คำบรรยายวันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม 2019 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู” ตอน 13 “บุตรน้อยหลงหาย” ตอน 2 โดย นคร เวชสุภาพร

คำบรรยายวันอาทิตย์ที่  3  มีนาคม  2019

 เรื่อง “อุปมาคำสอนของพระเยซู”

ตอน 13 “บุตรน้อยหลงหาย” ตอน 2

โดย นคร  เวชสุภาพร

            อุปมาคำสอนของพระเยซู ทั้งหมดในพระคัมภีร์ ไม่ได้เกี่ยวกับคำสอนแบบจริยธรรมบนโลกใบนี้ว่าต้องทำอย่างไร? แต่พูดเล็งไปถึงเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์ว่าสวรรค์มาถึงแล้ว ก่อนหน้าพระเยซูมาโลกนี้ เป็นตรงกันข้ามกับสวรรค์ ก็คือนรก นรกก็คู่กันกับความมืด พอพระเยซูมา พระเยซูบอก พระองค์นำสวรรค์มา พระองค์เป็นความสว่าง มาแล้ว หลังจากนั้น พระองค์ก็เริ่มประกาศว่าสวรรค์ หรือความสว่าง เป็นอย่างไร? อาณาจักรของความสว่าง หรือสวรรค์ของพระเจ้า เป็นอะไรอย่างไร? พระองค์ก็สอนเป็นอุปมา

“อุปมา” แปลว่ายกเรื่องราวขึ้นมา เจออะไรก็เรียกอุปมา เจออะไรก็พูดเป็นอุปมา เห็นเสาไฟ ก็เอาเสาไฟเป็นหลัก มีสายไฟฟ้าวิ่ง สมมตินะ ผมขับรถผ่าน ผมก็ชี้ไปให้พวกเราดู เห็นเสาไฟไหม? นี่คือสายไฟฟ้าแรงสูง เรามองไม่เห็น ถ้าเราเชื่อ ในนั้นมันมีจริงๆ มีพลัง มีกำลังอยู่ ถ้าใครเอามือไปจับ มันดูดตายเลย มันมีพลังแรง ถ้าคนรู้วิธีการ คือรู้จักเอาพลังนั้นมาใช้ประโยชน์ โดยการแตะต้องไม่ให้มันดูด ยกตัวอย่างเช่น มีชนวน มียางหุ้มอยู่ แล้วไปจับ มันแตะต้องได้ อะไรประมาณนี้ ผมกำลังพูดเรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้า โดยใช้อุปมาเป็นเครื่องมือในการสอน ให้คนเข้าใจ ถึงเรื่องเกี่ยวกับไฟฟ้า อะไรต่างๆ ที่มองไม่เห็น นึกออกใช่ไหม?

ที่พระเยซูพูดอุปมาทั้งหมด ก็อย่างนี้แหละ เดินไปเจอทุ่งนา ที่กำลังหว่านข้าว เก็บเกี่ยวข้าวอยู่ พระองค์มองปุ๊บ พระองค์บอก …

“สวรรค์เป็นเหมือนทุ่งนานี่แหละ เขากำลังหว่านเมล็ด  เมล็ดเหมือนถ้อยคำพระเจ้าที่มาถึงเรา”

พอพระองค์เดินไปเจอต้นองุ่น เขาปลูกองุ่น ไร่นา กับสวนไม่เหมือนกันนะ ตะกี้เป็นนา อันนี้ เดินผ่านมา ที่นี่เป็นสวนองุ่น พระองค์ก็บอกว่า …

“สวรรค์เปรียบเหมือนสวนองุ่นนี่แหละ พระเจ้าเป็นเจ้าของสวนองุ่น และเรา (พระเยซู) เปรียบเหมือนเถาองุ่น พวกท่านเปรียบเหมือนแขนงขององุ่น ต้องมาต่อกับเราถึงจะออกผลได้”

อย่างนี้เรียกว่าอุปมา เดินไปเจอเปโตร ชาวประมง ก็ต้องจับปลา พระองค์ก็อุปมา บอกว่าเราจะเรียกให้ท่านไปจับคน ท่านเคยจับปลา ต่อไปนี้จะไปจับคนแล้ว อะไรประมาณนั้น ยกตัวอย่างให้ท่านฟัง ท่านจะได้เข้าใจว่าอุปมาคืออะไร?

เพราะฉะนั้น คำอุปมาของพระเยซูยกตัวอย่างทั้งหมดนั้น เพื่อเล็งไปถึงเรื่องเกี่ยวกับไปสวรรค์ เป็นอย่างไร? ซึ่งเราเรียนรู้กันไปบ้างแล้วว่าถ้าไปสวรรค์มันต้องบังเกิดใหม่ บังเกิดใหม่เป็นอย่างไร? ก็ยกตัวอย่างอุปมาพระเยซูขึ้นมา ต่อไปนี้ท่านสามารถตอบได้เลย เปิดพระคัมภีร์ปุ๊บอ่านเจอ พระเยซูยกอุปมา เรื่องนี้ไม่เข้าใจ แปลว่าอะไร? แต่รู้ทันทีว่ามันเรื่องเกี่ยวกับสวรรค์คืออะไร? จะไปสวรรค์ทำอย่างไร? มันก็ไม่ต่างอะไรกับเรื่องที่เราเรียนมาแล้ว เรื่องเกี่ยวกับหว่านเมล็ด เรื่องเกี่ยวกับถุงหนังเก่า ถุงหนังใหม่ เรื่องเกี่ยวกับเหล้าเก่า เหล้าใหม่ เรื่องนี้ยังไม่เข้าใจ วันอาทิตย์นี้ไปเรียนดีกว่า แต่รู้แล้วล่ะว่าคำตอบคืออะไร? จะได้ไม่ไขว้เขว

อุปมาคำสอนของพระเยซู การบรรยายในวันนี้ มันจะต่อเนื่องกับครั้งที่แล้ว เป็นอุปมาคำสอนของพระเยซูเกี่ยวกับเรื่องของหาย และได้คืน ก็คือหายไปแล้ว ค้นพบ เจอ ซึ่งพระเยซูกำลังเปรียบเทียบ ให้เราเห็นภาพของมีค่าสำหรับเราหายไป ก็เปรียบได้กับลูกๆ ของพระเจ้า ที่มีค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า เป็นแก้วตาดวงใจของพระเจ้า ความบาป ทำให้เขาหลงหายไป จากพระเจ้า พระเยซูบอกตรงนี้ ยิ่งของที่หายไปมันมีค่ามากเท่าไร? ตอนที่เราทำหายไป หรือมีเหตุที่ทำให้ของมันศูนย์เสียไป เราก็รู้สึกเสียใจ เสียดายมากเท่านั้น และจะพยายามค้นหา ทำให้มันกลับคืนมาให้ได้ และเวลาที่เราค้นหาเจอ เราก็จะดีใจมากมาย ที่ได้ของนั้นกลับคืนมา เราจะรู้สึกตื่นเต้นดีใจขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของเรา ที่ให้คุณค่ากับของที่หายไปมากเท่าไร?  และความรู้สึกของพระเจ้า ก็เช่นเดียวกัน

พระเยซูกำลังให้เราเห็นความรักของพระเจ้า ความรู้สึกส่วนลึกของพระเจ้า เมื่อลูกๆ มนุษย์ทุกคนของพระองค์ได้หายไปในความบาป พระองค์ไม่เคยลดละความพยายามที่จะออกตามหา และเมื่อพบแล้ว แม้เพียงคนเดียวก็ตาม ก็จะดีใจมาก สั่งให้จัดงานเลี้ยงในสวรรค์ทันที นี่คืออุปมาที่เรียนรู้ไปแล้ว

ในสัปดาห์ที่แล้ว เราค้างไว้ที่เรื่องบุตรน้อยหลงหาย เรื่องของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เป็นลูกชายเศรษฐี พ่อมีทรัพย์สมบัติไร่นามากมาย แต่เด็กหนุ่มคนนี้ ก็ลุกขึ้นมาเรียกร้องขอแบ่งมรดกจากพ่อ อยากเป็นอิสระจากพ่อ อยากอยู่ด้วยตนเอง พึ่งตนเอง แต่ในที่สุด ก็ไปไม่รอด เอาทรัพย์สินเงินทองที่พ่อแบ่งให้ไปผลาญจนหมด จนต้องไปทำงานเป็นลูกจ้างเลี้ยงหมู ซึ่งถือว่าเป็นอาชีพที่ต่ำมาก ที่สุดๆ ของคนยิวในสมัยนั้น  ชีวิตของเด็กหนุ่มคนนี้ ตกต่ำมาก ถึงขนาดแย่งอาหารหมูกิน หมูน่ารังเกียจไม่พอ ไม่เข้าใกล้ ไม่แตะต้อง นี่ยังไปกินข้าวของหมูแทน ก็แสดงว่าสุดๆ ของเขาแล้ว สุดท้าย เขาก็สำนึกได้ เพราะมันสุดๆ แล้ว ไปไม่รอด พึ่งตัวเองก็ไม่ไหวแล้ว เลยนึกถึงว่ากลับไปหาพ่อเราดีกว่า แต่ก็ไม่กล้ากลับไป เพราะอาย รู้สึกว่าเราทำอะไรผิดมากมาย เยอะแยะเหลือเกิน พ่อจะอภัยให้กับเราหรือ? ก่อนจะกลับไปหาพ่อ เด็กหนุ่มคนนี้ ก็เตรียมตัว รู้ตัวเองว่าทำบาปมากมาย ชดใช้ไม่รู้กี่อะสงค์ไขถึงจะหมดสักที เกิดมาทำไมบาปมันมากขนาดนี้ เมื่อไรจะชดใช้หมดสักที จะกลับไปหาพระเจ้า ก็โอ้โห ชดใช้เราหมดเหรอ เยอะแยะเหลือเกิน ก็เลยเตรียมตัวเตรียมใจว่าฉันจะพูดอย่างไรดี ครั้งที่แล้ว เราได้อ่านกัน ได้บันทึกในพระคัมภีร์บอกว่า …

“บิดาเจ้าข้า พ่อจ๋า ลูกทำบาปต่อสวรรค์ และต่อท่านด้วย ลูกไม่คู่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของท่านอีกต่อไป ให้ข้าพเจ้าเป็นเหมือนลูกจ้างคนหนึ่งของท่านเถิด”

นึกถึงความบาปของตัวเอง แต่ปรากฏว่าพอถึงวันที่กลับบ้านจริงๆ ไม่มีโอกาสได้พูดตาม สคลิป เพราะพ่อยืนอยู่หน้าบ้าน มองมาเห็นลูกชายแต่ไกล ตื่นเต้น  ดีใจ ไม่ฟังอะไรทั้งนั้น ตะโกนลั่นบ้านด้วยความดีใจ ให้คนรับใช้ว่า …

“เร็วๆ ลูกของเรากลับมาแล้ว ไปเอาเสื้อคลุม ไปเอาแหวนมา ไปเอารองเท้ามา แล้วก็เลือกลูกวัวที่อ้วนที่สุด (หมายถึงความสมบูรณ์ที่สุด) มาฆ่าเตรียมไว้เลย  เราจะจัดงานเลี้ยงฉลอง ต้อนรับลูกของเรา”

และเหตุที่ทำให้เศรษฐีคนนี้ จัดงานลี้ยงฉลองใหญ่โต ในนั้นบันทึกไว้ว่า “เพราะลูกชายคนนี้ของเราได้ตายไปแล้ว แล้วได้กลับคืนมาใหม่ ได้หายไปแล้ว และได้พบกันอีก” ดีใจมาก

พระเยซูกำลังบอกว่าสวรรค์เป็นอย่างนี้ เด็กหนุ่มคนนี้ ก็คือชีวิตของเรา ก่อนที่จะมาเชื่อพระเจ้า เชื่อในข่าวดีของพระเจ้า  พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ก็เคยรอคอยเรากลับมาแบบนี้ รอคอยเรากลับมา เชื่อในข่าวดีของพระเจ้าอย่างนี้แหละ รอที่จะให้เรากลับบ้าน ไม่ว่าเราจะเคยทำผิดมากมายขนาดไหนก็ตาม ทันทีที่เรากลับใจใหม่ มาใช้สิทธิของเราในพระเยซู กลับมาหาพระเจ้า ทุกอย่างก็จบบริบูรณ์ เพราะความผิดบาป ถูกลบล้างหมดแล้ว เราได้มีสิทธิในการที่จะเป็นลูกของพระเจ้า กลับคืนมาเรียบร้อยไปแล้ว ตั้งแต่เรายังไม่เกิด พระเยซูทำให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว ที่ไม้กางเขน โดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ และเป็นขึ้นใหม่ในวันที่สาม ถ้าเราใช้สิทธิของเรา ในสิ่งที่พระเยซูทำให้กับเรา พระเจ้าก็ดีใจมากมายมหาศาลเลย แล้วก็จะเริ่มจัดงานเลี้ยงใหญ่โตให้กับเรา นี่คืออุปมาที่เราได้เรียนครั้งที่แล้ว

ซึ่งอย่างนี้เป็นอุปมาที่น่าจะจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งนะ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะเรื่องมันยังไม่จบ ยังมีต่อไป เพราะเด็กหนุ่มคนนี้ ยังมีพี่ชายที่อยู่กับพ่อมาตลอด ไม่เคยจากไปไหนเลย มาดูกันว่าเมื่อน้องชายทำตัวแบบนี้ สำมะเรเทเมาแบบนี้ กลับมาแบบนี้ คนเป็นพี่ชายเขาคิดอย่างไร? เขามีความรู้สึกอย่างไร? ในลูกา 15:25 เป็นต้นไป

ลูกา 15:25-30 “25 ฝ่ายบุตรคนโตอยู่ที่ทุ่งนา  เมื่อกลับมาใกล้ถึงบ้าน  เขาได้ยินเสียงดนตรีและเสียงเต้นรำ 26 ดังนั้น เขาจึงเรียกคนรับใช้คนหนึ่ง มาถามว่ามีอะไร 27 คนรับใช้ตอบว่า ‘น้องชายของท่านกลับมาแล้ว บิดาของท่าน  จึงให้ฆ่าลูกวัวขุน  เพราะท่านได้เขากลับมาโดยสวัสดิภาพ’ 28 “บุตรคนโตก็โกรธ และไม่ยอมเข้าบ้าน  บิดาจึงออกมาขอร้องเขา 29 แต่เขาตอบบิดาว่า ‘ดูเถิด! หลายปีมานี้ ข้าพเจ้าตรากตรำรับใช้ท่าน  และไม่เคยขัดคำสั่งของท่านเลย  แต่ลูกแพะสักตัว ท่านก็ยังไม่เคยยกให้ข้าพเจ้า  เพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆ 30 แต่เมื่อลูกคนนี้ของท่านกลับมาบ้าน  ทั้งๆ ที่ได้ผลาญสมบัติของท่าน  หมดไปกับหญิงโสเภณี ท่านยังฆ่าลูกวัวขุนให้เขา’”

 

อาการแบบนี้ เรียกว่าน้อยใจใช่ไหม? ทั้งน้อยใจและอิจฉา น้องชายออกจากบ้าน ไปใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย ผลาญเงินพ่อจนหมด พอกลับมาถึงบ้าน พ่อกลับเลี้ยงต้อนรับใหญ่โต ไม่ว่าอะไรสักคำ ทีตัวเราเองอยู่กับพ่อมาตลอด คอยดูแลรับใช้ทุกอย่าง พ่อยังไม่เคยจัดงานเลี้ยงให้เลย มันน่าน้อยใจจริงๆ ความน้อยใจก็มาจากความอิจฉา ไม่มีใครหรอกน้อยใจเฉยๆ เล่นๆ มันน้อยใจ เพราะว่าอิจฉาเขา ทุกคนมีโอกาสหนึ่ง จะรับหรือไม่รับ มากหรือน้อยก็ตาม แต่ทุกคนมี แต่ให้รู้ว่าขณะน้อยใจ แปลว่าเรากำลังอิจฉาเขา คิดหนัก โทษแต่ตัวเราเอง

ถ้าเราย้อนกลับไปดูช่วงเวลาที่พระเยซูกำลังสอนอุปมานี้ “พวกฟาริสี” คือชาวยิวที่เคร่งศาสนา พวกนี้ ก็เปรียบเหมือนพี่ชายคนโต ที่พระเยซูกำลังพูดถึงในเรื่องนี้ ที่ถือตัวว่าอยู่ใกล้ชิดพระเจ้า เคร่งศาสนา รักษาบทบัญญัติได้ครบถ้วนบริบูรณ์ ที่สุดเท่าที่ทำได้ แล้วมักชอบดูหมิ่นคนเก็บภาษี เพราะเป็นคนยิวที่ไม่เคร่งศาสนา เป็นพวกที่บาปหนากว่า บาปมากกว่า และทุกครั้งที่เห็นพระเยซูไปเอาใจใส่คนเก็บภาษี หรือคนบาปมากกว่าเหล่านี้ พวกฟาริสีก็จะเกิดอาการแบบพี่ชายคนโต คือเข้ามาต่อว่าพระเยซูทั้งทางตรงและทางอ้อม นินทาว่าร้ายพระองค์ว่าไปยุ่งกับคนบาปเหล่านี้ทำไม? ทำไมไม่เอาเวลามาใส่ใจพวกเรา ซึ่งดีกว่าตั้งเยอะ พูดง่ายๆ ก็คือกำลังน้อยใจ เพราะว่าอิจฉา

ในยุคนั้น คือพวกฟาริสี เป็นเหมือนพี่ชาย ท่านว่าถ้าเป็นคริสเตียนในยุคปัจจุบัน ไม่ได้เกี่ยวกับชาวยิว ในอดีต ในปัจจุบัน ท่านคิดว่าใครคือพี่ชายคนโต?  ใครที่เชื่อพระเจ้ามานานแล้ว อยู่ใกล้ชิดพระเจ้ามาตลอด ก็เปรียบเหมือนเป็นพี่ชายคนโตในเรื่องนี้ ก็เหมือนแกะ 99 ตัวที่อยู่ในคอก ที่พระเจ้าละไว้ แล้วก็รีบไปสนใจ หาแกะ 1 ตัวที่หาย พี่ชายคนโต ก็เหมือนกับเหรียญที่มีค่าสำหรับเหรียญทอง เหรียญเงิน 9 เหรียญ ที่พระเจ้าทิ้งไว้ในเชฟอย่างปลอดภัย และใช้ทั้งชีวิต ทุ่มไปหาเหรียญหนึ่งที่มันหายไป ค้นหาๆ จนกว่าจะพบ ถูกไหม? และผู้เชื่อใหม่ ที่พึ่งมาเชื่อพระเจ้า ก็เปรียบเหมือนน้องที่เคยหลงหายไป และได้ใช้สิทธิของเขา กลับมาหาพระเจ้า อยู่ในครอบครัวสวรรค์

คริสเตียนหลายคนก็อิจฉา เห็นคริสเตียนใหม่ๆ อธิษฐานอะไร แป๊บเดียว พระเจ้าก็ตอบ ทำไมมันง่ายอย่างนี้ ทีเรารับใช้ตั้งเยอะมาตลอด แต่ขออะไร ก็เงียบ ก็ไม่ได้สักที ทำไมตอนมาใหม่ๆ ได้บ่อย ได้ง่ายๆ เดี๋ยวนี้อธิษฐานก็เก่งกว่าแต่ก่อน ก่อนนอนก็อธิษฐาน ก่อนทานข้าวก็อธิษฐาน ถวายทรัพย์ด้วย ร้องเพลงนมัสการก็เก่ง  มาโบสถ์เป็นประจำเลย เคยคิดอย่างนี้ไหม? แต่หลายคนก็ลืมไปว่าก่อนเป็นอย่างนี้ ตัวเองก็เป็นน้องมาก่อน เริ่มต้นเชื่อพระเจ้ามาก่อนนั่นแหละ ไม่รู้กี่ปี ก็แล้วแต่ ถูกไหม? คือช่วงใหม่ๆ เราก็เป็นแบบเขาแหละ มันรู้สึกสดชื่นเหลือเกิน ขออะไรก็ได้ง่าย พระเจ้าก็คุยกับเราตลอด เดี๋ยวตรงนี้ก็หมายสำคัญ ตรงนั้นก็หมายสำคัญ เยอะแยะไปหมดเลย ตอนนี้หาหมายสำคัญไม่ค่อยเจอ แถมศิษยาภิบาลไม่ค่อยดูแลเราอีก ป่วยก็ไม่ค่อยมาเยี่ยม ตอนมาใหม่ๆ ไม่ป่วยก็ยังมาเยี่ยมเลย ถ้าไม่ไปเยี่ยม ท่านจงดีใจเถิด ท่านกำลังเป็นผู้ใหญ่แล้ว และกำลังทำงานให้พระเจ้าอยู่ เป็นพี่ชายคนโตแล้ว  เข้าใจไหม? ไม่เข้าใจ มาเยี่ยมก็ดี พี่ชายคนโตก็อยากให้เยี่ยมอยู่ มันเป็นธรรมดา แต่เราต้องมั่นใจว่าเราโตแล้ว พระเจ้าจึงนำอย่างนี้ แล้วถ้าท่านต้องการจริงๆ พี่ชายคนโตต้องการจริงๆ พระเจ้าก็จะนำท่านไปเอง  แต่ถ้าไม่นำมา อยู่กับพระเจ้าดีแล้ว ไม่ต้องอยู่กับศิษยาภิบาล ศิษยาภิบาลช่วยท่านไม่ได้สักคน ต่อให้ท่านเชื่อใหม่ก็ตาม ศิษยาภิบาลก็แค่ไปให้กำลังใจ คอยดูให้ท่าน แต่ผู้ที่จะนำพาท่านเจริญเติบโตต่อไป ก็คือพระเจ้าต่างหาก พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ต่างหาก พูดเหมือนแก้ตัวนะ ศิษยาภิบาลทุกคนปรบมือยิ้ม ดีจัง เข้าใจไหม?

ถ้าเผื่อดูท่านตลอด 2 ปีผ่านไป 3 ปีผ่านไป ก็ไปหาท่านเหมือนเดิม ท่านเตรียมตัวอันตรายแล้วนะ ท่านมีอะไรผิดปกติต่างหาก เป็นโรคอะไรบางอย่างที่ไม่โต ก็เหมือนๆ เด็กทารกที่เราเลี้ยง เป็นทารกอยู่ ถึงเวลาก็ป้อนๆ อันนั้นก็ทำให้ อันนี้ก็ทำให้ ทำให้หมดทุกอย่าง แต่ถ้ามันเลยไปจนอายุ 10 ขวบ ยังต้องมาป้อนอยู่ แสดงว่าผิดปกติแล้ว จริงไหม? อย่างที่บอก เมื่อสังเกตดู พวกพี่ๆ ชอบอิจฉาน้องว่าทำไมน้องทำอะไรก็ได้ เดี๋ยวเราเป็นพี่ แล้วทำเหมือนน้อง อุแว้ก็แล้ว พ่อไม่เห็นมาชงนมให้เราเลย เราจะใส่รองเท้าก็ไม่ก้มลงไปผูกเชือกรองเท้าให้เรา ปล่อยเราให้ใส่ตั้งนาน ผูกถูกบ้าง ผิดบ้างอะไรต่างๆ พ่อกำลังสอนอยู่ ขืนยังผูกให้ตลอด 20 ก็ยังผูกไม่เป็น นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง มันเป็นธรรมชาติ แต่พอมาเรื่องพระเจ้ามันอิจฉามากกว่า เพราะมันเป็นชีวิต มันหนักกว่า มันเห็นว่าทำไมเรายิ่งเข้าใกล้พระเจ้า  เหมือนดูยิ่งห่าง ไม่ห่างหรอก พระเจ้าอยู่ด้วยเสมอ เท่ากัน และมากกว่าด้วย

จริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นน้องหรือเป็นพี่ พระเจ้าสถิตอยู่ด้วยเท่ากันหมด แต่วิธีการนำเรา มันต่างกัน เพราะตรงนั้นเป็นน้องใหม่ แต่เราเป็นพี่ชายคนโตแล้ว กำลังนำเราอีกแบบหนึ่งเท่านั้นเอง

คำพูดของพี่ชายในเรื่องนี้ ในอุปมาเรื่องนี้ที่บอกว่า “ดูเถิด หลายปีมานี้ ข้าพเจ้าตรากตรำรับใช้ท่าน และไม่เคยขัดคำสั่งของท่านเลย แต่ลูกแพะสักตัว ท่านก็ยังไม่เคยยกให้ข้าพเจ้า เพื่อเลี้ยงฉลองกับเพื่อนๆ เลย”

ตรงนี้ ดูแล้ว อาจกำลังน้อยใจ แต่จริงๆ แล้ว เป็นความรู้สึกของการทวงบุญคุณกับพ่อ

“ฉันทำดีกับพ่อมาตั้งเยอะแล้ว เชื่อฟังมาตลอด ดูแลรับใช้งานอย่างดีมาตลอด เพราะฉะนั้น พ่อควรจะให้อะไร เป็นรางวัลในการตอบแทนฉันบ้างสิ”

เราเคยทวงบุญคุณพ่อไหม? อ้าว! ดูสิว่าใช่หรือไม่ใช่?

“ฉันเชื่อพระเจ้ามาตั้งนาน แล้วก็ทำตามที่พระเจ้าบอกมาตลอด ทำตามที่พระคัมภีร์สอนมาตลอด เชื่อฟังพระเจ้ามาตลอด รับใช้อย่างมุ่งมั่นมาตลอด”

ทุกคนก็บอกว่าเราก็ไม่เคยมาทำงานที่โบสถ์ เรารับใช้เมื่อไร? ก็กิจวัตร อย่างที่ตะกี้ผมบอก บางคนก็ตั้งเวลาอธิษฐานไว้ 3 เวลา บางคนก็ 2 เวลา ตื่นมาต้องอธิษฐาน นอนก็ต้องอธิษฐาน บางคนก็ตื่นมาอธิษฐาน 3 ชั่วโมง ตื่นขึ้นมา 2 ชั่วโมงต้องอธิษฐาน พกพระคัมภีร์ไปด้วย  ท่องพระคัมภีร์อีก ร้องเพลงนมัสการ พยายามทำทุกอย่าง เดี๋ยวฟังต่อไป ก็รู้ว่ามันใช่ตัวเราหรือไม่? พยายามทำสิ่งที่คิดว่ามันควรจะทำมาตลอด ให้พระเจ้าพอพระทัย เพราะฉะนั้น …

“พระเจ้าก็น่าจะตอบคำอธิษฐานของฉันบ้างนะ อวยพรฉันบ้างสิ”

อันนี้อยู่ในใจเราลึกๆ เราไม่รู้หรอก นี่คือความคิดที่เหมือนกับว่าพระเจ้าเป็นหนี้เรา พระเจ้าต้องตอบแทนในสิ่งที่เราได้ทำให้พระเจ้า เรากำลังคิดว่าเราทำให้พระเจ้า ทุกครั้งที่เราอธิษฐาน หรือทำกิจวัตรกับพระเจ้า ถ้าเราคิดว่าเราทำให้พระเจ้าพอพระทัย ก็เท่ากับว่าเราคิดว่าเราทำให้พระเจ้านั่นเอง เราก็เหมือนพี่ชายคนโต ทำงานๆ ออกไปประกาศ ออกไปทำอะไรต่างๆ เราควรที่จะได้ผลตอบแทนจากพระเจ้า จากพ่อของเรา จากเรื่องนี้นะ แล้วไม่ได้ทำธรรมดา ตั้งใจทำอย่างดีงามทุกครั้ง คนเราเวลารักษากฎของพระเจ้ามากๆ ตั้งใจมากๆ ก็คือกฎ … กฎคืออะไร?

“อุ้ย! ลูก ก่อนกินข้าวอธิษฐานสิ เดี๋ยวพ่อพาอธิษฐาน” นี่กฎ แล้วใช่ไหม?

“แล้วก่อนนอนอธิษฐานหรือยัง?” อย่างที่บอก “ให้ท่องถ้อยคำพระเจ้า ก็ยังไม่ท่องอีก ดูสิ วันนี้ท่องหรือยัง?”

นี่กลายเป็นกฎแล้ว บางทีเราไม่รู้ตัว เผลอๆ เราก็ทำ เพราะเราคิดว่าสิ่งที่เราทำ มันถูกต้อง เป็นที่พอพระทัย เราก็เลยอยากให้คนข้างๆ เรา เป็นที่พอพระทัยเหมือนกัน กฎไม่ได้มาจากพระเจ้า กฎมาจากเรา มนุษย์เราเอง ท่องหรือยัง? ร้องเพลงพระเจ้า นมัสการได้กี่เพลงแล้ว ร้องบ้างหรือเปล่า?  นมัสการบ้างหรือเปล่า?  กี่วันแล้วไม่ได้นมัสการ? นี่ประกาศพระเจ้าบ้างหรือเปล่า? เมื่อกี้ลงจากแท๊กซี่ ได้ประกาศหรือเปล่า? ทำไมไม่ประกาศ ในพระคัมภีร์บอกทุกช่วงโอกาสต้องประกาศทั้งหมด อย่างนี้ใช่ไหม? ชักคุ้นๆ แล้ว ชักไปลึกแล้ว เคลียด คิ้วขมวดชนกัน เราพยายามทำให้เป็นกฎ แล้วพยายามทำ ให้มันเป็นกฎขึ้นมา เพราะว่าในใจลึกๆ เราหวังอะไรบางอย่าง เราไม่รู้ตัว คือเราหวังที่เรียกว่าพระพร ไม่ว่าพรอะไรแล้วแต่ เรากำลังหวังพระพร มันดูเหมือนเราทำด้วยใจจริง เรารักพระเจ้า นมัสการพระเจ้า รับใช้พระเจ้า แต่จริงๆ ข้างในลึกๆ เราอยากได้อะไรบางอย่างเป็นการตอบแทน

พระเยซูกำลังสอนอุปมานี้ “พ่อไม่เห็นให้รางวัลเราเลย เราทำงานมาตลอด” งานนี้เราคิดว่ามันเป็นงาน พระเจ้าไม่ได้ใช้เราเลย ในอุปมาเรื่องนี้ มีคนใช้เยอะแยะในบ้าน พระเจ้าเพียงให้ครอบครองในบ้านเท่านั้นเอง จะทำอะไรก็ได้  แต่เราคิดว่าไม่ได้ เราต้องช่วยคนงานทำ ช่วยๆ เสร็จแล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยด้วย ความอิสระในใจ หรือว่าความจริงใจ  แต่ช่วย เพราะว่าเราอยากจะทำโชว์พ่อ พ่อคงชอบ แล้วเราจะได้ความโปรดปรานจากพ่อ เราอธิษฐานๆ ที่พระเยซูบอกเคาะๆ เราก็เคาะใหญ่เลย อธิษฐาน เพื่อเราจะได้รับในสิ่งที่เราอยากได้ลึกๆ ในใจของเรา หรือบางคนไม่ใช่ในใจลึกๆ ออกจากปากเลย  ให้ผู้คนได้รู้เลย

อย่างเช่น เราอยากได้ความมั่นคั่ง ร่ำรวย  ซึ่งมนุษย์ทุกคนอยากได้ เราอธิษฐาน เพื่อให้มันรวย เราอธิษฐานๆ เพื่อให้มันแข็งแรง เพื่อให้มันหายโรค เราอยากให้พระเจ้าตอบคำอธิษฐาน ให้เป็นไปตามความคิดของเรา ซึ่งอาจจะอยู่ในใจ หรืออยู่ข้างนอกก็ตาม นี่แหละ คือสิ่งที่เราบอกพระเจ้า พระเจ้าต้องตอบสิ ทำตั้งเยอะแล้ว เราอดอาหารอธิษฐาน พระเจ้าต้องตอบเราแน่นอน กิจการนี้จะต้องเจริญรุ่งเรือง แล้วพระเจ้าก็ตอบจริงๆ อดอาหารอธิษฐานไป 40 วัน สำหรับกิจการนี้ ในที่สุด มันก็เจ๊ง  เพราะถ้ามันไม่เจ๊ง ทุกวันนี้ โบสถ์เจ๊งแน่เลย เพราะคนมารอคิวยาว เข้ามาขอรับเชื่อ พอรับเชื่อ เข้าโบสถ์ๆ พอทุกคนทำตามกฎนี้ได้หมด รับรองรวยหมดเลย ไม่ต้องไปเรียนแล้วหนังสือ เรื่องวิชาลงทุน มีจรรยาบรรณอะไรต่างๆ ไม่ต้อง มาเชื่อพระเยซูแล้วมาเรียน ตอนนี้โบสถ์ใหญ่ที่สุดในโลกเลย แล้วจริงๆ มันเป็นไหม? มันเป็นการหลอกลวงมากกว่า ไม่ต้องมีโรงพยาบาลแล้ว เคาะไปๆ อธิษฐานไป มันหายโรคเอง เป็นไปได้ไหม? เป็นไปไม่ได้ แต่ในใจลึกๆ ทุกคนอยากได้ เป็นน้องมาใหม่ๆ หายจากมะเร็ง โอกาสจะหายมีจริงๆ นะ มีบางคนหายจากมะเร็ง หายจากโรคจริงๆ กิจการได้รับการช่วยกู้จากพระเจ้า จากล้มละลายปุ๊บกลายเป็นดีเลย นั่นมันตอนเริ่มต้น เป็นน้องใหม่ แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ตลอดไปเรื่อยๆ ก็ดีสิ คนก็แห่กันมาเยอะแยะ พระเจ้าก็จะนำเขาต่อไป มันเป็นอะไรก็ไม่รู้แล้ว

จากวันแรกล้มละลาย แล้วกลับมาใหม่ ผ่านไป 10 ปี อาจจะล้มละลายอีกทีหนึ่ง หนักกว่าเก่าอีกก็ได้ จากวันแรกหายจากโรคมะเร็ง อัศจรรย์ 10 ปีต่อมา กลับมาเป็นมะเร็งใหม่ แล้วก็ตายเลย กลับไปอยู่กับพระเจ้าแล้ว ใช่หรือไม่? ไม่กล้าตอบ ท่านเห็นอยู่ทุกวันนี้ ใช่หรือไม่? ใช่ เพราะฉะนั้น เราต้องรู้ความจริง อย่าถูกหลอกอีกต่อไป พรพระเจ้าให้เราหมดเรียบร้อยแล้ว ในโลกวิญญาณ

จากอุปมาเรื่องนี้ เป็นอันตรายของความคิดของคริสเตียน ของวงการคริสเตียนก็ว่าได้ เราถูกหลอก ถูกดึงไป  เพื่อทำอะไรรู้ไหม? มารมันไม่ต้องทำอะไรมากอยู่แล้ว มันทำไม่ได้อยู่แล้ว เมื่อเรารู้ความจริง มันก็พยายามให้เรารู้ความจริง ให้น้อยที่สุด ถ้าเราไม่รู้ความจริงเลย ก็ดีเลย ก็หลงหายไป แต่ถ้าเรากลับมาเป็นน้องใหม่แล้ว เป็นพี่ชายคนโตแล้ว มันพยายามให้เป็นพี่ชายคนโตที่เป็นในอุปมานี้ ซึ่งเราสามารถเป็นพี่ชายคนโตที่พระเจ้าอยากให้เป็นได้ ซึ่งทุกท่านก็อยากจะเป็นเช่นนั้น

ย้อนกลับมาดูเรื่องบุตรน้อยหลงหาย พอพี่ชายรู้สึกอิจฉาน้อง หลังจากที่พูดจาตัดพ้อ น้อยใจพ่อ ทวงบุญคุณพ่อ มาดูสิว่าพ่อตอบว่าอย่างไร?

ลูกา 15:31-32 “31 บิดากล่าวว่าลูกเอ๋ย เจ้าอยู่กับพ่อตลอดมา และทุกสิ่งที่พ่อมี  ก็เป็นของเจ้า 32 แต่ที่เราต้องเฉลิมฉลองและยินดีกัน เพราะน้องคนนี้ของเจ้าได้ตายไปแล้ว และกลับเป็นขึ้นมาอีก เขาหายไปแล้ว และได้พบกันอีก”

 

เมื่อไรก็ตามที่เรารู้สึกว่าเราทำงานรับใช้พระเจ้า ด้วยความตั้งใจ อ่านพระคัมภีร์สม่ำเสมอ อธิษฐานสม่ำเสมอ เชื่อฟังพระเจ้าทุกอย่าง แต่ทำไมเหมือนพระเจ้าไม่สนใจเราเลย มองข้ามเราไป เมื่อเรารู้สึกอิจฉาผู้เชื่อใหม่ น้อยใจพ่อที่ดูเหมือนว่าน้องที่มาเชื่อใหม่ ได้รับการสนใจมากกว่าเรา พระเจ้าก็จะตอบเราแบบนี้ว่า …

“ลูกเอ๋ย เจ้าอยู่กับเราเสมอ และสิ่งของทั้งหมดของเรา ก็เป็นของเจ้า”

นั่นหมายถึงมรดกที่พ่อจัดเตรียมไว้ให้ มันเป็นของเจ้า เจ้าได้รับเรียบร้อยไปแล้ว แล้วเจ้าจะไปอิจฉาน้องเขาทำไม? พูดง่ายๆ ว่าสวรรค์เป็นของเจ้าแล้ว ทุกสิ่งในสวรรค์เป็นของเจ้าแล้ว พระคัมภีร์บันทึกว่าพระพรนานัปประการในสวรรค์ พระเจ้าได้ประทานให้กับท่านผู้เชื่อเรียบร้อยไปแล้ว เอเมน

บางคนพอเชื่อพระเจ้ามานานๆ ก็ได้รับการสอนมาว่าต้องทำอะไรบ้าง? ยกตัวอย่าง ต้องไปโบสถ์ทุกวันอาทิตย์ ห้ามขาดโบสถ์ ต้องอ่านพระคัมภีร์ ห้ามหยุดอ่าน  ต้องจัดเวลาเฝ้าเดี่ยว ต้องออกไปประกาศข่าวดีให้กับคนไม่รู้จัก แล้วก็ต้องถวายสิบลด ต้องถวายเงินพิเศษในการประกาศ และก็ต้อง ต้อง ต้อง อีกเยอะแยะ นี่ยกตัวอย่างให้ดูเฉยๆ ใครที่กระทำตามได้อย่างสม่ำเสมอ รักษาไป เหนื่อยจะตายไม่ไหว แต่อึดขึ้นมา เราต้องประกาศ คราวก่อนเราประกาศ คนนี้ยังมาเชื่อพระเจ้าจริงๆ เลย มันเกิดผลจริงๆ เพราะฉะนั้น เราต้องประกาศ คนนี้จะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันขึ้นอยู่กับความรับผิดชอบของเรา หนักเลยคราวนี้ ถ้าเราไม่ไปประกาศ ใครจะไปช่วยเขา ถ้าเขาเกิดไม่เชื่อพระเจ้า จนกระทั่งเขาสิ้นชีวิตไป อาจจะอีกชั่วโมงหนึ่ง เขาถูกรถชนตาย แล้วเราไม่ประกาศให้เขา  เราต้องรับผิดชอบวิญญาณของเขาที่ตกนรก  มันทรมานไหมล่ะ  เคยได้ยินไหม คนประกาศอย่างนี้ ท่านต้องรับผิดชอบนะ ถ้าท่านไม่ประกาศ ก็เกิดความทุกข์ทรมานใจ เราก็ไม่ไหวอยู่แล้ว ต้องไปประกาศ เพราะเรากลัวเขาตกนรก แล้วเราต้องรับผิดชอบ พระเจ้าจะมาด่าเรา

“ทำไมไม่รับผิดชอบ วิญญาณนี้ตกนรก เพราะท่านไม่ไปประกาศให้เขา ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตไป เขาเจอท่านพอดี 2 นาทีนั้น ทำไมไม่ประกาศ  … นี่อีกคนหนึ่ง ท่านไปประกาศให้เขา เขาเชื่อแล้ว เขาไปสวรรค์แล้ว ท่านได้รางวัล แต่ตอนนี้ไม่ได้รางวัล ต้องแย่”

สรุปเราต้องรับผิดชอบทั้งหมด ในชีวิต กลับมาเหมือนเดิม ถูกไหม? แปลกนะ พอเราทำอะไรก็ตามที่มันรักษากฎอะไรต่างๆ ที่ต้องๆ อย่างสม่ำเสมอ ดีงาม นานๆ เข้ามัน ก็จะลืมตัว เราไม่ตั้งใจไปสอนคนอื่นต่ออย่างนั้นหรอก แต่มันลืมตัว นี่คืออันตรายมาก เราก็ยังเป็นพี่ชายคนโตอย่างนั้น  แต่เราจะเป็นพี่ชายคนโตที่จะเป็นพิษ เป็นภัยต่อน้องๆ ที่เข้ามาหา เราจะคอยเอาไม้ตะบองตี น้องชายวิ่งมาขอบรั้วตรงโน้น พ่อมองไม่เห็นหรอก ฟาดมันก่อน มันหนีไปแล้ว  พ่อไม่ทันเห็นเลย  ในคำอุปมานี้ พ่อจะเห็นลูกชายเมื่อเดินผ่านรั้วลวดหนาม สมมติว่าทุ่งนาของพ่อกว้างขวางมาก พ่อยืนอยู่นั้น ใครจะกลับมา คนนี้มาแต่ไกล พ่อยังมองไม่เห็น กว่าจะผ่านรั้วลวดหนามมา นี่พอผ่านรั้วลวดหนามมานิดเดียวเอง พี่ชายคนโตเอาไม้ตะบองไล่ฟาด ฟาดด้วยวิธีนี้ หนีไปหมด เพราะพี่ชายคนโตเขาบอกเขารับใช้พระเจ้า เขาทำอย่างนี้ ทำกฎอย่างนี้ จนกระทั่งลืมตัว ทำสิ่งนี้ แล้วเขาจะมีความบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนพระเจ้า ใกล้ชิดพระเจ้า เป็นที่พอพระทัยพระเจ้าจริงจัง

แล้วคนที่รับใช้พระเจ้าแบบนี้ หนักเข้า ก็จะเริ่มสำรวจคนอื่น สำรวจคนในบ้านที่หลุดเข้ามาในครอบครัวสวรรค์แล้ว

“ทำน้อยไปนะ ทำให้ได้เหมือนฉัน นี่ยังไม่ได้ไปตัดหญ้าเลย ไปตัดหญ้ากับฉัน อันนี้ทำไมไม่ทำ ฉันทำแทนพ่อแล้ว”

ก็ไปชี้นิ้วทุกคนเลย คนนั้นทำน้อย คนนี้ทำไม่พอ ต้องทำอีก เพราะเอาตัวเองเป็นเกณฑ์

“ถ้าฉันอธิษฐานวันละ 5 ชั่วโมงได้ ฉันจะพาทุกคนมาทำ ถ้าฉันเป็นนักประกาศ ฉันจะพาทุกคนเป็นนักประกาศ ถ้าฉันเป็นนักนมัสการ ฉันจะพาทุกคนมานมัสการ ทุกคนต้องทำตามที่ฉันบอก นี่แหละ คือที่พระเจ้าพอพระทัย อยากให้ทุกคนตามฉัน”

ท่านคอยสังเกตมีจริงๆ มีเยอะ แล้วก็คิดไปเองว่า …

“พระเจ้าจะไม่อวยพรคนเหล่านี้ ที่ไม่ได้ทำตามฉัน ไม่ได้โฮลี่เหมือนฉัน ไม่ได้อธิษฐานเหมือนฉัน  ไม่ได้อดอาหารเหมือนฉัน ไม่ได้รับใช้พระเจ้าเหมือนฉัน ไม่ได้มาโบสถ์เป็นประจำเหมือนฉัน เพราะคนเหล่านี้ ที่ไม่ได้ทำเหมือนฉัน เขาต่ำกว่ามาตรฐาน” เอาตัวเองเป็นมาตรฐาน

“ใครจะมาอยู่ในสวรรค์ ฉันเป็นมาตรฐาน เป็นพี่ชายคนโต ฉันทำได้แล้ว”

ถ้าใครก็ตามที่คิดอย่างนั้น  พระเจ้าอาจจะถามกลับว่า …

“มาตรฐานของใครมิทราบ? มาตรฐานของพระเจ้า คือทุกคนเท่ากันหมด ทุกคนเป็นลูกพระเจ้าเหมือนกันหมด ทุกคนมีสิทธิเท่าๆ กันกับพระเยซู”

พอไหม? จบไหม? ท่านไปตัดสินอะไรเขา เขามีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง มีสิทธิเป็นลูกพระเจ้า มีค่าเท่าๆ กับพระเยซู แล้วท่านยังชี้นิ้วเขาอีก จบเลย

แต่ว่าสิ่งที่ผมพูดนี้ ไม่ใช่ไม่ส่งเสริม ฟังให้ดีๆ เดี๋ยวคนจะเข้าใจไปอีกด้านหนึ่ง สิ่งที่ผมพูดนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ส่งเสริม ไม่ว่าจะการมาโบสถ์เป็นประจำ การนมัสการ การอ่านพระคัมภีร์ การท่องพระคัมภีร์ การอธิษฐาน มันเป็นสิ่งดีทั้งหมด สำหรับผู้เชื่อ ไม่ว่าจะใหม่หรือเก่า แต่ผมกำลังบอกว่าบุคลิก ลักษณะของคนแต่ละคนนั้น มันไม่เหมือนกัน พระเจ้าสร้างมาอย่างไร ก็อย่างนั้น มันจะไม่เหมือนกัน พระเจ้านำใครทำแค่ไหน? ก็แค่นั้น พระเจ้านำคนนี้ไปแบบนี้ ก็แบบนี้ พระเจ้านำคนนั้นไปแบบนั้น ก็แบบนั้น จะได้มีหลายๆ แบบ อย่าเอาความคิดของเรา ไปตั้งเป็นมาตรฐาน แล้วบอกว่าคนอื่นต่ำกว่ามาตรฐานที่เราวาง ให้วางใจในพระเจ้า เขาอาจจะไม่ทำเหมือนกัน แต่เราวางใจพระเจ้าว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขาแล้ว ตอนนี้พระคัมภีร์บอกพระเจ้าอยู่กับเขาแล้ว เมื่อเขารับสิทธิของพระเจ้า เขาเชื่อในพระเจ้า เขาบังเกิดใหม่แล้ว  พระเจ้าอยู่กับเขาแล้ว ไม่มีใครเอาเขาออกจากพระเจ้าได้แล้ว แต่ทำไมเขาไม่มาโบสถ์ ไม่เป็นไร วางใจในพระเจ้า ถ้าเป็นห่วงเป็นใยเขา ก็อธิษฐานให้เขา พอ อธิษฐานดีๆ นะ ไม่ใช่อธิษฐานส่งนะ เชื่อและวางใจในพระเจ้าสิ พระเจ้าอยู่กับเขาแล้ว ในพระคัมภีร์บอกไว้อย่างนั้น เขาเชื่อเมื่อไร? พระเจ้าลงมาสถิตอยู่กับเขาทันที เอเมน พระเจ้าจะเอาใจหินออกไป เอาใจใหม่ วิญญาณใหม่ให้กับเขา เขาบังเกิดใหม่แล้ว ไม่มีใครเอาเขาออกไปจากคอกของเราได้อีกแล้ว พระเยซูบอก โอเค เดี๋ยวพระเจ้าจะนำเขาไปอีกสไตล์หนึ่ง แล้วแต่

แต่ถามว่าผมสนับสนุนไหม? ให้คนมาโบสถ์เป็นประจำ ทำไมจะไม่สนับสนุนล่ะ ยิ่งเป็นศิษยาภิบาล ยิ่งสนับสนุนให้ทุกคนพยายามถวายทรัพย์ ก็เราดูค่าใช้จ่ายอยู่ทุกวัน ก็มาจากพวกท่านนั่นแหละ แต่เรามองข้ามท่านไปอีกที ถึงพระเจ้า ถ้ามองที่พวกท่าน ผมก็ต้องไปบังคับท่าน ไปพยายามเกลี้ยกล่อม พยายามหาอุบายทุกอย่าง เพื่อให้ท่านถวาย ลืมไปซะ ที่นี่ไม่มี เลิกก็เลิกกัน แต่ศิษยาภิบาลทุกคน ผู้ใหญ่ทุกคนในที่นี้ เขาทำเป็นตัวอย่าง เขาไม่บังคับ เพราะเขาไม่อยากทำ แล้วเอาตัวเองเป็นเกณฑ์ว่าท่านต้องทำให้ได้เหมือนผม ท่านต้องทำให้เหมือนศิษยาภิบาลเขาถวายสิบลด เกินกว่าสิบลดอีก ที่เขาออกไปประกาศเกินกว่าชีวิตของท่าน เขาไม่เอาตัวเองเป็นเกณฑ์ พระเจ้าจะใช้ท่านอย่างไร? ไม่รู้ โบสถ์นี้ ก็เป็นโบสถ์ของพระเจ้า เราวางใจในพระเจ้า ชีวิตอย่างนี้ เป็นชีวิตเกิดใหม่ บังเกิดใหม่ในพระเยซูจริงๆ วางใจพระองค์จริงๆ ไม่ใช่วิธีการมนุษย์ มันมีเหตุ มีผล และสิ่งที่ผมพูดทั้งหมด มันเกิดขึ้นในอดีตเยอะแยะมากมาย กฎระเบียบที่มนุษย์สร้างขึ้นมามากมาย อาจารย์เปาโลก็เจอปัญหาอย่างนี้ มีคนเยอะแยะมากมายถามอะไรแบบนี้กับอาจารย์เปาโล ถามว่าทำอันนั้นได้ไหม? ทำอันนี้ได้ไหม? ยกตัวอย่าง …

เขาบอก มาเชื่อพระเจ้าแล้ว กินอาหารไหว้รูปเคารพไม่ได้?

เขาบอก มาเชื่อพระเจ้าแล้ว ถือวันเหล่านี้ไม่ได้? ทำได้ไม่ได้?

เขาบอก มาเชื่อพระเจ้าแล้ว อย่างโน้นได้ไหม? อย่างนี้ไม่ได้?

มันเยอะเหลือเกิน อาจารย์เปาโลตอบสั้นๆ ตอบเป็นข้อๆ นิดหน่อย ที่เป็นหลักการของคริสเตียน ที่เชื่อในพระเจ้าแล้ว ไม่ว่าจะเก่าหรือไม่? เป็นหลัก ง่ายๆ และบันทึกไว้ในพระคัมภีร์

“ท่านมีอิสรภาพในการทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่ท่านทำ จะเป็นประโยชน์”

ท่านมีสิทธิเสรีภาพในการทำทุกสิ่งได้ แต่ไม่ใช่ทุกสิ่ง จะเป็นการเสริมสร้าง มันอาจจะเป็นการทำลายก็ได้ แต่ท่านมีอิสรภาพ เมื่อเชื่อพระเจ้าแล้ว

อิสรภาพ แปลว่าไม่มีคำว่า “ต้อง” ถูกไหม? ไม่มีคำว่าห้าม  ถ้าท่านเชื่อพระเจ้าจริงๆ สองคำนี้เอาออกไปจากชีวิตของท่านได้เลย  เพราะท่านมีอิสรภาพในการทำทุกสิ่งได้ ถ้าแปลง่ายๆ ก็คือตอนที่เราเชื่อพระเจ้าแล้ว เราเป็นคริสเตียนแล้ว เรามีอิสรภาพในพระเยซูคริสต์ เราทำอะไรก็ได้ เพราะไม่มีสิ่งใดที่เรียกว่าบาป สำหรับผู้เชื่ออีกแล้ว มีแต่คำว่าเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ สำหรับชีวิตเราและคนรอบข้าง

เปาโลยังบอกว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม โดยปราศจากความเชื่อ ก็เป็นบาปทั้งนั้น ความเชื่อนี้ ก็คือความเชื่อในการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์ ที่ไถ่ให้เราเป็นอิสรภาพ ถ้าเราไม่เชื่อ เราก็เป็นทาสอยู่ดี แต่ถ้าเราเป็นไทโดยการไถ่บาปของพระเยซูคริสต์เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่ 2,000 ปี เราก็เป็นอิสรภาพ เป็นไทอยู่ดี ไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นไท มันหมายถึงอย่างนั้น  ถ้าเราอยู่ในพระคริสต์ ไม่ว่าทำอะไร ในวิญญาณของเราไม่บาป แต่จะมีความสงบสุขหรือมีสันติสุข บนโลกใบนี้มากหรือน้อย ให้กับตัวเราเองและคนรอบข้าง มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำนั่นแหละว่ามันเป็นอะไร? ไม่มีข้อพระคัมภีร์ไหนที่ห้ามเราไม่ให้โลภ แต่บอกอย่าโลภ เพราะโลภมันทำให้เราเจ็บตัวและผู้คนรอบข้างเจ็บตัวด้วย แต่เราเหมือนเดิม คล้ายๆ อย่างนั้นแหละ เราไม่โลภ ไม่โมโห เราก็ไม่ต้องรับผิดชอบต่อผลของความโลภ ผลของความโมโห ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ มันเกิดโทษ ทั้งโทษต่อตัวเอง และคนรอบข้างเราด้วย  แต่มันไม่มีผลอะไรต่อความรอดในโลกวิญญาณ ในการอยู่ในสวรรค์ของเรา ไม่มีผลต่อสิทธิความเป็นลูกของเรา ในพระเยซูเลย ซึ่งเราได้รับเรียบร้อยไปแล้ว เมื่อตอนพระเยซูตายที่ไม้กางเขน และได้รับสิทธินี้เรียบร้อยไปแล้ว ตอนที่เรากลับใจมาใช้สิทธิของเรา มาเชื่อในข่าวดีของพระเยซู วันไหนไม่รู้ วันนั้นแหละ เราได้ไปแล้ว และมันได้ตลอด เราอยู่ที่นั่นตลอด อยู่ในวิญญาณเราตลอดไป เอเมน

นี่เขาเรียกว่าอิสรภาพจริงๆ เอาความจริงนี้ใส่เข้าไปในใจของเราให้ได้ มนุษย์ทุกคนมักคิดว่าความดีเท่านั้น ที่ต้องสะสมไปในโลกหน้า จ้องมองไปที่ความดี ไปหลักชัย แต่พระเจ้าบอกว่าความเชื่อในพระเยซูเท่านั้น ที่ต้องสะสมไปในโลกหน้า จงจ้องมองไปที่พระเยซูคริสต์ เป็นหลักชัย ไม่ใช่การกระทำ ไม่ว่าดีหรือเลว

เพราะฉะนั้น ถ้าคิดว่าชีวิตนี้เราคงสะสมความดีไม่พอแน่ๆ สำหรับการอยู่ในสวรรค์ สำหรับโลกหน้า ก็จงหันมาพึ่งพระเยซู ผู้ช่วยให้รอด เชื่อในการไถ่บาปของพระองค์เถิด มนุษย์ทั้งหลาย รวมทั้งเราที่นั่งอยู่ที่นี่ด้วย

ข้อคิดจากอุปมาคำสอนของพระเยซู เรื่องบุตรน้อยหลงหาย สรุปได้อะไรบ้าง? ไม่ว่าเราจะเป็นลูกคนโต หรือลูกคนเล็ก พระเจ้า ซึ่งเป็นพ่อของเรา ก็ได้จัดเตรียมมรดกให้กับเราเรียบร้อยไปแล้ว ทรัพย์สมบัติในสวรรค์ ทุกอย่างเป็นของเรา และเป็นของเราเท่าๆ กันหมด รวมทั้งพี่ชายคนโตของเรา คือพระเยซูด้วย ตอนนี้พวกเราทุกคนที่นี่ ก็มีด้วยกัน 3 กลุ่ม

กลุ่มที่หนึ่ง ลูกที่อยู่ใกล้ชิดพ่อมานานแล้ว ก็คือคริสเตียนเก่า คือพี่ชายคนโต

กลุ่มที่สอง คือบุตรน้อยหลงหาย ที่พึ่งกลับมาพบพ่อ ก็คือผู้เชื่อใหม่

กลุ่มที่สาม คือบุตรน้อยหลงหาย ที่ยังอยู่นอกรั้วลวดหนามอยู่เลย อยู่นอกสวรรค์อยู่ ยังหลงหายอยู่

ซึ่งถ้อยคำของพระเจ้าวันนี้ ก็มาถึงลูกๆ ของพระเจ้าทุกๆ คน ทั้ง 3 กลุ่มนี้ สำหรับคริสเตียนเก่า ที่เปรียบเหมือนพี่ชายคนโต เราควรจะมีความยินดี ต้อนรับน้องใหม่ ที่มาเชื่อใหม่ ด้วยใจชื่นชมยินดี ไปกับพ่อ เราควรจะ เฮ้ๆๆๆๆ ดีใจด้วย ไปฉลองกับเขาด้วยอีกคน

และสำหรับผู้เชื่อใหม่ พระเจ้ายังเลี้ยงดูเราด้วยอาหารอ่อนอยู่ และพระเจ้าจะค่อยๆ ฝึกเราให้โตขึ้น ให้เราเรียนรู้มากขึ้น โดยตัวเราเอง ก็ต้องหมั่นฝึกฝนจิตวิญญาณของเรา ให้เหมาะ ให้สมควรกับการเป็นลูกของพระเจ้า ที่บริสุทธิ์ ไม่ใช่ต้องนะ ให้สมควรและเหมาะสม เท่าที่ทำได้  จากข้างในแท้ๆ ไม่ใช่กฎ เราต้องรู้จักฝึก เพื่อจะเตรียมพร้อมสำหรับอาหารแข็ง  … อาหารแข็ง คือปัญหาไง ปัญหาเข้ามา เราจะผ่านได้

สำหรับกลุ่มที่ 3 คือกลุ่มบุตรน้อยหลงหายของพระเจ้า ที่ยังกลับไม่ถึงบ้าน อาจจะยังไม่ได้ฟังข่าวดี หรือฟังข่าวดีแล้ว ยังไม่ได้ตัดสินใจ ยังอยู่นอกรั้วเลย

ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ถ้อยคำพระเจ้าในวันนี้ ข่าวดีนี้ มาถึงท่านวันนี้เป็นพิเศษ ที่จะบอกกับท่านว่าพระเจ้าหรือพ่อของท่าน ในโลกวิญญาณ ในสวรรค์รอคอยใจจดใจจ่อ เฝ้าตามหาท่าน รอท่านกลับบ้าน รอท่านเมื่อไรจะใช้สิทธิของท่าน ที่พระองค์มอบให้ท่านเรียบร้อยไปแล้ว โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ที่ได้ตายที่ไม้กางเขน หลั่งพระโลหิตชำระท่าน จนหมดบาปหมดเวรหมดกรรม จนสะอาดหมดจด จนเป็นลูกของพระเจ้า เรียบร้อยไปแล้ว ท่านเพียงแต่มาใช้สิทธิของท่านเท่านั้นเอง ไม่มีต้อง ไม่มีอะไรทั้งสิ้น ไม่ต้องมีการแลกเปลี่ยน ไม่ต้องมีอะไรทั้งสิ้น ใช้สิทธิเท่านั้น รับไปฟรีๆ  ไม่ต้องกรอกใบสมัครด้วย ไม่ต้องลงน้ำบัพติศมาก็ได้  ไม่ต้องมาโบสถ์ก็ได้  ไม่ต้องร้องเพลงนมัสการก็ได้ ไม่ต้องถวายทรัพย์ก็ได้ ไม่ต้องอะไรอีก ที่ท่านหงุดหงิดไม่อยากจะทำ ไม่ต้องอธิษฐานก็ได้

ผมกำลังจะบอกให้ท่านใช้สิทธิของท่าน ให้ฟรีๆ ไม่ต้องมีคำว่าต้องอะไร ไม่ต้องทำอะไรเลยทั้งสิ้น แค่นั้นก็พอแล้ว พระเจ้าก็จะจัดงานเลี้ยงให้กับท่าน ท่านได้เป็นบุตรน้อยของพระเจ้าที่ตายไปแล้ว ได้เป็นขึ้นมาใหม่ พระเจ้าดีใจเป็นที่สุด แล้วได้จัดงานเลี้ยงใหญ่โตให้กับท่าน แล้วไม่มีใครเอาท่านออกไปจากบ้านของพระเจ้าได้อีกแล้ว เมื่อครั้งเดียวที่ท่านเข้ามา แล้วใช้สิทธิของท่าน รับสิทธิของท่าน เข้ามาในสวรรค์ของพระเจ้าแล้ว ไม่มีใครพาออกประตูรั้วลวดหนามของพระเจ้าได้อีกเลย ไม่ว่าท่านจะก่อคดีอะไร เวรกรรมอะไรมาก่อน นี่พูดถึงวิญญาณอย่างเดียวนะ ไม่มีใครเอาท่านออกจากพระเจ้า จากโลกวิญญาณ ไม่มีทางเลย ท่านจะได้รับความรอดนี้ตลอดไป เอเมน ขอพระเจ้าอวยพรครับ

 

**************************