คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม 2021
เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 1
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เรามาเรียนหนังสือเอเฟซัส บอกประวัติคร่าวๆ นิดหนึ่ง เอเฟซัสเป็นจดหมายที่อาจารย์เปาโลเขียนถึงผู้เชื่อที่อยู่ในเอเฟซัส ทั้งพวกยิวและคนต่างชาติ เมืองเอเฟซัส ปัจจุบันอยู่ที่ตุรกี ตอนที่อาจารย์เปาโลประกาศอยู่ที่เอเฟซัส อาจารย์เปาโลก็อยู่ที่นั่นประมาณ 2 ปี ในการประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า แต่จดหมายฉบับนี้ อาจารย์เปาโลเขียน ตอนติดคุกอยู่ที่กรุงโรม เขียนเมื่อ ค.ศ.60 เหตุผลที่เขียนหนังสือมาถึงชาวเอเฟซัส ก็เพราะว่าตอนที่อาจารย์เปาโล ไปประกาศข่าวประเสริฐให้ผู้คนมารับเชื่อ เมืองเอเฟซัส มีเรื่องความเชื่อเยอะแยะมากมาย และมีพวกรูปเคารพ ที่ช่างเงิน ช่างทองเขาทำขึ้นมา มีรายได้ดี พอคนมาต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เขาก็เลิกไปอุดหนุน พวกรูปต่างๆ ของเจ้าแม่ต่างๆ ที่เขานับถือกัน เช่น เจ้าแม่อาราเทมิส เท่ากับว่าตัดทางทำมาหากิน ของพวกช่างเงิน ก็เลยทำให้รู้สึกขัดใจ อาจารย์เปาโลมาประกาศพระเยซูคริสต์ ทำให้รายรับของตัวเองขาดหายไป
และในขณะเดียวกัน ก็จะมีพวกที่เชื่อทางวิทยาคม มีหนังสือเยอะแยะมากมาย ที่เขาเก็บสะสม หนังสือพวกนี้มีค่ามากเลย แต่พอมาเชื่อพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เขาก็ขนหนังสือมาเผาทิ้งหมดเลย นี่ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เกิดความวุ่นวายมากในคริสตจักรเอเฟซัส เมื่อเป็นอย่างนี้ อาจารย์เปาโลก็เลยเขียนจดหมายมา เพื่อยืนยันความรอดที่พระเจ้าให้กับพวกเขาผ่านทางความเชื่อในพระบุตรองค์เดียว คือพระเยซูคริสต์
ตรงนี้เป็นสิ่งที่อาจารย์เปาโลเน้นความสำคัญมากๆ คือผู้เชื่อทุกคน ไม่ว่าในยุคไหนก็ตาม ทั้งในยุคตอนอาจารย์เปาโลยังมีชีวิตอยู่ หรือหลังจากที่อาจารย์เปาโลจากไปแล้ว ก็มีผู้รับใช้ของพระเจ้ามาประกาศข่าวดีของพระองค์ไปเรื่อยๆ จนถึงยุคของเราที่เป็นคนต่างชาติ คนต่างชาติที่ไม่ได้เป็นเชื้อสายยิว พระเจ้าก็เรียกมาด้วย ให้มาเชื่อวางใจในพระเจ้า โดยวิธีง่ายๆ เลย อาจารย์เปาโลบอกมาเชื่อพระเจ้า เป็นของประทาน เป็นของขวัญที่ให้ฟรีๆ ไม่ต้องลงทุนลงแรง ไม่ต้องมีการประพฤติ ดิ้นรน ตะเกียกตะกาย ทำโน่นทำนี่ เพื่อให้ได้รับความรอด แค่มาเชื่อเท่านั้น เขาก็จะได้รับความรอดเลย ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่พวกยิวรับไม่ได้ เรามาดูในหนังสือเอเฟซัส 1:1 อาจารย์เปาโลเขียนไว้ว่าอย่างไร? …
เอเฟซัส 1:1 “จดหมายฉบับนี้จากข้าพเจ้าเปาโล ผู้เป็นอัครทูตของพระเยซูคริสต์ ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ถึงประชากรของพระเจ้าที่เมืองเอเฟซัส ผู้สัตย์ซื่อในพระเยซูคริสต์”
อาจารย์เปาโลได้พูดถึงตัวเอง ในลักษณะเหมือนกับแนะนำตัวเองว่าเป็นอัครทูต คำว่า “อัครทูต” ในสมัยโน้น จนถึงยุคนี้ อัครทูตของพระเยซูคริสต์ มีทั้งหมดแค่ 13 คน พี่น้องจำได้ใช่ไหมค่ะ ตอนที่พระเยซูมาประกาศแผ่นดินของพระเจ้า พระเยซูก็เลือกสาวกของพระองค์ 12 คนมาติดตามพระองค์ แล้วสาวกเหล่านี้ เดินกับพระองค์ ได้ยิน ได้ฟังเรื่องราวของพระองค์ แล้วถือว่ากลุ่มนี้ คือได้ใช้ชีวิตกับพระเยซูมาตลอด ตรงนี้ เขาถึงเรียกว่าเป็นอัครทูต อัครทูต 12 คน มีคนหนึ่งที่กบฏ หรือทรยศพระเยซู คือยูดาส อิสคาริโอด ที่ขายพระเยซูด้วยเงิน 30 แผ่น แล้วพอยูดาสขายพระเยซูเสร็จ ก็ไปฆ่าตัวตาย สาวก 12 คนก็หายไปคนหนึ่ง
หลังจากที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย พวกสาวก เขาก็คุยกันว่า …
“เรามี 12 คน ขาดไปคนหนึ่ง เรามาจับฉลากกันแล้วกัน”
เขาก็เลือกคน 2 คน ปรากฏว่าได้มัทธีอัส เขาก็เห็นพ้องต้องกันว่าเอาคนนี้เข้ามาเป็นอีกคนหนึ่งของอัครทูต ก็เท่ากับครบ 12 คน
กิจการ 1:23-26 “23 ดังนั้นพวกเขาจึงเสนอชื่อชายสองคนคือ โยเซฟที่เรียกกันว่าบารซับบาส (และอีกชื่อหนึ่ง คือยุสทัส) กับมัทธีอัส 24 จากนั้นพวกเขาอธิษฐานว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ทรงทราบจิตใจของทุกคน ขอทรงสำแดงว่าทรงเลือกคนไหนในสองคนนี้ 25 ให้รับพันธกิจแห่งอัครทูตแทนยูดาสผู้ได้ละทิ้งไปสู่ที่ของตน” 26 แล้วพวกเขาจับฉลากได้มัทธีอัส ดังนั้นจึงรวมเขาเข้ากับอัครทูตสิบเอ็ดคน”
หลังจากนั้น อาจารย์เปาโลไปข่มเหงคริสตจักร เนื่องจากเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ ที่พระเยซูมาประกาศว่าใครก็ตามที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ก็จะได้รับความรอด ได้เป็นลูกของพระเจ้า ไม่ต้องทำอะไรเลย อาจารย์เปาโลก็รับไม่ได้ เพราะอาจารย์เปาโลเป็นยิว เป็นผู้ที่รักษากฎบัญญัติมาก เป็นพวกฟาริสี เป็นพวกเคร่งครัด เขาก็มีความรู้สึกว่าพระเยซูมาทำลายความเชื่อของพวกเขา พวกฟาริสี พวกยิวเขาเชื่อมาตั้งนานแล้ว กฎบัญญัติต่างๆ ที่พระเจ้าให้มา แล้วอยู่ดีๆ ก็มาทำให้กฎบัญญัตินี้หายไปเลย มาเชื่อ ก็รอด อาจารย์เปาโลก็ไม่โอเค พอเป็นอย่างนั้นปุ๊บ ก็เลยไปตามฆ่าผู้เชื่อ
ซึ่งผู้เชื่อในสมัยนั้น เขาก็ยังไม่ได้เรียกว่าเป็นคริสเตียน เรียกว่าผู้เชื่อพระเยซูคริสต์ ระหว่างที่เดินทางไปดามัสกัส ก็เจอพระเยซูเลย คืออาจารย์เปาโลก็เป็นอีกคนหนึ่งที่เจอพระเยซู หลังจากที่พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตาย แล้วเขาก็นับอาจารย์เปาโลเข้ามาเป็นอีกหนึ่งคนของอัครทูต ซึ่งอัครทูตทั้งหมด ที่พระเยซูคริสต์เรียก ก็แบ่งหน้าที่ให้ทำงานที่แตกต่างกัน
อย่างเปโตร ถูกเรียกให้ไปประกาศกับคนยิว แต่เปาโล ถูกเรียกให้ไปประกาศกับคนต่างชาติ ก็คือคนที่ไม่ใช่ยิว เป็นประมาณพวกเรา พวกประเทศต่างๆ ที่ได้รับความรอดผ่านทางข่าวประเสริฐของพระเจ้า
พออาจารย์เปาโลถูกเรียกปุ๊บ ก็หันเข็มทิศของตัวเองเลย จากการที่เป็นคนที่ได้รับการนับหน้าถือตา ตอนนี้อาจารย์เปาโลก็ทิ้งหมดเลย คือไม่สนใจแล้ว เรื่องชื่อเสียงเกียรติยศ หรือตำแหน่งหน้าที่ ความรู้อะไรต่างๆ ที่สะสมกันมาทั้งชีวิต อาจารย์เปาโลก็ทิ้งไปเลย แล้วก็หันมาประกาศพระคริสต์ พอหันมาประกาศพระคริสต์ปุ๊บ เปลี่ยนขั้ว จากหน้ามือเป็นหลังมือเลย จากคนที่เคยได้รับการยกย่อง กลายเป็นคนที่ถูกไล่ล่า ฆ่า พี่น้องนึกภาพออกไหม? จากการที่เปาโลเดินไปไหน? มีคนชื่นชมยินดี ยกย่อง สรรเสริญ …
“เปาโลสุดยอดเลย เป็นผู้รับใช้ที่เข้มแข็งมาก แล้วก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงด้วย ร่ำรวยอีกต่างหาก”
แต่ปรากฏว่าพอมาเชื่อพระเยซูคริสต์ปุ๊บ อาจารย์เปาโลทิ้งทุกอย่าง ก็มาประกาศพระคริสต์ พอประกาศเรื่องของพระเยซูคริสต์ปุ๊บ คนยิวรับไม่ได้ แปรพักตร์แล้ว อยู่ดีๆ เชื่อบทบัญญัติของพระเจ้า แล้วไปเปลี่ยนเป็นเชื่อพระเยซูได้อย่างไร? แล้วยังมาประกาศว่าคนต่างชาติสามารถเข้ามาร่วมวงศาคณาญาติอีก คนยิวเขามีความรู้สึกภาคภูมิใจในการทรงเรียกของพระเจ้ามาก
“ฉันเป็นกลุ่มคนพิเศษของพระเจ้า ที่พระเจ้าเรียกมาตั้งแต่โน้น สมัยอับราฮัม สมัยโมเสส ตอนช่วงโมเสส พระเจ้าก็ให้ธรรมบัญญัติกับคนยิว คนอิสราเอล”
ซึ่งเขาคิดว่าเขาเป็นประชากรที่พิเศษกว่าคนอื่น ซึ่งคนต่างชาติ คนที่ไม่ใช่อิสราเอล เขาก็ดูถูกเหยียดหยาม เหมือนพวกไม่มีสกุลรุนชาติอะไรอย่างนี้ แล้วอยู่ดีๆ อาจารย์เปาโลบอกว่าคนต่างชาติสามารถเข้ามาร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นลูกหลานของอับราฮัมได้ โดยผ่านทางความเชื่อ แบบเรียกว่ามันไม่ได้ อย่างไรก็ไม่ได้ ก็เลยต่อต้านเปาโล ไล่ล่า อาจารย์เปาโลไปประกาศที่ไหน? เขาก็จะไปเลย บางทีไปจับอาจารย์เปาโลติดคุกบ้าง! โบยตีบ้าง! คือทำทุกอย่าง แต่ไม่ว่าคนกลุ่มนี้ พวกยิวจะจับอาจารย์เปาโลไปทรมานขนาดไหน? เอาไปติดคุกด้วยซ้ำไป อาจารย์เปาโล ก็เฉยๆ ติดคุกก็ติดคุกสิ ติดคุกแค่ร่างกาย คุกตารางไม่สามารถจะขวางกั้นข่าวประเสริฐของพระเจ้าได้ อาจารย์เปาโลอยู่ในคุก ก็ยังเขียนจดหมายออกมาหนุนใจคนนอกคุกอีก ยืนยันให้ผู้เชื่อตั้งมั่นคงอยู่ในข่าวประเสริฐของพระเจ้าว่าสิ่งที่อาจารย์เปาโลประกาศ เป็นเรื่องจริง ข่าวประเสริฐเป็นเรื่องจริง พระเยซูเป็นพระเจ้าจริง พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตายจริง แล้วสิ่งที่พระเยซูได้ทรงสัญญาไว้กับผู้เชื่อ มันเป็นเรื่องจริง แล้วเราได้รับแล้วด้วย
นี่คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลได้กระทำ ในช่วงชีวิตของท่าน ที่อยู่บนโลกใบนี้ อย่างไม่ลดละ ก็คือใครจะเป็นอย่างไร? เจอความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน ก็ไม่สามารถทำให้อาจารย์เปาโลท้อถอยในการประกาศข่าวประเสริฐได้เลย ไม่มีทาง
ดังนั้น ในจดหมาย ข้อที่ 1 ที่อาจารย์เปาโลบอกว่าอาจารย์เปาโลเป็นอัครทูต ที่เป็นอัครทูต เพราะว่าสิ่งที่อาจารย์เปาโลทำ ยืนยันการรับใช้ของท่าน เป็นการยืนยัน แบบชัดเจนมากเลยว่าพระเจ้า เรียกท่านมา เพื่อประกาศกับคนต่างชาติ แล้วผลมันเกิดขึ้น เห็นชัดเจน คนต่างชาติเยอะแยะมากมายเปิดใจมาเชื่อพระเจ้า และก็เข้มแข็ง เจริญเติบโต ถูกวางรากอย่างมั่นคง ในพระเยซูคริสต์ ถูกก่อร่างสร้างขึ้นมาอย่างมั่นคง ในพระเยซูคริสต์ แล้วมีความเชื่อที่หนักแน่น ขนาดว่าถูกข่มเหงอย่างไร เขาก็ไม่ทิ้งความเชื่อนี้ เพราะเขามีความหวังใจ และมีความเชื่อมั่นคงในสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมให้กับเขาเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน ซึ่งเป็นสิ่งที่สุดยอด ที่สุด เป็นข่าวประเสริฐแท้ๆ ที่ใครก็ตามได้ยินได้ฟัง ได้ฝังรากลงไปในวิญญาณจิต และก็เชื่อตามที่พระเจ้าได้บอกไว้ คนเหล่านั้นจะเข้มแข็ง เจริญเติบโต ไม่ว่าเขาจะเจอกับความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน? เขาก็ไม่ทิ้งพระเจ้า เพราะว่าความทุกข์ยากไม่ได้เป็นปัญหาเลย สำหรับผู้เชื่อในยุคก่อนๆ หน้านั้น แล้วมันก็ไม่ควรเป็นปัญหา สำหรับพวกเราผู้เชื่อในยุคปัจจุบันด้วย ถ้าเราถูกก่อขึ้นบนรากฐานที่ถูกต้อง
ฉะนั้น พอเราถูกวางรากฐานและก่อขึ้นอย่างถูกต้องปุ๊บ สายตาเราไม่ได้จ้องอยู่ที่สิ่งที่เกิดขึ้น บนโลกใบนี้ เพราะพระคัมภีร์บอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ มันชั่วคราว มันมีวันจบ ชีวิตของเราสั้น แต่ละคนอยู่ได้เต็มที่เลย 80 กว่า 90 กว่า ร้อยหนึ่ง ให้ร้อยยี่สิบด้วย ถ้าอายุยาวมาก แต่ว่า ณ ปัจจุบัน ไม่ค่อยเจอหรอกอายุ 120 ส่วนใหญ่ 80 กว่าก็เริ่มแล้ว เริ่มเตรียมตัวจากโลกนี้แล้ว
ฉะนั้น คนที่เชื่อพระเจ้า เขาตั้งตารอคอยพระสัญญาที่พระเจ้าได้ให้กับพวกเขา ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก สำหรับผู้เชื่อ ถ้าเราคอยความหวังที่ผิด เราก็จะได้รับความทุกข์ทรมานบนโลกใบนี้ ถ้าเราหวังว่าพอมาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราน่าจะร่ำรวย เพราะพระเจ้าบอกว่าจะให้เราสูงขึ้นทางเดียว ความเจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง พระเจ้าจะให้กับพวกเรา พระเยซูยอมยากจน เพื่อให้เราร่ำรวย แต่สิ่งที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกทั้งหมด พูดถึงเรื่องของโลกวิญญาณ ที่มันเกิดขึ้นแล้ว ในอาณาจักรของพระเจ้า ในตัวผู้เชื่อ คือพวกเราทุกๆ คน ทันทีที่เราเชื่อ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ มันได้บังเกิดขึ้นแล้วในโลกวิญญาณ แล้วเราจะรับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้ โดยผ่านทางความเชื่อเท่านั้น เพราะว่าสิ่งที่พระเจ้าสัญญากับเราในโลกวิญญาณ มือเราสัมผัสไม่ได้ ตาเรามองไม่เห็น หูเราไม่ได้ยินด้วยว่าพระเจ้าคุยอะไรกับเรา ฉะนั้น อาจารย์เปาโลจึงต้องอธิษฐานขอเปิดหูตาฝ่ายวิญญาณให้กับพวกเรา เพื่อเราจะได้สามารถเห็นและได้ยินถ้อยคำของพระเจ้าอย่างชัดๆ
ตอนที่พระเยซูยังอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูจะพูดบ่อยเลย … “ใครมีหูจงฟังเถิด”
ไม่ใช่เราไม่มีหูนะ ทุกคนมีหูหมดแหละ แต่ว่าที่พระเยซูพูด คือหูฝ่ายวิญญาณที่จะฟังสิ่งที่โลกวิญญาณคุยกับเรา สิ่งที่พระเจ้าคุยกับเรา ในโลกวิญญาณว่าพระองค์ได้เตรียมอะไรไว้สำหรับผู้เชื่อ เรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ แล้วเราทุกคนที่เปิดใจต้อนรับพระเจ้า บังเกิดใหม่ เราต้องใช้ความเชื่ออย่างเดียวเลย ถ้าเราจะใช้ตา หู จมูก ลิ้น กายสัมผัสแตะต้องสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ให้เราเรียบร้อยไปแล้ว ด้วยทั้งหมดในอวัยวะของเรา เราไม่ได้หรอก เราก็จะท้อใจ …
“อ้าว! ไหนพระเจ้าบอกพระพรนานัปการ พระเจ้าให้กับเราแล้วไง ทำไมเราไม่เห็นเลย”
แต่ว่าสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา พระเยซูบอกเรา คือเรื่องในโลกวิญญาณ ส่วนโลกนี้ พระเจ้าบอกเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว แม้ว่าเราต้องอยู่บนโลกใบนี้ ดำเนินชีวิตอยู่กับร่างกายเก่านี้ ที่ต้องเดินทางไปสู่ความตาย พระเจ้าก็ยังคงดูแลเราอยู่ และพระเจ้าให้กำลังกับกายที่กำลังเดินทางไปสู่ความตาย ก็ให้เราสามารถที่จะเดินอยู่บนโลกนี้ ไปได้ตลอดรอดฝั่ง นี่คือพระสัญญา
แต่พระเจ้าไม่เคยสัญญาว่าเมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าจะอวยพรให้เราร่ำรวย พระเจ้าไม่เคยสัญญาว่ามาเชื่อพระเจ้า พระเจ้าจะอวยพรให้ทุกคนสุขภาพร่างกายแข็งแรง หรืออวยพรให้ทุกบ้านเลยอยู่ดีมีสุข รักกัน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่มือ หู ตา จมูก ลิ้น กายเราสัมผัสจับต้องได้ สิ่งเหล่านี้ พระเจ้าไม่เคยสัญญาที่จะอวยพรเรา แต่ว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ พระเจ้าให้เราได้ตามชอบพระทัยของพระองค์ แล้วแต่พระเจ้า พระเจ้าจะอวยพรใครให้ร่ำรวย มันก็เป็นสิทธิอำนาจของพระองค์ เราเห็นคริสเตียนร่ำรวยก็มี คริสเตียนยากจน ก็มี คริสเตียนแข็งแรง ก็มี คริสเตียนที่เจ็บออดๆ แอดๆ ตลอดชีวิต ก็มี เราเห็นคริสเตียนที่ครอบครัวน่ารักมาก รักกันจนจากไปอยู่กับพระเจ้า เขาก็ยังรักกันอยู่ แล้วคริสเตียนที่ทะเลาะกันทั้งวัน อยู่ในบ้าน เราก็เห็น แต่ไม่ว่าพฤติกรรมอะไรของแต่ละชีวิต มันก็เป็นเรื่องของโลกใบนี้ ไม่เกี่ยวกับโลกวิญญาณ เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว เรารอดแล้ว วิญญาณเรารอด เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราสะอาดบริสุทธิ์แล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว เราถูกย้ายจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือสิ่งที่พระเจ้า พระเยซูคริสต์ในถ้อยคำของพระเจ้าที่อาจารย์เปาโลพูดบ่อยๆ ว่า …
“พระพรนานัปการ ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับพวกเรา สำเร็จเรียบร้อยตั้งแต่วันที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย ฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่สูงสุด ที่พระเจ้าได้ชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ด้วยพระสิริ เป็นฤทธิ์อำนาจอันเดียวกันที่พระเจ้าประทานให้กับพวกเรา ผู้ที่เชื่อวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเราบนไม้กางเขน ไม่เชื่อวางใจในการกระทำของตัวเอง ในความดีของตัวเอง แต่วางใจในพระเจ้า ทันที พระพรเหล่านี้ เป็นของเรา”
แล้วพระเจ้าบอกว่าทันทีที่เราได้ต้อนรับพระเจ้า เป็นพระผู้ช่วยให้รอด บังเกิดใหม่ปุ๊บ พระเจ้าเปลี่ยนวิญญาณของเรา จากการที่เป็นวิญญาณบาป ที่อยู่ในอาดัมมาเป็นวิญญาณใหม่ ซึ่งสะอาดบริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรม ย้ายฝั่งมาอยู่ที่พระเจ้า แล้วเป็นวิญญาณเดียวกับพระเยซูคริสต์ด้วย แล้วได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ ตั้งแต่เราตัวเป็นๆ เลย สิ่งเหลานี้เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ
ตรงนี้แหละ คือสิ่งที่มนุษย์เข้าใจยาก ถ้าเราไม่อธิษฐานขอพระเจ้าทรงเปิดตาใจฝ่ายวิญญาณ ให้เราสามารถรับรู้ความจริงตรงนี้ เราจะรับรู้ด้วยสติปัญญาของเราเอง อย่างไรเราก็ไม่เข้าใจ เราไม่สามารถรับรู้ได้ นอกจากพระเจ้าเปิดตาใจให้เราสามารถรับรู้ นี่คือเรื่องจริง ใช่ พระเจ้าบอกเราอย่างนี้แหละ เป็นเรื่องจริง ตาเราก็จะจ้องไปที่สิ่งที่พระเจ้าได้สัญญากับเราในโลกหน้า อย่างที่เราได้เรียนรู้มา ส่วนหนึ่งเราได้รับแล้ว ณ เวลานี้ คริสเตียนผู้เชื่อทุกคนจ้องอยู่ที่ไหน? เราจ้องอยู่ที่อีกนิดเดียว ที่เรายังไม่ได้ คือร่างกายใหม่ที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ร่างกายที่เต็มด้วยสง่าราศี เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เลย ซึ่งร่างกายนี้พระเจ้าได้เตรียมไว้ให้กับผู้เชื่อทุกคนเรียบร้อยไปแล้ว แต่รอเวลา คือพวกเราแต่ละคนมีกำหนดเวลาของแต่ละคน ที่ไม่เท่ากันที่จะอยู่บนโลกใบนี้ เมื่อเราจบหน้าที่การงานบนโลกใบนี้ เราทิ้งร่างกายเก่านี้ ไว้ที่โลกใบนี้ คือเปื่อยเน่าไป วิญญาณ เราก็ไปสวมร่างกายใหม่ที่เต็มด้วยสง่าราศี ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ทันทีเลย
ที่เราบอกว่า “ทันที” ก็คือในโลกวิญญาณ ไม่มีเวลา เราอยู่ที่เดิม พี่น้องนึกภาพออกไหมค่ะว่า ณ เวลานี้ในโลกวิญญาณ พวกเราผู้เชื่อทุกคนอยู่ในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว เมื่อถึงเวลากำหนด ที่พระเจ้าบอกว่าการงานบนโลกใบนี้ จบแล้วล่ะ เหมือนกับ 5 โมงเย็นแล้ว เตรียมตัวแพ็คกระเป๋ากลับบ้านได้เลย ถึงเวลาไปพักผ่อน เมื่อเป็นอย่างนั้นปุ๊บ คนนั้น ก็ลมหายใจออกจากร่าง ทิ้งร่างกายเก่านี้ ซึ่งอยู่ในความบาปและความตาย ทิ้งให้เปื่อยเน่าไป พอทิ้งร่างกายเก่านี้ปุ๊บ วิญญาณเราก็ไปสวมร่างกายใหม่ทันทีเลย นี่คือสิ่งที่พระเจ้าสัญญากับพวกเรา
ฉะนั้น ผู้เชื่อ รอคอยตรงนี้แหละ ร่างกายใหม่ที่วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อจบงานบนโลกใบนี้ เราจะได้ไปสวมร่างกายใหม่ แล้วพระเจ้าก็ยังบอกเราอีกว่าโลกนี้ โลกเก่าที่มันเสียหายไปหมดแล้ว เนื่องจากมนุษย์ล้มลงในความบาป ทำให้โลกนี้เสียหายไป ทุกอย่างเสียหายไปหมด มีแต่ความวุ่นวายสับสน วันหนึ่งโลกนี้ก็จะสูญสลายไปด้วย แต่พระเจ้าทรงเตรียมโลกใหม่ไว้ให้กับพวกเรา ผู้เชื่อเรียบร้อยไปแล้วเช่นเดียวกัน ฉะนั้น มี 2 สิ่งเท่านั้น ที่ผู้เชื่อยังไม่ได้ และเรามีความหวังใจใน 2 สิ่งนั้น คือขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราก็เฝ้ารอคอยว่าเมื่อไรเราจะได้กลับบ้านสักที เราจะได้ไปครอบครองร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศี และโลกใหม่ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับพวกเรา ซึ่งสิ่งนี้นี่แหละ เป็นแรงผลักดัน หรือเป็นกำลังใจ ทำให้เราสามารถที่จะยืนหยัด และสู้ต่อไป ในโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก แต่เรามีความหวังใจ
พอมีความหวังใจ และหวังตรงนี้ ไม่ได้หวังลมๆ แล้งๆ ด้วย เป็นความหวังที่หนักแน่น มั่นคง ที่พระเจ้าสัญญากับเราแล้ว เราจึงมีความอดทน รอคอย ไม่ว่าเราจะเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากขนาดไหน? ซึ่งปัจจุบัน ง่ายๆ เลย เรื่องของโรคระบาด โควิดทำให้ทุกอย่างรวนไปหมดเลย แต่ว่าไม่ว่าเราจะเผชิญหนักขนาดไหน? เราก็ยังมีความหวังใจ เราก็ไม่เป็นไร เราก็อยู่ตามอัตภาพ ที่ตอนนี้เราออกไปข้างนอก อย่างอิสระเสรีไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร เราก็พยายามออกให้น้อยลง เราไม่สามารถไปเที่ยวเตร่ได้ ก็ไม่เป็นไร เราอยู่บ้านก็ได้ เราก็หาความสุขในบ้านได้ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่สามารถช่วยเรา ให้ผ่านไปได้ ในสถานการณ์ที่ทุกข์ยากลำบาก ยุ่งยากขนาดนี้ ซึ่งพระเจ้าจะเป็นกำลังใจให้กับพวกเรา พระเจ้าไม่ทิ้งเรา ให้เผชิญกับปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้แต่ลำพัง แต่พระเจ้าคอยช่วยเหลือเรา ทำไมเรารู้ว่าพระเจ้าคอยช่วยเหลือเรา เพราะพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ในเรา ไปไหนไปด้วย ทุกข์ พระองค์ก็ทุกข์กับเราด้วย สุข พระองค์ก็สุขกับเราด้วย ไม่ว่าเราจะทำอะไร ทำดี ทำไม่ดี พระเจ้าอยู่กับเราด้วยหมดเลย พระองค์ไม่เคยหนีเราไปไหน เพราะว่าพระเจ้ากับเรา เป็นหนึ่งเดียวกัน หลอมกันเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งแยกกันไม่ได้
ตรงนี้ชัดเจนมาก พี่น้องอาจจะกลัวว่าถ้าเราสอนผู้เชื่อว่าความเชื่ออย่างเดียวทำให้เรารอด ความประพฤติไม่สำคัญเลย นี่เป็นการชี้ช่องทางให้คนทำชั่วไหม? พี่น้องคิดดูดีๆ ถ้าเรารู้ว่าพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ สะอาด ผู้รักเรามาก ขนาดสิ้นพระชนม์ ยอมตายแทนเรา อยู่ในเรา ถ้าเรารู้ว่าพระองค์อยู่ในเรา มันจะทำให้เรารู้สึกอยากทำชั่วอีกไหม? เราไม่อยาก แต่ถ้าเราเผลอไปทำ ก็ไม่เห็นเป็นไรเลย อย่างที่ถ้อยคำของพระเจ้าบอก ล้ม แล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่ ปัดฝุ่น แล้วเราก็เดินต่อ ไม่ต้องมาสำนึกเสียใจ …
“แย่จังเลย พระเจ้ายกโทษให้ลูกด้วย”
ไม่ต้องนะ เพราะว่าเราไม่มีโทษแล้ว ไม่ต้องมาขอการยกโทษ จากพระเจ้า ในหนังสือโรมบอกว่าไม่มีการลงโทษ สำหรับผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ทำให้เราพ้นจากกฎของบาปและความตาย เราไม่ได้อยู่ใต้กฎแล้ว เราไม่มีโทษแล้ว วิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์แล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ไม่มีโทษอะไรจะให้พระเยซูมายกแล้ว
พอเราเข้าใจตรงนี้ปุ๊บ ชีวิตเราจะเปลี่ยน เราจะเปลี่ยนจริงๆ โดยธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าอยู่ในเรา เป็นธรรมชาติแบบเหมือนพระเยซูคริสต์เลย แล้วเมื่อเรารับรู้ธรรมชาติใหม่มากขึ้นเท่าไร? เราเจริญเติบโตมากขึ้นเท่าไร เราก็จะสำแดงธรรมชาติ แบบพระเจ้าออกไปมากเท่านั้น นี่แหละ คือสิ่งที่อาจารย์เปาโลพยายามบอกกับผู้เชื่อ
เอเฟซัส 1:2 “พระคุณของพระเจ้าไม่มีขีดจำกัด ที่ท่านได้รับไปแล้ว และสันติสุขในทางวิญญาณ ที่ท่านได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”
เป็นคำทักทายเหมือนกับพอเราเจอหน้า เราก็จะบอกกันว่า … “เธอรู้ไหม ตอนนี้พระคุณของพระเจ้าที่ไม่มีขีดจำกัด อยู่ในเธอนะ”
ทำไมเราถึงบอกว่าไม่มีขีดจำกัด เพราะพระคุณตรงนี้ ที่พระเจ้าให้ความรอด เราเปล่าๆ จากที่เราเป็นคนบาป เราไม่ต้องทำอะไรเลย เข้ามาเชื่อพระเจ้า เราก็ได้รับความรอดเลย อันนั้น คือพระคุณ พระคุณซ้อนพระคุณที่พระเจ้าให้กับเรา เรียบร้อยไปแล้ว แล้วเราก็ได้รับไปแล้วด้วย เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เรารับพระคุณตรงนี้ ก็คือได้บังเกิดใหม่ ได้มาเป็นลูกของพระเจ้า ได้เป็นผู้ชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดเหมือนพระเจ้าเลย พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเรา ทั้ง 3 พระภาค เราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ในโลกวิญญาณ ณ เวลานี้ ร่างกายเราอยู่บนโลกใบนี้ แต่ในโลกวิญญาณ ทุกอย่างที่กล่าวมานี้ มันเป็นของเราเรียบร้อยไปแล้ว เรานั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว เราไม่ต้องไปรอจนเราตาย แล้วค่อยไปนั่ง ตอนนี้เรานั่งอยู่แล้ว นี่คือความจริงที่อาจารย์เปาโลต้องย้ำ ให้ผู้เชื่อรับรู้ พอเราเจอกัน เราก็พูดอย่างนี้ เหมือนที่อาจารย์เปาโลบอกว่า …
“ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แปลว่ามันเป็นแล้ว ท่านไม่รู้หรือ?”
ท่านควรจะรู้ เมื่อเราเป็นลูกพระเจ้า ความรู้ต่างๆ เหล่านี้ พระเจ้าได้เขียนไว้ในถ้อยคำของพระองค์ ทำไมอาจารย์เปาโลต้องบอกให้จดจ่อ จดจำ มุ่งไปที่เบื้องบน ก็คือพุ่งเป้าไปที่ที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ ที่เบื้องบน เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าว่าอะไรที่พระเจ้าทรงสัญญากับเรา ในพระเยซูคริสต์ ที่เราได้รับแล้วในโลกวิญญาณ พอเราจดจ่อตรงนี้ปุ๊บ เรารับรู้ความจริงว่าตอนนี้เราเป็นอย่างนี้แล้ว ตอนนี้เราเป็นชาวสวรรค์แล้ว เราไม่ใช่ชาวโลกแล้ว เมื่อก่อนเราเป็นชาวโลก เป็นพวกของมาร ตอนนี้เราไม่ใช่แล้วนะ ตอนนี้เรากลับใจใหม่แล้ว เราบังเกิดใหม่แล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เรามาอยู่ฝ่ายพระเจ้าแล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราสะอาดบริสุทธิ์แล้ว ตัวตนจริงๆ เราเป็นอย่างนี้เลย เราเป็นราชบุตร ราชธิดาของพระเจ้าแล้ว
พอเราเป็นราชบุตร ราชธิดาของพระเจ้า เราก็สวมตัวตนใหม่ ที่ตอนนี้เราเป็นอยู่ ซึ่งเราก็จะเรียนรู้ไปเรื่อยๆ ว่าตัวตนใหม่เราเป็นอย่างไร? ที่เราต้องเรียนรู้ เพราะว่าถ้าเรารู้มากเท่าไร? เราก็จะสำแดงตัวตนใหม่ได้มากเท่านั้น ถ้าเรารู้ว่าตอนนี้เราเป็นความรัก “เป็น” นะ ไม่ใช่ “มี” พระเจ้าเป็นความรัก พระเจ้าเข้ามาอยู่ในเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา เราก็เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ เราเป็นความรัก เราเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ เราเป็นความชื่นชมยินดี เราเป็นความดี เมื่อเราเป็น แปลว่าไม่ต้องไปหาที่ไหน? มันอยู่ข้างในเราแล้ว แค่ว่าเอามันออกมาใช้ เท่านั้นเอง รู้ว่าเป็น รู้ว่ามี รู้ว่าสิ่งเหล่านี้พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับเราแล้ว เปรียบเทียบเหมือนกับใส่เสื้อใหม่ ถอดเสื้อเก่า เสื้อใหม่ของเรา คือเสื้อใหม่แห่งความชื่นชมยินดี เสื้อใหม่แห่งความบริสุทธิ์ เสื้อใหม่แห่งความรัก เสื้อใหม่ที่สะอาด เป็นผู้ชอบธรรม นั่นคือเสื้อใหม่หมด ที่พระเจ้าแขวนไว้ในตู้ให้เราเป็นแถวเลย วันๆ เราก็ไปหาดูว่าวันนี้ พระเจ้าจะให้เราใส่เสื้อตัวไหนดี ออกไปข้างนอก เจอสถานการณ์อย่างนี้ เราควรจะใส่เสื้อตัวไหนดี? อะไรอย่างนี้ พระเจ้าก็จะให้สติปัญญาเรา แล้วพอวันไหนเราเผลอ ไปหยิบเสื้อเก่ามา ซึ่งเสื้อเก่ามันก็ยังอยู่อีกตู้หนึ่ง มันยังไม่ได้ถูกโละทิ้ง เนื่องจากร่างกายเรา ยังเป็นร่างกายเก่า คือความคิดเก่าๆ โปรแกรมเก่าๆ ที่มันฝังอยู่ในร่างกายเก่าของเรา ซึ่งวันดี คืนดี ก็แอบเข้ามา โน้มน้าวจิตใจ ชักชวน ยั่วยวนให้เราทำตามมัน มันก็จะนำเสนอ …
“วันนี้ เธอใส่เสื้อตัวนี้ดีกว่า”
เป็นเสื้อที่เก่า ขาดกระรุ่งกระหริ่ง น่าเกลียด น่าชังมาก แต่เขาก็โน้มน้าวจิตใจ จนเรารู้สึก เราใส่เสื้อใหม่มาเยอะแล้ว ลองใส่เสื้อเก่าสักทีดีไหม? พอเราใส่เสื้อเก่า แล้วเราทำออกไป ความอิจฉาริษยา หรืออะไรต่างๆ ที่เป็นวิถีชีวิตเดิม ที่เราเคยเป็น แต่ตอนนี้เราไม่เป็นแล้ว พอเราทำออกไปปุ๊บ เราจะรับรู้ว่าเสื้อตัวนี้ เราใส่แล้ว มันไม่เหมาะกับเรา ออกไป แล้วมันไม่สวย พอไม่สวย ทำอย่างไร? ไม่เห็นมีอะไรยากเลย กลับเข้าบ้าน ถอดเสื้อเก่าทิ้ง เอาเสื้อใหม่มาใส่ แค่นั้นเอง นั่นคือชีวิตคริสเตียน ระหว่างที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราจะเป็นอย่างนี้แหละ ใส่เสื้อใหม่ ถอดเสื้อเก่า เผลอใส่เสื้อเก่า ก็ถอดทิ้งไป เอาเสื้อใหม่มาใส่ มันจะเป็นขบวนการอย่างนี้ตลอด ช่วงเวลาที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้
แต่ว่าถ้าเรายิ่งรับรู้ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้ามากเท่าไร? เรารู้ว่าเสื้อใหม่เรามีเยอะมาก เราก็จะหยิบเสื้อเก่ามาใช้น้อยลง นานๆ ที เผลอก็หยิบมาที ถ้าเผลอหยิบมาทีหนึ่ง ก็ไม่ต้องรู้สึก … “แย่จังเลย ทำไมวันนี้เราถึงหลวมตัวไปใส่เสื้อเก่า น่าเกลียดมาก” … แล้วไปนั่งตำหนิตัวเอง ไม่ต้องเลยนะ ก็แค่ อ้าว! ใส่ผิด ถอดทิ้ง เอาตัวใหม่มาใส่ แค่นั้นเอง ชีวิตคริสเตียน
ดังนั้น ไม่มีโทษใดๆ สำหรับผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ต่อให้พฤติกรรมเราไม่ได้เป็นเหมือนอย่างที่ธรรมชาติ ที่เราเป็นอยู่ในพระคริสต์ ก็ไม่เป็นไร? เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ดูที่ผลของการกระทำ หรือพฤติกรรมของเรา ทำให้เราได้รับความรอด ความรอด เรามาจากความเชื่อในพระเยซูคริสต์ล้วนๆ เพียวๆ เท่านั้น
ตรงนี้บอกว่า … “พระคุณ ที่ไม่มีขีดจำกัด และสันติสุขในทางวิญญาณ” สันติสุข ที่พระเจ้าให้กับเราเรียบร้อยแล้ว สันติสุขที่ในวิญญาณของเรา ที่เราจะรับรู้ว่าตอนนี้สันติสุขอยู่ในเราแล้ว ให้เราสำแดงสันติสุขออกมา “สันติสุขที่ท่านได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้า” รับรู้ว่าตอนนี้ เราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว แยกจากกันไม่ได้เลย ไม่ว่าเราจะทำอะไรบนโลกใบนี้ กิน นอน เดิน ขึ้นรถ ลงเรือ ทำไม่ดี ทำดี เราก็ยังเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า พระเจ้าสถิตอยู่ในเรา ไม่หนีไปไหน? ฉะนั้น พอเรารับรู้ตรงนี้ ผ่านทางพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา คือผ่านทางความเชื่อนั่นแหละ เราได้รับตรงนี้มา ฉะนั้น พอเรารับรู้ตรงนี้ รับรู้มากเท่าไร? ข้างในเราจะรับรู้เลยว่าพระเจ้าอยู่ในเรา เราก็จะทำตัวให้เหมาะสมกับการที่พระเจ้าอยู่ในเรา พฤติกรรมเราก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญพระเจ้าพระบิดาของพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา ผู้ประทานพระพรฝ่ายจิตวิญญาณนานัปการ ในพระคริสต์แก่เราทั้งหลายในสวรรค์สถาน”
ก็คือพระพรฝ่ายวิญญาณในพระคริสต์ ในสวรรค์สถานที่พระเจ้าได้ประทานให้กับพวกเราเรียบร้อยไปแล้ว ที่คุยกันตั้งแต่ต้น พระพรเหล่านั้นเราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว ไม่ต้องไปวิ่งหาอีกต่อไป
เอเฟซัส 1:4 “เพราะพระองค์ได้ทรงเลือกเราไว้ในพระคริสต์ ตั้งแต่ก่อนทรงสร้างโลกให้บริสุทธิ์ ปราศจากที่ติในสายพระเนตรพระองค์ ด้วยความรัก”
ในข้อที่ 4 ตรงนี้ คำว่า “พระองค์ทรงเลือกเรา” … “เรา” ในที่นี้ ตรงนี้ไม่ได้เกี่ยวกับคนต่างชาติ แต่ “เรา” ตรงนี้ คือพวกยิว … ยิวเป็นชนชาติแรกที่พระเจ้าได้เลือกไว้ก่อน ยิวถึงรู้สึกภาคภูมิใจว่า …
“ฉันเป็นบุคคลพิเศษ ที่พระเจ้าเลือกฉันไว้ ฉันต้องดีกว่าพวกเธอที่เป็นคนต่างชาติ”
แต่มันเป็นแผนการ ที่พระเจ้าทรงเลือกชาวยิวมา เพื่อเป็นคนรักษากฎ ระเบียบของพระเจ้า เพื่อเป็นแบบอย่างของความชอบธรรม ที่มาโดยอับราฮัม … อับราฮัม คนยิวเขาถือว่าเป็นบิดาแห่งความเชื่อ แล้วพระเจ้าถือว่าอับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรม เพราะความเชื่อ ไม่ใช่การประพฤติ
ตั้งแต่สมัยอดีต พระคัมภีร์เดิมก็บอกเราชัดเจนเลยว่าที่อับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรม ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการประพฤติ แต่เกี่ยวกับความเชื่อ เมื่อพระเจ้าสั่งอับราฮัมทำอะไร อับราฮัมทำทันที คือเชื่อก่อน แล้วก็ทำ ทำไมเรารู้ว่าเชื่อก่อนถึงทำ เพราะตอนที่พระเจ้าเรียกอับราฮัม พระเจ้าทรงสัญญากับอับราฮัมว่าจะประทานบุตรคนหนึ่ง ตามพระสัญญา ที่จะเป็นต้นพันธุ์ ให้เผ่าพันธุ์ของอับราฮัมกระจายไปทั่วโลกเลย ตอนนั้น อับราฮัมอายุ 75 คนสมัยก่อนอายุยืนเนอะ อับราฮัมก็เชื่อเลย แต่ในระหว่างที่เชื่อ ตามธรรมชาติของมนุษย์ เชื่อ มันไม่เกี่ยวกับการประพฤติ ถ้าพี่น้องแยกให้ชัดเจน ความเชื่อไม่เกี่ยวกับการประพฤติ อับราฮัมเชื่อๆ จนถึงวันหนึ่ง เมื่อผ่านไปประมาณ 10 ปี นางซาราห์ก็ยังไม่มีลูกเลย ยังไม่ตั้งท้องด้วยซ้ำไป นางซาราห์ก็เลยไปช่วยพระเจ้า ยกคนใช้ นางฮาการ์ มาให้อับราฮัม แล้วก็คลอดลูกคนหนึ่ง ชื่ออิชมาเอล แต่พระเจ้าก็ยังไม่ถือว่าเชื้อสายของอิชมาเอลเป็นลูกแห่งพันธสัญญา เพราะพระเจ้าบอกว่าลูกแห่งพันธสัญญาจะมาทางสายนางซาราห์เท่านั้น
ฉะนั้น ด้วยความเป็นมนุษย์ ก็ทำผิดพลาดไปใช่ไหม? แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ถือว่าความผิดพลาดตรงนี้ ทำให้อับราฮัมสูญเสียความชอบธรรม เห็นไหม? อับราฮัมไม่ได้สูญเสียความชอบธรรม พระเจ้าก็ยังรักเขาอยู่ เพราะว่าตั้งแต่เริ่มต้น เขาเชื่อ แม้พฤติกรรม การประพฤติอาจจะออกนอกลู่นอกทาง จากที่พระเจ้าบอก ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับความเชื่อของเขา
พอหลังจากที่อับราฮัมรอคอย ต่อมาอีก 10 กว่าปี ตอนอับราฮัมอายุ 99 ปี พระเจ้ามาเจอเขาอีก แล้วก็บอกกับเขาว่าวันนี้ ปีหน้า นางซาราห์จะคลอดบุตร ฉะนั้น บุตรตรงนี้ ที่พระเจ้าบอก ก็คือบุตรแห่งพันธสัญญา ที่พระเจ้าบอกบุตรคนนี้แหละ จะเป็นต้นพันธุ์ที่พระเจ้าจะอวยพร พอพระเจ้ามาสัญญาปุ๊บ พระเจ้าก็ตั้งชื่อให้เลยว่า “อิสอัค” ลูกยังไม่ทันคลอดออกมาเลย พระเจ้าตั้งชื่อแล้ว อับราฮัมก็ยังเชื่อ คือแม้จะรู้สึกว่ามันทะแม่งๆ แต่เขาก็ยังเชื่ออยู่ดี แล้วนางซาราห์ก็ตั้งครรภ์จริงๆ คลอดบุตร
หลังจากคลอดบุตร บุตรได้โตประมาณหนึ่ง พระเจ้าก็สั่งอีก ให้อับราฮัมเอาบุตรไปถวายให้พระเจ้า การถวายบุตรในยุคของอับราฮัม คือไปฆ่าให้ตายเลยนะ เหมือนถวายเครื่องบูชา อับราฮัมก็เชื่ออีก นี่แหละ ความเชื่อ ทำให้อับราฮัมเป็นผู้ชอบธรรม เชื่อแบบไม่มีการต่อล้อต่อเถียง ความเชื่อ คือเชื่อจริงๆ ไม่ว่าพระเจ้าสั่งอะไร เราเชื่อตามนั้น แม้เราจะไม่เข้าใจเหตุผลของพระเจ้าว่าเพื่ออะไร? เพราะอะไร? พระเจ้าอุตส่าห์ให้มา ฉันรอตั้ง 25 ปี ทำไมพระเจ้าถึงทำอย่างนี้ ไม่มี
อับราฮัมก็ยังคงเชื่อเหมือนเดิม พาอิสอัคไปถวาย นั่นแหละ ความเชื่อตรงนี้ พระเจ้าถือว่าเป็นความชอบธรรมของอับราฮัม หลังจากเชื่อ อับราฮัมก็พาอิสอัคไปถวาย เห็นไหม? ความเชื่อมาก่อนการประพฤติ
ฉะนั้น ความเชื่อเท่านั้นที่พระเจ้าถือว่าเป็นความชอบธรรม พอถึงยุคปัจจุบันของเรา พระเจ้าก็ดูที่ความเชื่อ พอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราย้ายจากเผ่าพันธุ์เดิม เผ่าพันธุ์ของอาดัม คือความบาป อยู่ในความสาปแช่ง ตายกับตาย ตายแรก คือวิญญาณตาย ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ ตายที่สอง คือร่างกาย กำลังรอวันตายไปสู่ดิน นั่นคืออันเดิมของเรา ที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า แล้วไม่มีตัวเลือกด้วยนะ พอเราโตๆ จนถึงพระเยซูคริสต์ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ พระเยซูบอกว่ามีทางเลือกใหม่ คือใครที่เห็นว่าตัวเองไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ คืออยู่ในความตายกับตาย แต่อยากได้ชีวิต ให้ตัดสินใจ ย้ายจากต้นไม้แห่งความตาย ต้นไม้แห่งความสาปแช่ง ต้นไม้แห่งความมืด ความบาปของอาดัม ย้ายมาอยู่ที่ต้นไม้ใหม่ คือต้นไม้แห่งชีวิต คือพระเยซูคริสต์ ดังนั้น ใครที่ได้ยิน ได้ฟังข่าวประเสริฐตรงนี้ แล้วตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ เขาก็ถูกย้ายมา แล้วการย้ายตรงนี้ ไม่ใช่การกระทำของเรา พอเราตัดสินใจปุ๊บ พระเจ้าเป็นคนย้าย พระเจ้าก็เริ่มขบวนการการย้าย โดยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่นำเราฝังเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ ไปบัพติศมาด้วยกัน ไปตรึงด้วยกัน ฝังด้วยกัน แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ด้วยกัน พอผ่านการย้ายปุ๊บ วิญญาณเราตอนนี้ ไม่ได้เป็นวิญญาณเก่าแล้วนะ ไม่ได้เป็นวิญญาณแห่งความตาย วิญญาณแห่งความตาย เราตายไปแล้ว เรามีวิญญาณใหม่ คือวิญญาณแห่งชีวิต วิญญาณที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิด วิญญาณที่ไม่มีบาปเลย
พอไม่มีบาปปุ๊บ เราก็ไม่ต้องสารภาพบาป ใช่ไหม? เราไม่มีบาป แล้วเราจะไปเอาบาปที่ไหนมาสารภาพล่ะ ก็ไม่ต้อง ฉะนั้น มีการสารภาพบาป เฉพาะคนที่อยู่ในความตาย อยู่ในบาป แล้วสารภาพครั้งเดียวด้วย เมื่อวันที่เขาตัดสินใจ ต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด คือสารภาพว่าเราเป็นคนบาป เราไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เราอยากขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า สารภาพครั้งนั้น ครั้งเดียว แล้วพระองค์สัตย์ซื่อ พระองค์ชำระเราเลย ให้พ้นจากบาปทั้งสิ้น
“บาปทั้งสิ้น” ตรงนี้หมายถึงบาปทั้งในอดีต ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า และบาปปัจจุบัน วันที่เรามาเชื่อพระเจ้า และยังเป็นบาปในอนาคต หลังจากที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราคงจะทำบาปอยู่ ดังนั้น พระเยซูบอกว่าชำระหมดสิ้น ก็คือหมดเลย ไม่ต้องมานั่งสารภาพบาปอีก สำหรับผู้เชื่อ ฉะนั้น พอเราพูดอย่างนี้ปุ๊บ หลายคนก็ ได้อย่างไร? แต่ความจริงในถ้อยคำพระเจ้าบอกเราอย่างนั้น มันเป็นความจริง เรามีวิญญาณใหม่ที่สะอาดบริสุทธิ์ ไม่มีบาป พอไม่มีบาป เราทำบาปไม่เป็น ใช่ไหม? วิญญาณเดิมเราตายไปแล้ว เรามีวิญญาณใหม่ เราทำบาปไม่เป็น แต่ทำไมคริสเตียนยังทำบาป เราคุยกันเรื่องนี้ หลายคนไม่เข้าใจ เราต้องอธิษฐานขอพระเจ้าเปิดตาใจ ฝ่ายวิญญาณ ให้สามารถเข้าใจเรื่องนี้ได้ พอเราเข้าใจเรื่องนี้ปุ๊บ เราเป็นอิสระเลย ความจริงจะทำให้เราเป็นไทเลย เหตุที่คริสเตียนยังคงทำบาปอยู่ เพราะเรายังอยู่ในร่างกายเดิม ที่กำลังเดินทางไปสู่ความตาย แล้วโปรแกรมเดิม ที่เป็นโปรแกรมบาป ที่ยังฝังอยู่ในสมองของเรา มันยังคงอยู่ พอคงอยู่ปุ๊บ มันก็มีโอกาสที่อิทธิพลของโลกใบนี้ ของบาป ของผีมารซาตาน ส่งจากข้างนอกเข้ามาชักชวน หว่านล้อมด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ แต่เรามีสิทธิ์ เราผู้เชื่อ ตอนนี้เรามีสิทธิ์ในการเลือกที่จะเชื่อมัน คือถูกการหว่านล้อมจนใจแตก แล้วก็ไปทำตามมัน ก็เรียกว่าล้มลงในความบาป ใช่ไหม? คริสเตียนล้มลงในความบาป
แต่ไม่ว่าเราจะทำอะไร? เชื่อมัน ล้มลงในความบาป ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับความรอดของเรา เพราะวิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ พฤติกรรม หรือการกระทำ ไม่สามารถส่งผล ทำให้ผู้เชื่อ ต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์ของพระเจ้า เพื่อพิพากษาอีกต่อไป ไม่สามารถ เพราะขณะที่เราอยู่บนโลกใบนี้ เราเป็นผู้เชื่อแล้ว เราเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เป๊ะเลย วิญญาณใหม่สะอาดบริสุทธิ์ หมดจด พอถึงวันที่ลมหายใจเราออกจากร่าง วันสุดท้ายที่พระเยซูคริสต์เสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง จะมีการพิพากษา ฉะนั้นการพิพากษาตรงนี้ มีไว้สำหรับผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าเท่านั้น ผู้ที่ไม่ยอมหันจากความบาป หรือต้นไม้เดิม ต้นไม้ของอาดัม ยังคงพึ่งความสามารถ พฤติกรรม การกระทำของตัวเอง เพื่อที่จะสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง ซึ่งรู้อยู่แล้วว่ามันสร้างอย่างไร? ก็ไม่ได้ ก็คือต่อให้ทำขนาดไหน? วิญญาณเขาก็ยังอยู่ในความบาปและความตาย ฉะนั้น เมื่อวันสุดท้ายของชีวิต เมื่อเขาไปยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า ในพระคัมภีร์ใช้คำว่าวิญญาณของผู้ตาย แต่เราผู้เชื่อ เราไม่ตาย เราผู้เชื่อ เรามีวิญญาณใหม่ วิญญาณนิรันดร์ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ดังนั้น ในพระคัมภีร์จะไม่ใช้คำว่า “ตาย” กับผู้เชื่อ พระคัมภีร์จะใช้คำว่า “ล่วงหลับ” เราหลังจากโลกนี้ ทิ้งร่างกายนี้ ถ้าเป็นชาวบ้าน เขาก็เรียกว่าตาย ร่างกายตาย วิญญาณไม่ตาย วิญญาณเราก็ไปอยู่ที่เดิม คือที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า แค่สวมร่างกายใหม่ อันนี้ชัดเจนมากเลย
ฉะนั้น คนที่ตาย ไปยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์แห่งการพิพากษาของพระเจ้า คือคนที่ตายทั้งวิญญาณ ตายตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ และร่างกายก็เดินทางไปสู่ความตาย เมื่อทิ้งร่างกายนี้ ที่ต้องลงดิน วิญญาณก็ยังตายเหมือนเดิม แล้วก็ต้องไปยืนอยู่ตรงหน้าบัลลังก์แห่งการพิพากษาของพระเจ้า แล้วถึงวันนั้น ก็เรียกว่าตัดสินเด็ดขาด หมายความว่ามันจบแล้ว ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ ถูกตัดสินไปแล้วใช่ไหม? แต่พระเจ้าชะลอเวลา เพื่อเปิดโอกาสให้คนกลุ่มนี้ ได้กลับใจใหม่ คือ …
“ฉันเปิดโอกาสให้เธอนะ เธอสามารถเปลี่ยนขั้วได้ เธอสามารถที่จะย้ายจากต้นไม้แห่งความตาย มาสู่ต้นไม้แห่งชีวิตได้นะ”
แต่พอถึงวันสุดท้ายจริงๆ คนที่ยังคงไม่ยอมย้าย ยังคงอยู่ที่เดิม ยังคงพึ่งความชอบธรรมของตัวเอง พึ่งการประพฤติของตัวเอง วันนั้นแหละ ของจริง คือการพิพากษาจริงๆ วิญญาณตาย ร่างกายตาย ไปยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า และนั่นแหละ พระเจ้าก็จะพิพากษาครั้งสุดท้าย วิญญาณของผู้คนเหล่านั้น ก็จะถูกทิ้งไปที่บึงไฟนรกนิรันดร์กาล
นี่คือความจริงทั้งหมดในถ้อยคำของพระเจ้า ฉะนั้น หลายคนอาจจะคิดว่าเราผู้เชื่อ เราตายไปแล้ว เรายังต้องไปยืน ถูกพิพากษาอีกหรือ? ไม่มี ไม่สามารถไปยืนอยู่ได้ หรือไม่ต้องยืนด้วย เราไม่ได้ถูกพิพากษาเลย เพราะว่าวิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ หมดจดแล้ว เราเป็นผู้ชอบธรรม เรามีวิญญาณใหม่ เรามีชีวิตนิรันดร์ตั้งแต่อยู่บนโลกนี้แล้ว ไม่มีคำว่าพิพากษา สำหรับผู้เชื่อเลย อันนี้พี่น้องจำให้ดีๆ อย่าให้ใครมาพูดให้เราสั่นคลอน หรือหวั่นไหว พอทำอะไรไม่ถูกต้อง ตกลง …
“ถ้าฉันตาย ฉันยังต้องไปถูกพิพากษาไหม?” หรือว่า “ถ้าฉันตาย ความรอดจะหายไปไหม?”
พระเจ้าบอกเราชัดเจน ในถ้อยคำของพระองค์บอกว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้า เราเป็นแกะของพระองค์ แกะของพระเยซูคริสต์ อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่มีใครสามารถแย่งชิงแกะนั้น ไปจากมือของเราได้ แล้วเราก็จะดูแลแกะนั้น ตั้งแต่อยู่บนโลกใบนี้ ไปจนถึงโลกหน้า แล้วเราก็จะเป็นหนึ่งเดียวกันกับเขา เราไม่ทิ้งเขา เราอยู่กับเขาตลอดเวลา จนถึงในอนาคตข้างหน้า ที่วิญญาณของคนเหล่านี้ผู้เชื่อ ออกจากร่าง เขาก็ไปอยู่ที่เดิม ก็คือที่ที่พระเยซูคริสต์สถิตอยู่ ณ เวลานี้ เรารับรู้ในโลกวิญญาณ แต่ถ้าถึงวันนั้น เราไม่ต้องใช้ความเชื่อแล้ว เราก็ไปเจอพระเจ้าหน้าต่อหน้า ถึงวันนั้น เราไม่ต้องใช้ความหวัง ที่จะรอร่างกายใหม่ ก็คือเราได้รับร่างกายใหม่ จากพระเจ้าเลย
นี่คือสิ่งที่เป็นความจริง ที่พระเยซูจะย้ำตลอด … “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า …” แล้วถ้าใครรู้ความจริง ความจริงจะทำให้ผู้นั้นเป็นไท ฉะนั้น เราเป็นคริสเตียน เราจำเป็นจะต้องรู้ความจริง ถ้า คริสเตียนที่ไม่รู้ความจริง หรือรู้ครึ่งๆ กลางๆ ก็จะถูกหลอกได้ แล้วชีวิตเราก็ไม่สามารถที่จะมีสันติสุขในพระเจ้าได้อย่างเต็มที่ มันน่าเสียดาย ที่พระเจ้าทำให้เราเสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว ทำไมเราต้องไปตะเกียกตะกายทำ เพื่อที่จะได้รับความชอบธรรมจากพระเจ้า ตะเกียกตะกายทำ เพื่อว่าวันสุดท้าย เราไปยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า เราจะได้รับความรอด
พระเยซูบอก … “เธอรอดแล้ว รอดเลย เธอเป็นลูกฉันแล้ว เธอจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้แล้ว”
ก็คือความจริง ฉะนั้น ขอพระคุณพระเจ้า ทรงเมตตาเรา ให้ความจริงนี้ ได้ถูกฝังรากลึกลงไปในวิญญาณของผู้เชื่อทุกคนที่ได้ยินได้ฟังเรื่องความจริงนี้ ที่จะปลดปล่อยให้เขาเป็นไท
พระเจ้าอวยพรค่ะ
*******************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
โรม 8:8-9 “8 บรรดาผู้ที่ธรรมชาติวิสัยบาปควบคุมอยู่ (ยังไม่ได้บังเกิดใหม่) ไม่อาจเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าได้ 9 อย่างไรก็ตาม ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน (บังเกิดใหม่แล้ว) ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมโดยวิสัยบาป แต่โดยพระวิญญาณ”
เชื่อพระเจ้า อย่าหลงไปเชื่อใคร พระองค์ทรงห่วงใย รักแท้และแน่จริง
คริสเตียนบังเกิดใหม่ ก็เป็นอิสระจากการควบคุมของอำนาจบาป
ไม่ใช่เป็นอิสระที่จะทำบาป ซึ่งตามธรรมชาติเป็นไปไม่ได้ด้วย เพราะบังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้าแล้ว นอกจากถูกล่อลวงให้หลงเชื่อศัตรู
ในตอนเริ่มต้นการทรงสร้างของพระเจ้า โลกวัตถุเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-อยู่ตลอดไป (นิรันดร์) เพราะเหตุมนุษย์หลงเชื่อคำหลอกลวงจากซาตาน จึงดื้อรั้น ไม่เชื่อฟังต่อพระเจ้า และผลคือความตาย กลายเป็นเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับศูนย์ไป ทุกสิ่งบนโลกนี้ที่เป็นวัตถุสิ่งของจับต้องมองเห็นได้ รวมทั้งร่างกายภายนอกนี้อยู่ในขบวนการมุ่งไปสู่การดับศูนย์ทั้งสิ้น
ส่วนฝ่ายวิญญาณ ผลของความบาปที่เกิดขึ้น กับวิญญาณมนุษย์ คือเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-อยู่ตลอดไป แต่ ตายจากความสัมพันธ์กับพระเจ้าตายจากธรรมชาติของพระเจ้าซึ่งเรียกว่าพระสิริ ไม่สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้
ขบวนการชั่วร้ายทำลายล้าง มนุษยชาติและสิ่งที่ พระเจ้าทรงสร้างทั้งสิ้นนี้พระคัมภีร์เรียกขบวนการนี้ว่าคำสาปแช่ง (ถูกพิพากษาให้รับโทษ)
“พระคริสต์ได้ทรงไถ่เรา พ้นจากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ โดยทรงรับคำสาปแช่งแทนเรา” เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า “ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ ก็ถูกแช่งสาปแล้ว” กาลาเทีย 3:13
พระเจ้าอวยพรครับ