คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน 2021
เรื่อง “พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว ฉันเป็นขึ้นด้วย ฉลองการเป็นขึ้นจากความตาย”
โดย นคร เวชสุภาพร
วันนี้เป็นวันอีสเตอร์ ก็เป็นการระลึกถึงการเป็นขึ้นจากตายของพระเยซูคริสต์ วันนี้ก็เลยมีหัวข้อเรื่องว่า “พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว ฉันก็เป็นขึ้นด้วย ฉลองการเป็นขึ้นจากความตาย” ฉลองการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู เรารู้อยู่แล้ว ทั่วโลกก็รู้ แต่ฉลองการเป็นขึ้นจากความตายของตัวฉันด้วย ที่เชื่อในเรื่องนี้
เพราะฉะนั้นเพลงที่ตะกี้ร้อง ควรจะเป็นเนื้อที่ผมแก้มาให้ เราต้องจำได้ ต่อไปนี้ ร้องเพลงนี้ 2 เนื้อให้มันครบถ้วนบริบูรณ์ …
“เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว
เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว ฉันก็เป็น ขึ้นพร้อมพระองค์”
ตะกี้เห็นคนที่ร้อง แล้วก็ยกมือขึ้นมา เยี่ยมเลย ร้องอีกทีหนึ่ง แล้วก็ยกมือขึ้นมา ตอนนี้เราต้องการย้ำยืนยันและสถาปนาความจริงลงมาในชีวิตของเรา และผู้คนรอบข้าง เป็นการประกาศข่าวดีไปในตัวว่า …
“เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว (อ้าวชูมือขึ้นมาเลย)
เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว ฉันก็เป็น ขึ้นพร้อมพระองค์” เอเมน
พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว วันหนึ่งเราคงได้ไปสวรรค์มั้ง ก็ดี ก็ขอบคุณพระเจ้า แต่ถ้ารู้ความจริง ลึกไปกว่านั้น พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว เป็นเหตุให้ฉันเป็นขึ้นกับพระเยซูด้วย อันนี้เกี่ยวกับตัวเรา เกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนตัวเราแล้ว เราก็จะตื่นเต้นมากขึ้น จริงไหม? มนุษย์เราก็อย่างนี้แหละ อะไรที่เกี่ยวกับเรา เราก็จะสนใจมากกว่า
วันนี้เรามาเฉลิมฉลอง วันประกาศชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุด แห่งประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ทำไมเราจึงเรียกวันอีสเตอร์ว่าวันประกาศแห่งชัยชนะ ก็เพราะว่าถ้ามีการประกาศแห่งชัยชนะ ก็แสดงว่าก่อนหน้านั้น มีสงคราม ถูกไหม? มีการต่อสู้เกิดขึ้น แล้วปรากฏว่าพระเยซูเป็นฝ่ายชนะ พระเยซูจึงสั่งให้เราไปประกาศเรื่องนี้กับมนุษย์ทุกคนให้รู้ว่าชัยชนะเป็นของพระเยซู และเป็นของเรา มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ด้วย
ถ้าจะเล่าให้ท่านฟังเป็นภาพที่เกิดขึ้นถึงเรื่องสงคราม ที่ก่อนหน้านี้ ก่อนที่พระเยซูจะได้รับชัยชนะ สงครามเกิดขึ้นอย่างไร? ผมจะเปรียบเทียบเรื่องนี้ ตามเรื่องราวแบบพระคัมภีร์ … พระคัมภีร์พระเจ้าจะบอกแผนการอะไรต่างๆ ของพระองค์ด้วยการเผยพระวจนะ … เผยพระวจนะเป็นเรื่องเป็นราว และเล็งให้เห็นว่าเรื่องราวเหล่านี้ เล็งถึงสิ่งที่พระเยซูคริสต์จะกระทำ ในอนาคต
เพราะฉะนั้น การต่อสู้ในศึกครั้งนี้ ที่ทำให้พระเยซูเป็นฝ่ายชนะ และมนุษย์เป็นฝ่ายชนะ ผมตั้งชื่อศึกนี้ว่า “ศึกมหากาฬฝ่ายวิญญาณ” คือใหญ่ที่สุดแล้ว ในโลกวิญญาณ สำหรับประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นการต่อสู้กันระหว่าง 2 ค่ายยักษ์ …
ค่ายยักษ์ที่หนึ่ง ก็คือมนุษยชาติ ซึ่งมีหัวหน้า ก็คือพระเจ้าของเรา ส่งพระบุตร คือพระเยซูคริสต์เข้ามา เพื่อต่อสู้แข่งขันกับค่ายต่อมา ซึ่งมีเป้าหมาย ที่ต้องการปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระจากการเป็นทาสของมาร ของความบาปและความตาย
ค่ายที่สอง แน่นอน ก็คือค่ายของมารซาตาน เจ้าของค่าย ก็คือมาร ก็คือซาตาน ส่งความบาปและความตายเข้ามาเป็นตัวแทนของมัน เพื่อมาต่อสู้กับพระเยซูคริสต์ ตัวแทนของมนุษยชาติทั้งปวงนั่นเอง เป้าหมายของมาร ก็คือต้องการฆ่า ขโมย และทำลาย ต้องการให้มนุษย์ยังอยู่ใต้อำนาจของมันเหมือนเดิม พอจะมองเห็นภาพนะ
… สรุปศึกมหากาฬในโลกวิญญาณ …
ค่ายที่ 1 ค่ายมนุษยชาติ … เจ้าของค่าย คือพระเจ้า ส่งพระบุตร คือพระเยซู ลงแข่ง โดยมีเป้าหมาย เพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด
ค่ายที่ 2 ค่ายมารซาตาน … เจ้าของค่าย คือหัวหน้ามาร ส่งความบาปและความตาย ลงแข่ง โดยมีเป้าหมาย เพื่อทำลายล้างมนุษยชาติ
ก่อนที่จะได้รับชัยชนะ สงครามนี้เกิดขึ้นอย่างไร? ในโลกวิญญาณเป็นอย่างนั้นนะ นี่รวบรวม เรื่องราวทั้งพระคัมภีร์เดิมทั้งเล่มมาย่อสั้นๆ เป็นเรื่องเล่าให้ฟัง พอเห็นภาพแล้วนะว่าสงครามการต่อสู้ครั้งนี้ เป็นการต่อสู้ระหว่างใครกับใคร? นึกในใจ ระหว่างหัวหน้ามาร ซึ่งกำลังพยายามต่อสู้กับพระเจ้า เหมือนเดิม ซาตานเป็นศัตรูกับพระเจ้า มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ และมันต้องการล้มล้าง ต้องการทำอะไรก็ได้ที่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า และเดิมพันการต่อสู้ครั้งนี้ ก็คืออิสรภาพของมนุษยชาติ
ถ้าพระเยซูชนะ มวลมนุษย์ก็เป็นอิสระจากความบาปและความตาย และถ้าพระเยซูแพ้ มนุษย์ก็พ่ายแพ้ด้วย ก็ยังคงอยู่ใต้อำนาจของความบาปและความตายอยู่ นี่คือเดิมพัน
เราเล่าย้อนไปตั้งแต่เริ่มต้นของศึกสงครามนี้ ซึ่งเริ่มต้นตอนที่พระเจ้าได้สร้างโลกมนุษย์ใหม่ๆ และมวลมนุษย์มีหัวหน้า มีเผ่าพันธุ์ที่เรียกว่าอาดัมกับเอวา อาดัมพ่ายแพ้การล่อลวงของมาร ไปมอบโลกใบนี้ให้กับมาร มอบสิทธิอำนาจ ตกเป็นทาสของมารตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เรียกว่ามวลมนุษยชาติตกไปเป็นทาสของมาร และพระเจ้าก็วางแผนการ ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ ให้กลับคืนมาหาพระองค์ หลุดจากการเป็นทาสมาร เป็นทาสของความบาปและความตาย พระองค์ทรงวางแผนไว้ และแผนการนั้นได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ในหนังสือปฐมกาล 3:15 เรามาอ่านร่วมกันตรงนี้ ตั้งแต่เริ่มต้น ปฐมกาลในพระคัมภีร์เดิมเลย …
ปฐมกาล 3:15 “เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ของเขาด้วย พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ”
นี่คือแผนการของพระเจ้าที่วางไว้ว่าจะส่งพระบุตรของพระองค์มาช่วยเหลือมวลมนุษย์ให้รอดพ้นจากการเป็นทาสของมารที่ตกลงไป ที่อาดัมพ่ายแพ้มาร พระเจ้าวางแผนการที่จะช่วยเหลือมวลมนุษยชาติกลับมาใหม่ พงศ์พันธุ์ของหญิงที่ตะกี้เราอ่าน
“พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ”
คำว่า “เจ้า” ตรงนี้ ก็คือ “มาร” ที่ได้ล่อลวงอาดัมและเอวา ให้กบฏต่อพระเจ้า เป็นศัตรูต่อพระเจ้าด้วยความบาปและความตาย ตกลงไปในความบาปและความตาย รวมทั้งเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ เรียกว่ามนุษย์ตกลงไปในความบาปและความตาย เป็นทาสของมาร
“พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก” เล็งถึงผู้ที่เป็นหัวหน้าค่าย คือพระเจ้าส่งมา เพื่อทำลายล้างอำนาจของมาร ความบาปและความตายให้หมดสิ้นไปนั่นเอง “พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก” เล็งถึงพระเยซูคริสต์
และต่อมาบอกว่า “เจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ” หมายถึงความพยายามครั้งแล้ว ครั้งเล่าของมารซาตาน ที่จะเอาชนะตัวแทนของมนุษย์ที่พระเจ้าจะส่งมา ตั้งใจไว้อย่างนั้น จะเอาชนะให้ได้ ซึ่งพอพระเยซูมา มันก็ทำได้แค่ ทำให้ส้นเท้าของพระเยซูฟกช้ำ ต่างกันเยอะเลยนะ ระหว่าง “หัวแหลก” กับ “ส้นเท้าฟกช้ำ”
นี่คือแผนการของพระเจ้า เจ้าของค่ายมนุษยชาติได้เตรียมไว้ สำหรับการป้องกัน ช่วยเหลือมนุษยชาติให้รอดพ้นออกมา จากการเป็นทาส และเมื่อถึงเวลาตามแผน ในหนังสือกาลาเทีย 4:4 บอกว่า …
“เมื่อถึงกำหนดเวลา พระเจ้าก็ส่งพระบุตรของพระองค์ ลงมาเกิดในหญิงพรหมจารี ชื่อแมรี่”
ก็คือพูดถึงพระเยซู เมื่อถึงกำหนดเวลา พระเจ้าก็ประกาศชื่อว่าบุคคลที่จะมาสู้ด้วย ตั้งแต่ปฐมกาลที่เขียนไว้นั้น คือพระบุตรของพระองค์เอง เป็นตัวแทนในการต่อสู้กับความบาปและความตาย ซึ่งชื่อของพระองค์นั้น ก็คือ “พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า”
ทำไมต้องบอกพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่พระเยซูเฉยๆ คำว่า “พระเยซู” แปลว่าผู้ช่วยให้รอด “คริสต์” แปลว่าคนที่ถูกเจิมตั้งไว้ คนที่พระเจ้าจะใช้ ให้มาช่วยมนุษย์ให้รอด จึงเรียกว่าพระเยซูคริสต์ พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า
คราวนี้เริ่มต้นต่อสู้แล้ว ตัวแทนมาปรากฏแล้ว รอมาตั้งนาน รอมาหลายพันปี จนถึงกำหนดเวลา พระเยซูพร้อม พระเจ้าพร้อม ส่งพระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ เริ่มต้นยกแรก …
ค่ำวันพฤหัส ก่อนวันศุกร์ประเสริฐ ก่อนที่เขาจะจับพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน นั่นคือเริ่มยกที่ 1 พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ ดำเนินชีวิตมา 30 ปี ไม่ได้ทำอะไรเลย เริ่มปีที่ 31 – ปีที่ 33 ก่อนถูกตรึง พระองค์เริ่มประกาศข่าวดี เรื่องที่เราเล่ากันอยู่นี้ เรื่องที่พระเจ้าส่งพระองค์มาช่วยเหลือมนุษย์ ให้รอด
พระองค์เริ่มประกาศ เรื่องเกี่ยวกับแผ่นดินสวรรค์กำลังมาแล้ว พระองค์ได้ประกาศ และปลายปีที่ 3 พระองค์ก็เข้าสู่สังเวียนการสู้รบ
เย็นวันพฤหัส พระองค์ทรงรู้แล้วว่าพระองค์ต้องขึ้นชก ต้องขึ้นสังเวียนนี้ ซึ่งเป็นศึกที่หนักมาก เรานึกว่าพระองค์เป็นพระบุตรพระเจ้า แล้วจะง่ายๆ ได้ถูกบันทึกว่าพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์และเป็นพระเจ้าในผู้เดียวกัน เป็นมนุษย์ ก็คือเป็นมนุษย์เหมือนเราไม่มีผิด 100% เลย มีความเจ็บ มีความปวด มีความรู้สึก มีความกลัว วิตกกังวล เพราะฉะนั้น แม้จะรู้ว่าตนเอง จะมาเป็นผู้ที่พระเจ้าเจิมตั้งไว้ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด มาชกในศึกครั้งนี้ มีพระเจ้าหนุนหลังอยู่ แต่ขณะเดียวกัน เป็นมนุษย์ก็เกิดความกลัว วิตกกังวล พอจะเริ่มชก พอจะเริ่มการต่อสู้ พระองค์ก็กลัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงค่ำวันพฤหัส กลัวที่สุด ถึงขนาดเหงื่อออกมาเป็นเลือด วิตกกังวลมาก เครียดมาก เส้นเลือดฝอยแตกเป็นเลือดออกมา เพราะว่ากำลังจะขึ้นชก แสดงว่าความบาปและความตาย ที่เป็นเจ้านายของมวลมนุษยชาติ ไม่ใช่เล่นๆ ไม่ใช่ย่อยๆ มันมีฤทธิ์อำนาจมานานแล้ว มากเลย โดยเฉพาะกับมนุษย์บนโลกใบนี้ พระเยซูเกิดเป็นมนุษย์ จึงหวาดกลัวอย่างนั้นแหละ วิตกกังวล จะไหวไหมเนี้ย จะไหวไม่ไหว
“พระเจ้าไม่ไหวแน่ๆ ไม่เอาได้ไหม? เปลี่ยนวิธีอื่นได้ไหม”
อธิษฐานถึง 3 ครั้ง เราก็รู้กันอยู่แล้ว
นี่คือยกแรก ตัดสินใจว่าให้เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า … พระเจ้าบอกพระองค์ทรงเตรียมมาตั้งนานแล้ว ตั้งหลายพันปีแล้ว ถึงเวลาชกแล้ว อย่างไรก็ต้องขึ้น เพราะฉะนั้น พระเยซูก็ตัดสินใจ เป็นไปตามน้ำพระทัยพระเจ้า ขึ้นชกเลย
หลังจากสวนเกเสมนี พระองค์ถูกจับ นั่นแหละเริ่มต้นยก 1 ถูกจับมารก็เริ่มซัด นึกภาพของการชกมวย จะเห็นภาพหมด บนสังเวียนมี 2 ฝั่ง ฝั่งหนึ่งเรียกว่าความบาปและความตาย ฝั่งหนึ่งคือพระบุตรของพระเจ้าที่เกิดเป็นมนุษย์ ชื่อพระเยซูคริสต์ พระเยซูขึ้นไป พระองค์ทรงรู้ว่าพระองค์ถูกแต่งตั้งมา เพื่อรับโทษความบาป เพื่อตายแทนมนุษย์ทั้งปวง ไม่ได้มาสอนให้มนุษย์ทำดี มีศีลธรรมที่ดี ซึ่งโมเสสก็สอนมาหมดแล้ว ไม่ต้องแล้ว มนุษย์รู้แล้วว่าอะไรดี อะไรชั่ว แต่มันทำไม่ได้ เพราะเป็นทาสมาร เป็นทาสความบาปความตายอยู่ พระองค์ต้องการมาอย่างเดียว คือมาช่วยมนุษย์ให้รอดพ้น เอาบาปของมนุษย์ออกไป นี่คือเป้าหมายของพระองค์ตรงนี้
ฉะนั้น เมื่อเริ่มต้นยก มารก็เริ่มซัดเข้ามา มารก็รู้พระองค์เป็นพระเจ้า และเป็นมนุษย์ มารก็พยายามที่จะยั่ว ยุ แหย่ และทรมาน ให้พระเยซูหลุด ยอมพ่ายแพ้ คือลงจากสังเวียนซะ คือไม่เอาแล้ว กลับมาเป็นพระเจ้าเหมือนเดิมดีกว่า ไม่ยอมเป็นมนุษย์อีกแล้ว ไม่ยอมรับความทุกข์ทรมาน ไม่ยอมรับเอาความบาปของมวลมนุษยชาติ โทษของมนุษย์ที่พระองค์จะต้องรับแทนนั้น รับไม่ไหวแล้ว ไม่เอาแล้ว กลับมาเป็นพระเจ้า เหมือนเดิม ซึ่งมารมันต้องการอย่างนั้นแหละ มันต้องการให้พระเจ้าพ่ายแพ้ รับบาปไม่ได้ มันก็ยั่วยุ โดยจับพระเยซูไป แล้วก็ถากถาง พูดหมิ่นประมาท ตบ ถ่มน้ำลาย พวกฟาริสี พวกคายาฟาส พวกปุโรหิตยิว ที่ไม่รู้ความจริง ที่เป็นเครื่องมือของมาร ถ่มน้ำลาย ทุบตี เยาะเย้ย ถากถาง ดูหมิ่น เหยียดหยามอย่างมาก ให้พระเยซูทนไม่ไหว จะได้เลิกซะ พระเยซูรับได้
นี่คือยกแรก เท่ากับมารซัดหมัดแล้วหมัดเล่า พระเยซูกองกับพื้น ขึ้นมาก็ถูกชกอีก ถูกส่งให้ปีลาต ทหารไม่รู้อีโหน่อีเหน่ มารใช้ทหารเหล่านั้น ใส่ความเกลียดชัง เคียดแค้นเข้าไปในจิตใจของทหาร แล้วเปลื้องผ้าของพระองค์ออกให้น่าอาย นอกจากเจ็บร่างกายแล้ว ยังอายเขาอีก เพื่อที่จะเยาะเย้ย ถากถางให้เจ็บปวดอับอาย เพื่อพระเจ้าจะได้เลิกชก เลิกสู้ เลิกรับบาปแทนมนุษย์ซะ พระเยซูก็ทนเอา เอามงกุฎหนามใส่ ท่านจะเห็นภาพเหล่านี้ คือการชกของมารทั้งสิ้น ไม่ได้เกี่ยวกับมนุษย์เลย มนุษย์เป็นแค่เครื่องมือ ที่มารใช้ส่งออกมาในเรื่องของความเกลียดชัง การเป็นศัตรู การเป็นความบาปและความตาย ต่อต้านพระเจ้านั่นเอง ซัดใหญ่เลย เพื่อให้พระเยซูยกเลิกซะ จนกระทั่งลากพระเยซูไปตรึงที่ไม้กางเขน ด้วยการให้แบกกางเขนของตัวเองด้วยความน่าอาย ท่านคิดดูสิ พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ไม่ยอมก็ได้ พระองค์แค่พูดคำเดียว ทูตสวรรค์ลงมาเยอะแยะ พระองค์กลับเป็นพระเจ้าเหมือนเดิม ไม่เอาแล้ว ไหนใครที่ตะกี้นี้มาเฆี่ยนเรา จัดการมันซะ พระองค์ทำอย่างนั้นได้ แต่พระองค์ไม่ทำ ยอมทนทุกข์ทรมาน รับเอาความบาป รับเอาความเจ็บปวด ด้วยความทุกข์ทรมาน แบกกางเขน อายเขาก็อาย พระองค์เป็นพระเจ้า ทำไมทำเสื่อมเสีย ยอมเสียเกียรติขนาดนี้ ตั้งเป้าไว้ในใจเรื่องเดียว คือ …
“อดทน ทนทุกข์ รับบาปแทนมนุษยชาติ มองไปที่ข้างหน้า มนุษย์คนสุดท้าย เขาจะได้รับความรอด เขาไม่ต้องเป็นทาสมารอีกต่อไป จะช่วยเขาให้รอดทั้งหมด เรามาเพื่อการนี้”
พูดให้ตัวเองฟังมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ 3 ปีก่อน ก็พูด ตอนนี้ก็นึกในใจว่า …
“ฉันจะยอม ฉันจะทนทุกข์ ฉันจะรับโทษบาป ฉันจะทำตามน้ำพระทัย”
แต่ขณะเดียวกัน มารก็บอก … “เลิกซะ”
ก็คือเหยียดหยาม ข่มขู่ ให้กลัว ให้อาย ให้เจ็บปวด ทุกข์ทรมาน เฆี่ยนก็เจ็บปวด แบกกางเขนด้วยความทรมาน ก็เจ็บปวด และอายเขาอีก ไปถึงลานประหาร ที่ภูเขาโกละโกธา ถูกตรึงที่ไม้กางเขน ตายด้วยวิธีอื่น ก็ยังไม่เจ็บปวด โอ้โห! คิดดูสิ ตอกตะปูตัวแรก แทบจะ …
“ไม่เอาแล้ว เลิกดีกว่า”
ในใจน่าจะมีความคิดตรงนี้ เพราะพระองค์เป็นมนุษย์ แต่ทำไม? นึกถึงมนุษย์ ตอกอันที่สอง ทหารไม่รู้จักพระองค์เลยนะ ทหารเขาก็รู้อยู่แล้วว่าคนนี้เป็นคนดี แต่ถามว่าทหารทำหรือเปล่า? ทำเพราะอะไร? เพราะถูกครอบงำโดยมารซาตาน ในขณะนั้น ความเกลียดชัง ได้โถมเข้ามาผ่านทางทหารเหล่านั้น กระทำสิ่งเหล่านั้นต่อพระเยซูคริสต์ ตอกด้วยความเกลียดชัง เฆี่ยนด้วยความเกลียดชัง แล้วก็ยกพระองค์มาตั้งไว้บนกางเขน พระองค์รู้หมดแล้ว สิ่งเหล่านี้ว่ามันทุกข์ทรมานขนาดไหน? เหงื่อจึงเป็นเลือด ไม่อยากจะขึ้นมาชก เพราะอย่างนี้
ท่านคิดดู ขึ้นไปยกแรก มนุษย์ก็จะตายอยู่แล้ว แพ้แน่ๆ ไปถึงเที่ยง เลือดพระองค์หลั่งออกมาที่ไม้กางเขน น้ำหนักตัวถ่วงลง เจ็บปวดขนาดไหน? มารบอก …
“เลิกเถอะ ยกเลิกซะ พอแล้ว ยอมแพ้ซะ เลิกทนเถอะ”
พระเยซูคิดในใจ เพื่อเขาทั้งหลาย อยู่บนกางเขน มองลงมา เห็นทหาร เห็นเหล่าสาวก เห็นผู้เยาะเย้ยพระองค์ …
“ไหนบอกเป็นพระเจ้าไง ช่วยคนอื่นให้รอด ตัวเองยังช่วยไม่ได้เลย โธ่เอ่ย! ลงมาสิ ถ้าเป็นพระเจ้าจริง”
เห็นไหม? นอกจากเจ็บปวดทางร่างกายแล้ว ยังเจ็บปวดทางใจ ถูกเยาะเย้ยอีก เป็นพระเจ้านะ ถูกเขาเยาะเย้ยอย่างนี้ ไหวเหรอ? ทนไหว พระองค์ก็ทรงทน เที่ยงแล้ว ก็ยังต้องทนอยู่ ท่านนึกภาพ เหมือนการต่อสู้บนสังเวียน พระองค์ก็เหมือนถูกทุบ ถูกอัด ถูกซัดด้วยหมัดขวาหมัดซ้ายของเจ้าบาปและความตาย บาปเข้ามา ความตายเข้ามา โทษของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ โถมเข้ามาที่พระเยซูหมดเลย ความบาปที่เราควรจะได้รับโทษจากบาปนั้นของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ สมมติว่ามีพันล้านคน … พันล้านคนเหล่านั้น บาปของเขาได้โถมเข้ามาที่พระเยซู ที่ไม้กางเขน คนแล้วคนเล่าๆ ก็อัดต่อไป ทุกข์ …
“พอแล้ว ยอมเถอะ ลงจากกางเขนเถอะ” … มันก็พูดอย่างนี้
เห็นภาพไหม? จนกระทั่ง เกือบจะบ่าย 3 โมง พระเยซูถูกอัดลงไปกองกับพื้น กรรมการเข้ามานับเลย นับ 8 ยังไม่ถึง 10 พระองค์ก็ลุกขึ้นมาเซๆ ได้ยินพี่เลี้ยง คือพระเจ้าบอกว่า …
“ใกล้จะครบแล้ว เหลืออีกคนเดียว”
รับบาปของมวลมนุษยชาติ แน่นอน มันจะต้องมีคนสุดท้าย
“อดทนอีกนิดหนึ่ง เหลืออยู่คนเดียว”
เมื่อใกล้บ่าย 3 โมง พระองค์ได้ยินคำนั้น อีกนิดเดียวเอง กัดฟัน รับเอาคนสุดท้าย ซึ่งเป็นใครเราไม่รู้ มนุษย์คนสุดท้ายนั้น พระองค์ทรงรับเอาบาปของมนุษย์ทั้งหลายไว้ที่พระองค์ แบกไว้จนหมด พระเจ้าผู้เป็นพี่เลี้ยง กระซิบบอก …
“จบแล้ว เสร็จแล้ว”
ทันทีทันใดนั้น ในนับ 8 นั้น พระองค์ขึ้นมาเซๆ พอได้ยินคำนี้ว่าหมดเรียบร้อยแล้ว คราวนี้แหละ พระองค์ตะโกนลั่นเลยว่า …
“สำเร็จแล้ว”
สำเร็จแล้ว คืออะไร? คือพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล้วบอกสำเร็จแล้ว ก็คือจ่ายบาปให้กับมนุษย์เรียบร้อยแล้ว จ่ายโทษของความบาปเรียบร้อยไปแล้ว นั่นแหละคือหมัดแรกของยกแรก ที่พระเยซูลุกขึ้นมา นับ 8 ซัดเข้าไป ที่มารซาตาน เที่ยวเดียว ลงไปกองเลย
คราวนี้กลับกันแล้วนะ หมัดเดียวของพระเยซู ตอนตายที่ไม้กางเขน ในยกแรก ทำให้ความบาปและความตายลงไปกองที่พื้น กรรมการวิ่งเข้ามานับ นับ 8 เผอิญกระดิ่งช่วยไว้ก่อน ยังไม่แพ้
หมัดเด็ดของพระเยซู หมัดแรกที่พระเจ้าสอนให้ คือหมัดการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หมัดนี้ ผมตั้งชื่อว่า “หมัดไพรีพิฆาต” คือหมัดยกที่ 1 คือพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ไพรีพิฆาต เปรี้ยง! สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน จัดการความบาปและความตาย ลงไปกองกับพื้นนับ 8
ยกที่ 2 พระเยซูอยู่ในอุโมงค์ มารถูกนับ 8 งง คุยกันกับพวกกลุ่มวิญญาณชั่วทั้งหลายว่า …
“ตัวแทนของเรา ความบาปและความตายมันถูกนับ กองอยู่ เมื่อปลายยกที่แล้ว มันเกิดอะไรขึ้น พระเยซูกำลังจะแพ้แล้ว มนุษย์กำลังจะแพ้แล้ว ทำไมอยู่ดีๆ เป็นอย่างนี้ล่ะ ทำไมพระองค์ตายได้” เขาก็พูดกันในนั้น
“พระองค์เป็นมนุษย์ … มนุษย์ก็ต้องตายได้ เราคงทำเกินไปมั้ง”
คงพูดกันใหญ่เลย “นี่เขาตายจริงๆ แล้ว เขาตายได้อย่างไร? เป็นพระเจ้า”
“ทำไมเขาตายได้ล่ะ”
“ก็เขาเป็นมนุษย์ด้วย”
“อ้าว! เป็นมนุษย์ทำไมไม่ตาย แล้วก็ตายไปเลยล่ะ”
“ก็เห็นชัดๆ แล้วเนี้ย ก็ตายจริงๆ ก็อยู่ในหลุมฝังศพ”
“อ้าว! เขาเป็นพระเจ้า เขาต้องไม่ตายสิ”
“นี่เห็นๆ ก็ฝังอยู่ในอุโมงค์”
การฝังในอุโมงค์ ก็คือยกที่สอง ที่มารซาตานพยายามจะต่อสู้ด้วยการที่จะแย้งว่า …
“พระองค์ตายได้อย่างไร? พระองค์เป็นพระเจ้า”
แต่พระเยซูบอก … “เราเป็นมนุษย์”
บุตรมนุษย์ เคยได้ยินไหม? ถึงเวลาพูด บางครั้ง บางโอกาส พระองค์ก็บอกบุตรพระเจ้า เรามาจากพระเจ้า เราเป็นบุตรพระเจ้า บางครั้งพระองค์บอกเป็นบุตรมนุษย์ ตอนนี้พระองค์เป็นบุตรมนุษย์ เป็นตัวแทนมนุษย์ เพราะฉะนั้น พระองค์ตายได้จริงแล้ว ถูกฝังไว้ในอุโมงค์จริงๆ ตอนนี้ ถือเป็นยก 2 ซึ่งได้รับชัยชนะ
ยก 2 คือการถูกฝังไว้ในอุโมงค์ พระองค์เท่ากับเดินขึ้นมาชิวๆ แล้วก็เข้าไปหาตัวแทนของมาร คือบาปและความตาย ซัดหมัดอีกหมัดหนึ่งเข้าไป ตะกี้เรียกว่าหมัดไพรีพิฆาต ใช่ไหม? หมัดที่ 2 ผมให้ชื่อว่า “มัจจุราชสิ้นฤทธิ์” ความบาปและความตายสิ้นฤทธิ์เลย
ยก 2 คือพระองค์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ การถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เป็นหลักฐานชัดเจนว่าพระองค์ทรงตายจริงๆ และไม่ได้ฝังอย่างเดียว มีคนมาควบคุมปากอุโมงค์เรียบร้อย ปิดสนิท ทุกอย่างแท้ๆ แน่ๆ นอนๆ นั่นแหละ คือหมัดที่ 2 ที่พระเจ้าตั้งเอาไว้ และสอนพระเยซูไว้ ถูกฝังในอุโมงค์ คือมัจจุราชสิ้นฤทธิ์ ความตาย ความบาปสิ้นฤทธิ์ไป
ยังไม่พอ เอาให้มันสะเด็ดน้ำเลย พระเยซูเดินลงไป หมัดที่ 2 โครม มัจจุราชสิ้นฤทธิ์ ปรากฏว่าลงไปกองกับพื้น กระดิ่งช่วยไว้อีก กระดิ่งช่วยความบาปกับความตาย สู้ต่อยกที่ 3
พอกระดิ่งยกที่ 3 ขึ้นมาปุ๊บ พระเยซูเดินเข้าไปมอง เป็นไง? ตัวแทนของบาปและความตายที่ขึ้นมาชก มองขึ้นมา งงหมดเลย เกิดอะไรเนี้ย เราคงพ่ายแพ้มันแล้ว พระเยซูเดินเข้ามาบอก …
“แกแพ้นิรันดร์แล้วล่ะ เสียใจด้วยนะ”
พระองค์เลยซัดหมัดสุดท้าย ในยกที่ 3 คือการเป็นขึ้นจากความตาย หมัดที่ 3 ของพระองค์ ผมให้ชื่อว่า “หมัดผู้พิชิตนิรันดร์” ไม่ใช่ผู้พิชิตเฉยๆ แต่ผู้พิชิตนิรันดร์ ก็คือความบาปและความตายแพ้นิรันดร์ การเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ เท่ากับเป็นหมัดตอกฝาโลงให้กับบาปและมาร คราวนี้ไม่ต้องนับเลย นับร้อยก็ไม่ขึ้น นับมากกว่า 10 ก็ไม่ขึ้นแล้ว
การตอกฝาโลง คือการเป็นขึ้นจากความตาย ที่เรามาฉลองกันวันนี้ การเป็นขึ้นจากความตาย จึงสำคัญอย่างนี้ ผู้พิชิตนิรันดร์
สรุปแล้วจำได้ไหมครับ ยกแรก คืออะไร? …
ยกที่ 1 คือการสิ้นพระชนม์ “หมัดไพรีพิฆาต” … พระเยซูถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน
ยกที่ 2 คือการถูกฝังไว้ในอุโมงค์ “หมัดมัจจุราชสิ้นฤทธิ์” … พระเยซูถูกฝังในอุโมงค์
ยกที่ 3 คือการเป็นขึ้นจากความตาย “หมัดผู้พิชิตนิรันดร์” … พระเยซูทรงเป็นขึ้นจากความตาย
สามยกนี้ เราต้องจำไว้ให้ตลอด เล่าให้ลูกให้หลานฟัง ยกแรก เรียกว่าไพรีพิฆาต การสิ้นพระชนม์เท่ากับไพรีพิฆาต การถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เขาเรียกว่ามัจจุราชสิ้นฤทธิ์ การเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เรียกว่าผู้พิชิตนิรันดร์ พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย สิ่งที่เรากำลังฉลองกันในวันนี้
เรื่องเล่านี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ ในโลกวิญญาณ ผมเล่ามานี้ สรุปให้สั้นที่สุด เท่าที่ทำได้ แล้วให้จำให้ได้ เพื่อเราจะได้เล่าให้ลูกหลานเราฟัง ทำไมจะต้องมีการฉลองวันศุกร์ประเสริฐ วันอีสเตอร์ ซึ่งฉลองกันตลอดเวลาเลย ไม่ใช่ฉลองกันแค่ปีละครั้งหนึ่ง พระเยซูให้ฉลองบ่อยๆ เลย ก็คือการทำพิธีมหาสนิท คือให้ฉลองเรื่องนี้แหละ
เวลาทำพิธีมหาสนิท โต๊ะองค์พระผู้เป็นเจ้า กินขนมปัง ดื่มน้ำองุ่น ก็ให้ระลึกถึงพระองค์ ก็ให้ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ ระลึกถึง 3 ยกนี้ ระลึกถึง 3 หมัดนี้ ระลึกถึงชัยชนะ ระลึกถึงพระคุณความเมตตาของพระองค์ที่ได้ชัยชนะนั้นมา ให้มนุษย์ทั้งปวงด้วยความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน อย่าให้มันเสียไปเปล่าๆ กว่าจะได้มา ไม่ใช่ง่ายๆ เล่าให้ลูกหลานฟัง เพราะว่ามารมันก็ทำหน้าที่ของมันต่อไป มันแพ้แล้วก็จริง ถูกไหม? ปรากฏว่ามารแพ้ บาปและความตายก็พ่ายแพ้หมดแล้ว มนุษย์เป็นฝ่ายชนะ แต่มารมันก็รู้ แต่นิสัยของมัน ก็คือขี้โกง ขโมย ฆ่า และทำลาย ก็พยายามปิดความจริงเหล่านี้ ปิดข่าวดีเหล่านี้ ให้ข่าวดีนี้ไปไม่ถึงมนุษย์ทุกคนว่าเขาชนะความบาปและความตายแล้ว
นี่คือกลเม็ดเด็ดพายของมาร ความโกหกหลอกลวงของมัน ซึ่งพยายามอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และพยายามต่อไปเรื่อยๆ เพื่อปกปิดความพ่ายแพ้ของมัน เผื่อว่ามันจะหลอกใครได้บ้าง?
หน้าที่ของเรา ก็คือประกาศออกไปเรื่อยๆ ประกาศข่าวดีนี้ว่าเราอยู่ฝ่ายพระเจ้า เราอยู่ฝ่ายพระเยซู … พระเยซูชนะมารซาตานแล้ว พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ได้รับชัยชนะ เราก็ได้รับชัยชนะด้วยนั่นเอง
ในวันที่พระเยซูได้รับชัยชนะ ท่านลองนึกถึงภาพที่ชกกันบนสังเวียน ฝ่ายเชียร์ นึกออกไหม? ฝ่ายมารซาตานวิญญาณชั่วทั้งหลายพ่ายแพ้ หน้าตาเศร้า รีบวางแผนกันใหญ่ …
“เอ็งไปโกหกเลยนะ เอ็งไปใช้กลวิธีล่อลวง บอกว่าพระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นจากความตายหรอก มีคนมาขโมยศพไป เอ็งไปหลอกลวงผู้คน อย่าไปเชื่อเรื่องนี้ ปิดบังตาเขาเลยนะ”
ฝั่งที่เชียร์อีกด้านหนึ่ง ฝั่งที่เชียร์พระเยซู ฝ่ายพระเจ้า พอพระเยซูได้รับชัยชนะ ดีใจใหญ่
“เฮ! ชนะๆ”
นึกถึงภาพสิ มันเป็นอย่างนั้นในโลกวิญญาณ ชนะแล้ว พระเจ้าก็ดีใจ มวลมนุษย์ก็ดีใจ ผู้เชียร์พระเจ้าก็ดีใจ เราชนะแล้ว มนุษย์ชนะแล้วๆ เฮ! เลย เฮ! มาตั้งแต่ตอนโน้นแล้ว ตั้งแต่ 2,000 ปีก่อน ตั้งแต่ขึ้นชกไปใหม่ๆ เรื่องสดๆ ร้อนๆ อยู่ มีบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ด้วยนะ ใน 1 โครินธ์ 15:55-57 เป็นความรู้สึกของมวลมนุษยชาติในขณะนั้น ซึ่งผ่านทางการบันทึกของอาจารย์เปาโล อัครทูตไว้ว่า พระเยซูคริสต์ทำให้มนุษย์ชนะมาร ชนะความบาปและความตายแล้ว เรามาเฮ! กันดีกว่า เรามาอ่านพร้อมกัน 1 โครินธ์ 15:55-57 นึกถึงภาพเมื่อตะกี้นี้ สังเวียน เพิ่งขึ้นชกใหม่ๆ ฝ่ายไหนแพ้ ฝ่ายไหนชนะ รู้แล้วใช่ไหมครับ? ฝ่ายชนะก็เฮ! กัน ฉลองกัน แล้วก็บอกว่า …
1 โครินธ์ 15:55-57 “55 โอ มัจจุราชเอ๋ย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน? ว่าไง! ความตายเอ๋ย เหล็กในของเจ้าอยู่ที่ไหน 56 เหล็กในของความตายนั้น คือบาป และฤทธิ์ของบาป คือธรรมบัญญัติ 57 สาธุการแด่พระเจ้า ผู้ทรงประทานชัยชนะแก่เราทั้งหลาย โดยพระเยซูคริสต์เจ้าของเรา”
พูดง่ายๆ ว่า … “เฮ้ย! ความตาย ความบาปที่ฉันกลัวแกมานาน ฉันเป็นทาสแกมานาน ตอนนี้แกไปอยู่ไหน ฉันชนะแล้วครับ โทษที ว่าไง มีอะไรหรือเปล่า? แต่ก่อนฉันกลัวตาย แต่เดี่ยวนี้ ฉันไม่กลัวแล้ว เพราะฉันมีชัยชนะแล้ว เหนือแก”
อะไรอย่างนี้ นึกถึงภาพ นี่คืออาการ ความรู้สึกของคนที่รู้เรื่องนี้ รู้ความจริงในโลกวิญญาณนี้ จากการที่พระเยซูเอาชนะความบาปและความตาย และทำลายล้างอำนาจของมารซาตานจนหมดสิ้น ผล ก็คือบรรดามวลมนุษยชาติเป็นฝ่ายชนะความบาปและความตายเรียบร้อยไปแล้ว พระเยซูคริสต์บนสังเวียนอดทน ตั้งนาน จนกระทั่งได้ชื่อว่าผู้พิชิตความบาปและความตาย
พระองค์มีนามว่าผู้พิชิตความบาปและความตาย และพระองค์เอาชัยชนะนั้นมาให้กับพวกเราทั้งหลาย เอามงกุฎ เอารางวัลแห่งชัยชนะ เหนือความบาปและความตายมาให้มนุษย์ทั้งปวงทุกคน มนุษย์ทุกคนไม่ต้องทำอะไรเลยสักนิดเดียว แต่ได้รับรางวัลเท่าพระองค์เลย มนุษย์ทุกคน พระคัมภีร์จึงใช้ชื่อว่าเป็นยิ่งกว่าผู้พิชิต เพราะไม่ได้ทำอะไรเลย แต่ได้เท่ากัน เป็นอย่างนั้น
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเราถึงเรียกวันอีสเตอร์ว่าวันแห่งการประกาศชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ และครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ (ในโลกฝ่ายวิญญาณ) ซึ่งมันมีอยู่จริงๆ และนี่คือความจริงที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ มีพยานยืนยันยังอยู่อย่างนั้นอยู่ และอยู่ตลอดไปในโลกวิญญาณ ความจริงที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ที่ได้ทำให้หน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติบนโลกใบนี้ เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง หมดเลย เกลี้ยงเลย พระเยซูบอกว่าเป็นยุคใหม่ เป็นพันธสัญญาใหม่ มนุษยชาติได้ก้าวสู่ยุคใหม่ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว มนุษยชาติก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคพันธสัญญาใหม่ ยุคพระคุณ ยุคนิรโทษกรรม ให้เราหลุดพ้นจากการเป็นทาสของความบาป และความตาย ยุคอพยพกลับบ้าน คือสวรรค์สู่อ้อมกอดของพ่อแห่งฟ้าสวรรค์ ยุคพักผ่อน หายเหนื่อยและเป็นสุข ดังที่พระเยซูบอกให้เรามาหาพระองค์ แล้วเราจะหายเหนื่อยและเป็นสุข มนุษย์ทุกคนควรจะรับรู้ และจำเป็นต้องรู้เรื่องจริงเหล่านี้ เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เพราะมันเป็นจริงอยู่อย่างนั้นแน่นอน พระเยซูบอกอะไรที่มันเป็นจริง มันก็เป็นอย่างนั้นแน่นอน ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ตาม มันได้เป็นอย่างนั้น และมันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ สมควรที่เราจะรับรู้และเชื่อ เพราะมารอย่างที่บอก มารมันพยายามที่จะปิดความจริงเหล่านี้ ไม่ให้เกิดขึ้น โดยให้เราไปสนใจแต่เรื่องวัตถุสิ่งของ บนโลกใบนี้ที่จับต้องมองเห็นได้ อย่าไปสนใจโลกวิญญาณ ไม่จริงหรอก แต่ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันเป็นมา 2,000 ปีแล้ว
พระเยซูจึงประกาศว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นแล้ว และให้เราไปประกาศทั่วโลกทั่วไป ตลอดไป ทุกยุคทุกสมัยว่าพระเยซูบอกพระองค์เป็นขึ้นแล้ว และทำให้เราทั้งหลายเป็นขึ้นด้วย มันจึงสำคัญตรงนี้ พระเยซูเป็นขึ้นแล้วเฉยๆ มันเป็นความจริง มารก็พยายามปิดความจริง ถ้าปิดไม่ได้หมดว่าพระเยซูเป็นขึ้นแล้ว มันก็ปิดให้หมดเลยว่าพระเยซูไม่ได้เป็นขึ้น แต่ถ้ามันปิดไม่ได้ คนพอรู้แล้ว มันก็ปิดครึ่งหนึ่ง พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว โอเค รู้แล้วใช่ไหม? รู้แค่นั้นพอ ไม่ต้องรู้มากกว่านี้ รู้ไปกว่านี้ ก็คือพระเยซูเป็นขึ้นแล้ว ทำให้ฉันเป็นขึ้นด้วยนะ อันนี้แหละเขาปิดไว้ ยิ่งรู้มากเท่าไร เราก็ได้รับอิสรภาพมากเท่านั้น ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไท
เพราะฉะนั้น “พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว ฉันก็เป็นขึ้นด้วย” จึงเป็นการฉลองการเป็นขึ้นจากความตายของมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ สมัยก่อนเรานึกว่าการฉลองวันอีสเตอร์ คือการฉลองวันที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตายเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วการฉลองการเป็นขึ้นจากความตายในวันอีสเตอร์ คือการฉลองการเป็นขึ้นจากความตายของมวลมนุษยชาติ ซึ่งรวมทั้งพระเยซู หัวหน้าของเรา เป็นผู้กระทำการนี้ให้กับเราทั้งหลาย ตรงนี้จึงเป็นสิ่งที่เป็นข่าวดีเหลือเกิน ข่าวดี ข่าวประเสริฐที่สำคัญมาก เปาโลก็เขียนไว้ว่าสิ่งเหล่านี้ คือหัวใจของข่าวดี การประกาศข่าวดี คือต้องประกาศตรงนี้ให้ได้ อย่าประกาศข่าวดีแค่ 20% ประกาศข่าวดีแค่ 50% ประกาศข่าวดี ต้องประกาศให้ครบ 100 คือต้องครบทั้ง 3 หมัด ไพรีพิฆาต มัจจุราชสิ้นฤทธิ์ และผู้พิชิตนิรันดร์ ต้องให้มันครบ เพื่อที่จะได้รับข่าวดีอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ในผลของข่าวดี สิทธิของข่าวดีนั้น เราจะได้รับอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ 1 โครินธ์ 15:1-8 เปาโลจึงได้บอกไว้อย่างนี้ …
1 โครินธ์ 15:1-8 “1 พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากเตือนท่านให้ระลึกถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่าน ซึ่งท่านได้รับไว้และตั้งมั่นอยู่บนฐานนี้ 2 ถ้าท่านยึดมั่นในถ้อยคำที่ข้าพเจ้าประกาศแก่ท่าน ท่านก็จะรอดโดยข่าวประเสริฐนี้ มิฉะนั้น ท่านก็เชื่อโดยเปล่าประโยชน์ 3 เพราะเรื่องที่ข้าพเจ้าได้รับมานั้นเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด และข้าพเจ้าได้ถ่ายทอดให้ท่าน คือพระคริสต์ทรงวายพระชนม์ เพราะบาปของเราตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ 4 ทรงถูกฝังไว้และในวันที่สามพระเจ้าทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากตาย ตามที่พระคัมภีร์ระบุไว้ 5 และทรงปรากฏแก่เปโตร จากนั้นปรากฏแก่อัครทูตทั้งสิบสองคน 6 ต่อมาพระองค์ทรงปรากฏแก่พวกพี่น้องกว่าห้าร้อยคนในคราวเดียว ซึ่งส่วนใหญ่ยังมีชีวิตอยู่ แม้บางคนได้ล่วงลับไปแล้ว 7 จากนั้น พระองค์ทรงปรากฏแก่ยากอบและแก่อัครทูตทั้งปวง 8 และในท้ายที่สุดพระองค์ทรงปรากฏแก่ข้าพเจ้าด้วย ผู้เป็นเหมือนทารกที่คลอดผิดปกติ”
พระเยซูทราบดีว่ามารมันขี้โกง มันแพ้ไปแล้ว มันก็พยายามไปโกหกมนุษย์ อย่างน้อยก็ไปบอกเขาว่าไม่แพ้หรอก หรือว่าแพ้ไม่หมด พยายามไปหลอกลวง ปกปิดความพ่ายแพ้ของมัน
นี่เขียนหลังจากเหตุการณ์การชกนั้น การถูกตรึงที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นมาจากความตาย ไม่กี่ปี พระเยซูรู้ พระองค์จึงบอกสาวกของพระองค์ ที่บันทึกไว้นี้คือบอกเปาโลว่าเปาโลไปจัดการสิ่งนี้ นี่สำคัญที่สุดเลย ต้องให้จำให้ได้นะ อย่าให้มารมันหลอก ในข้อที่ 3 เปาโลบอกว่า “เพราะเรื่องที่ข้าพเจ้าได้รับมานั้น” รับมาจากใคร? รับมาจากพระเยซู พระเยซูสั่งเปาโล … อันนี้ต้องจำให้ดีนะ เรื่องที่พระเยซูสั่งให้เปาโลมาบอกพวกเรา มนุษย์รุ่นต่อๆ ไปว่ามารมันจะหลอกอย่างนี้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด ที่ต้องจำให้ได้ จำอย่างอื่นไม่ได้ ไม่เป็นไร แต่ต้องจำตรงนี้ให้ได้ คือ …
“เรื่องที่พระเยซูสั่งผมมา เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ก็คือพระคริสต์ทรงวายพระชนม์ เพราะบาปของเรา ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์”
ก็คือยกแรก พระองค์ทรงตายบนไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน ไพรีพิฆาตไปแล้ว
ข้อ 4 บอกว่า “ทรงถูกฝังไว้” คือยกที่ 2 ถูกฝังไว้ คือมัจจุราชสิ้นฤทธิ์ เพื่อยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ ตายจริงๆ อยู่ในอุโมงค์ “และในวันที่ 3 พระองค์ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ตามที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ ก็คือผู้พิชิตนิรันดร์ ในยกที่ 3
เห็นไหมต้องจำตรงนี้ไว้ให้แม่น แน่นอนเลยว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ในวันที่ 3 คนไหนที่เชื่อแล้วว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน ไถ่บาปให้ก็ดี แต่มันก็ปิดบังตาว่าพระเยซูไม่ได้เป็นขึ้นมาจากความตายหรอก เชื่อก็เชื่อว่าพระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้อย่างเดียว ไม่ต้องไปรู้หรอกว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย คนนั้นก็จะใช้สิทธิอำนาจ หรือใช้สิทธิของตัวเองในฐานะผู้ชนะได้แค่ครึ่งเดียว ได้แค่ไถ่บาปเท่านั้นเอง แต่ไม่ได้เป็นขึ้นจากความตาย ไม่สามารถมาเป็นลูกของพระเจ้า ที่เรากำลังจะเรียนรู้ต่อไปได้ ก็คือสิทธิของเราในพระเยซูคริสต์หายไป ในโรม 5:8-10 ก็ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …
โรม 5:8-10 “8 แต่พระเจ้าได้แสดงความรักต่อเรา โดยยอมส่งพระคริสต์มาตายเพื่อเรา ทั้งๆ ที่ เรายังเป็นคนบาป (เป็นศัตรูกับพระเจ้า) อยู่ 9 ตอนนี้ พระเจ้ายอมรับเรา (เป็นผู้ชอบธรรม) แล้ว เพราะเลือดของพระคริสต์ ยิ่งกว่านั้น เราจะรอดพ้นจากความโกรธ (การถูกลงโทษ เพราะบาป) ของพระเจ้า (ในวันพิพากษา) เพราะพระคริสต์อย่างแน่นอน 10 เพราะถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรู (บาป) ต่อต้านกับพระเจ้าอยู่นั้น เรายังได้รับการรักษาให้กลับคืนดี เข้ากันได้กับพระเจ้า ผ่านทางการตายของพระบุตรแน่นอน มากกว่านั้นอีกสักเท่าไร ที่เดี๋ยวนี้ เราได้คืนดี เข้ากันได้กับพระเจ้าแล้ว เราก็ได้รับการปลดปล่อย ช่วยให้รอด จากการเป็นทาสของอำนาจของความบาป ผ่านทางการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์”
เห็นไหม? เปาโลพยายามปกป้องความจริงเหล่านี้ อันเดิมนั่นแหละ เกี่ยวกับการตาย การถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ว่ามันเกิดขึ้น ประโยชน์ของเรา ที่มาถึงเรามนุษย์ทั้งปวงบนโลกใบนี้ คืออะไร? พระเจ้าแสดงความรักต่อเรา โดยขณะที่เรายังเป็นคนบาป ทั้งๆ ที่เป็นคนบาป พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์ ตายที่ไม้กางเขน ด้วยความทุกข์ทรมาน เพื่อเรา อันนี้ไม่ยาก พอเห็นกับตาได้ว่าพระองค์ทรงตายด้วยความทุกข์ทรมาน บนไม้กางเขน
และในนี้บอกว่าด้วยเหตุนี่แหละ ด้วยการตายของพระเยซูคริสต์ตรงนี้ พระเจ้าจึงรับเราว่าเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว “ผู้ชอบธรรม” คือคนดีพร้อม ดีงามในสายพระเนตรของพระเจ้า สามารถอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์ได้ โดยผ่านทางเลือดของพระคริสต์ที่หลั่งที่ไม้กางเขน ทำให้เราได้กลายเป็นผู้ชอบธรรมแล้ว พระเจ้ารับเราได้แล้ว
ในนี้บอกว่ายิ่งกว่านั้น เราจะรอดพ้นจากความโกรธ คือการถูกลงโทษ เพราะบาป การโกรธ คือการเข้ากันไม่ได้ของพระเจ้า และมีผลปฏิกิริยาเกิดขึ้น เรียกว่าความโกรธ เหมือนกันกับที่ผมเคยเล่าให้ฟัง ว่าเหมือนเราไปจับไฟฟ้าแรงสูง โดยไม่มีชนวนอยู่ เอามือเปล่าๆ ไปจับไฟฟ้าแรงสูง แล้วไฟฟ้าแรงสูงมันโกรธเรามากเลย ทำให้ช๊อตเรา เกือบตาย หรือตายเลย ความโกรธมันหมายถึงอย่างนั้น หมายถึงเข้ากันไม่ได้ ถูกลงโทษ เพราะบาป บาปคือการเป็นศัตรู เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ “ในวันพิพากษา” คือวันที่เราจากร่างนี้ ไปอยู่ในโลกวิญญาณจริงๆ เราก็อยู่ในสวรรค์ไม่ได้ อยู่กับพระเจ้าไม่ได้ ถ้าไม่มีเลือดพระเยซูมาชำระล้างเรา มันหมายถึงอย่างนี้
แล้วในข้อที่ 10 อันนี้สำคัญ เพราะถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรู เป็นบาป ต่อต้านพระเจ้าอยู่นั้น หมายถึงชีวิตของเราอันเดิม เรายังได้รับการรักษาให้กลับคืนดี เข้ากันกับพระเจ้า ขณะที่เราเป็นคนบาปนั้น พระเจ้ายังให้พระเยซูตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิต ทำให้เรากลับคืนดีกับพระเจ้าได้ ผ่านทางการตายของพระบุตร แน่นอนมากกว่านั้นอีกสักเท่าไร? นึกภาพนะ ที่เดี่ยวนี้เราได้คืนดีกับพระเจ้า เข้ากันได้กับพระเจ้า เป็นลูกของพระเจ้าแล้ว เราก็ได้รับการปลดปล่อย ช่วยให้รอด จากการเป็นทาสของอำนาจของความบาปและความตาย จากการเป็นคนบาปผิด ได้รับอิสรภาพ ผ่านทางการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์
พูดง่ายๆ นอกจากตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระล้างเราจนสะอาดหมดจด เป็นผู้บริสุทธิ์ เรียกว่าเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว มากกว่านั้นอีกสักเท่าไร? ท่านรู้ไหมว่าพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เป็นขึ้นจากความตายด้วย มาเป็นลูกของพระเจ้า พ้นจากความบาป ไม่ได้เป็นคนที่อยู่ในบาปอีกต่อไป แต่เป็นคนที่อยู่ในความชอบธรรม อยู่ในพระเจ้า อยู่ในความบริสุทธิ์ของพระเจ้า กลับกลายเป็นลูกของพระเจ้าเลย มาจากการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซู และท่านก็เลยได้เป็นขึ้นมาด้วย ตรงนี้มันหมายถึงอย่างนั้น
“พระเยซูเป็นขึ้นแล้ว ฉันเลยเป็นขึ้นด้วย”
เพราะฉะนั้น พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อเราจะได้เป็นขึ้นด้วย เอเฟซัส 2:5-6 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้อีกว่า …
เอเฟซัส 2:5-6 “5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา กลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ใน ขณะที่วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการถูกลงโทษ จากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมากับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรค์สถานกับพระคริสต์”
เฮๆๆๆ … ไม่ดีใจเลยเหรอ! เราควรจะดีใจมากนะ “ พระองค์ทรงกระทำให้วิญญาณของเรา ที่ตายอยู่ในอาดัม ที่เป็นบาปอยู่ในอาดัม เป็นศัตรูกับพระเจ้า กลับมีชีวิตอยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่วิญญาณเราได้ตายไปแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด จากการถูกลงโทษ จากการคำสาปแช่ง จากการเป็นคนบาป เป็นศัตรูกับพระเจ้า เข้ากับพระเจ้าไม่ได้ ท่านได้รับความรอดออกมา โดยพระคุณของพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยการกระทำดีของท่าน แต่โดยที่พระเจ้ากระทำผ่านทางพระเยซูคริสต์ และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมากับพระคริสต์ ชัดไหม? วิญญาณของเรา เป็นขึ้นมากับพระคริสต์ เป็นขึ้นมาเมื่อไร? เมื่อวันที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย เราก็เป็นขึ้นมาด้วย และเราจะใช้สิทธิของเราหรือไม่? ถ้าเราใช้สิทธิของเรา เราก็เป็นขึ้นจากความตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ด้วยเช่นเดียวกัน
“และในพระเยซูคริสต์ ที่เราเป็นขึ้นจากความตายนั้น พระเจ้าได้ให้เรานั่งอยู่ในสวรรค์สถานกับพระคริสต์” … นั่งแล้วเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้นในขณะนี้ เมื่อเราเชื่อในข่าวดีนี้ เราได้เป็นขึ้นมาใหม่พร้อมกับพระเยซู พระเยซูคริสต์นั่งอยู่ที่ไหนในขณะนี้? นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในพระคริสต์นั่นเอง เอเมน
พูดง่ายๆ พระเจ้าย้ายเราออกจากอาดัมในอดีต ให้กลับมาอยู่ในพระคริสต์ ในพระเจ้านั่นเอง ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ ย้าย ก็คือย้ายเลย โรม 6:3-5 ก็ได้พูดลักษณะนี้เหมือนกัน อธิบายให้เห็นชัดเจนขึ้นว่าเราได้ถูกย้ายจากในอาดัม ในการเป็นคนบาป มาอยู่ในพระคริสต์ มาเป็นลูกของพระเจ้า เป็นคนชอบธรรมดีงาม ด้วยวิธีใด? …
โรม 6:3-5 ”3 ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมาเข้าในความตายของพระองค์? 4 ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตใหม่เช่นเดียวกับที่ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา 5 ถ้าเราได้มีส่วนร่วมกับพระองค์ในการตายเหมือนพระองค์ แน่นอนเราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากตายเหมือนพระองค์”
สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ คืออะไร? …
“เมื่อเราเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ว่าพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอด เป็นตัวแทนของมนุษยชาติ เป็นตัวแทนของฉันด้วย ฉันก็เป็นมนุษย์ พระองค์เป็นหัวหน้ามนุษย์ ได้รับชัยชนะแล้ว ฉันจะเอาด้วย ฉันจะรับสิทธินี้ด้วย ฉันจะเป็นพวกเดียวกับพระเยซู”
นั่นแหละ คือการเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ เมื่อท่านเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ ในโลกวิญญาณเกิดสิ่งนี้ขึ้นกับท่าน
เปาโลบอกว่า “ท่านไม่รู้หรือว่าเราทั้งปวงที่รับบัพติศมา”
รับบัพติศมา แปลว่าถูกจุ่ม ถูกเข้าส่วน
“ท่านไม่รู้หรือ? เราที่ถูกพระเจ้านำเราจุ่มลงไป เข้าส่วนลงไปในพระเยซูคริสต์ ท่านไม่รู้หรือ?” ก็คือเมื่อเราเปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ พระเจ้าได้ผ่าตัด ย้ายวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นตัวตนจริงๆ ของเรา ซึ่งอยู่ในอาดัม อยู่ในบาป ย้ายจากอาดัมเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ (ทำอีกแล้ว … เอากระดาษ (วิญญาณของเรา) ใส่เข้าไปในพระคัมภีร์ (พระคริสต์) …) เรียกว่าบัพติศมาเข้ามาอยู่ในพระคริสต์ ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในพระคริสต์
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เมื่อมนุษย์คนใดเปิดใจต้อนรับความจริงของข่าวดีนี้ว่าพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นตัวแทนของมนุษยชาติที่พระเจ้าแต่งตั้ง ประทานให้มนุษยชาติ พอเขาเปิดใจปุ๊บ พระเจ้าทำสิ่งนี้เลย คือเอาวิญญาณของเขา วิญญาณเดิม บัพติศมาเข้าไปอยู่ในพระคริสต์
ข้อ 4 บอก “ฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการบัพติศมาเข้าในความตาย”
ยกแรก พระเยซูคริสต์ถูกตรึงตายที่ไม้กางเขน เราเลยถูกตรึงตายที่ไม้กางเขนกับพระองค์ วิญญาณท่านถูกตรึงอยู่แล้ว ตอนนี้ พระเจ้าได้ทำการผ่าตัดวิญญาณท่าน เอาวิญญาณท่านเข้ามาในพระเยซูคริสต์ พอพระเยซูถูกตรึง ท่านก็ได้ถูกตรึงพร้อมกับพระเยซู เห็นไหม? พระเยซูถูกตรึงที่ไม้กางเขน ท่านถูกตรึงด้วย
“เพื่อว่าเราเองก็จะได้มีชีวิตเช่นเดียวกันกับที่พระองค์ทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย โดยพระเกียรติสิริของพระบิดา” ก็คือขณะที่เราตายกับพระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เราก็ไปอยู่ในอุโมงค์ด้วย และในวันที่ 3 พระเจ้าได้ทรงชุบพระเยซูคริสต์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย เราก็อยู่ในพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากคาวมตายด้วย มันหมายถึงอย่างนั้น
“ถ้าเราได้มีส่วนกับพระองค์ในการตายเหมือนพระองค์” ถ้าเราอยู่ในการตายที่ไม้กางเขน อยู่ในพระเยซูคริสต์ ตายที่ไม้กางเขนร่วมกับพระองค์ “แน่นอน เราจะมีส่วนร่วมในการเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์” ตอนที่พระองค์ถูกยกขึ้นมาสูงสุด อยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในโลกวิญญาณนั้น เราก็อยู่ในพระคริสต์ เราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานด้วยเช่นเดียวกัน นี่แหละที่เราร้องเพลงกันว่า …
“เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว พระเยซูทรงเป็นขึ้นแล้ว
เป็นขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว ฉันก็เป็น ขึ้นพร้อมพระองค์”
นี่คือข่าวดี ถามว่ารอให้ตายแล้วถึงเป็นไหม? ไม่ใช่ เป็นขึ้นแล้ว ในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้อยู่ และมันจะเป็นอย่างนี้ไปตลอดนิรันดร์ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย
เห็นภาพนี้ไว้ก่อนนะ จำไว้นะว่าเราอยู่ในพระเยซู … เห็นไม้กางเขน พระเยซูถูกตรึง เราก็ถูกตรึงอยู่ด้วย พระเยซูถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เราก็ถูกฝังด้วย วันที่ 3 พระเจ้าได้ชุบพระเยซูให้ขึ้นจากความตาย และแต่งตั้งให้พระองค์นั่งอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน มีอำนาจสูงสุด ครอบครองเหนือทุกสิ่ง ด้วยฤทธิ์อำนาจ เราก็อยู่ในพระองค์นั่นแหละ อ่านโคโลสี 3:1-4 …
โคโลสี 3:1-4 “1 ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว ก็จงให้ใจของท่านจดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 2 จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก 3 เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่าน ถูกซ่อนอยู่กับพระคริสต์ในพระเจ้า 4 เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏ พร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย”
“ในเมื่อทรงให้ท่านทั้งหลายเป็นขึ้นกับพระคริสต์แล้ว” เห็นภาพแล้วนะตอนนี้ เห็นชัดเลยว่าท่านอยู่ที่ไหน? ท่านกำลังนั่งอยู่กับพระคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ท่านกำลังนั่งอยู่ที่นั่นในขณะนี้
“ฉันกำลังนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานกับพระเยซูคริสต์”
“ก็จงให้ใจของท่าน” ก็คือความคิดจิตใจของท่าน จดจ่อกับสิ่งที่อยู่เบื้องบน ที่ซึ่งพระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า” เมื่อเป็นอย่างนั้น เกี่ยวกับโลกวิญญาณที่เกิดขึ้นอย่างนั้น ก็จงให้ความคิดของท่าน คิดอยู่ตลอดเวลาว่า …
“ฉันได้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นบนโลกจะแย้งอย่างไร? ไม่ว่ามารจะโกหกอย่างไร? ฉันก็ยังคงยึดมั่น เห็นภาพนั้นว่าฉันนั่งอยู่กับพระเยซูคริสต์ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น” นี่แหละ คือการฉลอง
ข้อ 2 บอกว่า “จงให้ความคิดของท่านจดจ่ออยู่กับสิ่งเบื้องบน ไม่ใช่สิ่งฝ่ายโลก” ให้จดจ่อกับความจริงเรื่องเบื้องบน คือตะกี้นี้ที่เราพูดถึงที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ในโลกวิญญาณ จดจ่อตรงนี้ตลอดเวลา อย่าให้ถูกดึงไปตรงนั้น ดึงไปตรงนี้
มารก็จะส่งข้อมูลเข้ามา “เราเป็นมนุษย์คนเดียว ไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าได้อย่างไร? โอ๊ย! ยังคิดอิจฉาเขาอยู่เลย ยังคิดโลภอยู่เลย แล้วจะไปนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานได้อย่างไร?”
“ใม่รู้แหละ ในโลกวิญญาณ ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถานแล้ว มารแกแพ้ไปแล้ว แกหมดฤทธิ์ไปเรียบร้อยแล้ว ฉันไม่ได้เป็นทาสแก ฉันไม่เชื่อแกอีกต่อไป”
ข้อ 3 บอกว่า “เพราะตัวเก่าของท่านได้” ตายไปเมื่อไร? ถูกตรึงอยู่ที่ไม้กางเขนร่วมกับพระเยซูคริสต์ อยู่ในพระเยซูคริสต์ ถูกตรึงตายไปแล้ว ก่อนจะเป็นขึ้นมาใหม่ ก็ต้องตายก่อน ไม่อย่างนั้นจะเป็นขึ้นมาใหม่ได้อย่างไร? การเป็นขึ้นมาใหม่ตรงนี้ ก็คือการบังเกิดใหม่ที่พระเยซูคริสต์บอก ใครจะเข้าสวรรค์ได้ ต้องบังเกิดใหม่ การบังเกิดใหม่ ก็คือการเป็นขึ้นมาใหม่ อันเดียวกันนั่นแหละ คนจะเข้าสวรรค์ได้ ต้องเป็นขึ้นจากตาย ก็คือต้องบังเกิดใหม่ เหมือนพระเยซูที่บังเกิดใหม่ ฉะนั้น ก่อนที่พระเยซูจะบังเกิดใหม่ พระเยซูตายที่ไม้กางเขน เราก็ได้ตายไปแล้ว เพื่อจะได้บังเกิดใหม่
ในนี้ก็บอก “เพราะท่านตายแล้ว และบัดนี้ ชีวิตของท่านถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ ในพระเจ้า” ซ่อนอยู่ในพระคริสต์ อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์สถาน ที่เบื้องขวาของพระองค์
ข้อ 4 “เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ” เราถูกซ่อนอยู่ในนี้ ซ่อนอยู่ถึงเมื่อไร? “เมื่อพระคริสต์ผู้ทรงเป็นชีวิตของท่านปรากฏ เมื่อนั้น ท่านก็จะปรากฏ พร้อมกับพระองค์ในพระเกียรติสิริด้วย” หมายถึงเมื่อถึงวันเวลาที่พระคริสต์จะกลับมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพื่อจบการพิพากษาบนโลกใบนี้ พระองค์จะกลับมาใหม่ เราทั้งหลายไม่ต้องถูกซ่อนอยู่อย่างนี้แล้ว เราทั้งหลายได้รับร่างกายใหม่จากพระเจ้า ร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ทุกข์ทรมาน ไม่เจ็บป่วย ไม่มีการตายอีกต่อไป ร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เหมือนพระเยซูคริสต์ ที่เป็นขึ้นจากความตาย เราจะได้รับร่างกายอย่างนั้นแหละ วิญญาณของเราจะได้รับร่างกายอย่างนั้น เมื่อเราจากโลกนี้ไป ทิ้งร่างเดิมนี้ไปเรียบร้อยแล้ว และวิญญาณ และร่างกายใหม่ที่เหมือนพระเยซูคริสต์ เรียกว่าเป็นผู้ชอบธรรมของพระเจ้า ที่จะกลับมาครอบครองโลกใหม่ สวรรค์ใหม่ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับมนุษย์ทั้งหลาย โดยมีพระเยซูคริสต์เป็นหัวหน้าของเรา เหมือนบทเพลงที่ร้องว่าวันนั้นจะมาถึง วันที่พระเยซูคริสต์จะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับธรรมิกชนทั้งหลาย ในหนังสือวิวรณ์เขียนไว้ ที่บอกว่า …
“ร้องสรรเสริญว่าฮาเลลูยา ร้องสรรเสริญว่าฮาเลลูยา
ร้องสรรเสริญว่าฮาเลลูยา คนชอบธรรมเดินหน้าเข้ามา”
ถึงวันนั้น วันพิพากษา วันจบสิ้นโลกใบนี้แล้ว พระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นหัวหน้าของมนุษยชาติทั้งหลาย ผู้ได้รับชัยชนะ เดินเข้ามาบนโลกใบนี้ เหล่าธรรมิกชนทั้งหลาย ทั้งหมด ทั้งปวงที่ได้เชื่อในพระองค์ ที่ได้เกิดใหม่ร่วมกับพระองค์ ที่ได้มีชีวิตซ่อนอยู่ในพระองค์ ปรากฏมาร่วมกับพระองค์ เดินมาพร้อมพระองค์ นี่แหละเขาเรียกว่าอย่างนั้น และท่านเป็นหนึ่งในจำนวนธรรมิกชนเหล่านั้นที่เดินเข้ามาหรือเปล่า? ต้องถามตัวท่านเอง ในห้องนี้คงจะอยู่ในนั้นหมดแล้ว กำลังถามท่านที่ฟังอยู่ที่บ้าน ที่ออนไลน์ว่า …
“ท่านคิดว่าท่านเป็นหนึ่งในนั้นไหม?”
ท่านจะเป็นหนึ่งในนั้นได้ ก็ต่อเมื่อท่านร่วมกับพระเยซูคริสต์ ตายพร้อมพระองค์ ถูกฝังไว้ในอุโมงค์พร้อมพระองค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม และทำอย่างนั้นได้ด้วยวิธีใด? เปิดใจต้อนรับข่าวประเสริฐนี้ ต้อนรับข่าวดีนี้ เรียกพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระผู้ไถ่บาป เป็นตัวแทนของมนุษยชาติ ในการทำศึกสงครามกับความบาปและความตาย และได้รับชัยชนะไปแล้ว เปิดรับพระองค์เข้ามา เอาชัยชนะในพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิต แค่เปิดใจเท่านั้นเอง ที่เหลือพระเจ้าทำหมด ที่เหลือพระเจ้าจะเข้ามาผ่าตัดวิญญาณของท่าน นำวิญญาณท่านเข้าไปอยู่ในพระคริสต์ แล้วเริ่มขบวนการตาย ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่สาม ได้รับชีวิตของพระเจ้านิรันดร์ ท่านจะทำไหม? ท่านอาจจะรับรู้ครั้งแรกในวันนี้ เรื่องราวของความจริงในโลกวิญญาณ ท่านลองกลับไปคิดใคร่ครวญไตร่ตรองดูว่ามันจริงหรือไม่จริง? และสมควรอย่างไร? และจำเป็นอย่างไร? ที่มนุษย์ทุกคนควรจะรับรู้เรื่องเหล่านี้ แล้วก็คิดใคร่ครวญ ทบทวนว่าเราพร้อมในการจากโลกนี้ไปไหม? เราพร้อมที่จะกลับมาใหม่พร้อมกับพระเยซูคริสต์หรือเปล่า? เราพร้อมจะยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้าผู้พิพากษาของมหาจักรวาลในวันพิพากษาไหม? เราพร้อมที่จะพูดว่าเราบริสุทธิ์ สะอาด ไม่มีบาปอะไรเลยในตัวเราแม้แต่นิดเดียว เราพร้อมไหม? พระเจ้าอวยพรครับ
************************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
พระเยซูผู้บริสุทธิ์ ได้มาล้างบาปให้กับมนุษย์ที่มีมลทินสกปรก โดยการรับเอาบาปและสิ่งสกปรกของมนุษย์ มาไว้ที่พระองค์เอง
ไบเบิลบันทึกไว้ว่า … “พระองค์เอง ทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกาย บนไม้กางเขนนั้น เพื่อเราจะได้ตายต่อบาป และมีชีวิตอยู่ เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์ พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย” (1 เปโตร 2:24)
และนี่คือวิธีเดียวเท่านั้น ที่ทำให้มนุษย์ได้รับการชำระล้างความสกปรก ให้กลับมาสะอาดได้ ชำระเอาความบาปออกไป กลับมาเป็นผู้บริสุทธิ์ได้
มนุษย์ทุกคนเป็นคนบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า และเพราะความบาปของมนุษย์ ไม่ได้มาจากการกระทำของมนุษย์เองเท่านั้น แต่เป็นเชื้อบาปที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด เพราะฉะนั้น การล้างบาป มนุษย์จึงไม่สามารถกระทำเองได้ การลบล้างความบาป จึงต้องไปแก้ที่ต้นเหตุ คือไปลบล้างเชื้อบาป ซึ่งพระคัมภีร์บันทึกไว้ชัดเจนว่าพระเจ้าทรงส่งพระเยซู พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ มาประสูติเป็นมนุษย์ เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว ที่จะช่วยมนุษย์ได้
“ในผู้อื่น ไม่มีความรอดเลย เพราะไม่ได้ประทานนามอื่น ที่จะช่วยให้เราทั้งหลายรอด แก่มนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” (กิจการ 4:12)
พระเจ้าอวยพรครับ