คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2021
เรื่อง “ผู้เชื่อจริง ต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น”
โดย นคร เวชสุภาพร
สวัสดีครับ วันนี้เรามีหัวข้อสำคัญมาก สำหรับผู้เชื่อทุกคน ไม่ว่าผู้เชื่อเก่าหรือเชื่อใหม่ก็ตาม ควรจะรับรู้ความจริงตรงนี้ที่พระเจ้าอยากให้เรารู้
หัวข้อเรื่องในวันนี้คือ “ผู้เชื่อจริง ต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น” ท่านลองคิดดูนะว่าตอนกลางวันเราไม่เห็นดวงดาว แต่อยากถามท่านว่าท่านรู้ความจริงนี้แล้วว่าดวงดาวมีอยู่ทั้งวันทั้งคืนใช่ไหมครับ? มันมีอยู่จริงๆ ดวงดาว แต่ทำไมกลางวันเราไม่เห็นล่ะ ก็แสดงว่าความสามารถทางสายตาเราไม่สามารถ หรือความสามารถนั้น ถูกบดบังไปด้วยอะไรบางอย่าง ทำให้เราไม่เห็นในความเป็นจริง ที่มันเป็นจริงอยู่ คือดวงดาวต่างๆ มันมีอยู่จริงๆ ตอนกลางวัน แต่ดูเหมือนไม่มี เพราะแสงสว่างของดวงอาทิตย์กลบรัศมีของดวงดาวต่างๆ ทำให้สายตาของเราไม่สามารถที่จะมองเห็นความจริงนั้นได้ แต่มันมีอยู่จริงๆ ใช่ไหม?
ถ้าพูดอย่างนี้แล้ว อยากเห็นดวงดาวที่เป็นจริง ทำอย่างไรในกลางวัน เรารู้อยู่แล้ว มีดวงดาว กลางคืนเราจำได้ มีดาวตรงโน้น ตรงนี้ ตรงนั้น เยอะแยะไปหมดเลย เรารู้ว่ามันมีดาวอยู่ กลางวันเรามองไม่เห็น แต่เราอยากจะเห็น เราทำอย่างไรล่ะ ปิดดวงอาทิตย์ ไม่ใช่ ปิดดวงอาทิตย์ไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับเรา ทำอย่างไรเราจึงจะเห็น? นั่นแหละวิธีการเดียวกับความเชื่อในพระเจ้า ทำอย่างไรหรือ? ก็แค่หลับตา และจินตนาการให้เป็นไปตามความเป็นจริงที่เรารู้ว่าดวงดาวมีอยู่จริงๆ พอหลับตาปุ๊บ เห็นดาวทันทีเลย
ลองหลับตาดูสิ มองท้องฟ้าตอนกลางวัน เห็นดวงดาวเต็มไปหมด แต่พอลืมตาปุ๊บ ไม่เห็นอะไรเลย เห็นแต่เมฆ เห็นแต่ท้องฟ้า ฉันใดฉันนั้น มาเชื่อในพระเยซู เชื่อจริงๆ แล้ว พระเจ้าต้องการให้เราดำเนินชีวิตอย่างนี้ คือหลับตา แล้วมองไปที่ถ้อยคำที่พระองค์ทรงบอกเราว่าความเป็นจริงในโลกวิญญาณนั้น เป็นอยู่อย่างไรบ้าง?
หลังจากที่เราได้รับเชื่อหรือต้อนรับพระเยซูคริสต์ มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดในชีวิตของเราแล้ว ซึ่งเราเรียกกันว่าเชื่อในพระเจ้าแล้ว เริ่มต้นเชื่อแล้ว ผลที่เราจะได้รับทันที จากการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ที่เรียกว่ารับเชื่อๆ ผลทันทีจากการรับเชื่อตรงนั้น จากการที่เรายอมเปิดใจต้อนรับความจริง ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ซึ่งเกี่ยวกับความรอด สำหรับชีวิตของเราที่เราอยากจะพ้นจากบาป อยากจะไปสวรรค์ หรืออะไรต่างๆ เหล่านั้น ผลของการรับเชื่อครั้งแรกของเรานั้น มันเกิดผลทันที แต่มันเป็นผลทางโลกวิญญาณทั้งสิ้น ไม่ว่าจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม พระคัมภีร์บอกว่าเป็นผลที่เราได้รับจากพระเจ้า ผ่านทางการเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผลทางด้านวิญญาณทั้งสิ้น เป็นผลที่เราได้รับ ที่ไม่สามารถมองเห็นด้วยตา จับต้องได้ด้วยมือ ด้วยสัมผัสทั้งหกได้ ผลต่างๆ เหล่านี้ไม่สามารถเห็นด้วยตา หู จมูก กาย และความคิด สมอง สติปัญญาของเรา แบบมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจได้เลย ในผลต่างๆ เหล่านี้ เราต้องย้ำตรงนี้เยอะๆ สำหรับตัวเราเอง เพื่อเราจะได้ไม่ถูกหลอก
พูดง่ายๆ ว่าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เริ่มต้นเชิญพระเยซูคริสต์เข้ามาสถิตอยู่ในหัวใจของเรา เป็นผู้เชื่อแล้ว ผลทางด้านวิญญาณทั้งหมด บังเกิดขึ้นทันทีเลย แต่เกิดขึ้นโดยที่เราสัมผัสแตะต้องไม่ได้ทางร่างกาย ทางความคิดจิตใจ ที่เราเรียกว่ามองไม่เห็นนั่นเอง แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ ไม่จำเป็นต้องสัมผัสแตะต้องได้ แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ เราเรียกกันว่าความเชื่อ ศรัทธาในผลที่เราเชื่อในพระเจ้า แล้วพระองค์ทรงบอกว่าผลนั้นเป็นอย่างไร? เช่นเราเป็นลูกพระเจ้า เราได้บังเกิดใหม่แล้ว เมื่อเราต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอด ผลนี้มันเกิดขึ้นทันที ไม่ว่าเราจะเห็นหรือไม่เห็น? สัมผัสแตะต้องได้หรือไม่ได้ก็ตาม
ยกตัวอย่างว่าเราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เปิดใจแล้ว อธิษฐานด้วยความเชื่อจริงๆ แล้ว และแสวงหาพระเจ้ามาตั้งนาน เราพบพระเยซูคริสต์แล้ว ไหนบอกว่ารับเชื่อแล้ว เป็นลูกพระเจ้า ไม่เห็นสัมผัส ไม่เห็นมีความรู้สึกเลย คนโน้นเขายังบอกว่าตอนเขาเปิดใจรับเชื่อ เขาน้ำหูน้ำตาไหล ซาบซึ้งมาก พระเจ้าเข้ามาสถิตอยู่ด้วย คนนี้เขาก็มีความรู้สึกว่าซาบซ่าน ขนลุกไปทั้งตัวเลย ตอนที่รับเชื่อ อันนั้นไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าผลมันต้องเป็นอย่างนั้นทุกคน เพราะว่ามันเป็นผลทางด้านวิญญาณ การบังเกิดใหม่ในโลกวิญญาณจริงๆ เป็นผลที่เกิดขึ้นตามพันธสัญญา ที่พระเจ้าสัญญาว่าพระเยซูคริสต์ได้กระทำให้เสร็จแล้ว เรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขน และถูกฝังไว้ในอุโมงค์ และเป็นขึ้นมาจากความตาย พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ผลของความสำเร็จนี้ เกิดขึ้นในโลกวิญญาณเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เพราะฉะนั้น เมื่อเราเชื่อในพระเจ้า มันก็จะเกิดผลขึ้นในโลกวิญญาณเพียงเท่านั้น และเป็นไปตามพันธสัญญาในโลกวิญญาณเท่านั้น ผลบนโลกใบนี้ไม่ได้อยู่ในความสำเร็จที่พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขนนั้น ต้องเข้าใจตรงนี้ว่าเป็นสิ่งที่พระเยซูได้พูดอยู่เสมอว่าสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว ในสวรรค์ พระพรในสวรรค์ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกันกับโลกใบนี้เลย สักนิดหนึ่ง ไม่ว่าน้ำตาไหลหรือไม่ไหลก็ตาม
ความสำเร็จในโลกวิญญาณ ที่พระเยซูทรงกระทำให้ตรงนี้ มันสัมผัสจับต้องไม่ได้ ส่วนอะไรบางอย่างที่จับต้อง มองเห็นได้ ถามว่าพระเยซูยังทำอยู่มั้ย? ก็ยังทำ แต่ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญาแห่งความสำเร็จเรียบร้อยแล้วที่ไม้กางเขน ท่านพอเข้าใจไหมครับว่าการเกิดขึ้น หรือผลที่เกิดขึ้น ที่พระเยซูกระทำบนโลกใบนี้ ที่จับต้องมองเห็นได้ ที่เราเรียกว่าอัศจรรย์ยังมีอยู่ไหม? มีอยู่จริงๆ แต่ไม่ได้อยู่ในผลของความสำเร็จที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และสัญญาว่าเป็นอยู่ เกิดขึ้นแล้ว ใครมาเชื่อ ก็จะเกิดขึ้น พูดง่ายๆ ใครมาเชื่อ ก็เกิดเป็นลูกพระเจ้า ใครมาเชื่อ ก็ได้เข้าสวรรค์เลย ใครมาเชื่อจริงๆ ก็ได้ยกโทษจากบาปทุกอย่างที่เขากระทำ ทั้งบาปอดีต ปัจจุบัน และอนาคตตลอดไปเลย นี่คือผลที่เกิดขึ้นจริงๆ
ส่วนผลที่พระเยซูอาจจะทำบางอย่าง เพื่อเหตุผลบางอย่าง เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่างของพระองค์ แล้วแต่น้ำพระทัยของพระองค์ที่จับต้องมองเห็นได้ อาจจะเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ ผ่านทางคนใดคนหนึ่ง
ยกตัวอย่างอย่างเช่น พระองค์ทรงปรากฏตัวของพระองค์เอง หลังจากเป็นขึ้นจากความตาย ให้กับสาวกหลายคนได้เห็น ไม่ได้ปรากฏให้กับทุกคนได้เห็น หรือปรากฏพระองค์เองให้กับเปาโลได้เห็นระหว่างทาง ยังไม่ได้เป็นสาวกเลย ยังไม่ได้เป็นผู้เชื่อเลย เป็นผู้ข่มเหงรังแกผู้เชื่อด้วยซ่ำไป แต่พระเยซูก็ปรากฏพระองค์เองให้กับเปาโลได้เห็น อย่างนี้เป็นต้น ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญาแห่งความสำเร็จแล้ว ที่พระเยซูคริสต์กระทำที่ไม้กางเขน ไม่ใช่ว่าพอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราก็บอกว่าเราต้องเห็นพระเยซู เพราะเปาโลยังเห็นเลย มันไม่ได้อยู่ในผลสำเร็จนั้น ที่เกิดขึ้นแล้ว
การเกิดขึ้นแล้ว กับการยังไม่เกิด มันคนอย่างกัน ผล คือการที่มันเกิดขึ้นแล้ว ส่วนที่ยังไม่เกิดนั้น แล้วแต่น้ำพระทัยพระเจ้า แล้วแต่พระประสงค์ของพระเยซูคริสต์ว่าพระองค์จะทรงให้เกิดหรือไม่? แสดงว่ามันยังไม่เกิดนะ
ยกตัวอย่างเช่น เปโตร เปาโลทำการอัศจรรย์ เปโตรเดินไปที่วิหาร เห็นคนง่อยอยู่ สั่งในนามพระเยซู อธิษฐานในนามพระเยซู คนง่อยลุกขึ้นเดินได้ ไม่ใช่คนง่อยทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น จะได้รับสิ่งนี้เหมือนกันหมด เพราะมันไม่ได้อยู่ในพันธสัญญาแห่งข่าวประเสริฐของพระเจ้า ที่พระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน นั่นมันเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น และเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว และเกิดขึ้นอยู่ และจะอยู่อย่างนั้นตลอดไป เกิดเป็นผลสำเร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ผู้เชื่อทุกคนไปรับได้ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณทั้งสิ้น ส่วนอัศจรรย์หรืออะไรบางอย่างที่จะเกิด หรืออาจจะเกิดขึ้น ก็ขึ้นอยู่กับพระเยซูคริสต์ ขึ้นอยู่กับความประสงค์ของพระองค์เท่านั้น มิใช่ ความประสงค์ของผู้เชื่อ จะพยายามทำให้มันเกิดขึ้น ไม่ใช่
เพราะฉะนั้น ระวังการแสวงหาผลที่จะเกิดขึ้น แบบตา หู จมูก ลิ้น กาย จับต้องมองเห็นได้บนโลกใบนี้ แล้วหวังว่ามันจะมาจากความประสงค์ของเราเองหรือเปล่า? ถ้ามาจากความประสงค์ของพระเจ้า ไม่ต้องทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ พระเจ้า พระเยซูคริสต์ ก็ทรงกระทำด้วยพระองค์เอง เพราะว่าพระองค์ประสงค์เช่นนั้น แต่ส่วนความสำเร็จในเรื่องโลกวิญญาณ ในข่าวประเสริฐของพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงประกาศที่ไม้กางเขนว่าสำเร็จแล้วนั้น มันเกิดขึ้นแล้วทันที และเกิดขึ้นตอนนี้ และจะเกิดขึ้นชั่วนิรันดร์ คือความรอดในพระเยซูคริสต์ คือผลทางด้านวิญญาณ คือพระพร หรือของดีๆ ทางฝ่ายวิญญาณที่พระองค์ทรงประทานให้กับใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ ได้เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์นั่นเอง
ตรงนี้จึงเป็นเรื่องที่เราจำเป็นเหลือเกินที่ต้องเข้าใจ ตั้งแต่แรกเลย มิฉะนั้น เราอาจถูกหลอกได้ ให้รับรู้ว่าผลของการเชื่อในถ้อยคำของพระเจ้า ตามพันธสัญญา เกิดขึ้นในโลกวิญญาณเท่านั้น เราต้องจำไว้ตรงนี้ดีๆ ผลที่เราเชื่อพระเจ้า ตามถ้อยคำพระเจ้าที่ได้บอกไว้ ที่พระองค์ได้สัญญาไว้ มันจะเป็นผลในโลกวิญญาณเท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกันกับในโลกใบนี้เลย …
เช่น ความร่ำรวยในโลกใบนี้ ก็ไม่ได้อยู่ที่ความสำเร็จที่พระองค์กระทำที่ไม้กางเขนเลย
เช่น สุขภาพแข็งแรง หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ก็ไม่ได้อยู่ในพันธสัญญาแห่งความสำเร็จนี้เลย
การมีชื่อเสียง ประสบผลสำเร็จในทางโลก ก็ไม่ได้อยู่
เหล่านี้เป็นสิทธิพิเศษของพระเยซูคริสต์ ผู้สถิตอยู่ในผู้เชื่อทั้งหลาย เป็นผู้ตัดสินว่าจะให้ใครได้รับอะไร? หรือไม่ได้รับอะไร? แบบไหนบนโลกใบนี้ ซึ่งมันเกี่ยวพันกับหลายกฎเลย อย่างเช่นกฎของการหว่านและการเก็บเกี่ยว กฎของความประพฤติ ความเชื่อ ไว้ใจ ประพฤติดีหรือไม่ดี ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องบนโลกใบนี้ ซึ่งมีผลให้เกิดสิ่งต่างๆ บนโลกใบนี้ เพราะฉะนั้น เราต้องรู้ตรงนี้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์เพียงผู้เดียวที่จะตัดสินใจว่าจะให้อะไรเกิดขึ้น บนโลกใบนี้ พิเศษ ตามที่ผู้เชื่อหรือมนุษย์ทุกคนอยากได้ เป็นสิทธิส่วนพระองค์ และพระองค์กระทำ เพื่อสิ่งเดียวเท่านั้นเอง
ถ้าจะทำการอัศจรรย์หรือหมายสำคัญที่เกิดขึ้นผ่านทางผู้เชื่อบนโลกใบนี้ หรือผู้ไม่เชื่อ พระองค์ก็ยังทำได้ พระองค์ทำเพื่อจุดประสงค์เพียงอย่างเดียว ก็คือเพื่อประกาศข่าวดี เรื่องอาณาจักรสวรรค์ ให้ไปถึงบรรดามนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เพื่อเขาจะได้รับความรอด ไม่พินาศ กลับมาคืนดีกับพระเจ้า พระบิดานั่นเอง ต้องรู้ตรงนี้ก่อน
เพราะฉะนั้น ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องใช้ความเชื่อ ที่เป็นความเชื่อตามถ้อยคำของพระเจ้า หรือพันธสัญญาของพระเจ้า ที่บอกเราว่าสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน มีผลต่อเราอย่างไรบ้างในโลกวิญญาณเท่านั้น ยกตัวอย่างจากพระคัมภีร์ ในโรม 5:1-2 …
โรม 5:1-2 “1 เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม โดยความเชื่อแล้ว เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้า โดยทางองค์พระเยซูคริสต์เจ้าของเรา 2 โดยทางพระองค์เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่นี้ ด้วยความเชื่อ และเราจึงชื่นชมยินดี ในความหวังที่จะได้มีส่วนในพระเกียรติสิริของพระเจ้า”
“เหตุฉะนั้น เมื่อเราได้ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม” ก็หมายถึงลูกของพระเจ้าที่พ้นจากบาป เวรกรรม สะอาด หมดจดแล้วนั้น เราถูกนับเป็นผู้ชอบธรรม คือเราเป็นคนชอบธรรม มาเป็นลูกของพระเจ้าได้ โดยความเชื่อแล้ว … “แล้ว” หมายถึงมันเกิดขึ้นแล้ว เห็นไหม? ในโลกวิญญาณ พอรับเชื่อจริงๆ ปุ๊บ เกิดอะไรขึ้น? เราได้เป็นลูกของพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม ปราศจากบาป เรียบร้อยแล้ว เกิดขึ้นแล้ว จับต้องมองเห็นได้ไหม? ไม่เห็น
ในนี้ต่อไปบอกว่า “เราจึงมีสันติสุขกับพระเจ้า” มีสันติสุขหรือยัง? มีแล้ว ไม่ต้องขอ เมื่อเราเชื่อ ก็มีแล้ว อยู่ในตัวเรานั่นแหละ “มีสันติสุขกับพระเจ้า โดยทางองค์พระเยซูคริสต์ของเรา” โดยทางพระองค์ ก็คือที่พระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน ใครทำ? พระเยซูคริสต์นั่นเอง
“โดยทางพระองค์ หรือโดยทางพระเยซู เราจึงได้เข้าส่วนร่วมในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่นี้ ด้วยความเชื่อ” เห็นไหม ด้วยความเชื่อตรงนี้ เราได้มีส่วนร่วมในพระคุณ ก็คือได้บังเกิดขึ้น ได้เข้าส่วนร่วมในการรับเราเป็นลูก อภัยให้เรา โดยเราไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว พระเยซูทำให้เราหมดแล้ว ไม่ได้พึ่งพาความดีงาม การกระทำของตัวเอง ความประพฤติของตัวเอง ไม่ว่าจะประพฤติเลวขนาดไหน? ไม่ดีขนาดไหน? พระคุณของพระเจ้าบอกว่ายกโทษ อภัยให้หมดแล้ว รับเราเป็นลูกของพระองค์ ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ด้วยความเชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้กระทำสำเร็จแล้ว ที่ไม้กางเขน ในโลกวิญญาณเท่านั้น
อย่างนี้เขาเรียกว่าเชื่อบนรากฐานของถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกเราว่าพระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้ว ในโลกวิญญาณ มันคืออะไร? แล้วเราก็เชื่อตามนี้ และในนี้ยังบอกว่า “และเราจึงชื่นชมยินดีในความหวังที่ได้มีส่วนในพระเกียรติสิริของพระเจ้า” ไม่ใช่ “จะได้” นะ ด้วยความเชื่อตรงนี้ เราจึงรู้ว่าพระเจ้าบอกว่าผลที่เกิดขึ้นนี้ จากความเชื่อนี้ เราได้เข้าไปมีส่วนร่วมในพระสิริของพระเจ้า ก็คือเราได้เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ มีสิริ มีความงดงาม สง่าราศี ในวิญญาณของเราเหมือนพระคริสต์เลย ซึ่งเป็นความหวังใจของเรา เพราะตาเรามองไม่เห็น แต่อย่างที่ผมบอกแล้ว ตามองไม่เห็น ไม่เป็นไร? อยากเห็นให้ทำอย่างไร? แค่หลับตา
ตะกี้ที่พูดมาทั้งหมด ผู้เชื่อทั้งหลายที่ฟังอยู่ ท่านเชื่อในพระเจ้าหรือไม่? ท่านก็ต้องตอบว่า “เอเมน เชื่อ”ถ้าเชื่อ โรม 5:1-2 ก็เป็นของท่าน เกิดขึ้นแล้ว เห็นไหม? ไม่เห็น หลับตา แล้วนึกถึงเมื่อสักครู่นี้ ที่ผมอธิบายให้ท่านฟังว่าด้วยความเชื่อนี้ ในโลกวิญญาณ มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของท่าน หลับตา แล้วก็จินตนาการตามถ้อยคำของพระเจ้า ซึ่งเป็นความจริง หลับตา จินตนาการด้วยความเชื่อ ความเชื่อจริงๆ ตรงนี้เขาใช้คำว่าการยอมจำนน ยอมจำนนเชื่อฟังต่อความเป็นจริงที่พระเจ้าบอกเรา ซึ่งมันเกินกว่าความคิดของเรา เกินกว่าความเข้าใจเราที่จะสามารถเข้าใจได้ คือไม่เย่อหยิ่งแล้ว ไม่เอาแล้ว ถึงแม้ไม่เห็น พระเจ้าบอกว่าจริง ก็จริงตามนั้น ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีคำว่าแต่
พระเจ้าบอกว่าตอนที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ครั้งแรก เกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ พระองค์บอกว่ามีขบวนการเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ คือมีการย้ายวิญญาณของเรา ที่อยู่ในที่เดิม คือในอาดัม ในบรรพบุรุษของเรา ซึ่งอยู่ในความบาป ความตาย และคำสาปแช่ง ได้ย้ายวิญญาณของเราเข้ามาอยู่ในอาณาจักร หรือที่เรียกว่าในพระเยซูคริสต์ หรือที่เรียกว่าในสวรรค์ นี่พระเจ้าบอกเราอย่างนั้น 1 เปโตร 2:9 ดูสิว่าอะไรเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ …
1 เปโตร 2:9 “แต่พวกท่าน (ผู้เชื่อพระเยซู) เป็นพงศ์พันธุ์ที่ทรงได้เลือกสรร (ได้ย้ายแล้ว) เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า เพื่อให้พวกท่านประกาศพระเกียรติคุณ (ความยิ่งใหญ่แห่งพระสิริ บารมี และพระคุณ) ของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกพวกท่าน (หรือย้ายพวกท่าน) ให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์”
เห็นไหม? ไม่เห็น ผลของการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน ที่พระองค์บอกสำเร็จแล้ว มันเกิดผลกับผู้ที่เชื่อในการกระทำของพระองค์ที่สำเร็จแล้ว เกิดเป็นผลในวิญญาณ ซึ่งมองไม่เห็น ต้องหลับตา จินตนาการให้เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้า
ลองหลับตาดู และฟังผมว่ามันเป็นอย่างไร? ว่าเวลาเรามาเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เป็นผู้ช่วยให้รอดแล้ว เกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ เกี่ยวกับตัวเรานั่นแหละ ในนี้บอกว่า … ผู้เชื่อพระเยซูเป็นพงศ์พันธุ์ที่ได้รับการย้ายแล้ว ย้ายในโลกวิญญาณ เลือกสรรในโลกวิญญาณ ย้ายมาเป็นปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า เป็นปุโรหิตหลวง ก็คือเป็นผู้รับใช้พระเจ้าใหญ่เท่าๆ กันกับตระกูลของพระเยซู เป็นตระกูลของพระเยซูคริสต์ พูดง่ายๆ เป็นชนชาติบริสุทธิ์แล้ว ได้ถูกย้ายแล้ว ได้เป็นประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้าแล้ว นี่มันเกิดขึ้นแล้ว
หลับตาลง ท่านเชื่อพระเยซูแล้วใช่ไหม? ท่านก็ได้ถูกย้ายเข้ามาเป็นพงศ์พันธุ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซู เป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นกรรมสิทธิ์ เป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวของพระเจ้า เพื่อให้ท่านได้เป็นพยานถึงพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และเป็นพยานถึงความสำเร็จที่พระเยซูคริสต์ทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน ผลมันเป็นอย่างนี้แหละ
และสุดท้ายในนี้บอกว่าเพื่อเป็นพยานให้กับความยิ่งใหญ่แห่งพระสิริ พระบารมี พระคุณของพระเจ้า ที่ทำให้กับเรา พระเจ้าผู้ได้ทรงเรียกพวกท่าน ก็คือผู้ได้ทรงย้ายพวกท่าน พระเจ้าผู้นี้ ที่ได้ย้ายพวกท่านให้ออกมาจากอาณาจักรของความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์ในพระเยซูคริสต์แล้ว เห็นไหม? ไม่เห็น เชื่อมากี่ปี ก็ยังเป็นคนๆ เดิมอยู่ ผมเชื่อมา 30 กว่าปีก็ยังเป็นคนเดิมอยู่นั่นแหละ มองในกระจก ก็ไม่เห็นแตกต่าง นอกจากแก่ ก็ไม่เห็นมีอะไรแตกต่าง แต่ในโลกวิญญาณไม่เหมือนกัน ในพระคัมภีร์บอกอย่างนั้นเลย ตั้งแต่วันแรกเมื่อ 30 กว่าปีก่อน จนถึงวันนี้ มันเกิดขึ้น และเป็นอยู่อย่างนั้น ตลอดไป คือผมเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวของพระเจ้า บริสุทธิ์ สะอาด เป็นตระกูลของพระเยซูคริสต์ เป็นพงศ์พันธุ์ของพระเยซูคริสต์ ร่วมกับพระเยซูคริสต์ เพื่อเป็นพยานว่าพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุด ได้กระทำให้กับมนุษย์ทั้งหลายอย่างนี้แหละ
ผ่านทางพระเยซูคริสต์ พระองค์ได้ย้ายผมตั้งแต่ 2,000 ปีที่แล้วๆ แต่ผมพึ่งมารับสิทธิเมื่อ 30 กว่าปีที่ผ่านมาเท่านั้นเอง รับสิทธิการย้ายผมออกจากอาณาจักรเดิมในอาดัม มาสู่อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ออกจากอาณาจักรของความมืด ของคำสาปแช่ง ของความพินาศ เข้ามาสู่อาณาจักรของความสว่าง สวรรค์ของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ ไม่เห็นเลยนะ แต่หลับตาชัดแจ๋ว เห็นชัดเจนเลย พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ช่วยเราขยายความ หลับตาจะเห็น หลับตา พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทำงาน ชัดเจนขึ้น เพราะว่าไม่มีอะไรขวาง เหมือนเราหลับตาตอนกลางวัน เพื่อจะได้เห็นดวงดาว เพราะไม่มีแสงแดดมาบดบัง ในทำนองเดียวกัน หลับตาปุ๊บ ตาทางฝ่ายวิญญาณ ก็เปิดออกได้เห็นความจริงในโลกวิญญาณชัดขึ้น ไม่ถูกการโกหกของมาร ที่กระทำการงานบนโลกใบนี้ ปิดบังตาเรา ทำให้เราเห็นไม่ชัดเท่าที่ควร เพราะฉะนั้น หลับตาและจินตนาการ
ผู้เชื่อจริง จึงต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ด้วยตามองเห็น ต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ในถ้อยคำพระเจ้า ต้องถ่อมใจลง และเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า
จริงๆ พระเยซูบอกต้องนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง ความเชื่อตรงนี้ คือส่วนหนึ่ง คืออันเดียวกันกับการนมัสการนั่นแหละ นมัสการ หมายถึงยอมถ่อมตนถึงที่สุดเลย ยอมถ่อมตน ยอมรับว่าพระเจ้าบอกความจริงว่าเราเป็นอย่างไร? เราก็เป็นอย่างนั้นแหละ พระเจ้าบอกเราเป็นคนบาป เราก็เป็นคนบาปจริงๆ การถ่อมใจ ยอมรับสารภาพ ยอมด้วยสุดใจ สุดจิต ตามที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นอะไร? เป็นอย่างไร? หรือให้ทำอย่างไร? แบบไม่มีเงื่อนไข แบบเป็นทาสรับใช้พระองค์ นั่นแหละ เรียกว่านมัสการ ความเชื่อก็เป็นอย่างนั้นแหละ เชื่ออย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่มีคำว่าแต่ เชื่อเหมือนเราเป็นทาสของพระเจ้า ที่เชื่อคำสั่งอย่างเด็ดขาด ไม่มีคำว่า “แต่” เชื่อด้วยความสยบ ด้วยความหมดตัวตนของตนเอง ยอมทุกอย่าง แม้ว่าจะไม่เข้าใจ แม้ว่าจะสัมผัสไม่เห็น หูไม่ได้ยิน ไม่มีความรู้สึกอะไรเลย แต่เมื่อถ้อยคำเขียนไว้อย่างนั้น พระองค์ทรงบอกไว้อย่างนั้น ลูกเชื่อตามนั้น นี่หมายถึงนมัสการพระเจ้าด้วยวิญญาณและความจริง ในโรม 1:17 ได้บันทึกเอาไว้อย่างนี้ …
โรม 1:17 “เพราะในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมจากพระเจ้า ก็ได้รับการเปิดเผย เป็นความชอบธรรม ซึ่งเริ่มต้นด้วยความเชื่อ และนำไปสู่ความเชื่อ ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่าคนชอบธรรมจะดำรงชีวิตโดยความเชื่อ”
“ความชอบธรรม เริ่มต้นด้วยความเชื่อ” ก็หมายถึงเริ่มต้นด้วยความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ในนี้เริ่มต้นบอกว่า “เพราะในข่าวประเสริฐนั้น” คือในเรื่องข่าวดีของพระเยซูคริสต์ว่าพระเยซูคริสต์ เป็นพระผู้ช่วยให้รอด เป็นพระเจ้า ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ เพื่อมาตายที่ไม้กางเขน รับโทษบาปของมวลมนุษยชาติ ตาย ถูกฝังไว้ และเป็นขึ้นจากความตาย เพื่อให้มนุษย์ทุกคนสามารถ เป็นขึ้นจากความตาย ได้บังเกิดใหม่พร้อมพระองค์
นี่หมายถึงอย่างนั้นว่าความเชื่อที่เกิดจากการได้ยิน ได้ฟังข่าวประเสริฐนั้น ทำให้เกิดความชอบธรรม … ความชอบธรรม เริ่มต้นด้วยความเชื่อ ผู้ที่จะสามารถเป็นผู้ชอบธรรมได้ พ้นจากบาปได้ เป็นคนที่พระเจ้าเห็นว่าสะอาด บริสุทธิ์ เป็นลูกของพระองค์ได้ มีอยู่เพียงทางเดียวเท่านั้น คือผ่านทางความเชื่อในข่าวประเสริฐ เชื่อในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ สำเร็จเรียบร้อยไปแล้วที่ไม้กางเขน
เริ่มต้นเชื่อในการงานที่พระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน ก็คือข่าวประเสริฐ และในนี้บันทึกบอกว่า “และนำไปสู่ความเชื่อ” จากเริ่มต้นเชื่อแล้ว ต่อไปพระเจ้าก็จะนำเรา ไปสู่ความจริงที่เพิ่มพูนขึ้น จากผลของความสำเร็จ ที่พระเยซูคริสต์กระทำที่ไม้กางเขน ก็คือหลังจากที่เราเชื่อแล้ว พระคัมภีร์ได้บอกเราว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เราก็เชื่อตามนั้น และหลังจากนั้น เมื่อรับรู้และเชื่อ ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก ไม่ใช่ด้วยอารมณ์ ไม่ใช่ด้วยหาเหตุผล หลักฐาน หรือฟังคำพยานจากใครที่จับต้องมองเห็นได้ ไม่ได้พึ่งพาสิ่งต่างๆ เหล่านั้น เชื่อทั้งๆ ที่ไม่เห็น เชื่อว่าพระเยซูได้ทำให้เราบริสุทธิ์ สะอาด เป็นลูกของพระเจ้า เราได้อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้ว ทั้งหมดนี้มองไม่เห็น แต่เชื่อเลย ค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นมา จากเป็นผู้ชอบธรรม เป็นลูก ก็ชักลึกเข้าไปเรื่อยๆ พระวิญญาณก็จะนำพาเราไปในความจริงเรื่อยๆ
ซึ่งสิ่งทั้งหมดนี้ เป็นผลของการงานที่พระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน และเราใช้ความเชื่อ ในการรับเอา หรือจะบอกว่ารับเอาด้วยความเชื่อ ก็ได้ เพราะถ้าไม่เชื่อ ก็ไม่ได้รับ ถ้าอยากจะรับ ก็ต้องเชื่อ เชื่อในผลที่พระเจ้าได้อธิบายให้เราฟังว่าผลของความสำเร็จนั้น เกี่ยวข้องอะไรกับชีวิตของเราบ้าง เขาเรียกว่าเชื่ออย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่มีแต่ เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในโลกวิญญาณเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการจับต้องมองเห็นได้ สัมผัสได้ ความรู้สึกอะไรต่างๆ ไม่ว่าจะคล้อยตามหรือไม่คล้อยตามก็ตาม คล้อยตามก็ดี ไม่คล้อยตาม ก็เชื่อ เหมือนกัน ถึงคล้อยตาม เป็นด้วยกันกับจับต้องมองเห็นได้ ความรู้สึกเป็นไปด้วยกันกับถ้อยคำพระเจ้า ที่พูดไว้ ก็ดี แต่ไม่ยึดถือ เพราะถ้ายึดถือ เดี๋ยวอีกหน่อย ส่วนใหญ่มันจะไม่มีความรู้สึก จับต้องมองไม่เห็น แล้วเราจะเกิดความสงสัยว่าถ้อยคำพระเจ้าที่บอกเราว่าเกิดผลแล้ว มันเกิดหรือเปล่า?
รับรู้ในความจริงมากขึ้นๆ เรื่อยๆ ความเชื่อก็จะกระติ๊บๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ ตามที่ได้บันทึกไว้เมื่อสักครู่นี้ จากความเชื่อหนึ่ง ก็เพิ่มพูนไปอีกความเชื่อหนึ่งมากขึ้น ความเชื่อมากขึ้น ก็จะได้รู้ว่าผลที่พระเยซูคริสต์กระทำสำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน แล้วเรามาเชื่อ เราได้รู้มากขึ้นว่าตอนนี้เราเป็นใคร? และมีอะไรเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของเราในโลกวิญญาณบ้าง? เราเป็นใคร ในอาณาจักรของพระคริสต์? เราเป็นใครในพระคริสต์? เราก็จะรู้มากขึ้น รับเอามากขึ้น โดยผ่านทางความเชื่อในถ้อยคำของพระองค์ ที่บอกว่ามันเป็นอย่างนั้นแล้ว
พระเจ้าบอกให้เรารู้ความจริงมากขึ้น ในโลกวิญญาณว่าอะไรเกิดขึ้นบ้าง? อย่างเช่น พอเรารับเชื่อ เราเป็นลูกพระเจ้าปุ๊บ พระเจ้าก็จะเริ่มบอกเราว่าชีวิตเราอยู่บนโลกใบนี้ โลกฝ่ายวิญญาณมันเกิดอะไรขึ้น ค่อยๆ ให้เราเพิ่มพูน หรือพัฒนาความรู้ในโลกวิญญาณมากขึ้น อย่างเช่น พระเจ้าอาจจะนำเรา เริ่มต้นบอกว่ารู้ไหมในโลกวิญญาณ ตอนเรารับเชื่อ ที่บอกได้ย้ายเรา สิ่งที่เกิดขึ้น คือพระองค์ได้เข้ามาฆ่าตัวเก่าเราให้ตาย ตัวเก่าเราที่อยู่ในอาดัม อยู่ในบาป อยู่ในคำสาปแช่ง อยู่ในความตายฝ่ายวิญญาณ พระองค์เข้ามาฆ่าเรา และให้เรามาบังเกิดใหม่ในพระเยซูคริสต์ เราไม่สามารถบังเกิดใหม่ในพระเยซูได้เลย ถ้าเราไม่ตายก่อน กาลาเทีย 2:20 ได้บันทึกอย่างนี้ว่า …
กาลาเทีย 2:20 “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป พระคริสต์ต่างหาก ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้ ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงรักข้าพเจ้า และประทานพระองค์เอง เพื่อข้าพเจ้า”
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ อยู่ในผลสำเร็จที่พระเยซูคริสต์กระทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว บนไม้กางเขน ใครเชื่อก็ได้รับเอาอย่างนี้ มันบังเกิดขึ้นทันทีสำหรับคนนั้น
เปาโลบอกว่า “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว” หมายถึงใครก็ตามที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ เป็นผู้เชื่อ ได้ถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว พูดง่ายๆ ว่าได้ตายร่วมกับพระเยซูคริสต์ที่ไม้กางเขน “ข้าพเจ้าจึงไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป” ตายแล้ว จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร? ในนี้บอกว่า “พระคริสต์ต่างหาก ทรงมีชีวิตในข้าพเจ้า” ก็คือข้าพเจ้าตายไปแล้ว ตอนนี้ชีวิตใหม่ของข้าพเจ้าที่บังเกิดใหม่นั้น เป็นชีวิตที่ได้รับจากพระเยซูคริสต์ เป็นชีวิตที่บังเกิดใหม่ โดยพระเจ้าประทานให้พระเยซูคริสต์ และพระเยซูคริสต์แบ่งชีวิตที่บังเกิดใหม่นั้น มาให้กับเรา เป็นชีวิตใหม่ของเรา ซึ่งเต็มด้วยพระสิริ สง่างาม เท่าๆ กันกับพระเยซูเลย เป็นน้องของพระเยซู
“ชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในกายนี้ ในขณะนี้ ในตอนนี้เลย รับเชื่อแล้ว วิญญาณข้าพเจ้าอยู่ในกายนี้ ข้าพเจ้าดำเนินด้วยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงรักข้าพเจ้า และประทานพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า” เห็นไหมครับว่าดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ด้วยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ ที่ได้ทรงกระทำให้สำเร็จเรียบร้อย อะไรที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราทั้งหลาย บนไม้กางเขนที่พระองค์ประกาศว่าสำเร็จแล้ว มันเกิดขึ้นตามนั้นแล้ว เรายังได้รับรู้จากขบวนการการผ่าตัดวิญญาณของเราในหนังสือโรม บทที่ 6 หลายครั้งแล้ว วันนี้ ไม่ยกเอามา พระเจ้าได้อธิบายให้เราฟังอย่างชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณเมื่อเรารับเชื่อในพระเจ้า ขบวนการการผ่าตัดวิญญาณ คือเมื่อเรารับเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระเยซูจุ่มเราลงไปในฤทธิ์เดชอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาผ่าตัดวิญญาณเรา เอาวิญญาณเราเข้าไป มีส่วนร่วม หรือบัพติศมาเข้าส่วนร่วมในพระเยซูคริสต์ ที่ไม้กางเขน เพื่อฆ่าเราให้ตาย เพื่อเราจะได้ตายพร้อมกับพระเยซู เพราะเราอยู่ในพระเยซูแล้ว และเราก็จะได้ถูกฝังไว้พร้อมพระเยซูในอุโมงค์ และวันที่สามพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เราก็ได้เป็นขึ้นจากความตายพร้อมพระเยซูคริสต์ด้วยชีวิตที่เต็มด้วยสง่าราศี ที่พระเจ้าประทานให้พระเยซู เหมือนกันเลย และพระเยซูแบ่งให้เราเกิดใหม่พร้อมพระองค์ นั่งอยู่ที่เบื้องขวาในสวรรค์สถานร่วมกับพระเยซูคริสต์ อย่างนี้แหละ จับต้องมองเห็นได้ไหม? ไม่ได้ แต่รู้ได้อย่างไร? ถ้อยคำพระเจ้าบันทึกไว้อย่างนั้น หลับตาลง จินตนาการ แล้วก็จะเห็นภาพตามนั้น มันเป็นจริงตามนั้น เขาเรียกกันว่าเจริญเติบโตไปทีละขั้นๆ เจริญเติบโตในความเชื่อไปทีละตอนๆ นั่นเอง จนกระทั่งเจริญเติบโตไปถึงขนาดทุกลมหายใจเข้าออก เหมือนที่เปาโลบันทึกไว้ในกาลาเทีย 2:20 เมื่อสักครู่นี้ที่เราอ่านร่วมกัน “ข้าพเจ้าไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว พระเยซูคริสต์ต่างหากที่อยู่ในข้าพเจ้า พระเยซูอยู่ในข้าพเจ้า ข้าพเจ้าอยู่ในพระเยซู เป็นหนึ่งเดียวกัน” ตามถ้อยคำพระเจ้าที่อธิบายให้ ค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ ก็หมายถึงว่าทุกลมหายใจเข้าออก ระลึกอยู่เสมอว่า …
“ฉัน ผู้เชื่ออยู่ในพระเยซูคริสต์ และชีวิตของพระเยซูคริสต์อยู่ในฉัน … ฉันอยู่ในพระเยซูคริสต์ เราเป็นหนึ่งเดียวกันทางวิญญาณ เมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกัน เราจึงเหมือนพระเยซูคริสต์ วิญญาณ ตัวตนแท้จริงของเรา จึงเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ตามพระคัมภีร์บอก เต็มด้วยสง่าราศีทุกวัน ลมหายใจเข้าออกมีอยู่เมื่อไร ฉันระลึกถึงวิญญาณของฉันที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์เต็มด้วยสง่าราศี นี่คือความหวังใจของฉัน”
ทำไมต้องหวัง? เมื่อมันเป็นอยู่แล้ว “หวัง” เพราะว่ามันมีอยู่แล้วก็จริง แต่ตาเรามองไม่เห็น แต่รู้ว่ามันเป็นจริง เป็นความหวังที่เป็นปัจจุบัน ไม่ใช่ความหวังที่อนาคตจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดก็ไม่รู้ แต่เป็นความหวัง ในสิ่งที่มันเกิดแล้ว รู้แล้ว ใช่แล้ว เพียงแต่รอเวลาเข้าไปเห็นชัดๆ อีกทีหนึ่ง ตามความเป็นจริง มันหมายถึงอย่างนั้น
และเรารับรู้ว่าทุกลมหายใจเข้าออกของเรา พระคริสต์สถิตอยู่กับเรา เราอยู่กับพระคริสต์ เป็นหนึ่งเดียวกัน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ก็อยู่ในเรา เราก็อยู่ในพระวิญญาณ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม อยู่ไหนก็ตาม ฉันก็อยู่ในพระคริสต์ พระคริสต์ก็อยู่ในฉัน ทุกลมหายใจเข้าออก พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็อยู่ในฉัน ฉันก็อยู่ในพระวิญญาณ ไม่ว่าจะนั่งรถอยู่ ขับรถอยู่ นั่งรถอีแต๋นอยู่ หรือขี่ควายอยู่ พระคริสต์ก็อยู่ในฉัน ฉันก็อยู่ในพระคริสต์ ไม่ว่าจะตอนมีอารมณ์หงุดหงิด หรือมีอารมณ์ชื่นบาน หรือกำลังร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า หรือกำลังทุกข์ใจ เครียด ทุกลมหายใจเข้าออก ฉันก็รู้ว่าพระคริสต์อยู่ในฉัน ฉันอยู่ในพระคริสต์ ชีวิตฉันอยู่ในพระคริสต์ ถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ พระวิญญาณก็อยู่ในฉัน ฉันก็อยู่ในพระวิญญาณ นี่มันหมายถึงอย่างนั้น
มีชีวิตดำเนินอยู่ หมายถึงดำรงอยู่ในพระคริสต์ มันหมายถึงอย่างนี้แหละ ไม่ว่าจะมีความรู้สึกอย่างไร? ทุกลมหายใจเข้าออก เหมือนหลับตา และนึกถึง จินตนาการทุกลมหายใจเข้าออกของฉัน ความจริงในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้ ตามถ้อยคำพระเจ้า ไม่มีผิด ไม่ว่าฉันจะเห็นหรือไม่เห็น? ไม่ว่าฉันจะรู้สึกอย่างไรก็ตาม ความเป็นจริง ก็คือความเป็นจริงวันยังค่ำ ฉันยอมรับความเป็นจริงนี้ มันเป็นอย่างนี้ ฉันอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ก็อยู่ในฉัน ฉันอยู่ในพระวิญญาณ พระวิญญาณก็อยู่ในฉัน เมื่อฉันอยู่ในพระวิญญาณ ฉันก็เป็นความชอบธรรม เป็นคนดี เป็นลูกพระเจ้า ฉันก็เป็นสันติสุข ฉันก็เป็นความชื่นชมยินดี ฉันก็เป็นความรัก ฉันก็เป็นความอดทน ฉันก็เป็นสติปัญญา
พอมองเห็นภาพไหมครับ? สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ ถ้าเราจะได้รับ ก็ได้รับผ่านทางความเชื่อเท่านั้น ถ้าไม่ได้เชื่อ ก็ไม่ได้รับ มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณจริงๆ ตามที่พระเจ้าบอก เพราะฉะนั้น แค่หลับตาก็จะเห็นไปตามความจริงทั้งหมด แค่หลับตา และจินตนาการให้เป็นไปตามถ้อยคำพระเจ้าที่อธิบาย ที่พยายามบอก ที่พยายามสอน ให้เราได้ยินได้ฟังว่าในโลกวิญญาณมันเป็นอย่างนี้อยู่จริงๆ ไม่ว่าลูกจะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันเป็นอยู่จริงๆ ถ้าลูกเชื่อ ลูกก็จะได้รับสิ่งดีๆ ก็จะเกิดขึ้นกับลูก มันเป็นอย่างนั้นแหละ
เพราะฉะนั้น การเจริญเติบโตในความเชื่อ เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ในการดำเนินชีวิต ในการเป็นผู้เชื่อหรือคริสเตียนบนโลกใบนี้ เจริญเติบโตในความเชื่อ ก็รู้มากขึ้นในโลกวิญญาณว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์? ในโลกวิญญาณเกิดอะไรขึ้นกับเรา? ตอนนี้เราเป็นใครในโลกฝ่ายวิญญาณบ้าง? เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเราสามารถพูดความจริงที่มันเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ ออกมาจากปากของเรา เป็นธรรมชาติเลย ทั้งๆ ที่เรามองไม่เห็น เราจะสามารถพูดตาม 2 โครินธ์ 5:6-8 ได้ตามธรรมชาติเลย ถ้าเราเจริญเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ จากความเชื่อหนึ่ง ไปอีกความเชื่อหนึ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ฝึกฝนชีวิตด้วยความเชื่อ ในถ้อยคำพระเจ้า จะเกิดผลอย่างนี้แหละ …
2 โครินธ์ 5:6-8 “6 เพราะฉะนั้น เรามั่นใจอยู่เสมอ และรู้แล้วว่าขณะที่อาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า 7 เพราะว่าเราดำเนินโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่มองเห็น 8 และเรามั่นใจ และพอใจที่จะไปจากร่างกายนี้ และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่า”
“เพราะฉะนั้น เรามั่นใจอยู่เสมอ” พร้อมอยู่เสมอ “มั่นใจ” หมายถึงเห็นเลยนะ “และรู้แล้วว่า” รู้แล้ว เพราะแรกๆ รู้เฉยๆ พอมันชัดขึ้นไปเรื่อยๆ แรกๆ ได้ฟัง ได้ยิน ได้อ่าน ได้รับรู้ ถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์? ในโลกวิญญาณเราเป็นใคร? เกิดอะไรขึ้นบ้าง? เรามีพระพรอะไรเยอะแยะที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้ มีทรัพย์สมบัติในโลกวิญญาณอะไรบ้าง? เกิดอะไรขึ้นกับเราในโลกวิญญาณ พอเรารู้แล้ว เราก็มีความมั่นใจ ก็คือมีความเชื่อเพิ่มพูนขึ้น มากขึ้นว่าขณะที่เราอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ขณะนี้ ตอนที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เดี๋ยวก็เจ็บ เดี๋ยวก็ไม่สบาย เดี๋ยวก็โดนแดด โดนร้อน นิดหนึ่งก็เป็นโน่น เป็นนี่ ต้องวิ่งหนีโควิดอยู่อะไรต่างๆ เหล่านี้ ต้องกังวลอยู่ เดี๋ยวก็หิว เดี่ยวก็อิ่ม เดี๋ยวก็ท้องอืด เดี๋ยวก็ย่อยดี เดี๋ยวก็อารมณ์ดี อารมณ์ร้าย เดี๋ยวก็เป็นคริสเตียนวันอาทิตย์ เดี๋ยวก็เป็นคริสเตียนวันศุกร์ เข้าใจใช่ไหม? คริสเตียนวันอาทิตย์จะเต็มไปด้วยความร่าเริงยินดี เต็มด้วยความเชื่อ ฮาเลลูยาๆ พอวันจันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส เริ่มฟังข่าวสารอะไรต่างๆ ดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เหี่ยวลงๆ จนกระทั่งถึงวันศุกร์ โอ๊ย! พระเจ้าอยู่ไหน? หาไม่เจอ ต้องมาปลุก ให้ขึ้นมาในความเชื่อ ผ่านทางผู้คนรอบข้างเรา และถ้อยคำของพระเจ้าที่พูดกัน ฉลองกันในวันอาทิตย์ วันเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ฉลองวันเป็นขึ้นจากความตายนั่นเอง
ในขณะที่เรายังอยู่ในโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายนี้ ด้วยความมั่นใจ ด้วยความรู้แล้ว ในเรื่องต่างๆ ที่พระเจ้าบอกเราผ่านทางถ้อยคำของพระองค์ ในเรื่องความจริง ในโลกวิญญาณว่าเราเป็นอย่างไร? ในนี้จึงบอกว่าขณะที่เราอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า หมายถึงพระเจ้าสถิตอยู่ในเราก็จริง แต่เรามองไม่เห็นพระองค์ ก็เหมือนอยู่ห่าง ก็เหมือนอย่างที่บอก ดวงดาวมีอยู่จริง แต่เราไม่สามารถมองเห็นได้ เหมือนกับมีกล้องอยู่จริง แต่ท่านมองไม่เห็นผม ในขณะนี้ ผมเอามือออก จึงจะเห็น มันหมายถึงอย่างนั้นแหละ
เราอยู่ห่างจากองค์พระผู้เป็นเจ้า หมายถึงเราไม่เห็นอย่างชัดเจน ในสิ่งที่เกิดขึ้นว่าพระเจ้าหน้าตาเป็นอย่างไร? พระเยซูคริสต์เป็นอย่างไร? เพราะว่าตอนที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ อาศัยอยู่ในร่างกายนี้อยู่ ในนี้บอกว่าเพราะว่าเราดำเนินชีวิต โดยความเชื่อ ไม่ใช่สิ่งที่ตามองเห็นได้ ก็คือเราเชื่อ ในขณะที่เราดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ เรามองไม่เห็นพระเจ้าชัดเจน แต่เราเชื่อ เพราะว่าเราดำเนินชีวิต ด้วยความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า ที่บอกว่ามันเป็นอะไร?
ยกตัวอย่างเช่น ทุกคนไม่เห็นหน้าผม ผมมองไม่เห็นกล้อง แต่ผมเชื่อ พระเจ้าบอกผมว่าหลังของมือผม มันมีกล้องอยู่ ผมไม่เห็นกล้องหรอก แต่ผมใช้ความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าว่ามีกล้องอยู่หลังมือผม ดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ หมายถึงอย่างนี้
“และเรามั่นใจ และพอใจที่จะไปจากร่างกายนี้” เชื่อถึงขนาดไหน? เชื่อขนาดที่ว่าจะมีความพอใจ มีความดีใจด้วยซ้ำไป มากกว่าที่จะอยู่บนโลกใบนี้ วิญญาณออกจากร่างนี้เมื่อไร? เรามีความพอใจมากกว่าอยู่ เพราะเราจะได้ไปเห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้า “และอาศัยอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้ามากกว่า” หมายถึงว่าทุกวันนี้อาศัยอยู่แล้ว แต่มองไม่เห็น เหมือนตะกี้ผมบอกมันมีกล้องอยู่แล้ว แต่ผมมองไม่เห็น เอามือออก ผมก็เห็น พระเจ้าอยู่ตรงนี้ เรารู้ว่ามีพระเจ้าอยู่แล้ว แต่ร่างกายเรา ตาฝ่ายวิญญาณเรายังไม่สามารถเห็นชัด ต้องรอให้ร่างกายนี้หมดสิ้นเสียก่อน วิญญาณเราออกจากร่าง ไม่มีอะไรมาขวาง วิญญาณออกไปปุ๊บ เห็นพระเจ้าหน้าต่อหน้าเลย หมายถึงอย่างนี้แหละ
นี่คือความเชื่อที่ได้ถูกปลูกสร้างขึ้นมา โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า ผ่านทางการรับรู้ถ้อยคำของพระองค์ การเรียนรู้จากการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในแต่ละวัน ทีละนิดทีละหน่อยจากเรื่องราวต่างๆ ที่พระองค์ทรงนำพาชีวิตเราในแต่วัน พระองค์ทรงนำอยู่แล้วล่ะ ท่านจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม อย่างที่ผมบอก ไม่ว่าท่านจะไปไหน พระเยซูคริสต์ก็อยู่กับท่าน ท่านก็อยู่กับพระเยซูเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่มีอะไรจะมาแยกท่านจากพระเยซูได้อีกแล้ว เป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูก็อยู่กับท่าน พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็อยู่กับท่าน ท่านก็อยู่ในพระวิญญาณ ไม่ว่าท่านจะอธิษฐานอยู่ พระเยซูก็อยู่กับท่าน พระวิญญาณก็อยู่กับท่านทุกเมื่อ เมื่อท่านขี้เกียจอธิษฐาน พระเยซูก็อยู่กับท่าน พระวิญญาณก็อยู่กับท่าน เมื่อท่านนินทาชาวบ้านเขา หรือดุด่าว่ากล่าว หรือโกรธใคร บ่นว่าใคร พระเยซูก็อยู่กับท่าน พระวิญญาณก็อยู่กับท่านในโลกวิญญาณ ในวิญญาณของท่าน และพยายามที่จะค่อยๆ สอนท่าน บอกท่านถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกวิญญาณ และค่อยๆ นำท่านให้ประพฤติปฏิบัติตาม ให้สมกับในโลกวิญญาณ ที่มันเกิดขึ้น ที่มันเป็นอยู่
ยกตัวอย่าง ท่านเป็นลูกของพระเจ้า เป็นความรัก เพราะฉะนั้น ประพฤติให้มันเป็นไปกับความรัก เป็นไปด้วยกันกับเป็นลูกของพระเจ้า อย่างนี้เป็นต้น เช่นท่านเป็นผู้บริสุทธิ์ สะอาด ปราศจากบาปแล้ว ดำเนินชีวิต ประพฤติ ก็ให้สมกับฐานะที่เป็นผู้บริสุทธิ์สะอาด ศักดิ์สิทธิ์ เป็นของพระเจ้าแล้ว พระองค์ก็จะค่อยๆ สอนไป ล้มบ้าง? ดื้อบ้าง? ไม่เป็นไร พระเจ้าพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก็เป็นพี่เลี้ยง ค่อยๆ อุ้มเราขึ้นมา แล้วก็เอาใหม่ เชียร์เรา อยู่ข้างเรา อยู่ฝ่ายเราเสมอ เขาเรียกว่าอย่างนี้
เพราะฉะนั้น ความเชื่อนี้จะเจริญเติบโตไปเรื่อยๆ จนกระทั่งท่านสามารถพูดได้ว่าถ้อยคำเมื่อตะกี้เข้าไปอยู่ในโลกวิญญาณที่มันเป็นจริงตอนนี้ ดีกว่าอยู่บนโลกใบนี้เยอะเลย อยู่บนโลกใบนี้ เห็นอะไรก็ไม่ชัดเจน แถมยังอยู่ในโลกแห่งการสาปแช่ง โลกแห่งความเสียหาย โลกแห่งความวิปริต โลกที่บาป และอิทธิพลของมารซาตาน ยังกระทำการงานอยู่บนโลกใบนี้ มีแต่วุ่นวาย มีแต่ทุกข์ นี่พระเจ้าเป็นผู้บอกเรา เพราะฉะนั้น ไม่อยู่บนโลกใบนี้ ก็ยังดีซะกว่า แต่อยู่เพื่อเป็นพยาน อยู่เพื่อสำแดง หรือให้พระเจ้าใช้ร่างกายนี้ ในการสำแดงพระองค์เอง สำแดงพระเยซูคริสต์ ออกมาจากชีวิตของเรา ในทุกอณูเนื้อ ตั้งแต่ลมหายใจ จนกระทั่งถึงสายตา จนกระทั่งถึงความรู้สึก จนกระทั่งถึงความประพฤติ การกระทำทั้งหมด อยู่ในการทรงนำของพระองค์ นี่คือการดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ
สรุป การดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ คือเชื่อในถ้อยคำของพระเจ้า ที่บอกว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณ พระเยซูทำสำเร็จแล้ว อะไรบ้างที่มีผลต่อเราในโลกฝ่ายวิญญาณ นั่นแหละ คือการดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ไม่ใช่ตามองเห็น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ในถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าเป็นพระพรนานับประการทางฝ่ายวิญญาณ ในสรรค์สถานที่พระเจ้าได้จัดเตรียมให้กับเรา เสร็จเรียบร้อยแล้ว ผ่านทางความสำเร็จ ที่พระเยซูคริสต์ทำที่ไม้กางเขนนั่นเอง
พระพรนานัปการในสวรรค์สถานที่พระองค์ได้ทรงประทานให้แล้ว ของดีเยอะแยะมากมาย ไปค้นหาดู ในพระคัมภีร์บอกไว้เยอะแยะไปหมดเลย ในสวรรค์สถาน ก็คือในโลกวิญญาณ ไม่ใช่บนโลกใบนี้ บนโลกใบนี้ แล้วแต่ความประสงค์ของพระเจ้า ที่จะให้เกิดขึ้น จะให้เราได้รับอะไรหรือไม่ได้รับอะไรอยู่ที่พระองค์ ไม่ได้อยู่ที่ตัวเรา แต่ในโลกวิญญาณ ให้ไปแล้ว ไปหาดู ที่ในถ้อยคำของพระองค์ ที่บอกไว้ พระพรนานัปการ เราจะได้พระพร ได้ประโยชน์ โดยความเป็นจริงเหล่านี้ ที่เราได้รับรู้ และผ่านทางความเชื่อ ในการรับรู้เท่านั้น
พระคัมภีร์บอกว่าถ้าหากปราศจากความเชื่อ ก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร? ไม่ได้พระพรอะไรจากพระเจ้าเลย เพราะผู้ที่จะมาหาพระเจ้าได้ ต้องมาหาพระองค์ด้วยความเชื่อเท่านั้น คือเชื่อว่าพระองค์ทรงมีชีวิตอยู่ แน่นอนจะมาเชื่ออย่างอื่นได้อย่างไร? ถ้าไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีชีวิตอยู่ เป็นอยู่จริงๆ แล้วเริ่มต้นจากความเชื่อทีละนิด ทีละหน่อย เปิดใจรับเชื่อพระเยซู แล้วก็ไต่ไปเรื่อยๆ ในความรู้ ในการทรงนำ ในการเจริญเติบโต เดินไปกับพระเยซูในแต่ละวัน แต่ต้องระวัง ต้องเชื่อในถ้อยคำของพระเจ้าที่บอกเราว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ ในโลกวิญญาณที่เป็นจริงๆ เท่านั้น
หมายความว่าอย่างไรถ้อยคำพระเจ้าอย่างจริงๆ ที่ให้เราระวัง … ระวัง คือระวังศัตรู คือมาร มันมาขโมย ฆ่า และทำลาย มารมันจะมาขโมยความจริงในโลกวิญญาณนี้ไป พระเจ้าบอกความจริงเรา มันขโมยความจริงนี้ไป มันไม่ได้มาเอาไปเฉยๆ มันมาขโมยความจริงไป แล้วใส่อย่างอื่นเข้ามาแทนที่ ของปลอมเข้ามาแทนที่ ดูเหมือนจริง เราก็จะได้ผลในความเชื่อ ในสิ่งที่ปลอมๆ ในสิ่งที่เป็นเท็จนั้น แทนที่จะได้ของจริง เพราะเราวางรากฐานของความเชื่อ แทนที่จะไปอยู่ในความจริงของพระเจ้า ดันไปอยู่ในการหลอกลวง ล่อลวงของมาร โดยไม่รู้ตัว ก็เกิดความเสียหาย แทนที่จะได้สิ่งที่ดีๆ ที่พระเจ้าบอกว่าให้เราเรียบร้อยแล้วในพระเยซูคริสต์ เรากลับได้สิ่งที่เลวๆ สิ่งที่ไม่ดี เพราะว่ามารมันเป็นศัตรู แทนที่จะวางความเชื่อลงไปในความจริง คือถ้อยคำพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ แทนที่จะวางความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้า ความคิดจิตใจ ซึ่งเป็นจริงเท่านั้น เราวางผิดที่ ซึ่งมันก็เกิดขึ้นได้ แล้วแต่จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัว ส่วนใหญ่ผมว่าน่าจะไม่รู้ตัวมากกว่า ถ้ารู้ตัว ก็คงไม่มีใครอยากให้ถูกหลอก ส่วนใหญ่เขาถึงบอกว่าหลอกลวง ล่อลวงของมาร เขาถึงเรียกว่าขโมย ถ้าใครรู้ว่าขโมยมา ก็ไม่มีใครอยากให้ขโมยหรอก อันนี้ไม่รู้สิ มันแอบจิ๊กไป โดยเราไม่รู้ตัว อย่างนี้เป็นต้น
เราจึงจำเป็นต้องหลับหูหลับตาเชื่อข้อมูลในโลกฝ่ายวิญญาณที่ถูกต้องเท่านั้น ที่จริงๆ เท่านั้น เราจะรู้ได้อย่างไร? อันนี้ก็ไม่ใช่ง่ายนะ เราจะรู้ได้ ก็ให้พระวิญญาณค่อยๆ นำพาเราไป ค่อยๆ ศึกษาถ้อยคำพระเจ้าไปทีละนิด ทีละหน่อย
อย่างเช่น พระเจ้าบอกกับเรา ในพระคัมภีร์ ในถ้อยคำของพระองค์ว่าเกิดอะไรขึ้น? เป็นผลสำเร็จ ที่ไม้กางเขนบ้าง? เช่น ให้เราเชื่อว่าพระเยซูเป็นผู้ช่วยให้รอด … รอดจากความบาป รอดจากการเป็นคนบาป มาเป็นลูกพระเจ้า รอดจากอาณาจักรความมืด มาสู่อาณาจักรความสว่าง เยียวยารักษาเราทางฝ่ายวิญญาณ ถูกรักษาจากบาปหายหมด กลายมาเป็นคนชอบธรรมในวิญญาณ เราก็จะได้รับความรอดทางวิญญาณอย่างนั้นจริงๆ แต่ถ้าเราถูกหลอกลวงด้วยข้อมูลเท็จที่บอกว่าพระเยซูรักษาเราให้หายแล้วทางร่างกายด้วยเราก็จะหวังในที่ที่พระเจ้าไม่ได้สัญญาเราก็จะผิดหวังและสับสนในความเชื่อในถ้อยคำพระเจ้าอื่นๆ ด้วยเราจำเป็นต้องวางความเชื่อบนถ้อยคำพระเจ้า ที่เป็นผลทางฝ่ายวิญญาณเท่านั้น ไม่ใช่บนความรู้สึก หรือตามองเห็นสัมผัสได้บนโลกใบนี้ ซึ่งเป็นกรณีพิเศษเกิดขึ้นตามพระประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น ไม่ได้รวมอยู่ในความสำเร็จที่พระเยซูกระทำให้แล้วบนไม้กางเขน เพื่อประกาศพระบารมี ประกาศข่าวประเสริฐของพระองค์ ตามแผนการของพระองค์เท่านั้น ไม่ได้เป็นคำสัญญาว่าทุกๆ คนจะได้รับอย่างนี้ ไม่ได้เป็นหนึ่งในผลของความสำเร็จที่พระองค์ทรงกระทำที่ไม้กางเขนเลย แม้แต่นิดเดียว อย่างนี้เป็นต้น
แล้วถ้าเราฝากความหวังไว้ เราไปเชื่อเอาอย่างนั้น เชื่อบนข้อมูลเท็จ อย่างที่บอกจะถูกล่อลวง จะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม มันก็จะเกิดผลเสีย ยกตัวอย่างอย่างนี้เป็นต้น
หรือเรารู้ว่าเราเชื่อพระเจ้า รอดจากการเป็นทาสมารมาเป็นลูกพระเจ้า แล้วมารก็เข้ามา กลับไปที่บ้าน … “เป็นลูกพระเจ้าเหรอ เป็นลูกพระเจ้าได้อย่างไร ยังหงุดหงิด ยังมีนิสัยอย่างนี้ เขาเรียกว่าลูกพระเจ้าเหรอ เป็นไปได้อย่างไร”
นี่แหละ มันมาขโมยเอาความจริง ที่เกิดขึ้น ที่พระเยซูคริสต์ทำให้สำเร็จแล้วที่ไม้กางเขน 2,000 ปีมาแล้ว ทำให้เราบริสุทธิ์ สะอาด ศักดิ์สิทธิ์เป็นลูกพระเจ้าได้ มารก็มาบอกว่า …
“อย่างนี้เหรอ ประพฤติอย่างนี้ เป็นลูกพระเจ้าได้อย่างไร?” อะไรต่างๆ เหล่านี้ เป็นต้น
นี่คือความจริงในเรื่องเกี่ยวกับโลกวิญญาณที่ควรจะรู้ เพราะฉะนั้น หลับหูหลับตาเชื่อ ก็มีอีกทางหนึ่งคิดได้ หลับหูหลับตาเชื่อในถ้อยคำของพระเจ้า ที่พระเจ้าบอกเราว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในโลกวิญญาณเราเป็นใคร ในพระคริสต์ ในโลกวิญญาณ? แล้วในขณะเดียวกัน ปิดหูปิดตาจากข้อมูล จากโลกนี้ ซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้า โกหกหลอกลวง ไม่มีความเป็นจริงเลย แม้แต่นิดเดียว โดยการนำของระบบของบาป โดยอิทธิพลของมารนั่นเอง โลกใบนี้จึงเป็นศัตรูกับผู้เชื่อในพระเจ้า เพราะว่าโลกใบนี้พยายามที่จะเป็นศัตรู ต่อต้าน ขัดขวางความจริงของพระเจ้า ขโมย ลัก ฆ่า และทำลาย ผู้ที่เชื่อในความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า
แต่เราผู้เชื่อ พระคัมภีร์บอกแล้วเราต้องดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ดำเนินชีวิตในความจริง ที่พระเจ้าบอกเราว่าเกิดอะไรขึ้นในโลกวิญญาณ ซึ่งมันอยู่นิรันดร์ มันเป็นไปด้วยกันอย่างนี้ มันเป็นไปตามความเป็นจริงอย่างนี้ตลอดกาล อย่าไปเชื่อโลกใบนี้ ซึ่งมันอยู่ชั่วคราว มันหลอกลวง โกหก ครอบงำโดยมาร พระเจ้าสอนเราเกี่ยวกับความจริง ในโลกวิญญาณว่ามันเกิดอะไรขึ้น บอกเรา อธิบายให้เราฟัง เพราะว่าเราจับต้องมองไม่เห็นสิ่งเหล่านั้นได้ แต่อาศัยความเชื่อ ตามที่พระเจ้าบอก เชื่อและวางใจในพระเจ้า ผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นแหล่ง เป็นต้นเหตุ เป็นฐานแห่งความเชื่อของเราทั้งหมด คือในพระเยซูคริสต์ เชื่อแม้ว่าจะไม่เห็น เชื่อแม้ว่าจะไม่สัมผัสได้ เชื่อแม้ว่าจะไม่ได้ยิน เชื่อแม้ว่าจะไม่เข้าใจ เชื่อแม้ว่าจะไม่ขนลุก เชื่อแม้ว่าดูสถานการณ์แล้วจะอยู่ตรงกันข้ามด้วยกันกับถ้อยคำพระเจ้าก็ตาม แต่ถ้อยคำพระเจ้าพูดไว้เช่นใด เชื่อเช่นนั้น เช่น …
“ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันสะอาดหมดจด บริสุทธิ์แล้ว วิญญาณของเราเป็นเหมือนพระเจ้า วิญญาณของฉันเป็นเหมือนพระเยซู เต็มด้วยสง่าราศีของพระเยซูคริสต์ วิญญาณของฉันนั่งอยู่เบื้องขวาของพระเจ้าในสวรรค์สถาน ร่วมกับพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับฉัน เป็นหนึ่งเดียวกันกับฉัน ทั้งพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตรพระเยซู พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่กับฉัน ในร่างกายนี้ ในวิญญาณของฉัน ฉันเป็นหนึ่งกับพระองค์ และฉันอยู่ในพระองค์ พระองค์ก็ทรงอยู่ในฉัน เราเป็นหนึ่งเดียวกัน และเราใหญ่ ชนะโลกใบนี้แล้ว และเราชนะนิรันดร์กาล เอเมน”
พระเจ้าอวยพรครับ
***********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
“เมื่อทรงรับแล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งสี่กับเหล่าผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คน ก็หมอบกราบลงเบื้องหน้าพระเมษโปดก ต่างถือพิณกับขันทองคำที่เต็มด้วยเครื่องหอม ซึ่งเป็นคำอธิษฐานของประชากรของพระเจ้า” (วิวรณ์ 5:8)
“ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่ง ถือกระถางไฟทองคำเข้ามา และยืนที่แท่นบูชา ทูตนั้นได้รับเครื่องหอมมากมาย สำหรับเผาถวายบนแท่นบูชาทองคำหน้าพระที่นั่งร่วมกับคำอธิษฐานของประชากรทั้งปวงของพระเจ้า ควันเครื่องหอมจากมือของทูตนั้นลอยขึ้นไป พร้อมกับคำอธิษฐานของประชากรของพระเจ้าสู่เบื้องพระพักตร์พระองค์” (วิวรณ์ 8:3-4 TNCV)
พ่อแห่งฟ้าสวรรค์ของเราพึงพอใจมาก เมื่อเราอธิษฐานวิงวอนและขอบพระคุณ คือการพูดคุยสนิทสนมกับพระองค์ผู้ทรงสถิตอยู่กับเรา ในร่างกายของเราตลอดเวลา เพราะว่าพระองค์ต้องการให้เรานั้นรับรู้ตลอดเวลาว่าพระองค์ทรงรักเราลูกลูกของพระองค์ดังแก้วตาดวงใจ และไม่ทอดทิ้งเราไปไหน อยู่กับเราเสมอทุกลมหายใจเข้าออก อยู่ฝ่ายเราคอยช่วยเหลือเรา ในทุกๆ เรื่องในทุกๆสถานการณ์ของการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ และจะจูงมือเราเดินไปจนถึงนิรันดร์
อย่ากลัวเลยลูก! จงมองให้เห็นเถิด! ทุกครั้งที่เราอธิษฐานวิงวอน และขอบพระคุณพูดคุย สัพเพเหระกับพระเจ้าพระองค์กำลังยิ้มชื่นชมยินดี ให้ความสำคัญและกุลีกุจอตอบคำอธิฐานให้กับลูกแต่ละคนอยู่ ด้วยความรักและห่วงใยอย่างมากมาย
พระเจ้าอวยพรครับ