คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม 2020 เรื่อง “นับพระพร และขอบคุณพระเจ้าในทุกสถานการณ์” โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  9  สิงหาคม  2020

 เรื่อง “นับพระพร  และขอบคุณพระเจ้าในทุกสถานการณ์”

โดย นคร  เวชสุภาพร

            วันนี้เราเปลี่ยนเรื่อง คุยเรื่องพิเศษ ผมใช้ชื่อเรื่องว่า “นับพระพร และขอบคุณพระเจ้าในทุกสถานการณ์” มีใครที่กำลังคิดว่าตัวเองอยู่ในสภาพที่กำลังแบกภาระอันหนักหน่วงเหลือเกินในการดำเนินชีวิต จนรู้สึกว่ามันไม่ไหวแล้ว ท่ามกลางมรสุมชีวิต ที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตของเรา ครั้งแล้วครั้งเล่า  ที่เรารู้สึกท้อแท้และสิ้นหวัง ราวกับชีวิตหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ใครเคยเข้าไปอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้บ้าง? ต้องเคยแน่นอน ในยามที่ต้องเผชิญกับปัญหา เผชิญกับวิกฤตต่างๆ  เราเริ่มเกิดความสงสัย ในพันธสัญญาของพระเจ้า สงสัยในความรักของพระเจ้าที่มีต่อเรา ไม่มั่นใจในความเชื่อที่เรามีต่อพระเจ้า  มันเริ่มหวั่นไหว เริ่มเซ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรามองดูคนอื่นที่มีความสุขมากกว่า มีชื่อเสียง มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย สุขภาพก็แข็งแรง สมบูรณ์ดี มีครอบครัวที่อบอุ่น  เราก็อดไม่ได้ที่จะย้อนมองดูตัวเอง แล้วก็ถามพระเจ้าว่า …

“พระองค์ทรงลืมลูกแล้วหรือ?” แล้วก็ต่อด้วยคำว่า “ทำไมๆ”

ผมเชื่อว่ามีหลายคนที่กำลังเผชิญกับเรื่องคล้ายทำนองนี้ หรือเคยผ่านแบบนี้ หรืออยู่ในความรู้สึกอย่างนี้  ซึ่งรวมๆ กันแล้ว ก็คือมีชีวิตที่ทุกข์ลำบาก เป็นชีวิตที่ไม่มีความสงบสุข ไม่มีสันติสุขเหมือนที่พระเยซูคริสต์ทรงสัญญาไว้เลย วันนี้แหละ เราจะมาเรียนรู้วิธีที่จะทำให้เราพบกับความสงบสุข สันติสุขในพระเยซูคริสต์ ให้เราได้หลุดพ้น จากสภาวะความทุกข์ทรมาน ที่บรรยายเมื่อสักครู่นี้ และความหมายของการนับพระพรตามชื่อเรื่องที่เราจะมาเรียนรู้กันในวันนี้ ก็จะแตกต่างจากความหมายของคำว่า “นับพระพร” ที่เราเคยเรียนรู้กันมา ฝึกฝนกันมาก่อนหน้านี้หลายปีแล้ว แต่จะเป็นมุมมองใหม่ของการนับพระพรที่ตรงตามถ้อยคำพระเจ้า 100% พระคัมภีร์มีฤทธิ์อำนาจ ช่วยเราได้จริงๆ

ก่อนหน้านี้ เราเคยสอนกัน แล้วก็ถูกสอนกันมาเป็นเวลานานแล้วว่าให้เรานับพระพรและขอบคุณพระเจ้าในทุกสิ่งที่พระองค์ได้ทรงประทานให้แก่เรา ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ถูกหรือไม่ถูก? คิดให้ดีๆ ท่านคิดว่าอย่างไร?  นับพระพร หมายถึงอะไร?  ท่านก็ต้องคิดเหมือนกับผู้เชื่อส่วนใหญ่คิด

นับพระพร ก็คือนับว่าพระเจ้าได้ทรงอวยพรอะไรเราบ้างในการดำเนินชีวิต ตั้งแต่เราเริ่มต้นเชื่อพระเจ้ามา เราได้รับพระพรอะไร? ถูกไหม? แต่วันนี้จะไม่ใช่แบบนั้น  แม้ในยามขัดสนยากจน ความลำบากต่างๆ ในยามที่ต้องเผชิญปัญหา หรือในสภาวะวิกฤตรอบข้าง เราพยายามมองหา สิ่งที่ดี สิ่งที่ดีกว่า สิ่งที่จะมาแก้ปัญหาบนโลกใบนี้  ถูกไหม? การนับพระพรเป็นอย่างนั้น ในอดีต แต่ในวันนั้นจะไม่เป็นอย่างนั้น ซึ่งความเข้าใจแบบเก่าที่เราฝึกฝนกันมา มันก็มีประโยชน์บ้าง แต่มันเป็นความผิดหวังสะมากกว่า เพราะว่ามันไม่ได้เป็นจริงตามถ้อยคำพระเจ้า

ปัญหา คือสำหรับบางคน ชีวิตที่ต้องดิ้นรน อยู่กับอุปสรรคปัญหาต่างๆ เหล่านั้น ความทุกข์ลำบากรอบด้าน  เหนื่อยยาก การที่จะมาบอกว่าให้ฝึกฝน พยายามหาสิ่งที่ดีๆ บนโลกใบนี้ บางทีมันยาก มันหาไม่เจอจริงๆ มันเจอน้อยกว่าปัญหาที่มีอยู่เยอะแยะ แล้วจะให้เขาวางความหวังไว้ที่ไหนล่ะ ไหนบอกให้นับพระพร มันไม่มีพระพรให้นับเลย  สุขภาพก็นับไม่ได้ ก็มีความทุกข์ เศรษฐกิจการเงินก็ขัดสน ครอบครัวก็ยังมีความทุกข์อยู่ ทุกอย่างมีความทุกข์หมด แล้วจะให้บอกว่านับพระพร หาพระพรไม่เจอ นี่คือการฝึกฝนแบบเดิม มันไม่ง่ายเลย  ที่จะให้มองหา หรือมาบอกเขาว่าให้ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณีสิ อดีตที่เราเชื่อเรื่องนับพระพรเป็นอย่างนั้นใช่ไหม? เราเจอใครที่มีความทุกข์ยากลำบาก ปัญหาในชีวิตหนักๆ เราก็ไปกอดคอเขา อธิษฐานให้เขา แล้วบอกเขาว่าจงขอบคุณพระเจ้า มันไม่ได้เป็นธรรมชาติ มันฝืนมาก

บางคนก็เตลิดเปิดเปิงไปไกลเลย ไปนับพระพรที่ตัวเองได้รับ แล้วก็ไปเปรียบเทียบกับพระพรของคนอื่น  ที่เขาได้รับบนโลกใบนี้เหมือนกัน แล้วก็เกิดความน้อยใจ  กลุ้มใจหนักขึ้นอีกต่างหาก แล้วก็สรุปเองว่าพระเจ้าคงรักเขามากกว่าเรา นี่ก็อยู่ในหัวของเรา ซึ่งมันไม่ใช่ มันไม่ถูกต้อง ดูแล้วมันเหมือนถูกต้อง คนนี้คงได้รับพระพร เราชอบไปคิดอย่างนี้

ยกตัวอย่าง เราเจอใครที่เป็นผู้เชื่อเหมือนกัน แล้วก็มีสุขภาพแข็งแรงหน่อย  เรามักจะพูดอย่างนี้เสมอใช่ไหมว่า …

“พระเจ้าอวยพรเธอนะ มีสุขภาพแข็งแรง”

มันหมายถึง … “พระเจ้าไม่ได้อวยพรฉัน” หรือ “พระเจ้าไม่ได้อวยพรอีกคนหนึ่ง เพราะสุขภาพเขาไม่ค่อยแข็งแรง” อย่างนั้นหรือ?

เราไม่เคยสังเกตสิ่งต่างๆ เหล่านี้ พอเราเห็นใครประสบผลสำเร็จ ในกิจการงาน ยกตัวอย่างในช่วงโควิด-19 บางคนไม่ตกงาน  บางคนมีงานทำ มีรายได้เหมือนเดิม ไม่ได้ถูกกระทบอะไร?

“พระเจ้าอวยพรเธอมากเลย  แม้โควิดมา เธอยังมีงานมีการทำ มีเงินเดือนอยู่”

อย่างนั้นใช่ไหม?  ฟังดูเหมือนขอบคุณพระเจ้า สรรเสริญพระเจ้า แต่คิดให้ดีลึกๆ  เรากำลังบอกว่าคนที่ตกงาน เขาไม่ได้รับการอวยพรจากพระเจ้า ใช่หรือไม่? อันนี้เอาไปคิดเอง

เพราะฉะนั้น เราต้องมานั่งคิดกันใหม่ว่าแล้วถ้อยคำพระเจ้า  เราควรนับพระพรหรือขอบคุณพระเจ้าตรงไหน?  ที่ทำให้เกิดความยุติธรรม เกิดกำลังใจ และชัวร์ๆ ว่ามันใช่แน่ มันเป็นทางของพระเจ้า มันเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า  ที่จะให้เราขอบคุณและคิดอย่างไร?

หลังจากที่เราได้เรียนรู้กันเรื่องโลกวิญญาณไปมากมาย ในช่วงปี 2 ปีมานี้ว่าพระคัมภีร์พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น  เวลาพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าทรงอวยพรแล้ว มันคือการอวยพรในโลกวิญญาณ มันไม่ใช่การอวยพรในสิ่งที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้  จริงๆ แล้วมันตรงกันข้ามด้วยซ้ำ จำเอาไว้เลย เมื่อพระเจ้าพูดถึงการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ มันหมายถึงความทุกข์ยากลำบาก เมื่อพระเจ้าพูดถึงวัตถุสิ่งของบนโลกใบนี้  ที่จับต้องมองเห็นได้ มันคือความทุกข์ยากลำบากทั้งสิ้น มันคือความไม่แน่นอน แต่เมื่อไรก็ตามที่พระเจ้าพูดถึงความหวัง ความเชื่อ หรือสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำให้แล้ว หรือพระพรต่างๆ นานัปการ มันหมายถึงโลกฝ่ายวิญญาณอย่างเดียวเท่านั้น  อย่าเข้าใจผิด  พอเราเข้าใจผิด แล้วถูกหลอกลวงไป  มันก็จะผิดเป้าหมาย มันก็ไม่เกิดสันติสุข มันก็จะเกิดความทุกข์

เพราะฉะนั้น ช่วงนี้เราเรียนรู้เรื่องโลกวิญญาณแล้ว เราซึมซับเข้าไปแล้ว วันนี้เราจึงมาเริ่มเรียนการนับพระพรแบบใหม่ แบบผู้เชื่อที่เจริญเติบโตในวิญญาณแล้ว  สมัยก่อนเราเป็นผู้เชื่อใหม่ ยังเด็กๆ อยู่ ยังไม่เจริญเติบโตในวิญญาณ ยังอยู่ในกิเลสตัณหาทางฝ่ายเนื้อหนัง เขาเรียกคริสเตียนเนื้อหนัง ยังนับพระพรเฉพาะบนโลกใบนี้อยู่ แต่วันนี้ เรามาเรียนรู้อย่างใหม่แล้ว เราโตแล้ว เราเข้าใจแล้วว่ามันคืออะไร?

เพราะฉะนั้น การนับพระพรที่เราจะเรียนรู้กันในวันนี้  ก็จะเน้นเรื่องการนับพระพรทางฝ่ายโลกวิญญาณ นี่คือพระคัมภีร์เด๊ะเลย  เพื่อให้เราสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี แม้จะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่เลวร้าย ทุกข์ยากลำบาก ไม่ได้ดั่งใจ เราก็สามารถขอบคุณพระเจ้าได้ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ จริงใจ เป็นธรรมชาติ นับพระพรได้จริงๆ ไม่ต้องมาฝืน ไม่ต้องมาตบไหล่ว่าขอบคุณพระเจ้า มันใช่เลย เราสามารถมั่นใจได้ว่าผู้เชื่อพระเจ้าทุกคน คริสเตียนทุกคน สามารถนับพระพรเหล่านี้ได้ โดยไม่ต้องรู้สึกตะขิดตะขวางใจว่าเขามากกว่าเรา เรามากกว่าเขา เขาได้เยอะกว่าเรา เราได้น้อยมั้ง พระเจ้าอวยพรเธอ แต่ไม่อวยพรคนนี้ เราจะมั่นใจเลยว่าไม่ว่าเขาหรือเรา ตาจะมองเห็นเป็นอย่างไรก็ตามว่าเขาประพฤติอะไร? อย่างไร? เราประพฤติอย่างไร? เมื่อเป็นผู้เชื่อแล้ว เราสามารถนับพระพรนานัปการในโลกฝ่ายวิญญาณได้ เท่ากันหมดเลย  ไม่มีใครมีมากกว่ากันเลย เอเมนเลย

หัวข้อการบรรยายวันนี้ คือ “จงนับพระพรและขอบคุณพระเจ้าในทุกสถานการณ์” เราจะเริ่มต้นถ้อยคำพระเจ้า ใน 1 เธสะโลนิกา 5:16-19

1 เธสะโลนิกา 5:16-19 “16 จงชื่นชมยินดีอยู่เสมอ 17 จงอธิษฐานอยู่เสมอ 18 จงขอบพระคุณในทุกสถานการณ์ เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลายในพระเยซูคริสต์ 19 อย่าดับไฟแห่งพระวิญญาณ”

 

ถ้อยคำในข้อนี้ ถ้าแปลให้ละเอียดตามความหมายเดิม ขยายขึ้น จะอธิบายได้อย่างนี้ว่า …

“จงมีความสุขและมีความชื่นชมยินดีภายในจิตใจอยู่เสมอ ตลอดเวลา จงหมั่นอธิษฐาน ใกล้ชิดพระเจ้าอยู่เสมอ อย่าหยุด”

“อย่าหยุด” ตรงนี้ ไม่ได้หมายถึงว่าทั้งวันทั้งคืน ขับรถไป ก็ต้องพูด อธิษฐาน ไม่ใช่ “อย่าหยุด” หมายถึงให้เป็นอุปนิสัยประจำตัวเลย คุยกับพ่อของเรา  นึกถึงแต่โลกฝ่ายวิญญาณตลอดเวลา มันหมายถึงอย่างนี้  หมายถึงตลอดทั้งชีวิตของเรา เหมือนหายใจ

“จงขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณี ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร? จงขอบคุณพระเจ้า เพราะนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับท่านทั้งหลาย”

ฟังให้ดีๆ นะ ตรงนี้สำคัญ

“สำหรับท่านทั้งหลาย ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในพระคริสต์”

ตัวนี้ คือประโยคหลัก ประโยคหัวใจ ประโยคที่สำคัญที่สุด ในข้อนี้

“สำหรับท่านทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในพระคริสต์” และตามด้วย “อย่าดับไฟพระวิญญาณ”

ก็คือผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ คือผู้เชื่อทั้งหลาย  ที่ได้ถูกย้ายออกมาจากอาณาจักรของความมืด อยู่ในอาดัม บรรพบุรุษเดิมที่เป็นบาป ได้ถูกย้ายออกจากอาณาจักรของความมืด อาณาจักรของความบาป มาอยู่ในพระคริสต์ หรือในพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่เริ่มต้นเชื่อพระเจ้า เป็นคริสเตียนปุ๊บ ได้อยู่ในพระคริสต์แล้ว พระประสงค์ของพระเจ้า สำหรับคนที่อยู่ในพระคริสต์แล้ว คือเขาสามารถชื่นชมยินดีตลอดเวลาได้ มีความสุขตลอดเวลาได้   คุยกับพระเจ้ากระหนุงกระหนิง เป็นลูกของพระเจ้าตลอดเวลาได้ ไม่รู้สึกตะขิดตะขวางใจเลย กล้าเข้าไปตลอดเวลา ขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณีบนโลกใบนี้ ไม่ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ความเลวร้ายต่างๆ ขอบคุณพระเจ้าได้ตลอดเวลา เพราะเขามีพระพรมากมายแล้ว ในพระเยซูคริสต์ ที่วิญญาณเขาอยู่ในนั้นแล้ว

และต่อไปในนี้บอกว่า “อย่าดับไฟแห่งพระวิญญาณ” ก็หมายถึงอย่าดื้อ อย่าเมินเฉย หรือทำเป็นไม่สนใจพระวิญญาณที่สถิตอยู่ในท่าน เพราะว่าเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ พอเราอยู่ในพระคริสต์แล้ว พระคริสต์เป็นชีวิตของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสอนเราในเรื่องต่างๆ ในพระเยซูคริสต์ อย่าเมินเฉย มันแปลว่าอย่างนั้น  อย่าดับไฟพระวิญญาณ คืออย่าเมินเฉยต่อการทรงนำของพระวิญญาณที่อยู่ในเรา

ผมจะยกตัวอย่างดับไฟพระวิญญาณให้ท่านเห็น เพราะคนชอบเอาไปใช้ผิดๆ  ดับไฟพระวิญญาณ คือพระวิญญาณกำลังสอนเรา  เมื่อเราเริ่มเชื่อในพระเจ้า  พอเราเชื่อปั๊บ เราถูกย้ายเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่กับเรา  มาเป็นพี่เลี้ยงเรา  และเริ่มต้นสอนเรา ให้เรารู้จักพระเจ้า ให้สนิทสนมกับพระเจ้า ในฐานะที่เป็นลูกเล็กๆ คนหนึ่ง สอนเราให้สนิทสนม คลุกคลีกับพระเจ้า เรียกพระเจ้าว่าปะป๊า พ่อ ใช้คำนี้เลย ปะป๊า แด๊ดดี้ สนิทมากเลย  เพราะอะไรถึงสอนเรา  เพราะเรายังไม่รู้เรื่อง เรายังเป็นลูกที่เกิดใหม่ๆ แล้วยังต้องยืนยันกับเราตลอดเวลา ภายในวิญญาณของเรา โดยพระวิญญาณว่าพระเจ้ารักเรามาก เราเป็นลูกที่รัก เรียกพ่อ สนิทสนมกัน คุยกับพ่อบ่อยๆ อธิษฐานบ่อยๆ  นี่คือความหมายเมื่อสักครู่นี้

อย่าดับไฟพระวิญญาณ คือความคิดเก่าของเรา ถูกกระตุ้นโดยมาร ถูกกระตุ้นโดยระบบของโลกใบนี้  รอบข้างเรา ก็จะกระตุ้นบอกเราว่า …

“เธอไปเรียกพระเจ้าว่าปะป๊าได้อย่างไร? ไปสนิทสนมกับพระเจ้าได้อย่างไร? เธอยังเป็นคนบาป เธอยังทำไม่ดีเลย  เชื่อพระเจ้ายังไปโกหก ยังมีความบาป เธอจะไปบริสุทธิ์เหมือนพระเจ้าได้อย่างไร?”

นี่คือคำโกหกหลอกลวง เห็นไหม?  ที่จะทำให้เราเมินเฉยต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ และดับไฟพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดับสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังสอนเรา นำพาเรา เราบอกไม่เชื่อแล้ว มาเชื่อมารดีกว่าว่าเราเป็นคนแย่ เป็นคนไม่ดี เป็นคนมีความทุกข์ เป็นคนไม่สมควรที่จะเป็นลูกของพระเจ้าเลย นี่แหละเรียกว่าการดับไฟพระวิญญาณ

พระวิญญาณกำลังนำพาเราให้ขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี ถ้าเราไม่มองที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ เรามองที่ระบบของโลกใบนี้  ระบบของการดำเนินชีวิต เหมือนเดิมบนโลกใบนี้ ยังคงมองในสิ่งที่ตามองเห็น หูได้ยิน บนโลกใบนี้ มันจะเป็นเรื่องที่ยากมาก ที่เมื่อเราอยู่บนโลกใบนี้  ที่เต็มไปด้วยความสาปแช่ง ความเสียหาย เราอยู่ในสถานการณ์ที่สูญเสียสิ่งที่รัก เจ็บปวด ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส ในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  อุปสรรค์บนโลกใบนี้ มันรับไม่ได้จริงๆ มันหนักหนาสาหัสสากัน และมันเกิดความคาดหมายด้วย  ถ้าเราไม่เข้าใจมัน เราจะรู้สึกเป็นไปได้อย่างไร?  จะเกิดขึ้นกับเราได้อย่างไร?  ในเมื่อพระคัมภีร์ก็บอกไว้อย่างนั้น แล้วว่าโลกใบนี้มันจะเกิดเสียหาย มีแต่สิ่งชั่วร้าย ไม่แน่นอนเลยสักอย่างหนึ่ง บนโลกใบนี้  ระบบมันวิปริต ระบบดำเนินโดยมารซาตาน บนโลกใบนี้ ที่ล้มลงในความบาปแล้ว มันมีแต่ความชั่วร้าย พูดง่ายๆ

ซึ่งคำสาปแช่งและความชั่วร้ายเหล่านี้ ไม่ว่าใครก็ตามที่อยู่บนโลกใบนี้  ก็ต้องเผชิญกับสถานการณ์เหล่านี้ทั้งนั้น  ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม แม้กระทั่งสัตว์และสรรพสิ่งทั้งหลาย ที่พระเจ้าทรงสร้าง ก็อยู่ท่ามกลางเหล่านี้ด้วยเช่นเดียวกัน  มันยังไม่ถึงเวลาที่ได้รับการสร้างใหม่ มันอยู่ในระบบของมาร ซึ่งมีแต่ขโมย ฆ่า และทำลายอยู่บนโลกใบนี้ ถ้าเรามัวแต่ไปมองสิ่งของบนโลกใบนี้  เราก็จะเจอแต่ระบบของการขโมย ฆ่าและทำลาย เราจะขอบคุณพระเจ้าไม่ได้หรอก หรือถ้าเราจะขอบคุณพระเจ้าได้ ก็จะฝืนมาก เพราะฉะนั้น เราไปมองในสิ่งที่ มองเห็นได้บนโลกใบนี้  เราจะต้องเป็นผู้ยอมแพ้แน่นอน

แต่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สถิตอยู่กับเรา  กำลังนำเราไปสู่พื้นฐาน รับรู้ความจริงที่ถูกต้อง ไปสู่ชัยชนะ  คือความจริงในข่าวดีของพระเยซูคริสต์นั่นไง ซึ่งจะทำให้เราเป็นอิสระ และสามารถขอบคุณพระเจ้า นับพระพระได้ ในทุกสถานการณ์บนโลกใบนี้  ที่ชั่วร้ายเหล่านั้น เราไม่ต้องพูดถึงสถานการณ์ดีๆ นะ เพราะสถานการณ์ดีๆ ใครๆ ก็ขอบคุณพระเจ้าได้

“ฉันแข็งแรงดี ฉันขอบคุณพระเจ้า”

ได้แน่นอน แต่มันจะเป็นอย่างนั้นตลอดเวลาได้หรือไม่?  มันไม่ใช่ โลกนี้ มันมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นเรื่องธรรมดา ท่านจะเห็นภาพเลยว่าเกิดโควิดขึ้นมา ไม่ว่าคนเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ก็โดนไปหมดทุกคน คนเชื่อพระเจ้าก็ติดโควิดได้ ติดเชื้อไวรัสตัวนี้ได้ คนเชื่อพระเจ้า ก็ได้ผลกระทบจากเศรษฐกิจล้มเหลว เนื่องจากโควิด-19 นี้ได้เหมือนกัน เพราะมันไปทั่วโลก หมดเลย  คนเชื่อพระเจ้าที่เป็นเจ้าของบริษัททัวร์ เป็นเจ้าของบริษัทท่องเที่ยวก็ล้มระเนระนาด เหมือนกับคนที่ไม่เชื่อเหมือนกัน เราเห็นภาพนี้ไหม?  เพราะมันเป็นระบบของโลกใบนี้ ถ้าเราไปมองตรงนี้ เราจะขอบคุณพระเจ้าไม่ได้เลย

เพราะฉะนั้น พระวิญญาณจึงนำเราไปสู่ความจริงเหล่านี้ เราจึงสามารถขอบคุณพระเจ้าในทุกสถานการณ์ในชีวิตได้  ก่อนอื่นเราต้องมาเรียนรู้ตรงนี้  ในพระคัมภีร์บอกว่าจงขอบคุณพระเจ้าในทุกสถานการณ์ ไม่ใช่สำหรับทุกสถานการณ์ คนละอันกันนะ คนละอย่าง นี่คือความจริง ที่ต้องเรียนรู้ เพราะมันแยกกัน ไม่เหมือนกัน

ยกตัวอย่างเช่นบ้านไฟไหม้ เราขอบคุณพระเจ้าในสถานการณ์ที่ประสบบ้านไฟไหม้ ขอบคุณพระเจ้าในสถานการณ์นั้น แต่เราไม่ได้ขอบคุณพระเจ้าที่บ้านถูกไฟไหม้ ไม่ใช่ บ้านถูกไฟไหม้ ใครอยากได้ล่ะ พระเจ้าก็ไม่อยากให้เราได้เจอ แต่เมื่อเราต้องเจออะไรบางอย่าง ซึ่งมันสลับซับซ้อนมาก ของความเลวร้ายบนโลกใบนี้ ซึ่งผ่านทางมาร และเยอะแยะไปหมด ในการทำงานของมันบนโลกใบนี้  ความเลินเล่อของผู้คนที่ไม่รู้จักพระเจ้า และยังมีอื่นๆ อีกมากมายบนโลกใบนี้ ที่ทำให้เกิดความเลวร้ายเหล่านี้ขึ้น  เราไม่ได้ขอบคุณพระเจ้าในความเลวร้ายนั้น แต่ในสถานการณ์ความเลวร้ายเหล่านั้น ที่เราจำเป็นต้องเผชิญนั้น  เราขอบคุณพระเจ้า ตรงนี้ต่างกัน

หรือเราไปเจอโรคร้ายเข้า เราไม่ได้ขอบคุณพระเจ้า เราเป็นโรคร้าย ไม่ใช่ ขอบคุณพระเจ้า ในสถานการณ์นั้นว่าเราเป็นโรคร้าย  แต่เราขอบคุณพระเจ้าในสถานการณ์ที่เราไปเผชิญอยู่นั้น เราไม่ได้ขอบคุณที่เราได้เข้าไปเผชิญ ไม่ใช่ ซึ่งเราจำเป็นต้องเผชิญอยู่แล้ว  เพราะมันเป็นความเสียหาย เป็นคำสาปแช่งบนโลกใบนี้  ถูกทำไปแล้ว ก็คือร่างกายเรา ต้องไปสู่ความเสื่อมลงไปทุกวันๆ ไปสู่ความแก่ หรือความเจ็บป่วยทุกวันๆ ไปสู่ความตายทุกวันๆ แต่เราขอบคุณพระเจ้า ในสถานการณ์เหล่านั้น ในความเสื่อมนั้น เห็นไหมว่ามันไม่เหมือนกัน ไม่ใช่พอเกิดโควิด เราบอกว่า …

“ขอบคุณพระเจ้า โควิดทำให้ฉันตกงาน”

ไม่เห็นมีใครพูดตรงนี้  ในนั้นบอกว่าจงขอบคุณพระเจ้าในทุกสถานการณ์ ไม่ใช่ขอบคุณพระเจ้าสำหรับโควิด ไม่ใช่ … แต่ขอบคุณพระเจ้าในเหตุการณ์นี้ ที่ทำให้ฉันตกงานนั้น ฉันสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ ฉันรู้ เดี๋ยวพระเจ้าทรงนำฉันต่อไป เป็นเรื่องธรรมดาบนโลกใบนี้  ที่จะต้องเกิดขึ้น  ฉันมีพระพรเต็มที่ ฉันเป็นลูกของพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน … มันต่างกัน

พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นพี่เลี้ยงให้กับเรา แล้วก็นำพาเรา และต้องการที่จะนำเราไปสู่ความจริงของความสำเร็จ ที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เราเรียบร้อยแล้วในโลกวิญญาณ ซึ่งเป็นพระพรนานัปการ ที่พระองค์ได้ทรงกระทำให้เราเรียบร้อยแล้ว ที่ไม้กางเขน ที่พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้ว และพระวิญญาณต้องการให้เราเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ และต้องการให้จดจ่อ จดจำ จนขึ้นใจ สำหรับพระพรเหล่านี้ทั้งหมด แล้วก็นับมันทีละอัน เพราะเราได้แล้ว เรามีอยู่แล้ว เหมือนเรามีอยู่ในกระเป๋าในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็น มีเซฟที่บ้าน เป็นโลกวิญญาณที่มองไม่เห็น เซฟเหล่านั้นมี ของมีค่ามากมาย เต็มไปหมดเลย เรียกว่าพระพรนานัปการในโลกวิญญาณ เปิดมาทีไร เราก็สามารถขอบคุณพระเจ้าได้

ใจท่านอยู่ที่ไหน? วิญญาณท่านก็อยู่ที่นั่น ใจท่านอยู่ที่ทรัพย์สินเงินทองบนโลกใบนี้  ท่านก็เจอความทุกข์ ธรรมดา แต่ถ้าใจท่านจดจ่อไปที่ทรัพย์สินเงินทองบนโลกฝ่ายวิญญาณ ในสวรรค์ ท่านจะหัวเราะตลอดเวลา ท่านก็จะสามารถชื่นชมยินดี อธิษฐาน คุยกับพระเจ้ากระหนุงกระหนิงได้ และสามารถขอบคุณพระเจ้าในทุกเหตุการณ์ที่ท่านกำลังเผชิญบนโลกใบนี้

ไม่ใช่แค่พระพรที่พระเจ้าจะช่วยเราให้การดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้  ผ่านอุปสรรค์ปัญหาบนโลกใบนี้ ได้อย่างสบายๆ ซึ่งพระองค์ทำได้ด้วย  แต่หลายครั้ง มันไม่ได้เกิดขึ้นกับเราทุกๆ ครั้งแบบนั้น ถูกไหม? อย่างเช่น หลายคนก็อาจจะได้รับการอัศจรรย์กับพระเจ้า หายโรคอย่างอัศจรรย์ หรือหายโรคอย่างไม่อัศจรรย์ ก็รู้ว่าพระเจ้าทรงรักษาเราผ่านทางหมอ เที่ยวนี้ผ่าตัดเรียบร้อยดีหมดเลย แต่ไม่ได้หมายความว่าท่านจะมีสุขภาพแข็งแรงอย่างนี้ตลอดไป  และไม่ต้องผ่าตัดอีกตลอดไป  และไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลอีกต่อไป ไม่ต้องกินยาอีกต่อไป มันไม่ใช่ ถูกไหม? มันเป็นไปตามระบบของโลกใบนี้ที่เสียหายไปแล้ว ท่านจะเห็นชัด พระเจ้าช่วยท่านตอนนี้ ไม่ตกงานเลย ก็ไม่ได้หมายถึงว่าจากนี้ต่อไป ท่านจะไม่ตกงาน  เห็นไหม? ถ้าเราไปฝากความหวัง และขอบคุณพระเจ้าในสิ่งนั้น  เราก็ต้องระแวงตลอดเวลาว่าเดี๋ยวพอไม่ได้ เราก็ไม่ขอบคุณสิ แต่ในโลกฝ่ายวิญญาณ พระพรนานัปการเราได้แล้ว และไม่มีใครเอาพระพรนั้นออกไปจากเราได้

แม้ในสถานการณ์ที่เราประสบความสูญเสีย ความทุกข์ยากลำบาก  ปัญหาบนโลกใบนี้  เราก็ยังสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ นับพระพรทางฝ่ายวิญญาณนานัปการได้ ซึ่งเราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ที่ในพระเยซูคริสต์ ถ้อยคำนี้เป็นถ้อยคำหลักสำคัญที่สุด ก็คือท่านที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ สามารถที่จะชื่นชมยินดี ขอบคุณพระเจ้าในทุกสถานการณ์ได้ เพราะท่านทั้งหลายได้อยู่ในพระเยซูคริสต์

“ฉันอยู่ในพระเยซูคริสต์”

ผมถามต่อ … “หรือเปล่า?”

อยู่หรือเปล่า?  อยู่ ก็ขอบคุณพระเจ้าในทุกกรณีได้ ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูทำอะไรให้เราสำเร็จเรียบร้อยแล้ว มีทรัพย์สมบัติอะไรมากมายในนั้น เยอะแยะไปหมดเลย

พระวิญญาณจะนำพาเรา จะสอนเราไปที่ตรงนี้แหละ เพราะตรงนี้เป็นหัวใจ เป็นจุดสำคัญ เป็นจุดยุทธศาสตร์ ที่เราจะชนะบนโลกใบนี้  และตลอดไป  สามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี

อาจารย์เปาโลที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสาวกที่สนิทของพระเยซูคริสต์ ซึ่งก็ได้เผชิญกับปัญหาในชีวิต ประสบการณ์ที่เลวร้าย  ในสายตามนุษย์นะ  นับไม่ถ้วน  ถูกข่มเหง ถูกตามล่า ถูกเฆี่ยนตี  ถูกจับติดคุก เอาหินปาจนตาย แต่ติดคุกอยู่ ก็สามารถร้องเพลงสรรเสริญขอบคุณพระเจ้าในคุกได้

อะไรคือเคล็ดลับที่ทำให้อาจารย์เปาโลสามารถขอบคุณพระเจ้าได้  ในความทุกข์ยากลำบาก ในสถานการณ์เหล่านั้น  ซึ่งโหดร้ายมาก สำหรับเปาโล และพอเรารู้ เราก็โอ้โห เคล็ดลับ ก็คือเปาโลรู้ตัวเองอยู่เสมอว่าเขาอยู่ในอิสราเอล เขารู้อยู่เสมอว่าเขาอยู่ในชาวยิว เขารู้อยู่เสมอว่าเขาอยู่ในคำอธิษฐานของผู้เชื่อทั้งหลาย ไม่ใช่ แต่เปาโลรู้อยู่เสมอเลยว่าเขานั้นอยู่ในพระเยซูคริสต์ เขาพูดตลอดเวลาเลย  เขาเขียนจดหมาย เขาอธิบายในพระคริสต์ๆๆๆๆๆ เขารู้ว่าเขาอยู่ในพระคริสต์ ตอนที่เขาถูกเฆี่ยน ถูกลากเข้าไปอยู่ในคุก เขากำลังรู้เขาอยู่ในพระคริสต์ ข้างนอกเขาอาจจะอยู่ในคุก แต่ตอนนี้เขาอยู่ในพระคริสต์ ตอนที่เขาถูกจับมัด แล้วเอาไปเฆี่ยน ด้วยความเจ็บปวด เขาไม่ได้รู้สึกว่าเขาอยู่ในการถูกมัด ถูกลงโทษ ในขณะเดียวกัน เขากำลังอยู่ในพระคริสต์ พอมองเห็นภาพไหม?

ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร ตาจะมองเห็นเป็นอย่างไร?  หูจะได้ยินอะไร ความรู้สึก เนื้อหนังร่างกายบนโลกใบนี้  จะเป็นอย่างไร?  จมูกจะได้กลิ่นอะไรก็ตามที่ไม่ชอบ จะต้องทนทุกข์ทรมานขนาดไหนก็ตาม เราก็สามารถจดจ่อความคิดไปที่โลกวิญญาณ หรือเรียกว่าเบื้องบนได้ แล้วก็รับรู้ว่าในวิญญาณ ในสวรรค์ ในเบื้องบนนั้น เราอยู่ในพระคริสต์ เราได้เรียนรู้ตรงนี้มาเยอะแล้วนะ  ว่าเราอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เราจึงสามารถนับพระพรในพระคริสต์นี้ได้อย่างสบายๆ มันมีแน่นอน  และเท่ากันทุกคนด้วย  เราจึงสามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในสถานการณ์ที่เราเผชิญอยู่นั้น เพราะเราไม่ได้ขอบคุณพระเจ้า สำหรับสถานการณ์เหล่านั้น เราขอบคุณพระเจ้าที่เราอยู่ในพระคริสต์ แม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเหล่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราสามารถชื่นชมยินดี เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะเข้าใจ สามารถอธิษฐานกับพระเจ้า ติดสนิทกับพระองค์ เป็นลูกของพระเจ้าได้ สามารถขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกกรณี เกินกว่าความคิด ความเข้าใจของเราที่เป็นมนุษย์ธรรมดาบนโลกใบนี้  เราขอบคุณพระเจ้า เกินได้ นั่นแหละ คือความสามารถที่เปาโลกำลังทำให้เราดูว่าท่านเอง ก็ทำได้ เปาโลได้พระพรทางฝ่ายวิญญาณเท่าไร? เราก็ได้รับเท่ากัน ไม่มีผิดเลย อย่าว่าแต่เปาโลเลย

พระวิญญาณกำลังสอนเราว่าพระพรนานัปการ ในโลกฝ่ายวิญญาณที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เราเรียบร้อยแล้วนั้น  เราได้เท่ากัน ไม่ใช่เท่ากับเปาโลอย่างเดียว แต่มันเท่ากันกับพระเยซูด้วย  ท่านลองคิดดูสิ มันเยอะขนาดไหน?  เรามีพระพรทางฝ่ายวิญญาณนานัปการเรียบร้อยแล้ว ในพระคริสต์ มีเท่ากันกับพระเยซู สมมติว่ามันนับได้นะ พระเยซูได้รับไปหนึ่งพันล้าน  เราก็ได้รับหนึ่งพันล้านเหมือนกันเลย

เปาโลยืนยัน อยากให้ความจริงเรื่องนี้ เรื่องที่เรากำลังเรียนรู้ เรื่องที่พระวิญญาณกำลังสอนเรา  ยืนยันว่าพระวิญญาณกำลังนำเราไปว่าเปาโลอยากให้เรารู้ความจริงเรื่องนี้  เหมือนที่พระวิญญาณอยากให้เรารู้ และนำพาเราไปเรียนเหมือนกัน  เปาโลยืนยันว่าถ้ารู้เรื่องนี้เมื่อไร เราชนะขาดลอย เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิตทันที รู้ว่าอะไร? รู้ว่าเราอยู่ในพระคริสต์ หรือเราอยู่ในพระเยซูคริสต์ มันเป็นเช่นไร? มันคือใคร? เราเป็นอะไรในพระเยซูคริสต์ เราจึงสามารถที่จะนับพรพร ที่เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ มีเยอะแยะมากมายไปหมดเลย พระพรนานัปการนั้นอยู่กับเรา เป็นของเรา  จับต้องมองเห็นได้ด้วยความเชื่อในพระเจ้า … ความเชื่อ คือสิ่งที่มองไม่เห็น แต่สามารถจับต้องมองเห็นได้ เพราะความเชื่อนี้ เปาโลก็ยืนยันอยากจะให้เราเรียนรู้ว่าเคล็ดลับ ที่เปาโลได้ตรงนี้ คืออะไร?

เคล็ดลับในการเผชิญบนโลกใบนี้ และสามารถที่จะขอบคุณพระเจ้าได้ในทุกสถานการณ์ มีสันติสุข มีความสงบสุข ท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก ท่ามกลางความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานนั้น ในใจเกิดความสงบ สันติสุข ชัยชนะเหนือโลกนี้ ทำได้อย่างไร?  เคล็ดลับคือการอยู่ในพระคริสต์

ซึ่งวันนี้เราจะเอาแค่นี้ก่อน แล้วเดี๋ยวครั้งต่อไป เราจะมาเรียนรู้ว่าเคล็ดลับตรงนี้ ในพระเยซูคริสต์เราเป็นใคร?  พระพรนานัปการมีอะไรบ้าง? เป็นเช่นไรบ้าง? เราจึงสามารถที่จะนับพระพรเหล่านั้นได้ ในขณะที่เกิดความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ ซึ่งมันเกิดแน่ๆ  เป็นไปตามพระคัมภีร์ พระเยซูตรัสว่าเราอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา แต่จงชื่นชมยินดีเถิด  เพราะเราชนะโลกใบนี้แล้ว

เราคือผู้ที่เชื่อในพระเยซู พอเราเชื่อในพระเยซูปุ๊บ วิญญาณเราได้ถูกย้ายมา และทำให้บังเกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นอาณาจักรหนึ่งในโลกวิญญาณ จะเรียกว่าอาณาจักรสวรรค์ก็ได้  เราอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ และที่นั่น เรามีพระพรนานัปการแล้ว พระพรอันแรกที่เห็นชัดที่สุดเลย เราได้รับแล้ว ก็คือจากลูกมาร กลายเป็นลูกพระเจ้า ที่พระองค์ทรงรักและห่วงใยเรามาก นี่คือหนึ่งในจำนวนนั้น  และยังมีอีกเยอะแยะมากมายไปหมดเลย  นี่คือความหวังใจ และนี่คือความเป็นจริงในพระพรนานัปการในโลกวิญญาณ ที่เราได้รับเรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์ และพระวิญญาณต้องการให้เราขอบคุณพระเจ้า ในสิ่งเหล่านี้ ว่าเราได้รับแล้วในพระเยซูคริสต์

การขอบคุณพระเจ้า ก็คือการนับพระพรทีละอัน … ฉันขอบคุณพระเจ้า ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าที่ฉันรอดจากบาป ขอบคุณพระเจ้าที่พระเจ้าสถิตอยู่กับฉัน ขอบคุณพระเจ้าอีกเยอะแยะมากมายที่เราจะเรียนรู้ต่อไป  ก็คือการนับพระพรในพระเยซูคริสต์ทุกๆ วัน ขอบคุณพระเจ้า เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

******************************