คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม 2017
เรื่อง “จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์ คือพระเจ้า”
ตอน 13 “สัตว์ทั้งสี่ในความฝันของดาเนียล”
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้เราจะมาต่อเรื่อง จงนิ่งเสียและรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า ตอนที่ 13 อยู่ในหนังสือดาเนียล บทที่ 7 เป็นเรื่องราวของความฝันของดาเนียล เกี่ยวกับสัตว์ทั้ง 4 การบรรยายในวันนี้ จึงมีชื่อตอนว่า “สัตว์ทั้งสี่ในความฝันของดาเนียล” ในบทที่ 7 นี้ เป็นช่วงปีแรกของรัชกาลกษัตริย์เบลชัสซาร์
เบลชัสซาร์เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายของบาบิโลน เป็นกษัตริย์ที่พระเจ้าให้เจอเหตุการณ์อักษรปริศนา 3 คำ เขียนบนผนังท้องพระโรง แล้วก็เรียกให้ดาเนียล มาตีความหมาย พอรู้ความหมายปุ๊บ คืนนั้น ก็ถูกปลงพระชนม์ บาบิโลน ก็ถูกยึดไป โดยสิ้นยุคของอาณาจักรบาบิโลน เข้าสู่อาณาจักรมีเดียเปอร์เซีย แต่ช่วงเวลาที่ดาเนียลฝัน ในบทที่ 7 ที่เรากำลังจะเรียนรู้ เป็นช่วงเวลาที่ย้อนไปปีแรกของเบลชัสซาร์ที่ขึ้นครองราชย์ ดาเนียลฝันตรงนี้ แล้วเก็บไว้ เป็นนิมิตที่บอกเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงเรา ไปถึงวันสิ้นโลกนี้เลย
บอกไว้ด้วยว่าก่อนที่จะถึงวันสิ้นโลก ที่พระเยซูจะเสด็จกลับมา จะเกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง? นิมิตนี้เรียกว่าเป็นประวัติศาสตร์ ทั้งในอดีต ที่เกิดขึ้นแล้ว และขณะเดียวกัน เป็นเหตุการณ์ในปัจจุบัน ที่เรากำลังคุยอยู่นี้ รวมทั้งเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ทั้งหมดนี้ถูกรวบรวมไว้หมดแล้ว ในบันทึกประวัติศาสตร์ของพระเจ้าที่มีชื่อว่า Holy Bible ภาษาไทยเรียกว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ล หนังสือเล่มนี้แหละ บอก และส่วนหนึ่งที่เรากำลังเรียนรู้อยู่นี้ ก็คือหนึ่งในจำนวนหนังสือนี้ ไดอารี่นี้ ก็คือหนังสือดาเนียล เพราะฉะนั้น พระคัมภีร์ทั้งเล่ม ก็คืออดีต ปัจจุบัน อนาคตของมวลมนุษยชาติและสรรพสิ่งบนโลกนี้ทั้งหมด ไม่ต้องไปค้นที่ใต้ทะเล ไม่ต้องส่งจรวดไปที่ดวงดาวต่างๆ เพราะอย่างไรก็ไม่มีจบ บอกเลย หาอย่างไรก็ไม่เจอ เพราะจุดจบมันอยู่ในนี้ ถ้ามาหาในนี้อาจจะเจอ
เขาเรียกว่าพระเจ้าเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ของโลกนี้ ไว้นานแล้ว ทั้งประวัติศาสตร์ในอดีต ประวัติศาสตร์ในยุคปัจจุบันที่เรากำลังศึกษาอยู่ ทั้งประวัติศาสตร์ลูกหลานเหลนโหลนของเราในอนาคตจะศึกษาด้วย พระเจ้าบันทึกไว้หมดเรียบร้อยแล้ว ให้เราอ่าน
เพื่อเป็นการยืนยันและเป็นการหนุนใจประชากรของพระเจ้า คือเราทั้งหลาย ผู้เชื่อในพระองค์ ที่กำลังเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ว่าพระองค์ได้ชนะโลกนี้แล้ว จะได้มีกำลังใจขึ้น เอเมน
และเราซึ่งเป็นประชากรของพระองค์ ก็ได้รับชัยชนะร่วมกับพระเยซูด้วย เอเมน
นี่คือจุดมุ่งหมายที่พระเจ้าให้เราได้เรียนรู้ ให้ดาเนียลบันทึกเอาไว้ หลายคนก็มีคำถามเยอะเลย ผมเองก็มีคำถามอย่างนี้ เคยถามไหมว่า …
“พระเจ้าอยู่ไหน? เมื่อลูกเจ็บปวด พระเจ้าอยู่ไหน? ทำไมปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้น มันทุกข์เหลือเกิน ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้เลย ไหนพระองค์บอกว่า …. (แล้วแต่คุณจะใส่อะไรลงไป)”
โดนไหม? เข้าไปในหัวใจเลย ทำไมรู้? ก็รู้สิ เพราะเป็นมนุษย์เท่ากันแหละ พระเจ้าก็รักผม รักท่านเท่ากัน เพราะฉะนั้น แชร์กันไป คนละนิดคนละหน่อย ก็แล้วกัน
ในขณะที่เราเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก พระองค์บอกว่าพระองค์ชนะโลกแล้ว ไหนบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเรา พระองค์จะให้เป็นผลดี
“ผลดีอย่างไร? ชนะโลกแล้วไง? ควบคุมทุกอย่างบนโลกใบนี้ ทำไมปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับเราได้อย่างไร? ไม่รักลูกหรืออย่างไร?”
มันรู้สึกขัดแย้งกันมาก จริงหรือไม่จริง? จริง เราอาจจะอยู่ในสถานการณ์ ความทุกข์ยากลำบาก ยกตัวอย่างเช่น คนในครอบครัวอาจเจ็บป่วย รักษาไม่หาย ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจเกิดขึ้นในครอบครัว หรือเกิดขึ้นในชีวิตเรา มันไม่จบสักที ทำไมมันถึงโหดร้ายกับเราอย่างนี้ ความวุ่นวาย ยุ่งเหยิงของสังคม ทั้งบ้านเรา ประเทศไทย หรือโลกใบนี้ ทำไมมันยุ่งอย่างนี้ ไหน พระเจ้าบอกควบคุมอยู่ ทำไมไม่ให้มันสงบๆ ภัยธรรมชาติที่ไม่มีใครอยากได้ สึนามิมันเกิดมาได้อย่างไร? ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหวอย่างนี้ หรืออุบัติเหตุต่างๆ ที่ร้ายแรงมากๆ ที่ทำให้ผู้คนสูญเสียคนที่รักไปเยอะแยะมากมาย แล้วพระเจ้าอยู่ไหน ตอนที่มันเกิดอันนี้ขึ้น เห็นไหม?
พรั่งพรูเลยว่ามันจริง เราเคยคิดอย่างนั้นจริงๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ไม่เชื่อพระเจ้ายิ่งคิดใหญ่ เขาถึงไม่อยากเชื่อ เป็นไปได้อย่างไร? แต่คนที่เชื่อ ก็ยังคงเชื่อ ทั้งๆ ที่หาคำตอบไม่ได้
“ก็ไม่รู้ ฉันก็เชื่อของฉันต่อไป ฉันก็ดำเนินชีวิตของฉันต่อไปเหมือนเดิม”
แล้วเราก็มีคำถามในใจของเรา “แล้วพระเจ้าปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ปล่อยให้ลูกของพระองค์ คนที่รักพระองค์ต้องเจ็บปวด พระองค์ไม่เห็นเหรอ”
หรือบางครั้ง เราอาจจะคิดเหมือนชัดรัด เมชาค เอเบดเนโกว่า “หรือว่าเฉพาะเรื่องนี้ พระองค์ไม่สามารถทำได้”
แต่ถึงแม้คิดว่าพระองค์ไม่สามารถทำได้ ก็ยังเชื่อวางใจในพระองค์อยู่ดี วางใจแล้ว และคำตอบ ก็คือพระเจ้าได้ทำการอัศจรรย์ให้เราเห็น บอกเหตุการณ์ล่วงหน้าให้เรารู้ ยืนยันกับเราว่าพระองค์ทรงควบคุมครอบครองทุกอย่าง และเป็นผู้กำหนด เป็นผู้อนุญาตให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ เกิดขึ้นทั้งสิ้น รวมถึงนิมิตที่เรากำลังศึกษาอยู่ในหนังสือดาเนียลด้วย เพื่อเป็นการตอบคำอธิษฐาน ตอบคำถามเมื่อตะกี้ที่เราถามว่า …
“แล้วพระเจ้าไม่รู้เหรอ? ทำไม? พระองค์อยู่ไหน?”
พระองค์ตอบตรงนี้เลย ทุกสิ่งทุกอย่างที่บอกไว้ในนิมิตนั้น ส่วนใหญ่เกิดขึ้นมาจริงๆ แล้ว หลายพันปี ทำให้เราได้รับรู้ เชื่อ และวางใจว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนดทุกสิ่ง เป็นผู้ควบคุมครอบครองทุกอย่างจริงๆ และตอนจบของนิมิต ก็คือพระเยซูทรงเป็นผู้ชนะ อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและจะอยู่นิรันดร์กาล ก็คืออาณาจักรของพระเยซูคริสต์ และเราทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์ เราก็จะได้รับชัยชนะนี้ร่วมกับพระองค์ไปด้วย เราได้ครอบครองอาณาจักรของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วย ถ้าเราเชื่อวางใจในพระเยซู
เพราะฉะนั้น คำตอบของพระเจ้า ก็คือให้เราอดทน และเชื่อวางใจในพระเจ้าและมั่นใจในพระองค์ว่าในที่สุด เราชนะ หมายถึงเราต้องรอถึงวันสิ้นโลกหรือไม่? ไม่ต้อง รอวันที่เราหมดลมหายใจจากโลกนี้ เราก็ชนะแล้ว คือวันตายของเรา ตราบใดที่เรายังอยู่ คือพระเจ้ายังใช้งานเราอยู่ คำว่า “ชนะ” แปลอย่างนั้น แต่คำว่าสิ้นโลกนั้น หมายถึงจบงาน จบเรื่องแล้ว เฉพาะเราแต่ละคน จบเมื่อหมดลมหายใจ เราก็ไปอยู่กับพระเจ้า หมดภาระ เขาถึงบอกไม่ให้เราโศกเศร้าเสียใจเมื่อใครจากไปก่อนหน้านั้น เราควรจะดีใจกับเขาด้วยซ้ำไป
นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าประทานนิมิต และให้เรามาเรียนรู้กัน อัศจรรย์ของพระเจ้าผ่านทางนิมิตเหล่านี้ ผ่านทางการบอกล่วงหน้าเหล่านี้ เพื่อให้เรามีกำลังใจ มีความหวังในการดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ที่เต็มไปด้วยความเสียหาย ความวิปริตที่เรียกว่าบาปนั่นเอง บาป คือ Miss the target บาป คือไม่ได้ตรงตามเป้าหมายของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ให้โลกนี้ เป็นอย่างนั้น ไม่ให้มนุษย์เจออย่างนี้ ไม่ได้สร้างมาอย่างนี้ แต่มันวิปริตไปแล้ว พระเยซูใช้คำนี้ว่า “ชนชาติแห่งความวิปริต” คือมันเพี้ยนไปหมดเลย พระเจ้ากำลังซ่อมแซมกลับคืนสู่ที่เดิม แต่สิ่งที่อันตราย คือการที่มีบางคน หรือบางกลุ่ม หรือบางพวก ศึกษานิมิตแหล่านี้ แล้วนำไปใช้ในทางที่ผิด คือพยายามไปตีความหมาย และพยายามคำนวณเวลา เพื่อจะค้นว่าเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ ตามนิมิต จะเกิดขึ้นเมื่อไร? เวลาไหน? ปีไหน? เดือนไหน? คือกลายเป็นโหรเลย พระเจ้าไม่ได้ต้องการให้เรามาเรียนรู้เรื่องนี้ เพื่ออย่างนั้น พระคัมภีร์บอกไว้ชัดเจนเลยว่าเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ เกิดขึ้นแน่ๆ 100% แต่จะเกิดขึ้นเมื่อไร? เวลาใด? ไม่มีใครรู้ แม้กระทั่งพระเยซู ก็ไม่รู้เหมือนกัน คนไปถามพระเยซู พระเยซูบอก …
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
แล้วใครรู้? โน่นไปถามพ่อ อยู่ที่พ่อคนเดียว คือพระบิดา คือพระเจ้าผู้สถิตในสวรรค์ แล้วถ้าพระเยซูไม่รู้ แล้วใครอยากรู้ล่ะท่านต้องเจอกับความผิดหวัง และพาประชากรของพระเจ้าไปสู่ความผิดหวังมากมาย
สิ่งที่พระเจ้าต้องการเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็คือให้เราพุ่งเอาความสนใจของเราไปที่ความรู้และความเข้าใจ เชื่อมั่นว่าพระเจ้าทรงควบคุม ทรงครอบครองทุกสิ่ง พระองค์ทรงเป็นผู้กำกับโรงละครโรงใหญ่นี้เอง ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้า และเป็นผู้อนุญาตให้เกิดขึ้นทั้งสิ้น ไม่ว่าเราจะมองเห็นหรือมองไม่เห็นว่ามันดีกับเรา หรือดีกับประชากรพระเจ้าหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าจะคนชั่วที่ดูแล้วจะเจริญรุ่งเรืองตามทางของเขาก็ตาม คนนี้เป็นคนไม่ดี แต่ทำไมเจริญรุ่งเรือง หงุดหงิดๆ อิจฉาๆ พระเจ้าเป็นผู้อนุญาตให้เขาได้อย่างนั้น แต่ได้ไป เพื่ออะไร? เราไม่รู้ พระองค์ทรงเป็นผู้อนุญาตให้คนเหล่านี้ทั้งหมดทั้งสิ้น อยู่ในแผนการใหญ่ของพระองค์ แผนการนั้น ก็เพื่อสิ่งดีที่จะเกิดขึ้นกับเราทั้งหลายที่เชื่อและวางใจในพระองค์ และเพื่อเราจะได้ครอบครองร่วมกับพระเยซูคริสต์ในที่สุดนั่นเอง เอเมน
เหมือนที่พระองค์ทรงใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เหมือนที่พระองค์ทรงใช้เบลชัสซาร์ เหมือนที่พระองค์ทรงใช้เฮโรด ที่ข่มเหงคริสเตียน เหมือนพระองค์ทรงใช้ฟาโรห์
เพราะฉะนั้น ถ้ามีใครมาแอบอ้าง ยกนิมิตเหล่านี้ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล แล้วมาบอกว่าวันนั้น วันนี้ ปีนั้น ปีนี้ พระเยซูจะกลับมาใหม่ เป็นวันสิ้นโลกแล้ว หรือบอกว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น บนโลกในขณะนี้ ตรงกับนิมิตที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์เลย เพราะฉะนั้น ตอนนี้ ตอนนั้น จะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ วันสุดท้ายจะมาถึงแล้ว ฟันธงเลยว่าเป็นเรื่องเทียมเท็จทั้งสิ้น อย่าไปเชื่อ เป็นเรื่องหลอกลวง เพราะถ้าพระเยซูยังบอกว่าพระองค์ไม่รู้ ก็ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถรู้ได้หรอก และที่บอกว่ามีเรื่องอันตราย ก็เพราะว่ามีเกิดขึ้นมาบ่อยๆ ทุกยุคทุกสมัย จึงมาเตือนท่าน อยากรู้
“เมื่อไรนะ ไหนคุณนครบอกจะมา กลับมาแน่นอน วันนี้ใช่ไหม?”
ไปใหญ่เลยคราวนี้ หลังจากประเทศนี้ คงเป็นประเทศนี้ หลังจากคนนี้ ก็เป็นคนนั้น พอบอกคนนี้ แล้วไม่ใช่ขึ้นมา ลักษณะอย่างนี้เป็นปฏิปักษ์พระคริสต์ ท่านรู้ได้อย่างไร?
อย่างเช่น มีข่าวที่เราได้ยินบ่อยๆ กับคนที่พยายามแอบอ้างการทำนายว่าสิ้นโลก เดือนนี้ ปีนั้น ระบุเลยวันที่อะไร? ปีอะไร? ค.ศ.อะไร? แล้วก็มีคนหลงเชื่อขายทรัพย์สมบัติจนหมดเลย รอวันนี้ ก็ไม่มา อาทิตย์หนึ่ง ก็ไม่มา ที่มาแล้ว คือหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ ล้มละลาย บางกลุ่มก็สุดโต่ง ถึงขนาดฆ่าตัวตาย ก็มี พระเยซูมาแล้ว ตายจะได้มารับทันที นี่คืออันตรายของการศึกษาเรื่องนิมิต ในทางที่ผิดๆ เตือนเราล่วงหน้า เพราะมันสนุกใช่ไหม?
เพราะฉะนั้น พวกเราผู้ซึ่งเข้าใจพระประสงค์พระเจ้า ในการเรียนรู้เรื่องนิมิตของพระเจ้าแล้ว เราก็พร้อมที่จะเรียนรู้เรื่องนี้แล้ว ประมาณ 2,600 ปี เกี่ยวข้องกับเราตอนนี้ จนกระทั่งลูกหลานเหลนโหลนของเรา ดาเนียล 7:1-14
ดาเนียล 7:1-14 “1 ในปีแรกของรัชกาลกษัตริย์เบลชัสซาร์แห่งบาบิโลน 2 ดาเนียลฝันเห็นนิมิต ขณะนอนหลับอยู่ เขาได้บันทึกความฝันไว้ดาเนียลกล่าวว่า “ในนิมิตยามกลางคืน ข้าพเจ้ามองไปเบื้องหน้า มีลมทั้งสี่ทิศจากฟ้าสวรรค์พัดกระหน่ำ ทำให้ท้องทะเลใหญ่ปั่นป่วน 3 แล้วสัตว์มหึมาสี่ตัว โผล่ขึ้นจากทะเล แต่ละตัวมีลักษณะไม่เหมือนกัน 4 ตัวแรกเหมือนสิงโตและมีปีก เหมือนนกอินทรี ข้าพเจ้าเฝ้าดู จนเห็นปีกของมันถูกฉีกออก มันถูกพยุงขึ้นจากพื้น ให้ยืนด้วยสองขาแบบมนุษย์ และมันได้รับจิตใจเยี่ยงมนุษย์ 5 “ข้าพเจ้าเห็นสัตว์ตัวที่สอง ซึ่งดูเหมือนหมี มันโผล่ขึ้นมา ปากคาบซี่โครงสามซี่ไว้ มีผู้บอกมันว่า ‘ลุกขึ้นเถิด จงกินเนื้อให้อิ่ม’ 6 “หลังจากนั้น ข้าพเจ้ามองไป มีสัตว์อีกตัวหนึ่งเหมือนเสือดาว ที่หลังของมัน มีปีกสี่ปีกคล้ายปีกนก สัตว์ตัวนี้มีสี่หัว และมันได้รับอำนาจให้ปกครอง 7 “หลังจากนั้น ในนิมิตยามกลางคืน ข้าพเจ้าเห็นสัตว์ตัวที่สี่ น่ากลัวสยดสยอง และมีฤทธิ์อำนาจมาก มันมีฟันเหล็กซี่มหึมา มันขย้ำเคี้ยวเหยื่อและเหยียบย่ำส่วนอื่นๆ ที่เหลือ จนแหลกลาญ สัตว์ตัวนี้แตกต่างจากตัวอื่นๆ ตรงที่มีเขาสิบเขา 8 “ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังคิดเรื่องเขาต่างๆ อยู่นั้น ก็มีเขาเล็กๆ อีกอันหนึ่ง โผล่ขึ้นมาท่ามกลางเขาอื่นๆ และทำให้สามในสิบเขาแรกนั้น ถูกถอนออกไป เขาเล็กนี้ มีตาเหมือนตามนุษย์ และมีปากซึ่งคุยโวโอ้อวด 9 ขณะที่ข้าพเจ้ามองดู ข้าพเจ้าก็เห็นบัลลังก์ต่างๆ จัดตั้งไว้แล้ว และองค์ผู้ดำรงอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ประทับที่บัลลังก์ของพระองค์ ฉลองพระองค์ขาวเหมือนหิมะ พระเกศาเหมือนขนสัตว์ที่ขาวสะอาด บัลลังก์ของพระองค์ มีเปลวไฟลุกโชน และที่ล้อก็ลุกโชติช่วง 10 แม่น้ำเพลิงกำลังไหลมาจากเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ ผู้รับใช้นับล้านคอยปรนนิบัติพระองค์ และมีคนนับล้านๆ คน ยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ การพิจารณาคดีเริ่มขึ้น หนังสือเล่มต่างๆ ถูกเปิดออก 11 แล้วข้าพเจ้าจับตาดูต่อไป เพราะคำคุยโวโอ้อวดของเขาเล็กๆ นั้น ข้าพเจ้าเฝ้าดู จนกระทั่งสัตว์นั้นถูกฆ่า ร่างของมันถูกทำลาย แล้วถูกโยนลงในไฟที่ลุกโชน 12 สัตว์อื่นๆ ถูกยึดอำนาจไปหมดแล้ว แต่ได้รับอนุญาตให้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกชั่วระยะหนึ่ง 13 ในนิมิตคืนนั้น ข้าพเจ้าเห็นผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์ เสด็จมาพร้อมด้วยหมู่เมฆแห่งฟ้าสวรรค์ พระองค์เสด็จเข้าไปใกล้และเข้าเฝ้าองค์ผู้ดำรงอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ 14 พระองค์ได้รับสิทธิอำนาจ เกียรติสิริ และอำนาจปกครองสูงสุด ชาวโลกทุกชาติทุกภาษานมัสการพระองค์ ราชอำนาจของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล ราชอำนาจที่จะไม่มีวันสิ้นสุด และพระราชอาณาจักรของพระองค์ จะไม่มีวันถูกทำลาย”
ความฝันของดาเนียล เริ่มจากข้อที่ 2 บอกว่า … ในนิมิตยามกลางคืน ข้าพเจ้ามองไปเบื้องหน้า มีลมทั้งสี่ทิศจากฟ้าสวรรค์พัดกระหน่ำ ทำให้ท้องทะเลใหญ่ปั่นป่วน แล้วสัตว์มหึมา 4 ตัว โผล่ขึ้นจากทะเล แต่ละตัวมีลักษณะไม่เหมือนกัน …
ดาเนียลฝันเห็นสัตว์ใหญ่มหึมา แต่ละตัวมีลักษณะไม่เหมือนกัน ซึ่งสัตว์มหึมาทั้งสี่ตัวนี้ ก็คือ มหาอำนาจทั้งสี่ ประเทศที่ใหญ่ๆ ที่เรียกว่าอาณาจักรทั้งสี่ ที่จะรุ่งเรืองขึ้นในโลก นึกย้อนกลับไป 2,600 กว่าปี ดาเนียลได้รับนิมิตนี้มา ตอนที่ได้รับนิมิต อยู่ในรัชกาลของเบลชัสซาร์ แห่งบาบิโลน
ยังจำได้ไหมครับ? นิมิตของเนบูคัดเนสซาร์ ซึ่งให้ดาเนียลเข้าไปแปล แล้วดาเนียลแปลนิมิตนั้นออกมา เป็นเรื่องสี่อาณาจักร การแปลอยู่ในรูปแบบของรูปปั้นขนาดใหญ่ ที่แต่ละส่วนทำด้วยวัตถุต่างๆ กัน เล็งถึงอาณาจักรสี่อาณาจักร มหาอำนาจสี่มหาอำนาจ
ความหมายของสัตว์มหึมาสี่ตัวนี้ มีความหมายเหมือนกันกับรูปปั้น เพียงแต่เปลี่ยน มาใช้สัญลักษณ์สัตว์แทนรูปปั้นนั่นเอง
ข้อที่ 4 ที่บอกว่าตัวแรกเหมือนสิงโต และมีปีกเหมือนนกอินทรีย์ … ข้าพเจ้าเฝ้าดูจนเห็นปีกของมันถูกฉีกออก มันถูกพยุงขึ้นจากพื้น ให้ยืนสองขา แบบมนุษย์ แล้วได้รับจิตใจเยี่ยงมนุษย์
สัตว์ตัวแรกที่ดาเนียลเห็น คือสิงโตที่มีปีกเหมือนนกอินทรีย์ ถ้าเปรียบกับรูปปั้นในความฝันของเนบูคัดเนสซาร์ ก็คือส่วนที่เป็นศีรษะที่ทำด้วยทองคำ หมายถึงอาณาจักรบาบิโลน
ในสมัยที่อาณาจักรบาบิโลนกำลังรุ่งเรือง จะเปรียบตัวเอง ดั่งสิงโต ที่มีปีกเหมือนนกอินทรีย์ นี่เรื่องจริงๆ ของสัญลักษณ์ของประเทศ หรือมหาอำนาจนั้น ในขณะนั้น
รูปปั้น สถาปัตยกรรมต่างๆ ในบาบิโลน ในสมัยนั้น ก็ใช้สัญลักษณ์แบบนั้น คือสิงโตที่มีปีก และที่บอกว่าปีกของมันถูกฉีกออก มันถูกพยุงขึ้นจากพื้น ให้ยืนสองขา แบบมนุษย์ ก็คือช่วงที่เนบูคัดเนสซาร์เย่อหยิ่งกับพระเจ้า โอหังกับพระเจ้า และถูกทำให้ต้องไปใช้ชีวิตเหมือนสัตว์ป่า จนกระทั่งสำนึกได้ แล้วถ่อมใจ กลับใจใหม่ ที่ดาเนียลรักเขามาก เห็นใจเพื่อน บอกเนบูคัดเนสซาร์เลิกนิสัยแบบนี้ เลิกทำชั่วร้ายต่างๆ เลิกข่มเหงคน ถ่อมใจลง พระเจ้าอาจจะช่วยท่านได้ แล้วเนบูคัดเนสซาร์ก็ถ่อมใจ แล้วก็ได้กลับมาเป็นเหมือนมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง กลับมาเป็นผู้เป็นคนอีกครั้งหนึ่ง
ข้อที่ 5 กล่าวถึงสัตว์ตัวที่สอง บอกว่า … ข้าพเจ้าเห็นสัตว์ตัวที่สอง ซึ่งดูเหมือนหมี มันโผล่ขึ้นมา ปากคาบซี่โครง 3 ซี่ไว้ มีคนบอกมันว่า “ลุกขึ้นเถิด จงกินเนื้อให้อิ่ม”
สัตว์ตัวนี้เปรียบได้กับรูปปั้น ส่วนที่ 2 คือหน้าอกและแขน ที่ทำด้วยเงิน ที่เล็งถึงอาณาจักรมีเดียเปอร์เซียน อาณาจักรที่สอง อย่าลืมนะครับ สิ่งเหล่านี้ที่ผมอธิบายไป บอกล่วงหน้าหมด
ตอนที่ดาเนียลฝัน เป็นเวลาช่วงในยุคบาบิโลน สมัยเบลชัสซาร์ ก็คือสัตว์ตัวที่ 1 คือสิงโตมีปีก ยังเป็นยุคเหตุการณ์ปัจจุบัน หมายถึงถ้าเทียบกับความฝันที่ดาเนียลได้รับนิมิตนั้น
แต่พอมาถึงตัวที่สอง คราวนี้เริ่มเป็นนิมิตในอนาคตแล้ว บอกล่วงหน้า เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คืออนาคตจะมีอาณาจักรมีเดียเปอร์เซีย ที่จะยกทัพมาโค่นบาบิโลน ในสมัยของกษัตริย์ดาริอัส ซึ่งมันเป็นผลออกมาแล้ว ซี่โครง 3 ซี่ ที่หมีคาบไว้ ก็คือที่มันชนะมาก่อน หนึ่งในนั้น ก็คือประเทศอียิปต์ ประเทศใหญ่มหาอำนาจเก่าแก่ ก็ถูกโค่นล้มโดยมีเดียเปอร์เซีย และอีกหนึ่งในจำนวนนั้น ก็คือบาบิโลน ที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น ก็ถูกมีเดียเปอร์เซียโค่นล้มอำนาจ มีเดียเปอร์เซียก็มีลักษณะเหมือนหมีที่คาบซี่โครง 3 ซี่ไว้ที่ปากของมัน
และที่บอก “ลุกขึ้นเถิด กินเนื้อให้อิ่ม” เป็นสำนวนที่ทำให้เกิดความตื่นเต้น พระเจ้าต้องการให้ประชากรของพระองค์ได้รู้เรื่องนิมิตนี้ และได้เข้าใจเรื่องนิมิตด้วย
ความตั้งใจจริง ก็คือเหมือนให้เราดูหนังสนุกๆ ตื่นเต้น แล้วเทียบกับสัตว์ประหลาดอะไรต่างๆ ท่านนึกภาพสิ เหมือนกับเด็กๆ ในยุคปัจจุบัน ดูเรื่องซุปเปอร์แมน ดูเรื่องอุลตร้าแมน จำได้หมด สมัยนั้น พระเจ้าก็ต้องการให้ประชากรของพระเจ้าได้รู้เรื่องนิมิตต่างๆ เหล่านี้ เป็นลักษณะอย่างนี้เลย แล้วก็เปรียบเทียบให้ดูว่ามันแปลว่าอะไร?
พระเจ้าได้มอบสิทธิอำนาจให้กับมีเดียเปอร์เซีย ในการครอบครองทั่วโลกในขณะนั้นเลย ซึ่งหมายถึงลุกขึ้น “จงกินเนื้อให้อิ่ม” เอาเต็มที่เลย
ตามประวัติศาสตร์ อาณาจักรมีเดียเปอร์เซียได้ชื่อว่าเป็นอาณาจักรที่มีการแผ่ขยายอาณาจักร อำนาจการปกครองไปทั่วโลก มากกว่าอาณาจักรใดๆ ทั้งปวงที่เกิดขึ้น เป็นไปตามที่พระเจ้าบอกล่วงหน้า
ข้อที่ 6 มาถึงสัตว์ตัวที่สาม มีสัตว์อีกตัวหนึ่ง เหมือนเสือดาว ที่หลังของมันมีปีก 4 ปีก คล้ายปีกนก สัตว์ตัวนี้มี 4 หัว และมันได้รับอำนาจให้ปกครอง … ตรงนี้ ก็คือส่วนท้องและต้นขาของรูปปั้นที่ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ก็คือหมายถึงประเทศกรีก หรืออาณาจักรกรีก
สัตว์ตัวที่สาม คือเสือดาว ลักษณะเด่นของเสือดาว คือความรวดเร็ว มีอำนาจ สัตว์ที่ได้ชื่อว่าเป็นสัตว์ที่วิ่งเร็วที่สุด ก็คือเสือดาว เสือซีต้าร์ นี่มันวิ่งเร็วกว่าธรรมดา เพราะมันติดปีก ขนาดบาบิโลนว่าเร็วแล้วนะ แต่บาบิโลนเป็นสิงโตติดแค่ 2 ปีก อันนี้ติด 4 ปีกเลย เร็วมาก เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นจริง ประวัติศาสตร์ก็ได้บันทึกไว้แล้วว่าสมัยกรีกรุ่งเรือง กองทัพเขาตีที่ไหน ได้ชัยชนะรวดเร็วมาก แป๊บเดียว ครอบครองไปถึงอินเดีย นี่คือลักษณะของอาณาจักร หรือประเทศต่างๆ ที่พระเจ้าบอกล่วงหน้าไว้แล้วว่ามันจะเกิดขึ้น
อาณาจักรกรีก ซึ่งในรูปปั้น ในสมัยที่ได้รับนิมิต โดยกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ เป็นทองสัมฤทธิ์ มันจะขยายอาณาจักรเร็วมากเหมือนทองสัมฤทธิ์เลย ซึ่งกษัตริย์ผู้ที่เป็นผู้นำทัพ ที่เราได้ยินและดังมาถึงปัจจุบัน เอาไปทำเป็นหนัง ก็คืออเล็กซานเดอร์มหาราช
ข้อที่ 7 มาถึงสัตว์ตัวสุดท้าย ตัวที่สี่ บอกว่า … ข้าพเจ้าเห็นสัตว์ตัวที่สี่ น่ากลัวสยดสยอง และมีฤทธิ์อำนาจมาก มันมีฟันเหล็กซี่มหึมา มันขย้ำเคี้ยวเหยื่อและเหยียบย่ำส่วนอื่นๆ ที่เหลือ จนแหลกลาญ สัตว์ตัวนี้แตกต่างจากตัวอื่นๆ ตรงที่มีเขาสิบเขา …
สัตว์ตัวที่สี่นี้ ไม่สามารถระบุประเภทได้ คือไม่ใช่เสือ ไม่ใช่หมี ไม่ใช่เสือดาว เพราะเนื้อมันยังไม่เป็นเนื้อเลย มันเป็นเหล็ก มันเป็นหุ่นยนต์ 3 ตัวแรก บอกว่ามันคล้ายกับสัตว์ชนิดใด แต่ตัวนี้ระบุไม่ได้ บอกได้แค่ว่าน่ากลัว สยดสยอง มีฟันเหล็กซี่มหึมา เพราะฉะนั้น สัตว์ตัวที่สี่นี้ ก็เลยมีคนเขาพยายามจะจินตนาการ วาดรูปออกมา แต่ไม่รู้จะวาดอะไร? ถ้าในนิมิตบอกว่าเป็นเสือดาว ก็วาดเสือดาว เป็นหมี เราก็วาดหมี แต่ตัวนี้บอกเป็นอย่างนี้ แล้วท่านจะวาดอย่างไร? ก็แล้วแต่ท่านจะวาดแล้วกัน ใครที่ชอบดูหนังเรื่องอะไรที่มีสัตว์ประหลาดมากๆ ท่านต้องใส่ตามนี้นะ มันต้องมีเขาสิบเขา มีฟันเป็นเหล็ก เขียนเข้าไปแล้วกัน ให้น่ากลัว น่าเกลียดที่สุด เป็นสัตว์ประหลาด
สัตว์ตัวนี้ก็เปรียบได้กับส่วนขาของรูปปั้น ที่ทำด้วยเหล็ก ซึ่งเล็งถึงอาณาจักรโรมัน สัตว์ตัวที่สี่ คือสัตว์ประหลาด น่ากลัว น่าสยดสยอง หรืออาณาจักรโรมที่ได้โค่นอาณาจักรกรีกลง และขึ้นมารุ่งเรืองอำนาจแทน ตรงที่บอกว่าสัตว์ตัวนี้ มันมีฟันเหล็กแหลม ซี่มหึมา มันขยำเคี้ยวเหยื่อและส่วนอื่นๆ จนแหลกลาน ก็คือโรมในยุคนั้น โหดร้ายมาก และตามล่าขยายดินแดนที่เหลือจากกรีกสมัยก่อน มากกว่ากรีกอีก ไปไกล ทั่วทั้งยุโรป แอฟาริกา และทั้งเอเชีย และไปที่ไหนขยำยู่ยี่หมด เละเทะหมดเลย สามอาณาจักรที่เหลือเขาครอบครองเฉยๆ แต่โรมครอบครองและทำลายด้วย ผู้ที่ทำลายกรุงเยรูซาเล็มก็คือโรม คนอื่นๆ มาเขาก็ปล้นเอาทรัพย์สินไปเฉยๆ แต่นี่เขาทำลาย ยกตัวอย่างให้ฟัง
สัตว์นี้มีเขาสิบเขา หมายถึงกษัตริย์สิบองค์ หรือคำว่า “สิบ” อาจจะไม่ใช่ 10 องค์ตรงๆ แต่อาจจะหมายถึงครบ มีเชื้อสายของมัน มีลูกมีหลานได้ ไม่เหมือนตัวอื่นๆ สามตัวก่อนหน้านั้น จบแล้วจบเลย ตัวนี้จบแล้วมันมีเชื้อต่อ อย่างน้อยๆ ก็ครบถ้วนบริบูรณ์ เราก็ไม่รู้เท่าไร?
ในข้อที่ 8 บอกว่าขณะที่ข้าพเจ้ากำลังคิดเรื่องเขาต่างๆ อยู่นั้น ก็มีเขาเล็กๆ อันหนึ่งโผล่ขึ้นมาท่ามกลางเขาอื่นๆ ทำให้ 3 ใน 10 ของเขาแรกนั้น ถูกถอนออกไป เขาเล็กๆ นี้ มีตาเหมือนตามนุษย์ และมีปาก ซึ่งคุยโอ้อวด …
หมายถึงกษัตริย์ผู้ครองอำนาจ ที่เป็นเชื้อสาย เกิดมาจากอิทธิพลการปกครองของโรมัน มีกษัตริย์เยอะแยะมากมาย สมมติเป็น 10 องค์ แต่จะมี 3 ที่แยกออกไปก่อน และจะมีหน่อเล็กๆ กษัตริย์องค์เล็กๆ ขึ้นมา ก็คือเชื้อสายของกลุ่มที่มาจากโรมัน
เขาเล็กๆ ที่จะเกิดขึ้น ก็คือผู้ที่จะมีอำนาจเกิดขึ้นมาในเชื้อสายของโรม ทุกวันนี้มันเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว ก็คือประเทศทั้งหมด ที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ เกือบ 100% มีอิทธิพลมาจากโรมทั้งนั้น แม้กระทั่งเมืองไทย ก็ได้มานิดหน่อย แต่ส่วนใหญ่มาจากแถวยุโรปทั้งหมดเลย
เขาเล็กๆ หนึ่งอัน ที่โผล่ขึ้นมาจากสัตว์ประหลาดตัวนี้ มีตาเหมือนตามนุษย์ และมีปาก ซึ่งคุยโอ้อวด ตรงนี้ที่เปาโลพูดไว้ในพระคัมภีร์ใหม่ หมายถึงผู้ต่อต้านพระเยซูคริสต์ ที่เป็นหลักฐาน เป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ จังๆ เป็นผู้ที่มีอำนาจ ผู้หนึ่ง ไม่รู้ผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่อิทธิพลและฤทธิ์เดชอำนาจ ไม่ได้มาจากมนุษย์ แต่มาจากข้างบน โลกวิญญาณอีกที ตามภาษาพระคัมภีร์ เขาใช้ชื่อว่าปฏิปักษ์พระคริสต์ หรือแอนตี้ไคร์ซ จะมีกษัตริย์องค์หนึ่งขึ้นมาครอบครอง มีความใหญ่ยิ่ง และคนนี้จะต่อต้านพระเยซูคริสต์ชัดๆ
ตอนที่เปาโลยังไม่เชื่อพระเจ้า เปาโลทำอะไร? ข่มเหงคริสเตียน และเดินทางไปดามัสกัส เพื่อไปจับคนที่เป็นคริสเตียนมาติดคุก ระหว่างทางพระเยซูมาปรากฏ และพระเยซูบอกเปาโลว่า …
“ท่านข่มเหงเราทำไม?”
แสดงว่าใครที่ข่มเหงคริสเตียน เขาก็ข่มเหงพระเยซู คำว่าปฏิปักษ์พระคริสต์นี้ ก็คือคนที่ข่มเหงคนของพระเจ้า จะมีคนๆ หนึ่งที่มีความเย่อหยิ่ง มีความยิ่งใหญ่ มีอำนาจด้วย เหมือนผู้ครองอาณาจักร คล้ายกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ คราวนี้ใหญ่เลย จะรุนแรงเลย คือจะข่มเหงคริสเตียน ท่านลองดูไปแล้วกัน และคนๆ นี้ ก็เป็นเชื้อสายมาจากอิทธิพลที่มาจากสัตว์ตัวที่สี่ตัวนี้ คือโรมันที่แผ่กระจายอำนาจไปทั่วยุโรป
ที่ในนิมิตนี้บอกว่าผู้ที่จะเป็นปฏิปักษ์พระคริสต์เกิดขึ้น ก่อนที่พระเยซูจะเสด็จกลับมา จะมีการข่มเหงคนที่เชื่อพระเยซูเกิดขึ้น ก่อนที่พระเยซูจะกลับมาประกาศชัยชนะ พูดง่ายๆ ว่าใกล้ๆ จบ ที่พระเอกชนะ มันตื่นเต้น มันหวาดเสียว คือพระเอกเกือบตาย เราผู้เชื่อเป็นพระเอก ก่อนพระเยซูมา ไม่ใช่พูดให้ตกใจ เราเกือบตาย มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ขอบคุณพระเจ้าที่วันนั้นยังไม่ถึง แต่วันหนึ่งมันจะเกิดขึ้น เพราะสิ่งที่พูดมาทั้งหมด มันเกิดขึ้นหมดแล้ว มีบันทึกไว้ในข้อที่ 24 – 25 อย่างนี้
ดาเนียล 7:24-25 “24 เขาสิบเขา คือกษัตริย์สิบองค์ ที่จะมาจากอาณาจักรนี้ ภายหลังจะมีกษัตริย์อีกองค์หนึ่งขึ้นมา ซึ่งแตกต่างจากองค์ก่อนๆ และจะโค่นล้มกษัตริย์สามองค์ลง 25 กษัตริย์องค์นี้ จะกล่าวลบหลู่องค์ผู้สูงสุด และกดขี่ข่มเหงประชากรของพระเจ้า จะพยายามเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาและบทบัญญัติต่างๆ ประชากรของพระเจ้า จะตกอยู่ในกำมือของกษัตริย์องค์นี้ ตลอดหนึ่งวาระ หลายวาระ และครึ่งวาระ”
ประชากรของพระเจ้าจะตกอยู่ในความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน ก่อนที่ชัยชนะจริงๆ สุดท้ายจะเกิดขึ้น
นี่คือความหมายของเขาสิบเขา และเขาเล็กๆ ที่งอกขึ้นมา ก็คือพวกกลุ่มผู้ต่อต้านพระคริสต์ ข่มเหงคนที่เชื่อพระเยซูคริสต์ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อนิมิตทั้งหมดนี้ ตั้งแต่บาบิโลนไล่มาถึงโรม มันเกิดแล้วทั้งหมดจริง และพระเยซูคริสต์ เป็นผู้มาประกาศชัยชนะสุดท้าย อาณาจักรสุดท้าย คืออาณาจักรพระเยซูคริสต์ที่อยู่นิรันดร์ ถ้ามันเป็นจริง พระเยซูคริสต์จะมาประกาศชัยชนะนิรันดร์ ซึ่งเราก็อยู่ในชัยชนะนั่นด้วย แต่เราต้องถูกข่มเหงก่อน
มาถึงข้อที่ 9 อันนี้ไคล์แม๊กของเรื่องเลย ตั้งใจฟังนะ การบอกล่วงหน้าของพระเจ้าในเรื่องนี้ … ขณะที่ข้าพเจ้ามองดูอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็เห็นบัลลังก์ต่างๆ จัดตั้งไว้แล้ว และองค์ผู้ดำรงอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ประทับที่บัลลังก์ของพระองค์ ฉลองพระองค์ขาวเหมือนหิมะ พระเกศาเหมือนขนสัตว์ที่ขาวสะอาด บัลลังก์ของพระองค์ มีเปลวไฟลุกโชน และที่ล้อก็ลุกโชติช่วง …
ในพระคัมภีร์เวลามีกล่าวถึงบัลลังก์ของพระเจ้าพร้อมกับเปลวไฟ จะหมายถึงการพิพากษา ในยุคสุดท้าย มีคนตั้งข้อสังเกตว่าบัลลังก์มีล้อด้วย หมายถึงการพิพากษาของพระเจ้าคลุมไปทุกแห่ง ไม่ใช่วิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว ทุกทิศเลย ก็คือพระองค์ทรงครอบครองและควบคุมทุกสิ่ง หนีคำพิพากษาของพระองค์ไม่พ้น
ในข้อที่ 10 – 12 เขียนไว้ดังนี้ … 10 แม่น้ำเพลิงกำลังไหลมาจากเบื้องพระพักตร์ของพระองค์ ผู้รับใช้นับล้านคอยปรนนิบัติพระองค์ และมีคนนับล้านๆ คน ยืนอยู่ต่อหน้าพระองค์ การพิจารณาคดีเริ่มขึ้น หนังสือเล่มต่างๆ ถูกเปิดออก 11 แล้วข้าพเจ้าจับตาดูต่อไป เพราะคำคุยโวโอ้อวดของเขาเล็กๆ นั้น ข้าพเจ้าเฝ้าดู จนกระทั่งสัตว์นั้นถูกฆ่า ร่างของมันถูกทำลาย แล้วถูกโยนลงในไฟที่ลุกโชน 12 สัตว์อื่นๆ ถูกยึดอำนาจไปหมดแล้ว แต่ได้รับอนุญาตให้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีกชั่วระยะหนึ่ง …
ตรงนี้ หมายถึงคนนับไม่ถ้วน ไม่ใช่นับล้านๆ สมัยก่อนเขานับได้แค่นี้เอง มันนับไม่ถ้วน
คนที่ข่มเหง รังแกประชากรของพระเจ้า ในยุคสุดท้าย ถูกโยนลงไปในบึงไฟ เป็นการสิ้นสุดของความชั่วร้ายของมารซาตาน แล้วจากนั้น ก็มาถึงวันที่พวกเรารอคอย ซึ่งบันทึกต่อมาในข้อที่ 13 กับ 14 วันแห่งความหวังของพวกเรา ถ้าท่านไม่รอคอยเรื่องนี้ แสดงว่าท่านมีความสุขดีตอนนี้ แต่ถ้าใครก็ตามที่มีความทุกข์ยากลำบาก ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ในใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ นี่คือความหวังของเรา นี่คือเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เราเรียนรู้ในนิมิตของดาเนียล มันเป็นไปตามนั้น ถ้าผมคิดเองนะ มันก็ประมาณสัก 75% เพราะสี่อาณาจักรก็โผล่มาหมดแล้ว ลูกหลานของโรมัน ก็โผล่มาหมดแล้ว คือยุโรปทั้งหมด ที่ย้ายไปตั้งรกรากที่อื่น ก็มาจากโรมัน ดูก็ไปไกลแล้วนะ ดังนั้น ช่วงท้ายๆ มันก็น่าจะสัก 20, 30%
ที่ผมพูดไปทั้งหมดนี้ เพื่อให้เป็นกำลังใจให้เราว่าตอนจบเป็นอย่างไร? ไม่ต้องการให้เรามานั่งคิดว่าตกลงเหลืออีกกี่เปอร์เซ็นต์ วันนี้จะเกิดอะไรขึ้นมั้ง ออกไป คอยนั่งจ้องคนนั้น คนนี้สงสัยจะเป็นเขาเล็กๆ หรือไม่? ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา
อย่างโลกโซเชียวทุกวันนี้ จะโพสต์อะไร? จะเขียนอะไร? ต้องระมัดระวัง มันไปโดนเขา โดยที่เขาไม่รู้เรื่อง เสร็จแล้วเราจะมาขอโทษทีหลัง มันช้าไปแล้ว อันนี้ ก็เหมือนกัน พระเจ้าไม่ได้บอก ก็ไม่ต้องพูด คนนี้เป็นเขาเล็กๆ คนนี้ข่มเหงคริสเตียนขนาดนี้ มันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ คนนี้มาจากโรม คนนี้มาจากที่นั่น อย่าไปยุ่งตรงนั้นเลย เรามายุ่งตรงนี้ดีกว่าว่าสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเรา คือความหวังของเราตรงนี้ ถ้าใครที่ยิ่งทุกข์หนักๆ ความหวังของเขาอยู่ตรงนิมิตตรงนี้ ถ้าความหวังตรงนั้น มันเกิดขึ้นมาทั้งหมด เป๊ะ บาบิโลนก็เป๊ะ มีเดียเปอร์เซียก็เป๊ะ กรีกก็เป๊ะ โรมก็เป๊ะ ประเทศยุโรปทั้งหมดได้รับอิทธิพลมาจากโรมจริงๆ ทุกวันนี้เราก็เห็นชัดๆ ซึ่งมันก็เป็นจริงๆ ด้วย มันก็เป๊ะ เพราะฉะนั้น เรื่องสุดท้ายเรื่องพระเยซูก็ต้องเป๊ะๆ แน่นอน มันจะหนีไปไหนไม่พ้น มันเกิดขึ้นมาอย่างนี้แล้วทั้งหมด แล้วที่เหลือมันจะไม่เกิดได้อย่างไร?
ในข้อ 13, 14 บอกว่า … 13 ในนิมิตคืนนั้น ข้าพเจ้าเห็นผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์ เสด็จมาพร้อมด้วยหมู่เมฆแห่งฟ้าสวรรค์ พระองค์เสด็จเข้าไปใกล้และเข้าเฝ้าองค์ผู้ดำรงอยู่ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ 14 พระองค์ได้รับสิทธิอำนาจ เกียรติสิริ และอำนาจปกครองสูงสุด ชาวโลกทุกชาติทุกภาษานมัสการพระองค์ ราชอำนาจของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล ราชอำนาจที่จะไม่มีวันสิ้นสุด และพระราชอาณาจักรของพระองค์ จะไม่มีวันถูกทำลาย”
คำว่าบุตรมนุษย์ปรากฏในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล 300 กว่าแห่ง และจะเป็นผู้ใดไม่ได้เลย นอกจากพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า ซึ่งจะเสด็จมา ทำไมพระเยซูต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็เพราะพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้อย่างนั้น เพราะพระเจ้าตั้งแผนการของพระองค์ไว้อย่างนั้น
พระบุตรของพระเจ้าจะเสด็จมาเป็นมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ แล้วพระองค์จะได้รับสิทธิอำนาจ พระเกียรติสิริ อำนาจปกครองสูงสุด ชาวโลกทุกชาติทุกภาษานมัสการพระองค์ ราชอำนาจของพระองค์ดำรงอยู่ตลอดกาล ราชอำนาจจะไม่มีวันสิ้นสุด ราชอาณาจักรของพระองค์จะดำรงอยู่เป็นนิตย์ พระองค์จะไม่มีวันถูกทำลายเลย
พระเยซูตอนที่เป็นขึ้นจากความตาย และอยู่กับเหล่าสาวก 40 วัน วันอีสเตอร์แรกของโลก 40 วันที่พระองค์ทรงสั่งสอนมนุษย์เสร็จปุ๊บ ก่อนที่จะเสด็จขึ้นสวรรค์ พระองค์มีสาวกมาส่ง แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกว่าให้ออกไปทั่วโลก ไปประกาศข่าวดี เรื่องพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์เริ่มตั้งอาณาจักรบนโลกใบนี้แล้ว ไปเรียกมาเป็นประชากรของพระองค์ โดยการเชื่อวางใจในพระองค์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน ชำระบาปให้เราทุกคน แล้วพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ แล้วพระองค์บอกว่าสิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในโลกดี ได้ถูกมอบให้กับเราแล้ว
ตอนที่ปีลาตจะจับพระเยซูไปตรึง ตอนที่ฟาริสีจะจับพระเยซูไปฆ่า ถามพระเยซูว่าพระองค์เป็นใคร? พระองค์บอกว่า … เราคือบุตรมนุษย์ … แล้วพระองค์บอกว่าวันสุดท้าย ท่านจะเห็นบุตรมนุษย์ เสด็จลงมาจากสวรรค์ พร้อมด้วยหมู่เมฆ พระองค์ทรงรู้ว่าพระองค์ทรงกระทำอะไรอยู่ และมันจะเป็นไปตามนั้น เพราะพระคัมภีร์ได้บอกถึงเรื่องพระองค์ ตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้าย เรื่องพระเยซูคริสต์ทั้งสิ้นเลย ตอนที่พระเยซูเดินบนโลกใบนี้ พระองค์จึงบอกว่า …
“เรากระทำทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ให้เป็นไปตามที่ได้เขียนไว้ถึงเรื่องเกี่ยวกับเรา ตั้งแต่ต้นมาแล้วว่าเรามาทำอะไร เราต้องทำตามนั้น เพราะเป็นแผนการของพระเจ้า ช่วยเหลือมนุษยชาติ”
นี่คือที่บอกว่าไม่ว่าโลกนี้จะเป็นอย่างไร? ก็ตาม เกิดอะไรขึ้นก็ตาม น่ากลัวขนาดไหน? เลวร้ายแค่ไหนก็ตาม ไม่ว่าเรากำลังเผชิญอะไรอยู่ก็ตาม ความทุกข์ยากลำบากขนาดไหนก็ตามขณะนี้ ปัญหามันจะใหญ่มากขนาดไหนก็ตาม ต่อหน้าเราขณะนี้ ขอให้เชื่อและวางใจ มั่นใจเถิดว่าพระเยซูเป็นผู้มีชัยชนะ ไม่ใช่จะชนะ แต่ชนะไปแล้ว
สิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงบอกเล่าผ่านทางนิมิตทั้งหลายเหล่านี้ ก็เพื่อย้ำยืนยันให้เรามั่นใจว่าพระองค์ทรงควบคุมครอบครองทุกสิ่งจริงๆ เพื่อให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น เป็นไปตามพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเจ้า และเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับสรรพสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นในมหาจักรวาลนี้ ซึ่งรวมทั้งเราทั้งหลายที่เป็นลูกของพระองค์ ที่พระองค์ทรงรักที่สุด เป็นแก้วตาของพระองค์มากกว่ารักต้นไม้ ก้อนหิน สัตว์เหล่านั้น
เหตุการณ์ทั้งหลายที่ล้อมรอบตัวเรา ในทุกวันนี้ อาจจะเป็นสิ่งที่ดูแล้วมันเลวร้ายในสายตาเรา เพราะโลกมันตกอยู่ในความวิปริต ความบาปอยู่ มันยังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไป มันต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมสิ่งเสียหายสึกหรอให้ดี พระเจ้ากำลังใช้เวลาอยู่ มันเลยต้องมีความทุกข์ยากลำบากบ้าง พระเยซูก็บอกแล้วว่าท่านทั้งหลายอยู่บนโลกใบนี้ จะพบกับความทุกข์ยากลำบาก เป็นเรื่องธรรมดา แต่ว่าเราได้ชนะโลกนี้แล้ว ให้กำลังใจเราอีก พระองค์จึงต้องการให้เรา ประชากรของพระเจ้ามีกำลังใจ พระองค์ทรงรู้แล้วว่าใครก็ตามที่มาเชื่อพระองค์ ก็จะดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยความลำบาก ถูกกดขี่ข่มเหงมากกว่าคนอื่นๆ เขาก็ได้ เพราะหลายสิ่งหลายอย่างเราทำไม่ได้ แต่พระองค์ทรงให้นิมิต ให้อัศจรรย์ ให้ถ้อยคำเหล่านี้ บอกล่วงหน้า เป็นกำลังใจให้เรา ให้เรามีความหวัง ให้เราวางใจในพระองค์ และไม่ให้เราเชื่อพระองค์ธรรมดา แต่เชื่อโดยวางใจ
คำว่า “วางใจ” คือวางเลย ไม่ได้อยู่ที่เราอีกแล้ว วางให้พระองค์ไปเลย แปลว่าอย่างนั้น
พระองค์จึงบอกล่วงหน้าสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนี้ โดยไม่บอกวันเวลาตอนจบว่าตรงไหน? เพราะถ้าบอกวันเวลาตอนจบ ก็ไม่สนุก ท่านวันๆ ก็ไม่ทำอะไรแล้ว มัวแต่รอตอนจบอยู่อย่างเดียว แล้วมันจะเป็นแผนการพระเจ้าได้อย่างไร? สมมติพระเจ้าให้ท่านเกิดความทุกข์ยากลำบาก เพื่อจะพาท่านไปอีกที่หนึ่ง ท่านก็ไม่ยอมไป ท่านบอกตอนจบเป็นอย่างนี้ ก็จะรออยู่อย่างนี้ ไม่ไปไหนแล้ว พระเจ้าต้องให้อิสราเอลทุกข์ยากลำบาก จึงนำคนเดินผ่านข้ามทะเลแดง ถ้าไม่ทุกข์ยากลำบาก จะเดินทำไม? ถูกหรือไม่ถูก? พระเจ้าจึงไม่บอกตอนจบให้กับเราว่าเป็นอย่างนี้ แล้วพระเจ้าใช้เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านั้น พาเราเดินไป เพื่อทุกคนจะเป็นผู้รับใช้หมด เป็นแผนการเล็กแผนการน้อย เป็นจิ๊กซอเล็ก เป็นจิ๊กซอชิ้นน้อยชิ้นใหญ่ เพื่อรวมกัน ให้แผนการใหญ่ของพระองค์สำเร็จ แผนการนั้น ก็คือโลกนี้ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้กลับสู่สภาพดี โดยที่พระเยซูเป็นฝ่ายชนะ และเราทั้งหลายผู้ที่เชื่อในพระองค์ วางใจในพระองค์ เราได้เป็นประชากรของพระองค์แล้ว เราได้รับชีวิตนิรันดร์ในพระองค์ เอเมน
แล้วเหตุการณ์ตอนจบใครเป็นพระเอก ความหวังเราควรอยู่ที่พระเยซูเท่านั้น พระเยซูยิ่งใหญ่สูงสุดในชีวิตของเรา พระเยซูคริสต์คือความหวังสูงสุดในชีวิตของเรา คือพลังของเรา พระเยซูคริสต์เท่านั้น คือความดีงามของเรา คือความบริสุทธิ์ คือความรอดของเรา ไม่มีอะไรเป็นของเราเองแม้แต่นิดเดียว เป็นศูนย์เลย เราพึ่งพระเยซูผู้เดียว เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ
***********************