คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2018
เรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ”
ตอน 4 “ความรอดนิรันดร์ โดยความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 2
โดย นคร เวชสุภาพร
สวัสดีครับ ถึงเวลารับประทานอาหารฝ่ายวิญญาณ ซึ่งเป็นอาหารที่สำคัญที่สุดของชีวิตของมนุษย์ อาหารร่างกายเลี้ยงดูร่างกายอย่างไร? วันหนึ่งร่างกายก็ต้องตาย แต่วิญญาณสำคัญกว่า เพราะจะต้องอยู่นิรันดร์ หมายถึงจะอยู่ตลอดไป แต่จะอยู่ที่ไหนตลอดไป อยู่ในแสงสว่างตลอดไป หรืออยู่ในความมืดตลอดไป อยู่ในสวรรค์ตลอดไป หรืออยู่ในบึงไฟนรกตลอดไป อันนี้ขึ้นอยู่กับถ้อยคำแห่งความรู้ เรื่องราว หรือข่าวที่มาถึงเรา เป็นข่าวดีหรือข่าวร้าย ถ้าเป็นข่าวดี เราเข้าใจข่าวดีนั้นไหม? เราน้อมรับข่าวดีนั้น ด้วยความถ่อมใจ ไม่เย่อหยิ่งไหม? พระเยซูบอกข่าวดี ความจริงนั้น ก็จะทำให้เราเป็นไท เป็นอิสรภาพจากการถูกกดขี่ จากการที่ต้องไปอยู่ในที่มืด จากการที่เป็นทาสอยู่ในที่มืด ตลอดชีวิตของเรา แม้กระทั่งในวิญญาณตลอดไปนิรันดร์กาล เพราะฉะนั้น การเรียนรู้เรื่องถ้อยคำพระเจ้า จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด ในเรื่องของคริสเตียน เรื่องของโลกวิญญาณ เรื่องของพระเยซูคริสต์
พระเยซูให้ความสำคัญกับเรื่องถ้อยคำของพระองค์มาก ถึงขนาดพระคัมภีร์ให้ชื่อพระเยซู ว่าถ้อยคำ เมื่อพูดถึงถ้อยคำพระเจ้าเมื่อไร ก็คือพระเยซู พระคัมภีร์ไทยให้เกียรติยกย่องพระเยซู ก็เลยเรียกถ้อยคำว่าพระวาทะ … วาทะ แปลว่าถ้อยคำ เวลาเราเรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าในพระคัมภีร์ เหมือนเรากำลังกินในวิญญาณ มันเป็นประโยชน์ต่อชีวิตเรา ไม่ใช่เฉพาะเท่านั้น พอเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว จากการเชื่อในพระเยซูคริสต์ แล้วเราเกิดใหม่ วิญญาณเราเป็นของพระเจ้า วิญญาณเราเป็นลูกของพระเจ้า เราอยู่ในครอบครัวของพระเจ้า เราจะได้ยินเสียงของพระองค์ตลอดเวลา และถ้อยคำเหล่านั้นเป็นอาหารให้เราเจริญเติบโต พอเติบโตขึ้นเรื่อยๆ วิญญาณไม่ใช่หยุดอยู่แค่นั้น ถ้าหยุดแค่นั้น ผมว่าพระเจ้าคงจะนำเรากลับไปบ้านแล้ว ไปอยู่ในสวรรค์นิรันดร์สบายกว่าเยอะ ถามว่ายังอยู่ในร่างกายนี้อีกทำไม? ในเมื่อร่างกายนี้ ต้องประสบปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้อีก ก็เพื่อวิญญาณจะได้โตขึ้นๆ และในพระคัมภีร์บอก จะได้เป็นที่อยู่อาศัยของนกกา ตัวเล็กๆ น้อยๆ ต่อไปในอนาคต มันมีประโยชน์ แล้วจะมีประโยชน์ได้อย่างไร ถ้าต้นไม้ต้นนี้มันไม่โตสักที ออกมาเป็นผักชี มันก็ยังเป็นผักชี วันยังค่ำ จนสุดท้ายก็ยังเป็นผักชี ไม่ได้ พระเจ้าเรากำเนิดแล้ว ต้องโตขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วจะโตได้อย่างไร? ก็คือถ้อยคำแห่งความจริง คือถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่มาถึงเราแบบถูกต้อง ก็จะทำให้เราเจริญเติบโต
เวลาท่านมาคริสตจักร หลายคนเข้าใจผิด ให้ความสำคัญ 1, 2, 3 ผิดไป ในตอนที่ท่านมาคริสตจักร ตั้งแต่ สมมติ 9 โมงเช้า … 9 โมงเช้าก็มีเรียนถ้อยคำแล้ว มีชั้นเรียน 10 โมงก็เป็นช่วงเวลาของการนมัสการ ร้องเพลงกัน … ร้องเพลงเสร็จปุ๊บ ก็เป็นช่วงให้โอกาส เราได้ฝึกฝนการให้ออกไป เขาเรียกว่าถวายทรัพย์ เสร็จแล้วจากนั้น ก็มีช่วงเวลาแห่งการบรรยายถ้อยคำพระเจ้า ก็คือมาเรียนรู้อีก เรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้า ก็เหมือนช่วงแรกๆ 9 โมงเช้า มาเรียนรู้จนกระทั่งถึงเที่ยง ก็มีอีกช่วงหนึ่ง คือช่วงรับประทานอาหารร่วมกัน สามัคคีธรรมร่วมกันระหว่างพี่น้อง ทานไป คุยไป อะไรต่างๆ เหล่านี้ หลังจากนั้นอาจจะมีชั้นเรียน หรือกลุ่มต่างๆ ซึ่งเข้ากลุ่มกัน ปรึกษาหารือชีวิตบ้าง เรียนรู้ถ้อยคำพระเจ้าบ้าง ไม่หนักแล้ว ไม่เพียวๆ แล้ว แต่อาจจะเรียนรู้ผ่านทางประสบการณ์ในชีวิตของคนนั้น คนนี้เป็นอย่างไร? ถามทุกข์สุขกันอะไรอย่างนี่
ถามว่าทั้งหมด 5 ช่วงนี้ ช่วงไหนที่ท่านคิดว่าสำคัญที่สุด ท่านชอบช่วงไหนที่สุด? หลายคนก็บอกชอบช่วงนั้น ช่วงนี้ แต่ผมจะบอกเคล็ดลับให้ท่านฟัง ช่วงที่ดีที่สุด ในชีวิตของเรา อาจจะไม่ตรงกับความรู้สึกในร่างกาย ยังชอบในช่วงนี้ แต่สำหรับวิญญาณ ชอบช่วง 9 โมงเช้ากับช่วง 11 โมงนั้นมากที่สุด วิญญาณชอบมาก ถึงแม้ร่างกายอาจจะเบื่อหน่าย ผมจะบอกให้ท่านว่าวิญญาณเขาชอบมาก นี่คือการเจริญเติบโต ส่วนช่วงเที่ยงนั้น เป็นช่วงที่ร่างกายชอบมาก เพราะเป็นการเจริญเติบโตเหมือนกัน โตขึ้นเรื่อยๆ ช่วงกินอาหารร่วมกัน แล้วช่วงรองลงไป ผมไม่ได้พูดว่าอะไรมันสำคัญกว่าอะไรนะ กำลังบอกท่านว่าท่านควรให้ความสนใจกับอะไร? เป็นพิเศษ ช่วงตอนบ่าย หลังจากรับประทานอาหารแล้ว ตอนเข้ามาในกลุ่ม ได้มีถ้อยคำพระเจ้าและประสบการณ์ เพราะประสบการณ์ไม่ใช่ถ้อยคำพระเจ้าเลยทีเดียว แต่เราฟัง ได้ช่วยเหลือพี่น้อง ได้หนุนใจกันไปกันมาเท่านั้นเอง ไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญกว่ามาเรียนถ้อยคำ ถ้อยคำนั้นสำคัญกว่า เพราะเป็นของจริงในพระคัมภีร์ แต่เวลาเราคุยกัน เราแบ่งปันกัน บางทีพูดผิดพูดถูก บางคนก็บอกอย่างนี้ พูดอย่างนี้ บางทีก็ไม่ชัดเจน แต่ที่ชัดเจน คือเอาพระคัมภีร์มา แล้วมีผู้คนแบ่งปันในถ้อยคำพระเจ้า นั่นแหละ ตรงนี้สำคัญ
เลยอยากจะฝากบอกท่านว่าชีวิตคริสเตียนอยู่ได้ด้วยตรงนี้ และมาถึงทุกวันนี้ 2,000 ปีได้ ด้วยตรงนี้ เจริญเติบโตจากคนๆ เดียว เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เชื่อพระเยซู เชื่อว่าพระองค์เอง คือใคร? จากประกาศเรื่องพระองค์เองคนเดียวบนไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้ว แล้วจากนั้น ก็ไล่ต่อมาจนถึงวันนี้ 2,000 ปีผ่านมาแล้ว มีผู้คนนับพันๆ ล้านๆ คน มาเชื่อในข่าวดีนี้ ก็เพราะมันเจริญเติบโต เพราะถ้อยคำแห่งความจริงนี้ ไม่ตาย เพราะฉะนั้น ต้องให้ความสำคัญ มิได้พูด เพื่อจะบอกว่าร้องเพลงไม่สำคัญ อธิษฐานไม่สำคัญ เปล่า กินข้าวไม่สำคัญ หรือกินข้าวสำคัญ สำคัญ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เรียนอะไรงงไปหมดแล้ว ถ้าไม่ได้กิน แต่สำคัญน้อยกว่า การนมัสการพระเจ้าก็สำคัญน้อยกว่า เพราะการนมัสการพระเจ้า ก็คือถ้อยคำพระเจ้า ที่ขึ้นบนเวที ที่ท่านอ่าน ร้องเพลงไป บางคนร้องเหมือนอ่านนะ แต่ก็ยังโอเค ยังอยู่ในถ้อยคำพระเจ้า นี่พูดความจริงนะ บางคนร้องเหมือนอ่านเลย เขาก็มีความสุข ของใครของเขา นี่ไม่ใช่เอามาประจานกัน แต่กำลังจะเล่าให้ท่านฟังว่าอะไรมันสำคัญ อะไรควรจะให้ความสำคัญมากที่สุด
ฉะนั้น ถึงเวลาเรียน ตั้งใจจริงๆ เท่าที่ทำได้ แม้กระทั่งเวลาที่เราหลับไป แต่ถ้าเราตั้งใจจริงๆ เดี๋ยวเราตื่นขึ้นมา เรากลับบ้าน พระวิญญาณคงจะเตือนเรา ตะกี้เราฟังตอนนอน ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นได้ ก็ดี แต่ถ้าเป็น ก็ช่วยไม่ได้ มันเพลีย หลับก็หลับไป ไม่ต้องพยายาม ให้เป็นอิสระ ดังนั้น คนที่ตะโกนมาตะกี้นี้ ชอบตอนนี้ที่สุด เพราะว่าชอบหลับ ก็โอเค ก็ทำไป ก็ยังดีกว่าไม่อยู่ที่นี่เลย เอเมนไหม? มาแล้วก็ตั้งใจ อย่างน้อย ได้เพลงสุดท้าย ก็ยังดี “สรรเสริญพระเจ้า ผู้อำนวยพร” ก็ยังได้สรรเสริญพระเจ้าว่าชีวิตเรา ความจริง ก็คือพระเจ้าสำคัญที่สุด พระองค์มี 3 พระภาค คือพระเจ้า พระบิดา พระเจ้า พระบุตร พระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างน้อยได้ตรงนี้ กลับบ้าน ก็ยังดี แล้วตลอดชั่วโมง ก็ดองอยู่ในเรื่องถ้อยคำพระเจ้า ถึงแม้จะหลับไป ก็ดองอยู่ในนี้ กลับไป ก็ชื่นใจ
พอท่านให้ความสำคัญถูก พอท่านกลับไปอยู่ที่บ้าน หรือที่ไหน? ท่านก็จะให้ความสำคัญถูก ไม่ใช่วันทั้งวัน นั่งแต่ร้องเพลง อธิษฐานๆ ไม่ศึกษา ไม่ดูถ้อยคำเลย อย่างนี้มันก็ไม่สมดุล … ไม่สมดุลไม่พอ สิ่งสำคัญมันหายไป เหมือนไม่ได้กินข้าวเลย เข้าใจไหม? ถ้อยคำต้องสำคัญ จริงๆ มันก็คือความสมดุล ไม่ร้องเพลงเลยได้ไหม? ไม่ได้ ก็ควรจะร้องบ้าง? แต่อะไรสำคัญกว่า ถ้อยคำ อ่านบ้าง? ฟังบ้าง? เดี๋ยวนี้เขามีเครื่องไม้เครื่องมือที่พระเจ้าให้เยอะแยะ เราควรจะใช้ให้เป็นประโยชน์ อย่างเช่นสมัยก่อนมี CD มีเทป มีมือถือบันทึกได้ เปิดยูทูปได้ เปิดเยอะแยะไปหมดเลย ถ้าบอกไม่ได้ฟัง มันเสียดายมาก เดี๋ยวนี้มีถึงขนาดอ่านให้เราฟังก็ได้ แค่นี้เราก็ยังขี้เกียจ ไม่ได้ว่าท่านนะ เพราะเนื้อหนังร่างกาย มันจะขี้เกียจอย่างนี้ สิ่งใดที่มันดีสำหรับเรา มันไม่อยากทำ เพราะมันเป็นเนื้อหนังอยู่ข้างนอก เป็นร่างกายที่ตาเรามองเห็น มีแต่สิ่งสกปรกโสโครก ที่เรียกว่าเนื้อหนัง ก้อนนั้นมันอาจสกปรกบ้าง กระทบกระทั่งเราบ้าง ก็ต้องอภัยกัน เพราะมันเป็นก้อนเนื้อหนัง ไม่ใช่มองเขาอย่างเดียว เรามองตัวเราเองก็เห็น มันคือก้อนเนื้อหนัง ก้อนสกปรก ก้อนโสโครก ก้อนที่เป็นทาสของความบาป ก้อนที่เรียกว่าวิสัยของบาปอาศัยอยู่ในนี้ทั้งหมดเลย ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่างหนึ่ง นิดหนึ่ง ก็ไม่มี แต่ทะลุลงไปในก้อนนี้ เป็นวิหารของพระเจ้า พระเมตตาคุณของพระเจ้าสถิตอยู่ในก้อนนี้ ขอบคุณพระเจ้า เข้าใจใช่ไหม เมื่อเราเห็นอย่างนี้ได้ เราจึงเน้นที่วิญญาณของเราว่าเราต้องจำเริญเติบโตทางวิญญาณให้ได้ สำคัญที่สุดตรงนี้ ฉะนั้น ถ้าเราแยกไม่ออก มันก็จะปะปนกันยุ่งไปหมด อะไรที่เนื้อหนังทำ เราต้องยอมรับรู้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นเอง เพื่อเราจะอภัยให้คนอื่นได้ด้วยว่าเราก็เป็นอย่างนี้ เขาก็เป็นอย่างนี้แหละ เพราะมันอยู่ในเนื้อหนังเหมือนกัน ต้องอภัยกัน และมองทะลุสิ่งเหล่านี้ไปสู่โลกวิญญาณ
ดังนั้น ถ้อยคำพระเจ้าที่ผมบอก จึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่เราควรจะเอาใจใส่ ถือโอกาสวันนี้มาพูดตรงนี้ เป็นพิเศษ ยังไม่เข้าเรื่องบรรยายนะ ผมรู้ทุกคนอยากจะฟังแล้ว พอพูดอย่างนี้ตื่นเต้น อย่างน้อยๆ ต่อจากนี้สัปดาห์หนึ่ง ทุกคนจะตื่นเต้นเรื่องเกี่ยวกับกลับไปแล้ว ไปกินถ้อยคำพระเจ้า ไปศึกษาถ้อยคำพระเจ้า ไปอ่านถ้อยคำพระเจ้า ไปฟังถ้อยคำพระเจ้า ผมเชื่อเลย ได้แค่อีก 7 วัน หลังจากนั้น ก็กลับมาเหมือนเดิม จริงหรือไม่จริง? ต้องยอมรับความจริง เพราะก้อนเนื้อหนัง มันไม่อยากให้เราเข้าไปยุ่ง อะไรที่เป็นของพระเจ้ามันเบื่อ ผมจะพาให้ท่านไปเห็นว่าก้อนเนื้อหนัง ทำให้เราน่าสมเพช ทำให้เราน่าสงสารขนาดไหน? นี่ขนาดเปาโลนะ เปาโล คือผู้เชื่อที่ได้พบพระเยซูหน้าต่อหน้า ครั้งหนึ่งในชีวิตของเขา ตอนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ แล้วในพระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าพาเขาขึ้นไปบนสวรรค์ ตอนที่เป็นๆ อยู่นี้ ตอนที่เป็นมนุษย์ กลับมาทำงานต่อเลยนะ เห็นสวรรค์มาแล้ว ท่านลองคิดดู เปาโลคนนี้ รู้เรื่องหมดเยอะแยะขนาดนี้ พูดถึงก้อนเนื้อหนังของตัวเองว่าอย่างไร? ในโรม 7:21-25 ท่านอยากรู้ไหม? เราต้องมีความหิวกระหายในถ้อยคำพระเจ้า จำไว้เลย คิดอยู่ตลอดเวลา นั่นก็คือเราหิวตลอดเวลา เรื่องถ้อยคำพระเจ้า อย่างที่ผมเคยบอก ท่านคิดถึง …
“เอ๊ะ! ตรงนี้มันคืออะไร? ตรงนี้มันไม่เข้าใจเลย”
ไม่เข้าใจ เป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่าหยุดอยู่ตรงนั้น อธิษฐานสิ
“พระเจ้าตรงนั้น ลูกไม่เข้าใจ ลูกอยากรู้จักมากขึ้น ลูกไม่เข้าใจตรงนี้เลย ตรงนี้ คืออะไร? ลูกอยากรู้จักมากขึ้น”
นี่คืออธิษฐานอย่างนี้ แทนที่จะอธิษฐานขอความจำเป็นในชีวิตเยอะแยะ การกิน การอยู่ ปัญหาโน่นนี่ ไม่ใช่อธิษฐานไม่ได้ อธิษฐานได้ แต่พระเยซูบอกไม่จำเป็นต้องอธิษฐานมากมาย เหมือนชาวบ้านที่เขาไม่รู้จักพระเจ้าหรอก พูดไปมากๆ พระเจ้าจะได้ยิน มาตื้อๆ แล้วจะให้ ของเราไม่ใช่อย่างนั้น ยังไม่อธิษฐาน ก็รู้แล้ว อยากได้อะไร? ซื้อล๊อตเตอรี่ก็อยากให้มันถูก ไม่ต้องอธิษฐานหรอกว่าให้ถูก ไม่ต้องอธิษฐานหรอกว่าหิวข้าว ตอนนี้ขาดเงิน ไม่ต้องอธิษฐาน ก็รู้ อธิษฐานก็ไม่ต้องมากความ แล้วเอาเวลาที่เหลือ มาศึกษาถ้อยคำพระเจ้า ใช้เวลาที่เหลือคิดถึงถ้อยคำพระเจ้า คิดถึงเรื่องสวรรค์มันคืออะไร? เคาะมันไม่หยุดเลย เรื่องสวรรค์ แสวงหาสวรรค์ ไม่หยุดเลย ไม่ใช่แสวงหาความร่ำรวย ไม่หยุด ไม่ใช่แสวงหาขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า เรื่องปัญหาบนโลกใบนี้ไม่หยุดหย่อน พระองค์รู้แล้ว อยู่บนโลกนี้ มันต้องประสบปัญหาธรรมดา แต่สิ่งที่พระเยซูให้เราเคาะตลอดเวลา ขอตลอดเวลา แสวงหาตลอดเวลา มันหมายถึงเรื่องราวเกี่ยวกับสวรรค์ แล้วรู้ได้อย่างไร? มาทางถ้อยคำพระเจ้า มาทางพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แล้วก็อธิษฐาน พระเจ้าก็จะสอนเราจากประสบการณ์ในชีวิต อันนี้ตรงกับถ้อยคำนั้น อันนี้ตรงกับวันนั้น ที่เราฟังเทศน์ อันนี้ตรงกับวันนั้น ที่เราเปิดยูทูปฟัง อันนี้ตรงกับวันนั้น ที่เปิดอ่านบทความนี้ มันก็จะไปเรื่อยๆ อย่างนี้ วันแล้ววันเล่า หลับๆ ตื่นๆ แล้วมันก็งอกเงยขึ้นมาเป็นต้นไม้ใหญ่ เป็นประโยชน์ สำหรับบรรดาผู้คนรอบข้าง เอเมน
เราอยู่ในหัวข้อเรื่อง “เพราะข่าวดีสำเร็จแล้ว เราจึงเป็นไทแล้วจริงๆ” วันนี้เป็นตอนที่ 4 มีชื่อว่า “ความรอดนิรันดร์ โดยความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น” ตอน 2
ทบทวนนิดหนึ่ง ครั้งที่แล้ว เราสรุปว่าหนังสือฮีบรูที่ถูกเขียนไป เพื่อไปเตือน ชาวฮีบรูมี 3 กลุ่ม คือ …
กลุ่ม 1 คือกลุ่มที่ไม่เชื่อเลย ปฏิเสธพระเยซู เป็นศัตรูเลย
กลุ่ม 2 คือกลุ่มลักปิดลักเปิด แต่สรุปแล้ว ในใจลึกๆ ไม่เชื่อ แต่ข้าง
นอกดูเหมือนเชื่อ ถูกอิทธิพลของโลกดึงดูด จนกระทั่งในที่สุด ก็คือไม่เชื่อ
นั่นแหละ
กลุ่ม 3 ก็คือกลุ่มคนที่เชื่อจริงๆ เชื่อตั้งแต่ข่าวประเสริฐมาวันแรก ก็เริ่มเชื่อๆ รับไป
เรื่อยๆ กินไปๆ จนกระทั่งมัน หล่นตุ๊บลงไปที่วิญญาณ เกิดปิ๊งขึ้นมา กลายเป็น
บิ๊กแบงก์ กลายเป็นระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ในวิญญาณ กลายเป็นบังเกิดใหม่ เป็นลูก
พระเจ้า
ฮีบรู 6:9-12 มาอ่านอีกทีนะ
ฮีบรู 6:9-12 “9 แต่ว่า … เพื่อนที่รัก แม้เราจะพูดเช่นนี้ เราก็มั่นใจว่าในกรณีของท่านยังมีสิ่งที่ดีกว่า คือสิ่งต่างๆ ที่มาพร้อมกับความรอด 10 พระเจ้าทรงยุติธรรม พระองค์จะไม่ทรงลืมการงานที่ท่านทำและความรักที่ท่านแสดงให้พระองค์เห็น คือการที่ท่านช่วยเหลือประชากรของพระองค์ และยังช่วยพวกเขาต่อไป 11 เราปรารถนาให้ท่านแต่ละคน สำแดงความพากเพียรนี้ จนถึงที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าสิ่งที่ท่านหวังไว้จะเป็นจริง 12 เราไม่อยากให้ท่านกลายเป็นคนเกียจคร้าน แต่ให้เลียนแบบคนเหล่านั้น ซึ่งได้รับมรดกตามพระสัญญา โดยอาศัยความเชื่อและความอดทน”
เวลาอ่านถ้อยคำพระเจ้า ต้องรู้ภูมิหลังว่าเขาเขียนถึงใคร จะได้จำได้ศัพท์ จับได้ความว่าของจริงมันเป็นอย่างนั้น รู้แล้วใช่ไหมว่าพูดถึงกลุ่มแรก ปฏิเสธ พูดถึงกลุ่ม 2 ปฏิเสธแบบไปๆ มาๆ สรุปแล้ว คือปฏิเสธ แรกๆ ดูท่าทางรับ แต่จริงๆ คือไม่ได้รับจริง ยังกลัวอยู่ ในที่สุด ก็ปฏิเสธ กลุ่มสุดท้าย ก็คือกลุ่มที่เชื่อจริงๆ บังเกิดใหม่จริงๆ เป็นลูกของพระเจ้าจริงๆ ก็เลยใช้คำว่า “พวกพี่น้อง” ที่ตะกี้ผมบอกให้เติมข้างหน้า มีคำว่า “But”
“แต่ว่าเราไม่เหมือนกับ 2 กลุ่มนั้น พวกเรากลุ่มนี้ คือกลุ่มที่เชื่อจริงๆ เลย”
พูดถึงยิว ไม่ใช่เรานะ นำมาใช้ในชีวิตของเราปัจจุบัน เอามาเทียบใช้ แต่จริงๆ ที่อ่านอยู่นี้ เขากำลังพูดถึงพวกยิว กลุ่มสุดท้ายบอกว่า …
“แต่พวกเราไม่เหมือน 2 พวกนั้นนะ เราไม่ปฏิเสธ เรารับเชื่อ และตอนนี้ เราเป็นพี่น้องกันแล้ว เพราะเราเกิดใหม่ในพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนพระเยซู เป็นพี่น้องของพระเยซู เหมือนกันเลย เพราะฉะนั้น เราพี่น้องกัน แต่ว่าพวกเราไม่เหมือนกลุ่มแรก คิดถึงกลุ่มคนเหล่านี้ ที่พระเยซูตอนที่มาเดินอยู่บนโลกใบนี้ ก่อนที่พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระเยซูพูดถึงอาณาจักรสวรรค์ คนที่จะได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณว่าเป็นเช่นไร? มัทธิว 13:3-9 มาทบทวนกัน …
มัทธิว 13:3-9 “3 พระองค์ตรัสหลายสิ่งกับพวกเขา เป็นคำอุปมา เช่น “ชาวนาคนหนึ่ง ออกไปหว่านเมล็ดพืช 4 ขณะที่หว่าน บางเมล็ดก็ตกตามทาง และนกมาจิกกินไปหมด 5 บางเมล็ดตกบนพื้นกรวดหิน มีเนื้อดินน้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็ว เพราะดินไม่ลึก 6 แต่เมื่อแดดเผาก็เหี่ยวไป เพราะไม่มีราก 7 บางเมล็ดตกกลางพงหนาม โดนหนามงอกคลุม 8 แต่ยังมีบางเมล็ดที่ตกบนดินดี ซึ่งเกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่าน 9 ใครมีหู จงฟังเถิด”
เพราะฉะนั้น ข่าวดีที่ประกาศออกไป ทั้งโลก ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม มันจะมีอยู่ 3 กลุ่ม แต่เป็นดิน 4 ประเภท ตามที่พระเยซูยกตัวอย่าง และพระเยซูก็อธิบายให้ฟังเลยว่าที่พูดเมื่อตะกี้นี้ มันหมายถึงอะไร? ในมัทธิว 13:18-23
มัทธิว 13:18-23 “18 “จงฟังความหมายของคำอุปมาเรื่องผู้หว่านนี้คือ 19 เมื่อผู้ใดได้ยินเนื้อความเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้าและไม่เข้าใจ มารก็มาฉวยเอาสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไป นี่คือเมล็ดพืชที่หว่านตามทาง 20 เมล็ดพืชที่ตกลงบนพื้นที่มีหินมาก คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้วก็รับไว้ทันทีด้วยความยินดี 21 แต่เพราะไม่หยั่งรากลึก จึงคงอยู่แค่ชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหาหรือการข่มเหงเนื่องด้วยพระวจนะนั้น ก็เลิกราไปอย่างรวดเร็ว 22 เมล็ดพืชที่ตกกลางพงหนาม คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะแต่ถูกความพะวักพะวนในชีวิตนี้ และความหลอกลวงของทรัพย์สมบัติรัดเสีย ทำให้ไม่เกิดผล 23 ส่วนเมล็ดพืช ซึ่งตกในดินดีนั้น คือผู้ที่ได้ยินพระวจนะ และเข้าใจก็เกิดผลร้อยเท่า หกสิบเท่า หรือสามสิบเท่าของที่หว่านลงไป”
เรากำลังเรียนรู้เรื่องข่าวดีของพระเจ้า ผ่านทางหนังสือฮีบรู เรื่องความรอดของพระเยซู มาเปรียบเทียบให้ฟังกับชีวิตของคริสเตียนในยุคปัจจุบัน โดยเน้นถึงถ้อยคำพระเจ้า ที่พระเยซูเป็นผู้ตรัสเอง เรื่องอุปมาว่ามันตรงกันอย่างไร? เวลาข่าวดีไปถึงใครก็ตาม มันเกิดอะไรขึ้น จะรอดได้อย่างไร? แล้วมันเกิดปฏิกิริยาอะไร เมื่อเจอกับคนบนโลกใบนี้ เมื่อฟังข่าวดี ซึ่งเราก็สามารถสรุปให้เห็นชัดๆ คือไม่ว่าที่ใดก็ตาม เมื่อข่าวดีประกาศออกไป จะมีบุคคลอยู่ 3 กลุ่ม ซึ่งในหนังสือฮีบรู หมายถึงกลุ่มคนเฉพาะชาวยิว แต่จริงๆ เราเอามาใช้ได้ทั้งหมด ทั้งโลกก็มี 3 กลุ่มเหมือนกัน คือ …
กลุ่มที่ 1 คือเย่อหยิ่ง ไม่ฟัง ไม่สนใจเรื่องพระเยซู ไม่สนใจเรื่องความรอด จบกันไปเลย เขาก็ต้องอยู่ในคำพิพากษา ลงโทษจากพระเจ้า เหมือนเดิม ไม่ใช่พระเยซูตั้งใจมาพิพากษาเขา แต่เขาถูกพิพากษา เพราะเขาปฏิเสธคนที่จะมาช่วย เขาบอกว่า …
“ไม่ต้องช่วยฉัน ฉันก็อยู่ที่เดิม” ก็คืออยู่ที่ถูกพิพากษา
กลุ่มที่ 2 คือกลุ่มที่ได้ยินข่าวดี แล้วก็รับเชื่อ แต่พอไปเจอปัญหาต่างๆ บนโลกใบนี้ ก็เริ่มเขว ก็ทิ้งข่าวดีนี้ไป หรือพยายามที่จะเอาข่าวดีพระเยซู มาผสมกับพิธีกรรมอื่นๆ อะไรต่างๆ ที่จะช่วยตัวเองให้รอดด้วย นอกจากจะเชื่อพระเยซู แล้วยังจะเชื่อว่าตัวเอง ต้องช่วยเหลือตัวเอง ถึงได้รับความรอด ก็คือไม่เชื่อพระเยซูเต็มร้อย ก็ไม่ได้รับความช่วยเหลือ ไม่ได้รับความรอด ก็ต้องได้รับการพิพากษา สรุปแล้ว ก็คือปฏิเสธพระเยซูในที่สุด
กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มที่เกิดผล คือรักษาข่าวดีนั้น จนกระทั่งเกิดเป็นผลขึ้นมา เป็นวิญญาณเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า เป็นพี่น้องกับพระเยซูเลย
ซึ่งพระเยซูก็เอามาสอนให้เราฟังแล้วว่า 3 กลุ่มนี้ แบ่งออกเป็น 4 ประเภทชนิดของดิน ก็คือ …
ประเภทที่ 1 พระเยซูอธิบายเพิ่มเติมว่าเมล็ดที่ตกตามทาง นกมาจิกกินไปหมด ไม่เกิดอะไรเลย ก็เปรียบได้กับผู้ที่ได้ยินการประกาศข่าวดีแล้ว แต่ยังไม่เกิดความเข้าใจ ยังไม่เกิดความเชื่อ และมารก็มาฉกฉวยเอาสิ่งที่หว่านในใจเขาออกไป เหมือนนกที่มากินเมล็ดไปหมดเลย ยังไม่แตะดินเลย มันไปทันที เผลอๆ ลงดิน ยังไม่รู้ ก็คือไม่เอาเลย หยิ่งมาก ไม่สนใจเลย ไม่ฟัง ไม่อะไรทั้งสิ้นเลย
ประเภทที่ 2 ก็คือเมล็ดพืชที่ตกลงในกรวดหิน ดินไม่ลึก ทำให้งอกขึ้นเร็ว ดินมันมีอยู่นิดเดียวเอง เร็วเลย แต่อยู่ได้ไม่นาน ก็เหี่ยว เมล็ดพืชชนิดนี้ เปรียบได้กับ ผู้ที่ได้ยินพระวจนะแล้ว ก็รับไว้ทันที เริ่มเชื่อทันที ด้วยความเชื่อที่ตื่นเต้นและด้วยความยินดี แต่เพราะไม่หยั่งรากลึกลงไปข้างล่าง คือความเชื่อยังไม่ได้ดิ่งลงไปในใจ และไม่ได้พยายามเก็บรักษาความเชื่อนั้นไว้ จึงคงอยู่ได้แค่ชั่วคราว เมื่อเกิดปัญหา เกิดการข่มเหง ก็เลิกราไปรวดเร็ว ก็คือเลิกเชื่อ
ประเภทนี้ ก็คือรับรู้ข่าวดี ฟัง พระเยซูมาไถ่บาปให้เรา พระเยซู คือพระผู้ช่วยให้รอด คือพระมาซีฮาห์ ที่พระเจ้าสัญญาไว้ในอดีต เป็นพระผู้ไถ่บาป เป็นตัวแทนเราในการตายที่ไม้กางเขน เพื่อรับเอาบาปของเราไป เพื่อให้เราได้รับอิสรภาพ ดีใจ อย่างนั้น เราก็ได้รับความรอด รับเชื่อด้วยปาก มันยังไม่ดิ่งลงไปในวิญญาณ ถามว่าเรารู้ได้อย่างไรว่ายังไม่ดิ่ง ก็ง่ายนิดเดียว ก็คือพอกลับไปบ้าน ไปเจอกับปัญหา เจอกับการข่มเหง อาจจะญาติพี่น้อง พ่อแม่ ลูก ใครก็ตามที่มีความสัมพันธ์กับเราลึกซึ้ง ที่เราเคารพนับถืออยู่ แล้วมาบอกเราว่า …
“แกไปเชื่อได้อย่างไร? แกจะทิ้งศาสนาเดิมเหรอ แกมองข้ามฉันไปเหรอ”
มันเจ็บ นี่คือการข่มเหง … การข่มเหง ไม่ใช่เอาไม้มาข่มขู่ หรือเอาปืนมาจ่อเรา ไม่ใช่ แค่นี้ก็ข่มเหงแย่แล้ว ลำบากใจแล้ว
หรือกลับไปที่ทำงาน ไปเจอคนมองเราเหยียดหยามมาก เป็นคนขายศาสนาตัวเอง ประมาณนี้ จริงๆ มันไม่ใช่เลย แต่เวลาเขาพูดมา ปรากฏว่าถ้าเราไม่ผ่านการข่มเหงนี้ เรากลัว ในที่สุด เราก็ทิ้งข่าวประเสริฐที่เราได้รับมา ก็มีค่าเท่ากับกลุ่มคนกลุ่มแรก คือไม่เชื่อในพระผู้ช่วยให้รอด คือพระเยซู เมื่อไม่เชื่อ ก็กลับมาอยู่ที่เดิม คืออยู่ในการถูกพิพากษาอยู่แล้ว พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น
ประเภทที่ 3 เมล็ดที่ตกลงกลางพงหนาม มีหนามปกคลุม ไม่สามารถเกิดผลได้ ก็สามารถเปรียบได้กับผู้ที่รับรู้ข่าวประเสริฐ ข่าวดีมาแล้ว ได้ยินพระวจนะ แต่ถูกความพะวักพะวงในชีวิตนี้ และความหลอกลวงในทรัพย์สมบัติ ทำให้ไม่เกิดผล พูดง่ายๆ ก็คือถูกโลกนี้ ล่อลวงเรา คือเชื่อเสร็จปุ๊บ รับรู้ ข่าวประเสริฐ ดีๆ ฉันเป็นลูกพระเจ้าแล้ว พอกลับไป เจออะไรนิดหนึ่ง ในนี้บอกพะวักพะวงในชีวิต กลับไป สมมตินะ มาตกหลุมรักใครสักคนหนึ่งตอนนั้นพอดี
ฟังให้ดีๆ นะ ตรงนี้สำคัญมาก ตกหลุมรักใครสักคนหนึ่งพอดี รักเขาสุดหัวใจ พะวักพะวง ปรากฏว่าฝ่ายผู้หญิง ทั้งบ้าน ไม่ยอมให้แต่ง ถ้าคุณยังเชื่อพระเจ้าอยู่ ไม่ต้องมาแต่งเลย แล้วคุณจะตัดสินใจอย่างไร? คุณจะทิ้งพระเจ้าไปไหม? ผมไม่ตอบนะ ผมให้เป็นคำถาม นี่แหละคือพะวักพะวง และยังมีอีกหลายเรื่อง
กลับไปถึงที่ทำงาน แล้วก็เจอหลายๆ ปัญหา ต้องเลือกระหว่างหน้าที่การงานกับพระเยซู ในที่สุด เอาเลื่อนตำแหน่งดีกว่า ไม่เอาพระเยซู นี่แหละ คือพะวักพะวง จะเอาอย่างไรกันแน่ ยังมีอีกหลายเรื่องเยอะแยะ แต่ให้ท่านรู้มันหมายถึงอย่างนี้แหละ
ยังมีที่ถูกการล่อลวงของโลกใบนี้ ก็คือความโลภในลาภยศ ในทรัพย์สมบัติ สมมติว่าพอท่านเชื่อ ท่านกลับไป พ่อบอกไม่ให้มรดกนะ มรดกพ่อมีแค่ประมาณหมื่นล้านบาท ไม่ให้เลยแม้แต่บาทหนึ่ง ถ้ายังเชื่อพระเยซูอยู่ ไม่ต้องมาเอาเลย จะเอาอย่างไรดี? เอาเงินหรือเอาพระเยซูดี เอาเงินดีกว่า ตอนนั้นนะ พูดตอนนี้ มันพูดได้ ถึงจริงๆ จะรอดไหม? เราไม่รู้หรอก อย่านึกว่าตัวเองแน่ เคยได้ยินตรงนี้ไหม? เวลาคนเขาคอรัปชั่น เราอย่าไปพูดมาก
“ถ้าเป็นฉัน ฉันไม่เอาหรอก ขายชาติ อย่างนี้ ไม่ถูกต้องเลย”
อย่าพูดๆ เพราะว่าถึงเราเองจริงๆ เราอาจจะทำหนักกว่านั้น ก็ได้ สมมติเขาโกงไปพันล้าน ไปว่าเขาต่างๆ อย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบ
“เป็นฉัน ฉันไม่หรอก”
เป็นท่าน เขาเอามาให้ร้อยล้าน ท่านอาจจะบอกว่า …
“ไม่มีทาง ฉันยึดความถูกต้อง”
“เอาไปสองแล้วกัน”
“ไม่มีทาง”
“เอาไปห้า”
“โอเค หยวนน่า”
ห้าร้อยล้าน ท่านก็ไปแล้ว นี่เขาตั้งพันล้าน เขาดีกว่าท่านตั้งเยอะ อย่าพูดว่าเราไม่ทำ เรากับเขาก็ไม่ต่างกัน เมื่อตกไปในการล่อลวงแล้ว มันเป็นไปได้ทุกคนแหละ รวมทั้งเราด้วย เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจตรงนี้
อย่างที่บอกรับรู้ข่าวประเสริฐมา แล้วไปเจอการล่อลวง โธ่! เอ๋ย เรื่องแค่นี้ ทิ้งพระเยซูไปแล้ว เอาไว้เจอกับคุณเอง คุณจะเข้าใจว่าเมื่อถึงเวลาตัดสินใจจะเลือกข้าง มันไม่ใช่เล่นๆ จริงไหม? พี่น้อง ต้องผ่านการเลือกมาแล้วทั้งนั้น ที่เลือกถูก ก็เพราะว่าข้างในมันเกิดใหม่แล้วจริงๆ สุดท้ายนั้น มันต้องผ่านกระบวนการ การทดสอบอย่างนี้ จนกระทั่งมัน ไม่เอา เอาพระเยซู ท่านรู้ไหมว่าท่านบอกไม่เอา ทรัพย์สมบัติไม่เอา อะไรไม่เอา แล้วมาเอาพระเยซู บางครั้งที่พูดไปอย่างนั้น แล้วตัดสินใจไปอย่างนั้น มันยังไม่ไหลลงไปในวิญญาณท่าน ท่านยังไม่บังเกิดใหม่เลยนะ ท่านเพียงแต่เริ่มต้นแค่รับรู้เมล็ดนี้เท่านั้นเองนะ แต่เมื่อมันผ่านไปวันแล้ววันเล่า พิสูจน์ได้แล้วว่าท่านเชื่อจริงๆ มันไหลลงไปเรื่อยๆ จากการข่มเหงอันนี้ ท่านผ่าน มันก็ไหลลงไป จากการทดสอบ ล่อลวงของโลกใบนี้ เรื่องลาภ ยศ ชื่อเสียงต่างๆ ท่านก็ผ่าน ก็ไหลลงไปอีก ท่านยังเลือกพระเยซูอยู่ อาจจะไปอีก 20 ครั้ง ครั้งที่ 20 มันปิ๊ง ก็คือมันไหลลงไป ที่วิญญาณท่านเกิดบิ๊กแบ็งค์ขึ้นมา เกิดการระเบิดใหญ่ขึ้นในวิญญาณของท่าน เกิดการเนรมิตขึ้นมาถึงวิญญาณของท่าน บังเกิดใหม่ เป็นลูกพระเจ้า ท่านไม่ต้องกลัวอีกแล้ว ไม่มีอะไรมาล่อลวงท่านได้แล้ว เพราะท่านเป็นลูกพระเจ้า อยู่ในอ้อมกอด อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์อย่างแท้จริง เอเมน และตรงนั้น คือดินประเภทที่ 4 ที่เรากำลังจะพูดถึง
เพราะฉะนั้น ดินประเภทที่ 2 กับ 3 รวมแล้ว ก็คือกลุ่มเดียวกัน คือกลุ่มคนที่ 2 ที่ไม่เชื่อ ปฏิเสธพระผู้ช่วยให้รอด ไม่ยอมรับพระเยซูนั่นเอง
ประเภทที่ 4 เมล็ดที่ตกบนดินดี ก็เปรียบได้กับผู้ที่ได้ยินพระวจนะ และมีความเข้าใจ รับรู้ เก็บรักษาความเชื่อไว้อย่างดี จนกระทั่งความเชื่อนั้นหยั่งรากลึกลงไปในใจ ไปเรื่อยๆ ที่พระคัมภีร์บอกมันจะเกิดผลเป็น 100 เท่า 30 เท่า เกิดผลแน่นอนกี่เท่าก็แล้วแต่พระวิญญาณ เกิดใหม่แล้ว นั่นคือพวกเราทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ เอเมน ท่านเข้าใจแล้วใช่ไหม?
เพราะฉะนั้น ท่านสามารถรู้ตัวท่านเองอยู่ในสถานะอะไร? ท่านอยู่ในกลุ่มไหนตอนนี้ กลุ่ม 1 กลุ่ม 2 หรือกลุ่ม 3 แล้วถ้าท่านอยู่ในกลุ่ม 2 ท่านอยู่ในประเภทตอนไหน? ตอนนี้ กลุ่ม 2 ประเภทที่โดนอะไรข่มเหง หรือมีพะวักพะวงในชีวิต อะไรบางอย่าง กำลังเลือกทางอยู่ หรือกำลังไม่แน่ใจ แต่ท่านอยู่ในระหว่างรักษาข่าวดีนี้ไว้ตลอดเวลาไหม? เราไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆ ใครก็ตามที่ดิ่งลึกลงไปในใจ วิญญาณปิ๊งขึ้นมา เป็นลูกพระเจ้าแล้ว จะเป็นอย่างที่ผมบอกตอนแรก ท่านจะรู้ว่าท่านสะอาดหมดจดแล้ว ท่านไม่ต้องไปถามใครเลยว่าทำอย่างนี้ ตกนรกไหม? ทำอันนี้ เป็นอย่างนั้นไหม? เพราะข้างในบอกท่านเองทั้งหมดเลยว่าท่านเป็นลูกพระเจ้าที่สะอาดหมดจด บริสุทธิ์แล้ว เอเมน รักษาตรงนี้ไว้ไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง
เราขอบคุณพระเจ้าที่เราเป็นกลุ่มคนสุดท้าย คือคนที่บังเกิดใหม่ อยู่ในพระเจ้า อยู่ในพระหัตถ์แล้ว ไม่มีหลุดรอดไปไหนแล้ว พระคุณของพระเจ้า ช่วยคนชั่วอย่างฉันเรียบร้อยไปแล้ว จบไปแล้ว เสร็จไปแล้ว ไม่มีการย้อนกลับมาอีกแล้ว ซึ่งเราได้ย้ำกัน ด้วยข้อพระคัมภีร์นี้ สรุปจบในเรื่องนี้มาหลายครั้ง เที่ยวนี้ก็จะใช้ข้อนี้อีก โรม 8:31-39 อ่านให้ชัดๆ ว่าเราเป็นกลุ่มคนสุดท้าย กลุ่มที่รักษาข่าวประเสริฐ รักษาข่าวดี เมล็ดของข่าวดีนี้ไว้ จนกระทั่งมันไหลลงไปในวิญญาณ เกิดเป็นบิ๊กแบ็งค์ขึ้นมา เกิดฤทธิ์อำนาจ เกิดการระเบิดใหญ่เข้าไปในวิญญาณ เรียกว่านิวครีเอชั่น เรียกว่าถูกบังเกิดใหม่ในวิญญาณ โดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือ Power of Holy Spirit ฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้ได้บังเกิดใหม่ขึ้นมาในวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้า พอเกิดใหม่ปุ๊บ ก็จะเป็นอย่างนี้แหละ เป็นอย่างที่โรม 8:31-39 อ่านดู นี่คือตัวฉันเอง ตัวฉันที่เป็นวิญญาณจริงๆ นะ
โรม 8:31-39 “31 เช่นนี้แล้วเราจะว่าอย่างไร? ถ้าพระเจ้าทรงอยู่ฝ่ายเรา ใครเล่าจะต่อสู้เราได้ 32 พระองค์ผู้ไม่ได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ประทานพระบุตรนั้นแก่เราทุกคน พระองค์จะไม่ยิ่งทรงเมตตาประทานสิ่งสารพัดแก่เรา พร้อมกับพระบุตรหรือ? 33 ใครจะฟ้องร้องบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกไว้? ก็พระเจ้าเองทรงนับว่าเราเป็นผู้ชอบธรรม 34 ใครจะกล่าวโทษได้อีก? พระเยซูคริสต์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ และยิ่งกว่านั้น พระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว บัดนี้พระองค์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า และทรงกำลังอธิษฐานวิงวอนแทนเราด้วย 35 ใครเล่าจะพรากเราจากความรักของพระคริสต์ได้? ความทุกข์ร้อน ความยากลำบาก การข่มเหง การกันดารอาหาร การเปลือยกาย ภยันตราย หรือคมดาบอย่างนั้นหรือ? 36 ตามที่มีเขียนไว้ว่า “เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์ทั้งหลายเผชิญความตายวันยังค่ำ ข้าพระองค์ทั้งหลายถูกนับว่าเป็นแกะที่จะเอาไปฆ่า” 37 เปล่าเลย ในสถานการณ์ทั้งปวงนี้ เราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต โดยทางพระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย 38 เพราะข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าไม่ว่าความตายหรือชีวิต ไม่ว่าทูตสวรรค์หรือวิญญาณชั่ว ไม่ว่าปัจจุบันหรืออนาคต หรือฤทธิ์อำนาจใดๆ 39 ไม่ว่าเบื้องสูงหรือเบื้องลึก หรือสิ่งอื่นใด ในสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ล้วนไม่สามารถพรากเราไปจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้”
ขอบคุณพระเจ้า ขอพระเจ้าอวยพรครับ
********************