คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 ตุลาคม 2021
เรื่อง “หนังสือเอเฟซัส” ตอน 3
โดย วราพร คงล้วน
วันนี้เรามาต่อในหนังสือเอเฟซัส บทที่ 1 เดือนที่แล้ว เราจบลงที่ข้อ 10 วันนี้เรามาต่อข้อ 11 …
เอเฟซัส 1:11 “ในพระองค์ เรายังได้รับการทรงเลือก ตามที่ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ตามแผนการของพระองค์ผู้ทรงกระทำให้ทุกสิ่ง เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของพระประสงค์ของพระองค์”
คราวที่แล้วเราได้พูดถึงพระเจ้าได้ให้พวกเราผู้เชื่อ หรือคริสตจักรรู้ความลี้ลับ แผนการที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ ในวันที่มนุษย์ล้มลงในความบาป พระเจ้าก็ได้เตรียมแผนการนี้ไว้ โดยการเลือกชาวยิวมาเป็นผลแรก มาเป็นมรดก มาเป็นผู้นำเริ่มต้น ในการที่จะให้ข่าวประเสริฐของพระองค์ได้ประกาศออกไป พอเลือกชาวยิวแล้ว พระเจ้าก็ทรงติดต่อกับชาวยิวมาตลอด คนอิสราเอล เขาถือว่าเขาเป็นชนชาติพิเศษ ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ เขาเป็นบุคคลที่ถูกแยกเฉพาะเจาะจง เป็นของพระเจ้า ถ้าคนที่ไม่ใช่ชาวยิว เป็นคนต่างชาติ ไม่ว่าเชื้อชาติใด สัญชาติใด ก็ไม่สามารถที่จะเป็นเหมือนพวกเขา เข้ามาเป็นพลเมืองของพระเจ้า
ฉะนั้น ความลี้ลับที่พระเจ้าเตรียมเอาไว้ ก็คือในอนาคตข้างหน้า เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาเกิดบนโลกใบนี้ แล้วพระองค์ได้ทรงทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ โดยการเดินไปที่ไม้กางเขน แล้วสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระบาปให้กับมนุษยชาติ ถูกฝังและเป็นขึ้นมาจากความตาย เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายปุ๊บ ความลี้ลับนี้ ได้สำเร็จ ตรงที่พระเจ้าเตรียม ไม่เฉพาะพวกยิวเท่านั้น ที่จะเข้ามามีส่วนเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เข้ามาเป็นวิญญาณเดียวกันกับพระองค์ พระองค์ทรงเตรียมคนต่างชาติด้วย คนต่างชาติ คือใครก็ได้ คนที่ไม่เป็นเชื้อสายอิสราเอล อย่างพวกเราทุกคน ก็ถือว่าเป็นคนต่างชาติ พระเจ้าเตรียมแผนการไว้ล่วงหน้าก่อนเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อถึงเวลากำหนด พระเจ้าก็ทำให้สิ่งที่พระเจ้ากำหนดนั้นได้เกิดขึ้น โดยที่ข่าวประเสริฐของพระองค์ไม่เพียงไปเฉพาะชนชาติอิสราเอลเท่านั้น แต่มาถึงพวกเราทุกคนบนโลกใบนี้ด้วย ตามหนังสือยอห์น 3:16 ที่บอกว่า …
ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อวางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์”
ถ้อยคำนี้หมายถึงปรารถนา ต้องการให้มนุษยชาติทั้งหมดบนโลกใบนี้ ไม่ว่าเชื้อชาติใด สัญชาติใด อยู่ประเทศไหน ที่เรียกว่ามนุษย์นั่นแหละ ถ้าเชื่อวางใจในสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเขา บนไม้กางเขน แค่นั้น ย้ายจากการอยู่ในที่เดิม คือในธรรมชาติเดิมที่บรรพบุรุษเราล้มลงในความบาป ย้ายจากเผ่าพันธุ์ในอาดัม ที่เป็นคนบาป มาอยู่ในเผ่าพันธุ์ใหม่ ก็คือมาอยู่ในพระคริสต์ ก็คือย้ายวิญญาณเลย จากวิญญาณบาป ย้ายมา ต้องมีขบวนการ คือคนๆ นั้นจำเป็นจะต้องตัดสินใจ เปิดใจต้อนรับเอาสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำเพื่อเขาบนไม้กางเขน ทันทีที่มนุษย์คนนั้นได้เปิดใจปุ๊บ ขบวนการของการกลับใจใหม่ หรือการบังเกิดใหม่ ก็จะเกิดขึ้นทันทีในโลกวิญญาณ ที่เราคุยกันมาหลายรอบแล้ว
อยากจะให้พี่น้องได้เห็นทะลุเข้าไปจริงๆ ว่าขบวนการนี้ พระเจ้าได้ทำสำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อวันแรกที่เราเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ทันทีพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ จะเอาวิญญาณเก่าที่เป็นวิญญาณบาปของเราเอาเข้าไปอยู่ เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ก็คือเข้าไปอยู่ในพระเยซูคริสต์เลย เมื่อพระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน วิญญาณเราก็ถูกตรึงด้วย
หลายคนอาจจะไม่เข้าใจ เรื่องของพระเจ้า เราจะเข้าใจด้วยสติปัญญาของเราไม่ได้ แต่ต้องเข้าใจด้วยวิญญาณ หรือด้วยความเชื่อ ฉะนั้น ในโลกวิญญาณไม่มีเวลา ไม่มีมิติ ไม่มีว่าวันนี้ 2,000 ปีที่แล้ว พระเยซูถูกตรึง แล้วเราอยู่ในปัจจุบัน เราจะไม่อยู่ในที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์ ที่ถูกตรึงได้อย่างไร? ถ้าเราใช้สมอง หรือสติปัญญาของเราคิด คิดให้หัวแตก เราก็คิดไม่ออกหรอก แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราไว้อย่างนั้นว่าในมิติของโลกวิญญาณ ไม่มีเวลา คือทันทีที่ใครก็ตามมนุษย์บนโลกใบนี้ เปิดใจต้อนรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน ก็คือยอมรับนั่นแหละ ถ่อมใจยอมรับว่าตัวเองเป็นคนบาป ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า ในโลกวิญญาณ ขบวนการนี้ จะเกิดขึ้นทันทีเลย
แล้วขบวนการนี้ เราไม่สามารถเข้าใจด้วยสติปัญญาของเรา ไม่สามารถสัมผัสด้วยมือ มองเห็นด้วยตา หรืออะไรทั้งหมด แต่ว่าเราสัมผัสได้ด้วยความเชื่อ พระเจ้าบอกเราอย่างนั้น ในถ้อยคำของพระองค์ เมื่อวิญญาณเก่าของเรา ที่อยู่ในอาดัม อยู่ในบาป ถูกตรึงพร้อมกับพระเยซูคริสต์แล้ว ก็คือวิญญาณเก่าเราได้ตายไปแล้ว เราไม่มีบาปอีกแล้ว พอเราถูกฝัง และเป็นขึ้นมาจากความตาย วิญญาณใหม่ที่ขณะนี้ พวกเราผู้เชื่อ ที่เป็นอยู่ ที่เรายังดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ที่พระเจ้ายังไม่เอาเรากลับบ้าน ให้เราเป็นแสงสว่างให้กับผู้คนอีกมากมาย ในขณะนี้ ที่เรายืนตัวเป็นๆ อยู่นี้ วิญญาณข้างในที่เป็นตัวจริงๆ ของเรา เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย เป็นเหมือนเป๊ะ สะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรมเป็นลูกของพระเจ้า เป็นวิญญาณใหม่ ที่ไม่มีบาปเลย แม้แต่นิดเดียว
ตรงนี้แหละ คือประเด็นสำคัญ ที่พวกเราผู้เชื่อทุกคนจำเป็นจะต้องรับรู้ในเรื่องนี้ พระเยซูคริสต์ไม่เคยบอกเราว่าเราต้องทำโน่นทำนี่ แต่บอกเราว่า ณ เวลานี้ วิญญาณใหม่เราเป็นอย่างไร? เรามีธรรมชาติใหม่เป็นอย่างไร? พอเรารับรู้มากเท่าไร? ผลของข้างใน ที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเราจะถูกสำแดงออกมา มากขึ้นเท่านั้น
พอเรามาเชื่อพระเจ้าปุ๊บ พระเยซูบอกว่าให้เราหายเหนื่อยเป็นสุข ไม่ต้องมาแบกบาปที่เดิมที ความรู้สึกข้างในของมนุษย์ทุกคนเลย ไม่มีข้อยกเว้น ทุกชาติ ทุกภาษา จะมีความรู้สึกข้างในว่าตัวเองเป็นคนบาป เมื่อไรจะใช้เวร ใช้กรรมให้หมดไปสักที ความรู้สึกแบบนั้นเลยนะ แล้วมนุษย์พยายามที่จะทำทุกอย่าง ด้วยกำลังของตัวเอง ไม่ว่าจะส่ำสมความดีงาม ทำบุญ ทำทาน ทำโน่น ทำนี่ แต่ข้างในวิญญาณของมนุษย์คนนั้น ก็ยังไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองพ้นบาป ยิ่งทำมากเท่าไรก็ยังรู้สึกว่าเราบาปอยู่ ฉะนั้น พระเจ้าบอกมนุษย์ทำไม่ได้ ถ้ามนุษย์ทำได้ พระเจ้าไม่ต้องส่งพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์ เพื่อจะช่วยเราทำ ทำแทนเรา แต่ว่าด้วยเหตุผลอะไรหลายอย่าง ตัวตนที่เย่อหยิ่งของมนุษย์ พยายามคิดเข้าข้างตัวเองว่า …
“ฉันทำได้สิ ฉันสามารถทำดี ทำโน่นทำนี่ ด้วยกำลังของฉันเอง เพื่อฉันจะได้สามารถไปแตะสวรรค์ได้” … ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
ดังนั้น เรื่องราวของพระเจ้า ข่าวดีของพระองค์ ที่พระเจ้าให้พวกเราประกาศในทุกวัน มันเป็นเรื่องที่ซ้ำซาก เรื่องเดิม แต่เป็นเรื่องเดิมที่มนุษย์ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร? ฟังอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ด้วยสติปัญญา จำเป็นจะต้องใช้วิญญาณ ที่จะเข้ามาฟัง และรับรู้ด้วยวิญญาณ เชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา เชื่ออย่างที่ไม่ต้องคิดเยอะ ไม่ต้องมานั่งคิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร? วิญญาณเราจะไปตายพร้อมกับพระเยซูได้อย่างไร? พระเยซูตายไปตั้ง 2,000 ปีแล้ว อยู่ดีๆ ผู้รับใช้มาบอกเราว่าทันทีที่เราเปิดใจรับเชื่อ วิญญาณเราได้ไปถูกฝังไว้ในตัวพระเยซูคริสต์ แล้วก็ถูกตรึงพร้อมกัน มันเชื่อไม่ได้ ใช้สติปัญญาเชื่อไม่ได้ แต่ว่าสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ ก็คือนั่นคือถ้อยคำพระเจ้า พระเจ้าบอกเราอย่างนั้น แล้วเราถ่อมใจ ตรงที่เมื่อพระเจ้าบอก เราเอเมน นั่นคือความถ่อมใจสุดๆ แล้ว
หลายคนบอกว่าเรารักพระเจ้า เราถ่อมใจ เราเชื่อฟังพระองค์ แต่หลายครั้ง เมื่อพระเจ้าบอกเราว่าความจริงในโลกวิญญาณ เป็นอย่างนั้น เรากลับขัดกับถ้อยคำพระเจ้า เรากลับสงสัย แล้วเราก็ว่ามันเป็นไปได้อย่างไร? พระเจ้าบอกว่าพอเราเชื่อพระเจ้าปุ๊บ เราบังเกิดใหม่ วิญญาณเราเป็นใหม่เหมือนพระเจ้า เป็นผู้ชอบธรรม ไม่มีบาปแล้ว บาปของเราถูกยกไปหมดแล้ว พระเยซูบอกบาปตั้งแต่ในอดีต ที่เราเคยทำ โลหิตของพระเยซูคริสต์ชำระเราแล้ว บาปในปัจจุบัน ที่เราเชื่อพระเจ้า แล้วเราทำอยู่ พระโลหิตของพระเยซูก็ชำระหมดแล้ว และบาปในอนาคตที่เรายังจะทำอีก ตราบใดที่เรายังอยู่บนโลกใบนี้ อยู่ในร่างกายเดิมนี้ ซึ่งเป็นร่างกายเก่า ที่อยู่ในโลกของความบาปและความตาย เราก็ยังทำอยู่ แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราว่าพระเจ้ายกโทษให้หมดแล้ว วันที่พระเยซูคริสต์ถูกตรึงบนไม้กางเขน พระโลหิตของพระเยซูหลั่งลงมา วันนั้น พระเยซูบอกว่าสำเร็จแล้ว
“สำเร็จ” แปลว่าทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ หมดสิ้น ไม่ต้องมาทำเพิ่มอีกแล้ว จบสิ้น ณ วันนั้นเลย บนไม้กางเขน
ฉะนั้น คริสเตียนทุกคนจำเป็น เราจำเป็นมากที่จะต้องถ่อมใจ และจะต้องเชื่อตามที่พระเจ้าบอกเรา เมื่อพระเจ้าบอกเราว่าเราสะอาด บริสุทธิ์ ชอบธรรม ไม่มีบาปแล้ว เราก็ต้องเอเมนตามนั้น เราอย่าให้ใครหลอก …
“แล้วตอนนี้เราทำบาป แล้วทำอย่างไร? เรายังบาปอยู่เลย”
พระเจ้าบอกว่าเราไม่บาปแล้ว การกระทำที่เรายังทำอยู่บนโลกใบนี้ มันไม่เกี่ยวกับตัวตนจริงๆ ของเราเลย วิญญาณใหม่ซึ่งเป็นตัวตนจริงๆ ของเราชอบธรรม บริสุทธิ์ สะอาด ทำบาปไม่เป็น ทำบาปไม่ได้ด้วย เพราะว่าวิญญาณเก่าที่เป็นบาปของเราตายไปแล้ว เราไม่สามารถที่จะไปปลุกคนตายให้ลุกขึ้นมาทำบาปได้ คือตายแล้วตายเลย ลุกขึ้นมาทำบาปไม่ได้ แต่ที่พวกเราผู้เชื่อ ยังติดอยู่ตรงที่ว่าไหนบอกว่าเราไม่ทำบาปแล้ว แต่ทุกวันนี้ ที่ตาเรามองเห็น ก็คือเรายังทำอยู่ เลยทำให้เกิดข้อสงสัยว่าตกลงมันจริงหรือไม่ ที่พระเจ้าบอกว่าเราชอบธรรม สะอาด บริสุทธิ์ หมดจดแล้ว
พี่น้องจำเป็นต้องรับรู้ความจริงตรงนี้เลย ที่พระเจ้าบอกว่าวิญญาณเราสะอาด หมดจดเหมือนพระเยซูคริสต์ สะอาด ชอบธรรมเรียบร้อยไปแล้ว ความบาปของเรา ได้รับการอภัยหมดแล้ว ไม่มีบาปอีกแล้ว ต่อแต่นี้ไป เมื่อเราเชื่อพระเจ้า แล้วเราอนุญาตให้โปรแกรมเดิม หรือสิ่งที่หลอกล่อเรา ตามที่ตาเรามองเห็น มือเราสัมผัส หรืออะไรสักอย่าง ที่มันอยู่ข้างนอก หลอกล่อเราให้ทำตามตรงนั้น มันไม่เกี่ยวอะไรกับวิญญาณเราเลยนะ ไม่เกี่ยวเลย ก็คือถ้าหลอกล่อเรา แล้วบังเอิญเราสู้ไม่ไหว เราล้มลงในความบาป เราก็แค่ลุกขึ้นมา แล้วเราก็เริ่มต้นใหม่กับพระเจ้า เพราะว่าจำเป็นที่เราจะต้องยืนยันตามถ้อยคำของพระเจ้าว่าเราไม่มีบาปเลย พระเจ้ายกโทษให้เราหมดแล้ว อย่าให้สิ่งที่เราทำ หรือความคิดเดิมของเราฟ้องผิดเราว่า …
“เธอเป็นคริสเตียน เธอยังทำบาปอยู่เลย เธอจะรอดไหมเนี้ย พระเจ้าจะรับเธอได้ไหม? เธอยังทำโน่นทำนี่อยู่เลย”
อย่าให้ความคิดเหล่านี้ มาทำให้สิ่งที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์สั่นคลอน เด็ดขาด เรายังคงยืนยันตามถ้อยคำของพระเจ้า ตามที่พระเยซูคริสต์บอกเราว่าพระองค์ชำระบาปของเราเรียบร้อยไปแล้ว แค่เราอยู่บนโลกใบนี้ ที่อยู่ในร่างกายเก่านี้ เราอาจจะเผลอไผล ถูกล่อลวงให้ไปทำบาป ก็ไม่เป็นไร เราก็แค่ปัดฝุ่น แล้วลุกขึ้น แล้วเราก็เริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นในแต่ละวัน โดยการเรียนรู้ธรรมชาติใหม่ของเรา ธรรมชาติใหม่ที่พระเจ้าให้กับเราว่าเราเป็นอย่างไรในพระเยซูคริสต์
พอเราเรียนรู้มากๆ ให้เรามอบอวัยวะของเรา ในร่างกายนี้ทั้งหมด ตา หู จมูก ลิ้น กาย สมองของเราให้กับพระเจ้า ฉะนั้น เมื่อเราเชื่อพระเจ้าแล้ว ขณะที่เรายังอยู่ในร่างกายเก่านี้ พระเจ้าไม่บังคับเรา เรายังมีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าเราจะมอบอวัยวะในร่างกายของเราให้พระเจ้าใช้ หรือให้ระบบของโลกนี้ใช้ เรายังมีสิทธิ์นะ เพราะเราอยู่ตรงกลาง เราเป็นผู้ตัดสินใจ
ถ้าเราเลือกที่จะให้พระเจ้าใช้ ก็คือทำตามที่พระวิญญาณนำเรา พระเจ้าก็มีความสุข แต่ถ้าวันไหนเราไม่อยากให้พระเจ้าใช้ เราออกนอกลู่นอกทาง เราก็อนุญาตให้ระบบของโลกนี้ การล่อลวงทุกรูปแบบ ความคิดเดิมๆ ของเราใช้งาน เราก็เท่ากับทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับถ้อยคำของพระเจ้า แต่ต่อให้เราทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับถ้อยคำของพระเจ้า ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับวิญญาณของเรา ตรงนี้จะย้ำตลอด พี่น้องจำเป็นต้องรับรู้ตรงนี้ ไม่เกี่ยวกับวิญญาณของเราเลย วิญญาณเราสะอาดแล้ว การประพฤติใดๆ ก็ตามที่เราทำบนโลกใบนี้ ไม่มีผลในอนาคตข้างหน้า หลังความตาย หลังความตาย วิญญาณก็ได้ไปอยู่กับพระเจ้า เพราะว่าจริงๆ แล้ว ขณะนี้ ที่เรายังมีชีวิตอยู่ วิญญาณเราก็นั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า ร่วมกับพระเยซูคริสต์อยู่แล้ว ฉะนั้น อย่าให้ใครหลอกเราว่า …
“เธอทำผิดแล้ว เธอไม่รอดแล้ว พระเจ้าไม่รับเธอแล้ว”
เราต้องสวนกลับไปทันทีว่า … “ไม่จริง ต่อให้ฉันทำอะไรก็ตาม โดยการเผลอไผลทำไป วิญญาณฉันก็ยังสะอาด ฉันเป็นผู้ชอบธรรม ฉันเป็นลูกของพระเจ้า ฉันนั่งอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เมื่อวิญญาณฉันออกจากร่าง ฉันจะได้ไปอยู่ที่เดียวกันกับพระเจ้าแน่นอน และฉันจะไปรับร่างกายใหม่ ที่พระเจ้าเตรียมไว้ให้กับฉัน”
นี่คือการรับรู้ความจริงในถ้อยคำของพระองค์ แล้วก็ภาวนา พูดความจริงในถ้อยคำของพระองค์ ถ้าเมื่อไรที่เราพูดความจริงในถ้อยคำของพระองค์ เท่ากับเรากำลังอาเมนกับพระเจ้า เพราะคำว่า “อาเมน” คือใช่ มันเป็นอย่างนั้น
พระเจ้าบอกว่า … “เธอสะอาดแล้ว”
เรา … “เอเมน” รับรู้ความจริงตรงนั้น
พระเจ้าบอกว่า … “ตอนนี้เธอบริสุทธิ์แล้ว”
“เอเมน”
พระเจ้าบอกว่า … “ตอนนี้เธอเป็นลูกของฉัน”
เราก็ … “เอเมน”
“เธอได้นั่งอยู่ที่เดียวกันกับพระเยซูคริสต์แล้วนะ”
เราก็ … “เอเมน”
นี่คือการนมัสการพระเจ้าด้วยจิตวิญญาณและความจริง ซึ่งมันจะขัดกับความรู้สึกของเรามากๆ ในการที่เราดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ด้วยตาที่เรามองเห็น มันขัดกันมาก แต่อาจารย์เปาโลว่าอย่างไร? ก็คือเมื่อเราเดินกับพระเจ้า ถ้าเราใช้ระบบสัมผัส ที่เราสามารถสัมผัสจับต้องได้ ตาเรามองเห็น เราจะไม่สามารถเห็นสิ่งที่พระเจ้าให้กับเราเลย ฉะนั้น การดำเนินชีวิตของเรา ที่บอกว่าให้เราดำเนินชีวิตด้วยความเชื่อ ความเชื่อตรงนี้หมายถึงเชื่อตามที่พระเจ้าบอกเราว่าเราเป็นใครในพระเยซูคริสต์ แล้วเราก็เชื่อตามนั้น ไม่ว่าเราจะเข้าใจ ไม่เข้าใจ รู้สึกตะหงิดๆ มันไม่ค่อยอะไรเท่าไร แต่เราเชื่อไง เรายอมจำนนกับพระเจ้า เราเอเมนตามที่พระเจ้าบอกเรา นั่นแหละคือการถวาย การนมัสการพระองค์อย่างแท้จริง ด้วยวิญญาณ และด้วยความจริงของพระเจ้า
ฉะนั้น ตรงนี้ พระเจ้าบอกว่าพระองค์ได้ทรงเลือก พอเลือกคนยิว หลังจากที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แล้วทำภารกิจของพระองค์สำเร็จ พระเจ้าก็ให้คนต่างชาติได้เข้ามามีส่วนมาเป็นหนึ่งเดียวกันกับคนยิวในพระคริสต์ เหมือนกับพวกเราตอนนี้ เราเป็นหนึ่งเดียวกันในพระเยซูคริสต์ ตามที่พระเจ้าเตรียมไว้ล่วงหน้า แล้วให้น้ำพระทัยของพระองค์สำเร็จผ่านทางพวกเราทุกๆ คน ที่เปิดใจต้อนรับพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด ฉะนั้น สิ่งที่พระองค์เตรียมไว้ แผนการลี้ลับที่ปิดซ่อนไว้ บัดนี้ได้ถูกเปิดเผยแล้ว ผ่านทางคริสตจักรของพระองค์ แล้วพวกเราทุกๆ คน ผู้เชื่อชาวต่างชาติ เราก็ได้มีสิทธิ์เข้ามารับพระคุณจากพระเจ้า เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ เมื่อเราเปิดใจต้อนรับพระองค์ ร่างกายของเราเป็นวิหารของพระเจ้า เป็นที่สถิตอยู่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์
พระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระบุตร พระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทั้ง 3 พระภาคเข้ามาอยู่ในร่างกายของเรา ในขณะนี้เลย ในวิญญาณของเรา หลอมเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งแยกจากกันไม่ได้ ไม่ว่าเราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจ รู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม แต่ถ้อยคำของพระเจ้าบอกเราอย่างนี้ เราก็เอเมนตามนี้ พระเจ้าอยู่ในเรา เมื่อพระเจ้าทรงสถิตอยู่ในเราปุ๊บ ไม่ว่าเราทำอะไร ไม่ว่ายามหลับ ยามตื่น พระเจ้าก็อยู่กับเราตลอด
สมัยก่อน ตอนเชื่อใหม่ๆ ได้รับคำสอนมาว่าถ้าเราทำบาป พระเจ้าจะไม่อยู่ด้วยกับเรา พระเจ้าจะหนีเราไป จนกว่าเราจะเคลียร์ตัวเองให้เสร็จ แล้วก็เชิญพระเจ้ากลับมา ถ้าเราทำผิดอีก พระเจ้าก็จะหนีเราไปอีก เรารับคำสอนอย่างนี้นะ
แต่ความเป็นจริง คือถ้อยคำพระเจ้าบอกว่าพระองค์สถิตอยู่กับเรา เป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา พี่น้องนึกถึงภาพเป็นหนึ่งไหม? ความเป็นหนึ่ง คือแบบเกาะกัน ติดกัน ติดกาวแน่นเลย แยกไม่ได้ เหมือนกับที่พระเจ้าเปรียบสามีกับภรรยาเป็นเนื้อเดียวกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน ที่พระเยซูบอกว่า …
“ถ้าเจ้าไม่กินเนื้อและเลือดของเรา เจ้าก็จะเป็นหนึ่งเดียวกันกับเราไม่ได้”
ก็คือหลอมเป็นหนึ่งเดียวกันเลย แปลว่าพระเจ้าจะไม่หนีเราไปไหนแน่นอน อยู่ที่เดียวกัน ถ้าพระเจ้าหนีเราไป แปลว่าวิญญาณเราออกจากร่าง พี่น้องนึกภาพตามนะ ถ้าเกิดเราทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องปุ๊บ พระเจ้าหนีออกจากตัวปุ๊บ แปลว่าวิญญาณของเรา ก็ต้องออกจากร่างด้วย มันเป็นก้อนเดียวกัน ก็แปลว่าเราต้องตายแน่ๆ เลย ซึ่งความเป็นจริงมันไม่ใช่
ความเป็นจริงที่เราเห็น ก็คือเราก็ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ คริสเตียนทำบาป ก็ยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เหมือนเดิม แปลว่าที่เรารับคำสอนมา มันไม่ใช่แล้วล่ะ
ฉะนั้น ไม่ว่าเราจะดำเนินชีวิตแบบไหนก็ตาม พระเจ้าไม่ทิ้งเรา แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเราจะคอยสอนเรา บอกเราว่า …
“ลูกอย่างนี้ไม่ดีนะ อย่าทำนะ มาทำตามพ่อดีกว่า พ่อสอนว่าให้เรารักกัน เรามารักกันดีกว่า อย่าไปเกลียดกันเลย เราเป็นคนเมตตาดีกว่า อย่าไปอิจฉาริษยาเลย ให้สำแดงสิ่งที่เป็นตัวตนของเราจริงๆ ออกมาดีกว่า”
หรือถ้าเราไม่เชื่อฟังสิ่งที่พระวิญญาณข้างในบอกเรา แล้วเราก็จะทำตามที่เนื้อหนังหลอกล่อเรา เราก็จะได้รับผลตามกฎที่พระเจ้าตั้งไว้บนโลกใบนี้ ไม่เกี่ยวอะไรกับวิญญาณแล้วนะ บนโลกใบนี้ เราจะได้รับผล ถ้าเราไปขโมยเขา ถูกจับ เราก็ไปเสียค่าปรับ ถ้าเราไปตีหัวเขา ถูกจับได้ เราก็ต้องไปเสียค่าปรับ หรือถ้าเผื่อเราเผลอไปฆ่าคนตาย เป็นคริสเตียนนะ ไปฆ่าคนตาย เราก็ต้องถูกจับ ถูกตัดสิน ให้ประหารชีวิต แต่ต่อให้เราถูกตัดสินให้ประหารชีวิต วิญญาณเรายังเป็นของพระเจ้าอยู่ คริสเตียนที่ถูกประหารชีวิต วิญญาณเขารอดนะ นี่คือความจริงในถ้อยคำของพระเจ้า ที่พี่น้องจำเป็นจะต้องรับรู้ เพื่อว่าเราจะได้สามารถยืนหยัดอยู่บนโลกใบนี้ เห็นพระคุณของพระเจ้า ให้พระองค์ทรงเป็นผู้นำเรา และถ้าพูดอีกนัยหนึ่ง ก็คือเมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้าแล้ว มันเป็นไปไม่ได้หรอก เราอยากจะทำสิ่งที่พระเจ้าไม่ชอบ คือธรรมชาติใหม่เราไม่อยากทำแล้ว ธรรมชาติใหม่เราเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นผู้ชอบธรรม เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นความดี เป็นแสงสว่าง เป็นความโอบอ้อมอารีย์ เป็นความเมตตา ธรรมชาติใหม่เราเป็นอย่างนั้นแล้ว ถ้าเราเผลอไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับธรรมชาติใหม่ของเราปุ๊บ เราจะรู้สึกอึดอัด
พี่น้องเคยแพ้อาหารไหม? แพ้อย่างรุนแรง บางคนแพ้กุ้ง แพ้อาหารทะเลปุ๊บ แล้วถ้ายังดันทุรังไปกิน มันก็จะออกอาการ และถ้ากินเยอะขึ้น อาจจะถึงขนาดชีวิตด้วย ตายไม่รู้ตัว แต่ต่อให้แพ้ขนาดไหน เราเป็นลูกของพระเจ้า เราอยากกิน ไม่เป็นไร ตายเป็นตาย ยอมกิน แล้วก็แพ้ แล้วก็ตายไปเลย วิญญาณข้างในเรายังเป็นของพระเจ้าอยู่ เรายังอยู่ในที่เดิม ก็คือที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นภาพที่พี่น้องจำเป็นจะต้องเห็นให้ชัด ฉะนั้น คริสเตียนแพ้ความบาป มันเป็นอาหารแสลง เป็นพิษภัยกับร่างกายของเรา ธรรมชาติใหม่ของเราไม่ชอบขบวนการนี้ แล้วถ้าเมื่อไรที่เราเผลอไปทำปุ๊บ มันจะออกอาการ เหมือนที่เขาบอกว่าปลาจะต้องอยู่ในน้ำ ถ้าวันดีคืนดีน้ำท่วม แล้วมันลอยขึ้นมาบนบก พอน้ำลด ปลาจะดิ้นผลั๊กๆ อยู่บนพื้นดิน มันผิดธรรมชาติ ไม่ใช่ปลาบอก …
“ดีใจจังเลย ได้ขึ้นบก อยู่ในน้ำทั้งชีวิต อยากขึ้นบก”
อยากขึ้นบก ก็ตาย ถ้าอยู่บนบกนานๆ ปลาตัวนั้นก็ตาย มันไม่ใช่ธรรมชาติของปลา ฉะนั้น ธรรมชาติของปลาต้องอยู่ในน้ำ อาจจะเผลอโผล่ขึ้นมา ใครเห็นรีบๆ เอาลงน้ำ เขาก็มีชีวิตอยู่ต่อ เป็นภาพเดียวกันเลย ธรรมชาติใหม่ที่เราเป็นของพระเจ้า เป็นธรรมชาติที่เป็นแบบพระเจ้าเลย มันจะไม่มีธรรมชาติเดิมที่เราอยากจะไปทำบาป อยากจะไปทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับที่พระเจ้าบอก แต่ถ้าเราเผลอไปทำมัน เราจะรู้สึกไม่ไหวแล้ว ผะอืดผะอม เราจะอาเจียนแล้ว เราต้องรีบถอยตัวกลับมา เราต้องรีบหยุด นั่นคือธรรมชาติ
จริงๆ เราไม่ต้องสอนคริสเตียนให้ทำดีหรอก เพราะว่าข้างใน พระเจ้าใส่เข้าไปแล้วความดี แล้วจะมีคนบอกว่า …
“ไม่ได้สิ ถ้าไม่สอน เดี๋ยวคริสเตียนก็หลงระเริง ไปทำสิ่งชั่วร้ายได้ตามสบาย พระเจ้าไม่เอาโทษแล้ว ไหนบอกว่าบาปอดีต บาปปัจจุบัน บาปอนาคต พระเจ้ายกให้หมดแล้ว งั้น เราก็ไปทำชั่วได้สบายนะสิ”
พี่น้องลองไปทำดูว่าสบายไหม? มันไม่สบายหรอก เพราะว่ามันขัดกับความเป็นจริงในธรรมชาติของผู้เชื่อ มันไม่ได้เลย ฉะนั้น ไม่ต้องไปห่วงแทนพระเจ้า พระเจ้าบอกว่าพระองค์ทรงยกโทษความผิดบาป พระเจ้าที่อยู่ในเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ในเรา จะคอยสอนเรา คอยบอกเรา คอยเตือนเรา คอยนำทางชีวิตของเรา เดินไปกับพระเจ้า แล้วเมื่อเราเข้าใจในความจริง ในเรื่องราวของพระเจ้ามากเท่าไร? เราไม่ต้องทำอะไรเลย คริสเตียนไม่ต้องทำอะไรเลย พระเจ้าจะเป็นผู้ทำ เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม พระเจ้าก็จะให้ผลที่เป็นตัวตนจริงๆ ของเราผลิตออกมาให้ผู้คนเยอะแยะมากมายได้เห็นพระเยซูคริสต์ในชีวิตของเรา
นึกถึงภาพในหนังสือมัทธิว ที่พระเยซูบอกว่าเมื่อตะเกียงจุดแล้ว จะไม่มีใครเอาถังมาครอบไว้ ฉะนั้น พวกเราทุกคนที่เป็นผู้เชื่อ ที่บังเกิดใหม่แล้ว พระเจ้าเป็นผู้จุดตะเกียงดวงนี้ขึ้นมา เพราะว่าพระเจ้า ทรงเป็นแสงสว่าง เรามาเชื่อพระเจ้า เราก็เป็นแสงสว่าง ฉะนั้น ตะเกียงนี้ พี่น้องนึกภาพนะ เมื่อก่อนไม่เคยคิดถึงตรงนี้ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดให้เห็น ตะเกียงไม่สามารถย้ายตัวเองไปในที่ที่ตัวเองอยากไป แล้วไปตั้งเด่นตรงนั้น แล้วให้แสงสว่างของตะเกียงฉายออกไป มันไม่ได้ แต่ตะเกียงจะถูกเจ้าของหยิบไปตั้งไว้ที่ไหน ตามที่เจ้าของต้องการ ถ้าบังเอิญบ้านเรามีตะเกียงแค่อันเดียว เจ้าของจะถือตะเกียง วันนี้เขาจะทำกับข้าว เขาก็จะถือตะเกียงเข้าไปในครัว แล้วตะเกียงนั้น ก็จะทำงานของมัน คือเป็นแสงสว่าง ทำให้เขาสามารถหยิบจับเครื่องปรุงมาทำกับข้าวได้ โดยที่ไม่เผลอหยิบผิด จะเอาน้ำตาลไปหยิบกระปุกเกลือ มันไม่ใช่ นั่นคือการส่องสว่าง หรือวันนี้เจ้าของจะเดินออกไปข้างนอก กลางคืน เขาจะไปทำธุระ เขาก็ถือตะเกียงดวงนั้น แล้วก็เดินไป
คนสมัยก่อน เขาบอกว่าพระวจนะของพระเจ้า คือโคมส่องเท้า เขาเป็นอย่างนั้นแหละ เดินไป เราจะได้รู้ว่ามีอะไรกีดขวางอยู่ข้างหน้า พวกเราผู้เชื่อเหมือนกัน เราเป็นตะเกียงที่พระเจ้าเป็นผู้จุดไฟขึ้นมา เมื่อเราบังเกิดใหม่ เมื่อเราเป็นลูกของพระเจ้า แล้วพระเจ้าเองจะเป็นผู้ถือตะเกียงแต่ละดวง ไปตามชอบพระทัยของพระองค์ว่าพระองค์จะเอาเราไปปักอยู่ตรงไหน? เพื่อให้ฉายแสงของพระองค์ออกไป อยู่ที่พระองค์ ไม่ใช่เรา แต่หลายครั้ง เราพยายามที่ทำด้วยกำลังของเราเอง เราอยาก อยากจะไปโน่นอยากจะไปนี่ เราอยากจะฉายแสงตรงโน้นตรงนี้ แต่พระเจ้าบอกว่า …
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ความอยากของเธอ แต่เป็นฉัน ฉันเตรียมไว้แล้ว”
เตรียมไว้สำหรับแต่ละคนว่าพระองค์จะเอาเราไปปักไว้ที่ไหน? เพื่อให้แสงสว่างที่เป็นตัวตนจริงๆ ที่พระเจ้าใส่เข้ามาในวิญญาณของผู้เชื่อทุกคนฉายแสงออกไป ประกาศพระนามของพระองค์ออกไป นั่นคือขบวนการ การทำงานของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่จะทำงานในชีวิตของเรา ฉะนั้น ผู้เชื่อที่วางใจในพระเจ้า เราจำเป็นจะต้องรู้ความจริงเหล่านี้ เพื่อเราจะได้ไม่ไปทำอะไรตามใจตัวเราเอง
“ฉันอยากทำโน่น ฉันอยากทำนี่”
พระเจ้าบอก … “เธออยาก แต่มันไม่ใช่ความอยากของฉัน” … นึกภาพออกไหม? … “เธออยากทำโน่น แต่ฉันไม่ได้อยากให้เธอทำ เธอทำไป ก็เหนื่อยเปล่า เพราะว่ามันไม่ใช่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า”
นี่แหละ คือสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องรับรู้ความจริงเหล่านี้
เอเฟซัส 1:12-13 “12 เพื่อเราทั้งหลาย ซึ่งเป็นพวกแรกที่มีความหวังในพระคริสต์ จะได้สรรเสริญพระเกียรติสิริของพระองค์ 13 และท่านทั้งหลายก็ได้ร่วมอยู่ในพระคริสต์เช่นกัน เมื่อท่านได้ฟังพระวจนะแห่งความจริง คือข่าวประเสริฐแห่งความรอดของท่าน เมื่อท่านเชื่อก็ทรงประทับตราท่านไว้ ในพระองค์ด้วยดวงตรา คือพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงสัญญาไว้”
ข้อ 12 บอกว่าเพื่อพวกยิว ที่เป็นพวกแรกที่ได้รับความรอด จะได้สรรเสริญพระเจ้า
พอมาถึงข้อที่ 13 อาจารย์เปาโลบอกว่า … “และท่านทั้งหลาย” หมายถึงผู้เชื่อชาวต่างชาติ ที่แผนการของพระเจ้าเตรียมไว้ให้คนต่างชาติกับคนยิวมารวมกัน เป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์
อาจารย์เปาโลบอก … “พวกท่านที่เป็นคนต่างชาติ ก็ได้มารวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสต์”
รวมกันได้อย่างไร? เกิดขึ้นได้อย่างไร? เกิดจากที่ผู้คนเหล่านี้ ได้ยิน ได้ฟังถ้อยคำของพระเจ้า ความจริงของข่าวประเสริฐที่ถูกประกาศออกไป แล้วเขารับด้วยความเชื่อ พอเขารับด้วยความเชื่อปุ๊บ เขาก็ได้บังเกิดใหม่ ทันทีที่เขาบังเกิดใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ประทับตราลงไป การประทับตรา หมายถึงการแสดงความเป็นเจ้าของ พระเจ้าจะประทับตรา ผู้เชื่อที่เป็นชาวต่างชาติ ที่บังเกิดใหม่ว่าคนนี้เป็นของฉันแล้วนะ ท่านเป็นกรรมสิทธิ์ของเรา ก็คือพระเจ้าบอกอย่างนี้
พระเจ้าให้เราเข้ามา ในครอบครัวเดียวกันกับพระองค์ในพระเยซูคริสต์ นี่คือพระพรมากจนไม่รู้จะมากอย่างไร? ที่พวกเราทั้งหลายได้รับผ่านทางแผนการความลี้ลับ ที่พระเจ้าได้ทรงเตรียมไว้ ตั้งแต่มนุษย์ล้มลงในความบาป หรือจะพูดว่าตั้งแต่ก่อนสร้างโลกก็ยังได้เลย นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าเตรียมไว้
เอเฟซัส 1:14 “ผู้เป็นมัดจำค้ำประกันว่าเราจะได้รับกรรมสิทธิ์ของเรา จนกว่าคนของพระเจ้าจะได้รับการไถ่ อันเป็นการสรรเสริญพระเกียรติสิริของพระองค์”
ตรงนี้บอกว่าเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ประทับตราเรา เป็นมัดจำว่าเราเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้าแล้ว ก็รอเวลา ตรงที่ว่าจนกว่าแผนการของพระเจ้าจะครบจำนวน เราไม่รู้ว่าแผนการของพระเจ้าจะครบเมื่อไร? อย่างไร? แต่ว่าแน่นอน พระเจ้าก็จะทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จอย่างแน่นอน
หลายคนบอกว่าพระเจ้าเลือกคนยิวเป็นพวกแรกที่ได้รับกรรมสิทธิ์ แล้วก็มีคนบอกว่าคนยิวทุกคนจะได้รับความรอดโดยปริยาย แต่ความเป็นจริงแล้ว พระเจ้าไม่ได้บอกอย่างนั้น พระเจ้าไม่ได้สัญญาอย่างนั้นด้วย แต่ว่าความตั้งใจของพระเจ้า พี่น้องนึกภาพในหนังสือยอห์น 3:16 ที่พระเจ้าบอกว่า …
ยอห์น 3:16 “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อวางใจในพระบุตรนั้น จะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิรันดร์”
แปลว่าแผนการ หรือว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าจริงๆ ที่มีไว้ สำหรับมนุษยชาติ ก็คืออยากจะให้ทุกคนได้รับความรอด อยากนะ พระองค์ต้องการ แต่ว่ากฎของพระเจ้ามีอยู่ ไม่ได้หมายความว่าพออยากปุ๊บ พระเจ้าก็ดีดนิ้ว แล้วทุกคนมาเชื่อพระเจ้าหมดเลย ไม่ใช่ พระเจ้าก็มีกฎไว้ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้น แปลว่ามนุษย์ต้องตัดสินใจด้วย ตัดสินใจที่จะเปิดใจต้อนรับสิ่งที่พระเยซูคริสต์กระทำ เพื่อเขาบนไม้กางเขน เมื่อต้อนรับปุ๊บ ก็ย้ายจากการเป็นคนบาป เข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าทันทีเลยนะ เมื่อต้อนรับปุ๊บ เขาก็ไม่พินาศ ซึ่งมนุษย์ทุกคน ทุกวันนี้ อยู่ในความพินาศ อยู่ในอาดัม อยู่ในบาป กำลังเดินทางไปสู่ความตาย แล้วมนุษย์ถ้าเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ปุ๊บ เขาก็จะหลุดจากความพินาศ จากการอยู่ในครอบครัวของอาดัม เข้ามาอยู่ในครอบครัวของพระคริสต์ หลุดจากการเป็นทาสของมาร มาเป็นบุตรของพระเจ้า หลุดจากการที่จะต้องเดินทางไปสู่นรก เข้ามาสู่ชีวิตนิรันดร์ในพระเยซูคริสต์
นี่คือสิ่งที่พระเจ้าบอกไว้ ตั้งแต่เริ่มต้น ฉะนั้น คนยิวทุกคนจึงจำเป็นจะต้องเปิดใจต้อนรับพระเยซูคริสต์ เหมือนกับพวกเราที่เป็นคนต่างชาติ ถ้าคนยิวหรือคนอิสราเอลคนไหนยังดื้อรั้น ยังไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากพระเจ้า เขาก็ต้องเดินทางไปสู่นรก เหมือนเดิมนั่นแหละ เพราะว่าเกิดมา เขาก็อยู่ในความพินาศอยู่แล้ว มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ เกิดมา ก็อยู่ในความพินาศแล้ว ฉะนั้น พระเจ้าวางกฎนี้เอาไว้ สำหรับมนุษย์ เฉพาะมนุษย์เท่านั้น ที่จะสามารถมารับสิทธิ์นี้ สิทธิ์ของการบังเกิดใหม่ เพื่อจะได้เข้าแผ่นดินสวรรค์
ฉะนั้น มนุษย์ทุกคน ไม่ว่าชนชาติใด เชื้อชาติใดก็ตาม จำเป็นจะต้องตัดสินใจ ในขณะที่คนๆ นั้นยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่ถ้าคนๆ นั้นตาย วิญญาณออกจากร่าง เท่ากับเขาสละสิทธิ์ หมดสิทธิ์ในการที่จะมีโอกาสเข้ามารับความช่วยเหลือจากพระเจ้า หรือไม่มีโอกาสอีกเลย ที่จะเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกันกับพระเจ้า คือไปรอถูกพิพากษาลงโทษแน่นอน
นั่นคือเหตุผลที่ทำไมพระเจ้าถึงยังไม่เอาเรากลับบ้าน จริงๆ แล้ว ถ้าพระเจ้าให้เราเชื่อปุ๊บ เอาเรากลับบ้าน เราก็ได้ความรอดครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว พระเจ้าไม่เอาเรากลับบ้าน เพราะพระเจ้าจะใช้งานเรา เราจะได้เป็นแสงสว่าง เป็นตะเกียงของพระเจ้า ที่จะไปปักอยู่ในที่ไหนก็ได้ที่พระเจ้าจะให้เราไป แล้วก็นำเอาความรอดไปสู่ผู้คนอีกมากมาย
นั่นคือสิ่งที่พระเจ้ากระทำในชีวิตของพวกเรา เราขอบคุณจริงๆ ขอพระคุณพระเจ้าทรงเปิดเผยสำแดง ให้พวกเราทุกๆ คนได้สามารถเห็น รับรู้ความจริงเหล่านั้น แล้วเราจะเป็นอิสระจริงๆ เป็นไทจริงๆ เราจะหายเหนื่อย เป็นสุข เราไม่ต้องมาแบกภาระอีก มาเชื่อพระเจ้าแล้ว เรายังต้องแบกภาระ ต้องทำโน่นทำนี่ ถ้าเธอไม่ทำ เธอก็จะไม่ได้รับความรอด พระเยซูจะไม่รักเธอ มันไม่จริง ถ้อยคำพระเจ้าบอกทันทีที่เราต้อนรับพระเจ้า เราได้รับความรอดแล้ว ต่อให้เราไม่ทำอะไรเลย เราก็เป็นลูกของพระเจ้า เหมือนกับบ้านใครคลอดลูกออกมาปุ๊บ ต่อให้ลูกคนนี้ขี้เกียจขนาดไหน? ไม่ยอมทำอะไรเลย เขาก็ยังเป็นลูกเราอยู่ดี ไม่มีใครบอกว่าขี้เกียจ ตัดออกจากการเป็นลูก ต่อให้เราพูดด้วยคำพูดของเราว่าตัดออกจากการเป็นลูก เขาก็ยังเป็นลูกเราอยู่ดี
ภาพนี้ พี่น้องมองให้ชัด ถ้าพี่น้องมองชัดปุ๊บ พี่น้องจะเห็นโลกวิญญาณว่าพระเจ้าหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ เมื่อเรามาเป็นลูกของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะทำหรือไม่ทำอะไรก็ตาม พระเจ้าจะไม่ตัดเราออกจากการเป็นลูก แต่เชื่อสิ เราอยู่เฉยๆ ไม่ได้หรอก ถึงเวลาพระเจ้าจะจับเราไป มันจะดันจากข้างในออกมา ไม่ใช่มองจากข้างนอก คนบอกว่ามาเชื่อพระเจ้าแล้วควรทำแบบนี้ ควรทำแบบนั้น แล้วเราไปทำ ไม่ใช่ แต่นิ่งๆ แล้วให้พระเจ้าตรัสกับเราจากข้างในออกมา เมื่อพระเจ้านำเราไปทำอะไร ก็ตาม แม้เรื่องนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าถือว่าโอเคนะ คนๆ นั้นโอเคมากเลย แต่ถ้าเราพยายามทำ ด้วยกำลังของเราเอง ด้วยการโน้มน้าวจากภายนอก แล้วทำๆ ต่อให้ทำเยอะแค่ไหน? แต่ถ้าไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าไม่ได้ให้เราทำเลย พระเจ้าบอก …
“ไปทำทำไม ให้มันเหนื่อย ฉันไม่ได้ให้เธอทำเลย”
สิ่งที่เราทำทั้งหมด เหนื่อยแทบตาย ไม่ได้ผลอะไรเลย เพราะว่ามันไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า แต่ว่าไม่ว่าเราจะทำเหนื่อยแค่ไหน ด้วยความอยากของเราเอง ก็ไม่ได้ทำให้เราหลุดจากการเป็นลูกของพระเจ้าได้ เราก็แค่เหนื่อยฟรี พี่น้องนึกถึงภาพเหนื่อยฟรีไหม? พระเยซูบอก …
“ฉันให้เธอหายเหนื่อยเป็นสุข เธอจะไปทำให้มันเหนื่อยทำไม?” อะไรอย่างนี้
ขอพระวิญญาณของพระเจ้าทรงเปิดเผยให้เราสามารถเข้าใจ หยั่งรู้ถึงความจริงในถ้อยคำของพระองค์ เพื่อเราจะได้สามารถดำเนินชีวิตบนโลกใบนี้ ทำให้พระเจ้าพอใจ ทำให้พระเจ้ามีความสุข จริงๆ แล้วพระเจ้าพอใจเราอยู่แล้วล่ะ ไม่มีอะไรที่พระเจ้าไม่พอใจ เมื่อพระองค์เลือกเราแล้ว แต่เราจะทำให้พระเจ้ามีความสุข เพราะว่าพระเจ้าไม่ต้องมานั่งผวา
“ลูกเราจะทำอะไรอีกแล้ว ทำอะไรที่มันผิดมันพลาดบนโลกใบนี้ ลูกเราก็จะเจ็บตัว”
แล้วการเจ็บตัวตรงนี้ ไม่ได้ทำให้เราหลุดจากการเป็นลูกของพระเจ้าได้เลย ตรงนี้คือความจริง และให้เราเอเมนตามนั้น พระเจ้าอวยพรค่ะ
*********************
จากใจคณะศิษยาภิบาล
พระเยซูตรัสว่าเราเป็นความสว่างเป็นความจริงและเป็นชีวิต
ยอห์น 1:12-13 “12 ส่วนคนที่ยอมจำนนต่อความจริง (พระเยซู) ผู้ที่สารภาพ เชื่อ (ความจริง) ในพระนามของพระองค์ (ว่าเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากบาป ที่พระเจ้าประทานให้กับมนุษย์ทุกคน) พระองค์ก็ทรงประทานฤทธิ์เดชให้คนนั้นได้บังเกิดใหม่เป็นบุตรของพระเจ้า 13 ซึ่งในฐานะบุตรนั้น เป็นผู้ที่มิได้เกิดจากเลือดเนื้อ หรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า”
ความจริงจะทำให้ท่านเป็นไทหายเหนื่อยและเป็นสุข
ฮีบรู 13:5 “จงดูแลควบคุมลักษณะนิสัยของท่านให้หลุดพ้นจากการรักเงินทอง รวมทั้งความโลภ กิเลส ตัณหา และการรักสิ่งของบนโลก และจงพอใจในทุกสิ่ง ทุกสถานการณ์ที่มีอยู่ และเป็นอยู่ ในขณะนี้ (ทั้งในโลกวิญญาณและโลกวัตถุนี้) (เชื่อและวางใจในพระเจ้า) เพราะพระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า (เหมือนเป็นลูกกำพร้า) เราจะไม่มีวันละทิ้งเจ้า (ให้อยู่ลำพัง) เราจะไม่ทำให้เจ้าต้องผิดหวัง อย่างแน่นอน”
เอเฟซัส 1:3 “สรรเสริญพระเจ้าผู้เป็นพระบิดาของพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ได้ให้พระพรฝ่ายวิญญาณนานัปการในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ (สวรรค์) ทั้งหลายแก่เราแล้วในพระคริสต์”
เอเฟซัส 2:4-6 “4 แต่เนื่องด้วยความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 5 จึงได้ทรงกระทำให้วิญญาณของเรากลับมีชีวิต (บังเกิดใหม่) อยู่กับพระคริสต์ แม้ในขณะที่ วิญญาณเราได้ตายแล้วในบาป คือท่านทั้งหลายได้รับความรอด (จากการลงโทษจากคำสาปแช่ง) โดยพระคุณ 6 และพระองค์ได้ทรงให้วิญญาณของเราเป็นขึ้นมา (บังเกิดใหม่) กับพระคริสต์ และในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ทรงให้เรานั่งในสวรรคสถานกับพระคริสต์แล้ว”
ฟังแล้วพอหรือยังครับที่จะหายเหนื่อยและเป็นสุข!
พระเจ้าอวยพรครับ