วารสาร Holy News ฉบับที่ 1319

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  4  กรกฎาคม  2021

 เรื่อง “เราต่างก็เป็นเครื่องมือของพระเจ้า”

โดย วราพร  คงล้วน

 

วันนี้เราก็มาคุยเรื่องใหม่ หัวข้อของเรื่องในวันนี้ คือ “เราต่างก็เป็นเครื่องมือของพระเจ้า” เราจะมาดูในหนังสือ 1 โครินธ์ 3:1-17 (ฉบับ TNCV)

ในหนังสือ 1 โครินธ์ เป็นจดหมายของอาจารย์เปาโลที่เขียนถึงคริสตจักรเมืองโครินธ์ พอดีมีการวุ่นวายเกิดขึ้น มีการแตกก๊ก แตกเหล่ากัน  อาจารย์เปาโลก็เลยเขียนจดหมายฉบับนี้ มาถึงผู้เชื่อในเมืองโครินธ์  1 โครินธ์ 3:1-3 บอกว่า …

1 โครินธ์ 3:1-3 “1 พี่น้องทั้งหลายข้าพเจ้าไม่อาจพูดกับท่านแบบผู้ที่อยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ต้องพูดกับท่านแบบผู้ที่อยู่ฝ่ายโลก คือเป็นเพียงทารกในพระคริสต์ 2 ข้าพเจ้าได้ป้อนนมให้ท่าน มิใช่อาหารแข็ง เพราะท่านยังไม่พร้อมจะรับ อันที่จริง จนเดี๋ยวนี้ท่านก็ยังไม่พร้อม 3 ท่านยังอยู่ฝ่ายโลก เพราะยังมีการอิจฉาริษยาและการทุ่มเถียงกันในหมู่พวกท่าน เช่นนี้แล้วท่านก็อยู่ฝ่ายโลกมิใช่หรือ? ท่านก็ประพฤติตัวเหมือนอย่างคนธรรมดา มิใช่หรือ?”

 

อาจารย์เปาโลเริ่มต้นจดหมาย ในบทที่ 3 ด้วยลักษณะเหมือนกับพูดให้คริสตจักรชาวโครินธ์ให้รับรู้ว่าที่ทะเลาะเบาะแว้งกัน หรือที่แตกก๊ก แตกเหล่ากัน มันไม่ใช่วิสัยของผู้ใหญ่ในวิญญาณนะ ยังเป็นเด็กอยู่เลย ถ้าเป็นเด็ก อาจารย์เปาโลก็ไม่สามารถที่จะป้อนอาหารแข็งได้ ก็ยังคงป้อนน้ำนมอยู่

เด็กๆ เราจะเห็นภาพทารก เราต้องใช้น้ำนมในการป้อนเขา ให้เขาเจริญเติบโต แล้วจะมีขบวนการว่าเด็กอายุประมาณกี่เดือน สามารถที่จะให้อาหารอย่างอื่นได้ ให้น้ำส้ม ให้กล้วย ให้โจ๊ก ให้ข้าว ให้กับข้าว หรืออะไรอื่นๆ  มันจะมีระยะเวลาของการเจริญเติบโต

แต่อาจารย์เปาโลบอกสมาชิกในคริสจักร เมืองโครินธ์น่าจะเชื่อมาประมาณหนึ่ง  แต่ทำไมยังเป็นเด็กอยู่ล่ะ  ทำไมยังอิจฉาริษยากัน ทำไมยังแตกก๊ก แตกเหล่ากัน ซึ่งมันไม่ใช่นิสัยของผู้ใหญ่เลย อาจารย์เปาโลก็ยังคงต้องใช้น้ำนมให้กับผู้เชื่อเหล่านี้ …

1 โครินธ์ 3:4-5 “4 ในเมื่อคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามเปาโล” และอีกคนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าติดตามอปอลโล” พวกท่านก็เป็นเพียงคนธรรมดามิใช่หรือ? 5 อปอลโลเป็นใคร? และเปาโลเป็นใครกัน? ก็เป็นเพียงผู้รับใช้ ที่นำท่านมาเชื่อตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคน”

 

อาจารย์เปาโลกำลังอธิบายให้ฟัง เมื่อมีการแตกก๊ก แตกเหล่า ในลักษณะ …

“ฉันเป็นฝ่ายของอาจารย์เปาโลนะ”

“ฉันเป็นฝ่ายของอาจารย์อปอลโลนะ”

หรือ “ฉันเป็นฝ่ายของอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ไม่รู้ อาจารย์ ก. ข. ค. ง. ที่มาสอนถ้อยคำของพระเจ้า อาจารย์คนนี้พูดเก่งกว่านะ มีตัวอย่างมายกให้ฟังเยอะแยะมากมาย ไม่น่าเบื่อเหมือนอาจารย์เปาโล พูดอยู่เรื่องเดียว เรื่องพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายบนไม้กางเขน ถูกฝัง แล้วก็เป็นขึ้นมาจากความตาย  พูดอยู่แค่นี้ วนไปวนมา ไม่น่าสนใจเลย  แต่อาจารย์อีกท่านหนึ่ง สุดยอดเลยนะ เขาสามารถที่จะเอาเรื่องโน้นเรื่องนี้ ตัวอย่างโน้นตัวอย่างนี้มายกให้เราฟัง เราฟังแล้วชอบมากเลย เหมือนจรรโลงใจ ฟังแล้วทำให้เกิดมีความสุขกว่า พูดแต่เรื่องพระเยซูคริสต์เกิด ตาย เป็น มันไม่น่าสนุกเลย”

แต่สิ่งที่เรารู้สึกไม่น่าสนุก นั่นคือข่าวดี  คือฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้าที่ผู้เชื่อทุกคนจำเป็นจะต้องรับรู้ และปลูกฝังลงไปในวิญญาณของพวกเราทุกคน เพราะไม่มีคำพูดสวยหรูอะไรที่จะสามารถทดแทนข่าวประเสริฐของพระเจ้าได้เลย  ไม่ว่าจะเป็นตัวอย่างคำพยาน หรือคนโน้นคนนี้มาพูดอะไรก็ตาม สิ่งต่างๆ เหล่านี้ แค่เราฟัง แล้วรู้สึกดี แต่ไม่มีฤทธิ์อำนาจ ไม่สามารถทำให้เราเกิดการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง แก้ไขชีวิตเราให้เป็นเหมือนพระเจ้ามากขึ้นได้

ฉะนั้น ไม่ว่าอะไรก็ตาม อาจารย์เปาโลก็ยังคงยืนยันที่จะประกาศข่าวประเสริฐ ที่จะบอกกับพี่น้องว่าเมื่อเราเชื่อพระเยซูคริสต์แล้ว เราได้รับอะไรจากพระเจ้าบ้าง? เราเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว เราถูกวางรากลงไปอย่างมั่นคงในพระเยซูคริสต์แล้ว  ไม่ว่าใครก็ตามที่จะมาสอนต่อ ถ้าสอนตามความจริง ตามถ้อยคำของพระเจ้า ผู้เชื่อเหล่านั้น ก็จะเจริญเติบโตตามระบบที่พระเจ้าตั้งไว้  แล้วเขาจะสามารถดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อศรัทธาในพระเจ้า  ไม่ใช่หันไปเหมา ใครว่าตรงนั้นดี เราก็แถไป ใครว่าตรงนี้ดี เราก็แถไป  แล้วไม่มีจุดยึดเหนี่ยวอย่างมั่นคงในการเดินติดตามพระเจ้า แล้วคนเหล่านั้นก็จะไม่โต

ทำไมเรารู้ว่าไม่โต?  เพราะว่าพอเขาได้รับข่าวประเสริฐที่ไม่ใช่ความจริง ในพระเยซูคริสต์ ข่าวประเสริฐที่มนุษย์พยายามปั้นแต่งขึ้นมา ที่พยายามให้ฟังดูดี ดูแล้ว มันดีนะ ฟังแล้ว เราได้รับการเล้าโลมใจ แต่หลายอย่างที่ได้ยินได้ฟัง มันไม่ใช่เรื่องจริงในถ้อยคำของพระเจ้า  แค่ได้รับการหนุนจิตชูใจ  แค่แป๊บเดียว แต่ว่าระยะยาวไม่สามารถช่วยให้คนๆ นั้นเจริญเติบโตได้ เมื่อเขาเจอกับปัญหาปุ๊บ เขาก็จะล้มลง  เขาก็ไม่สามารถติดตามพระเจ้าได้อย่างมั่นคง

ฉะนั้น เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่สำคัญ  ซึ่งอาจารย์เปาโลก็จำเป็นจะต้องบอกให้ชัดเจนว่าข่าวประเสริฐของพระเจ้า คือฤทธิ์เดช พี่น้องอย่าเอือมละอาที่จะฟังถ้อยคำซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งขนาดซ้ำไปซ้ำมา เรายังจำไม่ได้เลย  เราก็อยากจะได้ยินสิ่งใหม่ๆ  ซึ่งถ้าเราอ่านในจดหมายของอาจารย์เปาโล เราจะได้ยินคำนี้บ่อยมากว่า …

“ข้าพเจ้าจะไม่ประกาศเรื่องอื่น นอกจากเรื่องของพระเยซูคริสต์”

เรื่องเดียวเท่านั้นที่อาจารย์เปาโลจะประกาศ อาจารย์เปาโลเป็นคนที่รู้เรื่องของบทบัญญัติเยอะมาก จะเรียกว่ารู้แจ้งเห็นจริงก็ได้ รู้หมด และจำได้หมดด้วย  แต่พออาจารย์เปาโลได้กลับใจใหม่  มาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ปุ๊บ อาจารย์เปาโลบอกว่าความรู้ทั้งหมดที่อาจารย์เปาโลเคยมี มันเป็นหยากเยื่อ มันไม่มีประโยชน์เลย  มันเป็นแค่ความรู้ของบนโลกใบนี้ ซึ่งไม่สามารถที่จะช่วยมนุษย์ให้หลุดพ้น  ให้สามารถเป็นอิสระอย่างแท้จริงตามที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็นได้  ฉะนั้น อาจารย์เปาโลเลยไม่เลือกที่จะสอน …

“ประสบการณ์ชีวิตของเราเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้ ฉันได้ทำโน่นทำนี่เยอะแยะมากมาย”

อาจารย์เปาโลไม่สอน  แต่สอนเรื่องของพระเยซูคริสต์ การที่พระเยซูคริสต์ได้มาบนโลกใบนี้ เกิดในหญิงพรหมจารี ถึงเวลากำหนด พระองค์ได้ยอมสละชีวิตของพระองค์เอง ไปสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน  และได้ถูกฝังในอุโมงค์ ได้เป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม นั่นคือฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า

ดังนั้น สิ่งที่อาจารย์เปาโลพยายามที่จะบอกกับผู้เชื่อ ไม่เพียงแต่คริสตจักร เมืองโครินธ์เท่านั้น  แต่กับผู้เชื่อในทุกที่ทุกแห่งที่อาจารย์เปาโลไปประกาศ

อาจารย์เปาโลถูกเรียกมา เพื่อที่จะประกาศกับคนต่างชาติ คือลักษณะเหมือนพวกเรา ซึ่งไม่ใช่อิสราเอล โดยกำเนิด แต่เราเป็นอิสราเอลโดยความเชื่อ

สมัยก่อนคนอิสราเอล เขาก็จะดูถูกคนต่างชาติว่าไม่ใช่เป็นคนของพระเจ้า เป็นคนละเกรดกับเขา เขาจะมองด้วยหางตา พวกนี้ ไม่มีสกุลรุนชาติ ถ้าจะพูดอีกนัยหนึ่ง พวกนี้คบไม่ได้ อะไรอย่างนี้ แต่ว่าเราขอบคุณพระเจ้า  พระเยซูคริสต์ทรงรัก ไม่เฉพาะคนอิสราเอล  แต่พระเยซูคริสต์ทรงรักคนต่างชาติด้วย ก็คือรักมนุษย์ทั้งโลกแหละ ที่พระเยซูมาเกิด มาสิ้นพระชนม์และเป็นขึ้นมาจากความตาย ก็เพื่อมนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้  ที่เขาจะสามารถหลุดพ้นจากการเป็นทาสของบาป ทาสของมาร  เมื่อเขามาได้รับอิสรภาพจากพระเจ้า มาเป็นลูกของพระเจ้า

ฉะนั้น สิ่งที่อาจารย์เปาโลพยายามที่จะพร่ำสอนให้ผู้คนในอดีต ในสมัยของท่านได้รับรู้ความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า  เพื่อที่จะหยั่งรากลึก แล้วเพื่อที่จะถูกก่อขึ้นมาเป็นวิหารที่สวยงามของพระเจ้า เป็นตึกที่มั่นคงของพระองค์

ในข้อที่ 5 อาจารย์เปาโลอธิบายให้ฟัง …

1 โครินธ์ 3:5 “อปอลโลเป็นใคร? และเปาโลเป็นใครกัน? ก็เป็นเพียงผู้รับใช้ที่ นำท่านมาเชื่อตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบหมายหน้าที่ให้แต่ละคน”

 

ชัดเจนนะ ไม่ว่าจะเป็นเปาโล อปอลโล เคฟาส หรือเป็นใครก็ตาม อาจารย์ทั้งหลาย หลังจากอาจารย์เปาโลมา จนถึงยุคปัจจุบัน มีหน้าที่เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า  ที่จะทำตามที่พระเจ้ามอบหมาย พระเจ้ามอบหมายให้แต่ละคนทำหน้าที่แตกต่างกัน อาจารย์เปาโลถูกมอบหมายให้เป็นอัครทูต ก็คือไปประกาศข่าวประเสริฐ ให้คนมาเชื่อ วางใจในพระเจ้า  พอหลังจากนั้น อาจารย์เปาโลก็เดินทางไป ต่อ ก็จะมีผู้รับใช้อีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกใช้ โดยพระเจ้า มาเป็นผู้ดูแลผู้เชื่อเหล่านั้น ให้เขาได้เจริญเติบโต ถ้าเปรียบให้ชัดเจน ก็คือในข้อที่ 6 บอกว่า …

1 โครินธ์  3:6 “ข้าพเจ้าปลูกอปอลโลรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงให้เติบโต

 

อันนี้สำคัญชัดเจนเลยนะ “แต่พระเจ้าทรงให้เติบโต” อาจารย์เปาโลเป็นคนปลูก ก็คือไปประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า  หว่านเมล็ดแห่งความเชื่อลงไป  ในผู้คนที่ได้ยินได้ฟังเรื่องราวของพระองค์ และผู้คนเหล่านั้น เมื่อเปิดใจต้อนรับเมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อนี้ ก็จะถูกปลูกฝังลงไปในวิญญาณจิตของเขา  แล้วจากนั้น ก็จะมีขบวนการที่เราเรียนรู้กันมาตลอด ก็คือเมื่อคนตัดสินใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด ก็จะเข้าสู่ขบวนการการบังเกิดใหม่  โดยฤทธิ์เดชอำนาจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ นำเอาวิญญาณเก่าที่เป็นความบาป ไปไว้ในพระเยซูคริสต์ แล้วก็ถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ ถูกฝังพร้อมกับพระองค์ แล้วก็เป็นขึ้นมาใหม่ด้วยพระเกียรติสิริ เหมือนกับพระเยซูคริสต์เป๊ะเลย ฉะนั้น ณ เวลานี้ ผู้เชื่อในเมืองโครินธ์ก็เป็นแบบนั้นเลย คือวิญญาณใหม่ที่สะอาด บริสุทธิ์ เอี่ยมอ่อง เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิด

จากนั้น อาจารย์เปาโลเปรียบเทียบว่าอปอลโลรดน้ำ  การรดน้ำ เมื่อคนปลูกพืช ไม่ว่าชนิดอะไรก็ตาม มันก็จะมีขบวนการรดน้ำ พรวดดิน ใส่ปุ๋ย ก็ทำหน้าที่ส่วนของเขา  พอทำหน้าที่ส่วนของเขา คนที่รดน้ำ  ก็ไม่มีความสามารถ ที่จะไปบีบให้ต้นไม้ต้นนั้น ที่เราปลูก ให้มันเกิดผล เราแค่ทำหน้าที่ส่วนของเรา  คือรดน้ำ พรวดดิน ใส่ปุ๋ย ไปหาข้อมูล ใครว่าอะไรดีเราควรจะทำอย่างนี้ พืชชนิดนี้ ชอบดินชุ่ม รดน้ำให้เยอะหน่อย พืชชนิดนี้ ไม่ชอบดินชุ่ม ก็รดน้ำให้น้อยหน่อย  พืชชนิดนี้ 3 วันรดที อีกชนิดหนึ่งต้องรดเช้ารดเย็น  คือเราก็จะไปหาข้อมูลว่ามันจะเป็นอย่างไร?  แต่ว่าไม่ว่าข้อมูลจะเป็นอย่างไร? เราจะทำเป๊ะขนาดไหน? ผู้ที่ทำให้เกิดผล คือพระเจ้า  เราไม่สามารถที่จะทำให้มันเกิดผล เราแค่เฝ้ารอ  รอเวลาที่พืชที่เราปลูก มันค่อยๆ งอกขึ้นมา ค่อยๆ เจริญเติบโต ค่อยๆ แตกกิ่งก้านสาขา แล้วคนที่รดน้ำ ดูแล ประคบประหงม พอเห็นความเจริญเติบโตของต้นไม้ต้นนั้น ที่เราประคบประหงม เราก็ชื่นใจ มันเป็นเรื่องแปลก แต่เป็นเรื่องจริง

สมมติเราปลูกต้นมะม่วงต้นหนึ่ง เราคอยมากเลย ต้นมะม่วงน่าจะ 4-5 ปีถึงจะออกผลให้เราได้กิน แต่เราก็จะเฝ้าอดทน รอคอย ทะนุถนอม คอยที่จะริดใบที่เหลือง หรือคอยไปสอดส่องว่ามีแมลงไหม? เราก็จะไปดูแลอย่างดี  พอถึงเวลาที่มันออกผล  มันต้องมาเป็นดอกก่อนใช่ไหม? แล้วค่อยมาเป็นลูก แค่เราเห็นดอกอยู่บนต้นมะม่วง เราก็มีความสุขล่ะ พอมันออกมาเป็นลูกเล็กๆ  เราก็ยิ่งมีความสุข  พอมันโตขึ้นมา ให้เราเด็ดกิน ยิ่งมีความสุขใหญ่เลย แล้วพอกินเสร็จ มันหวานมากเลย ตอนนี้ยิ้มจนตาหยีไปเลย มันเป็นความสุขของผู้ที่ดูแลประคบประหงม

ฉะนั้น อาจารย์เปาโลใช้เรื่องนี้มาเปรียบเทียบกับผู้เชื่อ ที่ถูกหยั่งรากลงไปในพระเยซูคริสต์ ก็คืออาจารย์เปาโลประกาศแล้วไงว่าเรื่องของพระเยซูคริสต์ ก็คือถูกหยั่งรากลงไปแล้ว  ใครจะมาย้ายอีกไม่ได้  ใครจะมาวางรากฐานอื่น ก็ไม่ได้ ก็คือคนที่เกิดแล้วเกิดเลย นึกออกไหม? บังเกิดใหม่แล้ว  บังเกิดใหม่เลย ใครจะมาดึงเราออกจากพระหัตถ์ของพระเจ้าไม่ได้แล้ว  ก็คือคนนั้นได้เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พอจากนั้น ก็จะมีพี่เลี้ยงค่อยๆ มาสอนเรา ในเรื่องราวของพระเจ้า ให้เราเจริญเติบโต ในข้อที่ 7-8 …

1 โครินธ์ 3:7-8 “7 ฉะนั้น ไม่ใช่คนปลูกหรือคนรดน้ำ แต่พระเจ้าทรงให้เติบโตต่างหากที่สำคัญ 8 คนปลูกและคนรดน้ำมีเป้าหมายเดียวกัน และต่างก็ได้รับบำเหน็จตามการงานของตน”

 

คนปลูก คนรดน้ำ คนพรวดดิน คนดูแลประคบประหงม ต่างก็ได้รับบำเหน็จจากพระเจ้า  การงานที่เขาทำ  ในข้อที่ 8 ที่พูดถึง “บำเหน็จ” สมัยก่อน เราก็ถูกสอนว่าถ้าเราทำอะไรบนโลกใบนี้ เรารับใช้พระเจ้าเยอะๆ เราไปประกาศเยอะๆ เราไปเลี้ยงดูลูกแกะเยอะๆ  เราไปคอยเยี่ยมเยือน ประคบประหงมเช้า สาย บ่ายเย็น โทรศัพท์หาตลอดเวลา เราก็จะได้บำเหน็จตรงนี้ หลังความตาย เราถูกสอนมาแบบนี้

แต่ความเป็นจริง  ในถ้อยคำของพระเจ้า ตอนนี้พระเจ้าเปิดให้เราเห็นว่ามันไม่ใช่ บำเหน็จที่พูดถึงนี้ เราจะได้เก็บเกี่ยวบนโลกใบนี้ ดังนั้น หลังความตาย พวกเราทุกคนจะได้เท่ากัน พระเยซูคริสต์บอกอย่างนั้น  ก็คือพระเยซูคริสต์บอกว่าเมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ทันที เราได้บังเกิดใหม่  พอเราได้บังเกิดใหม่ปุ๊บ พระพรนานัปการในฝ่ายโลกวิญญาณ พระเจ้าได้ให้กับพวกเราเรียบร้อยแล้ว แปลว่าไม่มีใครสามารถไปเพิ่มเติม หรือไปเอาออกได้ มันครบเสร็จเรียบร้อยแล้วตรงนั้น ผู้เชื่อทุกคนที่ได้บังเกิดใหม่  จะได้เท่ากัน ตามที่พระเยซูคริสต์กระทำให้เขา ได้เป็นลูกของพระเจ้า ได้เป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ได้หลุดจากความมืด เข้ามาสู่ความสว่างของพระเจ้า ได้หลุดจากมือของมาร เข้ามาอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ได้เปลี่ยนสถานะจากเคยเป็นทาสของมาร เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้า  ได้รับสง่าราศี พระสิริของพระเจ้า ได้นั่งอยู่ในที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าบนสวรรค์สถาน  และได้อีกอันหนึ่งที่สำคัญที่สุด  พระเจ้าพระบิดา  พระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาอยู่ในเรา  เป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อเราบังเกิดใหม่  เราถูกชำระให้สะอาดหมดจดแล้ว พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในร่างกาย ร่างกายของเราสะอาดพอที่จะเป็นที่สถิตของพระเจ้าทั้ง 3 พระภาค คือเป็นวิหารของพระเจ้า

ร่างกายของเราเป็นวิหารของพระเจ้า ดังนั้น วิญญาณของเราถูกชำระสะอาดหมดจดเรียบร้อยไปแล้ว วิญญาณเรารอด โดยพระคุณของพระเจ้า  เมื่อเราบังเกิดใหม่ วิญญาณเราถูกแยกออกไปแล้วนะ ในชีวิตของมนุษย์ เราจะมีวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกาย พอเราต้อนรับพระเจ้า  เป็นพระผู้ช่วยให้รอดปุ๊บ  พระเจ้าก็จะชำระหมดเลยทั้ง 3 อย่าง  คือวิญญาณ ความคิดจิตใจ และร่างกายของเราให้สะอาด  แต่เนื่องจากร่างกายและความคิดจิตใจของเรา ยังคงอยู่บนโลกใบนี้  คือวิญญาณเราแยกไปแล้วนะ ไม่ต้องไปยุ่งกับเขา วิญญาณเราสะอาดบริสุทธิ์ เป็นลูกของพระเจ้า  ถึงวันที่ลมหายใจเราออกจากร่าง  เราไปอยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์ ซึ่งจริงๆ แล้ว ณ เวลานี้เราก็อยู่ของเราอยู่แล้ว แต่เนื่องจากร่างกาย และความคิดจิตใจของเรายังอยู่บนโลกที่มันเสียหายไปแล้ว  แล้วร่างกายที่เราเป็นอยู่ เป็นเรือนดิน แม้ว่าเราเชื่อพระเจ้าแล้ว  เราก็จะรอวันตาย คือมันถูกพิพากษา ไปเรียบร้อยแล้ว มันจะค่อยๆ แก่ลง

ใครอย่ามาบอกว่าเป็นคริสเตียนแล้วไม่แก่ อย่าโดนหลอก เป็นคริสเตียนแล้วไม่ตาย ก็อย่าโดนหลอกอีก ร่างกายเรายังต้องตายอยู่ เรายังต้องแก่ เรายังมีโอกาสที่อวัยวะทุกส่วนในร่างกายเราทำงานผิดปกติ แล้วเราเจ็บป่วย มันเป็นเรื่องปกติ ตามธรรมชาติของมนุษย์ทั่วไป  แต่สิ่งที่เราได้รับ คือวิญญาณเราได้รับความรอดแล้ว วิญญาณเราสะอาดหมดจดเรียบร้อยไปแล้ว เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ หลังความตาย เราไม่ต้องไปยืนอยู่ต่อหน้าการพิพากษาของพระเจ้า เพราะเราไม่มีความผิดใดๆ เหมือนกับที่พระเจ้าบอกในหนังสือโรม ไม่มีการลงโทษใดๆ สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์

ดังนั้น ตอนนี้ผู้เชื่อทุกคน อาศัยอยู่ในพระเยซูคริสต์ เรากับพระเยซูคริสต์เป็นหนึ่งเดียวกัน  ไปไหน ไปด้วยกัน  พี่น้องไปไหน พระเจ้าทั้ง 3 พระภาคไปกับเราด้วย เราอยู่ในความทุกข์ พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค ทุกข์กับเราด้วย  เรามีความสุข พระเจ้าทั้ง 3 พระภาค ก็มีความสุขกับเราด้วย  พระเจ้าก็จะนำพาเราเดินไปบนโลกใบนี้ที่มันเสียหายไปแล้วล่ะ รอวันหนึ่งข้างหน้าที่พระเจ้าจะให้โลกนี้ถูกทำลายไป แล้วพระเจ้าจะสร้างโลกใหม่ที่เป็นโลกที่สวยงาม ให้กับผู้เชื่อทุกคนได้ไปอยู่ นี่คือความหวังใจของผู้เชื่อทุกคน

ฉะนั้น อย่าให้ใครหลอกเราว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว เราอธิษฐานอะไร พระเจ้าก็จะทำให้เราหมดเลย จะไม่มีสิ่งชั่วร้ายใดๆ เกิดขึ้นกับคริสเตียน มันไม่จริงหรอก เราก็ยังคงเป็นเหมือนคนอื่น เวลาฝนตก คริสเตียนเดินออกไปข้างนอก ก็เปียกเหมือนกัน  เวลาแดดออก เราเดินออกไปข้างนอก  เราก็ร้อนเหมือนกัน ถ้าตอนนี้มีโควิด เราเดินออกไปข้างนอก โดยไม่ระวังตัว หน้ากากก็ไม่ใส่ มือก็ไม่ล้าง แล้วก็เดินฉลุย เดินช๊อปปิ้ง เข้าไปในคนกลุ่มใหญ่  เยอะแยะมากมาย เราก็ติดโควิด เหมือนกัน ไม่ใช่คริสเตียนติดโควิดไม่เป็น ติดเหมือนกัน  หรือแม้แต่บางคนระวังตัว อย่างดีเลย ยังอุตส่าห์ติดอีก  เราจะว่าอย่างไร?

พระเจ้าบอกเราว่าเราอย่าไปมองสิ่งเหล่านี้  เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นของที่อยู่บนโลกใบนี้  ซึ่งรอวันที่จะเสื่อมสูญไป แต่ให้เราหลับตามองทะลุไปที่ถ้อยคำของพระเจ้า  ที่พระองค์ได้ทรงกระทำสำเร็จแล้ว เป็นพันธสัญญาที่พระเจ้าให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว  ที่ไม้กางเขน วันที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากความตาย  ทุกสิ่งได้ถูกกระทำสำเร็จแล้ว แล้วเราผู้เชื่อ ก็ได้รับทุกสิ่งอย่างนี้เรียบร้อยไปแล้ว  ไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปขวนขวายหา ไม่ต้อง เราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว นี่คือพระคุณซ้อนพระคุณ ที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย  เราแค่มาเชื่อ แล้วเราก็จะได้รับตามนั้น

พอบอกไม่ต้องทำอะไรปุ๊บ มนุษย์ก็เริ่ม ไม่ต้องทำอะไรเลยเหรอ มันง่ายไปไหม? พอง่ายไป ก็จะพยายาม ตอนมาเชื่อพระเจ้าใหม่ๆ พระเจ้าบอกว่าเรารอดแล้ว เราไม่ต้องทำอะไร พระเจ้า พระเยซูคริสต์ทำให้เราหมดแล้ว  เราแค่เชื่อเท่านั้น พออยู่ไปนานวัน ก็มีผู้คน พี่เลี้ยงที่แสนดีมาสอนเราว่าไม่พอๆ แต่เรายังต้องทำนั่นทำนี่ ทำเยอะแยะมากมาย เพื่อให้พระเจ้าพอใจ  ถามจริง พระเจ้าพอใจเราตั้งแต่วันที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว ถ้าพระเจ้าไม่พอใจ พระเจ้าก็ไม่ให้เราบังเกิดใหม่ พระเจ้าไม่พอใจ พระเจ้าก็ไม่มาสถิตอยู่ในร่างกายของเรา  ร่างกายของเรา ก็ไม่สามารถเป็นวิหารของพระเจ้าได้ ถ้าพระเจ้าไม่พอใจ  แปลว่าทุกอย่าง คือพระเจ้าพอใจในสิ่งที่พระองค์กระทำให้เราเรียบร้อยไปแล้ว และเราเชื่อตามนั้น  คือสิ่งที่พระเจ้าพอใจที่สุด ฉะนั้น อย่าให้ใครบอกเราว่าเรา “ต้อง” ทำโน่นทำนี่ ทำนั่น เพื่อให้พระเจ้าพอใจ  หรือเราต้องทำนั่น ทำนี่ ช่วยพระเจ้าหน่อยหนึ่ง เราได้รับความรอดโดยพระคุณแล้ว แต่เรายังต้อง

ในหนังสือโครินธ์ตรงนี้  ในยุคของผู้เชื่อในโครินธ์  ก็คือยังอยู่ในยุคสมัยหลังจากที่พระเยซูคริสต์ได้สิ้นพระชนม์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย ในยุคสมัยสาวกแรกๆ ก็จะมีพวกฟาริสี พวกธรรมาจารย์ พวกคนยิวที่เขาถือกฎบัญญัติเยอะแยะมากมาย ที่โมเสสให้มา พระเจ้าให้ผ่านโมเสสนั่นแหละ  เขายังถือกฎเหล่านี้ แล้วยังมีคนต่างชาติมาเชื่อพระเจ้า เขาก็บอก …

“มาเชื่อพระเยซูอย่างเดียวไม่พอ เธอเป็นคนต่างชาตินะ ถ้าเธอจะมาเป็นคนของพระเจ้า เธอต้องมาเข้าสุหนัตเหมือนพวกฉัน เธอจึงจะมาเป็นคนของพระเจ้าได้ครบถ้วน สมบูรณ์แบบ” อะไรประมาณนั้น

หรือ “เธอต้องมารักษากฎบัญญัติวันสะบาโต หรือต้องอะไรเยอะแยะมากมาย ที่มนุษย์พยายามคิดขึ้นมา  เมื่อมาสร้างขึ้นบนรากฐานของผู้เชื่อใหม่  แล้วพี่น้องลองคิดดู ผู้เชื่อใหม่เขาไม่รู้เรื่อง ใครว่าอะไร เขาก็เชื่อตามนั้น  แต่ว่าสิ่งที่ผู้เชื่อใหม่มี ก็คือวิญญาณเขารอดแล้ว อย่างไรเขาก็ได้ไปสวรรค์แหละ  แต่ว่าเมื่อถูกสอน หรือถูกก่อขึ้นมาแบบไม่ได้เป็นถ้อยคำจริงๆ  ข่าวประเสริฐของพระเจ้าจริงๆ  มันก็จะเฉไปเฉมา  เหมือนกับก่อไปก่อมา ก็ล้มลุกคลุกคลาน มันไม่ใช่นะ

เมื่อก่อนเราก็เคยถูกหลอกนะ เช่น เมื่อเรามาเชื่อพระเจ้าแล้ว ถ้าเราเจ็บป่วย เราไม่ต้องไปหาหมอ

“ในนามพระเยซู ใช้ความเชื่อ วางมือเลย อธิษฐาน แล้วเราจะหาย”

บางคนหาย  ดิฉันก็เคยวางมือแล้วก็หาย แต่ก็หลายๆ ครั้งที่ดิฉันวางมือ แล้วดิฉันก็ไม่หาย ดิฉันก็ต้องไปหาหมออยู่ดี นึกภาพออกไหมค่ะ ดังนั้น อันนี้ไม่ได้เป็นพันธสัญญาที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน  ก็คือเราเอามายึดเป็นหลักในการประกาศข่าวประเสริฐไม่ได้  ก็คือจะไปสอนผู้เชื่อใหม่ว่า …

“เธอต้องวางมืออธิษฐาน  เพราะว่าพระเจ้าให้สิทธิอำนาจเราแล้ว ถ้ามีความเชื่อที่ไหน? หมายสำคัญจะเกิดขึ้นที่นั่น จะวางมือบนคนเจ็บคนป่วย คนเหล่านั้นจะหายโรค”

อะไรอย่างนี้ แล้วพอคนวางมือแล้ว  ไม่หาย ตอนนี้เป็นเรื่องแล้วล่ะ  เป็นเรื่องตรงที่ว่าความเชื่อเราไม่พอใช่ไหม?  พี่เลี้ยงก็บอกความเชื่อไม่พอ ไปอดอาหารอธิษฐาน  เราก็ทำ ทำทุกอย่างเลย มันก็ยังไม่ดีขึ้นเลย เราก็ยังป่วยอยู่  แล้วทำอย่างไร? หาหมอ ก็ไม่กล้าไปหา  เพราะเดี๋ยวเขาว่าความเชื่อเราไม่พอ  ไปๆ มาๆ ก็ตาย เพราะความเชื่อเราไม่พอ มันไม่ใช่เรื่องจริง

ตั้งแต่เชื่อพระเจ้ามา 30 กว่าปี  ไม่รู้ทำร้ายใครไปกี่คนแล้ว  พอเรารู้ความจริง แบบมันไม่จริง แล้วเราก็สอนไปเรื่อยๆ คนก็เชื่อ เพราะเราเป็นผู้รับใช้ พอเชื่อเราปุ๊บ มันก็เฉ ออกมาสะเปะสะปะ คนก็เริ่มสงสัยพระเจ้า

“ไหน เขาบอกว่ามาเชื่อพระเจ้า เราจะร่ำรวย”

มีคริสเตียนกี่คนที่ร่ำรวยตามที่ถูกสอนมาล่ะ มีคริสเตียนกี่คนที่สุขภาพแข็งแรงตลอดชีวิต โดยไม่เจ็บป่วยเลย ตามที่ถูกสอนมาล่ะ  มันไม่มีกี่คนหรอก เปอร์เซ็นต์มันน้อยมาก อาจจะมีนะ เพราะเรื่องนี้ เป็นพระพรพิเศษที่พระเจ้า จะให้ใคร พระองค์ก็จะทำ ถ้าเราอ่านหนังสือกิตติคุณ ตอนที่พระเยซูอยู่บนโลกใบนี้ พระเยซูก็รักษาโรค คนเจ็บคนป่วย แต่ก็จะมีกลุ่มหนึ่ง ที่พระเยซูไม่รักษา  จะมีกลุ่มหนึ่งที่หายโรค  มีอีกเยอะแยะมากมายที่ไม่หายโรค  มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อว่าเราเชื่อมั่นคงในพระเจ้า  ความเชื่อเราพุ่งไปถึงฟ้าสวรรค์ แล้วจะทำให้เราได้ทุกอย่างตามใจของเรา อันนั้นไม่ใช่  พอมันไม่ใช่ปุ๊บ  มันเป็นเรื่องแล้วล่ะ เพราะว่าเราไม่โตเต็มที่  เราก็เชื่อแบบผิดๆ  แล้วเราก็นั่งฟ้องผิดตัวเองว่าความเชื่อเราไม่พอ เราไปทำอย่างนั้นไม่ดี วันนี้เราไปทำบาป แล้วตกลงเราจะรอดหรือไม่รอด  ถ้าเป็นอย่างนั้นปุ๊บ ความเชื่อเรา สั่นคลอน

พอความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ถูกบิดเบือนปุ๊บ  ไม่สามารถที่จะเชื่อ อย่าง 100% ว่าพระเยซูบอกเราแล้ว พระเยซูทำสำเร็จแล้ว บนไม้กางเขน ความรอด  ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการประพฤติของมนุษย์คนหนึ่งคนใด  แต่ขึ้นอยู่กับความเชื่อ  เมื่อเราเชื่อ เรารอดแล้ว ความประพฤติเป็นอีกเรื่องหนึ่ง  ไม่เกี่ยวกัน ฉะนั้น พอเป็นอย่างนี้ปุ๊บ เรามาดูต่อนะ ในข้อที่ 9-15 …

1 โครินธ์ 3:9-15 “9 ด้วยว่าเราเป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้าเป็นตึกของพระเจ้า 10 โดยพระคุณซึ่งพระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางฐานรากอย่างช่างผู้ชำนาญ และคนอื่นมาก่อขึ้นบนรากนั้น ทว่าแต่ละคนควรระวังว่าตนก่อขึ้นอย่างไร    11 เพราะใครจะมาวางรากฐานอื่นอีกไม่ได้ นอกจากที่ได้วางไว้แล้ว คือพระเยซูคริสต์ 12 ถ้าใครจะใช้ทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟาง ก่อขึ้นบนรากฐานนั้น 13 ผลงานของเขาจะถูกแสดงให้เห็นว่าเป็นอย่างไร เพราะวันนั้น สิ่งนี้จะถูกทำให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ผลงานของเขาจะถูกเปิดเผยด้วยไฟ ไฟจะทดสอบคุณภาพผลงานของแต่ละคน 14 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นคงอยู่ เขาก็จะได้รับบำเหน็จของตน 15 ถ้าสิ่งที่เขาก่อขึ้นถูกเผาวอด เขาก็จะสูญสิ้น ตัวเขาเองจะรอด แต่ก็เหมือนคนที่รอดจากไฟเท่านั้น”

 

อาจารย์เปาโลมาเปรียบเทียบให้ฟังอีกครั้งหนึ่ง ว่าเมื่ออาจารย์เปาโลหยั่งรากลงไปเรียบร้อยแล้ว ในพระเยซูคริสต์ คนนั้นเชื่อแล้ว ตอนนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่ามาก่อนขึ้นด้วยอะไร อาจารย์เปาโลใช้เปรียบเทียบอยู่ 6 สิ่ง ก็คือทองคำ เงิน เพชรพลอย 3 สิ่งนี้ เมื่อโดนไฟ  จะไม่ถูกเผาไหม้ แต่อีก 3 สิ่ง คือไม้ หญ้าแห้ง และฟาง ถ้าผลงานที่เขาทำ ถูกพิสูจน์ด้วยไฟปุ๊บ  มันเผาวอดหมดเลย  พอเผาวอดหมดเลย แปลว่ามันไม่มีอะไรให้เราชื่นใจเลย

ดังนั้น คำว่า “บำเหน็จ” ตรงนี้  มันจะเป็นเรื่องของปัจจุบัน เหมือนเราเลี้ยงลูกแกะคนหนึ่ง หรือเลี้ยงผู้เชื่อคนหนึ่ง  เลี้ยงสมาชิกคนหนึ่ง แล้วเราค่อยๆ อดทนในการสอนเขา ค่อยๆ ก่อขึ้นมา บนรากฐานที่เขาเชื่อแล้ว  ในถ้อยคำแห่งความจริงของพระเจ้า  เราจะบอกเขาเลยว่าเขารอดแล้ว พระเยซูทำให้เสร็จ เขามั่นใจได้เลยว่าหลังความตาย เขาได้ไปอยู่กับพระเยซูคริสต์แน่นอน หรือแม้แต่ ณ เวลานี้ ถ้อยคำของพระเจ้าบอกว่าในโลกวิญญาณ เขาได้นั่งอยู่ที่สวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์แล้ว  ฉะนั้น ไม่ว่าอะไรเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ไม่ว่าความทุกข์ยากลำบาก  หรืออะไรที่มันไม่ได้ดั่งใจเรา  ไม่ต้องไปสนใจ เราอย่าไปมองแค่ปัญหาตรงนั้น อาจารย์เปาโลบอกว่าความทุกข์ยากเล็กๆ น้อยๆ ที่เราเผชิญอยู่บนโลกใบนี้ มันสั้นมาก มันแค่ไม่กี่สิบปีเอง  เผชิญไปเถอะ ต่อให้เราต้องเผชิญทุกวี่ทุกวัน  ก็ให้เราอดทน เพราะถ้าเราอดทน เราจะได้สำแดงพระลักษณะของพระเจ้าออกมา

เพราะฉะนั้น พอเราก่อขึ้นมาในความจริง ในถ้อยคำของพระเจ้า  ผู้เชื่อคนนั้น ก็จะเข้าใจ หยั่งรากลึกลงไป รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นใคร เขาเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เขาได้รับสิ่งสารพัดในโลกวิญญาณจากพระเจ้าเรียบร้อยไปแล้ว  เขามองทะลุไปที่ข้างหน้าว่าเขาจะรอวันเวลาที่เขาจะทิ้งร่างกายนี้  ซึ่งอย่างไรมันก็ต้องเปื่อยเน่าไป  เพื่อเขาจะได้ไปรับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ แล้วเขาจะได้รับสิ่งสารพัด ทำให้เขาเกิดความชื่นชมยินดี  ทำให้เขามีกำลังใจที่จะเดินผ่านความทุกข์ยากลำบากบนโลกใบนี้ไปได้  แล้วเขามั่นใจเลย ถ้อยคำของพระเจ้าบอก พระเยซูคริสต์ไม่ทิ้งเขาไปไหน? ไม่ว่าเขาจะเจอปัญหาอะไร พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ อยู่ในเขา จูงมือเขาเดิน ผ่านไปด้วยกัน เพราะถ้อยคำเหล่านี้ ทำให้เกิดการหนุนกำลังใจในผู้เชื่อคนนั้น  แล้วเขาก็จะค่อยๆ เจริญเติบโตในความเชื่อที่ถูกต้อง ความทุกข์ยากลำบากไม่สามารถสั่นคลอนความเชื่อของเขาได้เลย   เขาก็จะเจริญเติบโตไป

แต่ส่วนอีกคนหนึ่งที่ถ้าไปก่อสร้างในข่าวประเสริฐที่ไม่ถูกต้อง เหมือนกับไปเชียร์เขา …

“มาเชื่อพระเจ้าแล้วนะ  พระเจ้าสัญญาว่าเธอจะร่ำรวย เธอจะแข็งแรง ครอบครัวเธอจะไม่มีปัญหา เชื่อนะๆ”

แล้วคนนั้นฟังแล้ว เขาก็จะเชื่อตามนั้น พอเชื่อเสร็จ ปรากฏว่าผลที่ออกมา มันไม่ได้เป็นจริงอย่างที่พี่เลี้ยงเราสอนไว้ มันไม่จริง เพราะว่าเรายังเจอปัญหาอยู่เลย ครอบครัวเรายังทะเลาะกันอยู่เลย  เรายังมีสุขภาพที่อ่อนแออยู่เลย  เรายังเจ็บโน่นเจ็บนี่อยู่เลย  แล้วยังไงล่ะ เสร็จ คนนั้นก็เริ่มเขวแล้ว

“ตกลงพระเจ้ามีจริงไหม? สิ่งที่พระเจ้าสัญญากับเรา พระเจ้าโกหกเราไหม?”

ซึ่งความเป็นจริง พระเจ้าไม่เคยสัญญากับเราในเรื่องนี้เลย  ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญาที่พระเจ้าเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว แต่พระเจ้าทำได้ไหม?  พระเจ้าทำได้ มันเป็นเรื่องสิทธิอำนาจของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์จะทรงกระทำให้ใคร พระองค์ก็จะกระทำ  มันไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จว่า …

“คนนั้นร่ำรวย ฉันต้องร่ำรวยกับเขาด้วย คนนั้นสุขภาพแข็งแรง ฉันต้องสุขภาพแข็งแรงเหมือนเขาด้วย หรือคนนั้นครอบครัวดีจังเลย ฉันต้องเป็นเหมือนเขาด้วย”

มันไม่เกี่ยวกัน  ตรงนี้พระเจ้าไม่ได้สัญญา  แต่เราถูกสอนผิด เราก็โตแบบทุลักทุเล พี่น้องนึกภาพออกไหม? เซไปเซมา ความเชื่อ  ก็ไม่ได้ตั้งมั่นคงอยู่ในข่าวประเสริฐของพระเจ้า เลี้ยงเท่าไรก็ไม่โต เลี้ยงตั้งแต่ 50 ปีที่แล้ว ยังไม่โตเลย ถ้าเป็นอย่างนั้น  ลองคิดดูว่าคนที่เลี้ยงเขาจะชื่นใจไหมล่ะ  ก็ไม่ชื่นใจ บำเหน็จตรงนี้แหละ ความชื่นชมยินดีที่เราได้เห็นผู้เชื่อคนหนึ่ง  ที่ถูกสอนให้อยู่ในความจริง ในถ้อยคำของพระเจ้า แล้วเขาเจริญเติบโต เขาอดทนกับความทุกข์ยากลำบาก  เขาเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เขาไม่ทิ้งพระองค์เลย เขาบากบั่น เขากัดฟัน แล้วเขาเชื่อมั่นว่าในความทุกข์ยากลำบากนั้น พระเจ้าอยู่ด้วยกับเขา แล้วพระเจ้าพาเขาผ่าน แล้วเขาก็ผ่านได้ทุกครั้ง ด้วยพระคุณของพระเจ้า  พอเราเห็นแล้วเราชื่นใจ

ขอบคุณพระเจ้านะ คนนี้เราเห็นเขาตั้งแต่ลูกเขาตัวนิดเดียวเอง จนตอนนี้ลูกเขาโตเป็นหนุ่มแล้ว เขาทุกข์ยากลำบาก เขาไม่ได้อยู่สบาย แต่เขาก็ยังเชื่อ เขาวางใจในพระเจ้าว่าสิ่งที่พระเจ้าสัญญากับเขาเป็นจริง ความรอดในพระเยซูคริสต์เป็นจริง แค่เรื่องการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มันนิดเดียว  เขาก็อดทน รอคอยพระเจ้า แล้วพระเจ้าก็พาเขาผ่าน

กับอีกคนหนึ่ง  ไม่ยอมโต แล้วคิดดูว่าคนที่ดูแลเขาจะกลุ้มใจขนาดไหน?  เชื่อพระเจ้ามา 20 ปีผ่านไป ยังปัญหาเดิมๆ ที่จะต้องมาบอกเราให้ช่วย ให้อธิษฐาน ซึ่งไม่ชื่นใจ การงานที่เราทำลงไปทั้งหมด ก่อขึ้นมา ก็เหมือนกับไม้ เหมือนฟาง เหมือนหญ้าแห้งที่ถูกเผาไฟไป  พอเผาไป มองแล้ว ในพระคัมภีร์ตรงนี้ บอกการงานจะประจักษ์ คือให้เราเห็นว่าคนนี้โต แต่คนนี้ไม่ยอมโตสักที กลุ้มใจ เราต้องคอยแบกเขาตลอดเวลา

ซึ่งตรงนี้แหละ ส่วนใหญ่ คนจะเข้าใจผิด  อย่างที่ตะกี้ได้คุยให้ฟังว่าบำเหน็จที่อาจารย์เปาโลพูดถึงตรงนี้   ก็คือบำเหน็จบนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่ถูกก่อขึ้นมาบนรากฐานที่ถูกหว่านเรียบร้อยไปแล้ว ถ้าไม่ได้พุ่งไปที่การพึ่งพระเยซู แต่พุ่งไปที่การพึ่งผลของการกระทำของตัวเองเมื่อไร? อันนั้นแหละ การงานจะไม่เกิดผล  วันหนึ่งข้างหน้า ก็จะถูกเผาด้วยไฟ คนจะมองเห็น ก็คือทำเหนื่อยแทบตาย เหนื่อยจนไม่รู้จะพูดอย่างไร ไม่โต ทำให้คนที่ดูแลไม่ชื่นใจ  เพราะคนที่ดูแล ก่อขึ้นมา ในหนทางที่ผิด คำว่า “รอดจากไฟ” แปลว่าการงานที่ลงแรงทำลงไปนั้น ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เลย ถูกเผาหมด แต่เขาก็ยังรอดอยู่ เพราะเชื่อพระเจ้าแล้ว ในข้อที่ 16 …

1 โครินธ์ 3:16 “ท่านไม่รู้หรือว่าท่านเองเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิตภายในท่าน?”

 

อาจารย์เปาโลถาม “ท่านไม่รู้หรือ?” แปลว่าท่านควรจะรู้นะ เมื่อเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว  พระเจ้าบอกเราชัดเจนว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า  เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านควรจะรู้ ถ้าเราเป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราก็จะสามารถสำแดงความเป็นบุคลิกลักษณะของพระเจ้าออกมาให้ผู้อื่นได้เห็น  ข้อที่ 17 บอกว่า …

1 โครินธ์ 3:17 “ผู้ใดทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงทำลายผู้นั้น เพราะวิหารของพระเจ้าบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ และท่านคือวิหารนั้น”

 

คำตรงนี้ หมายถึงพระเยซูกำลังบอกผู้เชื่อว่าเมื่อเราเชื่อวางใจในพระเจ้าแล้ว เราเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว พระเจ้าจะรับผิดชอบชีวิตของเราเอง พี่น้องมองภาพให้เห็น เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าเป็นพ่อของเรา  พระเจ้าจะรับผิดชอบชีวิตของเราเอง  ฉะนั้น ไม่ว่าใครข่มเหงเรา หรือไม่ว่าใครทำอะไรกับเราก็ตาม เราไม่ต้องไปต่อล้อ ต่อเถียง ไม่ต้องไปฮึดสู้ เพื่อพระเจ้า ไม่ต้อง ให้วางใจในพระเจ้า พระเจ้าจะจัดการเอง

เหมือนภาพอาจารย์เปาโล ตอนที่ยังไม่ได้เปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด อาจารย์เปาโลก็ข่มเหงคริสตจักร  คือไปขอทหาร ไปไล่ล่าพวกที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ เพื่อจับมาทรมาน จับมาฆ่าบ้าง แต่ระหว่างทางที่อาจารย์เปาโลเดินทางไปเมืองดามัสกัส  พระเยซูมาหาอาจารย์เปาโล  แล้วทำให้อาจารย์เปาโลตกม้า แล้วก็ตาบอด  แล้วพระเยซูก็พูดกับอาจารย์เปาโล

อาจารย์เปาโลได้ยินเสียงเลยนะ พระเยซูถามว่าเซาโล ตอนนั้นยังไม่ได้ชื่อเปาโล …

“เซาโลๆ เจ้าข่มเหงเราทำไม”

อาจารย์เปาโล “ข่มเหงพระเยซูตรงไหน เปล่าเลยนะ เราไม่ได้ข่มเหงพระเยซู”

แต่พระเยซูบอกว่า “เจ้าข่มเหงผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้า  ก็เท่ากับเจ้าข่มเหงเรา”

พี่น้องเห็นภาพไหม?  ใครก็ตามข่มเหงผู้เชื่อ ก็เท่ากับข่มเหงพระเยซูคริสต์ ฉะนั้น พระเยซูก็บอกกับอาจารย์เปาโลว่า “เจ้าถีบปฏัก ก็เจ็บตัวเอง” มันจะเด้งกลับมาโดนตัวเอง

พระเยซูกำลังจะบอกเราว่าไม่ต้องกังวลเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น ให้เราเชื่อวางใจในพระเจ้า  พระเจ้าจะดูแลชีวิตของเราเอง  แล้วพระเจ้าจะนำพาย่างเท้าของเรา ไม่ว่าบนโลกใบนี้เราจะเจออะไรก็ตาม เจอปัญหาอุปสรรค เจอคนข่มเหง เจอคนดูถูกเยาะเย้ย ดูหมิ่น เหยียดหยามอะไรก็ตาม ให้เรานิ่งและวางใจในพระเจ้า พระองค์จะจัดการให้กับพวกเราทุกคนเอง

วันนี้จบแล้ว จะแถมให้ ตรงที่ทำไมอาจารย์เปาโลจะคอยสอนเราว่าให้เราจดจ่อความคิดของเรา ไปที่ถ้อยคำของพระเจ้า ความคิดของเราเป็นที่เก็บข้อมูล  เนื่องจากว่าร่างกายและความคิดจิตใจของเรายังอยู่บนโลกใบนี้ ที่เสียหายไปแล้ว  ฉะนั้น ความคิดเรายังมีข้อมูลเก่า ที่อาจารย์นครชอบพูดว่าโปรแกรมเก่าอยู่ในความคิดของเรา ฉะนั้น อาจารย์เปาโลก็บอกเราว่าให้เราจดจ่อที่ถ้อยคำของพระเจ้า  เปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจของเราเสียใหม่ ก็คือเอาโปรแกรมใหม่ ที่เป็นเรื่องราวของพระเจ้า พระสัญญาของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเชื่อแล้ว เราเป็นใคร พระเจ้าได้ให้อะไรกับเรา  พยายามจดจ่อ แล้วก็มาใส่ข้อมูลที่ความคิดของเรา เมื่อข้อมูลของเรามีมากเท่าไร? ความคิดจะสั่งการให้กับร่างกายของเรา ให้ทำตามความคิดนั้น เมื่อความคิดไม่สั่งการ ร่างกายจะไม่ทำตาม  ดังนั้น ความคิดจะสั่งการ ให้เราทำตามถ้อยคำของพระเจ้า หรือทำตามระบบของโลกนี้  การหลอกล่อ หลอกลวงทุกรูปแบบ ที่พยายามชักจูง ดึงเรา  ให้ไปทำตามมัน  ซึ่งเราสามารถต่อสู้ ขัดขืนได้ เมื่อก่อนเราเป็นทาสมัน แต่ตอนนี้เราไม่ใช่แล้ว เราเป็นอิสระแล้ว เราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว วิญญาณเราสะอาด เป็นวิญญาณใหม่ เราไม่ได้เป็นทาสมันอีกต่อไป  แต่มันก็ยังคอยหลอกเราว่า …

“เธอยังเป็นทาสฉันอยู่  เธอต้องทำตามฉัน”

ซึ่งถ้าเรารู้ความจริงตรงนี้ว่า “ฉันไม่ได้เป็นทาสเธอแล้ว เธอมาหลอกฉันไม่ได้หรอก ฉันไม่เชื่อเธอ ไม่ทำตาม”

พอเราไม่ทำตาม มันทำอะไรเราไม่ได้เลย … “ฉันไม่เชื่อแก” … ต้องบอกอย่างนี้เลย

ฉะนั้น  พอระบบความคิดของเราเข้ามาอยู่ในระบบที่พระเจ้าบอกเราปุ๊บ พระเจ้าบอกเราว่าเมื่อเราเชื่อพระเจ้า บุคลิกลักษณะของพระเจ้าจะอยู่ในชีวิตของเรา คือเราเป็นเลย เป็นลูกของพระเจ้า เป็นความบริสุทธิ์ เป็นความสว่าง เป็นความรัก เป็นความชื่นชมยินดี เป็นความอดทนนาน  เป็นการรู้จักบังคับตัวเอง เราเป็นหมด คือพระเจ้าที่อยู่ในเราเป็น  พอเป็นปุ๊บ เราเป็นอย่างนั้น พอระบบความคิดของเราถูกใส่เข้าไปในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ปุ๊บ  พอเรารู้ว่าเราเป็นความสว่าง

ความคิดตรงนี้ก็จะสั่งการ ทำให้ร่างกายเราสำแดงความสว่างออกมา มันออกมาเอง โดยอัตโนมัติ ยิ่งความรู้เรื่องพระเจ้ามากเท่าไร? ความคิดเรายิ่งสะสมความรู้ของพระเจ้าได้มากเท่าไร? มันก็ยิ่งทำให้ส่งผลออกมาเป็นการกระทำ ให้คนอื่น ผู้คนรอบข้างได้เห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรามากเท่านั้น อย่างที่บอก พอเราคิดตามพระเจ้า คิดเยอะๆ เราก็จะเริ่มเห็นด้วยกับพระเจ้า แล้วก็ทำตามพระเจ้า แต่ถ้าเราคิดแบบเอาความคิดเก่าๆ เข้ามา เอาความเคยชินเก่าๆ ที่เราเคยทำ ก่อนที่เรามาเชื่อพระเจ้า  ความโสโครก สกปรก โสมม อิจฉา ริษยา  มันฝังในความคิดเราปุ๊บ พอเราคิดเยอะๆ มันก็จะทำให้เราเชื่อตามนั้น แล้วก็สั่งการให้ร่างกายเราทำตามมันด้วย มันก็จะออกมาเป็นลักษณะที่หลายครั้ง เราก็ล้มลง ไปทำตามตรงนั้น แต่ไม่ว่าเราจะล้มลง หรือเราจะเผลอทำตามธรรมชาติเก่าของเรา  ยังคงยืนยันอันเดิม พี่น้องต้องบอกตัวเองเลย พระเจ้าบอกว่าวิญญาณเราสะอาดแล้ว  เราเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว เราได้ย้ายจากต้นไม้บาปของอาดัม  มาอยู่ในต้นไม้ของพระเยซูคริสต์เรียบร้อยไปแล้ว ต่อให้เราทำผิดพลาดขนาดไหน? ให้รับรู้ว่าตัวตนจริงๆ ของเราไม่ได้เป็นคนทำบาปเลย วิญญาณเรารอด และเราเป็นต้นไม้ดี เราอยู่ในต้นไม้ดีของพระเจ้า  พระเจ้าอวยพรค่ะ

 

********************

 

จากใจคณะศิษยาภิบาล

 

“เมื่อท่านเป็นทาสของบาป   ท่านก็ไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของความชอบธรรม   (ความดี)” โรม 6:20

 

เราตั้งใจทำความดี  ไม่ใช่เพื่อจะได้รับความรอดจากบาปจากเวรกรรม แต่เป็นธรรมชาติของวิญญาณภายในที่ดีเหมือนพระเจ้า  เพราะเราได้รับความรอดจากบาป และได้บังเกิดใหม่เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว …

– โดยพระคุณ พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ นำเรา สอนเราให้ทำดี เหมือนพ่อ

– พระคุณสอนให้ใจเราเคารพยำเกรงพ่อ และไม่กลัวที่จะเข้าหาพ่ออีกต่อไป

– พระคุณของพระเจ้าทำให้เราฝึกวินัยตนเอง  รู้จักบังคับตนเอง  อยากทำดีเหมือนพ่อ  ทำให้พ่อชื่นใจ

 

พระเจ้าอวยพรครับ