คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม 2020
เรื่อง “เชื้อไวรัสทางวิญญาณ (อาดัม-00)”
โดย นคร เวชสุภาพร
ท่านทราบไหมครับว่ามีเชื้อไวรัสตัวหนึ่งที่น่ากลัวกว่าไวรัสที่เคยเกิดขึ้นในโลกนี้ ซึ่งรวมทั้งเจ้าโควิด-19 ด้วย จากรายงานผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 ตอนนี้ประชากรโลกมีประมาณ 7,300 ล้านคน ติดเชื้อประมาณ 3.4 ล้าน ก็ประมาณ 0.05% เท่านั้น แต่เชื้อไวรัสที่เป็นตัวที่น่ากลัวกว่าเชื้อไวรัสที่เคยมีมา หรือเป็นมาบนโลกใบนี้ มีอัตราการติดเชื้อถึง 100% ของมวลมนุษยชาติทั้งหมด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน? ทวีปอะไร? ประเทศอะไร? ชนชาติไหนก็ตาม ก็ติดเท่ากันหมด คือ 100% และอัตราการเสียชีวิตก็ 100% เช่นเดียวกัน เจ้าไวรัสที่ผมกำลังพูดถึงอยู่นี้ คือไวรัสบาป เป็นเชื้อไวรัสทางวิญญาณ ที่ ผมตั้งชื่อให้เข้ากับสถานการณ์ว่าไวรัสอาดัม-00 เพราะฉะนั้น หัวข้อในการบรรยายในวันนี้ ชื่อ “ไวรัสทางวิญญาณ (อาดัม-00)” เจ้าไวรัสบาปตัวนี้ ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสทางวิญญาณ มีการบันทึกไว้ล่วงหน้านานแล้ว บอกไว้อย่างละเอียด ตั้งแต่ที่มาของเชื้อเกิดขึ้นอย่างไร? แต่เชื้อไวรัสบาปตัวนี้ เป็นเชื้อไวรัสที่เกิดขึ้น ตามองไม่เห็น หูไม่ได้ยิน สัมผัสไม่ได้ แต่เป็นอยู่จริง เป็นเชื้อไวรัสทางวิญญาณ ต้องเข้าใจก่อน
ไวรัสโควิดทุกวันนี้ ก็ยังหาข้อสรุปชัดเจนไม่ได้ว่ามาจากไหน? แต่เชื้อไวรัสบาปที่บอกไว้ชัดเจน ตามหนังสือประวัติศาสตร์มนุษยชาติบอกไว้เสร็จเลยว่ามาจากไหน? เกิดขึ้นได้อย่างไร? ใครเป็นคนแพร่เชื้อคนแรก? บันทึกไว้เลย และผลของมันคืออะไร? วิธีการรักษาบอกไว้ให้เสร็จ? ทำอย่างไรด้วย?
หนังสือประวัติศาสตร์ มนุษยชาติที่มีชื่อว่าพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ได้บันทึกเอาไว้อย่างชัดเจนว่าเชื้อบาปตัวนี้ เป็นเชื้อไวรัสทางวิญญาณ ที่เริ่มต้นเกิดขึ้น ณ ที่แห่งหนึ่งบนโลกใบนี้ ที่เรียกว่าสวนเอเดน บันทึกไว้ชัดเจน และผู้แพร่เชื้อคนแรก คือนายอาดัม ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของมนุษยชาติทั้งปวง และก็เหมือนเชื้อไวรัสหลายๆ ตัวที่แพร่เชื้อส่งต่อมาทางกระแสเลือด หรือเรียกว่า DNA แต่ไม่ใช่โควิดนะ โควิดไม่ได้มาทาง DNA โควิดมาทางการสัมผัส เชื้อไวรัสที่มาทาง DNA มาทางสายเลือด อย่างเช่น ไวรัสเอดส์ HIV
เจ้าเชื้อบาปตัวนี้ ติดต่อทาง DNA ซึ่งมนุษย์คนแรก คืออาดัม เป็นต้นเหตุของเชื้อตัวนี้ เกิดขึ้นโดยการไม่เชื่อฟัง หรือกบฏต่อพระเจ้า อยากเป็นพระเจ้าเสียเอง ผลก็คือการเป็นผู้นำเอาเชื้อบาปเกิดขึ้นทาง DNA ทั้งฝ่ายร่างกายและวิญญาณของเขานั่นเอง ซึ่งเกิดขึ้นก่อนที่เขาจะมีลูกมีเต้า มีหลานเหลนโหลนสืบพันธุ์กันต่อมา เขาติดเชื้อไวรัสบาป ก่อนที่จะมีลูกหลานเหลนโหลน เพราะฉะนั้น ลูกหลานเหลนโหลน ก็จะติดเชื้อตัวนี้ ไปด้วยกันหมดทุกคน
ก่อนที่จะคุยกันต่อไป ต้องนึกถึงก่อน อย่างที่ผมเคยบอกไว้ว่าในหนังสือประวัติศาสตร์มนุษยชาติ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกไว้อย่างชัดเจนเลยว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ ไม่ได้มีวิญญาณ เนื่องจากเราตกไปในความบาป และห่างเหินจากพระเจ้าไปนาน จนกระทั่งไม่คุ้นเคย ตาฝ่ายวิญญาณไม่ได้ใช้เลย ใช้ไม่ได้แล้ว เราจึงมองไม่เห็นชัด แต่ในโลกของฝ่ายวิญญาณ มนุษย์เป็นวิญญาณจริงๆ ตัวแท้ๆ ของมนุษย์ คือเป็นวิญญาณ ในวิญญาณนี้ ก็มีจิตใจอยู่ เพียงแต่วิญญาณและจิตใจนี้ คือตัวตนแท้ๆ ของมนุษย์ อาศัยอยู่ในร่างกายที่เรามองเห็น ทางฝ่ายวัตถุ จับต้องได้ ตรงนี้ต้องเป็นพื้นฐานให้เรารู้ว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ
เพราะฉะนั้น DNA ของอาดัม จึงเป็น DNA ทั้งวิญญาณและทั้งร่างกาย ก็รับเชื้อบาปตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เชื้อของความบาปเข้ามา แล้วมนุษย์ทั้งโลกนี้ ก็สืบเชื้อสายมาจากอาดัม เพราะฉะนั้น มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ จึงได้รับเชื้อบาปนี้ ผ่านทางกระแสเลือด หรือ DNA ของอาดัม วิญญาณ จิตใจ และร่างกายเขาจึงติดเชื้อบาปนี้กันทั้งสิ้น อาดัมถ้าพูดถึงปัจจุบัน เขาเรียกว่าเป็นยอดของการแพร่เชื้อบาปไปยังมวลมนุษย์ทุกคน พระคัมภีร์ไบเบิ้ลเป็นหนังสือประวัติศาสตร์มนุษยชาติได้บันทึกเอาไว้อย่างนั้น
สังเกตให้ดี อาดัมเป็นเพียงคนๆ เดียว ที่ได้รับเชื้อไวรัสบาปนี้เข้ามา โดยการถูกหลอก ไปเชื่อมาร รับเอาเชื้อบาป ติดเข้ามาอยู่ใน DNA ของตนเอง โดยมนุษย์ทุกคนได้รับการติดเชื้อผ่าน DNA มนุษย์ทุกคนได้รับเชื้อไวรัสบาปนี้ จากบรรพบุรุษโดยตรง โดยไม่ต้องทำอะไรเลย
อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่าเชื้อไวรัสบาปตัวนี้ มีอัตราการตาย 100% คือติดเชื้อแล้วตายทั้งฝ่าย วิญญาณ จิตใจ ร่างกาย 100% ไม่มีใครรอดเลย ไปดูหนังสือประวัติศาสตร์มนุษยชาติที่บันทึกเรื่องราว เรื่องนี้ไว้สักนิดหนึ่ง เพื่อจะได้เป็นหลักฐานว่าเขาว่าไว้อย่างไรบ้าง? โรม 5:12 บันทึกไว้อย่างชัดเจน
โรม 5:12 “ฉะนั้น เช่นเดียวกับที่บาปเข้ามาในโลก เพราะมนุษย์คนเดียว และบาปนำความตายมา และโดยทางนี้เอง ความตายจึงมาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป”
“ความตายได้มาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้ทำบาป” เห็นไหมครับ? ตรงนี้จริงๆ แล้ว ต้องบอกว่า “ความตายได้มาถึงมวลมนุษย์ เพราะทุกคนได้รับเชื้อไวรัสบาป” ซึ่งผลของเชื้อไวรัสบาป ก็คือความตาย
มนุษย์ทุกคนเกิดมา ก็ได้รับเชื้อไวรัสแล้ว โดยไม่ต้องทำอะไรเลย เริ่มต้นเซลแรก เกิดในครรภ์มารดา ก็บาปแล้ว คลอดออกมาจากครรภ์มารดา ก็ติดเชื้อบาป แล้วก็ต้องได้รับผลของเชื้อบาปนี้ ก็คือความตาย ไม่ต้องทำอะไรเลย
คำว่า “ตาย” ตรงนี้ เรากำลังพูดถึงความตาย ทั้งทางวิญญาณและร่างกาย อย่างที่ผมอธิบายให้ท่านฟังว่ามนุษย์เป็นวิญญาณ มีจิตใจ และอาศัยอยู่ในร่างกาย ไวรัสบาปนี้ ส่งผลไปทั้งหมดเลย ทั้งร่างกาย วิญญาณ และจิตใจ อยู่ในความตายทั้งสิ้น พอเกิดมาปุ๊บ ติดเชื้อปั๊บ ทางวิญญาณ เราก็ตายทันที ทางร่างกายก็เริ่มเข้าสู่ขบวนการเสื่อมสภาพ ซึ่งแต่ก่อนนี้ไม่มีการเสื่อม ร่างกายเราจะอยู่นิรันดร์ ไม่มีการเจ็บป่วย ไม่มีการตาย แต่เพราะเชื้อไวรัสบาปตัวนี้ ส่งผลทำให้ร่างกาย ต้องเสื่อมสลาย กลับไปสู่ดิน หนังสือประวัติศาสตร์ คือพระคัมภีร์ไบเบิ้ลได้บันทึกเอาไว้อย่างนั้น อย่างชัดเจน อย่างไรวันหนึ่งก็จะต้องตาย ตายช้าตายเร็ว จะ 70, 80, 90, 100, 120, 130, 200, 300 ก็ต้องตาย คือมนุษย์พอคลอดจากครรภ์มารดา ก็เริ่มต้นนับหนึ่งไปสู่ความตาย ความเสื่อมไปเรื่อยๆ นั่นเอง เหตุมาจากเชื้อไวรัสบาปตัวนี้แหละ หนังสือโรม 5:17-18 บอกว่า …
โรม 5:17-18 “17 เพราะถ้าโดยการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว เป็นเหตุให้ความตายได้ครอบครองผ่านทางมนุษย์คนเดียวผู้นั้น ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดบรรดาผู้ที่ได้รับพระคุณ และของประทานแห่งความชอบธรรม ซึ่งพระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้อย่างมากล้น ย่อมครอบครองในชีวิตผ่านทางมนุษย์คนเดียว คือพระเยซูคริสต์ 18 ฉะนั้น การล่วงละเมิดเพียงครั้งเดียว ส่งผลให้คนทั้งปวงถูกลงโทษฉันใด การกระทำอันชอบธรรมเพียงครั้งเดียว ก็ส่งผลให้คนทั้งปวง ถูกนับเป็นผู้ชอบธรรมฉันนั้น ซึ่งการนับเป็นผู้ชอบธรรมนี้ นำชีวิตมาให้คนทั้งปวงเหล่านั้น”
โดยการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว โดยการเอาเชื้อนี้เข้ามาสู่ตัวเพียงคนเดียว เป็นเหตุให้ความตายได้ครอบครองผ่านทางมนุษย์คนเดียวผู้นั้น มนุษย์คนเดียวผู้นั้น ก็คือนายอาดัม บรรพบุรุษของมนุษยชาตินั่นเอง ที่แพร่เชื้อไวรัสบาปตัวนี้ผ่านทาง DNA ของเขา ทั้งทางฝ่ายร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ เมื่อผู้คนติดเชื้อไวรัสบาปนี้ และผลมันจะออกมาเป็นลักษณะแบบไหน?
เหมือนอย่างโควิด-19 ใครติดเชื้อตัวนี้ เราก็พอจะทราบนิดหนึ่ง ตามข่าวคราวว่าจะมีอาการอย่างไร? เช่นตัวร้อน เป็นไข้ ไอ ในที่สุด ก็ไปลงปอด ปอดอักเสบ ไปกินเนื้อที่ปอดอะไรประมาณนั้น แต่ไวรัสบาปอาดัม-00 เมื่อติดเชื้อไวรัสบาปตัวนี้เข้าแล้ว อาการและผลมันออกมาเป็นอย่างไรต่อชีวิตของคนๆ นั้นบ้าง ลองดูนิดหนึ่งนะ ผมสรุปมาให้อ่านจากหนังสือประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติว่าอาการจะเป็นประมาณนี้ เช็คดูว่าใช่หรือไม่?
เชื้อไวรัสบาป — ต่อต้านพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า
ผล คือความตาย
ผลทางวิญญาณ — เป็นทาสรับใช้มาร อยู่ในอาณาจักรมืด
ผลทางร่างกาย — ร่างกายเสื่อมลง เน่าสลายไปสู่ดิน
ผลก็คืออาการเกิดขึ้น คือมีความรู้สึกหรือไม่รู้สึกก็ตาม แต่มันเป็นไปตามนั้น คืออาการต่อต้านพระเจ้า อยู่ตรงกันข้ามกับพระเจ้า เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ชอบให้ใครพูดถึงเรื่องพระเจ้า ไม่ค่อยอยากจะได้ยินคำว่าพระเยซู ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้เลยว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร? นี่คร่าวๆ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้น เพราะข้างในวิญญาณและจิตใจเป็นศัตรูกัน อยู่ตรงข้ามกัน
เมื่อมีอาการเหล่านี้ มีผลเกิดขึ้นอย่างไร? ก็คือ ความตายทั้งทางฝ่ายวิญญาณ ร่างกาย และจิตใจ ผลทางวิญญาณและจิตใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่เรามองไม่เห็น แต่เกิดขึ้น ก็คือทั้งวิญญาณและจิตใจ ซึ่งเป็นตัวตนแท้ๆ ของมนุษย์ ของคนๆ นั้น ก็ตกเป็นทาสรับใช้มาร โดยไม่รู้ตัว และเป็นทาสของความชั่วร้ายทั้งปวง นี่พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึกไว้อย่างนั้น วิญญาณและจิตใจนั้น ตกลงไปอยู่ในอาณาจักรหนึ่ง สถานที่แห่งหนึ่งในโลกวิญญาณ ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งความมืด ไม่มีพระเจ้าอยู่ที่นั่น ตกเป็นทาสของความชั่วร้าย
และผลทางร่างกายล่ะ ร่างกายที่มองเห็น ก็อย่างที่บอก ร่างกายเริ่มเสื่อมลง ค่อยๆ เน่าสลาย ค่อยๆ ตาย จนหยุดทำงาน ลงไปสู่ดิน
นี่คืออาการและผลจากเชื้อไวรัสบาปตัวนี้ 1 โครินธ์ 15:21-22 ดูสิว่า ประวัติศาสตร์มนุษยชาติ พระคัมภีร์ไบเบิ้ลบันทึกไว้อย่างไร? จะเยียวยารักษาไวรัสบาปนี้ ได้อย่างไร? …
1 โครินธ์ 15:21-22 “21 เพราะในเมื่อความตาย สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียว การเป็นขึ้นจากตาย ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวเช่นกัน 22 เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวงตายฉันใด ในพระคริสต์ คนทั้งปวงจะได้รับชีวิตฉันนั้น”
สมมติว่าอาทิตย์หน้า เดือนหน้า มีประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือกลุ่มคนใดกลุ่มคนหนึ่งค้นพบวัคซีน รักษาโรคโควิด-19 เรียบร้อยแล้ว อย่างเด็ดขาดเลย 100% แล้ว เราจะเฮมั๊ย
ตะกี้ที่เราอ่านในหนังสือ 1 โครินธ์ 15:21-22 ความตาย สืบเนื่องจากมนุษย์คนเดียว คืออาดัม การเป็นขึ้นจากตาย ก็สืบเนื่องมาจากมนุษย์คนเดียวฉันนั้น เพราะว่าในอาดัม คนทั้งปวงตายฉันใด ในพระเยซูคริสต์หรือในพระคริสต์ คนทั้งปวงก็จะได้รับชีวิตฉันนั้น ก็คือเป็นขึ้นจากตายฉันนั้น
เป็นตรรกะง่ายๆ เลย อาดัมทำให้ตาย พระเยซูคริสต์ทำให้เป็นขึ้นจากตาย อาดัมทำให้ติดเชื้อโรคไวรัสบาป พระเยซูคริสต์ทำให้หายจากโรคไวรัสบาป มนุษย์ติดเชื้อบาป มาจากคนๆ เดียว โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย เกิดมาได้เลย เพราะฉะนั้น การรักษา ก็มาจากคนๆ เดียว โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเหมือนกัน จบเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะตอนที่เรารับเชื้อมา เราก็ไม่ได้ทำอะไร เราก็ได้รับเชื้อแล้ว เพราะฉะนั้น ตอนได้รับการรักษาให้หาย โดยพระเยซูคริสต์ ทำไมเราจะต้องไปทำอะไรเยอะแยะมากมาย เราก็ได้หายเหมือนกัน โดยพระเยซูคริสต์ เพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่รักษาเราหาย โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย เดี๋ยวเรามาดูกันต่อไปว่าหนังสือประวัติศาสตร์มนุษยชาติ พระคัมภีร์ไบเบิ้ล บันทึกการรักษาไว้อย่างไรบ้าง?
ตะกี้พูดแค่บอกว่าจากคนๆ เดียว ทำให้เราติดเชื้อ จากคนๆ เดียว ทำให้เราหาย ฟังดูเหมือนง่าย จบ แต่ผมรู้ ไม่จบหรอก สำหรับคนที่ยังไม่ได้เชื่อในข่าวดี คิดอย่างไร ก็คิดไม่ออกว่าจะเป็นไปได้อย่างไร? ก็คือไม่จบนั่นเอง เพราะมันเชื่อยากไง ผมก็จำประสบการณ์ของผมเองในอดีต ก่อนที่จะมาเชื่อเรื่องนี้ จะให้มาเชื่อตอนโน้นมันยากเย็นเข็ญใจเหลือเกิน มันเชื่อยาก ถ้าทำแบบบันทึกเหตุการณ์ แบบองค์การอนามัยโลก แบบนี้ จะมีสถิตแบบนี้ว่าจำนวนประชากรที่ติดเชื้อไวรัสบาปตัวนี้ ตอนนี้มีกี่คน? 7,300 ล้านคนใช่ไหม? คิดเป็น 100% คือจำนวนของผู้ที่ได้รับการรักษาให้หายแล้ว มีแค่ประมาณ ทุกวันนี้มีผู้เชื่อประมาณ 2,300 ล้านคน ก็คิดเป็น 32% คือประมาณ 1 ใน 3 ที่ได้รับการรักษาให้หาย ที่เหลือ 60 กว่าเปอร์เซ็นต์ ยังไม่หาย เพราะไม่ได้เข้าสู่ขบวนการรักษาให้หาย ก็คือไม่เชื่อในแพทย์ผู้รักษา หรือวิธีการรักษาของพระเจ้า ยังไม่เชื่อนะ
การหายจากเชื้อไวรัสบาป ผลคืออะไร? ตะกี้เราดูเรื่องอาการของคนติดเชื้อไวรัสบาปเป็นอย่างไร? ตอนนี้มาดูอาการและผลของการหายจากการติดเชื้อบาป เชื้อไวรัสบาปถูกจัดการหลุดออกไปจากชีวิตของคนๆ นั้นแล้ว อาการและผลมันเป็นอย่างไรบ้างคร่าวๆ ตามที่พระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ ผมสรุปมาให้ท่านอ่านดูว่าใช่ไหม?
หายจากเชื้อไวรัสบาป — กลับคืนดีกับพระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้า
ผล คือการบังเกิดใหม่
ผลทางวิญญาณ — เป็นลูกพระเจ้า อยู่ในอาณาจักรแสงสว่าง
ผลทางร่างกาย — ร่างกายเสื่อมลง เน่าสลายไปสู่ดิน รอการเป็นขึ้นมาใหม่
(ร่างกายสวรรค์)
อาการ คือกลับคืนดีกับพระเจ้า อยู่ข้างเดียวกับพระเจ้า เชื่อฟังพระเจ้า ได้ยินเรื่องพระเจ้า ชอบ ทั้งๆ ที่ไม่รู้ ไม่เข้าใจ คือสติปัญญามนุษย์ไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ รู้สึกรักพระเจ้า รู้สึกอยากฟังเรื่องพระเจ้า พอพูดถึงเรื่องพระเยซู ซาบซึ้งเหลือเกิน ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้เลย ไม่เคยเห็นหน้าพระเยซู ไม่เคยจับต้องมองเห็นพระเยซูเลย แต่รู้สึกอยากจะฟัง อยากจะร้องเพลงนมัสการพระเจ้า อยากจะรู้เรื่องของพระเยซูคริสต์ นี่แหละอาการ
ผล คือได้รับการบังเกิดใหม่ พระคัมภีร์บันทึกไว้อย่างนั้นว่าได้รับการบังเกิดใหม่ ทั้งทางวิญญาณและร่างกาย ไม่ใช่ซ่อมใหม่นะ วิญญาณและร่างกายได้รับการบังเกิดใหม่
ทางฝ่ายวิญญาณและจิตใจที่เป็นตัวตนแท้ๆ ได้กลายเป็นลูกของพระเจ้า เชื่อฟัง รับใช้พระเจ้า มีแต่ความดีงามอยู่ในวิญญาณและจิตใจ วิญญาณและจิตใจนั้นได้อยู่ในสถานที่หนึ่งในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่เรียกว่าอาณาจักรแห่งแสงสว่าง หรือเรียกว่าสวรรค์นั่นเอง
และเกิดผลทางร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง ร่างกายที่จับต้องมองเห็น สำหรับคนที่ เชื่อในการรักษาของพระเยซูคริสต์ให้หายจากโรคไวรัสบาปนี้ ผลทางร่างกาย คือร่างกายทุกวันนี้ยังต้องเสื่อมลงสู่ดิน หยุดทำงาน เน่าสลายไปวันหนึ่งข้างหน้า เหมือนเดิม อ้าว! แล้วมีอะไรเปลี่ยนแปลง ฟังให้ดี ยังไม่จบ เสื่อมลงสู่ดิน รอการเป็นขึ้นจากความตาย เหมือนที่พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตาย รอวันเป็นขึ้นจากความตายในวันหนึ่งข้างหน้า แล้วการเป็นขึ้นจากความตายนั้น คือร่างกายใหม่ เรียกว่าร่างกายสวรรค์ ร่างกายที่เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ที่เป็นขึ้นจากความตายเลย เราจะได้รับร่างกายนั้น วันหนึ่งข้างหน้า
สรุป ก็คือไม่ว่าจะเป็นการได้รับเชื้อไวรัสบาป หรือการหายจากไวรัสบาปมนุษย์เราไม่ต้องทำอะไรสักอย่าง ทั้งสองข้างเลย เพราะไม่ได้มาจากการกระทำของมนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะเป็นการได้รับเชื้อไวรัสบาป เป็นคนบาป หรือได้รับการรักษาให้หายจากบาป ก็มาจากการเกิดจากท้องแม่ปุ๊บ ก็ได้รับเชื้อเลย ไม่ต้องทำอะไรเลย พอมาเชื่อข่าวดีของพระเยซู ก็ได้รับการบังเกิดใหม่เลย เชื้อหายไปเองเลย โดยไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้น เหมือนกันเลย พูดง่ายๆ ก็คือเกิดมา ก็เป็นบาป จะให้หายจากบาป ก็ต้องเกิดใหม่ หรือพระคัมภีร์เรียกว่าบังเกิดใหม่ ถึงจะหายได้ นี่ชัดเจนเลยนะ เป็นตรรกะ ผมพยายามเอามาอธิบายแบบง่ายๆ เพื่อไม่ให้ท่านสับสน เพื่อจำง่ายๆ เท่านั้นว่าเราไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแต่เชื่ออย่างเดียว พระเจ้าจะทำหน้าที่ทำให้เราเกิดใหม่ แล้วการรักษาเชื้อไวรัสบาป โดยการเกิดใหม่ พระเจ้ารักษาเราแบบทันที ผ่านทางพระเยซูคริสต์
สมมติว่าตอนนี้ติดเชื้ออยู่ พอเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ปั๊บ เชื้อโรคหายทันทีเลย
เชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ คือเชื่อว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้า มาเกิดเป็นมนุษย์ มาตายที่ไม้กางเขน แล้วอยู่ในหลุมฝังศพ แล้วเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงประทานให้มาเป็นผู้รักษาเยียวยาไวรัสบาปให้กับมวลมนุษยชาติ แค่นั้นเอง พอเชื่อปั๊บ เชื้อหายทันที ได้บังเกิดใหม่ ผลของการเชื่อนั้น มาเป็นขบวนการเลย เป็นแพ็คเกจเต็มไปหมดเลย
พระเจ้าไม่ได้รักษาเราแบบ พอมาเชื่อปุ๊บ แล้วค่อยๆ รักษาเรา พอเราเชื่อปุ๊บ ก็ค่อยๆ ดูไปนะลูกเอ่ย ดูว่าความประพฤติเป็นอย่างไร? เชื่อแล้วเปลี่ยนชีวิตจริงไหม เชื่อจริงหรือเปล่า? ทำความดีพอไหม? ทำชั่วน้อยลงไหม? เวลาเชื่อแล้ว
“ค่อยๆ สะสมความดีไปนะ เรื่อยๆ แล้วเชื้อบาปมันจะค่อยๆ หายไปทีละ 10% 20% 30% รอจนกว่าทำดีเยอะๆ สะสมไว้มากๆ จนกว่าจะได้ครบ 100% จะได้หายนะลูก”
พระเจ้าไม่ได้รักษาเราอย่างนั้น ถ้ารักษาเราอย่างนั้น เราไม่มีหายหรอก เราไม่มีความหวังหรอก แต่ด้วยความเชื่อในข่าวดีนี้ มนุษย์คนนั้นจะได้รับการรักษาแบบทันทีทันใด เป็นฤทธิ์เดชอำนาจเปรี้ยงทันทีทันใด เกิดใหม่ทันทีทันใด เหมือนตอนที่พระเจ้าสร้างโลกใบนี้ เหมือนนักวิทยาศาสตร์ ไม่รู้จะพูดว่าอย่างไร? เลยบอกว่าโลกสร้างด้วยระบบบิ๊กแบง ระเบิด เกิดเป็นระบบมหาจักรวาลขึ้นมา ผู้ที่เกิดใหม่ พระเจ้าก็ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จเข้ามาในวิญญาณของคนนั้น เกิดใหม่ทันทีทันใด
วิธีการรักษาของพระเจ้า เป็นแบบทันที จากฝั่งที่มีเชื้อไวรัสบาปอยู่ ย้ายเรามาอยู่ในฝั่งปลอดเชื้อทันที คือหาย ย้ายเราจากฝั่งของ DNA ของอาดัม ซึ่งติดเชื้อ มาอยู่ DNA ของพระเยซูคริสต์ทันที ไม่ต้องรอให้ตาย ไม่ต้องรอให้สะสมความดีความงามต่อไป ไม่ต้องเลย ทันทีเลย 100% ไม่มีการค่อยๆ หาย และไม่มีการกลับไปกลับมา หาย 3 วัน อีก 3 วันไม่หาย แล้วก็ไม่มีครึ่งๆ กลางๆ ทั้งอยู่ DNA ของอาดัมด้วย และอยู่ใน DNA ของพระเยซูด้วย ติดเชื้อด้วย 3 วันหาย 3 วันเป็นไม่มี หาย ก็คือหายเลย พอเกิดใหม่ มันเป็นเลย มันไม่สามารถที่จะกลับไปกลับมา เหมือนเราเกิดเป็นลูกผู้ชายตอนนี้ เราไม่สามารถเกิดเป็นลูกผู้ชาย อีก 3 ปี เราจะไปเป็นผู้หญิง แล้วอีก 3 ปี เราจะกลับมาเป็นผู้ชายอีก แล้วมาเป็นผู้หญิง ไม่ได้ เกิดเป็นอย่างไร? ก็ต้องเป็นอย่างนั้น
ลักษณะเดียวกัน คือได้เกิดใหม่ พระเจ้าจะย้ายเราทันทีเลย ไม่ใช่กลับไปกลับมา วันนี้วันอาทิตย์ฟังถ้อยคำพระเจ้าเยอะๆ รู้สึกชื่นอกชื่นใจ หายจากโรคไวรัสบาปจริงๆ เลย พอเจอปัญหา เจอระบบของโลกใบนี้ ซึ่งมันเสียหายไปแล้ว ทำให้เกิดปัญหา ทำให้เกิดความเครียด รู้สึกว่าไม่ได้ถูกรักษาให้หาย ไม่ได้เป็นลูกพระเจ้าแล้ววันนั้น อะไรประมาณนั้น
เมื่อถูกรักษาให้หาย คือพระเจ้าจะย้ายเรา จากฝั่ง DNA ของอาดัมไปอยู่ในฝั่งพระเยซู มนุษย์ทุกคนไม่อยู่ในบาป ก็อยู่ในฝั่งชอบธรรม ก็คือไม่บาป ไม่อยู่ในความชั่ว ก็อยู่ในความดี ไม่ดำ ก็ขาว ไม่ตาย ก็มีชีวิต ไม่อยู่กับมาร ก็อยู่กับพระเจ้า ไม่อยู่กับความมืด ก็อยู่กับความสว่าง หลุดพ้นจากขุมนรก ก็มาอยู่ในสวรรค์ ไม่ใช่กลับไปกลับมา อยู่ในสวรรค์ 3 วัน อยู่ในนรกวันหนึ่ง ขาข้างหนึ่งอยู่ในสวรรค์ ขาข้างหนึ่งอยู่ในนรก ไม่ใช่
DNA ของอาดัม … VS … DNA ของพระเยซูคริสต์
อยู่ในบาป … VS … ในความชอบธรรม
อยู่ในความชั่ว … VS … อยู่ในความดี
ดำ … VS … ขาว
ตาย … VS … มีชีวิต
อยู่กับมาร … VS … อยู่กับพระเจ้า
อยู่ในนรก … VS … อยู่ในสวรรค์
สิ่งเหล่านี้ คือการเปลี่ยนทันที ย้ำอีกครั้งหนึ่ง ทันที ไม่อยู่ในผู้ที่จะถูกพิพากษา ลงโทษ ก็อยู่ในฝั่งผู้ที่ได้รับนิรโทษกรรม พ้นจากโทษแล้ว ก็คือไม่อยู่ในคุก ก็อยู่นอกคุก อยู่ตรงกลางไม่มี เป็นศัตรูกับพระเจ้า หรือเป็นลูกพระเจ้า ไม่มีข้างๆ ไม่มีเป็นลูกด้วย เป็นศัตรูด้วย ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่าการได้มาทั้งสองข้าง 2 สถานะ ที่เล่าให้ฟังคร่าวๆ มนุษย์ไม่ต้องทำอะไรเลย นอกจากตัดสินใจเลือกข้างเท่านั้น พระเจ้าวางแบบให้อย่างนี้เลย เพราะพระเจ้าไม่บังคับ บังคับไม่ได้อยู่แล้ว พระองค์เป็นเจ้าแห่งความรัก ควบคุมทุกอย่างด้วย ความรัก ไม่ใช่บีบบังคับ ควบคุม เป็นทาส ไม่ใช่ เราเป็นลูก และพระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่งทั้งหลาย ให้มีอิสรภาพในการตัดสินใจ ในการเลือกเอาเอง
เพราะฉะนั้น มนุษย์คนๆ นั้นต้องเลือกเอง ตัดสินใจเองที่จะเลือกเอาข้างไหน? มนุษย์สามารถที่จะเลือกหัวหน้าครอบครัวได้คนเดียวเท่านั้น คือจะเลือกหัวหน้าครอบครัวเดิม อยู่ที่เดิม ก็คืออาดัม บรรพบุรุษ หรือเลือกหัวหน้าครอบครัวใหม่ ที่พระเจ้าได้เตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว 1990 ปีผ่านมาแล้ว คือพระเยซูคริสต์ ให้เลือกเอาข้างใดข้างหนึ่ง มนุษย์ต้องตัดสินใจเอง ด้วยความสมัครใจว่าจะเข้าสู่ขบวนการ การได้รับการรักษา โดยพระเยซูคริสต์ ให้หายจากไวรัสบาปนี้หรือไม่ ด้วยตนเองจริงๆ สมัครใจไหม? พระเจ้าจึงจะสามารถรักษาเขาให้หายได้ ไม่ใช่ไปบีบบังคับให้เขามารักษา ทำไม่ได้
เขาบอกว่าพระเจ้าทำได้ทุกสิ่ง ยกเว้นสิ่งเดียวที่พระองค์ทำไม่ได้ คือบังคับให้เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระองค์เป็นผู้ประทานให้มนุษย์ทั้งปวง เพื่อรักษาให้เขาหายจากบาป กลับคืนดีกับพระเจ้า กลับไปหาพระเจ้า กลับไปอยู่กับพระเจ้าในบ้านเหมือนเดิม แต่พระเจ้าไม่สามารถที่จะบังคับเขาได้ เพราะเราถูกสร้างมาให้มีอิสรภาพในการตัดสินใจทุกอย่าง เพราะฉะนั้น เขาต้องตัดสินใจ เพื่อที่พระเจ้าจะสามารถรักษาเขาให้หายได้ โดยเขาเต็มใจ พระองค์จึงสามารถรักษา และวิธีการของพระองค์รักษา อย่างที่ผมบอก ไม่ใช่เอายามาใส่ แต่เป็นการผ่าตัดวิญญาณ ครั้งที่แล้วเราเรียนรู้เรื่องนี้ไปแล้วนะ พระเจ้าผ่าตัดวิญญาณ แล้วให้เราได้บังเกิดใหม่ ย้ายเราเข้ามาสู่อาณาจักรของพระองค์ คืออาณาจักรสวรรค์ ย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืด ของมาร เข้ามาอยู่ในอาณาจักรสวรรค์ของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ ย้าย DNA ของเราเลยนะ ให้เราเกิดใหม่ เด็ดขาดเลย
นี่คือหลักการที่พระเจ้าบอกไว้ล่วงหน้าหลายพันปี และเอเสเคียล ได้บอกไว้ล่วงหน้า ประมาณสักหกถึงเจ็ดร้อยปีก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริง ก็คือก่อนที่พระเยซูคริสต์จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ และตายที่ไม้กางเขน และเป็นขึ้นมาใหม่ในวันที่ 3 เมื่อ 1990 ปีที่ผ่านมา เอเสเคียล 36:26-27 ได้บันทึกไว้อย่างนี้ว่า …
เอเสเคลีย 36:26-27 “26 เราจะให้จิตใจใหม่แก่เจ้า และใส่วิญญาณใหม่ในเจ้า เราจะขจัดใจหินออกจากเจ้า และให้เจ้ามีใจเนื้อ 27 เราจะใส่วิญญาณของเราไว้ในเจ้า โน้มนำเจ้าให้ปฏิบัติตามกฎหมายของเรา และใส่ใจรักษาบทบัญญัติของเรา”
ขบวนการทั้งหมดนี้ คือการผ่าตัดเอาวิญญาณเก่าออกไป เอาวิญญาณใหม่เข้ามา ผ่าตัดเอาจิตใจเก่าออกไป เอาจิตใจใหม่เข้ามา เอาวิญญาณและจิตใจเก่า ซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้า เป็นมิตรกับบาป เป็นมิตรกับมาร เอามันออกไปเลย ฆ่ามันให้ตาย แล้ว ให้เราเกิดใหม่ มาเป็นวิญญาณที่รู้จัก อยู่ข้างเดียวกับพระเจ้า เชื่อพระเจ้า รักพระเจ้า เห็นภาพไหมครับ
ยิ่งภาพปัจจุบันยิ่งชัดเจนใหญ่เลย ยุคไฮเทค เข้าห้องผ่าตัดเอาวิญญาณและจิตใจของเราออกมา แล้วเอามาปลูกไว้ในร่างกายของพระเยซูคริสต์ อันเดิมเราอยู่ในอาดัม เต็มไปด้วยเชื้อบาป สกปรก ผ่าตัดเอาออกมา ทั้งวิญญาณและจิตใจ เอามาปลูกอยู่ในพระคริสต์ และให้ชีวิตเราปลูกฝังอยู่ในพระคริสต์
ในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลใช้คำว่า “ให้ซ่อนอยู่ในพระคริสต์” คือเก็บไว้อยู่ในพระคริสต์ ซ่อนตัวนี้หมายถึงปกป้องไว้ ให้ปลูกลงไปใน DNA ทั้งร่างกายและวิญญาณของพระเยซูคริสต์ แล้วให้ค่อยๆ เจริญเติบโตไปพร้อมๆ กับพระเยซูคริสต์ โดยพระวิญญาณของพระเจ้าจะเป็นพี่เลี้ยง ให้วิญญาณใหม่ของเรา ที่พระเจ้าได้ผ่าตัดพร้อมจิตใจใหม่นั้น ติดกับวิญญาณของเรานั้น ค่อยๆ เจริญเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เป็นเหมือนพระเจ้า เป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ สะอาด บริสุทธิ์ เรียกว่าบังเกิดใหม่ในพระเจ้า ชีวิตถูกซ่อนอยู่ในพระคริสต์ เหมือนครั้งที่แล้วที่เราได้เรียนว่าพระเจ้าได้ใช้วิธีนี้ หลักการ ก็คือผ่าตัดเอาวิญญาณและจิตใจของเรา เข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์
การเข้ามาอยู่ในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์ใช้คำว่าบัพติศมา หรือการจุ่มลงไป หรือการเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระคริสต์ ให้เข้าไปอยู่ในร่างกายของพระคริสต์
พอพระเยซูคริสต์ตายที่ไม้กางเขน ตายต่อบาป เราที่อยู่ในพระเยซูก็ตายต่อบาปด้วย พอพระเยซูอยู่ในหลุมฝังศพ เราที่อยู่ในพระเยซู ก็อยู่ในหลุมด้วย และวันที่สามพระเยซูเป็นขึ้นจากความตาย เป็นขึ้นมาใหม่ บังเกิดใหม่ เราที่อยู่ในพระเยซู เราก็เป็นขึ้นมาใหม่กับพระเยซูด้วย
นี่คือหลักการ ที่พระเจ้ารักษาเราให้หายจากโรคบาป ด้วยวิธีนี้ คือเปลี่ยนใหม่เลย พระคัมภีร์บอกว่าเราทั้งหลายเป็นบุคคล หรือเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างใหม่ในพระเยซูคริสต์ เป็น New
Creation เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นใหม่เลย ให้กำเนิดใหม่เลย ในพระคริสต์ และชีวิตถูกซ่อนไว้อยู่ในนั้น
นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในโลกฝ่ายวิญญาณ ที่พระคัมภีร์ไบเบิ้ล หรือที่ผมให้ชื่อว่าเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติได้บันทึกเอาไว้ มันน่าตื่นเต้นนะว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันเกิดขึ้นอย่างนั้นจริงๆ พระคัมภีร์ได้บอกไว้ในหนังสือโคโลสีไว้อย่างชัดเจน ที่เราได้เรียนรู้กันว่าพระองค์ได้ทรงย้ายเราออกจากอาณาจักรของความมืด เข้ามาสู่อาณาจักรของความสว่างของพระบุตร ย้ายเราออกจากอาณาจักรของมารมาสู่อาณาจักรของพระเยซูคริสต์ ย้ายเราออกจากคนบาป มาเป็นผู้ชอบธรรม ย้ายเราออกจากการเป็นลูกมาร มาเป็นลูกพระเจ้า
สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเกิดขึ้นในโลกวิญญาณ และเมื่อเราเป็นลูกพระเจ้าแล้ว เราก็สามารถอยู่กับพระเจ้าได้ สะอาดบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีบาปอะไรเลยแม้แต่นิดหนึ่ง เพราะว่าเราเกิดมาเป็นเลย นี่คือกฎทางวิญญาณ ที่เกิดขึ้นทางวิญญาณ ที่มนุษย์มองไม่เห็น พระคัมภีร์ได้บันทึกว่าสิ่งที่ตาของมนุษย์มองไม่เห็น และหูไม่ได้ยิน คือสิ่งที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ให้สำหรับผู้ที่รักพระองค์ คือสิ่งที่ดีงาม ที่พระองค์ทรงเตรียมไว้ มันอยู่ในโลกวิญญาณทั้งสิ้น แล้วพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่าโลกวิญญาณมันเป็นจริงเป็นจังมากกว่าโลกวัตถุที่เรามองเห็นอยู่ทุกวันนี้ โลกวัตถุที่เรามองเห็นอยู่ทุกวันนี้ มันจะเสื่อมสลายไป เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนมันสูญสิ้นไปเป็นศูนย์ แต่โลกวิญญาณจะเข้มข้นขึ้น จะชัดเจนขึ้นมากๆ เพราะมันเป็นจริง
โลกวัตถุที่มือจับต้องได้ที่เรามองเห็นทุกวันนี้ มันกำลังลง โลกฝ่ายวิญญาณที่เรามองไม่เห็น ดูเหมือนไม่มีจริงๆ มันกำลังขึ้น เพราะฉะนั้นตอนนี้โลกวิญญาณมันก็จะชัดขึ้นๆ จนในที่สุด สุดท้ายโลกวัตถุนี้จะสูญสิ้นไป คือโลกที่จับต้องมองเห็นได้ จะสูญสิ้นไป เงินทอง เชื้อโรค ความบาป มันจะจบไป มันจะเป็นศูนย์ ในขณะนั้น โลกวิญญาณจะเด่นชัดอยู่โลกเดียว ซึ่งเรียกว่าสวรรค์สถานของพระเจ้าลงมานั่นเอง พระคัมภีร์ได้บันทึกอย่างนี้ชัดเจน เพราะฉะนั้น ให้เรามองไปที่โลกวิญญาณ
กฎที่เป็นปรัชญาของมนุษย์ คือทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว ซึ่งถูกต้องสำหรับโลกนี้ โลกที่จับต้องมองเห็นได้ โลกวัตถุนี้ แต่สำหรับโลกวิญญาณ ที่ผมเล่าให้ฟังว่ามีอยู่จริง ไม่ได้เป็นอย่างที่สติปัญญามนุษย์คิด ไม่ได้เป็นตามที่มนุษย์เข้าใจ กฎทางโลกวิญญาณ คือตัวตน ธาตุแท้จริงๆ ของเรา คือวิญญาณ อยู่ใน DNA ของใคร ก็ได้รับผลตามนั้น ขึ้นอยู่กับการเกิดอยู่ ณ ที่ใด อยู่ในเผ่าพันธุ์ใด ถ้ายังอยู่ใน DNA เดิมตั้งแต่เกิดในท้องแม่ ก็คือ DNA ของอาดัม ก็ยังมีเชื้อไวรัสบาปอยู่ ก็ยังได้รับผลของไวรัสบาปนี้อยู่ คือความตายทั้งร่างกายและวิญญาณ ไม่สามารถเข้ากันกับพระเจ้าได้ ก็ไม่สามารถเข้าในสวรรค์ได้นั่นเอง แต่ถ้าบังเกิดใหม่แล้ว ผ่านทางความเชื่อในข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับการผ่าตัดเปลี่ยน DAN ทั้งร่างกายและวิญญาณ เข้ามาอยู่ใน DNA ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ก็ปลอดเชื้อบาป 100% นี่คือกฎทางวิญญาณ ที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ที่ผมรวบรวมมา และสรุปให้ท่านได้เห็นชัดเจนง่ายขึ้น
DNA อาดัม DNA พระเยซู
ยังมีเชื้อไวรัสบาปอยู่ ปลอดเชื้อ 100%
ต้องได้รับผลของเชื้อ วิญญาณได้รับ
คือความตาย การบังเกิดใหม่แล้ว
(วิญญาณและร่างกาย) (รอร่างกายสวรรค์)
และเมื่อเราได้รับการผ่าตัดวิญญาณเรียบร้อยแล้ว ย้าย DNA แล้ว มี DNA ใหม่ ที่เป็น DNA ของพระเยซูคริสต์ ในวิญญาณ ในความคิดจิตใจของเรา สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือเราตั้งใจทำความดีออกมาจากธรรมชาติของเราที่อยู่ข้างใน ที่ได้เกิดใหม่ ไม่ใช่พยายามทำ ที่ได้เกิดใหม่ ที่มีธรรมชาติเป็นลูกของพระเจ้า มีความบริสุทธิ์ เหมือนปลาว่ายน้ำ ปลาไม่ต้องฝึกว่ายน้ำ เกิดเป็นปลา ลงน้ำได้ เกิดเป็นลูกพระเจ้า ไม่ต้องฝึกทำดีเลย มันจะทำดี โดยธรรมชาติของมันเอง ซึ่งไม่ว่าเราจะสามารถทำความดี ให้สมกับเป็นลูกของพระเจ้า ได้มากน้อยเพียงใด ในการดำเนินชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ในขณะนี้ก็ตาม เราก็ยังคงมั่นใจได้ว่าเราเป็นลูกของพระเจ้าผู้ชอบธรรม ปราศจากบาป ปราศจากความสกปรก เราบริสุทธิ์สะอาดเหมือนพระเยซูคริสต์ไม่มีผิดเลย เพราะวิญญาณเราเกิดใหม่เหมือนพระองค์ มี DNA เหมือนพระองค์ มีเซลในวิญญาณ และความคิดจิตใจที่คิดเหมือนพระองค์ ความคิดเหมือนพระองค์ หรือมีความคิดเหมือนพระคริสต์ หรือ The mind of Christ วิญญาณก็เหมือนพระองค์ คือองค์พระเยซูคริสต์เป็นเช่นไร เราก็เกิดใหม่เป็นเช่นนั้นแหละ พระคัมภีร์บอกไว้ พระเยซูคริสต์บริสุทธิ์อย่างไร? เราก็บริสุทธิ์อย่างนั้น แม้ว่าอยู่บนโลกใบนี้เราอาจจะเผลอไปทำอันโน้นอันนี้ ตามตัณหาของเนื้อหนังบ้างก็ตาม แต่มันไม่ได้มาจากวิญญาณที่อยู่ข้างในของเรา พอนึกภาพออกใช่ไหม? เราค่อยเรียนรู้กันต่อไป เพราะว่าธรรมชาติของความบริสุทธิ์สะอาดปราศจากบาปนี้ เป็นธรรมชาติที่เป็นผลของการได้เกิดใหม่มาเป็นในพระเยซูคริสต์ พระเจ้าทำให้ทั้งสิ้น เป็นความรัก ความดีงาม เป็นพระคุณอันใหญ่หลวงของพระเจ้า ที่ทำให้เราเป็นอย่างนี้ คือเราไม่ต้องทำอะไรเลย พระเจ้าให้เราเกิดใหม่ มาเป็นเลย มาเป็นผู้บริสุทธิ์ เกิดมาเป็นลูกพระเจ้า เกิดมาเป็นคนดีเลย
เพราะฉะนั้น หลังการเกิดใหม่ในวิญญาณนี้แล้ว เราก็ได้เป็นคนดีที่บางครั้งทำบาป ซึ่งมันแตกต่างจากแต่ก่อนนี้ ที่เรายังไม่ได้รับเชื่อ ยังไม่ได้เกิดใหม่ในวิญญาณ แต่ก่อนนี้เราเป็นคนบาป ในวิญญาณเราบาป เราเคยเป็นคนบาปที่บางครั้งทำดีบ้าง เห็นไหมว่ามันแตกต่างกัน เราเป็นคนบาปที่บางครั้งทำดี แต่ตอนนี้เราเป็นคนดี ที่บางครั้งทำบาป
พระคัมภีร์พูดชัดเจน ตัวตน คือธาตุแท้ของมนุษย์ที่จะอยู่ตลอดไปนั้น เป็นวิญญาณ และมีความคิดจิตใจ ติดอยู่กับวิญญาณนั้น และอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ เพียงชั่วคราว ตัวตน ธาตุแท้ของมนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณ จะเป็นวิญญาณดีหรือเป็นวิญญาณที่ติดเชื้อบาปอยู่นั้น ขึ้นอยู่กับการเกิด ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำของคนนั้นเลย แม้แต่นิดเดียว
เพราะฉะนั้น มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์เลย มันขึ้นอยู่กับเขาเกิดที่ไหน? เกิดในครอบครัวอาดัม หรือเกิดใหม่ในครอบครัวของพระเยซูคริสต์ ที่พระเจ้าประทานให้มนุษย์ ตรงนี้สำคัญกว่า ซึ่งมันเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจทั้งหมด ด้วยความรัก ห่วงใย จากใจจริงถึงมนุษย์ทุกคนเลย อยากจะให้เข้าใจ อยากจะให้ตัดสินใจให้พระเจ้ารักษา คือแค่ต้อนรับข่าวดีนี้เท่านั้นเอง
ผมรู้ ผมเข้าใจ หลายท่านฟังผมพูดตอนนี้ เหมือนคนเสียสติ มีบางท่านก็บอกว่าคุณนครพูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย คงเสียสติไปแล้วมั้ง บอกมาตั้งแต่ 10 กว่าปีก่อนแล้ว ว่าเหมือนคนเสียสติไปแล้ว ผมก็ไม่รู้สึกอาย เพราะว่ามันเสียสติแน่ล่ะ ถ้าใครยังไม่รู้ความจริง มันเกินกว่าความคิดของมนุษย์ ที่จะเข้าใจ เกินกว่าความคิดของมนุษย์ที่จะคิดถึงว่ามันเป็นไปได้อย่างไร? แต่ผมไม่รู้สึกอาย เพราะว่าผมห่วงใยพี่น้องมากกว่า ผมคิดเหมือนที่เปาโลคิด ในหนังสือโรม 1:16-17 ได้บันทึกไว้ และทุกคนที่มารู้จักพระเจ้าแล้ว ได้บังเกิดใหม่แล้ว ระลึกถึงพี่น้องทั้งหลายบนโลกใบนี้ และก็คิดอย่างนี้เหมือนกัน พยายามเล่าให้ฟังถึงข่าวดีนี้ อาจจะถูกต่อว่า หรืออาจจะถูกนินทาว่าร้ายว่าเพี้ยนไปแล้วมั้ง พูดอะไรก็ไม่รู้เรื่องเลย อะไร? โลกวิญญาณเกิดใหม่ ไวรัสอะไรต่างๆ เหล่านั้น แต่สิ่งเหล่านี้ช่วยชีวิตท่านได้จริงๆ ไม่ใช่ชีวิตบนโลกใบนี้เท่านั้น แต่ชีวิตทางจิตวิญญาณไปตลอด ชั่วนิรันดร ชีวิตหลังความตาย ลองอ่านดูนะครับ
โรม 1:16-17 “16 ข้าพเจ้าไม่ได้ละอายในข่าวประเสริฐ เพราะข่าวประเสริฐ คือฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด คนยิวก่อน แล้วคนต่างชาติด้วย 17 เพราะในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมจากพระเจ้าก็ได้รับการเปิดเผยเป็นความชอบธรรม ซึ่งเริ่มต้นด้วยความเชื่อและนำไปสู่ความเชื่อ ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า “คนชอบธรรมจะดำรงชีวิต โดยความเชื่อ”
เห็นไหมครับ เขาใช้กันมาตลอด 2,000 กว่าปีแล้ว ผมก็อยากจะอ่านง่ายๆ ว่า …
“ผมนครก็ไม่ได้ละอายในข่าวดีที่ผมพูดออกไปทั้งหมดนี้เลย เพราะข่าวดีในพระเยซูคริสต์เป็นฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนรอดจากเชื้อไวรัสบาป กลับมาอยู่กับพระเจ้านิรันดร์ รอดจากนรก กลับมาอยู่ในสวรรค์ตลอดไป หลังความตายก็มีที่อยู่ในสวรรค์ให้กับเขาคนนั้น เพราะเขาบริสุทธิ์สะอาดและเป็นลูกของพระเจ้า”
อยากจะเรียนพี่น้องทุกคนด้วยความรักว่าอย่าทิ้งเรื่องนี้ จะว่าผม หาว่าเพี้ยนหรืออะไรก็ตามผมไม่ว่าหรอกครับ แต่อย่าทิ้งเรื่องนี้ เก็บไปใคร่ครวญ ไปคิดก่อน ติดตามไปเรื่อยๆ ว่ามันคืออะไร? มันจริงไหม? คุยกับคุณนครเรื่องอื่นๆ ก็รู้เรื่องดี ทำไมมาคุยเรื่องนี้ รู้สึกพูดอะไรตลกๆ แปลกๆ นะ วิญญาณอะไรก็ไม่รู้ เพี้ยนไปหรือเปล่า? ไม่เพี้ยนนะครับ ใหม่ๆ ผมก็อย่างนี้แหละ ผมเลยเข้าใจท่านดี เพราะฉะนั้น อย่าไปทิ้งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ โดยเฉพาะพี่น้องที่อยู่รอบข้างที่ใกล้ชิดกัน เพื่อนฝูงรู้จักกัน แม้กระทั่งไม่รู้จักกัน อยู่ประเทศไหน อยู่เมืองไหน ก็ส่งกระแสแห่งความรัก ความห่วงใยไปถึงทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะนี้ เป็นระยะเวลาที่มันน่าคิดมาก สถานการณ์ของโลกใบนี้ ไม่รู้จะจบเมื่อไร? จะเป็นอย่างไร? และสถานการณ์โควิด มันเป็นตัวเตือนเราว่าโลกมันจะจบ ก็อาจจะเป็นไปได้ หรือถ้าโลกไม่จบ เราอาจจะจบชีวิตลงก็ได้ แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหน? เรามั่นใจไหมว่าเราจะไปอยู่ในสวรรค์ เรามั่นใจไหมว่ามีชีวิตหลังความตาย แล้วเราจะไปไหน? หรือเรามั่นใจไหมว่าชีวิตหลังความตายไม่มี ไม่ต้องไปสนใจ เรามั่นใจแค่ไหน? เพราะฉะนั้น อย่าทิ้งเรื่องนี้ นำไปคิด นำไปฟัง นำไปใคร่ครวญเถิดด้วยความรัก และห่วงใยจากผมและพี่น้องทุกๆ คนที่ได้รู้เรื่องนี้แล้วทั้งสิ้น เฝ้าอธิษฐานตลอดเวลาให้กับท่านทั้งหลายที่กำลังจะตัดสินใจ ที่กำลังฟังอยู่นี้ ขอพระเจ้าอวยพรครับ
**********************