คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม 2020
เรื่อง “สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว”
ตอน 2 “โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์”
โดย นคร เวชสุภาพร
สวัสดีครับ วันนี้เป็นวันพิเศษ ทราบไหมว่าเป็นวันอะไร? วันนี้เป็นวันเพนเตคอส หรือวันที่พระเจ้าได้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาอยู่กับมนุษย์เป็นครั้งแรก และนับเป็นวันกำเนิดคริสตจักรแรกของโลก คือวันเกิดคริสตจักรสากล
คริสตจักร คือสถานที่อยู่ของพระเจ้า พระเจ้ามาสถิตอยู่กับมนุษย์ เรียกว่าคริสตจักร
สำหรับพิเศษที่สอง ก็คือนอกจากเป็นวันเกิดของคริสตจักรในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าคริสตจักรสากลแล้ว ยังเป็นวันครบรอบ 27 ปี คริสตจักรอภิสุทธิสถานแห่งนี้ ย่างเข้าสู่ปีที่ 28 แล้ว
เราย้อนหลังไปตั้งแต่วันศุกร์ประเสริฐ ที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน เราได้บอกแล้วว่าเราเชื่อในพระเยซู พอเราเชื่อปั๊บ พระเจ้าได้เอาวิญญาณเราเข้าไปในพระเยซูคริสต์เลย พอวันศุกร์ประเสริฐที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน พวกเราก็ตายด้วย เราตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน เพราะเราเชื่อพระเยซู พอพระเยซูเป็นขึ้นจากความตายในวันที่ 3 พวกเราก็เป็นขึ้นด้วย เพราะว่าเราเชื่อในพระเยซู เชื่อในข่าวดีของพระเยซู เราได้เข้าไปอยู่ในพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงตาย เราก็ตายด้วย พระองค์อยู่ในหลุมฝังศพ เราก็อยู่ด้วย เมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย
ใครอยากจะเป็นขึ้นจากความตาย ง่ายนิดเดียว คือเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูมาไถ่บาป เป็นตัวแทนของเราเท่านั้นเอง พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย ในวันที่ 3 พระคัมภีร์บอกว่าพระเยซูเอาชนะความบาปและความตาย และทำลายล้างอำนาจของมารซาตานเรียบร้อยไปแล้ว ในการเป็นขึ้นจากความตายนั้น พวกเราที่เป็นขึ้นจากความตายพร้อมกับพระเยซูคริสต์ เราก็เลยชนะความบาปและความตายไปด้วยเช่นเดียวกัน
พระเยซูปรากฏ หลังจากวันอีสเตอร์ คือหลังจากวันที่เป็นขึ้นจากความตาย นี่พูดถึงประวัติศาสตร์ พระเยซูปรากฏในร่างของการเป็นขึ้นจากความตาย อยู่กับบรรดาเหล่าสาวก เป็นเวลา 40 วัน วันที่ 40 พระเยซูถูกรับขึ้นไปอยู่ในสวรรค์ หรือเรียกบนสวรรค์ก็ได้กับพระเจ้า และหลังจากนั้นอีก 10 วัน ก็คือวันที่ 50 นับจากวันที่เป็นขึ้นจากความตาย นับจากวันอีสเตอร์ พระองค์ก็ได้ประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มาอยู่กับมนุษย์ และได้ทำการผ่าตัดมนุษย์เป็นครั้งแรก ก็คือได้ย้ายวิญญาณมนุษย์ ที่เป็นผู้เชื่อในข่าวดีนี้ ออกจากอาณาจักรแห่งความมืดของมารซาตาน เข้ามาสู่อาณาจักรของความสว่าง เรียกว่าอาณาจักรของพระคริสต์ ที่เรียกว่าสวรรค์ ก็คือที่อยู่ของพระเจ้านั่นเอง
ย้อนกลับไป เมื่อเดือนที่แล้ว นับจากวันอีสเตอร์ที่ผ่านมา วันนี้เป็นวันที่ 50 ก็คือวันที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่เราฉลองไปเมื่อ 7 สัปดาห์ที่แล้ว เราจึงเรียกวันนี้ว่าวันเพนเตคอส คำว่า “เพนเตคอส” เป็นภาษากรีก แปลว่าที่ 50 วันที่ห้าสิบเป็นวันอะไร? ก่อนหน้านี้ วันเพนเตคอส คือวันที่เขาฉลองการเก็บเกี่ยว และนำเอาผลแรกดีๆ มาถวายพระเจ้า ผู้คนที่เป็นยิว สมัยก่อนโน้น ก่อนที่พระเยซูจะมาเกิด อยู่ใต้บัญญัติ พระเจ้าได้สั่งให้ชาวอิสราเอล ผู้ชายทุกคนเอาผลแรก ที่ทำการเพาะปลูก การเกษตร ปศุสัตว์ เอามาถวายพระเจ้า ในวันนี้แหละ เขาเรียกว่าเทศกาลแห่งวันฉลองการเก็บเกี่ยว วันนี้จึงเป็นวันที่เรามาประกาศว่าพระเยซูคริสต์ เป็นผลแรกของพระเจ้า ที่เป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าได้ให้เกิดใหม่ และอยู่ในสวรรค์แล้ว พระเยซูอยู่ในสวรรค์แล้ว ในร่างกายของมนุษย์ที่เกิดใหม่ เพราะฉะนั้น วันนี้เราจึงมาประกาศว่า …
“พระเยซูอยู่ในสวรรค์แล้ว ฉันก็อยู่ด้วย”
อย่างที่ตะกี้นี้บอก พอเราเชื่อในข่าวดีนี้ พระเจ้าก็จับวิญญาณของเราเข้าไปอยู่ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน เราก็ตายด้วย เมื่อพระเยซูคริสต์ถูกฝังอยู่ที่อุโมงค์ เราก็ถูกฝังด้วย เมื่อพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย เราก็เป็นขึ้นจากความตายด้วย เมื่อพระเยซูคริสต์เข้าไปอยู่ในสวรรค์แล้ว เราก็เข้าไปอยู่ในสวรรค์ด้วย ในวิญญาณ เดี๋ยวจะอธิบายให้ฟังว่ามันมาได้อย่างไร?
เพราะฉะนั้น หัวข้อการบรรยายในวันนี้ จึงมีชื่อเรื่องว่า “สวรรค์อยู่ที่นี่แล้ว โฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์” ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ได้มีการบันทึกเอาไว้ว่าหลังจากที่พระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย มีอะไรเกิดขึ้นบ้างในโลกฝ่ายวิญญาณ พระคัมภีร์บอกว่าสิ่งที่มองเห็นอยู่ทุกวันนี้ คือวัตถุสิ่งของต่างๆ ที่เราจับต้องมองเห็นได้นั้น มันเกิดมาจากสิ่งที่มองไม่เห็น นี่คือความจริง นี่คือสัจจธรรม
ถามว่าความจริงตรงนี้ หมายถึงอะไร? พูดง่ายๆ ก็คือสิ่งที่มองไม่เห็น มันควบคุมการเกิดการอยู่ของสิ่งที่มองเห็น เพราะฉะนั้น เรื่องราวประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องโลกฝ่ายวิญญาณของมนุษยชาติที่เกิดขึ้นนั้น มันต้องใช้ตาวิญญาณเข้าไปเรียนรู้ เขาเรียกว่าใช้ความเชื่อว่ามันเป็นเช่นนั้น ตามหลักของพระคัมภีร์ ที่ได้บอกไว้ … ยกตัวอย่าง … เมื่อท่านจะศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ โลกฝ่ายวิญญาณ ท่านต้องเชื่อเบอร์แรกเลยว่าสิ่งที่มองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน จับต้องมองเห็นไม่ได้นั้น มีผู้สร้าง ท่านจะเรียกว่าพระเจ้า หรือเรียกว่าอะไรก็ตาม ท่านต้องเชื่อตรงนี้ก่อน เพราะถ้าไม่เชื่อตอนเริ่มต้นตรงนี้ ท่านจะไม่สามารถเรียนรู้จักประวัติศาสตร์มนุษยชาติในฝ่ายวิญญาณได้เลย แม้แต่นิดเดียว นี่บอกเคล็ดลับให้
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้น ก็ล้วนเป็นสิ่งที่พระเจ้าได้เตรียมแผนการทั้งหมดไว้เรียบร้อยแล้ว ในโลกวิญญาณ อย่างที่ผมบอกเสมอว่าถ้าท่านจะเรียนพระคัมภีร์ ถ้าท่านจะอ่านพระคัมภีร์ จงมองให้เห็นเถิด ในภาษาเดิม เขาแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า be hold คือมองด้วยตาธรรมดาไม่เห็น แต่จงมองให้เห็นด้วยตาฝ่ายวิญญาณของท่านเถิด จงมองให้เห็นเถิดว่าสิ่งเหล่านี้ที่เล่าให้ฟัง ที่กำลังเรียนรู้ ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่ได้บันทึกเอาไว้ถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่างๆ เหล่านั้น มันเล็งไปถึงเบื้องหลังในโลกฝ่ายวิญญาณว่ามันเกี่ยวอะไรกับโลกฝ่ายวิญญาณที่เกิดขึ้นบ้าง เอเมน
ดังนั้น แผนการเหล่านี้ทั้งหมด จึงเกิดจากสิ่งที่มองไม่เห็น ก็คือพระเจ้านั่นแหละ พระเจ้าจัดเตรียมไว้ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในการบันทึกในพระคัมภีร์นี้ เป็นสิ่งที่พระเจ้าวางแผนการไว้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งกำหนดไว้ล่วงหน้า ตั้งแต่ก่อนสร้างโลก พระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น แล้วพระเจ้าก็ได้บอกเล่าถึงแผนการนี้ มาเป็นระยะๆ เริ่มตั้งแต่ยุคปฐมกาล ตั้งแต่เริ่มต้น พระคัมภีร์ไบเบิ้ล ที่มนุษยชาติได้ตกลงไปในความบาป กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟัง และต้องได้รับโทษ ได้รับผลของความดื้อนั้น คือความตายและตาย คือตายทางร่างกายและวิญญาณ ต้องตกอยู่ในคำสาปแช่ง คือความเลวร้าย ความไม่ดีต่างๆ นับตั้งแต่วันนั้นมาถึงวันนี้ ก็หลายพันปีแล้ว และพระเจ้าก็ได้เตรียมแผนการ ตั้งแต่วันแรกเลยที่มนุษย์ตกลงไปในความบาป โลกทั้งใบ รวมทั้งมนุษยชาติบนโลกใบนี้ ตกลงไปในความเสียหาย เรียกว่าคำสาปแช่ง มีแต่ความไม่ดีต่างๆ พูดง่ายๆ ว่าตกนรกหมดเลย
และพระเจ้าก็ได้เตรียมแผนการที่จะช่วยเหลือมนุษยชาติ ให้รอดพ้นจากคำสาปแช่งนี้ รอดพ้นจากนรกนี้ อย่าเห็นนรกเป็นสวรรค์ไป สิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ทั้งหมด มันคือนรกทั้งนั้น มันคือความทุกข์ มันไม่ใช่ความสุขนิรันดร์ มันไม่มีจริงในโลกวัตถุนี้ เพราะมันตกอยู่ในคำสาปแช่ง คือนรกนั่นเอง
พระเจ้าวางแผนไว้ เพื่อจะช่วยเหลือมนุษยชาติ ให้รอดพ้นจากคำสาปแช่งนี้ รอดพ้นจากนรกนี้ รอดพ้นจากโทษของความบาปและความตาย คือผลของมัน ก็คือนรกนั่นเอง คือไม่มีพระเจ้า แล้วก็เต็มไปด้วยความเสียหาย เต็มไปด้วยความทุกข์ทรมานตลอดนิรันดร์
แผนการของพระเจ้านี้ได้รับการเผย เขาเรียกว่าบอกมาเป็นระยะๆ เพื่อให้มนุษย์มีความหวังบ้าง แม้แต่อยู่ในนรก ก็มีความหวัง แม้จะอยู่ในความสาปแช่งบนโลกใบนี้ที่ทุกข์ทรมานเหลือเกิน แต่ก็มีความหวังเป็นระยะๆ บอกมาตลอดเวลาว่าแผนการของพระองค์จะทำอะไร โดยการบอกล่วงหน้า ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ผู้เผยพระวจนะ ก็คือคนที่มีหน้าที่ มีตำแหน่งต่างๆ ซึ่งพระองค์ทรงใช้ก็มี อย่างเช่นผู้ที่มีตำแหน่งปุโรหิต … ปุโรหิต คือผู้ที่มีหน้าที่ติดต่อกับพระเจ้าได้บ้าง ในขณะนั้น ปุโรหิต คือพวกพระทั้งหลาย ติดต่อกับทางโลกฝ่ายวิญญาณต่างๆ แล้วก็มีอีกตำแหน่งหนึ่ง ก็คือพวกกษัตริย์ ก็ได้รับการใช้จากพระเจ้า ให้บอกล่วงหน้าถึงสิ่งเหล่านี้บ้าง ยกตัวอย่างเช่น กษัตริย์ดาวิด ปุโรหิต อย่างเช่นอาโรน แล้วก็หลังจากนั้น พวกที่ 3 คือคนธรรมดาที่เขาเรียกกันว่าคนธรรมดา แต่ไม่ธรรมดา คนธรรมดาที่เป็นพิเศษ คือพระเจ้าใช้เขาพิเศษ ชีวิตแบบแปลกๆ ไม่เหมือนธรรมดา มีชีวิตที่ติดสนิทกับพระเจ้ามากกว่าคนอื่นเขา เขาเรียกกันว่าผู้เผยพระวจนะ ก็คือพระเจ้าใช้เขาในการเผยถ้อยคำของพระองค์ บอกล่วงหน้าว่าแผนการของพระองค์จะมาทำอะไรที่นี่ อย่างนั้น อย่างโน้น อย่างนี้ บอกล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น ยกตัวอย่างเช่น พระเยซูจะมาเกิดเมื่อไร? อะไรต่างๆ เหล่านี้ นี่คือแผนการของพระเจ้าที่บอกมาเป็นระยะๆ ผ่านทางผู้เผยพระวจนะ ตำแหน่งต่างๆ เหล่านี้
แผนการของพระองค์ คือจะส่งพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ มาเพื่อไถ่บาปให้กับมนุษย์ มาเพื่อเอาคำสาปแช่ง ออกไปจากมนุษย์ มาเพื่อเอาสวรรค์เข้ามา เอานรกออกไป รวมความแล้วเป็นอย่างนั้นแหละ เผยพระวจนะว่าพระเยซูคริสต์จะมาเมื่อไร? มาทำอะไร? สวรรค์จะมาเมื่อไร? จนกระทั่งถึงผู้เผยพระวจนะ คนสุดท้าย ที่พระเจ้าใช้เขา ในการบอกแผนการล่วงหน้าว่าพระบุตรของพระองค์ ที่จะมาช่วยเหลือมนุษย์ให้พ้นจากนรก มีชื่อว่ายอห์น บัพติศโต หรือยอห์น ผู้ให้บัพติศมา เกิดขึ้นเมื่อประมาณ ปีค.ศ.26 ผมใส่ค.ศ. ไปเพื่อจะให้ท่านเห็นชัดเลยว่ามันเป็นประวัติศาสตร์จริงๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกใบนี้ จับต้องมองเห็นได้ เป็นประวัติศาสตร์บันทึกไว้ แต่เบื้องหลังของสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันมีผลกระทบในโลกฝ่ายวิญญาณว่าโลกฝ่ายวิญญาณ มีอะไรเกิดขึ้น สำคัญกว่าโลกวัตถุตั้งเยอะ ในมัทธิว 3:1-3
มัทธิว 3:1-3 “1 ครั้งนั้น ยอห์นผู้ให้บัพติศมาได้มาเทศนา ในถิ่นกันดารแห่งแคว้นยูเดีย 2 และกล่าวว่า “จงกลับใจใหม่ เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว” 3 ยอห์นผู้นี้แหละ ที่ถูกกล่าวถึง ผ่านทางผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า “เสียงของผู้หนึ่งร้องในถิ่นกันดารว่า ‘จงเตรียมทางสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า จงทำทางสำหรับพระองค์ให้ตรงไป”
อย่างที่ผมบอกว่าผู้เผยพระวจนะ ก็คือคนที่พระเจ้าใช้เขาเป็นกระบอกเสียงพูดแทนพระเจ้า ก็คือพระเจ้าพูดนั่นเอง ส่วนใหญ่เขาจะพูดคำว่า … พระเจ้าตรัสว่า … ผ่านทางคนๆ นั้น
เพราะฉะนั้น ตรงนี้ ข้อ 2 ยอห์นแค่เปิดปาก พระเจ้าใช้ปากของยอห์นพูดนั่นเอง ผมจะแปลอย่างนี้ชัดๆ ว่า …
“เมื่อ ค.ศ.26 พระเจ้าประกาศว่า … พระเจ้าบอกล่วงหน้าอีกแล้วว่าจงกลับใจใหม่ อาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว ใกล้มากๆ แล้ว ที่รอกันมาเป็นพันๆ ปีนั้น ตอนนี้มาอยู่ใกล้ๆ แล้ว ที่บอกว่าพระเมสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอดจะมาบังเกิดที่เบธเลเฮ็ม พระมาซีฮาห์จะตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 จะชำระบาปเรา รักษาเราให้หายจากโรคบาปทั้งสิ้นนั้น นำสวรรค์เข้ามา มันใกล้แล้ว”
นี่ประกาศตอน ค.ศ.26 และประกาศว่าอย่างไรอีก พระเจ้าประกาศ ในข้อ 3 บอกว่า …
“จงเตรียมทางสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า จงทำทางสำหรับพระองค์ให้ตรงไป”
ก็คือจงเตรียมรับพระเยซูคริสต์ พระมาซีฮาห์มาแล้ว ผู้ช่วยให้รอดของเรามาแล้ว รอคอยมาตั้งนานใช่ไหมมนุษยชาติ วันนี้มาแล้ว ใกล้แล้วๆ พระเจ้าประกาศ หลังจากผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย ที่พระเจ้าใช้ คือยอห์น บัพติศโตแล้ว ประกาศว่า …
“แผ่นดินสวรรค์ อาณาจักรสวรรค์ อาณาจักพระเจ้าใกล้แล้ว มาถึงแล้ว ใกล้ๆ แค่นี้เอง”
หลังจากนั้น ก็ไม่เห็นผู้เผยพระวจนะมาประกาศแล้ว เพราะใกล้แล้ว ถูกไหมครับ ค.ศ.26 ปรากฏว่าข่าวดี ไม่ใช้ผู้เผยพระวจนะ แต่พระเจ้าทรงใช้พระบุตรของพระองค์เอง คือพระมาซีฮาห์ ผู้ที่มาเกิด เป็นมนุษย์แล้ว อยู่ในแผนการของพระเจ้าแล้ว เดินอยู่บนโลกใบนี้แล้ว เป็นผู้ประกาศเองเลย ก็คือพระเยซูคริสต์ประกาศเองเลย มัทธิว 4:17 บันทึกเอาไว้
มัทธิว 4:17 “ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูทรงเริ่มต้นเทศนาว่า “จงกลับใจใหม่ เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว”
พระเยซูประกาศเองเลย “จงกลับใจใหม่ เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว” มาใกล้ๆ แล้ว จะหลุดพ้นจากนรกแล้ว ประกาศเมื่อ ค.ศ.26 ทำไมผมชอบใส่ค.ศ. เพราะผมอยากให้ท่านเห็นความชัดเจน การบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ ในโลกที่ตามองเห็น บันทึกเอาไว้จริงๆ แล้วทำอย่างนี้ในพระคัมภีร์ เล็งถึงโลกวิญญาณอะไรบ้าง?
ยอห์น บัพติศโตหรือผู้ให้บัพติศมา เป็นผู้เผยพระวจนะคนสุดท้าย ตั้งแต่นั้น พระเยซูตระเวนประกาศ เริ่มต้นตั้งแต่ค.ศ.26 จนถึงค.ศ.29 ทำการ 3 ปีเอง 3 ปีนี้ ทำอย่างเดียว คือประกาศเรื่องสวรรค์มาแล้ว สวรรค์มาแล้ว ใกล้ๆ นี่เอง แล้วก็ใช้การประกาศบ้าง เทศนาบ้างว่าจงกลับใจใหม่ เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว และยังบอกให้สาวกสนิทๆ ตอนนั้น ไปประกาศอย่างนี้เช่นเดียวกัน สวรรค์อยู่ใกล้แล้ว มัทธิว 10:7 ได้บันทึกเอาไว้อย่างนี้
มัทธิว 10:7 “ขณะที่ไป จงประกาศข่าวสารที่ว่าอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว”
นี่บอกสาวกตั้งแต่สมัยที่พระเยซูยังเดินอยู่บนโลกใบนี้ ใน 3 ปี ทำการประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ว่าพระองค์จะมาทำไม? ยังไม่ถึงการปฏิบัติภารกิจการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เพื่อไถ่บาป ยังไม่ได้ทำตรงนั้น ก็เลยบอกให้พวกเหล่าสาวกที่ติดตามตอนนั้น ออกไปประกาศเช่นนี้ เช่นเดียวกับพระองค์ คืออาณาจักรสวรรค์มาใกล้ๆ แล้ว
ในช่วงเวลาประมาณ 3 ปี ก่อนที่พระเยซูจะสิ้นพระชนม์ คือประมาณปี ค.ศ.26 ถึง ค.ศ.29 … 3 ปี ตามบันทึกประวัติศาสตร์บอกว่าพระเยซูประสูติเมื่อ 4 ปีก่อนคริสตศักราช นี่ประวัติศาสตร์ ก็แสดงว่าค.ศ.1 พระเยซูมีอายุ 4 ปี พระองค์เริ่มตระเวนเทศนาสั่งสอน เมื่ออายุได้ 30 ปี ก็คือปีค.ศ.26 ขึ้นอยู่กับการตั้งเริ่มของปีค.ศ. เพราะฉะนั้น เราจึงสามารถเทียบได้ว่าเมื่ออายุ 30 ปี ก็คือปีค.ศ.26 พระเยซูเริ่มต้นประกาศ เริ่มต้นรับใช้พระเจ้าในการเป็นพระบุตรของพระเจ้า คือประกาศว่าพระองค์มาทำอะไร? พระองค์เป็นใคร? พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า สวรรค์มาถึงตรงนี้แล้ว สวรรค์มาใกล้ๆ แล้ว ก่อนที่พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จ ในอีก 3 ปีข้างหน้า พระองค์ประกาศในช่วง 3 ปีก่อน ถูกตรึงที่ไม้กางเขน พระเยซูได้ตระเวนประกาศเรื่องเดียว ไม่มีเรื่องอื่น ไม่ได้มาสอนศีลธรรม ไม่ได้มาสอนว่าให้ทำอันโน้น อันนี้ ประกาศอย่างเดียวเลย สวรรค์เป็นอย่างไร? หน้าตาลักษณะเป็นอย่างไร? ในทางโลกวิญญาณทั้งสิ้น เพื่อท่านจะได้เข้าใจ อย่าไปตีความแบบไม่ใช่โลกวิญญาณ ท่านจะเข้าใจผิด ท่านจะหลงทาง
พระเยซูได้ตระเวนประกาศในเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์ พระคัมภีร์มีบันทึกไว้มากมาย ถึงคำอุปมาของพระเยซู ทั้งหมดเลยนะ เปรียบอาณาจักรสวรรค์เป็นขุมทรัพย์อันล้ำค่าบ้าง เป็นเหมือนสวนองุ่นบ้าง เหมือนไข่มุกเม็ดงาม ที่คนมาเจอ แล้วต้องทิ้งทุกอย่าง ทิ้งโลกใบนี้ แล้วมาหาพระองค์ ก็คือหาโลกฝ่ายวิญญาณอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ประมาณนี้ มาดูลูกา 17:20-21 …
ลูกา 17:20-21 “20 คราวหนึ่งพวกฟาริสีมาทูลถามว่า “อาณาจักรของพระเจ้า จะมาถึงเมื่อใด” พระเยซูตรัสตอบว่า “อาณาจักรของพระเจ้า ไม่ได้มาอย่างที่ท่านสังเกตได้ 21 ทั้งผู้คนจะไม่กล่าวว่า ‘อาณาจักรนั้นอยู่ที่นี่’ หรือ ‘อยู่ที่นั่น’ เพราะอาณาจักรของพระเจ้า อยู่ภายในพวกท่าน”
พวกฟาริสี เขาได้ยินพระเยซูประกาศว่าสวรรค์เข้ามาใกล้แล้ว ได้ยินพวกสาวกประกาศว่าสวรรค์เข้ามาใกล้แล้ว เขาก็คิดแบบมนุษย์ว่าอาณาจักรสวรรค์ที่จะมา เป็นลักษณะเป็นอย่างไร? เพราะในหัวเขา ในความคิดของเขา เขาคิดแต่ว่าอาณาจักรสวรรค์มา คือถ้าพระเจ้ามานะ อิสราเอลต้องเป็นมหาอำนาจโลกเลย ต้องหลุดพ้นจากการเป็นเชลย เป็นทาสของโรมันในสมัยนั้น จะไม่มีใครมาข่มเหงชาวยิวได้อีกแล้ว โรมันจะต้องพ่ายแพ้แน่ เราจะเป็นกองทัพใหญ่ เหมือนกับสมัยโซโลมอน เป็นประเทศมหาอำนาจใหญ่ มีกิน มีอยู่ มีใช้รุ่งเรืองเหลือเกิน เขาคิดอย่างนั้น แค่นั้นว่าพระเยซูอาจจะเป็น หรือว่าถ้าเป็นพระเจ้า มาจริงๆ คงมาในรูปลักษณะความยิ่งใหญ่ แบบตามองเห็น หูได้ยิน เขาหวังแต่แค่วัตถุสิ่งของเหล่านั้น ซึ่งมันถูกหลอกไง อย่างที่ผมบอก มันต้องดูโลกฝ่ายวิญญาณ
กลับมา … พระเยซูตอบเขาว่าอาณาจักรของพระเจ้า ก็คือสวรรค์ไม่ได้มาอย่างที่ท่านสังเกตได้ ก็คือไม่ได้มาอย่างวัตถุสิ่งของจับต้องมองเห็นได้ ทั้งผู้คนจะไม่กล่าวว่าอาณาจักรนั้นอยู่ที่นี่ หรืออยู่ที่นั่น คือไม่ใช่อาณาจักรที่ท่านคิดในใจว่าเป็นมหาอำนาจอะไรต่างๆ เหล่านั้น หรืออยู่ที่นั่น แต่เพราะอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในพวกท่าน คำว่า “ภายในพวกท่าน” หมายถึงอยู่ในโลกวิญญาณ ภายในตัวนี้ ภาษาเดิม หมายถึงอยู่ในท่าน อยู่รอบตัวท่าน โอบอุ้มอยู่ข้างๆ ท่าน พูดง่ายๆ ว่าอยู่ในโลกวิญญาณ อยู่ในอากาศ อะไรต่างๆ เหล่านั้น ท่านมองไม่เห็นหรอก นี่คือสิ่งที่พระเยซูบอก และเล็งไปถึงการเกิดขึ้นในโลกวิญญาณว่าความจริงในโลกวิญญาณตรงนี้หมายถึงอะไร?
เพราะอาณาจักรของพระเจ้า อยู่ภายในพวกท่าน โลกวิญญาณที่มองไม่เห็น อยู่ในวิญญาณของท่าน วิญญาณของท่านก็อยู่ในโลกวิญญาณเช่นเดียวกัน แต่ขณะนี้ อยู่ในโลกวิญญาณที่เป็นอาณาจักรนรก เพราะถูกสาปแช่ง ถูกลงโทษเหมือนบรรพบุรุษ แต่สวรรค์กำลังมา ทั้งหมดนี้กำลังเกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณทั้งสิ้น
ฟาริสีอีกคนหนึ่ง ชื่อนิโคเดมัส … นิโคเดมัสก็แอบย่องมาหาพระเยซูตอนกลางคืนเหมือนกัน ได้ยินว่าสวรรค์มาใกล้ๆ แล้ว คนนี้พูดเข้าท่าดี อยากจะรู้ว่าเป็นอย่างไร? แล้วก็เห็นเขาทำการอัศจรรย์ด้วย คือพระเยซูทำอัศจรรย์เยอะแยะ อยากจะมาคุยด้วยว่ามันเป็นอย่างไร? ก็ย่องมาหาพระเยซูตอนกลางคืน อาจจะกลัวเพื่อนฝูงที่เป็นใหญ่ เป็นโต มีตำแหน่งในสภาของยิว อาจจะไปฟ้อง หรืออาจจะดูถูกเอา เลยแอบมาดูว่าจริงๆ มันเป็นอย่างไร? ก็มาถามพระเยซู นิโคเดมัสถามว่าจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ทำอย่างไร? พระเยซูบอกว่าคนที่จะเข้าอาณาจักรสวรรค์ได้ต้องบังเกิดใหม่ นิโคเดมัสตกใจ งง เกิดใหม่อย่างไร? เรากลับไปมุดอยู่ในครรภ์มารดา แล้วคลอดมาใหม่อีกทีหนึ่งหรือ? มนุษย์คิดอย่างนี้ คิดแต่สิ่งของที่จับต้องมองเห็นได้ นึกไปไม่ถึงโลกฝ่ายวิญญาณหรอก เพราะเขาตกอยู่ในความบาป ในคำสาปแช่ง ความสามารถในตาวิญญาณมันดับไป เขาเรียกว่าตาบอดในวิญญาณ ไม่เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ พระเยซูบอกว่าสวรรค์มาอยู่ใกล้ๆ ผู้ที่จะเข้าในสวรรค์ได้ จะต้องบังเกิดใหม่เท่านั้น พระเยซูพูดถึงโลกวิญญาณนั่นเอง
พระเยซูตระเวนประกาศอย่างนี้ 3 ปี จนกระทั่งปีค.ศ.29 พระเยซูก็ได้ปฏิบัติภารกิจ ตามที่พระเจ้าได้วางแผนการไว้มาตั้งนานแล้ว ในการที่จะใช้พระองค์เป็นเครื่องบูชาลบล้างความผิดบาปของมวลมนุษยชาติ แบกรับเอาคำสาปแช่งของมวลมนุษยชาติไว้ที่พระองค์เอง บนไม้กางเขนนั่นเอง บอกมาตั้งนานแล้ว ตั้งหลายพันปีแล้ว บัดนี้มันใกล้แล้ว ฮีบรู 9:15 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
ฮีบรู 9:15 “ด้วยเหตุนี้ พระคริสต์จึงทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ เพื่อบรรดาผู้ที่ทรงเรียกนั้น จะได้รับมรดกนิรันดร์ ซึ่งทรงสัญญาไว้ เพราะพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์ เป็นค่าไถ่ เพื่อปลดปล่อยเขาให้เป็นอิสระจากบาป ซึ่งได้ทำภายใต้พันธสัญญาแรก”
“ด้วยเหตุนี้ พระคริสต์จึงทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่” ก็คือเป็นคนกลางในการชดใช้โทษบาปของมวลมนุษยชาติไปเรียบร้อยแล้ว ในพันธสัญญาใหม่ พันธสัญญาเก่าคืออะไร? พันธสัญญาเก่า คือใต้กฎของคำสาปแช่ง ที่ได้ละเมิด กบฏต่อพระเจ้า ไม่เชื่อฟัง ดื้อ แล้วมันก็มีผลขึ้นมา ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษของเรา แต่ตอนนี้พระเยซูมาใช้บาปเหล่านั้น ใช้โทษเหล่านั้นให้หมดสิ้นแล้ว กาลาเทีย 3:13 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
กาลาเทีย 3:13 “พระคริสต์ได้ทรงไถ่เรา พ้นจากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ โดยทรงรับคำสาปแช่งแทนเรา เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า “ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ ก็ถูกแช่งสาปแล้ว”
เห็นไหมครับ? พระเยซูมาเพื่อเอาคำสาปแช่งของมวลมนุษยชาติ ที่ตกในนรก เป็นโทษ เอาคำสาปแช่งออกไป เอาพระพร ความเป็นสวรรค์เข้ามาแทน นรกเอาออกไป เอาสวรรค์เข้ามาแทนที่ โดยการที่พระองค์ถูกตรึงอยู่ที่ไม้กางเขน
วันศุกร์ประเสริฐ บ่าย 3 โมงที่ไม้กางเขน เมื่อประมาณเกือบ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูสิ้นพระชนม์ ก่อนจะสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงตรัสว่า “เทสเทเรสไตล์” ภาษากรีก แปลเป็นไทยว่า “สำเร็จแล้ว” หรือว่า “จ่ายหมดเรียบร้อยแล้ว” จ่ายหนี้บาปของมวลมนุษยชาติให้หมดทุกคนเลย มวลมนุษยชาติไม่เป็นหนี้ใครอีกแล้ว เราจ่ายให้หมดแล้ว สำเร็จแล้ว
ก็คือแผนการของพระเจ้า ที่ได้จัดเตรียมเอาไว้ ตั้งเป็นพันๆ ปีมาแล้ว สำเร็จแล้ว ณ วันที่พระเยซูได้ถูกตรึงและสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน และวันที่ 3 พระเจ้าได้ชุบพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อพิสูจน์ว่าพระเยซูเป็นบุตรของพระเจ้า เป็นพระมาซีฮาห์จริงๆ จึงสามารถเป็นขึ้นจากความตายได้ และพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นผลแรกในการเป็นขึ้นจากความตาย สำหรับผู้ที่จะเชื่อพระองค์ในอนาคต ที่จะเป็นขึ้นจากความตายเหมือนพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ หลังจากที่พระเยซูตายที่ไม้กางเขน ลงไปอยู่ในอุโมงค์ แล้วก็เป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 หลังจากการเป็นขึ้นจากความตาย พระเยซูปรากฏร่างที่เป็นขึ้นจากความตาย ที่มีสง่าราศี เป็นพระเจ้าแล้วนั้น และเข้ามาอยู่ ให้สาวกได้จับต้องมองเห็นพระองค์ได้ คือมาอยู่ด้วยกันกับสาวก เป็นเวลาถึง 40 วัน เพื่อยืนยันการเป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ว่า …
“นี่เป็นฉันจริงๆ นะ เป็นพระเยซูจริงๆ นะ”
หลังจาก 40 วันแล้ว ก็ถูกรับเข้าไปอยู่ในสวรรค์สถาน เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณ ในหนังสือกิจการ 1:3-5 ได้บันทึกเรื่องราวประวัติศาสตร์นี้ไว้ว่า …
กิจการ 1:3-5 “3 ภายหลังที่พระองค์ได้ทรงทนทุกข์ ก็ได้ทรงสำแดงพระองค์แก่คนเหล่านั้นและให้ข้อพิสูจน์หลายประการ ที่ยืนยันว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ทรงปรากฏแก่พวกเขา ในช่วงสี่สิบวัน และตรัสเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้า 4 ครั้งหนึ่ง ขณะทรงร่วมรับประทานอาหารกับพวกเขา พระองค์ทรงบัญชาพวกเขาว่า “อย่าออกจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่จงรอคอยของประทานที่พระบิดาของเราได้ทรงสัญญาไว้ ดังที่พวกท่านได้ยินเรากล่าวไว้ 5 ด้วยว่า “ยอห์นให้บัพติศมาด้วยน้ำ แต่อีกไม่กี่วัน พวกท่านจะได้รับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
“หลังจากที่พระองค์ทรงทนทุกข์” ก็คือทุกข์ทรมาน สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขน พระองค์ก็ได้ปรากฏพระองค์ เพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นขึ้นจากความตายจริงๆ ได้กินข้าวกับพวกเขา ให้เอามือพวกเขามาจับรอยแผลของพระองค์ว่าเป็นอย่างไรบ้าง? ในนี้บอกหลายประการ เพื่อยืนยันว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่ พวกเขาตื่นเต้นขนาดไหน? เมื่อไม่กี่วันก่อน เขายังเห็นพระเยซู ถูกตรึงที่ไม้กางเขน เลือดอาบเลย ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ เห็นชัดๆ เลย แล้วนี่เป็นไปได้หรือ! พระเยซูยืนอยู่ต่อหน้าเรา เป็นพระเยซูเดียวกัน ที่เป็นขึ้นใหม่แล้ว เป็นไปได้หรือ? พระเยซูจึงต้องยืนยันอย่างนั้น
พระองค์ทรงพระชนม์ เพื่อให้รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตายจริงๆ พระองค์ทรงปรากฏแก่พวกเขาในช่วง 40 วัน คือตั้งแต่วันแรกจนถึงวันที่ 40 วันแรก คือวันที่พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย ก็คือวันอีสเตอร์ ในช่วง 40 วัน พระองค์ปรากฏตรงโน้นตรงนี้ ตรงนั้น มีอยู่ครั้งหนึ่งปรากฏต่อผู้คนครั้งเดียว 500 คน ได้เห็นพระเยซูที่เป็นขึ้นจากความตาย ตกใจไหมล่ะ แต่หลังจากตกใจแล้ว พระเยซูก็ได้พูด ได้คุย จนพวกเขามั่นใจแล้วว่าเป็นพระเยซู ท่านลองคิดดู ถ้าเป็นเรา เราจะมีความเชื่อศรัทธามากขนาดไหน? ล้นขนาดไหน? แล้วพระองค์ทรงปรากฏในช่วง 40 วัน เพื่ออะไรอีก?
อ่านดูตรงนี้ “และตรัสเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์” ก็มาพูดเหมือนเดิม อาณาจักรสวรรค์ที่บอกอยู่ใกล้ ตอนนี้มาแล้ว อยู่ยิ่งใกล้ใหญ่เลย สำเร็จแล้ว จบแล้ว แต่รอสถาปนาเท่านั้นเอง สำเร็จแล้วที่ไหน? ที่การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตาย เป็นการตอกฝาโลงเลยว่างานนี้จบแล้ว แต่รอพระราชโองการจากพระเจ้า พระบิดาว่าเริ่มต้นมีผลเมื่อไร? แต่มันสำเร็จตั้งแต่วันนั้นแล้ว วันที่พระองค์ทรงเป็นขึ้นจากความตาย จบแล้ว ว่ากันตามจริง จบตั้งแต่ที่พระองค์บอกว่าสำเร็จแล้วนั้นแหละ คราวนี้รอขบวนการของผลที่จะประกาศออกมา พระองค์คงจะเล่าอย่างนี้นะ ตรัสเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์
ยกตัวอย่างเช่น ครั้งหนึ่งพระองค์ทรงรับประทานอาหารกับพวกเขา ถามว่ารับประทานอย่างไร? ให้รู้ว่าเป็นพระเยซูจริงๆ อาการก็คือพระเยซูที่พวกเขาคุ้นเคย เดินด้วยกันตลอด 3 ปีนั้น แล้วพระเยซูก็สั่งพวกเขาด้วยว่ายอห์น บัพติศโตให้บัพติศมาด้วยน้ำ ที่แม่น้ำจอร์แดน คนมา ก็จุ่ม มุดลงไป แล้วขึ้นมา แล้วประกาศว่าคนนี้ ได้รับการชำระบาป จนหมดสิ้นแล้ว และได้กลับใจใหม่แล้ว แต่อีกไม่กี่วันหลังจากนั้น พวกท่านจะได้รับบัพติศมา จุ่มลงไป มุดลงไป โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์
ถามว่าพวกสาวกที่ได้ฟังตอนนั้นรู้เรื่องไหม? ไม่รู้ แต่พระเยซูบอกแล้วว่าตอนนี้ไม่รู้เรื่องหรอก แต่ไม่เป็นไร ฟังไว้ให้ดีๆ จดไว้ดีๆ เดี๋ยววันหนึ่ง เมื่อท่านบังเกิดใหม่ เมื่อพระวิญญาณมาอยู่กับท่าน พระวิญญาณจะบอกท่านเองว่าที่เราพูดมันหมายความว่าอย่างไร? กิจการ 1:8-9 ประวัติศาสตร์ได้บันทึกเอาไว้ว่าหลังจากนั้น เกิดอะไรขึ้นต่อ
กิจการ 1:8-9 “8 แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับฤทธิ์อำนาจ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือพวกท่าน และพวกท่านจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม และทั่วแคว้นยูเดียกับสะมาเรีย จนถึงสุดปลายแผ่นดินโลก 9 หลังจากตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ก็ทรงถูกรับขึ้นไป ต่อหน้าต่อตาพวกเขา และมีเมฆมาปกคลุมพระองค์ จนพวกเขามองไม่เห็นพระองค์”
“บัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์” ขณะที่พวกเขากำลังงงๆ อยู่ หมายถึงอะไรหนา ต่างคน ต่างก็คิดไป บางคนก็คิดว่า …
“พระเยซูบังเกิดใหม่ เป็นขึ้นจากความตาย เต็มไปด้วยฤทธิ์อำนาจอย่างนี้ สบายแล้วพวกเรา ก็เหมือนอย่างที่ฟาริสีคิด ต่อไปนี้อาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่แล้ว อาณาจักรของพระองค์ ก็คือมหาอำนาจใหญ่หลวง ใหญ่โตยิ่งกว่าสมัยกษัตริย์ซาโลมอนอีก เราจะเป็นประเทศมหาอำนาจยิ่งใหญ่ เจริญรุ่งเรืองแล้ว ชาวยิวสบายแล้ว”
มีบางคนคิดแค่นั้น เพราะว่าเขายังไม่ได้บังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณ ยังมองไม่เห็นทะลุถึงโลกฝ่ายวิญญาณว่าอะไรเกิดขึ้นยิ่งใหญ่กว่านั้นตั้งเยอะ พระเยซูก็อธิบายให้เขาฟัง ในข้อ 8 ว่า …
“แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับฤทธิ์อำนาจ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือพวกท่าน”
มันหมายความว่าอย่างไร? จำได้ไหมที่พระเยซูบอก … “ผู้ใดที่จะเข้าสวรรค์ ผู้นั้นจะต้องบังเกิดใหม่”
ฤทธิ์อำนาจนี้ ก็คือฤทธิ์เดชทำให้เขาบังเกิดใหม่ ฤทธิ์อำนาจนี้มาจากใคร? มาจากเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือพวกท่าน ก็คือเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ถูกประทานโดยพระเจ้าพระบิดา ลงมาอยู่เหนือพวกท่านนั้น พระวิญญาณจะทำการให้ท่านบังเกิดใหม่ ในข้อ 5 ที่บอกไว้ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ เสด็จมาเหนือพวกท่าน ก็คือเมื่อพระวิญญาณเสด็จมาบัพติศมาท่าน จุ่มท่านลงไปในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ท่านจะได้รับการบังเกิดใหม่ กิจการ 1:10-11
กิจการ 1:10-11 “10 พวกเขากำลังแหงนหน้าเขม้นดูฟ้า ขณะที่พระองค์เสด็จไป ทันใดนั้นมีชายสองคน สวมชุดขาวมายืนอยู่ข้างๆ พวกเขา 11 และกล่าวว่า “ชนชาวกาลิลีเอ๋ย เหตุใดพวกท่าน จึงยืนมองท้องฟ้าอยู่ที่นี่ พระเยซูองค์นี้ ซึ่งถูกรับไปจากพวกท่านเข้าสู่สวรรค์นั้น จะเสด็จกลับมาอีก ในแบบเดียวกันกับที่พวกท่านเห็นพระองค์เสด็จเข้าสู่สวรรค์”
ก่อนที่พระองค์จะถูกรับขึ้นไปในสวรรค์ จะไม่ได้อยู่กับเขาแล้ว พวกเขาก็ไม่รู้หรอกว่าจะไม่อยู่กับเขาอีกนานเท่าไร? เขาไม่รู้ว่าจะต้องอีกกี่วัน พระองค์จึงต้องตรัสสั่งอะไรที่เป็นเรื่องสำคัญมาก ให้รอจนกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมา บัพติศมาท่าน ให้ท่านได้บังเกิดใหม่ ไม่งั้นท่านจะเห็นสวรรค์ไม่ได้ ไม่งั้นท่านจะเข้าสวรรค์ไม่ได้เลย และการบังเกิดใหม่มาจากฤทธิ์เดชอำนาจทางการบัพติศมาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น สั่งปุ๊บ พระเยซูก็ถูกรับขึ้นไปเลย ต่อหน้าต่อตาพวกเขาทั้งหลาย จนกระทั่งเหม่อลอย มีทูตสวรรค์มาบอก …
“เหม่อเรื่องอะไร?”
เป็นเรา คงตื่นเต้น อยู่มาตั้งหลายวัน 10, 20 บางคน 40 วันเลย อยู่ด้วยกัน ตอนนี้ลอยขึ้นไปเลย บอกให้รอ คงไม่ได้คิดถึงเรื่องสวรรค์อะไรต่างๆ คงงง แต่จำได้อย่างเดียวว่าพระเยซูบอกให้ไปรอก่อน รอที่พระบิดาทรงสัญญาไว้ จะทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมา แต่เขาไม่เข้าใจหรอกครับว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็ทำอย่างนั้น แล้วก็มองเห็นพระเยซูลอยขึ้นไป ก็เหม่อ จนทูตสวรรค์ต้องมาสะกิด
“เหม่อทำไม ก็ไปทำอย่างที่พระเยซูบอกสิ สั่งไว้แล้ว ให้ไปรอ พระเยซูที่ท่านเห็น ที่ถูกรับขึ้นไปสวรรค์ วันหนึ่งข้างหน้า จะกลับมาเหมือนที่ท่านเห็นพระองค์ ถุกรับขึ้นไป”
พอมาถึงวันที่ 50 เทศกาลเก็บเกี่ยว พระเยซูลอยขึ้นไปในวันที่ 40 พวกเขารออีก 10 วัน ก็เป็นวันที่ 50 ตอนนั้นเขาไม่รู้หรอกเป็นวันที่ 50 บอกให้รอ เขาก็ไปรอ พอถึงวันที่ 50 เป็นเทศกาล การเก็บเกี่ยวผลแรก ซึ่งเล็งถึงพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย แล้วเราทั้งหลาย ผู้เชื่อในพระองค์ก็จะเป็นขึ้นจากความตายเช่นเดียวกัน วันที่ 50 หรือวันเพนเตคอส เป็นวันแรกแห่งการเริ่มต้นสวรรค์บนโลก วันที่ 50 เป็นวันสถาปนาเกิดผลแล้ว ในสิ่งที่พระเยซูทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน และการเป็นขึ้นจากความตาย วันที่ 50 เกิดเป็นผลแล้ว คือสวรรค์ของพระเจ้า
สวรรค์ของพระเจ้า คืออะไร? คือที่สถิตของพระเจ้า ในอดีตที่เป็นเงา คือโฮลี่ ออฟ โฮลี่ส์ ก็คืออภิสุทธิสถาน แปลว่าสถานที่ที่บริสุทธิ์ที่สุด ที่พระเจ้าสถิตอยู่ หรือเรียกว่าวิหารของพระเจ้า ลงมาตั้งอยู่แล้วในโลกวิญญาณ จงมองให้เห็นเถิด วันที่ 50 วันเพนเตคอส สวรรค์ของพระเจ้า ที่สถิตของพระเจ้า วิหารของพระเจ้า ลงมาตั้งอยู่บนโลก ในโลกวิญญาณแล้ว ในใจของท่าน ก็คือในร่างกายของมนุษย์ เป็นวันแรกแห่งการเริ่มต้น ในโลกใบนี้ ที่สถานที่ที่เรียกว่าสถานที่ของพระเจ้ามาตั้งอยู่บนโลกใบนี้ ในร่างกายของมนุษย์ เกิดอะไรขึ้นในวันที่ 50 กิจการ 2:1-4
กิจการ 2:1-4 “1 เมื่อถึงวันเพ็นเทคอสต์ พวกเขาทั้งหมดมารวมอยู่ในที่เดียวกัน 2 ทันใดนั้นก็มีเสียงจากฟ้าสวรรค์ เหมือนเสียงพายุกล้า ดังก้องไปทั่วทั้งบ้านที่เขานั่งอยู่ 3 พวกเขาเห็นสิ่งที่ดูเหมือนเปลวไฟ รูปร่างคล้ายลิ้น กระจายออก และมาอยู่เหนือพวกเขาแต่ละคน 4 ทุกคนเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเริ่มพูดภาษาต่างๆ ตามที่พระวิญญาณทรงโปรดให้พวกเขา สามารถพูดได้”
เขาก็ไปรอตามที่พระเยซูบอกเขา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะมาบัพติศมาท่านให้เกิดใหม่
ข้อ 4 บอกว่าทุกคนเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็คือทุกคนได้รับการจุ่มลงไป พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็บัพติศมาพวกเขาลงไปในพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ มีอีกชื่อหนึ่งว่าพระวิญญาณของพระคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จุ่มพวกเขาลงไปในพระวิญญาณของพระคริสต์ ก็คือเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสต์ ได้บังเกิดใหม่ ขณะนั้นเลย
“บัพติศมา” คือการจุ่มลงไป เป็นหนึ่งเดียวกัน ดำมิดเป็นหนึ่งเดียวกัน เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่ยอห์น บัพติศโตทำเป็นเงาไว้ ก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาทำในลักษณะเป็นจริงในโลกวิญญาณ มุดลงไปในน้ำ ดำลงไปในน้ำ เป็นหนึ่งเดียวกับน้ำไปเลย เหมือนที่ผมเคยยกตัวอย่างบ่อยๆ
พอถึงวันนั้น วันที่ 50 ที่ห้องชั้นบนนั้น เหล่าสาวก ประมาณ 120 คนในวันนั้น พระวิญญาณได้บัพติศมาพวกเขาในวิญญาณ พระวิญญาณได้เข้ามาในวิญญาณของเขา ซึ่งเป็นวิญญาณที่อยู่ในความบาป อยู่ในความมืด อยู่ในนรก อยู่ในความสกปรก อยู่ในความตาย เป็นทาสมารอยู่นั้น พระวิญญาณได้เข้ามา นำวิญญาณของเขา
สมมติว่านี่เป็นวิญญาณของมนุษย์ ถ้าพูดตามประวัติศาสตร์ ก็คือเป็นวิญญาณของพวกเหล่าสาวก 120 คนนั้น พระวิญญาณได้นำเอาวิญญาณของพวกเขาจุ่มลงไป มุดลงไปในพระเยซูคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซู วันนั้น พระวิญญาณได้ทำการบัพติศมา คือการผ่าตัดวิญญาณของมนุษย์ที่เป็นความบาปนั้น เอาวิญญาณของมนุษย์นั้น เข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์ เข้าไปอยู่ในวิญญาณของพระคริสต์ เข้าไปอยู่ในพระคริสต์ พระคัมภีร์นี้สมมติว่าเป็นพระคริสต์มุดเข้าไปอยู่ในนี้เลย
เมื่อพระเยซูคริสต์ถูกตรึง ตาย ที่ไม้กางเขน วิญญาณของเราหรือของคนๆ นั้น ก็ได้ตายกับพระองค์ เมื่อพระองค์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์ วิญญาณของเราหรือของคนๆ นั้น ก็ถูกฝังด้วย เมื่อพระเยซูคริสต์ได้เป็นขึ้นจากความตาย วิญญาณของคนๆ นั้น ก็ได้เป็นขึ้นจากความตายด้วย เมื่อพระเยซูคริสต์ ได้ถูกแต่งตั้งให้นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เป็นคนสนิทของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เป็นลูกที่รักของพระองค์ คนๆ นั้นก็เป็นเหมือนที่พระเยซูคริสต์เป็น คือเข้าไปอยู่ในสวรรค์สถานแล้ว นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน เป็นคนสนิท เป็นลูกที่พระเจ้าทรงรักอย่างมากมาย เช่นเดียวกัน
นี่เป็นผลแรก เป็นการเริ่มต้น ศักราชใหม่ ในโลกวิญญาณ มนุษย์เข้าไปในโลกวิญญาณได้ด้วยวิธีนี้ เป็นครั้งแรก และหลังจากนั้น ก็มีครั้งที่สอง เป็น 3,000 คน และจาก 3,000 คนก็เยอะแยะไปหมด ใครก็ตามที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูก็จะเป็นอย่างนี้แหละ ได้บังเกิดใหม่ เข้าไปสู่สวรรค์ทันทีเลย เรียกว่าได้รับการบัพติศมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ให้บังเกิดใหม่นั่นเอง พระเจ้าได้ทรงสถาปนาสวรรค์สถาน ในร่างกายของมนุษย์ ในร่างกายของมนุษย์ที่อาศัยอยู่ ที่เชื่อในข่าวดี ข่าวประเสริฐของพระเยซู
สาวกเหล่านี้ได้เห็นพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เขาจึงเชื่อ ก็ได้รับพระพร พระเยซูบอกว่าแต่คนอื่นจะได้พระพรมากกว่านี้อีก คือคนเหล่านั้น ที่เชื่อในข่าวดีนี้ โดยไม่เห็นพระองค์เลย โดยไม่เห็นร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตายของพระองค์ เหมือนกับเหล่าสาวกเหล่านี้ ก็คือพวกเราทั้งหลายในยุคต่อๆ มา ใช้เชื่อเอา เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่พระองค์ประทานให้มนุษยชาติ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อชำระให้มนุษย์พ้นจากบาป คำสาปแช่ง และพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เพื่อสถาปนาว่าพระองค์เป็นพระเจ้าจริงๆ และปรากฏพระองค์เองจริงๆ ทุกวันนี้พระองค์นั่งอยู่ที่เบื้องขวาของพระเจ้า ในสวรรค์สถาน ใครที่เชื่อตรงนี้ พระวิญญาณก็จะเข้ามาบัพติศมาเขา ให้เขาได้บังเกิดใหม่ในวิญญาณ เป็นลูกของพระเจ้า เข้าไปอยู่ในสวรรค์ร่วมกับพระเยซูคริสต์ทันที
วันนี้จึงเป็นวันระลึกถึง หรือเรียกว่าวันสถาปนาอาณาจักรสวรรค์บนโลก วันฉลองอาณาจักรสวรรค์ในวิญญาณ คือคริสตจักรของพระเจ้า … “คริสตจักรของพระเจ้าคืออะไร?” ก็คืออาณาจักรของพระคริสต์ พระคริสต์เป็นพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า เพราะฉะนั้น คริสตจักร ก็คือสถานที่ หรือที่ที่พระเจ้าสถิตอยู่ เราทั้งหลายผู้เชื่อ คือคริสตจักรของพระเจ้า เป็นวิหารของพระเจ้านั่นเอง วันนี้จึงเป็นวันครบรอบ 1,991 ปี แห่งการสถาปนาอาณาจักรสวรรค์บนโลกใบนี้ ปีค.ศ.29 วันเพนเตคอสแรกจนถึงปัจจุบันนี้ ปีค.ศ.2020 วันนี้เพนเตคอสเหมือนกัน เป็นเพนเตคอสที่ผ่านมาแล้ว 1,991 ปี มีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนเลย หลั่งไหลกันเข้ามาสู่สวรรค์เยอะแยะไปหมด ได้บังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณนี้ทั้งหมด จงมองให้เห็นเถิด เมื่ออ่าน ศึกษาเรื่องประวัติศาสตร์มนุษยชาติระดับวิญญาณตรงนี้ จงมองทะลุไปให้เห็นเถิดว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของท่าน ถ้าท่านเป็นมนุษย์ มันได้เกิดขึ้นตรงนี้แล้วอย่างนี้ 1,991 ปีมาแล้ว ในโลกวิญญาณ จงรับรู้เถิดนี่เป็นข่าวดี
เพราะสำหรับเราทั้งหลาย ผู้คนทั้งหลาย ผู้ที่เชื่อในข่าวดีนี้แล้ว ถ้าพระเยซูเสด็จกลับมาวันนี้ เดี๋ยวนี้เลย หรือเราต้องตายต้องมรณา วิญญาณต้องออกจากร่างเดี๋ยวนี้ เราก็เป็นผู้ชอบธรรมที่บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาป เพราะขณะนี้ เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าเรียบร้อยแล้ว อย่างไรๆ ก็อยู่ในสวรรค์แล้ว เพราะอยู่แล้วเดี๋ยวนี้ สวรรค์อยู่ที่นี่แล้วเดี๋ยวนี้ เราไม่ได้หวังว่าจะไปอยู่ในสวรรค์ แต่เรามีสวรรค์อยู่ในใจเรา เรารู้แล้วว่าเราอยู่ในสวรรค์แล้ว ความหวังของเรา ก็คือเมื่อไรจะทิ้งร่างไปสักทีหนึ่ง ไปอยู่ในสวรรค์มันดีกว่าตั้งเยอะ ร่างกายอ่อนแอนี้ มันไม่อยู่ตลอดอยู่แล้ว ดีใจเหลือเกิน วันหนึ่งมันต้องทรุดโทรมไป และจะต้องตายไป ต้องจากไป ดีใจเหลือเกิน สำหรับผู้ที่เชื่อแล้ว ถึงบอกว่า …
“อยู่ ก็อยู่เพื่อพระคริสต์ ถ้าตาย ก็ได้กำไร”
1 โครินท์ 6:19 จึงได้บันทึกไว้อย่างนี้ชัดเจนแจ่มใสเลย …
1 โครินธ์ 6:19 “ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่าน เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้สถิตในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวท่านเอง”
พูดง่ายๆ ว่าพระเจ้า พระเยซูพูดกับเราผู้ที่เชื่อในข่าวดีของพระองค์แล้วผ่านทางอาจารย์เปาโล
“ลูกไม่รู้หรือว่าร่างกายของลูก เป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้สถิตอยู่ในลูกนะ ซึ่งลูกได้รับจากพระเจ้า พระบิดา ลูกไม่ใช่เจ้าของตัวลูกเองนะตอนนี้ พระเจ้าพระบิดาซื้อลูก หรือจ่ายค่าไถ่ลูกด้วยชีวิตของพระบุตร คือพระเยซูคริสต์นะ ร่างกายของลูกเป็นวิหารของพระเจ้าแล้วนะ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยนะ”
และฮีบรู บทที่ 10 ได้บอกเราในลักษณะเดียวกันนี้ ในฮีบรูบทที่ 9 บทที่ 10 บอกละเอียดมาก บอกว่าเราได้รับการชำระ ให้แยกส่วนเฉพาะเป็นของพระเจ้าแล้ว เมื่อตอนที่เราเชื่อในข่าวดีนี้ เราได้รับการชำระ เป็นสมบัติส่วนพระองค์ของพระเจ้า ได้ถูกทำให้บริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เท่าพระเยซูเลย
ซึ่งแน่นอน ไม่ใช่ความประพฤติของเราแน่ และไม่ใช่นิสัยของเรา แต่เป็นที่วิญญาณ ตัวจริงๆ แท้ๆ ของเรา ก็คือวิญญาณนี่แหละ เพราะว่าวิญญาณของเรา คือวิญญาณที่ได้บังเกิดใหม่ ด้วยฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ที่ได้บัพติศมาเราไปเรียบร้อยแล้ว มันเสร็จแล้ว สวรรค์จึงอยู่ที่นี่ จะไปอยู่ในสวรรค์ได้อย่างไร? ถ้าไม่สะอาดบริสุทธิ์เหมือนพระเยซูคริสต์ ไปอยู่กับพระเจ้าได้อย่างไร? ผู้ที่จะอยู่กับพระเจ้าต้องบริสุทธิ์ สะอาดและศักดิ์สิทธิ์ เราบริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์แล้ว โดยการบังเกิดใหม่ ไม่ใช่ด้วยการประพฤติหรือการกระทำ หรือนิสัยของเรา วิญญาณของเราต่างหาก เพราะความบริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระเจ้าของเรา ไม่ได้ตั้งอยู่บนรากฐานของความประพฤติหรือการกระทำ แต่อยู่บนรากฐานของการบังเกิดใหม่ในวิญญาณ
พระเยซูจึงบอกว่าผู้ใดที่เข้าสวรรค์ได้ ต้องบังเกิดใหม่ พระองค์ไม่ได้บอกว่าผู้ใดที่จะเข้าสวรรค์ได้จะต้องทำดี พระองค์ไม่ได้บอกว่าผู้ใดจะเข้าสวรรค์ได้ จะต้องประพฤติตามกฎที่พระเจ้าบอกว่าอย่าทำ พระเยซูไม่ได้บอกว่าผู้ใดจะเข้าสวรรค์ได้ จะต้องประพฤติตามศีลธรรมเหล่านั้น ไม่ได้พูดอย่างนั้นเลย แต่บอกว่าบังเกิดใหม่ แล้วเดี๋ยวนิสัยก็จะเปลี่ยนไป เหมือนจากข้างใน ออกมาข้างนอก เหมือนผงฟู ที่ทำขนมปัง มันเกิดจากข้างใน แล้วมันก็จะออกมาข้างนอก ส่วนจะออกมาข้างนอกได้มากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับพระเจ้า ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนๆ นั้นหรอก พระเจ้าจะพาเขาไป ค่อยๆ แก้ไขไปทีละนิด ทีละหน่อย จนกว่าจะได้รับร่างกายใหม่ ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ ในสวรรค์สถาน ซึ่งจะเป็นร่างกายที่เหมือนร่างกายที่เป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ เป็นร่างกายที่เต็มด้วยสง่าราศี ไม่มีความทุกข์ยากลำบาก ไม่มีการทำบาป ไม่มีสิ่งสกปรกโสโครกเหลือแม้แต่นิดเดียวเลย เอเมน
เพราะฉะนั้น ผู้ที่เชื่อข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้วเดี๋ยวนี้ ต้องย้ำว่าเดี๋ยวนี้ ขณะนี้ ตอนนี้ ท่านหรือเรา กำลังอยู่ในสวรรค์แล้ว นี่เป็นการมองทะลุไปในโลกวิญญาณ มันต้องเป็นอย่างนี้ มันไม่มีทางอื่น ถ้าท่านมองไปในโลกวัตถุ ในสิ่งที่มองเห็นจับต้องได้ ตามความคิด สติปัญญาของมนุษย์ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะว่าท่านจะคิดไปไม่ถึงวิถีทางของพระเจ้าหรอก สติปัญญาของมนุษย์ไม่มีทางเทียบเท่าสติปัญญาของพระเจ้า มันห่างไกลมาก ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกเท่าไร? สติปัญญาของมนุษย์กับพระเจ้าห่างกันเท่านั้นแหละ
เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้เรากำลังอยู่ในสวรรค์แล้ว สวรรค์ คือที่ประทับพระเจ้า เราอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว อยู่กับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้า พระบุตร คือพระเยซูคริสต์ และอยู่กับพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ เป็นหนึ่งเดียวกัน และจะอยู่ในสวรรค์อย่างนี้ตลอดชั่วนิรันดรกาล
เพราะฉะนั้น ใครก็ตาม ตอนนี้ที่ได้เชื่อในข่าวดีนี้เรียบร้อยไปแล้ว จงรับรู้เถิดว่าท่านได้บังเกิดใหม่แล้ว นอกจากตาฝ่ายวิญญาณท่านอาจจะยังหรี่ๆ อยู่ หรือว่ามัวๆ อยู่ ไม่ค่อยเห็นชัด วันนี้จงมองให้เห็นเถิดว่าท่านเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า มาบังเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อไถ่บาปให้ท่าน ท่านเชื่อว่าในวันที่ 3 พระเยซูได้เป็นขึ้นมาใหม่ ท่านเชื่อตามนี้ ท่านก็ได้บังเกิดใหม่ เข้าไปอยู่ในสวรรค์ เรียบร้อยไปแล้ว เอเมน เพราะฉะนั้น ท่านจงดำเนินชีวิตบนโลกนี้ แบบ RIP ท่านจง Rest in peace เถิด ท่านจงพักสงบ หายเหนื่อยและเป็นสุขเถิด เพราะท่านอยู่ในสวรรค์กับพระบิดาแล้ว ไม่มีใครมาทำอันตรายท่านได้ ไม่มีใครมาเอาท่านออกไป จากมือของพระองค์ได้ ไม่มีใครเอาท่านออกไปจากคอกของพระเยซูได้ ไม่มีใครอีกแล้ว ท่านอยู่ในสวรรค์แล้ว และท่านจะอยู่นิรันดร์ เมื่อโลกใบนี้สูญสิ้นไป โลกใหม่จะเข้ามาแทนที่ แต่โลกวิญญาณจะยังคงอยู่ และท่านจะอยู่ในโลกวิญญาณที่เป็นสวรรค์สถาน ไม่ใช่โลกวิญญาณเดิมที่เป็นนรกอีกต่อไป ท่านจะอยู่ในสวรรค์สถานนิรันดร์
เมื่อกี้เราพูดถึงคนที่เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์แล้ว สำหรับคนที่ยังไม่เชื่อ หรือคนที่ยังไม่ได้ยินข่าวดี ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะเชื่อ ถามว่าท่านอยู่ที่ไหน? พระคัมภีร์บันทึกว่าผู้ที่ไม่เชื่อ ก็อยู่ที่เดิม ในโลกวิญญาณที่ถูกพิพากษา เนื่องจากบาป เป็นคนบาป อยู่ในอาณาจักรแห่งความมืด อยู่ในคำสาปแช่ง ซึ่งเราเรียนมาตอนต้นแล้ว คืออยู่ในนรกนั่นเอง ก็จะอยู่ที่เดิมอย่างนี้ตลอดไป เพราะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร? แต่ถ้าท่านได้ยิน ได้ฟังข่าวดีนี้แล้ว ท่านอยากจะเปลี่ยนที่อยู่ของท่านในวิญญาณ ย้ายวิญญาณของท่านจากอาณาจักรของคนบาป คำสาปแช่ง และนรกนั้น มาอยู่ในสวรรค์กับพระบิดาผู้สร้างท่าน มาอยู่กับพระเยซู พี่ชายคนโตของท่านในโลกวิญญาณนั้น ท่านก็ทำได้ง่ายนิดเดียว พระคัมภีร์บอกแล้ว แค่เชื่อในข่าวดี เปิดใจต้อนรับข่าวดีนี้ว่า …
“พระเยซู ลูกเชื่อ พระเจ้า ลูกเชื่อ ลูกเริ่มต้นเชื่อแล้วว่าทั้งหมดนี้เป็นจริง คือพระเยซูคริสต์ เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ ตายที่ไม้กางเขน เพื่อชำระล้างบาปของมวลมนุษยชาติ ซึ่งรวมทั้งตัวลูกด้วย และอยู่ในอุโมงค์ วันที่ 3 พระองค์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นจากความตาย ลูกเชื่อ ลูกเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยของมวลมนุษยชาติ และเป็นพระผู้ช่วยให้รอดส่วนตัวของลูกด้วย”
แค่นั้นเอง นี่คือคำอธิษฐาน จะอธิษฐานเดี๋ยวนี้ หรือหลังจากนี้ หรือตอนไหนก็ได้ แต่ท่านต้องอธิษฐาน ขณะที่ยังอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะที่ยังอยู่ในร่างกายนี้ ถ้าเผื่อท่านสิ้นลมเมื่อไร? คือตายเมื่อไร? ก็หมดสิทธิ์ที่จะอธิษฐานอย่างนี้เลย ในพระคัมภีร์ได้บันทึกเอาไว้อย่างนั้น ถ้าให้แนะนำ คือท่านควรจะอธิษฐาน โดยรวดเร็วมากทีเดียวเลยล่ะ เพราะมันสำคัญมาก อย่างที่ผมบอก โลกวิญญาณสำคัญกว่าโลกวัตถุอย่างมากมายนัก ท่านอาจจะมองไม่เห็น แต่มันสำคัญจริงๆ อย่าเอาชีวิตนิรันดร์นั้นมาเสี่ยงกับนรก คำสาปแช่ง ไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้า โดยง่ายๆ ฟรีๆ อย่างนี้เถิด นี่คือพระคุณของพระเจ้าที่บอกไว้ ถ้าท่านเชื่อและอธิษฐานตามเมื่อสักครู่นี้ ท่านก็จะได้รับอย่างนี้เช่นเดียวกัน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะบัพติศมาท่านเข้าไปในพระคริสต์ แล้วท่านจะตายพร้อมพระเยซู ฝังไว้ในอุโมงค์พร้อมพระเยซู และเป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระเยซู วิญญาณของท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่ เป็นลูกของพระเจ้า และเข้าไปอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ทันทีเลย และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะยืนยันในสิ่งเหล่านี้ จะนำพาท่านดำเนินชีวิตในแบบโลกวิญญาณอย่างนี้ต่อไป ท่านจะค่อยๆ เรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะพระเจ้าได้สถิตอยู่กับท่านแล้ว จะนำพาท่านไปเอง ฟีลิปปี 1:6 ผมจึงอยากจะบอกอย่างนี้ว่า …
ฟีลิปปี 1:6 “ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระองค์ผู้ทรงตั้งต้นการดีในพวกท่านนั้น จะทรงสานต่อให้เสร็จสมบูรณ์ จนถึงวันแห่งพระเยซูคริสต์”
ผมมั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงตั้งต้นการงานดีในพวกท่านแล้ว ให้ท่านบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์แล้ว พระองค์จะทรงกระทำงานต่อไปในร่างกายของท่าน ในวิญญาณของท่าน ให้เสร็จสมบูรณ์ จนกว่าจะถึงวันแห่งพระเยซูปรากฏ คือกลับมาอีกครั้งหนึ่ง และท่านก็จะได้รับร่างกายใหม่ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้ เป็นร่างกายที่เต็มไปด้วยสง่าราศี เป็นร่างกายที่เหมือนพระเยซู ไม่มีผิดเลย เป็นร่างกายที่ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องปวด ไม่ต้องทุกข์ทรมานอีกต่อไป ไม่มีน้ำตาอีกต่อไป เพียงแต่ท่านเชื่อเท่านั้นเอง พระเจ้าจะนำพาท่านไป แล้วเราจะอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์นิรันดร์กาล และมีสันติสุข และความสุขสมบูรณ์นิรันดร์กาล ในโลกใหม่ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้กับเรา เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ
***********************