คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2020
เรื่อง “พระเจ้าสามารถกระทำทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ให้เป็นประโยชน์ และเป็นผลดีกับเราทุกคน”
โดย นคร เวชสุภาพร
สัปดาห์ที่แล้วเราได้เรียนรู้กันไป ตามภาษาไทยๆ ว่าเรา มีองค์สถิตอยู่ภายในเราแล้ว เมื่อเราเชื่อในพระเยซู คือพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลายทั้งปวง พระเจ้าองค์นี้แหละสถิตอยู่ในเราผู้เชื่อในข่าวดีของพระเยซู และพระเจ้าองค์นี้ คือพ่อของเรา ตามที่พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
ยอห์น 1:12-13 “12 คนทั้งปวงที่เชื่อในพระนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้า 13 คือบุตรที่ไม่ได้เกิดจากการสืบเชื้อสายตามธรรมชาติ แต่เกิดจากพระเจ้า”
พอเชื่อในนามพระเยซูก็ได้รับสิทธิให้เกิดใหม่เป็นบุตรของพระเจ้า ทางวิญญาณ ถ้อยคำพระเจ้าทางพระคัมภีร์ก็ยืนยันกับเราว่าพระเจ้าที่สถิตอยู่กับเรา รักเรามากมาย คอยปกป้องคุ้มครองเรา และพูดกับเราด้วยความรัก และความห่วงใย ไม่บีบบังคับ คอยปลอบโยนจิตใจเราให้กำลังใจเรา และเสริมความกล้าหาญ ให้กับเราตลอดชั่วชีวิตของเรา ไปจนถึงนิรันดร์ พูดง่ายๆ ว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้วตอนนี้ และเราจะอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ไปถึงนิรันดร์กาลเลยทีเดียว
อย่างที่เรียนรู้กันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าไม่ใช่พระเจ้าพระบิดาเท่านั้น ที่สถิตอยู่กับเราแล้วตอนนี้ แต่เป็นพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ 3 องค์ คือ 3 พระภาคสถิตอยู่กับเราในวิญญาณเรา ในร่างกายเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับวิญญาณของเราเลยทีเดียว พูดอย่างนี้ชัดเจนเลยนะ
เพราะฉะนั้น นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้กันไปเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว และในขณะนี้ ทั่วโลก ดูในหน้าหนังสือพิมพ์ หรือในข่าวต่างๆ ได้เลย ทุกแห่งเงียบสนิท หมดสนุกเลย ทั่วโลกกำลังหวั่นวิตกกับเรื่องโรคระบาดโควิด-19 หลายคนต้องตกอยู่ภายในความหวาดกลัว กลัวจะติดเชื้อ กลัวไม่มีรายได้ แล้วจะกินอย่างไร? จะอยู่อย่างไร? ฟังข่าวทุกวัน ก็กลัวว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อไปถึงไหน? สิ้นเมษาฯ นี้จะอยู่ถึงไหม? หรืออีก 6 เดือนข้างหน้าจะสิ้นสุดหรือยัง? ถ้าโควิดไม่สิ้นสุด ชีวิตฉันอาจจะสิ้นสุดก็ได้ เพราะฉันเหนื่อยล้าและกลัวมากเหลือเกิน อะไรต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งขณะที่เรากำลังกลัวอยู่นี้ มองไปทางโลกฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ก็กำลังบอกเราอยู่ตลอดเวลา ในวิญญาณของเรา บอกมนุษย์ที่เป็นลูกของพระองค์ว่า …
“อย่ากลัวเลย เราอยู่กับเจ้า เราอยู่ข้างในเจ้านี่แหละ อย่ากลัวเลย เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้าไปไหน เราจะไม่ละเจ้าไปไหนเลยแม้แต่นิดเดียว”
นี่คือสิ่งที่พระเจ้าพูดกับเราทุกคนที่เชื่อในพระเยซู ที่พระองค์มาสถิตอยู่ในร่างกายเราแล้ว พระเจ้ากำลังพูดกับเรา ไม่ว่าเราจะได้ยินหรือไม่ได้ยินก็ตาม แต่ผมเอามาเน้นให้ท่านอีกครั้งหนึ่งว่าความจริงในโลกวิญญาณ ก็คือพระเจ้ากำลังพูดกับท่านว่า …
“อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่ในเจ้า เราจะไม่ทิ้งเจ้าไปไหนหรอก เราเป็นหนึ่งเดียวกับเจ้า เรากับเจ้าอยู่ในสวรรค์ด้วยกันแล้วตอนนี้ เรากับเจ้าจะไปด้วยกันอย่างนี้ชั่วนิรันดร์”
เพราะฉะนั้น เราทุกคนที่มีฐานะเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว ด้วยความเชื่อ และมีพระเจ้าสถิตอยู่ในเราแล้ว เราจึงไม่กลัวไง บางคนบอกเป็นได้อย่างไรไม่กลัว คริสเตียนไม่กลัวเหรอ กลัว แต่ไม่กลัวจนสติแตก ไม่กลัวจนเกินกว่าเหตุ กลัวเป็นเรื่องธรรมดา อยู่บนโลกใบนี้ก็ต้องกลัวแล้ว พระเยซูบอกว่าอยู่บนโลกนี้ ท่านก็พบกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานาเหมือนกับคนอื่นเขาแหละ แต่จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะเราชนะโลกนี้แล้ว ในวิญญาณเราชนะแล้ว แต่เรายังคงดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราก็ต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา สิ่งที่เผชิญทุกข์ยากลำบากต่างๆ หนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือความกลัว แต่เราชนะความกลัวแล้ว เราจึงไม่ให้มันมามีอิทธิพลเหนือชีวิตของเรา แต่ให้ที่มันนิดๆ หน่อยๆ อยู่ในความคิดของเราได้นิดเดียว ไม่เยอะ เพราะมันต้องอยู่ เพราะเรายังอยู่บนโลกใบนี้ มันต้องได้ยินได้ฟังได้สัมผัสสิ่งต่างๆ ที่เป็นข้อมูลของความกลัว ที่ส่งมาจากมารและระบบของโลกใบนี้อยู่ เพราะฉะนั้น เราก็เกิดความกลัวเป็นเรื่องธรรมดา แต่ให้เราจดจ่อวิญญาณของเราที่มีพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ด้วย จะให้กำลังกับเรา มีความกล้าหาญ มีความเชื่อ มีความไว้วางใจในพระองค์ และไม่เป็นทาสของความกลัวนั้น สยบเอาความกลัวนั้นอยู่ใต้เท้าเรา ใต้เท้าเราอยู่ที่ไหน? ก็อยู่ในตัวเรานั่นแหละ อยู่ในความคิดเรา แต่เล็กๆ มันมามีอิทธิพลเหนือเราไม่ได้นั่นเอง และวันหนึ่งมันก็จะไม่มีอยู่ในตัวเราเลย เมื่อวันที่เราทิ้งร่างนี้แล้ว คือตายจากโลกใบนี้ไปแล้ว จบกันเสียที นั่นแหละ No อีกต่อไปเลย
พระคัมภีร์บอกว่าเราเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิตในพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงรักเราทั้งหลายอย่างมากมาย ไม่มีอาวุธใดที่จะถูกสร้างขึ้นมา ไม่มีอาวุธใดที่จะถูกประกอบขึ้นมา ไม่มีเชื้อโรคใดที่จะประกอบขึ้นมา ทำลายล้างเราจะสามารถทำสำเร็จได้ ไม่มีทาง ตรงนี้หมายถึงวิญญาณของเรา พระเจ้าดูแลเราอยู่ โควิดจะทำอะไรเราไม่ได้ ถ้าเผื่อพระเจ้าไม่อนุญาต ถ้าเผื่อโควิดจะทำอะไรเราได้ ในวิญญาณเราเกิดใหม่ เป็นผู้พิชิตแล้ว เข้าใจแล้วนะ
ฟังตรงนี้แล้ว บางท่านก็อาจจะแย้งในใจ เกิดคำถามในใจว่าถ้าพระเจ้ารักเรา พระองค์อยู่ในเราถึง 3 พระภาค พระองค์บอกว่าพระองค์คอยปกปักคุ้มครองดูแลเรา ห่วงใยเรา ถ้าเป็นอย่างนั้น ท่านน่าจะคิด หรือบางทีเพื่อนท่านอาจจะถามท่าน …
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมยังมีผู้ที่เชื่อพระเจ้า ผู้ที่เป็นคริสเตียน ที่มีพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา ยังคงติดเชื้อโควิดเยอะแยะเต็มไปหมดเลย แถมยังมีข่าวอีกด้วยว่าในบางประเทศ มีการแพร่กระจายของเชื้อจากการร้องเพลงนมัสการในโบสถ์ด้วยซ้ำไป”
น่าคิดไหม? เอาล่ะ เรามาดูกันว่าพระคัมภีร์อธิบายเรื่องนี้ไว้อย่างไร? ก็เลยถือโอกาสเข้าสู่หัวข้อการบรรยายในวันนี้ เป็นถ้อยคำพระเจ้าที่กำลังบอกพวกเราทุกคน … “พระเจ้าสามารถกระทำทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ ให้เป็นประโยชน์ และเป็นผลดีกับเราทุกคน” … บันทึกไว้ในหนังสือโรม 8:28 ดังนี้ว่า …
โรม 8:28 “เรารู้ว่าในทุกๆ สิ่ง พระเจ้าทรงทำให้เกิดผลดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์ คือผู้ที่ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์”
เรารู้ว่าในทุกๆ สิ่ง ไม่ใช่ทุกสถานการณ์อย่างเดียว แต่ทุกสิ่ง สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างหมด ไม่ว่ามด แมลง ต้นไม้ ดวงดาวอะไรต่างๆ พระเจ้าทรงกระทำให้เกิดผลดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์ คือผู้ที่ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์
ในทุกๆ สิ่ง พระเจ้าทรงให้มันทำงานร่วมกัน เพื่อเกิดเป็นผลดีแก่บรรดาผู้ที่รักพระองค์
ถ้าเรารู้ตัวว่าเราคือผู้ที่พระเจ้ารัก และรู้ตัวว่าเมื่อพระเจ้ารักเรา ความรักนั้น ทำให้เราเกิดใหม่ในวิญญาณ เพราะเราเชื่อ เราต้อนรับความรักของพระเจ้า เราได้ต้อนรับพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตแล้ว เราได้บังเกิดใหม่ เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เมื่อเป็นลูกของพระเจ้า วิญญาณเราจะเหมือนพระเจ้าไม่มีผิด ก็คือพระเจ้าทรงรักเราก่อน เราจึงรักพระองค์ได้ นี่พระคัมภีร์บันทึกไว้ …
“เพราะพระองค์ทรงรักข้าก่อน ข้าพระองค์จึงรักพระองค์ ถ้าพระองค์ไม่รักข้าพระองค์ก่อน พระองค์ไม่เอาความรักมาให้ข้าพระองค์ ไม่ให้ข้าพระองค์เกิดใหม่ ข้าพระองค์ไม่มีความสามารถที่จะรักพระองค์ได้ เพราะข้าพระองค์เป็นคนบาป รักพระองค์ไม่ได้หรอก เข้ากับพระองค์ไม่ได้ด้วย แต่เพราะพระเยซูไถ่บาปให้ข้าพระองค์จนสะอาดหมดจดแล้ว ทำให้ข้าพระองค์กลับคืนดีกับพระองค์ได้”
กลับคืนดี ก็คือเป็นวิญญาณที่เปลี่ยนใหม่ เป็นวิญญาณจากบาป กลายเป็นผู้ชอบธรรม เป็นวิญญาณจากที่เคยเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นวิญญาณที่เปลี่ยนใหม่ จากวิญญาณที่เคยเกลียดพระเจ้า กลายเป็นวิญญาณที่เป็นมิตรกับพระเจ้า เป็นวิญญาณที่รักพระเจ้า เห็นไหม?
คำว่า “รัก” จากวิญญาณข้างใน เพราะฉะนั้น ถ้าเราได้บังเกิดใหม่ ด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูแล้ว ทันทีทันใดนั้น เราได้บังเกิดใหม่ รักพระเจ้าแล้ว พอรักพระเจ้า สิ่งนี้เกิดขึ้นทันที พระเจ้าจะกระทำให้ทุกสิ่ง ทุกอย่างทำงานร่วมกัน ให้เกิดผลดีแก่เราทั้งหลาย ผู้ที่รักพระองค์ได้ สามารถรักพระองค์แล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าเรามั่นใจว่าเรารักพระเจ้า ก็จงเชื่อและวางใจเถิดว่าพระเจ้าสามารถกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา ให้เป็นผลดีกับเราเสมอ เราที่เป็นลูกของพระองค์ ที่มีความสามารถที่รักพระองค์ เป็นมิตรกับพระองค์ เข้ากันกับพระองค์ได้แล้ว
ถึงแม้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นนั้น ด้วยสายตาของมนุษย์ ของเราเอง เราอาจบอกว่ามันไม่ดี ไม่ชอบ มนุษย์ก็คิดอย่างนี้ แต่พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าสามารถทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น … “ทุกสิ่งทุกอย่าง” หมายถึงที่เราคิดว่าดี และคิดว่าไม่ดีนั้น ทั้งหมด ทำงานร่วมกัน เกิดเป็นผลดี หรือเป็นสิ่งดีต่อชีวิตของเรา
ตัวอย่างที่ผมเคยใช้บ่อยๆ คือเวลาเราทำอาหารหรือทำขนม สมมติว่าทำขนมเค้ก มันก็จะมีส่วนผสมหลายอย่าง เช่น แป้ง น้ำตาล ไข่ เนย ลูกเกด ผงฟู ช็อคโกแลต ผลไม้ หรืออะไรแล้วแต่ ซึ่งแต่ละอย่างประกอบกันเป็นเค้ก แต่ถ้าเราแยกส่วนออกมาแต่ละอย่างๆ บางอย่างก็ไม่ค่อยจะปลื้ม กินเดี่ยวๆ ไม่ได้ เช่นผงฟูมาใส่ปาก ก็ไม่ไหว เอาช็อคโกแลตมาใส่ปากก็พอได้ เอาน้ำตาลมาใส่ปากนิดๆ หน่อยๆ พอได้ แต่หลายสิ่งหลายอย่างอยู่โดดเดี่ยว ไม่น่าอภิรมย์เลย ถูกไหมครับ? นี่ก็เหมือนกัน แต่พอเอาทุกอย่างมารวมกัน ตามสัดส่วนที่ดีๆ เอาแป้ง น้ำตาล ผงฟู ช็อคโกแลต ผลไม้มารวมกัน ตามสัดส่วนที่เหมาะสม รวมเสร็จ ใส่เข้าไปในภาชนะ เข้าตู้อบ เอาออกมา ชอบหมดเลย ผงฟูก็ชอบ อะไรที่ขมๆ ก็กินได้แล้ว เพราะว่ามันผสมผสานกันแล้ว นี่แหละคือมันร่วมกัน เกิดเป็นผลดีสำหรับเรา ที่ทำเค้ก แป้ง น้ำตาล ที่มันกินไม่ได้เดี่ยวๆ มันรวมกันจนกระทั่งเป็นผลดี สำหรับเราที่ทำเค้ก
ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าเราแยกสถานการณ์ แยกเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา แยกเป็นเรื่องๆ ไป บางเรื่องเราอาจจะรู้สึกว่ามันดี น่าชื่นชมยินดี ขอบคุณพระเจ้าได้ แต่บางเรื่องความรู้สึกเราไม่เอา ไม่ดี มันขมเหลือเกิน พระเจ้าไม่ชอบเลย แต่พระคัมภีร์บอกว่าในทุกสิ่ง ในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา ที่เราเผชิญนั้น พระเจ้าสามารถทำให้ ทุกสิ่งเหล่านั้น ทำงานร่วมกัน เกิดเป็นผลดี แก่ชีวิตของเรา ผู้ที่รักพระองค์ ผู้ที่เชื่อในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ และได้เป็นลูกของพระองค์แล้ว
ตัวอย่างที่ผมชอบยกบ่อยๆ ในเรื่องนี้ มนุษย์ก็คิดแบบนี้นะไอ้นี่ดี ไอ้นั่นไม่ดี ไม่ค่อยคิดถึงว่ามันรวมกันแล้ว เป็นผลดีหรือผลเลว สำหรับชีวิตเราที่ได้เกิดขึ้น พออะไรไม่ดีมา เราก็ …
“ทำไมมันซวยอย่างนี้”
พอเกิดโชคดีขึ้นมา
“โอ้โห เฮงๆ” … นี่ความคิดของมนุษย์
เคยได้ยินเรื่องนี้ใช่ไหม ที่ผมเล่าอยู่บ่อยๆ … มีชาวนา ชาวไร่อยู่ครอบครัวหนึ่ง เป็นคนยากคนจน ทำไร่ไถนา มีม้าอยู่ตัวหนึ่งก็ดีใจแล้ว เพราะม้าตัวหนึ่งก็ช่วยลดแรงได้เยอะ คนทำไร่มีสองคน คือพ่อกับลูก ม้าก็ช่วยไถ ช่วยยกของ ช่วยลากของหนักๆ ได้ เช้าวันหนึ่ง ลูกตื่นขึ้นมา ไปทำไร่ไถนา ตามปกติ ปรากฏว่าไปดูที่โรงม้า ม้ามันหนีไป ม้าหายไป ตกใจ มาบอกพ่อ พ่อบอก …
“ตายแล้ว ซวยจริงๆ”
คือโชคไม่ดีเลย ม้ามันหายไป เพราะไม่มีใครมาช่วยงานอีกต่อไป ทำไมซวยอย่างนี้ บ่นซวยไป 2 วัน วันที่สามตื่นขึ้นมา ได้ยินเสียงม้า วิ่งไปดู ปรากฏว่าม้าที่มันวิ่งหนีเข้าป่าไป มันไปพาตัวเมียกลับมาอีกตัวหนึ่ง เป็น 2 ตัว มีคู่ คราวนี้ไปบอกพ่อ พ่อบอก …
“ทำไมเฮงอย่างนี้ ทำไมโชคดีอย่างนี้ ม้าหายไปตัวหนึ่ง ตอนนี้มี 2 ตัวเลย ดีกว่าเก่าอีก”
ดีใจมากเลย ชื่นชมยินดีใหญ่ ก็เลยบอกลูกให้ไปฝึกม้าป่าอีกตัวหนึ่ง ที่ได้มาฟรีๆ นั้น ไปฝึกให้มันทำงาน เอามาใช้งานได้อีก ดีๆ
ลูกชายก็ไปฝึกม้าป่าตัวนี้ เนื่องจากมันเป็นม้าป่า เพราะฉะนั้น มันก็ไม่ค่อยเชื่อง ไปฝึกมัน ปรากฏว่าพบอุบัติเหตุ ม้ามันดีดเอาลูกชายตกจากหลังม้า ขาหักเลย พ่อมาเห็น พ่อบอกว่า …
“ทำไมมันซวยอย่างนี้ ลูกขาหัก ก็ไม่มีใครช่วยแล้วตอนนี้”
ม้าก็ไม่มีประโยชน์แล้ว เพราะไม่มีใครควบคุมมัน เพราะลูกก็ไม่สบาย ทำไมมันซวยอย่างนี้ ลูกขาหัก ก็ไปหาหมอ รักษาอยู่เรื่อยๆ อาทิตย์ต่อมา ทางราชการส่งเจ้าหน้าที่มาเกณฑ์ทหาร เด็กหนุ่มทั้งหมู่บ้าน ไปเป็นทหารหมดเลย เพราะมีสงครามด่วน สงครามของประเทศชาติ ต้องการชายหนุ่มทุกคนให้ไปเป็นทหาร ไปตามบ้าน ก็มาเจอบ้านของชายคนนี้ ปรากฏว่าก็ไม่เกณฑ์ไป เพราะว่าขาหัก เดินไม่ได้ จะไปเป็นทหารได้อย่างไร? ก็เลยมองข้ามไป ไม่เกณฑ์ ปรากฏว่าทหารที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นกองหนุนของหมู่บ้านนี้ เสียชีวิตในสงครามหมดเลย เพราะฉะนั้น พ่อก็บอกว่า …
“เราโชคดีจริงๆ นะ ถ้าแกไม่ขาหัก ป่านนี้ แกตายไปแล้ว ทำไมแกเฮงจริงๆ เราเฮงจริงๆ แกไม่ตาย เพราะขาหักไป”
มนุษย์เราก็เป็นอย่างนี้ แต่พระเจ้าสามารถทำให้มันเป็นสิ่งที่ดีได้ สมมติว่าลุงคนนี้ เป็นคริสเตียน เป็นผู้เชื่อ แล้วลูกก็เป็นผู้เชื่อ ขอบคุณพระเจ้าตลอด ไม่ว่าม้าหายไป ก็ขอบคุณพระเจ้า ไม่ว่าม้ากลับมาเพิ่มอีกตัวหนึ่ง ก็ขอบคุณพระเจ้า ไม่ว่าม้าจะดีดขาหัก ก็ขอบคุณพระเจ้า ไม่ต้องไปสงคราม แล้วต้องตาย ยังอยู่ทำงานได้ ก็ขอบคุณพระเจ้า สมมติถ้าเป็นอย่างนั้น พระเจ้าอาจจะนำให้เป็นประโยชน์ เป็นผลดี สำหรับครอบครัวนี้ ไม่ใช่แค่นั้น ขณะที่ถูกม้าดีด ขาหัก ต้องไปหาหมอทุกวัน ขณะรักษาไป ก็ไม่ได้บ่นเลยว่าซวยๆ แต่พูดตลอดเวลาว่าขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้าทั้งๆ ที่ขาหัก หมอได้ยินได้ฟัง เด็กหนุ่มคนนี้ไม่เหมือนคนอื่นๆ ทั้งลุงผู้เป็นพ่อ และเด็กหนุ่มคนนี้ ขอบคุณพระเจ้าเรื่อยๆ นะ ขาหักก็ยังขอบคุณพระเจ้าอยู่ จึงถามเด็กหนุ่มและพ่อว่าทำไมมีทัศนคติที่ดีอย่างนี้ แม้ขาหัก ไม่รู้รักษาหายหรือไม่หาย ก็ยังมีกำลังใจ ขอบคุณพระเจ้าอยู่ มีความชื่นชมยินดีอยู่ แม้จะมีสถานการณ์ที่ทุกข์ยากลำบาก ตามสายตามนุษย์ก็ตาม หมอก็อาจจะถามด้วยความสงสัย ด้วยการสังเกต แล้วพ่อกับลูกชายก็จะตอบว่า …
“เพราะเราเป็นลูกของพระเจ้า พระเยซูเป็นกำลังของเรา”
เขาประกาศข่าวดีให้กับหมอ แล้วในที่สุด หมอก็เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ได้รับความรอดมาถึงซึ่งการเป็นลูกของพระเจ้าเหมือนกับลุงและลูกชายคนนี้ ที่ขาหัก เห็นไหมความรอดไปถึงอีกทางหนึ่ง โดยที่พระเจ้ากำลังนำผ่านทางชีวิตของเรา ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดีอะไรก็ตาม
นี่ยกตัวอย่างให้ฟังเฉยๆ ชีวิตของเราก็จะเป็นเช่นนั้นแหละ เพราะฉะนั้น ไม่ว่าเราจะอยู่ในอาการเช่นไร เราก็สามารถชื่นชมยินดีได้ เสมอ ตลอดเวลา ในชีวิตของเรา เพราะว่าเราสามารถขอบคุณพระเจ้าว่าพระเจ้าสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ในชีวิตของเรา ที่มนุษย์เห็นว่ามันเฮง หรือมันซวยก็ตาม แต่สำหรับเราที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะทำให้สถานการณ์ ทั้งเฮง ทั้งซวย เหล่านั้น ให้เกิดเป็นผลเฮงลูกเดียว สำหรับเราทั้งหลาย ผู้ที่วางใจและเชื่อในพระองค์ และเป็นลูกของพระองค์แล้ว
เพราะฉะนั้น ความคิดของเรามนุษย์ ไม่เหมือนความคิดของพระเจ้า ผลดีคืออะไร? บางทีเรามองไม่เห็นหรอก ตามสายตามนุษย์ ตามตาเนื้อ และความรู้สึกที่เห็น มันเป็นสิ่งที่ไม่ดี ส่วนผลดีคืออะไร? จะเกิดขึ้นเมื่อไร เราไม่มีทางที่จะทราบได้ เพราะพระคัมภีร์บอกว่าความคิดของเรา ไม่เหมือนความคิดของพระเจ้า และข้อสำคัญคือเวลาของเรา ก็ไม่ใช่เป็นเวลาของพระเจ้า เราบอกมันนานแล้ว รอมาตั้ง 10 ปี พระเจ้าบอกแป๊บเดียว พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นผลดีแก่ชีวิตของเรา พูดแค่นี้ ตามทางของพระองค์ และตามเวลาของพระองค์ ไม่ใช่ให้เกิดผลดีตามใจเรา ต้องเข้าใจตรงนี้ ไม่ได้บอกว่าพระเจ้าจะทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เกิดผลดี ตามใจเรา และตามเวลาที่เราต้องการ อย่างนั้นไม่ใช่แล้ว ถ้าเราบอกว่าตามน้ำพระทัย ตามใจพระเจ้า ก็ต้องวางใจในพระเจ้า รับรองได้ ออกมาเป็นผลดีอย่างแน่นอน
พี่น้องไม่ว่าท่านจะเชื่อในข่าวประเสริฐหรือยัง? เป็นลูกพระเจ้าแล้วหรือยัง? ที่ฟังอยู่ขณะนี้ อยากจะบอกว่าขณะที่เราต้องเผชิญกับวิกฤตปัญหา หรือสถานการณ์ที่ โดยเฉพาะวิกฤตในขณะนี้ โควิดนี้ ที่ไม่รู้จะทำอย่างไรแล้ว ถือว่าวิกฤตหนักนะ พระเจ้าจะทำ 2 อย่าง คือขจัดวิกฤตปัญหาเหล่านั้นให้กับเรา ซึ่งแน่นอน ทางเลือกนี้ เป็นสิ่งที่เราทั้งหลาย ปรารถนาเป็นอันดับแรก มนุษย์ต้องการอย่างนี้ ต้องการอัศจรรย์เดี๋ยวนี้ พรุ่งนี้เป็นไปได้ ให้โควิดหยุด มะรืนนี้เป็นไปได้ ให้มีการสร้างวัคซีนได้ทันทีเลย ให้จบเหตุการณ์นี้ พระเจ้าช่วยด้วยเถิด ขอให้จบสักที นี่คือความต้องการของมนุษย์ทั่วๆ ไป แต่พระเจ้าจะทำ 2 อย่าง ตามหลักพระคัมภีร์ คือ …
(1) ขจัดปัญหาไป พรุ่งนี้ มะรืนนี้ มะเรื่องนี้ หรือ …
(2) พระเจ้าจะประทานกำลังให้กับเราทั้งหลาย ที่เชื่อในพระองค์ ที่วางใจในพระองค์ ให้มีเพียงพอที่จะอยู่กับปัญหานั้น และสามารถเผชิญกับวิกฤตปัญหานั้นได้ ด้วยสันติสุข และความสงบสุขในพระคริสต์ พระเจ้าจะประทานกำลังให้กับเรา ให้กับใครก็ได้ที่เชื่อและวางใจในพระองค์ ฝากความหวังไว้ที่พระองค์ ฝากความหวังในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างนี้ พระเจ้าจะให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เป็นกำลังเพียงพอ สำหรับคนนั้น ไม่ว่าอะไรก็ตามที่จะทำให้เขาพอเพียง ทั้งกำลังใจ กำลังกาย อะไรก็ตามในชีวิตนี้ ที่จะอยู่กับโควิดนี้ อยู่กับวิกฤตปัจจุบันได้ เผชิญกับวิกฤตโควิด-19 ได้ โดยมีสันติสุขและความสงบในใจของเขา ซึ่งตามที่ยกตัวอย่าง แล้วผลดีจะเป็นอะไร ก็ไม่รู้ แต่รอไปเถอะ อย่างไรก็จะเป็นผลดีในชีวิตเราแน่ ผลดีอันหนึ่งตอนนี้ที่เราเห็น คือเรามีสันติสุข มีความสงบสุข เราไม่กลัวจนเกินกว่าเหตุ เราอยู่ได้ แล้วที่เหลือก็ปล่อยเป็นน้ำพระทัยพระเจ้า
มีตัวอย่างในพระคัมภีร์เหมือนกัน
แบบที่หนึ่ง ได้รับอัศจรรย์ อย่างเช่นตัวอย่างเปาโล … เปาโลที่รับใช้พระเจ้า ที่ยิ่งใหญ่ ที่เคยได้รับการอัศจรรย์ ได้รับการรักษาจากพระเจ้าอัศจรรย์มาก ตอนที่เดินทางไปดามัสกัส ตอนที่เขายังไม่เชื่อ พระเยซูได้ปรากฏให้เขาเห็นกลางทาง และได้พูดคุยกับเขา และหลังจากนั้นเขาตาบอด แล้วพระเจ้าก็รักษาเขาอย่างอัศจรรย์มาก ถือว่ามากที่สุด ตาบอด แล้วเดินทางไปที่ดามัสกัส ไปคอยอยู่ที่ห้อง แล้วก็เริ่มอธิษฐานว่า …
“โอ้ พระเจ้า ลูกขอพระองค์ทรงรักษาลูกด้วยเถิด”
กลัวด้วยนะ เพราะตามองไม่เห็นเลย พระเจ้าทรงรักษาเขาอย่างอัศจรรย์ ตาหายบอดอย่างอัศจรรย์ พอตาหายบอดอย่างอัศจรรย์ เขาก็เริ่มต้นกลับใจใหม่ เริ่มต้นประกาศข่าวดีของพระเยซู ออกไปพูดถึงข่าวดีของพระเยซู ให้คนมาเชื่อเรื่องข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์
และต่อมา ในคนๆ เดียวกัน คือเปาโลก็ได้แบบที่สอง ที่พระเจ้าตอบเขา คือเปาโลมีความทุกข์ทรมาน ในสุขภาพของเขา อันหนึ่งเราก็ไม่รู้ว่าอะไร แต่รู้ว่าหนักมาก สาหัสมาก เปาโลใช้คำว่าทรมานมาก เปาโลอธิษฐานขอพระเจ้าให้ช่วยในเรื่องนี้ ถึงสามครั้ง แล้วพระเจ้าตอบว่า …
“พระคุณของเราก็เพียงพอสำหรับเจ้า และฤทธิ์เดชอำนาจของเรา จะทวีคูณขึ้นเต็มขนาดในความอ่อนแอของเจ้า”
แปลว่าอาการเจ็บป่วยที่ทุกข์ทรมานของเปาโลนั้น ยังอยู่ ไม่ได้หายไปไหน ก็ยังคงเป็นต่อไป แต่พระเจ้าประทานพระคุณ ประทานกำลังให้อาจารย์เปาโลสามารถที่จะเผชิญกับความเจ็บป่วยนั้นได้อย่างมีความสงบสุข มีความสุข มีสันติสุข คืออยู่ได้ ถึงขนาดไหน? ถึงขนาดอาจารย์เปาโลพูดในข้อพระคัมภีร์ ซึ่งเดี๋ยวเราจะได้อ่าน ดูสิว่าอาจารย์เปาโลมีสันติสุขขนาดไหน? พูดว่าอย่างไร?
จากตัวอย่างของอาจารย์เปาโลจะเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงกระทำ 2 สิ่งที่แตกต่างกันในคนเดียวนี่แหละ แต่ทั้งสองสิ่งที่เกิดขึ้น มันเกิดเป็นผลดีสำหรับอาจารย์เปาโลเสมอ ทั้งสองอย่างเลย คือเปาโลสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีสันติสุข มีความสงบ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร? ไม่ว่าได้รับการอัศจรรย์อย่างชัดเจน หรือว่าได้รับกำลัง ได้รับพระคุณให้มีสันติสุขก็ตาม นี่คือที่บอกว่าพระเจ้าสามารถกระทำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นให้เป็นผลดี สำหรับชีวิตเราได้ ลองมาดูสิว่าอาจารย์เปาโลมีความรู้สึกอย่างไร? 2 โครินธ์ 12:8-10 ได้บันทึกอย่างนี้
2 โครินธ์ 12:8-10 “8 ข้าพเจ้าทูลวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้งให้ทรงเอาหนามนี้ออกไปจากข้าพเจ้า 9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า เพื่อว่าฤทธิ์อำนาจของเราจะได้ปรากฏเต็มที่ในความอ่อนแอ” ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตน ด้วยความยินดี เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า 10 ด้วยเหตุนี้แหละเพื่อพระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ ในการสบประมาท ในความยากลำบาก ในการกดขี่ข่มเหง ในความยุ่งยาก เพราะเมื่อใดที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้นข้าพเจ้าก็เข้มแข็ง”
เห็นไหมครับ? อาจารย์เปาโลบอก เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงอวดว่าเราเก่งเหรอ อวดว่าเราแข็งแรง อวดว่าได้รับอัศจรรย์จากพระเจ้า ไม่ใช่เลย … ข้าพเจ้าจึงอวดความอ่อนแอของตน ด้วยความยินดี ไม่ใช่ด้วยความทุกข์ทรมาน ถามว่าเพื่ออะไร? เพื่อฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า จะได้สำแดงออกมาให้คนเห็น
ข้อ 10 บอกว่าด้วยเหตุนี้แหละ ข้าพเจ้าจึงชื่นชมในความอ่อนแอ กลับกลายเป็นปิติยินดีในความเจ็บป่วยอีก แต่อยู่ในใจปิติยินดี ถ้าพระเจ้าไม่รักษาให้หาย ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ก็จะทวีคูณขึ้นเต็มขนาดในความเจ็บป่วย ในความอ่อนแอของเรา พระคุณของพระองค์ยังอยู่ตรงนี้แหละ ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์
แล้วข้าพเจ้ายังชื่นชมยินดีในความอ่อนแอ ชื่นชมยินดีในการถูกสบประมาท ชื่นชมยินดีในความยากลำบาก ชื่นชมยินดีในการถูกกดขี่ข่มเหง เขาเอาหินขว้างเปาโล ก็เคยโดนมาแล้ว ชื่นชมยินดีในความยุ่งยาก ถามว่าเพราะอะไร? ทำไมอาจารย์เปาโลจึงชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ได้ ฟังให้ดี เพราะเมื่อใดก็ตามที่ข้าพเจ้าอ่อนแอ เมื่อนั้น ข้าพเจ้าเข้มแข็ง ก็คือเมื่อนั้น ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเข้ามา เข้มแข็งได้
ถ้าเป็นตอนนี้เราอาจจะพูดกันว่าข้าพเจ้าชื่นชมในวิกฤตโควิด-19 ตอนนี้ ชื่นชมภายใน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเหลือเกิน ทุกวันตื่นขึ้นมา ก็มีแต่ความหวาดกลัว กลัวเชื้อโรคติด กลัวลูกจะติด กลัวครอบครัวจะติด ตื่นขึ้นมากลัวเงินที่เก็บไว้จะหมด เงินที่ไม่ได้เก็บไว้ก็จะหมดไปแล้ว กลัวต่างๆ นานาเยอะแยะตามข่าวสาร ต้องรีบวิ่งเข้าไปซุกศีรษะไว้ในถ้อยคำพระเจ้า ในพระคัมภีร์ อธิษฐานด้วยความอ่อนแอ อ่อนกำลัง ให้พระเจ้าเล้าโลมจิตใจทุกวันๆ จนเกิดความกล้าหาญขึ้นมา เดินออกจากห้อง อยู่ได้ไปอีก 1 วัน ทั้งๆ ที่ตื่นเช้าขึ้นมาความกลัวรอบข้างตลอดเวลา แต่พระเจ้าปลอบโยน ให้สามารถอยู่ได้ เห็นไหม? จับความกลัวให้มัน กลายเป็นทาสเรา อย่างนี้เป็นต้น
เปาโลเป็นตัวอย่างที่ดีเลย ตัวอย่างแบบอาจารย์เปาโลก็จะเกิดขึ้นในชีวิตของเราทุกคนเลยนะ ไม่มียกเว้น บางครั้งอธิษฐานขออะไรบางอย่าง พระเจ้าก็ประทานให้กับเราตามที่เราขอ แต่บางครั้งก็อธิษฐานไปตั้งนานแล้ว ก็ดูเหมือนว่าพระเจ้าไม่ตอบ แล้วจริงๆ พระเจ้าตอบไหม? ถามว่าดูเหมือนเงียบเลย พระเจ้าไม่เห็นตอบเลย ขอพระเจ้าทรงรักษาให้หายจากโรคนี้ ทรมานมาตั้งนานแล้ว ไม่หายเลย 10 ปี 20 ปี มันก็ยัง เอ๊ะ หันหลังกลับไป
“20 ปีผ่านมา อยู่ได้อย่างไรหนอ ขอพระเจ้าทรงอวยพรให้กิจการงานเจริญรุ่งเรืองเถิด ลูกก็ทำดีทุกอย่าง ทำทุกอย่างตามที่พระองค์บอกแล้ว มันไม่เห็นรวยเหมือนเขาเลย คนอื่นเขาไม่เชื่อพระเจ้า เขายังทำงานร่ำรวยได้เลย แล้วทำไมลูกไม่ได้ร่ำรวยสักที”
เหมือนไม่ตอบเราแล้ว เงียบ แต่หันหลังกลับไป พระเจ้าถามว่า …
“แล้ว 20 ปี 30 ปีที่ผ่านมา แกขาดอะไรบ้าง?” ยังมีชีวิตอยู่ ยิ้มแย้มแจ่มใสอยู่ได้ บางทีก็เป็นอย่างนั้นนะ
ซึ่งจริงๆ แล้ว พระเจ้าตอบแล้ว แต่เราแกล้งไม่ได้ยิน หรือเราไม่อยากจะได้ยิน ก็คือตอบแบบที่ตอบเปาโลไง ตอบว่าอย่างไร?
“พระคุณของเราเพียงพอสำหรับเจ้า พระคุณเพียงพอ สำหรับความทุกข์ยากลำบากของเจ้า พระคุณของเราเพียงพอ สำหรับความเจ็บป่วย เจ็บปวด ปัญหาต่างๆ ที่เจ้ากำลังเผชิญอยู่ พระคุณความรักของเราเพียงพอ และฤทธิ์เดชอำนาจของเราจะสำแดงทวีคูณขึ้นเต็มขนาด ผ่านทางความอ่อนแอของเจ้า”
นี่แหละ ผ่านทางความอ่อนแอของเจ้า มีกิน ไม่มีกินบ้าง เจ็บป่วยบ้าง แข็งแรงบ้าง หรือเจ็บป่วยแล้วไม่ค่อยแข็งแรงด้วย อยู่ได้ ในใจเข้มแข็งได้ อะไรอย่างนี้ เวลามันดีๆ ใครๆ ก็ทำได้ ให้มีความชื่นชมยินดี แต่อยู่บนโลกใบนี้ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป และมันไม่ได้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วย และเสมอไป แน่นอน คืออยู่บนโลกใบนี้ ท่านต้องพบกับความทุกข์ยากลำบากต่างๆ นานา เป็นเรื่องจริงเลย ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้า หรือไม่เชื่อพระเจ้า โลกใบนี้มันเสียหายไปแล้ว มันตกอยู่ใต้คำสาปแช่ง ซึ่งมาจากบรรพบุรุษแล้ว มันไม่มีทางที่จะแก้ไข มันต้องเป็นอย่างนี้แหละ มันต้องทุกข์ยากลำบากเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ว่าจะเชื่อพระเจ้าหรือไม่เชื่อพระเจ้าก็ตาม ใต้ฟ้านี้ มันมีความทุกข์ยากลำบาก อย่างแสนสาหัสอยู่บนโลกในนี้แล้ว แต่พระเจ้าสามารถพาท่านเดินผ่านทะลุความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้ไปได้ด้วยดี
เพราะฉะนั้น นี่คือสิ่งที่เราควรจะน้อมคิดในใจของเราว่าพระเจ้าตอบเราแล้ว แต่เราไม่ค่อยอยากได้รับคำตอบอย่างนี้ เพราะใจเราอยากจะตอบว่าพระเจ้าให้เรารวยเลย แล้วรวยเท่าไรถึงพอ ท่านลองคิดดูสิ ถ้าท่านขอพระเจ้าสักหมื่นหนึ่ง ท่านคิดว่าท่านได้หมื่นหนึ่ง ท่านพอไหม? ครั้งต่อไปท่านจะอธิษฐานขอพระเจ้าห้าพันไหม? ผมว่าไม่หรอก เพราะระบบของโลกใบนี้มันเป็นอย่างนั้น เนื้อหนังมันไม่หยุดอยู่แค่นั้น มันก็จี้ท่าน พอท่านได้หมื่น ท่านก็จะขอพระเจ้าเป็นแสน แล้วพระเจ้าก็ให้อีก ให้แสนหนึ่ง แล้วท่านจะพอไหม? พอแล้วแสนหนึ่ง มันก็เหมือนเดิม แต่หนักขึ้น ก็คือก้อนมันใหญ่ขึ้น ภาระมากขึ้น วิตกกังวลมากขึ้น ท่านก็ขอพระเจ้าล้านหนึ่ง พอได้ล้านหนึ่ง ระบบของโลกก็จี้ท่านอีก ส่งสัญญาณที่ความคิดของท่าน ให้โลภต่อ ท่านจะขอพระเจ้าไหม พระเจ้าตอนนี้มีล้านหนึ่ง ขอลดลงเหลือแค่ห้าแสนก็พอแล้ว ไม่มีหรอก เป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่ยังอยู่บนโลกใบนี้
นี่คือความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ นี่แค่เห็นชัดๆ เรื่องเดียว เรื่องของทรัพย์สินเงินทอง ท่านก็ขอไปสิบล้าน แล้วก็ไปร้อยล้าน แล้วก็เป็นพันล้าน แล้วก็เป็นหมื่นล้าน ขณะที่ดำเนินการไปเรื่อยๆ ในกิเลสความโลภนี้ สิ่งหนึ่งที่ท่านจะสูญเสียไป ก็คือความรักของพระเจ้า ท่านก็เริ่มเอาเปรียบคนอื่น ท่านจะเริ่มเห็นแก่ตัว ท่านจะเริ่มเบียดเบียนผู้อื่น แล้วในที่สุด ท่านจะเริ่มโกงบ้าง โกงอย่างบริสุทธิ์ โกงอย่างแอบๆ โกง ท่านเริ่มทำบาป ที่เรียกในใจว่าบาปบริสุทธิ์
พระเจ้าพอใจให้ท่านมีชีวิตอย่างนั้นเหรอ แล้วมันมีสันติสุขไหม? ไม่มีเลย พระเยซูบอกการให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ อย่างนี้ ท่านจะให้ได้อย่างไร ในเมื่อท่านจะกอบโกยตลอดเวลา บางคนบอกเขาให้ไปตั้งล้านหนึ่ง ขณะที่ท่านมีเป็นพันล้าน ให้ล้านหนึ่งเหรอ แต่สำหรับคนที่เขาให้ เขามีแค่พันเดียว แต่เขาสามารถให้เป็นร้อย ท่านพอเข้าใจใช่ไหมว่ามันต่างกัน มันไม่ได้อยู่ที่ความคิดของมนุษย์เป็นอย่างนั้น
หรือว่าเปรียบเทียบกับสุขภาพก็เหมือนกัน ที่เราขอพระเจ้า รักษาให้หาย เท่าไรถึงพอ ถามตัวเองสิ สมมติว่าท่านเป็นภูมิแพ้ ท่านขอพระเจ้าหายจากภูมิแพ้ พระเจ้าทำอัศจรรย์ หายจากภูมิแพ้เลย แล้วท่านหยุดอยู่แค่นั้นไหม? ต่อไปท่านจะไม่เป็นโรคอะไรอีกเลย ใช่ไหม? ถ้าไม่เป็นอะไรอีกเลย แล้วท่านจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไร? ท่านจะดูแลตัวเองไหม? สุขภาพเป็นอย่างไร? ท่านจะไม่เย่อหยิ่งหรือ? ท่านแน่ใจใช่ไหม? ในที่สุด ท่านก็จะต้องพลาดในความเย่อหยิ่ง ในความแข็งแรง เอาความแข็งแรงนั้นไปทำอะไรต่างๆ ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บเพิ่มเติมขึ้นไปในร่างกายของท่าน แล้วท่านต้องการอะไรอีก นี่ก็คืออย่างที่บอก
ถ้าเราจะเอาทั้งหมดนี้ มอบให้พระเจ้าเป็นผู้ตัดสินให้เราไม่ดีกว่าหรือ? เหตุฉะนั้น พระคัมภีร์บอก จงวางใจในพระเจ้า พระองค์ฉลาดกว่าเราเยอะ พระองค์รู้หมดแล้วอะไรเกิดขึ้น เดี๋ยวนี้ ข้างหน้า ในอนาคต ในชีวิตของเรา จงวางใจในพระเจ้า แล้วมอบภาระให้กับพระองค์ทั้งหมดเลย ให้พระองค์เป็นผู้ตัดสินว่าสถานการณ์หรือวิกฤต ปัญหาต่างๆ เราควรจะจัดการอย่างไร? หรือพระองค์จะจัดการอย่างไรให้มันเกิดขึ้นในชีวิตของเราบ้าง เราควรจะเผชิญอย่างไร ที่เหมาะสมที่สุด สำหรับแต่ละคนไม่เหมือนกัน และให้มันเกิดผลดีที่สุด ในชีวิตของเรา ซึ่งรวมๆ ระยะยาวๆ และไม่ใช่เกิดผลดีในชีวิตของเราอย่างเดียว แต่เกิดผลดีในชีวิตของเรา และไปถึงผลดีสำหรับผู้คนอื่นๆ รอบข้าง อย่างนี้เขาเรียกว่าความรัก ใช้ชีวิตให้มันคุ้มค่า ไม่ใช่อยู่เพื่อเห็นแก่ตัว เพื่อตัวเอง แต่อยู่เพื่อคนอื่นเขาด้วย บางทีเรายอมทุกข์บ้าง เพื่อให้คนอื่นเขาได้สิ่งที่ดีๆ ไป ก็ต้องยอม อย่างนี้เป็นต้น พระเจ้าจะนำพาชีวิตเราอย่างนั้น เมื่อวันหนึ่งเราไปอยู่ในสวรรค์ เราจะดีใจมาก …
“พระเจ้า ขอบคุณมากเลย ที่นำพาลูกอย่างนี้ ดีแล้วที่ลูกไม่เดินด้วยตัวเอง คงจะเห็นแก่ตัวกว่านี้เยอะเลย”
เพราะฉะนั้น ในชีวิตของเรา และในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น พระเจ้าทรงทราบหมดทุกอย่าง แล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น และอย่างไร? รู้ลึกซึ้งกว่าเราเยอะ เกินกว่าที่เราจะเข้าใจ เกินกว่าที่จะอธิบายให้เราฟังว่า …
“ทำไมพ่อถึงนำพาลูกเป็นอย่างนี้ ทำไมพ่อไม่รักษาลูกให้หายปล่อยให้ลูกเจ็บปวดทรมาน ขอตั้งสามครั้ง”
ผมเคยขอพระเจ้าไม่ใช่ 3 นะ 300 ครั้ง ไม่เข้าใจ แล้วถามว่าทุกวันนี้ เข้าใจใช่ไหมว่า 300 ครั้ง ความทุกข์ทรมาน พระเจ้าปล่อยให้เป็นอย่างนั้น มาเป็นเวลา 10 ปี 20 ปีแล้ว ตอนนี้เข้าใจแล้วหรือ? ไม่เข้าใจหรอกครับ แต่วางใจมากขึ้น เพราะว่าประสบการณ์ผ่านมา 20 กว่าปี มันทุกข์ทรมานจริงๆ ไม่ต่างอะไรจากเปาโลเลย เพราะแต่ละคนก็มีภาชนะในตัวเองที่เรารับไว้ไม่เหมือนกัน แต่ละคนจะไปวัดไม่ได้ คนนี้แค่นี้ทำไมทุกข์แล้ว ก็ได้แค่นั้น พระเจ้าให้เขาแค่นั้น คนนี้ได้เยอะ คนนี้ได้น้อย ไม่เหมือนกัน แต่ความรู้สึกมันทุกข์เท่ากันหมดทุกคนแหละครับ
เพราะฉะนั้น จงจำไว้ว่าไม่ว่าสถานการณ์ต่อหน้าท่าน ต่อหน้าเรา จะเป็นเช่นไรก็ตาม ต่อหน้าเราจะเป็นวิกฤตโควิด-19 รอบข้างมีแต่คนเจ็บป่วย ล้มตาย ทรมาน อดอยาก มืดมน ไม่มีที่จะไป จงจำไว้ว่าพระเยซูคริสต์ตรัสไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เมื่อเราเชื่อในพระองค์ เมื่อเราวางใจในพระองค์ต้อนรับพระองค์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เราเป็นลูกของพระองค์แล้ว พระเยซูคริสต์และพระเจ้าเจ้า 3 พระภาคจะทรงนำหน้าเราอยู่เสมอ จูงมือเราเดินอยู่เสมอ ตลอดเวลา ผ่านสถานการณ์เหล่านั้นได้ อย่างแน่นอน และทำทุกอย่างที่เกิดขึ้น ท่ามกลางการเดินไปกับพระองค์นั้น ให้เกิดเป็นผลดีแก่เราทั้งหลายผู้ที่เป็นลูกพระองค์ และเกิดเป็นผลดีสำหรับผู้อื่น รอบข้างชีวิตของเราด้วย ซึ่งเราก็อยากให้เขาได้รับสิ่งที่ดีที่สุด แม้ว่าเขาจะรู้จักเราหรือไม่รู้จักเราก็ตาม เขาเป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เราอยากให้สิ่งที่ดีที่สุด เกิดขึ้นกับเขา
นี่แหละ เขาถึงเรียกว่าชีวิตแห่งการรับใช้ ชีวิตที่มอบให้พระองค์ทำ เพราะฉะนั้น บางครั้งมันเจ็บปวดบ้าง แต่มันไม่เกินไป เพราะพระเจ้าประทานกำลังให้กับเรา ประทานพระคุณให้กับเราเพียงพอเสมอ สำหรับทุกอย่างที่พระองค์ทรงใช้เรา เพราะฉะนั้น ให้พระเจ้าจูงมือเราเดิน ย่อมดีกว่าที่จะเดินโดยลำพังโดดเดี่ยวเดียวดาย ไม่มีพระเจ้า กับพระเจ้าสถิตอยู่กับเราถึง 3 พระภาค พระเจ้า พระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าทั้งสากลโลกเรียกว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผู้ทรงฤทธานุภาพอำนาจยิ่งใหญ่สูงสุด บัดนี้ พระองค์สถิตอยู่ด้วยกันในร่างกายของเรา พระเจ้ากับวิญญาณของเราเป็นหนึ่งเดียวกัน และพระองค์จะทรงนำเราไปตลอด ชั่วชีวิต ไปจนกระทั่งถึงชีวิตนิรันดร์ ไม่ว่าจะมืดมนขนาดไหน? ไม่ว่าจะดีหรือเลวขนาดไหน ตามสายตามนุษย์ พระเจ้าอยู่กับฉันเสมอ และจูงมือฉันเดินอยู่ตลอดเวลา เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ
************************