คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2021
เรื่อง “อย่ากลัวเลย” ตอน 49
โดย วราพร คงล้วน
เดือนที่แล้ว เราจบลงในหนังสือลูกา 2:23 บอกไว้ว่า …
ลูกา 2:23 “ตามที่เขียนไว้แล้วในธรรมบัญญัติของพระเป็นเจ้าว่า “บุตรชายทุกคนที่เบิกครรภ์ครั้งแรก จะได้เรียกว่าเป็นบุตรที่ถวายแด่พระเจ้า”
อันนี้เป็นกฎที่พระเจ้าให้มาตั้งแต่สมัยโมเสส ที่มีกำหนดอะไรเยอะแยะมากมาย เขาเรียกว่าบทบัญญัติ และบทบัญญัติตรงนี้ บอกว่าบุตรชายทุกคนที่เบิกครรภ์ครั้งแรก หรือแม้แต่สัตว์ทุกตัวที่เบิกครรภ์ครั้งแรก พระเจ้าถือว่าเป็นของพระองค์ ต้องนำมาถวาย คนอิสราเอลก็ทำตามมาตลอด ตรงนี้เป็นเวลาที่พระเยซูคริสต์ได้กำเนิดมาแล้ว 8 วัน มารีย์กับโยเซฟก็นำพระเยซูมามอบถวายในพระวิหารของพระเจ้า
ถ้าเราประมวลภาพทั้งหมด เราจะเห็นพระคุณของพระเจ้าอย่างมากมายที่ได้ทรงประทานความรอดให้กับมนุษยชาติ จากเริ่มต้นเลยที่เราเรียนรู้มา พระเจ้าทรงสร้างโลกใบนี้ พระเจ้าทรงสร้างอาดัม เอวา พระเจ้าสร้างให้เป็นเหมือนพระเจ้าไม่มีผิดเพี้ยน 100% เลย บริสุทธิ์ สะอาด หมดจด มีวิญญาณนิรันดร์เหมือนพระเจ้า ก็คือถือว่าอาดัม เป็นคนชอบธรรม เหมือนพระเจ้าเลย แต่เมื่ออาดัมดื้อกับพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไปเชื่อฟังการหลอกล่อของมารปุ๊บ ตามที่พระเจ้าได้บอกอาดัมไว้ ก็คือมันเป็นกฎ เป็นคำสั่ง ที่พระเจ้าบอกว่า …
“ถ้าเจ้ากินผลไม้จากต้นนี้เมื่อไร? เจ้าจะตาย”
ถ้าเราเชื่อฟังพระเจ้า เราก็เชื่อฟังตามกฎที่พระเจ้าบอกไว้ อาดัมเชื่อฟังพระเจ้า อาดัมก็จะไม่ตาย แต่ในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่าอาดัมไม่เชื่อฟัง อาดัมไปเชื่อฟังมารที่หลอกล่อ ทำให้ล้มลงในความบาป นั่นแหละความบาปครั้งแรกที่ได้เกิดขึ้น บนโลกใบนี้ ที่อาดัมขายพวกเราให้เป็นทาสของมาร เริ่มต้นเลยนะ
ในพระคัมภีร์บอกว่าจากตรงนั้น วิญญาณของพระเจ้าไม่อยู่กับอาดัมแล้ว คือจากที่อาดัมมีวิญญาณนิรันดร์เหมือนพระเจ้า ตอนนี้ไม่มีแล้ว วิญญาณของอาดัมกลายเป็นวิญญาณบาป ที่กำลังเดินไปสู่ความตาย ถึงกระนั่น วิญญาณที่ยังเป็นอยู่ เดินไปสู่ความตายนี้ ก็ยังเป็นวิญญาณนิรันดร์เหมือนเดิม อันนี้น่ากลัว ถ้าวิญญาณที่เดินไปสู่ความตาย แล้วก็ไม่นิรันดร์ ก็แค่อยู่บนโลกใบนี้ เราจะทำอะไรก็ได้ จบโลกใบนี้ ทุกอย่างก็จบ อันนั้น ง่าย แต่ปรากฏว่าในพระคัมภีร์บอกว่ามันไม่ใช่ วิญญาณของมนุษย์ทุกคน เป็นวิญญาณนิรันดร์ เมื่ออาดัมขายเราให้เป็นทาสของบาป ทาสของมารปุ๊บ วิญญาณของมนุษย์ทุกคนที่เกิดมาหลังจากอาดัม เป็นวิญญาณบาปหมดเลย
จนถึง ณ วันที่พระเจ้าให้โมเสสเขียนบทบัญญัติ บอกโมเสสว่าเอามาให้มนุษย์ทำนะ ถ้าใครทำได้ ก็จะดูเหมือนตัวเองชอบธรรมมาบ้าง แต่มันทำไม่หมดอยู่แล้ว กฎเหล่านี้ทำให้มนุษย์เรียนรู้ว่ากฎว่าอย่างนี้ ถ้าเราข้ามเส้น ก็เท่ากับเราละเมิดกฎ ประมาณนั้น แต่ถึงกระนั้น ตั้งแต่ที่อาดัมล้มลงในความบาป มนุษย์ไม่มีทางเลือกเลย ก็คือทุกยุคทุกสมัย เกิดมาก็อยู่ในธรรมชาติบาปของอาดัม ซึ่งไม่ว่ามนุษย์จะดิ้นรนขนาดไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากความบาปนี้ได้ ไม่ว่าเขาจะประพฤติปฏิบัติตามกฎบัญญัติเยอะแยะมากมาย พยายามให้ครบถ้วนสมบูรณ์ มันก็ไม่ครบถ้วนอยู่นั่นแหละ เพราะมนุษย์เป็นคนบาป
เมื่อมนุษย์ล้มลงในความบาป เอาเชื้อบาปเข้ามาในโลกใบนี้ปุ๊บ พระเจ้าก็วางแผนที่จะส่งพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดมา เพื่อช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากความบาป สามารถเป็นผู้ชอบธรรมเหมือนเดิมได้ พระเจ้าเขียนเอาไว้อย่างนั้น แล้วในหนังสือลูกาตรงนี้ คือสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญากับมนุษยชาติ หรืออีกนัยหนึ่งที่เราเรียนรู้ในพระคัมภีร์ พระเจ้าเลือกชนเผ่าหนึ่ง คือชนชาติอิสราเอลมาเป็นเหมือนเงาที่บอกให้เราเห็นว่าอนาคตข้างหน้า พระเจ้าจะทำอะไรให้กับมนุษยชาติ ไม่ใช่เฉพาะอิสราเอลเผ่าเดียว กลุ่มเดียว ชนชาติเดียว แต่ว่าสิ่งที่พระเจ้าเตรียมพระเยซูคริสต์ไว้ ก็คือเพื่อมนุษยชาติทั้งหมด บนโลกใบนี้จะได้สามารถหลุดพ้น จากบาปได้
และถึงตรงนี้ พระผู้ช่วยให้รอดได้ถูกส่งมาแล้ว เกิดแล้ว แต่ว่าพระเยซูคริสต์ยังไม่ได้เดินไปถึงจุดที่พระเจ้าให้ทำการงานของพระองค์ คือสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ถูกฝังในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย เพราะฉะนั้น คนอิสราเอลหรือคนยิวในยุคนี้ ยุคที่เราเรียนพระคัมภีร์อยู่ ทุกคนก็รอคอยพระมาซีฮาห์ว่า …
“พระมาซีฮาห์ พระเจ้าบอกไว้แล้วว่าพระองค์จะส่งมา เพื่อช่วยพวกเราให้รอด พ้นจากบาป”
แล้วเขาก็รอ คอยทุกยุคทุกสมัย คอยมาจนเขาก็ไม่รู้ว่าพระมาซีฮาห์มาถึงแล้วยัง พอถึงตอนที่พระเยซูคริสต์เสด็จมาเกิดบนโลกใบนี้ หลายคนก็ไม่เชื่อว่าพระองค์คือผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าส่งมา เป็นพระมาซีฮาห์จะมาช่วยเขาให้รอดพ้นจากบาป ให้เขาสามารถเป็นผู้ชอบธรรมได้
ฉะนั้น ในยุคของพระเยซูคริสต์ เราจะเห็นพระเยซูคริสต์ทำหมายสำคัญ การอัศจรรย์เยอะแยะมากมาย ก็มีเหตุผลเดียว คือเพื่อยืนยันตัวพระองค์เองให้กับคนยิวได้รับรู้ว่า …
“ฉันไง ฉันเป็นคนที่พระเจ้าส่งมา เพื่อช่วยพวกเธอให้รอด” ก็แค่นั้นเอง
พอถึงตรงนี้ มารีย์กับโยเซฟนำพระเยซูมามอบถวาย ทำพิธีเข้าสุหนัต แล้วก็ทำตามบัญญัติสมัยก่อน มันยุ่งยากมาก เรามาดูข้อที่ 24 …
ลูกา 2:24 “และถวายของบูชาตามที่ได้ตรัสสั่งไว้แล้ว ในธรรมบัญญัติของพระเป็นเจ้า คือนกเขาคู่หนึ่ง หรือนกพิราบหนุ่มสองตัว”
อันนี้เบาะๆ นะ ถวายแค่นี้ นกเขาคู่หนึ่งกับนกพิราบหนุ่ม 2 ตัว คือเด็กเกิดใหม่ แล้วชนชาติอิสราเอลยังมีพิธีกรรมมอบถวายเยอะแยะมากมาย ที่โมเสสเขียนไว้ ทำผิดอย่างนี้ ต้องเอาอะไรมาถวาย? ต้องไปกักตัวเอง ออกข้างนอก โดยที่เข้ามาในพระวิหารของพระเจ้าไม่ได้ คือกฎเกณฑ์เยอะมาก แล้วคนอิสราเอล ก็พยายามที่จะทำตามกฎเกณฑ์นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกธรรมจารย์และพวกฟาริสี พวกผู้รู้ทั้งหลาย รู้กฎเยอะ ก็พยายามจะทำให้ตัวเองชอบธรรม โดยปฏิบัติตามกฎทุกประการ แต่ถึงกระนั้น เขาก็ไม่สามารถทำได้ทุกประการ พระเยซูก็บอกแล้ว …
“อย่างไรเธอก็ทำไม่ได้หรอก”
พอทำได้มากกว่าคนอื่นนิดหนึ่ง ก็มีความรู้สึกว่าฉันชอบธรรมมาก ก็ไปเบ่งทับคนอื่น ไปจี้คนอื่น ไปบีบบังคับคนอื่นให้ทำตามอย่างที่ตัวเองต้องการ เรามาดูข้อที่ 25 …
ลูกา 2:25-32 “25 นี่แน่ะ มีชายคนหนึ่งในกรุงเยรูซาเล็มชื่อสิเมโอน เป็นคนชอบธรรมและเกรงกลัวพระเจ้า และคอยเวลาซึ่งพวกอิสราเอลจะได้รับความบรรเทาทุกข์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสถิตกับท่าน 26 พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงสำแดงแก่ท่านว่าท่านจะไม่ตายจนกว่าจะได้เห็นพระคริสต์ของพระเป็นเจ้า 27 สิเมโอนเข้าไปในบริเวณพระวิหาร โดยพระวิญญาณทรงนำ และเมื่อบิดามารดาได้นำพระกุมารเยซูเข้าไป เพื่อจะกระทำแก่พระกุมารตามธรรมเนียมแห่งธรรมบัญญัติ 28 สิเมโอนจึงอุ้มพระกุมาร และสรรเสริญพระเจ้าว่า 29 “ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้พระองค์ทรงให้ทาสของพระองค์ไปเป็นสุข ตามพระดำรัสของพระองค์ 30 เพราะว่าตาของข้าพระองค์ได้เห็นความรอดของพระองค์แล้ว 31 ซึ่งพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมไว้ต่อหน้าบรรดาชนชาติทั้งหลาย 32 เป็นสว่างส่องแสงแก่คนต่างชาติ และเป็นศักดิ์ศรีของพวกอิสราเอลชนชาติของพระองค์”
ในสมัยก่อน ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาสิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย ก็คือพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ได้อยู่ข้างในเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำงานเฉพาะกิจ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสำแดงให้ใคร? คนไหนไปทำอะไร? พระวิญญาณก็จะทำงาน แล้วเชื่อว่าสิเมโอนเหมือนกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้คุยกันเขาว่าพระผู้ช่วยให้รอดมาเกิดแล้วนะ ซึ่งเขารอคอยพระผู้ช่วยให้รอดอยู่ เขาเชื่อในสิ่งที่พระเจ้าได้บอกเขา แล้วเขาก็เฝ้ารอคอยวันนั้นแหละว่าเมื่อไร พระผู้ช่วยให้รอดจะมา พระเจ้าก็สัญญากับเขาด้วยว่าตาเขาจะเห็นพระผู้ช่วยให้รอด ก่อนที่เขาจะตาย อายุเขาเยอะแล้ว เขาก็รอคอย จนวันที่เขาได้เห็นพระเยซูคริสต์ในพระวิหาร ข้างในใจเขาเชื่อเลยว่าพระองค์คือผู้นั้นแหละ ที่พระเจ้าได้ส่งมา เขาได้เห็นแล้ว เขามีความสุขแล้ว แม้ว่าเขาจะต้องตาย เขาก็แฮปปี้มาก ก็คือได้เห็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่พระเจ้าบอกว่าจะเป็นสว่าง ส่องให้กับทุกคนบนโลกใบนี้ ให้ได้รับความรอด โดยทางพระเยซูคริสต์ แล้วเขาก็สรรเสริญพระเจ้าใหญ่เลย ก็คือพูดถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้กับชนชาติอิสราเอล แล้วเขาได้เห็นแล้ว เขามีความสุข
ลูกา 2:33 “ฝ่ายบิดามารดาของพระกุมารก็ประหลาดใจ เพราะถ้อยคำซึ่งท่านได้กล่าวถึงพระกุมารนั้น”
คนสมัยนั้น คนที่เดินอยู่บนโลกใบนี้ หลายเรื่องที่เขาได้ยินได้ฟัง เขาก็งงอยู่ อย่างมารีย์กับโยเซฟจริงๆ ไม่น่างง แต่เขาก็ยังงง เหมือนกับพวกเรา เมื่อเราเชื่อพระเจ้า หลายสิ่งที่พระเจ้าเขียนไว้ในพระคัมภีร์ เราก็ไม่เข้าใจ หลายสิ่งเราก็งง แต่สิ่งที่พวกเราทำในยุคปัจจุบัน ที่พระเจ้าบอกว่าอะไรก็ตามที่พระองค์ได้เขียนไว้ในถ้อยคำของพระเจ้า เป็นคำสัญญาของพระองค์ ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตาม เห็นหรือไม่เห็นก็ตาม สัมผัสจับต้องได้หรือไม่ได้ก็ตาม งงๆ อย่างไรก็ตาม เราจะเชื่อตามนั้นเลย เพราะว่ามันเป็นการสำแดงให้เห็นว่าเราเชื่อฟังพระองค์อย่างไม่มีข้อแม้ เราจะเอเมนกับพระองค์ในทุกๆ เรื่องที่พระองค์บอกว่าพระองค์ได้ให้กับพวกเราแล้ว
ก็เหมือนกับสิเมโอน เขาก็เอเมนกับพระเจ้า เพราะพระเจ้าบอกเขาแล้วว่าจะส่งพระผู้ช่วยให้รอดมา ก่อนที่เขาจะตาย เมื่อเขาได้เห็นแล้ว เขาก็ชื่นชมยินดีมาก เขาได้สรรเสริญพระเจ้า แม้ว่ามารีย์กับโยเซฟจะงงขนาดไหนก็ตาม แต่ว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญากับชนชาติอิสราเอลว่าจะประทานพระผู้ช่วยให้รอด ให้กับชนชาติอิสราเอล แล้วก็มนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ มันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว
ลูกา 2:34-35 “34 แล้วสิเมโอนก็อวยพรแก่เขา แล้วกล่าวแก่นางมารีย์ มารดาพระกุมารนั้นว่า “ดูก่อน ท่านทรงตั้งพระกุมารนี้ไว้ เป็นเหตุให้หลายคนในพวกอิสราเอลล้มลง หรือยกตั้งขึ้น และจะเป็นหมายสำคัญ ซึ่งคนปฏิเสธ 35 เพื่อความคิดในใจของคนเป็นอันมาก จะได้ปรากฏแจ้ง ถึงหัวใจของท่านเอง ก็ยังจะถูกดาบแทงทะลุด้วย”
สิเมโอนได้พูดใน ลักษณะเหมือนเผยพระวจนะในอนาคตข้างหน้า คืออนาคตตรงนี้มันใกล้มากเลย เพราะว่าพระเยซูมาประสูติแล้ว ก็อีกประมาณ 30 ปีข้างหน้า ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำ เพื่อมนุษยชาติบนไม้กางเขน เป็นฤทธิ์เดชอำนาจ ซึ่งมนุษย์ฟังแล้วไม่เข้าใจ แล้วสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทำ จะทำให้กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งสะดุด ซึ่งรับไม่ได้ เหมือนกับพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ เมื่อได้ยินคำสอนของพระเยซูคริสต์ เขารับไม่ได้ ตั้งแต่อาดัมจนมาถึงยุคนี้ ยุคที่พระเยซูเกิดมาแล้ว มนุษย์ก็ยังเป็นเผ่าพันธุ์เดียว คือพันธุ์บาป มนุษย์ทุกคนเกิดมาบาป เราเกิดมาบาป หลังจากนั้น เราก็ทำบาป เกิดมาเป็นเลย เป็นเหมือนอาดัม บรรพบุรุษของเราเลย ก็คือเป็นบาปเลย แล้วมนุษย์ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเอง ไม่ว่าเราจะทำดีขนาดไหน? ยึดถือกฎบัญญัติมากขนาดไหน? ตั้งใจมากขนาดไหน? ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความเป็นคนบาปของเราได้ เปลี่ยนไม่ได้ เราเห็นคนบาปที่ทำความดี มีเยอะแยะ แต่เขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่ ทำอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนธรรมชาติบาปของมนุษย์ให้กลายเป็นผู้ชอบธรรม โดยผ่านทางการกระทำของมนุษย์คนหนึ่งคนใดได้ เพราะพระเจ้าบอกไม่มีใครชอบธรรมเลย เพราะไม่มีใครสามารถทำได้ 100% ตามมาตรฐานที่พระเจ้าตั้งไว้
พอพระเยซูคริสต์มาประกาศแผ่นดินของพระเจ้าปุ๊บ ข่าวดี คือเมื่อก่อนมนุษย์ไม่มีทางเลือก มีทางเลือกเดียว คือเกิดมาเป็นคนบาปเลย ดิ้นรนอย่างไร ก็ยังเป็นคนบาปอยู่ดี พอพระเยซูมาเสนอทางเลือกใหม่ ก็คือพระเยซูคริสต์มาสิ้นพระชนม์ เพื่อมนุษยชาติบนไม้กางเขน และพระเยซูคริสต์ได้ถูกฝังในอุโมงค์ แล้วพระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย โดยฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย เต็มไปด้วยสง่าราศี ทำให้มนุษย์ใครก็ได้บนโลกใบนี้ ถ้าเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำปุ๊บ เขาเป็นผู้ชอบธรรมเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย ซึ่งมันง่ายเกินไป ง่ายจนมนุษย์ยอมรับไม่ได้ อะไรจะง่ายเว่อร์ขนาดนั้น ไม่ต้องทำอะไรเลยเหรอ แค่เชื่อก็เป็นผู้ชอบธรรมเลยเหรอ แค่เชื่อ ก็หลุดพ้นจากบาปเลยหรือ? แค่เชื่อ ก็บริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเยซูคริสต์เลยหรือ? แค่เชื่อก็ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์เลยหรือ? แค่เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ ก็ได้เป็นทายาทร่วมกับพระเยซูคริสต์เลยหรือ? เป็นทุกสิ่งที่พระเยซูคริสต์เป็น ซึ่งเรื่องนี้ มันมีวิธีเดียวที่เราจะสามารถรับได้ ก็คือรับด้วยความเชื่อ เชื่อเท่านั้น
เชื่อทั้งๆ ที่เราไม่เข้าใจ … เชื่อทั้งๆ ที่เรามองไม่เห็น … เชื่อทั้งๆ ที่มือเราสัมผัสจับต้องไม่ได้ … เชื่อทั้งๆ ที่บางทีข้างในเราก็ยังงงๆ อยู่เลย แต่ว่าเราเชื่อไง พระเจ้าว่าอย่างไร เราเอเมนตามนั้น พระเจ้าบอกกับเราว่าเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงกระทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ บนไม้กางเขน ใครก็ตาม มนุษย์คนไหนก็ตามบนโลกใบนี้ ไม่ยกเว้นคนอิสราเอล คนอิสราเอลเขาคิดว่าเขาเป็นชนชาติของพระเจ้า เขาไม่ต้องกลับใจใหม่ ไม่จริงนะ ก็คือทุกคนจำเป็นจะต้องกลับใจใหม่ เพื่อเขาจะได้เข้ามาอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ก็คือเปลี่ยนจากที่เราเคยพึ่งในการประพฤติของตัวเอง ความชอบธรรมของตัวเอง มาพึ่งในความชอบธรรมของพระเยซูคริสต์ แล้วก็มนุษย์ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนได้เลย ก็คือเกิดมาเป็นไง เราเป็นคนบาปอยู่แล้ว เราจะเป็นผู้ชอบธรรมได้อย่างไร? เป็น 2 อย่างในคนเดียวกัน มันเป็นไปไม่ได้
ไม่ได้แล้วต้องทำอย่างไร? วิธีการของพระเจ้า ก็คือต้องตาย ถ้าไม่ตาย ก็เปลี่ยนมาเป็นผู้ชอบธรรมไม่ได้ ฉะนั้น มนุษย์มีสิทธิ์เลือก ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอก ถ้าเชื่อว่า …
“พระเจ้าบอกลูกเชื่อนะ อยากจะเป็นอย่างนั้นแหละ เพราะว่าลูกเหนื่อยมากเลย ทำมาตลอดทั้งชีวิต พยายามทำ”
บางทียิ่งพยายามมากเท่าไร? ก็ยิ่งเละมากเท่านั้น คือมันไม่ได้ไง แล้วก็ทำเหนื่อยมาก เหนื่อยจนแทบจะหายใจไม่ทัน ไม่เอาดีกว่า พระเจ้าบอกว่า …
“มาเชื่อพระองค์สิ แล้วพระองค์จะทำให้เราหายเหนื่อยและเป็นสุข”
แล้วเราก็บอกกับพระเจ้าเลย … “พระเจ้า ลูกอยากได้อย่างนั้น ก็คืออยากหายเหนื่อย อยากเป็นสุข”
จริงๆ แล้ว พระเจ้าของเรา เป็นพระเจ้าที่สุภาพมาก พระเจ้าไม่เคยบังคับเราเลยนะว่าต้องเชื่อ พระเจ้าให้สิทธิ์สำหรับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ที่จะตัดสินใจ เมื่อเราตัดสินใจแล้วว่า …
“ไม่เอาแล้ว เราไม่พึ่งตัวเองแล้ว เราไม่พึ่งบทบัญญัติแล้ว เราจะพึ่งพระเยซูคริสต์”
ทันทีที่เราเปิดใจต้อนรับพระเจ้าปุ๊บ พระเยซูคริสต์ก็จะเอาวิญญาณเก่าที่เต็มไปด้วยความบาปของเรา เข้าไปอยู่ในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จากนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะเริ่มทำงาน โดยผ่าตัดเอาวิญญาณเก่าของเราออกมา แล้วเข้ามาฝังอยู่ในพระเยซูคริสต์ มาเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันปุ๊บ พอพระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน เราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เราก็ถูกตรึงด้วย เมื่อพระเยซูคริสต์ถูกฝัง เราซึ่งอยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เราก็ถูกฝังด้วย เมื่อพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย เราที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เราก็เป็นขึ้นมาจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วย เต็มไปด้วยฤทธานุภาพ สง่าราศี เป็นเหมือนพระเจ้าไม่มีผิด เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย
พระเยซูได้แบ่งวิญญาณของพระองค์มาให้กับเรา เป็นวิญญาณเดียวกัน พระเจ้าให้เราเป็นขึ้นมาพร้อมกับพระเยซูคริสต์ด้วยสง่าราศี เราก็ได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย บัดนี้ ในโลกวิญญาณที่เรามองไม่เห็น ต้องใช้ความเชื่อเอา คริสเตียนทุกคนต้องใช้ความเชื่อเอา มองไม่เห็นหรอกว่าเราไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร? ถ้าใช้เหตุผล ความคิดของมนุษย์ คิดให้สมองแตก คิดไม่ออกหรอก คิดอย่างไรก็คิดไม่ได้
แต่ถ้าเราใช้ความเชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา เราจะเห็น แล้วยิ่งเราจดจ่ออยู่ หรือภาวนาสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทำ เพื่อเราเรียบร้อยไปแล้ว ทุกวัน หลายคนอาจจะคิดว่าน่าเบื่อจัง ซ้ำซาก พูดเรื่องนี้ทุกวัน แล้วยังให้พูดเองทุกวันอีก ตื่นขึ้นมาบอกตัวเองอีกว่า …
“ฉันเป็นใครในพระเยซูคริสต์? ฉันเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว ฉันเป็นความรัก ฉันเป็นความชื่นชมยินดี ฉันบริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเยซูคริสต์ วิญญาณเก่าที่เป็นบาปของฉันได้ตายไปพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ตอนนี้วิญญาณของฉันใหม่เอี่ยม ถอดด้ามเลย เป็นวิญญาณที่สะอาด บริสุทธิ์ ทำบาปไม่เป็น อันนี้สำคัญ ทำบาปไม่เป็น บริสุทธิ์ สะอาดแล้ว วิญญาณบาปเราตายไปแล้ว เรามีวิญญาณใหม่ที่เหมือนพระเจ้า เป็นขึ้นมาใหม่”
วิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ ต่อให้ใครมาหลอกลวงอะไรเรา …
“เธอทำอย่างนี้นะ เธอไม่รอดแน่ๆ เลย เธอไม่ได้เป็นลูกพระเจ้า”
เราก็ต้องยืนยันกลับไปว่า … “ไม่จริง”
ต่อให้พฤติกรรมเราหลงบ้าง? อนุญาตให้อวัยวะของเราในร่างกายนี้ ให้ถูกล่อลวงไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่พระเจ้าบอก หรือที่เขาเรียกว่าดื้อ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า ไปทำสิ่งที่ไม่สมควร น่าเกลียด ไปอิจฉาไปโกรธ ไปอะไร ต่อให้มันเป็นอย่างนั้น แต่ความจริง ในถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราว่าวิญญาณเราสะอาดหมดจดเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิด วิญญาณเราได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ไม่มีใครย้ายเรา เคลื่อนไปที่ไหนได้อีกแล้ว เราอยู่ในสวรรค์สถานนิรันดร์กาล ณ บัดนี้ เรียบร้อยไปแล้ว นี่คือสิ่งที่เราต้องยืนยัน บอกตัวเองเลยว่า …
“ฉันเป็นใคร? ตอนนี้ฉันอยู่ตรงไหน? ตอนนี้ฉันเป็นอย่างไร? ตอนนี้ฉันกำลังพัฒนาความเป็นลูกพระเจ้า ที่สะอาดบริสุทธิ์ เป็นแสงสว่าง เป็นความดี เป็นความชื่นชมยินดี เป็นอะไรที่พระเจ้าบอกเรา ฉันมีอยู่แล้วนะ”
คือทันทีที่เราบังเกิดใหม่ ทุกอย่างที่เป็นของพระเยซูคริสต์ มันอยู่ในเราแล้ว มีแล้ว พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคมาสถิตอยู่ในเราแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของเราเรียบร้อยไปแล้ว ต่อแต่นี้ไป เราก็จะไม่ถูกหลอก ขอให้พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยกับเรา ไม่ขอแล้ว การขอ ก็คือเราโดนหลอก พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว แล้วเราก็โดนหลอกว่า …
“เธอขอสิ ขอให้พระเจ้ามาสถิตกับเธอ”
ทันทีที่เราพูดว่า … “ขอให้พระเจ้าสถิตอยู่กับเรา”
แปลว่าเราไม่เชื่อใช่ไหมที่พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเราแล้ว เหมือนเรากำลังพูดต่อต้านถ้อยคำของพระเจ้า โดยที่เราไม่รู้ตัว มารมันแอบ แอบเข้ามาลัก ฆ่า ทำลาย ลักเอาสิ่งที่เป็นของเราเรียบร้อยไปแล้ว แล้วก็หลอกเราว่า …
“มันยังไม่เป็นนะ ขอสิ”
แล้วเมื่อไรที่เราตกหลุมพราง เราไปเชื่อมาร เราไปขอไง …
“พระองค์เจ้าข้า ขอพระองค์สถิตอยู่ด้วยกับลูก”
กลายเป็นว่าเราไม่เชื่อแล้ว ในสิ่งที่พระเยซูคริสต์บอกว่าพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาคมาสถิตอยู่ในเรา ในวันที่เราเปิดใจต้อนรับพระองค์ เราเข้าสู่ขบวนการบังเกิดใหม่ เราได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราสะอาดบริสุทธิ์หมดจด เรียบร้อยไปแล้ว เราไม่ต้องขอ เราได้ไปแล้ว
ตอนนี้กำลังฝึกฝนตัวเอง เพราะเราถูกหลอกมานาน เราก็เคยชิน เหมือนกับทุกครั้งที่เราเจอหน้ากัน เราจะลากัน เราก็จะบอกว่า …
“ขอพระเจ้าอวยพรค่ะ”
ความหมายแปลว่าพระเจ้ายังไม่ได้อวยพรเรา เราต้องขอ จริงหรือไม่? มันจริงนะ แปลว่าเราโดนหลอกว่าพระเจ้ายังไม่ได้อวยพรเราเลย เราต้องขอ
ฉะนั้น ตอนนี้กำลังฝึกฝนตัวเอง ที่เราจะไม่อนุญาตให้ปากของเรา เป็นเครื่องมือของมาร หรือของโลกนี้ หรือการโกหกหลอกลวง หลอกให้เราพูดคำว่า “ขอพระเจ้าอวยพร” เราก็จะตัดคำว่า “ขอ” ออก เพราะพระเจ้าอวยพรเราอยู่แล้ว เราก็จะใช้คำว่า …
“พระเจ้าอวยพรค่ะ”
คนที่ได้ยิน ก็ “เอเมน”
เอเมน แปลว่าใช่เลย เป็นความจริงตามนั้น พระเจ้าบอกว่าพระเจ้าอวยพรเราแล้ว เรารับเอา ด้วยความเชื่อ
นี่คือสิ่งที่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ซึ่งหลายครั้งเราคิดว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งมันไม่ค่อยสำคัญอะไรเท่าไร? มารมันก็หลอกเรา ไปเรื่อยๆ อันนี้ไม่สำคัญ ให้พูดไป พูดไป เท่ากับเรากำลังพูดคนละแบบกับที่พระเจ้าบอกว่าเรามีแล้ว เราเป็นแล้ว อันนี้สำคัญ
ขอบคุณพระเจ้าที่พระเยซูคริสต์บอกว่าถ้าเรารู้ความจริง ความจริงจะปลดปล่อยเราให้เป็นไท เป็นอิสรภาพ เราจะมีอิสรเสรีที่จะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยพระคุณ ความรัก ความเมตตาที่พระองค์ได้ให้กับเรา เป็นของขวัญเรียบร้อยไปแล้ว ถ้าจะพูดอีกนัยหนึ่ง เหมือนแพ็กเกจ คือเมื่อเรากลับใจใหม่ปุ๊บ พระพรฝ่ายวิญญาณที่พระเจ้าให้กับพวกเราทุกๆ คน มาเป็นชุดเลย ซึ่งเราไม่ต้องขอแล้ว ถ้าเปรียบเหมือนเราไปเที่ยวทัวร์ เราต้องศึกษาว่าแพ็กเกจของทัวร์ เขามีอะไรให้กับเราบ้าง? เราจะได้รับรู้ ถ้าแพ็กเกจของทัวร์เราเสียตังค์เยอะ เขามีบริการทั้งที่พัก ทั้งพาเราเที่ยว ทั้งอาหาร 3 มื้อ เช้า กลางวัน เย็น เราต้องรับรู้ ถ้าเราไม่รับรู้ เราก็จะตกลงเช้านี้ เราจะไปกินอะไร เราก็วิ่งไปหาของกิน พอตอนเที่ยง เราจะกินอะไรดี ก็ต้องวิ่งไปหาของกินอีก ซึ่งในแพ็กเกจทั้งหมดบอกเราเรียบร้อยไปแล้ว เธอไม่ต้องไปวิ่ง เธอไปเดินเที่ยวให้สบายใจ ถึงเวลา เธอก็เดินมาที่โรงอาหารของโรงแรม แล้วเธอก็เดินเข้าไปกินเลย สง่าผ่าเผย เพราะว่ามันอยู่ในทั้งหมดที่ครอบคลุมไปเรียบร้อยแล้ว
ความจริงในโลกวิญญาณ จะทำให้เรารับรู้สิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ฉะนั้น พอเรียบร้อยไปแล้ว สิ่งที่เราต้องทำ คือไม่ได้ขอ แต่พัฒนาความเป็นลูกของพระเจ้าให้เด่นชัดขึ้น เพื่อเราจะได้สำแดงการเป็นลูกของพระองค์ออกไป
แล้วเราจะพัฒนาได้อย่างไรในแต่ละวัน ถ้าเรามัวแต่สนใจเรื่องสัพเพเหระ วุ่นวายบนโลกใบนี้ สมองเราไม่มีพอที่จะมาจดจ่อกับสิ่งที่พระเจ้าบอกว่าพระองค์ให้อะไรกับเราบ้าง? ไม่ได้หมายความพี่น้องไม่สามารถไปจดจ่อข่าวสารอะไรเลย ไม่ใช่ คือเราสามารถที่จะรับรู้ได้ สามารถที่จะฟังได้ แต่ไม่ได้ใช้เวลาเยอะเกินไป สมมติเราเอา 8 ชั่วโมงไปนอน อีก 16 ชั่วโมง ที่เราตื่นอยู่ ถ้าเราใช้เวลาสัก 14 หรือ 15 ชั่วโมงไปจ่ออยู่ที่ข่าวสารว่าตอนนี้เป็นอย่างไร? โควิดเป็นอย่างไร? ตอนนี้คนนี้เป็นอย่างไร? คนนั้นฆ่าใคร? หมดไปหนึ่งวัน เหลือเวลานิดหนึ่งมาดูว่าพระเจ้าให้อะไรเรา มันก็ซกๆ ไง แล้วเราก็จะได้นิดหนึ่ง บางทีที่ได้ๆ ยังโดนหลอกอีก อะไรอย่างนี้ ฉะนั้น เราก็จะไม่ได้เป็นอิสระ
พี่น้องถามใจตัวเอง ถ้าเราเสพข่าวร้ายทุกวัน เรามีความสุขไหม? ไม่มีความสุขนะ วิตกจริตไปทุกเรื่อง ใช้ชีวิตปกติไม่ได้ เราก็จะคอยเงี่ยหูฟังว่าตอนนี้เป็นอย่างไร? ตอนนี้ใครว่าอย่างไร? เยอะแยะมากมาย ให้พี่น้องหันกลับมาหาพระเจ้าดีกว่า ตอนนี้พระเจ้าพูดกับเราเรื่องอะไร? พระเจ้ากำลังบอกเราเรื่องอะไร? ซึ่งอันนั้นจะทำให้เรารับรู้ว่าธรรมชาติของพระองค์เป็นอย่างไร? พอเรารับรู้เยอะๆ เราเรียนรู้เยอะๆ มันจะส่งผลออกมาเองว่านี่คือธรรมชาติของเรา แล้วมันจะส่งผลให้คนรอบข้างได้เห็นพระคริสต์ในชีวิตของเราด้วย
นึกถึงภาพตอนนี้ใน Holy Word พาสเตอร์นคร ก็พูดถึงเรื่องทาร์ซาน … ทาร์ซานเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่จะส่อให้เราเห็นสิ่งที่เรียกว่าความเป็นจริง ในโลกมนุษย์ ก็คือทาร์ซานถูกลิงเอาไปเลี้ยง แล้วก็มีบุคลิกทุกอย่างเหมือนลิง แต่พอเขาได้กลับมาสู่ครอบครัวของตัวเอง ก็คือเขาเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์ ต่อให้ลิงเอาไปเลี้ยงนานแค่ไหน? เขาก็ยังเป็นมนุษย์ พฤติกรรมเขาอาจจะแปลกๆ ไม่ค่อยเหมือนมนุษย์ แต่ว่าอย่างไร เขาก็ยังเป็นมนุษย์ ฉะนั้น วิธีที่จะทำให้ทาร์ซานรับรู้ว่าเธอเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ลิงนะ ทำอย่างไร? ก็ต้องบอกทาร์ซานให้รู้ว่าธรรมชาติของมนุษย์เป็นอย่างนี้ เขาเดิน เขากินเป็นระเบียบเรียบร้อย บอกไปเรื่อยๆ ทุกวันๆ ให้เขารับรู้ถึงธรรมชาติของตัวเองว่าเขาเป็นอย่างไร? เมื่อเขารับรู้ยิ่งมากเท่าไร? เขาก็ยิ่งจะพัฒนาบุคลิกของเขาให้กลับมาเป็นเหมือนมนุษย์มากขึ้น จากการที่เดินไม่ค่อยเป็น เวลาลิงเดิน จะเดิน 2 ขาและใช้มือปัดไปเรื่อยๆ จากเดินเร็ว เขาก็จะเดินช้าลง เดินให้เป็นแบบคนมากขึ้น ไม่ตัวงอ แต่ตัวตรงขึ้น อะไรอย่างนี้
ก็คือรับรู้ถึงธรรมชาติ ความเป็นคนของเขา แล้วเขาก็จะพัฒนาบุคลิกของเขาให้เป็นเหมือนคนมากขึ้น คนอื่นมาเห็น ทาร์ซานไม่ใช่ลิงนะ เขาเป็นคน มองเห็นแล้ว เริ่มเห็นภาพลางๆ ว่าเขาเป็นคนแล้วนะ เริ่มแต่งตัวดีขึ้น เริ่มคุยกันรู้เรื่อง ในทางของพระเจ้า เหมือนกันเลย ธรรมชาติของพระเจ้าเป็นอย่างไร? เราจะเป็นอย่างนั้น แต่ใหม่ๆ เนื่องจากเราไปคลุกคลีกับธรรมชาติบาปนานจนเกินไป มันเป็นพื้นฐานตั้งแต่เริ่มแรก เรามีวิธีที่จะทำให้ธรรมชาติที่เป็นเหมือนพระเจ้า สำแดงให้ผู้คนได้เห็นมากขึ้นทุกวันๆ โดยเรารับรู้ธรรมชาติของพระเจ้าได้มากเท่าไร? เราก็สามารถสำแดงออกได้มากเท่านั้น
ยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง เหมือนมนุษย์ คน เกิดมาเป็นคน สมมติเรามีลูกคนหนึ่ง เกิดมาเป็นลูกเรา เด็กเกิดมาตัวแดง ดูแล้วไม่เหมือนมนุษย์มนาเท่าไร? บางทีตัวเหี่ยว แต่ว่าเขาก็เป็นมนุษย์ พอเป็นมนุษย์ปุ๊บ ก็จะมีการพัฒนา แม้จะช้า แต่มันมีระบบของการพัฒนาของเด็ก จากทารกก็จะค่อยๆ พัฒนา รับรู้มากขึ้น จากที่เราเห็นทารกทำเป็น แค่ร้องไห้ กิน นอน ฉี่ แล้วก็อึ แค่นั่นเอง คือใหม่ๆ เขาจะทำได้แค่นั้น แล้วก็จะพัฒนามากขึ้น เขาเริ่มพลิกตัว เขาเริ่มเรียนรู้วิธีการลุกขึ้นมานั่ง นั่งใหม่ๆ อาจจะเหมือนตุ๊กตาล้มลุก นั่งปุ๊บ ก้นกลมๆ ก็จะหัวทิ่มลงไป แต่เขาก็จะค่อยๆ พัฒนา แล้วเขาก็จะนั่งได้ดีขึ้น แล้วจากการนั่ง เขาก็เรียนรู้เริ่มจะคลาน เริ่มจะตั้งไข่ เริ่มจะเดิน เริ่มจะวิ่ง เริ่มจะพูด พูดแรกๆ ภาษาแปลกๆ ผู้ใหญ่ฟังไม่รู้เรื่อง แต่พอเขาพัฒนาการพูด เขาพัฒนาได้อย่างไร? เขาฟังจากพ่อแม่ พ่อแม่พูดอย่างนี้ เขาก็ฝึก วิธีการพูดเป็นแบบนี้
ฉะนั้น การพัฒนาเหมือนกัน ต่อให้เด็กคนนั้นยังไม่สามารถรับรู้เรื่องราว หรือบางคน เรียกว่าพัฒนาการช้า ไม่ทันคนอื่น เด็กคนอื่นป่านนี้วิ่งแล้ว คนนี้ยังยืนไม่เป็นเลย แต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเขา คือคน เป็นลูกคน แล้วเขาจะพัฒนาขึ้นมาเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นทุกวันๆ
เหมือนกันในโลกวิญญาณพระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราสะอาด บริสุทธิ์ เราเป็นผู้ชอบธรรม เราไม่มีบาปแล้ว วิญญาณเราสะอาดหมดจดเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย แต่เนื่องจากความคิด หรือร่างกายของเราทั้งหมดยังอยู่บนโลกใบนี้ อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรายังอยู่บนโลกใบนี้ โอกาสที่เราจะแถไปเชื่อฟังการหลอกล่อของระบบบนโลกใบนี้ มันมี และอีกอย่างหนึ่งที่เราจำเป็นต้องรับรู้ พระเจ้าอนุญาตให้เรามีสิทธิ์ที่จะเลือก เมื่อวิญญาณเราสะอาดหมดจดแล้ว ร่างกายเราที่อยู่บนโลกใบนี้ พระเจ้ายังอนุญาตให้เรามีสิทธิ์เลือกเดินในแต่ละวันว่าเราเลือกที่จะเชื่อฟังทำตามพระเจ้า หรือเลือกที่จะเชื่อฟังการหลอกล่อของโลกใบนี้ หรือเชื่อฟังสิ่งที่แอบแฝง พยายามดึงเราให้ทำเหมือนเดิม ก่อนที่เราจะมาเชื่อพระเจ้า พฤติกรรมเดิมๆ พระเจ้าให้สิทธิ์เราในการเลือก
ฉะนั้น ถ้าเราเลือกทำตามพระเจ้า พระเจ้าก็ชื่นใจ เพราะว่าเราได้รับผลดี แต่ถ้าวันนี้เลือกที่จะดื้อ ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เราจะไปเชื่อฟังการหลอกลวงของระบบของโลกใบนี้ หรือการล่อลวงที่อยู่บนโลกใบนี้ เราก็แถไป พอแถไปปุ๊บ พระเจ้าก็เสียใจ มีคำหนึ่งที่บอกว่าพระเจ้าอนุญาต หลายคนก็มักจะถามว่าทำไมพระเจ้าอนุญาตให้เรื่องโน้นเรื่องนี้เกิดขึ้น คำว่า “อนุญาต” หมายความว่าพระเจ้าให้เสรีภาพมนุษย์ในการตัดสินใจ แม้ว่าเราเชื่อพระเจ้าแล้ว หรือไม่เชื่อก็ตาม พระเจ้าให้เสรีภาพเราในการตัดสินใจ ถ้าเดิมทีเราเป็นคนบาป เราตัดสินใจเลือกที่จะมาเชื่อฟังพระเจ้า เราก็ได้เข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่แล้ว เป็นผู้ชอบธรรม แต่ถ้าเราตัดสินใจไม่เชื่อพระเจ้า …
“ฉันจะทำด้วยตัวของฉันเอง ฉันจะใช้กำลัง ความสามารถ สติปัญญาทุกอย่างของฉัน เพื่อให้ตัวเองเป็นผู้ชอบธรรม”
พระเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะพระเจ้าอนุญาต แต่ถามว่าพระเจ้าต้องการไหม? พระเจ้าไม่ต้องการให้มนุษย์ แม้แต่คนหนึ่งคนใดต้องพินาศ แต่พระเจ้าก็ไม่จับมนุษย์มัดเอาไว้ แล้วบังคับให้มนุษย์ต้องทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า
อันนี้ชัดเจนมากเลยนะ ถ้าพี่น้องรับรู้ตรงนี้ปุ๊บ เราเป็นอิสระมากเลย เราก็เรียนรู้ที่จะแยกแยะแล้ว ตอนนี้เรารับรู้แล้วว่าอันนี้ ถ้ามันไม่ได้ตรงกับที่พระเจ้าบอกเรา เราก็ขอกำลังจากพระเจ้า พอเรารับรู้มากเท่าไร? อันนี้ไม่ดี ไม่โอเคเลย เราไม่เอาดีกว่า เราเลือกที่จะมาทางพระเจ้าดีกว่า แต่ว่าในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราต้องยอมรับอันหนึ่ง เราก็เหมือนเด็ก ล้ม ลุก คลุก คลาน หัวทิ่มหัวตำ แต่ไม่ว่าหัวทิ่มหัวตำอย่างไร? ก็ไม่สามารถทำให้เราหลุดจากการเป็นลูกของพระเจ้าได้เลย ไม่ได้ พี่น้องต้องชัดเจน ตรงนี้ เพื่อว่าเราจะได้มีอิสระเป็นไทจริงๆ ที่เราจะได้ไม่โดนหลอกด้วยคำพูดสวยงาม หรือด้วยเหตุผลอะไรทั้งหมดที่โลกนี้นำเสนอให้กับเรา ดูเหมือนเหตุผลจะดี แต่ว่าถ้ามาเทียบกับสิ่งที่พระเจ้าบอกเรา มันไม่ใช่นี่หน่า ถ้าไม่ใช่ เราจะไม่เอเมน ถ้าพระเจ้าเปิดให้เราเห็นแล้วว่าอะไรที่ไม่ใช่ เราก็จะไม่เอเมนตาม ถ้าเราเอเมนตาม แปลว่าเราเห็นด้วย ไม่เอเมนๆ
อะไรที่ตรงตามที่ถ้อยคำของพระองค์บอก เราเอเมนได้เลย เราขอบคุณพระเจ้า สำหรับสิ่งที่พระองค์ได้กระทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว บนไม้กางเขน เราสามารถเอเมนตามพระเจ้าได้เลย ขอบคุณพระเจ้า
ลูกา 2:36-39 “36 ยังมีผู้เผยพระวจนะหญิงคนหนึ่ง ชื่ออันนา บุตรีฟานูเอล ในเผ่าอาเชอร์ นางเป็นคนชรามากแล้ว มีสามีตั้งแต่สาวๆ และอยู่ด้วยกันเจ็ดปี 37 แล้วก็เป็นม่ายมาจนถึงแปดสิบสี่ปี นางมิได้ไปจากบริเวณพระวิหารเลย อยู่นมัสการถืออดอาหาร และอธิษฐานทั้งกลางวันกลางคืน 38 ในขณะนั้นผู้หญิงคนนี้ ก็เข้ามาโมทนาพระเจ้า และกล่าวถึงพระกุมาร ให้คนทั้งปวงที่คอยการทรงไถ่กรุงเยรูซาเล็มฟัง 39 ครั้นโยเซฟกับนางมารีย์ได้กระทำการทั้งปวง ตามธรรมบัญญัติของพระเป็นเจ้าเสร็จแล้ว จึงกลับไปถึงนาซาเร็ธ เมืองของตนในแคว้นกาลิลี”
มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งเป็นผู้เผยพระวจนะ คือเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว แต่ว่าเขาเชื่อในสิ่งที่พระเจ้าได้สัญญากับเขาไว้ว่าพระเจ้าจะประทานพระผู้ช่วยให้รอดให้กับเขา เขาเลยเฝ้ารอคอยจนถึงวันที่พระเยซูคริสต์มา เขาก็ชื่นชมยินดี โมทนา ขอบพระคุณพระเจ้า เพราะว่าเขาเชื่อตามนั้น
พอเสร็จจากการทำพิธีกรรมทั้งหมด มารีย์กับโยเซฟก็พาพระเยซูกลับ
ลูกา 2:40-52 “40 พระกุมารนั้นก็เจริญวัยแข็งแรงขึ้น ประกอบด้วยสติปัญญาและพระคุณของพระเจ้าอยู่กับท่าน 41 ฝ่ายบิดามารดาเคยขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ในเทศกาลปัสกาทุกปีๆ 42 เมื่อพระกุมารมีพระชนม์สิบสองพรรษา เขาทั้งหลายก็ขึ้นไปตามธรรมเนียมในเทศกาลนั้น 43 เมื่อครบกำหนดวันเลี้ยงกันแล้ว ขณะเขากำลังกลับไป พระกุมารเยซูยังค้างอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม ฝ่ายบิดากับมารดาก็ไม่รู้ 44 แต่เพราะเขาทั้งสองคิดว่าพระกุมารนั้น อยู่ในหมู่คนที่มาด้วยกัน เขาจึงเดินทางไปได้วันหนึ่ง แล้วเริ่มหาพระกุมารในหมู่ญาติพี่น้องและพวกคนที่รู้จักกัน 45 เมื่อไม่พบจึงกลับไปเที่ยวหาที่กรุงเยรูซาเล็ม 46 ครั้นหามาได้สามวันแล้ว จึงพบพระกุมารนั่งอยู่ในพระวิหารท่ามกลางพวกอาจารย์ ฟังและไต่ถามพวกอาจารย์เหล่านั้นอยู่ 47 คนทั้งปวงที่ได้ยินก็ประหลาดใจในสติปัญญาและคำตอบของพระกุมารนั้น 48 ฝ่ายบิดามารดาเมื่อเห็นแล้ว ก็ประหลาดใจ มารดาจึงว่า “ลูกเอ๋ย ทำไมจึงทำแก่เราอย่างนี้ ดูเถิด พ่อกับแม่แสวงหาเป็นทุกข์นัก” 49 พระเยซูจึงตอบว่า “ท่านเที่ยวหาฉันทำไม ท่านไม่ทราบหรือว่าฉันต้องอยู่ในพระนิเวศแห่งพระบิดาของฉัน” 50 ฝ่ายบิดามารดาก็ไม่เข้าใจคำ ซึ่งท่านกล่าวแก่เขา 51 แล้วพระกุมารก็ลงไปกับเขา ไปยังเมืองนาซาเร็ธ อยู่ใต้การปกครองของเขา มารดาก็เก็บเรื่องราวทั้งหมดนั้นไว้ในใจ 52 พระเยซูก็ได้จำเริญขึ้นในด้านสติปัญญา ในด้านร่างกาย และเป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้า และต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย”
ตรงนี้เราจะเห็นภาพคนอิสราเอลสมัยก่อน ก่อนที่พระเยซูคริสต์มาทำภารกิจสำเร็จ ก็คือยังอยู่ในกฎบัญญัติ มารีย์กับโยเซฟต้องพาพระเยซูมาที่กรุงเยรูซาเล็มทุกปี เพื่อถวายเครื่องบูชา เพื่อกลบเกลื่อนบาปของตัวเองทุกปี คนอิสราเอลต้องทำอย่างนี้หมด พอพระเยซูอายุ 12 ปีพามาเหมือนเดิม ปรากฏว่าพอเสร็จงาน ขบวนของนางมารีย์กลับบ้าน พระเยซูไม่กลับด้วย มาถกถ้อยคำของพระเจ้าที่พระวิหารของพระองค์ นางมารีย์ก็ไม่เข้าใจเรื่องนี้ เหมือนเดิมนั่นแหละ ถามพระเยซูว่า
“ทำอย่างนี้ได้อย่างไร? หากันแทบตายกว่าจะเจอ”
พระเยซูพูดว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าเราจะต้องอยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้า”
เป็นคำเผยพระวจนะ หรือการบอกล่วงหน้าว่าพระองค์จะต้องอยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้า พระองค์ คือผู้ที่พระเจ้าส่งมา ทำการงานของพระองค์ให้สำเร็จในอนาคตข้างหน้า แต่พอจบตรงนี้ ในพระคัมภีร์ก็บอกว่าพระเยซูก็กลับไปกับนางมารีย์ โยเซฟ แล้วก็ใช้ชีวิตปกติเลย
อันนั้น เพื่อเล็งให้เห็นว่าพระเยซูทรงเป็นบุตรมนุษย์ เป็นมนุษย์จริงๆ ใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์เลย กลับไป ก็ใช้ชีวิตจนถึงอายุ 30 ปี พระเยซูก็ออกมาประกาศแผ่นดินของพระเจ้า ประกาศให้คนอิสราเอลกลับใจเสียใหม่ แล้วก็บอกว่าแผ่นดินของพระเจ้ามาใกล้แล้ว
แล้วเราก็ขอบคุณพระเจ้าที่ถ้อยคำของพระองค์บอกเรา แล้วเราอยู่ในยุคนี้ ยุคที่พระเยซูคริสต์ได้ทำการงานของพระองค์สำเร็จเรียบร้อย เกือบ 2,000 ปีแล้ว แล้วเราผู้เชื่อได้รับพระคุณจากพระเจ้า พระเมตตาจากพระเจ้า ที่ได้ทรงไถ่บาปเราเรียบร้อยไปแล้ว ด้วยพระโลหิตของพระองค์ เป็นพระคุณซ้อนพระคุณที่ให้เราเป็นลูกของพระองค์ ได้กลับใจใหม่ ได้รับสิ่งสารพัด ซึ่งมาจากพระเจ้า ฉะนั้น ข่าวประเสริฐของพระองค์ ก็มีแค่นี้แหละ แล้วพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ก็บอกให้พวกเรา ประกาศออกไป ประกาศเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ออกไปให้ผู้คนเยอะแยะมากมายเขาได้รับรู้ และได้เรียนรู้ถึงเรื่องนี้ แล้วใครก็ตามที่เข้ามายอมรับในเรื่องนี้ ที่พระเยซูคริสต์ทำให้ เขาก็จะได้รับอิสรภาพ เขาจะได้เป็นไท เขาจะได้เป็นผู้ชอบธรรม เขาจะได้ไม่ต้องไปกลัวว่าตายไปแล้ว เขาจะต้องไปชดใช้หนี้ เวรกรรมที่นรกอีก เขาจะได้อยู่บนสวรรค์กับพระเจ้านิรันดร์กาล และบัดนี้ วิญญาณของพวกเราของผู้เชื่อ ก็ได้อยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว ขอบคุณพระเจ้า เอเมน
**************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
1 ยอห์น 4:17 “แบบนี้สิ ความรักของพระเจ้าถึงสำเร็จตามเป้าหมายของพระองค์ในพวกเรา เราจึงมีความมั่นใจในวันพิพากษา ที่เรามีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ก็เพราะชีวิตจิตวิญญาณที่เรามีขณะที่อยู่ในโลกนี้นั้น เป็นชีวิตจิตวิญญาณที่เหมือนกับชีวิตจิตวิญญาณของพระคริสต์”
เรามีคุณสมบัติ บริสุทธิ์สะอาดปราศจากบาป ครบถ้วนบริบูรณ์เหมาะสม ที่จะอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเท่าๆ กับพระเยซูเลยทีเดียว พระเยซูเรียกเราว่าพี่น้องร่วมกันอยู่ในครอบครัวของพระบิดาเป็นผู้ชอบธรรมเป็นลูกของพระเจ้าแล้วเดี๋ยวนี้ ทันทีที่ท่านเปิดใจต้อนรับพระเยซูบนโลกใบนี้
แล้วเราก็จะพร้อมที่อยากให้พระเยซูกลับมาอีกครั้งเร็วเร็ว หรือเฝ้ารอคอยด้วยความตื่นเต้นใจจดใจจ่อที่จะออกจากร่างกายนี้ไปพบกับพระเจ้า หน้าต่อหน้าในมิติวิญญาณเร็วๆ เพราะเรามั่นใจในการอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้วตั้งแต่เดี๋ยวนี้ ไปจนกระทั่งนิรันดร์นั่นเอง
เมื่อถึงวันพิพากษา เราไม่ต้องพบเจอกับสิ่งนี้ “พระเยซูจึงตรัสว่าเราไม่เคยรู้จักเจ้า ไม่เคยมีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกันเลย”
เพราะฉะนั้นพระประสงค์น้ำพระทัยของพระเจ้า ที่ต้องการให้มนุษย์ทุกคนทำนั้น มีอย่างเดียวคือวางใจในพระบุตรพระเยซู เข้ามามีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบุตร ด้วยการบังเกิดใหม่ และดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อในความจริงนี้ ไม่พึ่งพาในการกระทำของตนเอง หรือความคิดความเข้าใจของตนเอง แต่จงวางใจในพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจสุดความคิด
พระเจ้าอวยพรครับ