ชีวิตของพระองค์ เลือดของพระองค์เองมาถวายให้กับพระเจ้า ฉะนั้น ในพระคัมภีร์เขียนว่าพระเยซูคริสต์ถวายครั้งเดียว ขบวนการทั้งหมดจบสิ้น การไถ่ถาวรก็จบสิ้นด้วย ฉะนั้น จากวันนั้นถึงวันนี้ 2,000 ปี มนุษย์คนใดก็ได้ ไม่ว่าเชื้อชาติใด สัญชาติใด อยู่ในประเทศใดก็ตาม อยู่ในหลืบตรงไหนก็ได้ เมื่อเขาได้ยินได้ฟังข่าวดีของพระเยซูคริสต์ แล้วเขาเปิดใจต้อนรับพระองค์ให้เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เขาจะได้สิทธิตรงนี้เลย ได้เป็นทายาทของพระเจ้า ได้เป็นลูกของพระเจ้าอย่างชอบธรรม แล้วได้รับการเปลี่ยนวิญญาณใหม่ ได้รับการเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจใหม่ ได้นั่งอยู่ที่สวรรคสถานร่วมกับพระเยซูคริสต์

            ขบวนการเหล่านี้มันเสร็จสมบูรณ์ ถ้าเราเป็นมนุษย์ เราต้องเรียงลำดับใช่ไหม?  แต่ในโลกวิญญาณ มันเป็นก้อนหนึ่งที่ทันทีที่ใครก็ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ ขบวนการการบังเกิดใหม่ มันจะเกิดขึ้นทันที เรียงลำดับ เราก็เรียงไม่ค่อยถูก แต่พระเจ้าจะกระทำให้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทันทีทันใด เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เราก็จะได้รับอิสรภาพ  ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎบัญญัติอีกต่อไป  แล้วได้เป็นบุตรของพระเจ้าอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ตามขบวนการ นี่คือพระพร นี่คือข่าวดีที่พระเจ้าได้ประกาศ ตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์มาประกาศข่าวดีด้วยตัวพระองค์เอง ในสมัย 2,000 กว่าปีที่แล้ว ประกาศกับคนยิวว่าแผ่นดินสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว  พระองค์กำลังจะทำให้สำเร็จ แล้วมาจนถึงพระองค์ทำสำเร็จ จากนั้น พระองค์ก็เข้ามาอยู่ในใจมนุษย์ทุกคนที่เชื่อวางใจในพระเจ้า เริ่มต้นจากยุคแรกเลย ก็คือกลุ่มสาวก แล้วการประกาศข่าวดีของพระเจ้า ถูกประกาศออกไปเรื่อยๆ ใครก็ตามที่เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค ก็จะเข้ามาอยู่ในคนๆ นั้น

            พวกเราทุกคน ณ ปัจจุบัน ที่นั่งอยู่ตรงนี้ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในท่าน  ท่านจงมั่นใจเถิดว่าพระเจ้าอยู่ในท่าน และพระเจ้าจะไม่ทิ้งท่านไปไหน ไม่ว่าท่านจะทำอะไรอยู่ ไม่ว่าท่านจะคิดอย่างไร? พระเจ้าก็ยังคงอยู่ในตัวท่าน ที่ไม่หนีหายไปไหน แล้วพระองค์ก็จะทรงนำพา จูงมือท่าน เดิน ให้สติปัญญา ให้กำลังให้กับท่าน ในแต่ละวันที่เราจะดำเนินชีวิต ไม่ว่าเราจะทำอะไร? พูดอะไร? คิดอะไร? พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงอยู่ในเราตลอดเวลา ฉะนั้น ความเชื่อตรงนี้ มันได้เกิดผลสำเร็จตั้งแต่วันแรก ที่เราเปิดใจยอมรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดเรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณมันเกิดขึ้นแล้ว

            พอหลังจากนั้น การดำเนินชีวิตของผู้เชื่อ เราอาจจะดำเนินชีวิตแบบไม่เชื่อฟังพระเจ้าก็ได้ อันนี้ พี่น้องต้องรับรู้ความจริงตรงนี้ หลายคนอาจจะมอง เชื่อพระเจ้าแล้วทำไมนิสัยยังแบบนี้อยู่ล่ะ ทำไมเชื่อพระเจ้าแล้วยังทำอย่างนี้อยู่ล่ะ เราก็จะตั้งคำถาม ซึ่งคำถามนี้ถูกตั้งมาทุกยุคทุกสมัย จนถึงพวกเรา ทุกวันนี้ บางทีเราชำเลืองมองคริสเตียนคนอื่นที่ทำตัวไม่ดี หรือนิสัยไม่ดี มีไหม คริสเตียนนิสัยไม่ดี มีบางทีดิฉันแอบนิสัยไม่ดี พวกท่านไม่เห็นหรอก เราแอบนิสัยไม่ดี คนอื่นไม่รู้ แต่เรารู้เองว่าเราแอบนิสัยไม่ดีอยู่ อะไรอย่างนี้ แต่ไม่ว่าเราแอบนิสัยไม่ดี หรือนิสัยไม่ดีแบบโจ่งแจ้ง  ให้คนอื่นๆ เห็น ขัดหูขัดตา ขัดใจ อะไรอย่างนี้ แต่พระเจ้าไม่ถือสานะ  เพราะว่าร่างกายเรายังอยู่ภายใต้กฎของความบาปและความตายอยู่ เรามีโอกาสที่จะเผลอไปประพฤติ ปฏิบัติไม่ตรงตามความเป็นจริง ที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ที่พระเจ้าบอกว่าเธอเป็นแบบนี้แล้วนะ

            อยากรู้ไหมว่าตอนนี้เราเป็นแบบไหน?  ณ เวลานี้ พี่น้องทุกคน …

            –  เป็นคนดี ดีมากๆ ด้วย ดีแบบไม่มีที่ติเลย พระเจ้าบอกไว้อย่างนั้น ในพระคัมภีร์ ในโลกวิญญาณ เราเป็นแล้ว

            –  พี่น้องเป็นลูกของพระเจ้า ครบถ้วนสมบูรณ์แบบ สมบูรณ์เลย ไม่ว่าเราจะประพฤติแบบไหนที่ดูเหมือนไม่สมบูรณ์ แล้วมารหรือระบบโลกนี้ มันพยายามส่งข้อมูล มาหลอกเราว่า …

            “เห็นไหม? เธอจะสมบูรณ์ได้อย่างไร? ยังนิสัยแบบนี้อยู่เลย”

            เราก็บอก … “นิสัยอย่างไร ฉันไม่รู้ แต่พระเจ้าบอกว่าฉันสมบูรณ์ แล้วพระเจ้าบอกว่าฉันดีเลิศด้วย ฉันสุดยอดแล้ว”

            นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา ในโลกวิญญาณ เราเป็นอย่างนั้น อย่าให้ใครหลอกนะ

            –  พระเจ้าบอกว่า ณ เวลานี้ เรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์แล้ว เราไม่ต้องกลัวว่าหลังความตาย เราจะถูกระเห็ดไปอยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ ไม่ต้องกลัว เพราะว่าพระเยซูอยู่ที่ไหน? เราอยู่ที่นั่นด้วย  และ ณ เวลานี้ พระเยซูคริสต์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า  เราก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย ในโลกวิญญาณ เราไม่สามารถสัมผัสจับต้องได้ ไม่เห็นด้วย แต่พระคำของพระเจ้าบอกเราอย่างนั้น แล้วเราก็ต้องบอกว่าเอเมน  คำว่า “เอเมน” คือยอมรับไง ถ้าเราไม่เอเมน แปลว่าเราไม่ยอมรับ เราไม่เชื่อว่าตอนนี้ เรานั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ แต่ไม่ว่าพี่น้องจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ความจริงมันเป็นอย่างนั้น ในโลกวิญญาณ ท่านนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ต่อให้นั่งอยู่เฉยๆ  แล้ววิญญาณท่านออกจากร่างปุ๊บ ท่านก็ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้านั่นแหละ  ก็คืออยู่ที่เดิม  แค่เปลี่ยนมิติเท่านั้นเอง เปลี่ยนมิติ คือไม่ต้องใช้ความเชื่ออีกแล้ว ได้ไปเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า นี่คือความจริงในโลกวิญญาณ ซึ่งในขณะที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องเกาะความจริงตรงนี้เอาไว้ เพราะว่าโลกนี้ ศัตรูของพระเจ้า คือมาร มันพยายามที่จะหลอกล่อ ผู้เชื่อทั้งหลายไม่เชื่อในสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา  และสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา มันคือความจริงทั้งหมด แต่พอเราไม่เชื่อ คำว่าไม่เชื่อ ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้เราหลุดจากการเป็นลูกของพระเจ้า  ไม่ใช่ เราก็ยังคงเป็นลูกของพระเจ้าอยู่เหมือนเดิม  แต่ว่าเราก็อยู่อย่างทุกข์ยากลำบาก

            แทนที่เราจะมีความสุข จริงๆ ทุกวันนี้ ผู้เชื่อทั้งหลาย เป็นชีวิตที่มีความสุขมากๆ  เราชื่นชมกับผลสำเร็จที่พระเยซูคริสต์ได้ให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว มีความสุขทุกวัน ความสุขตรงนี้มันเกิดจากข้างในวิญญาณ  ไม่ได้เกิดจากสภาวะรอบข้าง สภาวะรอบข้างของเราอาจจะไม่สุขก็ได้ เราต้องดิ้นรน ต้องต่อสู้ ต้องทำงาน ต้องเดินทาง บางวันก็ถูกเจ้านายด่า บางวันก็ถูกเพื่อนร่วมงานเขม่น อันนั้น ไม่เกี่ยวกัน อันนั้นอยู่บนโลกใบนี้  ท่านเจอแน่ๆ อย่างที่พระเยซูบอก  ท่านทั้งหลายจะประสบกับความทุกข์ยาก แต่ให้ชื่นใจ เพราะเราชนะโลกแล้ว พระเยซูคริสต์ทำให้เราชนะขาดลอย

            ฉะนั้น สิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันเป็นความทุกข์ยากเล็กๆ น้อยๆ อย่างที่อาจารย์เปาโลบอก ถ้าเทียบกับศักดิ์ศรีที่พระเจ้าให้กับเรา มันเทียบไม่ติดเลย มันเหมือนกับขี้เล็บ พี่น้องเคยมีขี้เล็บ แล้วแคะออกไหม? นิดเดียว เทียบไม่ได้เลย ก็คือความทุกข์ยากที่เราเผชิญอยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ อันนี้อาจจะเป็นความทุกข์ยากเรื่องของการงาน เรื่องของเศรษฐกิจ เรื่องของสุขภาพร่างกาย บางคนทุกข์ยาก เพราะตอนนี้เป็นมะเร็งอยู่ ตอนนี้ต้องไปผ่าตัด ตอนนี้ต้องไปพักฟื้น ตอนนี้ลูกเต้าไม่เชื่อฟัง อะไรต่อมิอะไร? คือความทุกข์ยากในโลกใบนี้ ที่เราเผชิญอยู่ แต่พระคัมภีร์บอกว่าเทียบกับศักดิ์ศรีที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ในสวรรคสถาน มันเทียบไม่ติด อันนั้นแป๊บเดียวเอง เหมือนกับหายใจเข้าหายใจออก มันก็จบแล้ว โลกนี้เราอยู่ไม่นาน พระคัมภีร์บอกอย่างนั้น โลกนี้เป็นที่อยู่ชั่วคราวเท่านั้น สำหรับมนุษยชาติ เมื่อโลกนี้ผ่านไป ก็คือวาระของเราจบ เราก็ไม่รู้ว่าแต่ละคนวาระจบแค่ไหน? ตรงไหน? อย่างไร? ถ้าดิฉันเลือกได้ ดิฉันก็อยากจะจบๆ ตอนนี้ เพราะว่าจบปุ๊บ เราก็ไปอยู่กับพระเจ้า มีความสุข เหมือนกับความหวังใจของผู้เชื่อ เราก็มองไปที่พระเจ้า อยู่ก็อยู่ให้สำแดงตัวตนแท้ๆ ของเราว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ สำแดงให้คนอื่นเห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา  ถ้าตาย กำไรทันที

            กำไรแรกเลย ไม่ต้องดิ้นรนต่อสู้บนโลกใบนี้อีกแล้ว ไม่ต้องมาวันนี้ปวดหลัง วันนี้ปวดหัว  วันนี้ต้องไปหาหมอ อะไรก็แล้วแต่มันมีทุกวันนั่นแหละ ความทุกข์รายวัน  พี่น้องเคยได้ยินคำนี้ไหม? ความทุกข์รายวันของแต่ละคนมันมีหมด  อยู่ตรงที่ว่ามีมาก มีน้อย  แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้า ที่พระเจ้าให้ขนาดแต่ละคนตามความเหมาะสม ใครทนได้เยอะ ก็เอาไปเยอะหน่อย ใครทนได้น้อย ก็เอาไปน้อยหน่อย ดิฉันเชื่ออย่างนั้นนะ

            เราก็ขอบคุณพระเจ้า ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ตาม  สิ่งที่เป็นความจริง คือพระเจ้าสถิตอยู่ในเรา แล้วพระองค์จะทรงพาเราผ่านไป  โดยพระคุณของพระเจ้า  ผ่านไปด้วยวิธีไหนเราไม่รู้ สมมติว่าเราเจ็บป่วยอยู่ ก็อธิษฐานขอ มีใครเจ็บป่วยแล้วขอให้พระเจ้าช่วยให้มันไม่หายๆ มีไหม? ไม่มี เจ็บป่วย ก็ …

            “พระองค์เจ้าข้า มันทุกข์ทรมานมาก มันเจ็บโน่นเจ็บนี่ ขอพระเจ้าอวยพรรักษาลูกให้หายโรค ให้ลูกแข็งแรง”

            นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนแม้แต่เราเป็นผู้เชื่อ เราก็ยังคงอธิษฐานแบบนี้  มันไม่ผิดไม่บาป ไม่อะไร? คือธรรมชาตินั่นแหละ  พระเจ้าสามารถที่จะรักษาเราให้หายป่วยได้ไหม? ได้ พระเจ้าอาจจะพาเราไปเจอหมอดีๆ ที่สามารถดูแลรักษาเราได้  หรือพระเจ้าอาจจะทำให้ใจเราสงบ แต่ยังเจ็บป่วยต่อไปนั่นแหละ  แต่เรารู้สึกโอเค รับได้ อะไรอย่างนี้ คือสถานการณ์ทุกอย่าง พระเจ้าสามารถทำได้ อยู่ตรงที่ว่าเราจะทำใจได้ไหม? เราจะยอมรับมันได้มัน ถ้าเรายอมรับมันได้ เราก็อยู่กับมันได้ อยู่อย่างมีความสุข มีความชื่นชมยินดี ลุกขึ้นมา “โอ๊ย” ก็ไม่เป็นไร บางวันดิฉันลุกเร็วขึ้นไปหน่อย ซ่าส์ ลืมตัวว่าแก่แล้ว ลุกปุ๊บ หัวเกือบทิ่ม  บางทีลุกจากเตียงปุ๊บ ไม่นั่งรอ ลุกขึ้นมายืนเกือบเซ  เราลืมตัวว่าเราแก่แล้ว  เราต้องค่อยๆ อันนี้เราต้องปรับปรุงตัวเองทุกคนนะ อย่าซ่าส์ เพราะว่าอายุเยอะแล้ว ตกแล้วไม่คุ้ม กระดูกหัก แล้วเยียวยาไม่ได้  มันก็คือความทุกข์ยากเล็กๆ น้อยๆ ประจำวัน

            ฉะนั้น ความทุกข์เหล่านี้ มันแป๊บเดียวเอง ชั่วคราวเอง เดี๋ยวเราก็จากไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ใช้ชีวิตที่มีอยู่บนโลกใบนี้ ให้มีความสุข รับพระพรจากพระเจ้าแล้ว ให้พระพรนั้นส่งออกไปให้กับผู้คนรอบข้าง ที่เขาเห็นชีวิตของเรา เขามีความสุขด้วยกับเรา  คือ …

            “ขอบคุณพระเจ้านะ คริสเตียนสุดยอดเลย ทำไมเขาสามารถมีความสุขแบบนี้ได้”

            เราก็สามารถตอบเขาได้ … “ที่ฉันสามารถมีความสุข เพราะฉันมีพระเจ้าไง พระเจ้าอยู่ในฉัน อย่าคิดว่าฉันสบายนะ อย่าคิดว่าฉันไม่มีปัญหานะ  ปัญหา 108-1009 แต่ฉันมีพระเจ้า ฉันจึงสามารถมีความสุขแบบนี้ได้”

            นั่นคือเราสามารถเป็นพยานกับคนอื่นได้ เราก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพระพรในหนังสือนี้ ที่อาจารย์เปาโลพยายามบอกให้เราฟังถึงสิ่งที่พระเจ้าได้เตรียมการไว้หลายพันปี  แล้วก็สำเร็จเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว  และจนทุกวันนี้ ก็ยังสำเร็จในชีวิตของพวกเรา พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคสถิตอยู่ในเรา อยู่กับเรา และพาเราเดินทุกวี่ทุกวัน ไม่ว่าเราจะรู้สึกหรือไม่รู้สึก ให้เรารับรู้ความจริงว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา เหมือนในหนังสือโคโลสีบอกว่าความล้ำลึกที่พระเจ้าเตรียมไว้ คือพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา เป็นความหวังแห่งพระสิริของผู้เชื่อทุกๆ คน แค่นี้เอง ถ้าพี่น้องเจอทุกข์ยากลำบากอะไร? …

            “ไม่รู้ล่ะ ฉันนึกอยู่อย่างเดียว พระเยซูคริสต์อยู่ในฉัน พระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในฉัน พระองค์จะพาฉันผ่านไปได้ ถ้าผ่านโลกนี้ไปไม่ได้ ก็ผ่านไปโน้น ไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์”

            นั่นคือความหวังใจของผู้เชื่อทุกๆ คน

            ก็อยากขอบคุณพระเจ้าสำหรับตลอดปีที่ผ่านมา ที่พี่น้องอยู่ด้วยกันกับเรา จะบอกว่าอยู่ด้วยตั้งแต่ต้นปีถึงตอนนี้ ก็ไม่ได้ เพราะบางท่านอยู่กับเราหลายสิบปีแล้ว 30, 40 ปี เราก็ยังผูกพันกันอยู่ อาจจะอยู่ห่างไกลกันบ้าง ก็คิดถึงกัน เดี๋ยวนี้ก็ขอบคุณพระเจ้า คิดถึงกันก็ไลน์ ส่งข้อพระคัมภีร์บ้าง อะไรบ้าง คุยกันบ้าง อะไรอย่างนี้ มันก็เป็นการสื่อสาร ที่เรารับรู้ว่าเรายังมีกันและกันอยู่นะ เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว บนโลกใบนี้ ฉะนั้น เราก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับพี่น้องทุกท่าน  ที่ถูลู่ถูกกังกับเราจนถึงทุกวันนี้ คริสตจักรอาจจะไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าสร้างเราทุกคนสมบูรณ์แบบมากที่สุด ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องเลย ในสายพระเนตรของพระเจ้า

            เราก็ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ้นปีนี้ อีก 2 วันก็สิ้นปีแล้ว ถ้าพี่น้องท่านใดวางแผนที่จะออกไปท่องเที่ยวต่างจังหวัด หรือไปเยี่ยมญาติ อะไรก็แล้วแต่ ขอพระเจ้าทรงอำนวยพระพรให้พี่น้องทุกท่านเดินทางอย่างปลอดภัย  แล้วก็กลับมาด้วยสวัสดิภาพ

            ขอพระเจ้าอวยพรในปีหน้า เราเจอกันอีกทีปีหน้าแล้วนะ  เริ่มต้นศักราชใหม่  ปีใหม่ ก็คือปี 2025 เราก็จะมาเจอกันอีกครั้งหนึ่งในอาทิตย์แรกของต้นปี  ก็อยากจะเห็นพี่น้องทุกคน ถ้าไม่ได้ไปต่างจังหวัด ก็มานมัสการด้วยกัน เป็นกำลังใจให้กันและกัน

            ขอบคุณพระเจ้าสำหรับสิ่งสารพัดที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับพวกเราทุกๆ คน ขอบคุณที่ผูกพันเรา ให้เรามาอยู่ด้วยกันในสถานที่แห่งนี้ ขอบคุณสำหรับการจัดเตรียมทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ อุปกรณ์ทุกสิ่งอย่างที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเรา ก็คือค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ มาทีละอย่างสองอย่าง พี่น้องไม่ต้องคาดหวังว่าทุกอย่างจะครบถ้วนสมบูรณ์  แต่มันจะค่อยๆ ดีขึ้นๆ  อดทนกันนิดหนึ่ง วันนี้เครื่องเสียงก็มีรวนนิดหนึ่ง ก็ไม่เป็นไร เราก็ผ่านไปได้  พอจิตใจเราแฮปปี้ มีความสุขกับสิ่งสารพัดที่พระเจ้าจัดเตรียมให้กับเรา  เราก็สามารถมีความสุขได้ เราจะสามารถมองข้ามสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ฝอยๆ ผ่านไปได้ เมื่อเรามองข้ามได้ปุ๊บ ข้างในวิญญาณเราจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุด เอเมน ขอบคุณพระเจ้า พระเจ้าอวยพรค่ะ

********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 8

                        คริสเตียน!

            ก่อนเชื่อ … อยู่ในกฎแห่งบาปและความตาย (คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง)

            หลังเชื่อ … อยู่ในกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต (คือกฎแห่งการพึ่งพาในการกระทำดีของ

                             พระเยซูคริสต์)

            โรม 8:1-2 … “1 เหตุฉะนั้น  บัดนี้  จึงไม่มีการพิพากษาลงโทษให้พินาศ แก่บรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ (เปิดใจรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป) 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่าน  ให้เป็นอิสระจากกฎแห่งบาปและความตาย (คือกฎแห่งการพึ่งพาการกระทำดีของตนเอง)”

            ในโลกวัตถุที่มองเห็น มนุษย์ทุกคนอยู่ภายใต้กฎแห่งแรงดึงดูดของโลก จนกระทั่งค้นพบกฎแห่งการยกขึ้นของเครื่องบิน จึงสามารถมีชัยชนะอยู่เหนือกฎแรงดึงดูดของโลกได้

            เช่นเดียวกัน ในโลกวิญญาณ ทุกคนอยู่ภายใต้กฎแห่งการกระทำดีละชั่ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ซึ่งไม่มีใครสามารถทำดีได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ตามมาตรฐานของพระเจ้า คือบริสุทธิ์ ดีพร้อมเหมือนพระองค์ จึงจะเข้าอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ได้

            จนกระทั่ง 2000 ปีที่แล้ว พระเยซูมาสถาปนากฎใหม่ ที่มีชื่อว่า “กฎวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์” ซึ่งมีอำนาจอยู่เหนือกฎแห่งความบาปและความตาย คือกฎในการพึ่งพาการกระทำดี ละชั่วของตนเอง เรียกว่า “กฎแห่งพระคุณ”

            ตั้งแต่นั้นมา มนุษย์ทุกคนสามารถที่จะเลือกการดำเนินชีวิต อยู่ในกฎใดกฎหนึ่งนี้ได้แล้ว แต่จะตัดสินใจด้วยตนเอง คือจะพึ่งพาการกระทำของตนเอง เพื่อจะได้ครบถ้วนบริบูรณ์ บริสุทธิ์ ดีพร้อม ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ หรือถ้าไม่แน่ใจ หันกลับมาหาพระเจ้า โดยพึ่งพาการกระทำของพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงประทาน ให้มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมวลมนุษยชาติ

            พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จเรียบร้อยแล้ว คือสถาปนากฎแห่งวิญญาณ กฎแห่งพระคุณนี้ โดยการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นจากความตายในวันที่สาม เปิดประตูเข้าสู่สวรรค์ให้กับมนุษย์ทุกคน นี่คือข่าวดีสำหรับมวลมนุษย์ทุกคน โปรดเลือกพึ่งในการกระทำของพระเยซูคริสต์เถิด! พระเจ้าอวยพรครับ

วารสาร Holy  News   ฉบับที่ 1502

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  22  ธันวาคม  2024

เรื่อง “Christmas Night”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            สุขสันต์วันคริสต์มาสครับ วันคริสต์มาสระลึกถึงอะไร? วันแห่งการให้ของขวัญ เป็นต้นแบบของการให้ของขวัญ ของขวัญที่พระเจ้าให้กับมนุษย์คืออะไร? ใครรู้บ้าง? ของขวัญที่พระเจ้าให้กับมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์

            พระเยซูคริสต์มีอีกนามหนึ่งว่า “อิมมานูเอล”  แปลว่า “พระเจ้าสถิตอยู่ด้วย” หมายถึงของขวัญของพระเจ้าที่ประทานให้กับมวลมนุษย์ คือการที่จะทำให้มนุษย์เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่พระเจ้าจะมาสถิตอยู่ด้วยกับเขา การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้เลย มันหมายถึงอย่างนั้น ดังนั้น อิมมานูเอลจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก ที่เราควรจะเรียนรู้ว่าเป็นของขวัญที่มาจากพระเจ้า คือวันคริสต์มาส มาอ่านข้อพระคัมภีร์ข้อนี้กัน ในอิสยาห์ 7:14 นี่คือ 700 ปีก่อนที่พระเยซูจะมาเกิดเป็นมนุษย์ พระเจ้าสัญญากับมนุษย์ไว้ ตั้งหลายพันปีแล้วว่าจะประทานพระบุตร ก็คือประทานพระเยซูคริสต์ให้มาเป็นของขวัญให้กับมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดพ้นจากความบาปและคำสาปแช่ง นี่บันทึกเอาไว้ในพระคัมภีร์เดิม บอกล่วงหน้า ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาเกิดจริงๆ 700 ปี ลองอ่านด้วยกันว่ามันเป็นอย่างไร? …

        อิสยาห์ 7:14 กล่าวว่า “เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานหมายสำคัญแก่ท่านทั้งหลาย ดูเถิด หญิงพรหมจารีจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชาย และจะเรียกนามของท่านว่า “อิมมานูเอล”

            เรียกว่า “อิมมานูเอล” แปลว่า “พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา” “เรา” หมายถึงมนุษย์ทั้งปวง  และพอ 700 ปีผ่านมา พระเยซูก็มาเกิดจริงๆ ตามที่บอกไว้ล่วงหน้าแล้ว อ่านในหนังสือมัทธิว 1:20-23 …

        มัทธิว 1:20-23 “แต่เมื่อโยเซฟยังคิดในเรื่องนี้อยู่ ดูเถิด มีทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันว่า “โยเซฟ บุตรดาวิด อย่ากลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้าเลย เพราะว่าผู้ซึ่งปฏิสนธิในครรภ์ของเธอ เป็นโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ เธอจะประสูติบุตรชาย แล้วเจ้าจะเรียกนามของท่านว่า “เยซู” เพราะว่าท่านจะโปรดช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากความผิดบาปของเขาทั้งหลาย” ทั้งนี้ เกิดขึ้น เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งตรัสไว้โดยศาสดาพยากรณ์ว่า ‘ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์และจะคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า “อิมมานูเอล” ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าทรงอยู่กับเรา”

            “อิมมานูเอล” พระเจ้าอยู่กับเรา  และนี่คือวันคริสต์มาสแรกของโลกเลย พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะได้ให้เห็นว่าพระเจ้ามาสถิตอยู่ในร่างกายของมนุษย์แบบนี้ แบบมีเลือด มีเนื้อ โดนอะไร? เจ็บ ล้มลงไป ก็เจ็บ ถูกมีดบาดก็เจ็บ เลือดก็ไหล แต่พระเจ้าสามารถเข้ามาสถิตอยู่ภายในเนื้อหนัง ร่างกายนี้ได้จริงๆ โดยให้พระเยซูคริสต์เป็นต้นแบบ เป็นแม่พิมพ์ให้กับมนุษย์ทั้งหลายบนโลกใบนี้ มีโอกาสที่จะให้ตัวเองนั้น เป็นที่สถิตของพระเจ้า เป็นที่ให้อิมมานูเอลอยู่ด้วย ก็คือพระเยซูคริสต์มาบังเกิดบนโลกใบนี้ เพื่อช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความบาป ด้วยวิธีนี้ ก็คือให้พระเจ้ามาสถิตอยู่ด้วย

            ก่อนที่พระเจ้าสถิตอยู่ได้ ก็คือต้องทำให้มนุษย์คนนั้น ร่างกายของเขานั้น สะอาดหมดจด เป็นที่รับได้ของพระเจ้า พระเจ้าจึงเข้ามาอยู่ได้ และวิธีการทำให้เขาสะอาดหมดจด แล้วพระเจ้าเข้ามาอยู่ได้  ก็คือวิธีการเอาบาป ที่เขาเกิดมาเป็นคนบาป เอาออกไปจากเขา มันเอาออกไปไม่ได้เลย ไม่มีทางรักษาได้ นอกจากทำให้มันตายไปซะ ตัวเก่า วิญญาณเก่าที่เป็นคนบาป แล้วก็จะได้เกิดใหม่ เป็นสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ เพื่อพระเจ้าจะได้เข้ามาเป็นอิมมานูเอล เข้ามาอยู่ได้ ด้วยวิธีใด? ลองดูยอห์น 3:16 นี่ใครๆ ก็รู้จักดีเลย ยอห์น 3:16 …

        ยอห์น 3:16-18 “16 พระเจ้าทรงรักมนุษย์และโลกยิ่งนัก ถึงกับได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เพื่อทุกคนที่วางใจ (พึ่งพา) ในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศ ตายนิรันดร์ อยู่ในความบาป แต่ได้รับการบังเกิดใหม่ มาเป็นลูกของพระองค์ มีชีวิตนิรันดร์ ที่เป็นของพระองค์เหมือนพระองค์ 17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก ไม่ใช่เพื่อพิพากษาลงโทษมนุษย์และโลก แต่เพื่อช่วยกู้มนุษย์และโลก ให้รอดจากการถูกพิพากษาลงโทษนั้น โดยทางการวางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์ 18 คนที่วางใจพึ่งพาในพระบุตร คือพระเยซูคริสต์จะไม่ถูกพิพากษาลงโทษให้พินาศ ส่วนคนที่ไม่ได้วางใจ ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่ในความพินาศ ในความตายในความบาปเหมือนเดิมอยู่แล้ว เพราะเขาไม่ได้วางใจ พึ่งพาในพระนามพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า”

            สรุปทั้งหมดที่อ่านมา ก็คือวางใจในพระบุตร วางใจในพระเยซูคริสต์ ที่ถูกส่งมา ว่าพระเยซูสามารถทำให้ร่างกายเรา ชีวิตของเรา วิญญาณของเราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ จนกระทั่งพระเจ้ามาสถิตอยู่เป็นอิมมานูเอลได้ แค่นี้เอง อย่าพึ่งพาความดีงาม การกระทำ ความประพฤติ พยายามทำด้วยตัวเอง ตัวเองดี รักษาความดีไว้ สะสมความดีไว้  เพื่อจะบริสุทธิ์ เพื่อจะให้พระเจ้าเข้ามาอยู่ด้วย มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่มีทางเลย ทางเดียวเท่านั้น คือต้องเกิดใหม่ ตัวเก่านั้น วิญญาณที่เป็นบาปนั้น ต้องตายไป เพราะฉะนั้น พระเยซูเลยต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นตัวแทนของเรา ตายแทนเรา พระเยซูตายแทนเรา เราก็มีโอกาสที่จะตายพร้อมพระองค์ได้

            เหมือนกับหัวหน้าประเทศ กษัตริย์ ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี ถ้าเขาประกาศสงครามกับใคร? เราก็เป็นศัตรูกับคนนั้นด้วย ถ้าเขาประกาศชัยชนะ เราอยู่ต่างจังหวัด เราก็ได้รับชัยชนะด้วย เพราะเป็นตัวแทน พระเยซูเหมือนกัน ได้แบกบาป รับบาปเราไป และเอาความตายมาให้กับเรา  คือตายแทนเรา ให้เราร่วมตายกับพระองค์

            เพราะฉะนั้น เมื่อเราวางใจในพระองค์ เราตายกับพระองค์ เชื่อและวางใจในพระองค์ว่าพระองค์เป็นตัวแทน ตัวเก่าเราก็ตายไป และตัวใหม่ของเราสะอาดหมดจด บริสุทธิ์ พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ได้ในตัวเรา เพราะฉะนั้น อิมมานูเอล คริสต์มาส ก็คือวันที่พระเจ้าเข้ามาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้ ใครที่วางใจในพระเจ้า วางใจ เชื่อในพระเยซูคริสต์ เพียงแค่นี้ พระเจ้าก็เข้าไปสถิตอยู่กับท่านแล้วเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ บนโลกใบนี้ ขณะที่ท่านมีลมหายใจอยู่นี่แหละ อยู่ในสวรรค์แล้ว และจะอยู่ในสวรรค์ตลอดไปจนกระทั่งถึงวันหนึ่งตาย วิญญาณออกจากร่าง วิญญาณตัวตนจริงๆ ของท่าน  ก็อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้า อิมมานูเอล คือพระเจ้าสถิตอยู่ด้วยกับท่านตลอดไปชั่วนิรันดร์ เพียงแต่ท่านได้เปลี่ยนร่างกายเป็นร่างกายใหม่ ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เท่านั้นเอง

            นี่คือของขวัญวันคริสต์มาส เพราะฉะนั้น วันคริสต์มาส คือวันของมนุษย์จริงๆ วันที่มนุษย์ร่าเริงยินดี เพราะว่าเป็นอิสระแล้ว จากนรก เพียงแต่จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ถ้าเชื่อเปิดใจรับพระเยซูคริสต์เท่านั้น จบ เอเมนไหม? พระเจ้าอวยพรครับ

***********************

จากใจคณะศิษยาภิบาล

            before and after ตอน 7

                        คริสเตียน!

            ก่อนเชื่อ ตายอยู่ในบาป

            หลังเชื่อ บังเกิดใหม่ในความชอบธรรม

            โคโลสี 2:13-14 … “13 และท่านทั้งหลาย ซึ่งก่อนเชื่อนั้น ได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นบาป อยู่ในบาป จึงทำบาป คือการละเมิดกฎทั้งหลายของพระเจ้า และโดยการไม่ได้เข้าสุหนัตในเนื้อหนังของพวกท่าน ตอนนี้ ท่านรับเชื่อในข่าวดีแล้ว พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกท่านมีชีวิต บังเกิดใหม่ในพระคริสต์ เช่นเดียวกันกับเรา และได้ทรงให้อภัยในการละเมิดกฎ คือบาปทั้งสิ้นของพวกเรา 14 พระองค์ทรงยกเลิก กฎแห่งการกระทำตามธรรมบัญญัติ ที่บันทึกไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติ (หนังสือธรรมบัญญัติที่พระเจ้าได้ประทาน ให้กับชาวยิว ผ่านทางโมเสส และสำหรับคนที่ไม่ใช่ยิว หนังสือธรรมบัญญัติ บันทึกไว้ในใจของมนุษย์ทุกคน) ซึ่งมีระบุไว้ว่าเราต้องทำตามทุกจุด ทุกขีด ทุกข้อ ในหนังสือบทบัญญัติ อย่างสมบูรณ์ครบถ้วน ไม่มีการละเมิดเลย แม้จุดๆ เดียว กฎแห่งการกระทำนี้ จึงเป็นศัตรูต่อต้านชีวิตเรา คอยกล่าวโทษเราว่าเราทำผิดกฎ ละเมิดกฎ คือ ทำบาปต้องได้รับโทษ คือความพินาศในวิญญาณ  (เพราะมนุษย์เราไม่สามารถทำได้ครบถ้วนสมบูรณ์ บริบูรณ์ดีพร้อม ตามบัญญัตินั้นได้ โดยไม่ละเมิดเลย แม้แต่จุดเดียว) พระองค์ได้ทรงเอาหนังสือธรรมบัญญัตินี้ ตรึงไว้แล้วบนไม้กางเขน  (เพื่อว่าการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขน  จะได้เป็นตัวแทนของเรามวลมนุษย์ ในการตายจากชีวิตเดิม ร่วมกับพระองค์ จากชีวิตเดิมซึ่งเป็นหนี้บาป ต้องชดใช้เวรกรรม อยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม กฎแห่งการกระทำ ตามบทธรรมบัญญัตินี้)”

            คริสเตียนเราทั้งหลายก่อนเชื่อนั้น ได้ตายอยู่แล้วทางวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นบาป อยู่ในบาป จึงทำบาป คือการละเมิดกฎทั้งหลายของพระเจ้า และโดยการไม่ได้เข้าสุหนัตในเนื้อหนังของพวกท่าน

            ตอนนี้เรารับเชื่อในข่าวดีของพระเยซูแล้ว พระเจ้าได้ทรงทำให้พวกเรามีชีวิต บังเกิดใหม่ในพระคริสต์

            ก่อนเชื่อ เราตายอยู่ในบาป

            หลังเชื่อ เราบังเกิดใหม่ในความชอบธรรม

            สรรเสริญพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเรา พระเจ้าอวยพรครับ