คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน 2015
เรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์”
ตอน 6 “กระเทียมดอง”
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้ เราก็ยังอยู่ในหัวข้อการบรรยายเรื่องซีรี่ส์เดิมนะครับ ก็คือเรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” ตอนนี้เป็นตอนที่ 6 แล้ว … แล้วทุกครั้ง ผมก็จะเริ่มต้น ถามคำถามท่าน คำนี้แหละ 6 ตอนมาแล้ว ถามว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ และท่านก็จะตอบผมทุกครั้งว่าไม่รู้ 6 ตอนแล้ว อย่างน้อยรู้สักนิดหนึ่ง ก็ยังดี ลองถามคนข้างๆ
“เราเป็นใครในพระคริสต์”
ลองถามคนข้างๆ นะครับ และผมก็จะถามไปเรื่อยๆ ต่อจากนี้ไป ถ้ามีการบรรยายเรื่องนี้เมื่อไร? ก็จะถามอย่างนี้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เพราะว่ามันเป็นหัวข้อเรื่อง “เราเป็นใครในพระคริสต์” คำตอบคราวๆ พอจะจำได้ คือเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ … แล้วเราเป็นอะไรอีก … เราอยู่ในพระคริสต์ เราเป็นผู้ที่ดองกับพระคริสต์ อยู่กับพระคริสต์ เป็นเนื้อเดียวกันกับพระคริสต์
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราพูดเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งธรรมชาติ กับกฎใหม่ ที่ได้เอาชนะเหนือกฎธรรมชาติ จำได้ไหมครับว่าผมยกตัวอย่างเรื่องอะไร? สัปดาห์ที่แล้ว กฎธรรมชาติ ผมได้เปรียบเทียบเอาไว้ว่าด้วยกฎแห่งธรรมชาติ มนุษย์ไม่สามารถบินได้ เพราะมีแรงโน้มถ่วง หรือแรงดึงดูดของโลก ดูดเอาไว้ เพราะฉะนั้นวัตถุอะไรก็ตาม เมื่อขึ้นไปในที่สูง ก็จะต้องตกลงมา ไม่สามารถลอยอยู่ในอากาศได้ ถูกไหมครับ แต่เมื่อมนุษย์เข้าไปอยู่ในเครื่องบิน มนุษย์ก็สามารถบินไปไหนมาไหนได้ โดยอาศัยเครื่องบิน เพราะกฎแห่งการยกขึ้นของเครื่องบินได้เอาชนะเหนือกฎแห่งธรรมชาติ ก็คือกฎแรงดึงดูดของโลก
ทางวิญญาณก็เช่นเดียวกัน กฎแห่งธรรมชาติของทางวิญญาณนะ ทางวิญญาณ กฎแห่งธรรมชาติ คือมนุษย์อยู่ภายใต้กฎแห่งบาปและความตาย อันนี้ชัดเจน จะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อ ทุกคนรู้จักกฎนี้ดี มนุษย์ทุกคนรู้จักกฎนี้ดี กฎเวรกรรม กฎแห่งกรรม นี่แหละคือกฎของความบาปและความตาย แต่เมื่อมนุษย์ได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ก็จะมีกฎใหม่ ที่อยู่เหนือกฎธรรมชาติ ทำให้มนุษย์ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎแห่งบาปและความตายอีกต่อไป ไม่ต้องอยู่ใต้กฎแห่งบาปและเวรกรรมอีกต่อไป และกฎใหม่นี้ ชื่อกฎว่ากฎของพระวิญญาณในพระเยซูคริสต์ จำได้ใช่ไหมครับ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์นั่นเอง
ยังจำสมการที่เราสรุปกันครั้งที่แล้ว ได้ใช่ไหมครับ? มาทบทวนนิดหนึ่ง สมการของตัวอย่างเมื่อตะกี้นี้ เทียบกันระหว่างโลกวัตถุกับโลกวิญญาณ เทียบเครื่องบินกับกฎที่พระเยซูคริสต์ได้ทำให้กับเราทั้งหลาย
“เครื่องบิน”
ด้วยกฎธรรมชาติ คือกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของโลก มีผลทำให้มนุษย์ไม่สามารถบินได้ เพราะมีกฎแห่งแรงโน้มถ่วงดึงไว้ แต่ด้วยกฎใหม่ คือกฎแห่งการยกขึ้น ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของโลก ผลออกมา ก็คือมนุษย์สามารถบินได้ ดูดเราไม่ลง เราลอยอยู่
“มนุษย์”
ทางด้านฝ่ายวิญญาณ ด้วยกฎธรรมชาติของมนุษย์ หรือเรียกว่ากฎเก่า คือกฎแห่งความบาปและความตาย มีผลทำให้มนุษย์ต้องตายและตาย คือไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ ทั้งเดี๋ยวนี้และจากโลกนี้ ก็อยู่ไม่ได้ ไม่สามารถอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าได้ แต่ด้วยกฎใหม่ คือกฎของวิญญาณแห่งชีวิต ในพระเยซูคริสต์ ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งบาปและความตาย ผลออกมา ก็คือมนุษย์เป็นอิสระจากความตาย อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ จนกระทั่งทิ้งร่างนี้ แล้วไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์
ตรงนี้แหละ เขาจึงเรียกกฎที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำขึ้นมานี้ว่าข่าวดี
ให้พูดพร้อมๆ กันว่า “ข่าวดี”
ให้พูดให้คนข้างๆ ฟังว่า “ข่าวดีรู้ไหม?”
ข่าวดีที่พูดตะกี้นี้ ข่าวดีคืออะไร? คือพระเยซูคริสต์มาทำกฎใหม่ให้เกิดขึ้น ให้เราสามารถหลุดพ้น เอาชนะเหนือกฎเก่า คือกฎแห่งบาปเวรกรรม กฎของความบาปและความตาย นี่คือข่าวดี
เมื่อตอนที่เริ่มมีการคิดค้นทฤษฎีแห่งการยกขึ้น ตอนนั้น ก็เป็นข่าวดีของโลกนะว่าบัดนี้ มีผู้ที่สามารถเอาชนะกฎแห่งธรรมชาติได้แล้ว คือเอาชนะเหนือกฎแห่งแรงดึงดูดของโลก แรงโน้มถ่วงของโลก และเป็นจุดกำเนิดของการสร้างเครื่องบิน ที่สามารถนำพาผู้คนเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลได้ต่อมานั่นเอง เป็นข่าวดีเริ่มต้นว่าเขาเจอกฎนี้แล้วนะ ข่าวดีไหมอย่างนี้ ข่าวดีบนโลกนี้นะ
สองพี่น้องตระกูลไรต์รู้จักใช่ไหม? ออวิลล์กับวิลเบอร์ ได้ชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดของการคิดค้น สร้างเครื่องบิน และได้ประสบความสำเร็จในการนำอุปกรณ์บินขึ้น และลอยอยู่บนท้องฟ้าได้ เป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 29 กันยายน ปี 1909 ในวันนั้น ผู้คนจำนวนมากต่างรวมกันเฉลิมฉลองความสำเร็จครั้งนี้อย่างมากมาย เป็นข่าวยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์ของโลก เป็นข่าวดีของโลก นี่คือเรื่องจริง นี่คือประวัติศาสตร์
ท่านลองคิดดูนะครับ แค่บอกว่ามีคนพบกฎใหม่ คือกฎแห่งการยกขึ้น ที่สามารถเอาชนะเหนือกฎแห่งแรงโน้มถ่วงของโลกได้แล้ว ทำให้มนุษย์ซึ่งไม่สามารถบินได้นั้น โดยธรรมชาติไม่สามารถบินได้นั้น กลายมาเป็นบินได้ โดยใช้เครื่องบินแค่นี้ ยังนับว่าเป็นข่าวดีของโลก ฉลองกันเยอะแยะมากมายในปี 1909 นี่กี่ปีแล้ว เพิ่งจะร้อยกว่าปีนี่เอง เพิ่งจะร้อยเศษๆ ปี
นี่ย้อนไปชัดๆ ให้เห็นชัดๆ ว่าเป็นข่าวดีของโลก เจอกฎใหม่ แล้วขณะนี้ ในโบสถ์หรือทั่วโลก คริสเตียนจำนวนมากที่รู้จักพระเยซู กำลังประกาศข่าวดีว่าบัดนี้ ได้มีผู้ที่สามารถเอาชนะธรรมชาติของมนุษย์ คือกฎแห่งบาปและความตายได้แล้ว จากเดิมที่มนุษย์ทุกคนต้องตายจากโทษของความบาป กลายมาเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาปได้ ไม่ต้องชดใช้เวรกรรมอีกต่อไปแล้ว ที่เราเคยติดปากกันว่าเมื่อไรมันจะใช้หมดสักที ข่าวดีมาถึงแล้วว่าใช้หมดได้เรียบร้อยแล้ว โดยผ่านทางข่าวดีขององค์พระเยซูคริสต์ อย่างนี้เรียกว่าข่าวดีไหม? ยิ่งกว่าดีอีก ฉลองกันยิ่งกว่านั้นอีก ยิ่งกว่าเมื่อตะกี้อีก ฉลองกันทุกวันอาทิตย์ยังฉลองอยู่เลย เรากำลังนั่งฉลองอยู่นี่
นี่คือข่าวดี … ข่าวดีมาตั้ง 2,000 กว่าปีแล้ว … แล้วที่พี่น้องตระกูลไรต์สร้างเครื่องบินได้สำเร็จ ก็ไม่ได้แปลว่า ฟังให้ดีนะ ก็ไม่ได้แปลว่ามนุษย์ทุกคนจะมีสิทธิ์ได้ขึ้นเครื่องบินนะครับ ถูกไหม? แม้ว่าสองคนนี้ จะคิดค้นกฎของการยกขึ้น สร้างเครื่องบินได้ และมีคนสร้างเครื่องบิน แต่ก็มิได้หมายถึงสร้างมา เพื่อให้ทุกคนได้ขึ้นเครื่องบิน ถูกไหม? ถูกหรือไม่ถูก คิดให้ดีๆ แค่บางคนเท่านั้น แล้วคนๆ นั้น ต้องมีเงินพอที่จะจ่ายค่าตั๋วเครื่องบิน ถึงจะบินกับเขาได้ มันไม่ใช่สำหรับทุกคน
แต่สำหรับกฎของพระเยซูคริสต์ ที่พระองค์ได้ทรงกระทำขึ้นมาสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน เมื่อ 2,000 ปีนั้น ให้ฟรี สำหรับทุกคนเลย นี่ผมเปรียบเทียบให้ท่านดู ท่านจะเห็นชัดเจนเลย ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับ เข้าไปอยู่ในกฎใหม่นี้ ง่ายๆ มีสิทธิ์ทุกคนเลย ทำเพื่อทุกคนเลย อย่างนี้ต้องบอกว่าฮาเลลูยา นี่แหละที่เขาเรียกว่าข่าวดี และข่าวที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษยชาติบนโลกใบนี้ 2,000 ปีแล้ว
พระคัมภีร์ใช้คำว่า “ข่าวดี” “Gospel” และ Gospel หรือข่าวดีนี้ ก็ใช้คำนี้มาจนถึงทุกวันนี้ 2,000 ปี มีคนออกไปประกาศข่าวดีนี้ ทุกวันนี้ก็ยังประกาศอยู่ และประกาศมากขึ้นไปเรื่อยๆ มากขึ้นไปเรื่อยๆ เราที่นั่งอยู่ในที่นี่ ก็กำลังคุยกันถึงเรื่องอะไร? ข่าวดีกันทุกวันอาทิตย์เลย
ทุกวันอาทิตย์ ที่ท่านเข้ามาอยู่ในคริสตจักรแห่งนี้ เข้ามาประชุมกันที่นี่ เราพูดถึงเรื่องอะไรกัน สรุปง่ายๆ คือเรื่องของข่าวดี อาจารย์วราพรขึ้นมา ก็พูดถึงเรื่องข่าวดี ผมขึ้นมา ก็พูดถึงเรื่องข่าวดี เขานมัสการกัน เขาร้องเพลง เขาร้องเพลงเกี่ยวกับข่าวดี ท่านอยู่ข้างล่างคุยกัน ก็คุยกันเรื่องข่าวร้าย
“เศรษฐกิจมันเป็นอย่างนั้นนะ ฉันแย่เลย ฉันลำบาก”
ท่านพูดถึงเรื่องข่าวดีไหม? คงคุยกันบ้าง … บ้าง ไม่ใช่ไม่คุย … คุยบ้าง ท่านเห็นไหม? ข่าวดีทั้งนั้น
ที่ตะกี้ผมบอกเศรษฐกิจของโลก หรือท่านดูในทีวี ส่วนใหญ่มันเป็นข่าวร้าย มันไม่ใช่ข่าวดี มันเป็นข่าวปลอม มันไม่ใช่ข่าวจริง ของจริง คือในโบสถ์นี้ ที่เรากำลังประกาศ เรากำลังประกาศเรื่องของพระเยซู คือข่าวดี นอกจากตัวอย่างในเครื่องบินแล้ว ยังมีอีกตัวอย่างหนึ่งในสัปดาห์ที่แล้ว ที่ผมได้สอนและยกขึ้นมา ทุกคนก็ยัง … จำได้ไหมครับ? อีกอันหนึ่งที่ผมได้เปรียบเทียบเรื่องนี้ คือนอกจากเครื่องบินแล้ว ยังมีเรื่องอะไรอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องกระเทียมดอง ยังจำได้ไหมครับ ไม่ใช่ หมายถึงจำวิธีทำนะ หมายถึงยังจำได้ไหมมันหมายความว่าอย่างไร?
ให้พูดพร้อมกันว่า “กระเทียมดอง”
ครั้งที่แล้ว เราบอกว่าจากกระเทียมสด เมื่อนำไปบัพติศมาในน้ำส้มสายชู ผสมน้ำตาล ใส่เกลือนิดหนึ่ง ก็จะกลายสภาพเป็นกระเทียมดอง รู้ อันนี้ชัดเจนแจ่มใส เห็นกับตาเลย กระเทียมสด เมื่อนำไปบัพติศมาเรียบร้อยแล้ว ก็เป็นกระเทียมดอง แล้วเมื่อกระเทียมสด ถูกเปลี่ยนสภาพเป็นกระเทียมดองแล้ว ก็จะไม่สามารถกลับมาเป็นกระเทียมสดได้อีกเลย ฮาเลลูยา เอ๊ะ! มันเกี่ยวอะไรกับพระคัมภีร์ คนที่ฟังครั้งที่แล้ว จะฮาเลลูยาแล้วตอนนี้ ถูกหรือเปล่า ฉันใดก็ฉันนั้น จากวิญญาณเดิมของเรา ซึ่งเป็นวิญญาณบาป เคยอยู่ภายใต้กฎเก่า คือกฎแห่งบาปและความตาย สกปรกโสโครก แต่เมื่อเราได้บัพติศมาเข้าในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราก็จะกลายสภาพเป็นวิญญาณดอง เราก็จะกลายสภาพเป็นวิญญาณดอง คือเป็นวิญญาณใหม่ที่บริสุทธิ์ ปราศจากบาป อยู่ภายใต้กฎใหม่ และไม่กลับเป็นวิญญาณบาปอีกต่อไปเลย เย้ๆๆๆๆๆ ไม่กลับไปเหมือนเดิมอีกแล้ว ไม่กลับไปเป็นเหมือนเดิมอีกแล้ว เอเมน เพราะอะไร?
ที่ไม่ได้กลับไปเหมือนเดิม เพราะอะไรรู้ไหมครับ? เพราะทันทีทันใดที่เราบัพติศมา ซึ่งแปลว่าจุ่มลงไป ชุบลงไป ดองลงไปในพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว เราได้เข้าไปมีส่วนใน Divine Nature จำได้ใช่ไหม? Divine Nature เข้าไปสู่ธรรมชาติของพระเจ้าแล้ว เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกันกับตรีเอกานุภาพ เราไม่มีทางกลับไปที่เดิมได้ เราเข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์แล้ว เอเมน มันน่าตื่นเต้นมาก
และเพราะจากความจริงทั้งหมดนี้ พระคัมภีร์จึงได้ย้ำยืนยันกับเราว่าบัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษแก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไป ฮาเลลูยา เราจึงหลุดจากกฎเก่า ที่เคยพูดว่าเมื่อไรมันจะชดใช้บาปเวรกรรมทั้งหมดสักทีน่า ตอนนี่เราอยู่กฎใหม่ พูดว่า.-
“มันใช้ไปหมดเรียบร้อยแล้ว ฉันเป็นอิสรภาพแล้ว เอเมน” ถูกไหม?
โรม 8:1-2 จึงบันทึกย้ำยืนยันให้เราเรื่องนี้ว่า.-
โรม 8:1-2 “1 เหตุฉะนั้น บัดนี้ จึงไม่มีการลงโทษ แก่บรรดาผู้ที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ 2 เพราะว่าโดยทางพระเยซูคริสต์ กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต ได้ปลดปล่อยท่านให้เป็นอิสระ จากกฎแห่งบาปและความตาย”
“ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ แก่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผู้ที่อาศัยในพระเยซู”
เพราะอะไร?
“เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในเยซู ได้ทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) พ้นจากบาปและความตาย”
“ดังนั้น ไม่มีที่จะลงโทษใดๆ แก่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ผู้ที่อาศัยในพระเยซู”
เห็นไหม? ร้องจำให้ได้นะ หลับไปก็ร้องอย่างนี้ (ก่อนตาย) ก็ร้องอย่างนี้ ถ้าตายรู้ตัวนะ ถ้าตายไม่รู้ตัวแล้วไป มันไปสวรรค์อยู่แล้วล่ะ
จากที่เราได้เรียนรู้กันมา 5 ตอน วันนี้ตอนที่ 6 แล้ว ถึงตรงนี้ เราก็จะสรุปได้พอสังเขปว่าการที่เราเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ และได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์นั้น ก็จะเกิดผลสำคัญใน 2 ประเด็นหลัก สรุปได้อย่างนี้ คือ.-
ประเด็นแรก คือเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ เราก็ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไปแล้ว เพราะกฎใหม่ได้เอาชนะเหนือกฎเก่าแล้ว
นี่ประเด็นแรกเลย เมื่อเราเป็นคริสเตียน อยู่ในพระคริสต์ เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เชื่อในข่าวดีของพระเยซู เราใช้สิทธิ์ของเรา เราเข้าไปอยู่ในพระคริสต์แล้ว ที่เกิดขึ้น ก็คือเรามีอำนาจ เรามีชีวิตอยู่เหนือกฎเก่าแล้ว กฎเก่า ก็คือกฎแห่งความบาปและความตาย ถ้าใครทำผิด ทำบาป แม้เพียงแค่นิดเดียว ก็ต้องรับโทษ คือความตายและตาย คือตายทั้งสองอย่าง คือตายเดี๋ยวนี้ และตาย ชีวิตนี้หมดลมหายใจไป วิญญาณก็ตาย คือไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ และในความเป็นจริง ไม่มีมนุษย์คนไหนเลย ที่จะไม่เคยทำผิดบาป เพราะมนุษย์ทุกคน คือคนบาป พระคัมภีร์พูดชัดเจน
สรุป ก็คือทุกคนที่อยู่ในกฎเก่า ก็ต้องได้รับโทษ คือความตายและตาย หนีไม่พ้น อย่างแน่นอน ถูกไหมครับ?
แต่ส่วนกฎใหม่ คือกฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์ ที่ได้เอาชนะเหนือกฎแห่งบาปและความตายแล้ว คือได้รับอิสรภาพจากกฎเก่าแล้ว ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไปแล้ว นี่คือประเด็นแรกที่เราได้รับและสรุปได้อย่างชัดเจนว่าอยู่ในพระคริสต์เกิดอะไรขึ้น
ประเด็นที่สอง คือเมื่อเราอยู่ในพระคริสต์ เราก็ได้กลายสภาพเป็นอะไร? กระเทียมดองแล้ว อันนี้ต้องจำให้แม่นนะ เมื่อเราอยู่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราก็ได้กลายสภาพเป็นกระเทียมดอง ก็คือเป็นวิญญาณใหม่ ถูกไหม? เราได้เป็นวิญญาณใหม่ เราได้กลายสภาพจากวิญญาณเก่า ที่เป็นวิญญาณบาป เป็นวิญญาณสกปรก เป็นวิญญาณที่ตายอยู่ กลายมาเป็นวิญญาณใหม่ที่สะอาดหมดจด ปราศจากบาป ทั้งหมดใหม่เอี่ยม 100% มีลักษณะ หรือเขาเรียกว่ามีลักษณะเหมือนพระเจ้า 2 โครินธ์ 5:17 บอกว่า.-
“จงมองให้เห็นเถิด นี่แน่ะ เป็นใหม่ทั้งนั้น”
ใครก็ตามที่อยู่ในพระคริสต์ เขาได้ถูกสร้างใหม่ สิ่งเก่าๆ ก็ล่วงไป กลายเป็นใหม่ทั้งนั้น
หันไปหาคนข้างๆ บอก “ใหม่ทั้งสิ้นเลย ในตัวเธอ … ในตัวเธอนะ ไม่ใช่ข้างนอกนะ สิวอะไรก็เหมือนเดิม แต่ในตัวเธอ คือวิญญาณนั้น ใหม่เอี่ยมเลย ยกเว้นเสื้อ ฉันจำได้เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เธอใส่ตัวนี้มา ใช่หรือเปล่า? เสื้อใส่ตัวเดิมมา”
แต่วิญญาณเขาใหม่ ถึงแม้เสื้อจะเก่าก็ตาม
พระคัมภีร์โรม บทที่ 8 ได้บันทึกไว้อย่างชัดเจน ให้เห็นถึงความแตกต่าง ระหว่างการอยู่ในกฎเก่าและในกฎใหม่ อยู่ในกฎเก่าและกฎใหม่ คือให้เห็นความแตกต่างระหว่างการเป็นกระเทียมสดกับกระเทียมดอง
อันเก่า ก็คือกระเทียมสด ใหม่เอี่ยม ก็คือกระเทียมดอง นี่ยกตัวอย่างให้เห็นชัด เพราะหลายคนเขาชอบทำกระเทียมดองอยู่แล้ว จะได้จำแม่น ซึ่งถ้าสมมติว่าใครก็ตามที่เข้าใจตัวอย่างที่ผมพูดมาเมื่อตะกี้นี้ เข้าใจลึกซึ้ง กระจ่างแจ้งเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ผมยกตัวอย่างเรื่องเครื่องบินก็ตาม เรื่องกฎเก่าและกฎใหม่ เรื่องกระเทียมดองก็ตาม เวลาที่อ่านพระคัมภีร์โรม บทที่ 8 ท่านจะชัดทะลุปรุโปร่งไปเลย ท่านจะเข้าใจท่านจะเข้าใจถ้อยคำในบริบทของโรมบทที่ 8 อย่างชัดเจน จะเห็นภาพชัดเจนเลยว่ามันเป็นอย่างนี้นี่เอง ลองอ่านดูนะครับ โรม 8:5-6 ผมยกตัวอย่างสักนิดหนึ่ง มาให้ท่านอ่านดูว่าพอท่านรู้ เข้าใจที่ผมยกตัวอย่างเรื่องกฎของเครื่องบิน แล้วกฎของกระเทียมดอง พูดง่ายๆ ชัดๆ นะ ไม่ต้องให้ละเอียดมาก เดี๋ยวท่านจะจำไม่ค่อยได้ ท่านรู้แล้ว กฎของเครื่องบิน กฎของการยกขึ้น กฎเก่ากฎใหม่ นึกออกใช่ไหม?
อ้อ! กระเทียมดอง มันเคยเป็นกระเทียมสดมาก่อน เดี๋ยวนี้เราเป็นวิญญาณใหม่แล้ว ไม่ใช่วิญญาณเก่า แล้วท่านลองอ่านข้อความเหล่านี้ คราวนี้ท่านจะเข้าใจ สว่างขึ้นมา พระคัมภีร์หมายถึงอย่างนี้นั่นเอง ลองดูนะครับ โรม 8:5-6 เวลาอ่านไปนึกในใจด้วยนะ กระเทียมดอง กระเทียมสด เครื่องบิน เราลอยขึ้น กฎแห่งการยกขึ้น คิดในใจอย่างนี้ แล้วเดี๋ยวท่านอ่านดู ท่านจะเข้าใจ โรม 8:5-6
โรม 8:5-6 “5 ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิต ตามพระวิญญาณ ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์ 6 จิตใจของคนบาปนำไปสู่ความตาย แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุม นำไปสู่ชีวิตและสันติสุข”
ตามมาใกล้ๆ ตามชัดๆ นั่งอยู่ตรงนั้นแหละ แต่ตามมาด้วยวิญญาณของท่าน ตั้งใจฟังตรงนี้นะครับ
“ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ”
ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาปตรงนี้ ถามว่าหมายถึงใครครับ? ตรงนี้หลายคนอาจจะเข้าใจว่าหมายถึงผู้ที่ทำผิดหรือทำบาป ใช่ไหม? อ่านดู มองผิวเผินดู มันน่าจะเป็นอย่างนั้นนะ แต่อย่างที่ผมบอกนะ คิดในใจว่าพระคัมภีร์กำลังสอนเราเรื่องอะไร? ตั้งแต่บทก่อนๆ หน้านี้แล้ว เรื่องของกฎของวิญญาณแห่งชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ กฎเก่ากฎใหม่ เรื่องของอะไร? เรื่องของกระเทียมสด กระเทียมดองที่ผมยกตัวอย่างเปรียบเทียบ นึกออกในใจนะครับ
วันนี้ผมจะขออนุญาตนะครับ มานำเสนอให้ท่านได้เห็นในอีกแง่มุมหนึ่ง ซึ่งผมคิดว่าในแง่มุมที่ผมจะพูดต่อไปนี้นะ มันน่าจะเข้ากันได้ดีกับในบริบทของหนังสือโรม ว่ากันตามจริง มันเข้ากันได้กับหนังสือพระคัมภีร์ทั้งเล่มเลย มันจะไม่แย้งกันเลย ท่านก็ลองพิจารณาดูกันเอาเองว่าท่านฟัง แล้วว่าอย่างไร?
ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ตรงนี้หมายถึงผู้ที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่า คือไม่ได้อยู่ในพระคริสต์ กฎเก่า ก็คือทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำถูกต้องตามบทบัญญัติครบถ้วน ก็ได้ไปสวรรค์ ไปอยู่กับพระเจ้าได้ ทำผิดบนบัญญัติแม้แต่นิดเดียว ก็ไม่สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ ต้องได้รับโทษ ไม่ได้ไปอยู่ในสวรรค์ และผู้ที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่า ก็ปักใจในสิ่งที่วิสัยบาปต้องการ สิ่งที่วิสัยบาปต้องการ คืออะไร? เนื้อหนังต้องการอะไร? คิดให้ดีๆ เนื้อหนังเรา วิสัยบาปของเรา ต้องการจะกระทำด้วยตัวเราเอง พยายามที่จะหาทางไปสู่หมดบาปเวรกรรมด้วยตัวเอง จากการกระทำของตัวเอง เพราะในจิตใจของเรา วิสัยบาปนี้ มันจะระลึกเสมอ อยู่ตลอดเวลาว่า.-
“ฉันเป็นคนบาป เมื่อไรจะใช้บาปเวรกรรมได้หมดสักทีหนึ่ง ฉันต้องทำ เมื่อไรมันจะหมดสักทีๆ”
ตัวนี้คือวิสัยบาป ที่อยู่ในมนุษย์ทุกคน เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะอธิบายความหมายของถ้อยคำตรงนี้ ก็จะได้อย่างนี้ว่าผู้ที่ยังดำเนินชีวิต ภายใต้กฎเก่า ก็จะปักใจของเขา คือพยายามทุกอย่างด้วยตัวเอง เพื่อไปสู่ความรอดจากบาปเวรกรรมให้ได้
ได้ยินข่าวดีเรื่องพระเยซู “ก็ไม่อยากจะเชื่อหรอก เพราะฉันอยากจะทำเอง มันจะเป็นไปได้อย่างไร? อยู่ดีๆ ฉันทำผิด แล้วมีคนมาชดใช้ให้ฉัน มันไม่น่ามีเหตุผล ไม่เอาล่ะ ฉันทำเองดีกว่า ถูกหรือไม่ถูก”
อดีตเราก็คิดถึงอย่างนั้น ถูกไหม? พอเราได้ข่าวดีว่ามีพระเยซูมาเกิด ไถ่บาปเรา … เราฟังไหมตอนแรกๆ ถามว่าเราไม่ฟัง เพราะอะไร? ทั้งๆ ที่เราไม่รู้เรื่อง เราไม่ฟังเพราะอะไร? เรายังไม่เข้าใจ เราไม่เคยได้ยินเลย เราก็ไม่สนใจ เพราะอะไร? ก็เพราะวิสัยบาปที่อยู่ในตัวเก่า ที่อยู่ในเนื้อหนังของเรา มันต้องการที่จะทำด้วยตัวเอง มันมีความเย่อหยิ่ง ตัวนี้แหละเป็นเชื้อบาปตัวหนึ่งที่เป็นเชื้อบาปใหญ่เลย เริ่มต้นจากมนุษย์ตกลงไปในความบาป ตัวนี่แหละ เย่อหยิ่งจองหอง คิดว่าตัวเองแน่กว่าพระเจ้าผู้สร้างเขา แล้วก็ตกทอดมาถึงเราทุกวันนี้ เชื้อบาปนั้น ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ จนมาถึงมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ในเนื้อหนังร่างกายของเรา ในนิสัยบาปเรานั้น มีเชื้อใหญ่ตัวนี้อยู่ ก็คือเชื้อของความเย่อหยิ่งจองหอง
“ฉันจะต้องทำด้วยตัวฉันเอง ฉันไม่เชื่อหรอก”
นี่มันเป็นอย่างนั้น โอเคต่อนะครับ
ในบรรทัดต่อมา เขาบอกว่า “แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ” นี่อีกฝั่งหนึ่ง อีกด้านหนึ่งแล้วนะ
“แต่ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณประสงค์”
ผู้ที่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ ตรงนี้ง่าย ทุกคนก็รู้ว่าก็คือผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ถูกไหม? อยู่ในพระคริสต์แล้ว เพราะฉะนั้น ผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ก็ปักใจในสิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์ สิ่งที่พระวิญญาณทรงประสงค์ ก็คือน้ำพระทัยพระเจ้า ให้เป็นไปตามน้ำพระทัย … น้ำพระทัยพระเจ้าตรงนี้ ก็คือต้องการให้เรา ปักใจตรงนี้ คือให้เราระลึกอยู่เสมอว่านี่พระเจ้าต้องการอะไร? ต้องการให้เราระลึกถึงเสมอว่าวิญญาณตัวเราเองถูกสร้างใหม่แล้ว เราเป็นกระเทียมดองแล้ว นี่คือสิ่งที่พระวิญญาณต้องการให้เรารู้ เป็นกระเทียมดองแล้ว เป็นเนื้อเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากบาปแล้ว เพราะน้ำพระทัยพระเจ้าต้องการให้เราได้ไปอยู่กับพระองค์ได้ ในสวรรค์ ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เลย จนถึงนิรันดร์เลย และวิญญาณเราก็ได้อยู่ที่นั่นแล้ว ตอนนี้ด้วยจริงๆ ถ้าเผื่อเราใช้สิทธิของเราในข่าวประเสริฐนั้น เราอยู่ในนั้นเลย เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้วทันทีเลย อยู่ในพระคริสต์
คนที่อยู่ในพระคริสต์อย่างนี้ เราต้องปักใจตรงนี้ เพราะพระวิญญาณต้องการให้เขาปักใจอยู่ตรงนี้ให้ได้ สู้กับเนื้อหนังที่ไปอีกข้างหนึ่ง พอเข้าใจไหม? นี่คือน้ำพระทัยพระเจ้า น้ำพระทัยพระเจ้าไม่ใช่เฉพาะพวกเราที่เชื่อแล้วเท่านั้นนะ คนที่ยังไม่เชื่อ ในอดีตที่เรายังไม่รู้จักพระเจ้า น้ำพระทัยพระเจ้าก็ต้องการให้เรารู้ตรงนี้ แต่เรายังไม่รู้ เราก็ปักใจของเราอยู่แต่เนื้อหนังของเรา
เราเกิดมาต้องใช้เวรใช้กรรม เราก็ปักใจอยู่ตรงนั้นแหละ ใครพูดอะไรก็ไม่ฟัง แต่ปักใจอยู่ตรงนั้นแหละ ซึ่งพระเจ้า น้ำพระทัยของพระองค์ก็ต้องการให้ผมและท่านมารู้จักกับกฎใหม่ในพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นข่าวดี ท่านจะได้ไม่มาปักใจตรงนี้ พอเข้าใจไหม?
ข้อต่อไปบอกว่า “จิตใจของคนบาป นำไปสู่ความตาย แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุมนำไปสู่ชีวิตและสันติสุข”
ชัดเจนเลย “จิตใจของคนบาป นำไปสู่ความตาย” คนบาป ก็คือคนที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่า นี่ท่านจะเห็นชัดว่าถูกเลย เมื่อตะกี้นี้ที่วิเคราะห์มา ใช่แล้ว นี่คือจิตใจของคนที่เป็นบาป นำไปสู่ความตาย คนบาป ก็คือคนที่ยังอยู่ภายใต้กฎเก่านั้นแหละ ต้องรับโทษของบาป คือความตายและตาย ไม่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้ ไม่สามารถรู้จักกับพระเจ้าได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ จนกระทั่งถึงนิรันดร์ หลังจากจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ยังไม่รู้จักพระเจ้ารู้ ก็ต้องไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีพระเจ้า ซึ่งเขาสรุปกันทั่วโลก เรียกว่านรก
“แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุม นำไปสู่ชีวิตและสันติสุข” พระคัมภีร์พูดไว้อย่างนั้น คือจิตใจที่เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าแล้ว พระวิญญาณควบคุมอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว เป็นกระเทียมดองกับพระเจ้า เป็นกระเทียมดองกับตรีเอกานุภาพไปเรียบร้อยแล้ว จิตใจนั้น คือจิตใจของผู้ที่อยู่ในพระคริสต์ ก็จะได้รับชีวิตนิรันดร์และสันติสุขที่แท้จริง เอเมน เห็นภาพไหม? ชัดเลยนะ มันไม่ได้ยากเย็นเลยนะข่าวดี โรม 8:9-11 เรามาอ่านกันดู ตั้งใจอ่าน อย่างที่ตะกี้นี้บอก นึกในใจ มีกฎใหม่ กฎเก่า กระเทียมสด กระเทียมดอง
พูดพร้อมกันสิ “กฎใหม่ กฎเก่า กระเทียมสด กระเทียมดอง วิญญาณเก่า วิญญาณใหม่”
อ่านตรงนี้นะ โรม 8:9-11
โรม 8:9-11 “9 อย่างไรก็ตาม ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมโดยวิสัยบาป แต่โดยพระวิญญาณ และถ้าผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระคริสต์ ผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นของพระคริสต์ 10 แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายของท่านก็ตายไป เพราะบาปถึงกระนั้น จิตวิญญาณของท่านก็มีชีวิตอยู่ เพราะความชอบธรรม 11 และถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย สถิตในท่าน พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย จะประทานชีวิตแก่กายซึ่งต้องตายของท่านด้วย พระองค์ประทานชีวิตนั้น โดยทางพระวิญญาณของพระองค์ ผู้สถิตในท่าน”
ในนี้บันทึกว่าถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่ในท่าน … ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมด้วยวิสัยบาป เช่นเดียวกัน ถ้าเราเปรียบ เป็นกฎเก่ากับกฎใหม่นะ ถ้อยคำตรงนี้ ก็จะอธิบายได้อย่างนี้ว่าถ้าพระวิญญาณของพระเจ้าสถิตในท่าน คือถ้าท่านอยู่ในพระคริสต์ เชื่อในข่าวดีของพระเจ้า ต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ท่านได้รับบัพติศมา จุ่มลงไปในพระคริสต์ ท่านได้เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ ถ้าท่านอยู่ในพระคริสต์ ท่านก็ไม่ได้ถูกควบคุมด้วยวิสัยบาปอีกต่อไป คือไม่ได้อยู่ภายใต้กฎเก่าอีกต่อไป
กฎเก่าที่ต้องพยายามพึ่งการกระทำของตนเอง เพื่อจะได้รับความชอบธรรม เพื่อจะได้เข้าไปหาพระเจ้าได้ เพื่อจะได้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ แต่โดยพระวิญญาณ ภายใต้กฎใหม่ ที่เราได้บังเกิดใหม่ คือกฎแห่งพระวิญญาณแห่งชีวิต ในองค์พระเยซูคริสต์ ที่ได้ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากความบาปและความตายแล้ว เอเมน
ข้อที่ 10 บอกว่า “แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายของท่าน ก็ตายไป”
ฟังให้ดีๆ นะ “แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน” เชื่อพระเจ้าแล้วนะ “แต่ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายของท่านก็ตายไป เพราะบาป ถึงกระนั้น จิตวิญญาณของท่าน ก็มีชีวิตอยู่ เพราะความชอบธรรม” ตรงนี้ คืออะไร? คือเขาเรียกว่าไคล์แม๊กของเรื่องพระเจ้าเลย ไคล์แม็กของเรื่องไปสวรรค์ ไคล์แม็ก ของเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซู ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายของท่านก็ตายไป ฟังให้ดีๆ กายของท่านตายไป เพราะบาป ย้ำให้เห็นว่าที่เราเรียนรู้กันมาตลอดทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเรื่องทางวิญญาณทั้งสิ้น อย่างที่ผมเคยบอกมาตลอดใช่ไหม?
พระคัมภีร์ไม่เคยพูดถึงเรื่องอื่นเลย นอกจากเรื่องของวิญญาณ อ่านเท่าไร ให้ท่านพยายามนึกถึงเรื่องโลกวิญญาณอย่างเดียว ถ้าท่านไม่ใช้โลกวิญญาณ ใช้วัตถุ หรือวัตถุสิ่งของบนโลกนี้ หรือสติปัญญาแบบมนุษย์เข้าไป ท่านจะไม่เข้าใจเลย และไม่ใช่ไม่เข้าใจอย่างเดียว ท่านเข้าใจผิดอีกต่างหาก แล้วจะไปเข้าข้างอีกฝั่งหนึ่ง คือกฎเก่า พระเยซูมาพร้อมกับกฎทางวิญญาณทั้งสิ้น ทุกเรื่องเกี่ยวกับพระองค์ เป็นเรื่องวิญญาณทั้งสิ้น
ยกตัวอย่างง่ายๆ ที่พระองค์บอกว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด” แล้วทุกคนไม่มีหูเหรอ พูดมาได้อย่างไรว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด” มันหมายถึงใครมีหูทางฝ่ายวิญญาณจงฟังเถิด
และอีกอันหนึ่งที่บอกว่า “สิ่งที่มนุษย์มองไม่เห็น สิ่งที่มนุษย์ไม่ได้ยิน เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับเขาทั้งหลายที่รักพระองค์”
แต่พระเจ้ากำลังหมายถึงตาฝ่ายวิญญาณ หูฝ่ายวิญญาณ เขาถึงต้องอธิษฐานให้เราตาฝ่ายวิญญาณเปิดออก อธิษฐานหูฝ่ายวิญญาณของเราเปิดออกไง พระเยซูจึงบอกว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด” มองไป ก็มีหูทุกคน ถูกไหม? นี่เรื่องวิญญาณทั้งสิ้น
มาอธิบายต่อเมื่อตะกี้นี้ เพราะฉะนั้นทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของวิญญาณทั้งสิ้น ถ้าบอกว่า.-
“ถ้าพระคริสต์อยู่ในท่าน กายของท่านก็ตายไปเพราะบาป คือแม้ว่าเราจะได้รับบัพติศมาในพระวิญญาณแล้ว ได้จุ่มลงไป มุดลงไป เป็นกระเทียมดอง เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์แล้ว ได้อยู่กับพระคริสต์แล้ว แต่เป็นเพียงวิญญาณของเท่านั้น ทั้งหมดที่พูดมา ส่วนกายของเรา ที่มองเห็นอยู่นี้ ก็ยังคงเป็นเนื้อหนัง ซึ่งยังคงมีสภาพบาปอยู่ เพราะฉะนั้นกายของเรา คือร่างกายของเรานี้ ยังคงต้องตายอยู่ดี ในวันหนึ่งข้างหน้า ใช่หรือไม่ใช่? ใช่
แล้วคราวนี้ พระคัมภีร์จึงบันทึกข้อนี้มา เป็น Happy Ending ของเรา ถ้ามีอยู่แค่นี้ ตายเลย เราไม่มีความสุขเท่าไรเลย แม้อยู่ในพระคริสต์ก็ไม่สุข เพราะเราต้องอยู่กับมันตลอดไป มันนี่คือใคร?
พูดพร้อมกัน “ตัวฉันเอง”
ตัวที่เป็นร่างกายของเรา ที่เป็นบาปอยู่นี่ “ฉันจะต้องอยู่กับมันตลอดไปเลย วิญญาณฉันเกิดใหม่แล้ว เป็นเหมือนพระเจ้าเลย ดองกับพระเจ้าเลย แต่ยังอยู่ในเนื้อหนังร่างกายที่ยังคงบาป ฉันจะอยู่กับมันถึงนิรันดร์เหรอเนี้ย ฉันจะต้องบังคับมันอย่างนี้ตลอดไป ตายแน่ การเป็นคริสเตียนของฉัน มันก็เลยเป็นพระพรแค่ครึ่งเดียว 50% ที่เหลือทารุณพอสมควร ฉันต้องอยู่อย่างนี้เหรอเนี้ย สิ่งที่ฉันไม่อยากทำ ฉันก็ต้องทำมัน ฉันจะต้องอยู่อย่างนี้ อยู่ในสวรรค์ ฉันอยากด่าใคร? ฉันก็ด่าอย่างนั้นเหรอ อยู่บนโลกมันเป็นอย่างนี้หรือเปล่า? ถามว่าเป็นไหม? เป็นหรือไม่เป็น? ยิ้มๆ แล้วตอบเลย เป็นหรือไม่เป็น? เป็น เวลาโกรธมาหน้าตาก็บูดบึ้ง แล้วจะให้ฉันทำอย่างไร ข้างในมันตั้งใจซะที่ไหน มันไม่อยากจะทำ ฉันก็กลุ้มเหมือนกัน ที่ทำลงไป”
ถามจริง กลุ้มไหม? หรือว่าไม่กลุ้ม เวลาเราโกรธใคร ยิ้มแย้มแจ่มใสไหมข้างใน ชื่นใจ วันนี้ได้โกรธคน ด่าซะมันไปเลย กลับถึงบ้านแฮปปี้ นอนหลับสบาย น้อยคนนะเป็นอย่างนั้น นอกจากจะเพี้ยนไปแล้ว ถ้าเป็นคนปกติไม่เป็นอย่างนั้นแน่นอน มีใครไหม? เห็นคนแก่ เห็นเด็กจะข้ามถนน ไปแกล้ง อุ้มออกไปเลย ไปแกล้ง ไม่ให้เขาข้าม แล้วก็สบายใจจัง มีความสุข ไม่มีหรอก ไม่ใช่ ลึกๆ ข้างในวิญญาณของมนุษย์มาจากพระเจ้าทุกคน แม้ว่ายังไม่รู้จักพระเจ้า ก็เป็นของพระเจ้าทั้งนั้น แต่มันเสียหายยับเยิน เพราะความบาป เชื่อของความบาป ที่มันปิดอยู่ แล้วแม้กระทั่ง เรามารู้จักพระเจ้าแล้ว ได้มาบังเกิดใหม่ข้างในวิญญาณแล้ว แต่เราก็ต้องอยู่กับใคร? อยู่กับมันต่อไป อย่าไปรักมันมาก อยากจะดุด่าใครนะ ไปหน้ากระจกเลย ไปซัดมันให้เต็มที่ อันนั้นแหละคือตัวจริง เลวที่สุด คือไอ้นั้นแหละ ใคร? มัน (ร่างกายที่มีวิสัยบาปอยู่) ไม่ใช่ตัวจริง ตัวจริง คือวิญญาณครับ มันคือร่างกายของเรา
นี่คือความหวังใจมาก พระคัมภีร์บันทึกไว้ตรงนี้ ถึงกระนั้น วิญญาณของท่าน ก็มีชีวิตอยู่ เพราะความชอบธรรม แต่ถึงแม้ร่างกายของเราจะต้องตายไป แต่วิญญาณของเรา ก็ยังคงอยู่ และมีชีวิตนิรันดร์อยู่กับพระเจ้า เพราะวิญญาณของเรา เป็นวิญญาณของผู้ชอบธรรมแล้ว หมายถึงไม่ผิด ไม่บาป ไม่ต้องรับการลงโทษใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีชนักติดหลังเลยแม้แต่นิดเดียว เป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์ปราศจากบาปแล้ว หรือเรียกว่ากระเทียมดองไปแล้ว เพราะฉะนั้นจะต้องไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถานอย่างแน่นอน นี่เรียกว่าข่าวดีของพระเยซูที่มาถึงมนุษย์ทุกคน เอเมน
วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเราไปอยู่ในสวรรค์ พระเจ้าสัญญาไว้แล้วว่าอย่างไร? พระองค์สัญญาว่าในข้อเมื่อตะกี้นี้ ย้อนไปอ่านนิดหนึ่ง
“พระองค์ผู้ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย จะประทานชีวิตซึ่งต้องตายแก่ท่านนั้นด้วย”
กายของท่านที่ต้องตาย พระเจ้าจะประทานชีวิตให้ใหม่ด้วย คือพูดง่ายๆ ให้ร่างกายใหม่กับท่าน … ท่านจะไม่ได้ไม่ต้องอยู่กับมันอีกต่อไป เมื่อท่านทิ้งร่างกายบนโลกใบนี้แล้ว วิญญาณท่านออกจากร่าง หมายถึงตายจากโลกนี้ จากโลกนี้ไปแล้ว พระเจ้าเตรียมอะไรไว้ให้กับท่าน เตรียมร่างกายใหม่ ที่เต็มไปด้วยสง่าราศีของพระเจ้า ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องอยู่ในความบาป ไม่ต้องทำชั่ว ไม่ต้องอยากทำชั่ว ไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป ซึ่งมีความคงทนอยู่ไม่นานนัก แค่นิรันดร์กาลปีเท่านั้นเอง
วิญญาณท่านก็เป็นเหมือนพระเจ้าแล้ว ถูกไหมครับ? สะอาดหมดจดแล้ว ท่านได้สวมร่างกายใหม่ด้วย นี่แหละ คือความหวังใจที่ตะกี้นี้ผมบอกไป เพราะฉะนั้นตอนนี้อดทนอยู่กับมัน (ร่างกายที่มีวิสัยบาป) อีกนิดเดียวๆ แป๊บเดี๋ยว เราชนะมันแล้ว เอเมน โรม 8:12-13 จึงบันทึกอย่างนี้
โรม 8:12-13 “12 เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราจึงมีพันธะ แต่ไม่ใช่พันธะต่อวิสัยบาป ที่จะ ต้องดำเนินชีวิตตามนั้น 13 เพราะถ้าท่านดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป ท่านก็จะตาย แต่ถ้าท่านได้ประหารการกระทำอันชั่วร้ายของกายของท่าน โดยพระวิญญาณ ท่านก็จะมีชีวิตอยู่”
ตั้งใจฟังตรงนี้ชัดๆ นะ นี่ขยายความเมื่อสักครู่นี้ “พี่น้องทั้งหลาย เราจึงมีพันธะ แต่ไม่ใช่พันธต่อวิสัยบาป”
คำว่า “พันธะ” ในข้อนี้ พระคัมภีร์บางฉบับใช้คำว่า “Debtor” ที่แปลว่าลูกหนี้ ความหมาย ก็คือท่านไม่ใช่เป็นลูกหนี้ของเนื้อหนัง ความบาปอีกต่อไปแล้ว ท่านไม่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของเนื้อหนังอีกต่อไปแล้ว นี่หมายถึงคนที่อยู่ในพระเยซูคริสต์ และถ้าท่านยังปล่อยให้ตัวเองอยู่ภายใต้การควบคุมของเนื้อหนัง กฎเก่า ท่านก็ยังคงต้องอยู่ภายใต้กฎเก่า และท่านจะต้องตายและตาย อธิบายชัดนะ เหมือนเดิมเลย นี่คือข่าวประเสริฐ กำลังอธิบายเรื่องข่าวประเสริฐ เหมือนที่บอกว่าข่าวดีเรื่องเครื่องบินมาถึงแล้ว เครื่องบินบินได้จริงๆ หรือบอลลูนก็ได้ บอลลูนมันลอยขึ้นได้จริงๆ ข้ามไปเถอะ ขึ้นไปเถอะ
ยกตัวอย่างเช่น ข้ามไปเถอะ เพราะภูเขาไฟในเกาะนี้มันจะระเบิดแล้ว ถ้าคุณขึ้นไป ลอยไปอยู่ที่โน่น ย้ายไปอยู่อีกเกาะหนึ่ง เกาะนี้มันจะยุบลงไปแล้ว เร็วๆ มิฉะนั้น ถ้าท่านไม่เชื่อ ท่านจะต้องตาย แต่คราวนี้หนักกว่า ในข้อพระคัมภีร์นี้หนักกว่า คือตายทั้งร่างกายและวิญญาณ และนิรันดร์ด้วย คือถ้าท่านไม่เดินทางวิญญาณหรือพระวิญญาณก็ตาม คือท่านไม่เดินทางวิญญาณ ไม่ได้เห็นทางวิญญาณตามที่ข่าวประเสริฐได้พูดถึง ท่านจะไม่มีวันได้รับความรอดเลย ถ้าไม่ได้เดินทางวิญญาณ ท่านอยู่ทางวัตถุเนื้อหนัง ก็คือกลับไปที่โลกวัตถุ กลับไปที่กฎเก่า กฎเดิม กฎของความบาปและความตาย ท่านจะไม่มีวันได้รับความรอดเลย ตราบใดที่ท่านเดินอยู่ในเนื้อหนังนั้น คือพยายามที่จะพึ่งการกระทำของตัวเองว่าจะต้องทำเอง จะต้องเป็นอย่างโน่นอย่างนี่ด้วยตัวเอง ท่านจะไม่มีทางได้รับความรอดเลย แม้แต่นิดเดียว
ง่ายๆ ถ้าเปรียบเทียบ ก็คือถ้าท่านพยายามบินด้วยแขนของตัวเองเมื่อไร? ไม่พึ่งใครเลย ท่านก็หล่นลงมาแน่นอน หล่นไหม? หล่นแน่นอน ถ้าท่านไม่พึ่งเครื่องบิน ท่านหล่นลงมาแน่ ท่านไม่พึ่งกฎแห่งการยกขึ้น ท่านหล่นลงมาแน่นอน ถูกหรือไม่ถูก? เหมือนกระเทียม ที่พยายามดองตัวเอง ได้ไหม? กระเทียมมันกระดืบๆ มันกี่ปี มันถึงจะลงไปในไหน้ำส้ม มันต้องมีคนเตรียมน้ำส้ม เตรียมอะไรต่างๆ ไว้ แล้วก็จับกระเทียมนั้น ใส่ลงไปในไหนั้น มันถึงจะเป็นกระเทียมดอง
“ฉันจะต้องกระเถิบทีละนิดๆ เมื่อไรฉันจะถึงไหน้ำส้มชูไหมเนี้ยะ” เป็นไปไม่ได้
ถ้าพูดเหมือนตะกี้นี้ ท่านหัวเราะกระเทียมตะกี้นี้ กระเทียมเมื่อไรจะไปถึง ถ้าผมพูดอย่างนี้ ท่านจะกล้าหัวเราะไหม?
“ฉันจะสะสมคุณความดี เพื่อจะหลุดพ้นจากบาปเวรกรรม ฉันจะพึ่งในการกระทำของตนเอง ฉันจะไม่พึ่งในอะไรทั้งสิ้น ฉันจะไม่พึ่งในพระเยซูเลย ฉันจะพึ่งการกระทำ ฉันจะสะสมการกระทำดีของฉัน สะสมบุญของฉันไปเรื่อยๆ”
อ้าว! ไม่หัวเราะล่ะ ได้ไหม? ไม่ได้ นี่ตามกฎนี้ ไม่ได้ ถูกไหม? ที่ตะกี้พูดถึงกระเทียมยังหัวเราะเลย แต่พอพูดถึงตัวเอง ไม่ยอมหัวเราะ เราก็คืออย่างนั้นในอดีตใช่ไหม? เรานึกว่าเราทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ เมื่อไรมันจะหมดเวรหมดกรรม ทั้งๆ ที่เรารู้ว่ามันไม่หมด เราก็ยังทำไม? ทำ เพราะเราไม่รู้จะทำอย่างไร? เพราะเราไปปักใจอยู่ตรงนั้น ตรงไหน? ตรงกฎเก่า ตรงเนื้อหนัง ตรงเนื้อหนังมันเต็มไปด้วยความบาป แต่พระเจ้ามาไถ่เรา ให้ความรอดเรา เริ่มต้นที่วิญญาณของเราก่อนเลย มันต้องเริ่มต้นตรงนั้น ถ้าเราเริ่มต้นที่เนื้อหนังจะไม่เจอพระเจ้าเลย พระเจ้าก็จึงบอกมนุษย์ทุกคนว่าทางรอดจากบาป ทางรอดจากนรก มีเพียงทางเดียวเท่านั้นจริงๆ คือทางพระเยซูคริสต์ … พระเยซูคริสต์เป็นผู้พูดเอง พระคัมภีร์ก็พูดอย่างนั้น ท่านต้องเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ โดยทางฝ่ายวิญญาณ โดยการนำของพระวิญญาณ ที่เป็นผู้ควบคุมการดำเนินการทั้งหมด ในครอบครัวของพระคริสต์ นำพาท่านเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ โดยความเชื่อในข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูคริสต์ ท่านจึงจะสามารถได้รับความรอดได้ ท่านกำลังพึ่งในพระเจ้า เพระเยซูคริสต์นั้นเอง
พระคริสต์ก็เปรียบเหมือนบ้านหลังหนึ่ง เปรียบเหมือนสถานที่หนึ่ง ที่พระเยซูบอกว่าพระเจ้ากับพระองค์จะทำบ้านขึ้นใหม่ โดยจะมีเราเข้าไปอยู่ในนั้น
“เรา” ก็คือคนที่เชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ และจริงๆ เรา ก็คือทุกคนบนโลกใบนี้ มนุษย์ทุกคน พระองค์ทรงกระทำให้มนุษย์ทุกคน … ทุกคนเลยนะ ประกาศข่าวนี้ เพื่อให้ทุกคนได้รู้ แต่คนที่จะเข้าไปได้ ก็มีเพียงแค่คนที่ยอมรับสิทธินั้น ยอมรับว่ามันเป็นจริง
“ฉันจะยอมรับสิทธิของฉัน”
ถ้าไม่เอา แล้วมันจะเป็นอย่างไร? ถูกไหม? ถ้าท่านยังไม่เชื่อในฝ่ายวิญญาณอย่างนี้ อย่างที่อธิบายมาตะกี้ ท่านจะไม่มีวันที่จะได้รับความรอดจากบาป พ้นจากบาป เวรกรรม พ้นจากการถูกลงโทษ จากบาปเวรกรรม พ้นจากนรกได้เลย และจะต้องไปสู่ความตายและตายในที่สุด อย่างที่ผมบอก ตายนิรันดร์ ตายครั้งแรก ก็คืออยู่บนโลกใบนี้ ขณะนี้ ก็ไม่ได้อยู่กับพระเจ้า ทิ้งโลกใบนี้ไป จากโลกใบนี้ไป ก็ไม่ได้อยู่กับพระเจ้า ตรงกันข้าม ถ้าท่านรับข่าวประเสริฐของพระเจ้า รับเชื่อในพระเยซู ท่านได้บังเกิดใหม่ ท่านได้เป็นกระเทียมดอง … ดองกับพระเยซู อยู่ในพระคริสต์ เป็นวิญญาณใหม่ ท่านอยู่กับพระเจ้าเดี๋ยวนี้เลย กำลังอยู่ตอนนี้ แล้วเมื่อจากโลกนี้ไป ท่านก็ยังอยู่กับพระเจ้าเหมือนเดิม เอเมน
โรม 8:14-16 “14 เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำผู้ใด ผู้นั้นเป็นบุตรของพระเจ้า ท่านไม่ได้รับวิญญาณ ซึ่งทำให้ท่านเป็นทาสของความกลัวอีก 15 แต่ท่านได้รับพระวิญญาณ ผู้ทำให้ท่าน เป็นบุตรของพระเจ้า และโดยพระองค์ เราร้องว่า “อับบา พ่อ” 16 พระวิญญาณเอง ทรงยืนยันร่วมกับวิญญาณจิตของเราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า”
เอเมน ขอบคุณพระเจ้า นี่คือสรุปให้เห็นอีกทีหนึ่ง ให้เห็นชัดๆ เจน
ให้ท่านพูดตามผมนะครับ “นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ไม่ได้รับวิญญาณ ซึ่งทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นทาสของความกลัวอีก”
ท่านรู้ไหมว่าทาสของความกลัวแปลว่าอะไร? “เป็นทาสของความกลัวอีก” คือกลัวตกนรก กลัวผิด ฟ้องผิดตลอด กลัวบาปเวรกรรมที่ต้องชดใช้ ตอนนี้นครไม่มีวิญญาณนั้นอีกแล้ว ไม่เป็นทาสแล้ว ไม่กลัวแล้ว ใช่หรือไม่ใช่? ใช่ มันแปลว่าอย่างนี้ ไม่มีวิญญาณแห่งความกลัวอีกต่อไปแล้ว แต่วิญญาณที่ให้มาเป็นวิญญาณที่ … อ่านตาม
“แต่นคร … (ใส่ชื่อท่าน) ได้รับวิญญาณ ผู้ทำให้นคร … (ใส่ชื่อท่าน) เป็นบุตรของพระเจ้า และโดยพระองค์ เราร้องว่าอับบา พ่อ”
เข้าใจหรือยัง? เราร้องว่าพระบิดาเจ้า พระบิดา เรานึกว่าเรื่องธรรมดา ทำไมพระเยซูสอนเราให้อธิษฐานอย่างนี้ว่า “พระบิดา” ทำไมขึ้นคำแรกเป็นคำนี้ เพราะไม่มีใครจะสามารถพูดตรงนี้ได้ จนกว่าเขาจะได้บังเกิดใหม่ เขาจะได้เป็นกระเทียมดอง เขาจึงจะพูดตรงนี้ได้ชัดเจนแจ่มใส ไม่อย่างนั้น เขาต้องนึกว่าเขากำลังเล่นลิเกอยู่ เขาอาย เขาไม่กล้าพูด ทุกวันนี้มีใครอายบ้างตรงนี้ เพราะข้างในมันชื่นใจ รู้ว่าใช่ รู้ว่า.-
“ยืนยันอยู่ในใจฉัน”
ใครยืนยัน “วิญญาณฉันและพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันนั้น”
ยืนยันว่านี่ใช่เลย เราอยู่ที่นั่นแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปแล้ว และไปถึงนิรันดร์ด้วย
การดำเนินชีวิตโดยพระวิญญาณ ก็คือการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์นั่นเอง นี่คือการดำเนินชีวิตโดยพระวิญญาณ บางคนบอกการดำเนินชีวิตโดยวิญญาณ คืออะไร? อ๋อ! ต้องไปทำดีอย่างนั้น ต้องไปช่วยคนยากคนจน ไม่ใช่ พระคัมภีร์ไม่ได้พูดตรงนั้น ไม่ได้สอนจริยธรรมตรงนั้น พระคัมภีร์กำลังจะบอกว่าการดำเนินชีวิตโดยวิญญาณ ก็คือสำนึกในวิญญาณอยู่ที่ไหน กำลังทำอะไร? เราเป็นใคร เราเป็นใครในพระคริสต์
ตรงนี้ หมายถึงการดำเนินชีวิตตามวิญญาณ ไม่ใช่อย่างที่เราคิดกันว่ามาสอนจริยธรรม ไบเบิ้ลไม่ได้สอนจริยธรรม ผมจะบอกให้ท่าน เป็นเรื่องวิญญาณทั้งสิ้น ถ้าท่านรู้ตรงนี้ จริยธรรมจะออกมาเอง มันจากข้างในมาข้างนอก ไม่ใช่จากข้างนอกไปข้างใน ฟังให้ดีๆ นะ มันจะข้างในออกมาข้างนอก ไม่ใช่จากข้างนอก แล้วพยายามจะไปล้างข้างในให้สะอาด เป็นไปไม่ได้ ข้างในสะอาด แล้วเดี๋ยวมันจะออกมาข้างนอกเอง เอเมน
การดำเนินชีวิตโดยวิญญาณ ก็คือโดยการไถ่บาปของพระเยซู ให้ดำเนินชีวิตอยู่ตรงนั้นแหละ ในการที่เราได้รับการไถ่แล้ว เราได้รับการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์หมดจด จนกระทั่งได้กลับมาเป็นบุตรของพระเจ้า อย่างที่ตะกี้นี้พระคัมภีร์พูดแล้ว ให้เราดำเนินชีวิตโดยวิญญาณตรงนี้ รู้ตลอดเวลาว่าเราเป็นใคร นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่เราต้องย้ำยืนยัน และเน้นกับตัวเองตลอดเวลาว่าเราอยู่ในพระคริสต์ ให้เรารู้ว่าเราเป็นใครในพระคริสต์ เราอยู่ในพระคริสต์ เราชนะอย่างไร? มันคือใคร? มันก็คือใคร? ก็คือเนื้อหนังร่างกาย มันจะเถียงเราตลอด ต้องจับมันให้อยู่ให้ได้ แล้วก็ดำเนินชีวิตในแต่ละวัน โดยให้พระวิญญาณนำ ข้างในนำ ดำเนินชีวิตโดยเอาวิญญาณนำหน้า ถามว่าพระวิญญาณนำใช่ไหม? ใช่ แต่พระวิญญาณก็เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบุตร พระบิดา และก็ใครอีกคนหนึ่ง อีกคนหนึ่งใครน๊า จำไม่ได้แล้ว ตัวเราเองนั่นแหละ โดยพระวิญญาณนำ ก็คือวิญญาณของเรา ดำเนินชีวิตโดยวิญญาณของเรา โดยมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ และ 3 พระภาคอยู่ด้วยกันนั่นแหละ พอเข้าใจไหม? คือให้เราทำไม? ให้เรามองในโลกฝ่ายวิญญาณ เหมือนที่อาจารย์เปาโลสอนไว้ ในหนังสือโคโลสี 3:1-4 โดยให้เราจดจ่ออยู่ที่เบื้องบน จดจ่ออยู่ที่พระคริสต์ ที่สถิตอยู่เบื้องขวาพระเจ้าในสวรรค์สถาน ตรงนี้แหละ คือดำเนินชีวิตโดยวิญญาณ
“ฉันกำลังนั่งอยู่ที่ตรงนั้นเลย”
“ที่ตรงไหน?”
“ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน และตอนนี้ฉันก็นั่งอยู่ที่คริสตจักรโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ด้วย ขณะที่ฉันเดินไปซื้อก๋วยเตี๋ยว วิญญาณฉันก็นั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่สวรรค์สถานด้วย ฉันต้องบังคับตัวเองให้มันจดจ่ออยู่ตรงนั้นให้อยู่ได้ เพราะมันพยายามดึงฉันอยู่เรื่อยๆ ว่านี่ไม่ใช่ นี่กำลังอยู่ที่ริมถนน ร้อนก็ร้อน ข้ามถนนก็ไม่ได้ คนขายก๋วยเตี๋ยวยังเอาไปให้คนอื่นก่อนอีกต่างหาก ฉันมาก่อน แต่ได้ที่หลัง ฉันโมโหแล้วนะ ฉันก็โมโหหิวอยู่ ฉันมาตั้งนาน ทำไมคนนั้นได้ก่อน ทำไมคนมาทีหลังได้ก่อน ฉันชักโกรธแล้ว ฉันก็ระเบิดออกไปเลย เพราะฉันหลุดจากเบื้องขวาของพระเจ้า ลงมาอยู่ที่ไหน? ลงมาอยู่ที่มันแล้ว มันชนะตอนนั้น ฉันแพ้”
เพราะฉะนั้น เราต้องจดจ่อปักใจพุ่งไปที่ไหน? พุ่งไปที่เราอยู่ในพระคริสต์ เราอยู่เบื้องบนกับพระเจ้าในสวรรค์สถาน เราเป็นกระเทียมดองแล้ว เราอยู่ในกฎใหม่แล้ว เราอยู่ในกฎแห่งพระวิญญาณแล้ว เรามีชีวิตในองค์พระเยซูคริสต์ พระเจ้า พระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 พระองค์ทรงอยู่กับเรา ไปไหน ไปด้วยกันตลอดเวลา เรายิ่งใหญ่มากๆ เลย แต่พระเยซูบอกยิ่งใหญ่ ก็ต้องยิ่งเสียสละหมดเลย เพราะมีเยอะแล้วไง คนที่เห็นแก่ตัวโลภ เพราะเขายังไม่รู้ เขานึกว่าเขาขาดอยู่ เขาอยากจะเอา แต่พอเรารู้อย่างนี้ เราเลยเฉยๆ ไง เพราะเรามีเยอะมาก … มากๆ จริงๆ เราอยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้ เอเมน นี่แหละคือสิ่งที่สำคัญ
เราจะจบด้วยอ่านตรงนี้ด้วยกัน โคโลสี 3:1-4 ย้ำตรงนี้ด้วยกันว่าพระเยซูต้องการให้ดำเนินชีวิตโดยพระวิญญาณนี้อย่างไร? โดยวิญญาณนี้อย่างไร? ให้เราจดจ่ออยู่ที่ไหน? อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เพื่อชีวิตเราจะเต็มไปด้วยชัยชนะตลอดเวลา
โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลาย เป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏ พร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”
เอเมน … และนี่คือการที่เราสามารถจดจ่ออยู่ที่เบื้องบนได้ คือการมีความหวัง และรู้ว่าที่เบื้องบน ที่ในพระคริสต์ ที่เราสถิตอยู่ด้วยนั้น ตอนนี้มันเป็นอย่างไร? เราเป็นใคร? เตือนตัวเองบ่อยๆ เราเป็นใคร? พูดให้ตัวเองฟังอยู่บ่อยๆ วนเวียนให้ตัวเองรู้บ่อยๆ ร้องเพลงนี้บ่อยๆ “อยู่ในพระคริสต์” ขอพระเจ้าอวยพรครับ
*************************